The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชุดที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anocha Utumsakulrat, 2022-10-25 11:22:06

ชุดที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา

ชุดที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา





คำนำ

ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หน่วยท่ี 1 เรือ่ งการใชค้ วามรู้ทางเคมีในการแก้ปญั หา ตามแนวคิดแบบ
โยนิโสมนสิการ จัดทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ความพึงพอใจทางการเรียนเคมี ส่งเสริม
ความสามารถทางการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1-3 โรงเรียนสุวรรณา
รามวิทยาคม โดยในทุกกิจกรรมได้จัดลำดับขั้นตอนที่เน้นการเพิ่มพูนประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์
นักเรียนจะได้รับการทดสอบก่อนเรียน และศึกษาเนือ้ หาความรูท้ ีส่ ่งเสรมิ ใหน้ ักเรียนศึกษาและสืบค้น โดยมีความรู้
เพิ่มเติมนอกเหนือจากในบทเรียน การตอบคำถาม การทำแบบฝึกหัด และทำกิจกรรมการทดลองตามขั้นตอน
ตลอดจนทำแบบทดสอบหลงั เรียน เพอื่ ประเมนิ ตนเองหลังจากการเรียนร้ใู นแต่ละกิจกรรมการเรยี นรู้

ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีใน
การแก้ปัญหา ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการ จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้และความสามารถในการสืบค้น
การจัดระบบสิ่งที่เรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ ได้เป็นอย่างดีสามารถ
นำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจใช้เป็น
แนวทาง ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้ต่อไป

นางสาวอโนชา อุทุมสกลุ รัตน์

สารบัญ ข

เรอื่ ง หน้า
คำนำ ก
สารบญั ข
ขอ้ แนะนำการเรียนรู้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ค
โครงสร้างชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ ง
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น จ
ข้ันท่ี 1 การหาความรู้ ปฏิบัติการ ฝึกอ่าน : ฝกึ คดิ 1
1
- ทบทวนความรู้กอ่ นเรียน 2
- รว่ ม กัน คิด 1 4
- รว่ ม กัน คิด 2 4
- เร่ืองการใช้ความรู้ทางเคมใี นการแก้ปัญหา 6
- กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ 8
- กจิ กรรม สืบเสาะ คน้ หา 11
ข้ันที่ 2 สร้างความรู้ ปฏิบตั กิ าร ฝกึ ทำ : ฝกึ สรา้ ง
- กิจกรรมฝกึ ทำ : ฝกึ สร้าง เรื่อง การแกป้ ญั หาด้วยวิธีการ 11
ทางวทิ ยาศาสตร์โดยใช้ความรทู้ างเคมี 16
ขั้นท่ี 3 ซึมซับความรู้ ปฏิบัตกิ าร คิดดี ผลงานดี มีความสุข 16
- นักวิทย์ฯ คดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ 18
แบบทดสอบหลงั เรยี น 20
บรรณานกุ รม



ขอ้ แนะนำการเรยี นรู้ชดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์วิทยาศาสตร์

สำหรบั นกั เรยี น
จุดประสงค์ของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มุ่งหวังให้นักเรียนเป็นผู้มีความสามารถทางการจัดการ
ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ 3 ดา้ น ไดแ้ ก่

1. ด้านความรู้ ความคดิ
2. ด้านทกั ษะการจดั การความรู้ทางวิทยาศาสตร์
3. ด้านค่านยิ มต่อตนเองเพอ่ื สังคม
ซ่ึงนกั เรยี นจะได้เสริมสร้างความสามารถดังกล่าวดังน้ี 1.การหาความรู้ (Operation) จากกิจกรรม
การสืบเสาะ ค้นหา กิจกรรมร่วมกันคิด และกิจกรรมร่วมกันค้น 2.การสร้างความรู้ (Combination) เป็น
ขั้นฝึกการวิเคราะห์ประกอบด้วยการฝึกคิดแบบสืบสาวปัจจัยเหตุและแบบแยกแยะส่วนประกอบโดยใช้
ข้อความและสถานการณ์ เพื่อพัฒนาตนเอง 3. การซึมซับความรู้ (Assimilation) เป็นขั้นที่ให้นักเรียน
ศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลจากแหลง่ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ เช่น หนงั สอื อินเตอรเ์ นต็ ฝกึ คดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ ฝึกทักษะ
การเขียนเพื่อนำเสนอแก้ไขปัญหาที่พบ ประกอบการตอบคำถามฝึกการวิเคราะห์จุดเด่น และจุดด้อยของ
ผลงาน ตรวจสอบและปรับปรุงเพื่อสร้างชิ้นงานใหม่ต่อไปได้ และข้อเสนอแนะกับผู้อ่านได้ โดยในทุก
กิจกรรมได้จัดลำดับขั้นตอนที่เน้นการเพ่ิมพูนประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นผู้มีความสามารถ
ทางการจัดการความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ดังน้ี
1. อา่ น และทำความเขา้ ใจในทกุ ข้ันตอนของกิจกรรมการเรยี นรู้
2.รกั และสนใจตนเอง สรา้ งความร้สู กึ ท่ีดีให้กบั ตนเอง วา่ ตัวเราเปน็ ผู้มคี วามสามารถมีศักยภาพอยู่
ในตัว และพรอ้ มท่จี ะเรียนรู้ทกุ สิ่งที่สร้างสรรค์
3. รูส้ ึกอิสระและแสดงออกอย่างเตม็ ความสามารถ
4. ฟัง คิด ถาม เขยี น ปฏิบตั ิ อย่างรอบคอบในทุกกจิ กรรม ใช้เน้อื ท่กี ระดาษท่ีจัดไว้สำหรับเขียนให้
เต็ม โดยไม่ปล่อยให้เหลอื เปลา่ เพอื่ ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ กับตนเอง
5. ใช้เวลาในการเรียนรอู้ ย่างคมุ้ คา่ ใช้ทุกๆ นาทที ำใหต้ นเองมคี วามสามารถเพ่ิมมากขน้ึ
6. ตระหนักตนเองอยูเ่ สมอว่าจะเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื นำมาพฒั นาตนเองและพัฒนาสงั คม

จุดเด่นของการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ คอื การสร้างคณุ คา่ ทีด่ ใี ห้กับสงั คม
จึงขอเชิญชวนนักเรียน มารว่ มกันเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
ด้วยใจรกั และ พฒั นาตนให้เต็มขีดความสามารถ

ขอส่งความปรารถนาดใี ห้แก่นักเรียนทุกคนได้เรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์อย่างมีความสุขพงึ่ ตนเองได้ และ
เปน็ ผมู้ ีความสามารถทางการจัดการความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์เพือ่ สงั คม ย่งิ ๆ ขึ้น สืบไป



โครงสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์
หน่วยที่ 1 เร่ืองการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา

สาระสำคญั
ความรู้เกย่ี วกบั เนื้อหาวิชาเคมี สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแกป้ ัญหาจากสถานการณ์ที่เกดิ ข้ึน

ในชีวติ ประจำวันการประกอบอาชีพหรอื อตุ สาหกรรม โดยใชค้ วามรู้ทางเคมีและวิธีการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. ระบปุ ัญหาท่ีเกี่ยวข้องกับความร้ทู างเคมจี ากสถานการณ์ที่กำหนด
2. ออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหาโดยใชค้ วามรทู้ างเคมแี ละวิธีการทางวิทยาศาสตร์
การจัดกระบวนการเรยี นรู้ใช้รูปแบบการจดั การความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์ มี 3 ขัน้ คือ
1. การหาความรู้ (Operation)
2. การสร้างความรู้ (Combination)
3. การซมึ ซบั ความรู้ (Assimilation)

เวลาทใ่ี ช้ 15 ช่ัวโมง
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

นักเรยี นประเมินผลตนเองโดยใช้แบบประเมินผลตนเองก่อนเรยี น-หลงั เรียน



แบบทดสอบกอ่ นเรยี น

หน่วยท่ี 1 เร่อื งการใชค้ วามรู้ทางเคมใี นการแกป้ ญั หา วิชาเคมี

ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 15 นาที

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

คาํ ชแ้ี จง แบบทดสอบฉบับนี้ตองการวดั ความสามารถในการคิดแกปญหาทางวิทยาศาสตร์ ใหน้ กั เรียน

เขยี นคำตอบลงในชอ่ งวา่ ง

สถานการณท์ ี่ 1

บุญธรรมเป็นชาวไร่ก่อนปลูกพืชแต่ละครั้งเขาจะทำการไถที่ดินโดยใช้รถขนาดใหญ่ ซึ่งสะดวกและ

รวดเร็วเมื่อปลกู พืชแลว้ เขาจะบำรุงดูแลรกั ษาพืชไรโ่ ดยใช้รถไถและอุปกรณท์ ี่ทันสมัยเม่ือเข้าไปฉีดพน่

สารฆ่าแมลงรดนำ้ และพรวนดินนอกจากนี้ยังใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อผลผลติ ทำให้ไดผ้ ลผลิตจำนวนมาก

และมีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของตลาดต่อมาปรากฏว่าคุณภาพดินในที่นั้นเสื่อมลงโดยดินมีลักษณะ

แข็งและแน่นทดลองไถพรวนให้ลึกกว่าเดิมแต่เมื่อ ปลูกพืชรดน้ำและใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ตามปกติแล้ว

1-2 เดือนต่อมาดินก็จะแข็งและแน่นเช่นเดิมเขาได้สังเกตพบว่าปัญหาเช่นน้ีจะไม่เกิดกับชาวไร่ท่ีใช้รถ

ไถขนาดเลก็ และใชป้ ุ๋ยอนิ ทรยี ์ในการบำรุงดนิ เลย

1. ขัน้ ระบุปญหา (ปญหาในสถานการณคอื อะไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ขน้ั วเิ คราะหป์ ญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณนี้ไดว้ าอย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขนั้ กำหนดวิธีการ (เพ่ือการแกปญหาจากสถานการณดงั กล่าวนกั เรียนคดิ วาจะแกปญหาในสถานการณนี้
ไดอ้ ย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ข้นั การตรวจสอบผลลัพธ์ (จากการท่ีนักเรยี นได้เสนอวิธกี ารแกปญหาในสถานการณดังกล่าวแลวนกั

เรยี นคิดวา ผลทไี่ ด้วา่ เป็นอยา่ งไร)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

0

สถานการณ 2

มาลัยปลูกบานอยูใกลกับโรงงานถลุงถหิน ครอบครัวของมาลัยรับจ้างทำงานในโรงงานนี้เขาและคน
บ้านดื่มน้ำจากน้ำฝนที่รองใสแทงคเก็บน่านไวใชตลอดทั้งป อยู่มาไม่นานมาลัยและคนในบ้านก็มี
อาการออนเพลยี ปวดศรี ษะเป็นไขบอ่ ย ๆ และในที่สดุ ตองไปนอนรักษาตัวท่ีโรงพยาบาลเลย

1. ข้ันระบุปญหา (ปญหาในสถานการณคอื อะไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ขน้ั วเิ คราะหป์ ญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณน้ีได้วาอย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้นั กำหนดวธิ กี าร (เพ่ือการแกปญหาจากสถานการณดงั กล่าวนกั เรียนคิดวาจะแกปญหาในสถานการณนี้
ได้อย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ข้ันการตรวจสอบผลลัพธ์ (จากการที่นักเรียนได้เสนอวิธีการแกปญหาในสถานการณดังกล่าวแลวนัก

เรยี นคิดวา ผลท่ีไดว้ า่ เป็นอยา่ งไร)

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

คะแนนเต็ม 10 คะแนน
ได้ ........... คะแนน

เล่มท่ี 1 1

การใช้ความรู้ทางเคมใี นการแก้ปัญหา

เวลา 15 ชวั่ โมง

ขัน้ ท่ี 1 การหาความรู้ ปฏบิ ตั กิ าร ฝึกอ่าน : ฝกึ คดิ
Operation

ความร้เู กีย่ วกับเนอื้ หาวชิ าเคมี สามารถนำมาประยกุ ต์ใชใ้ นการแกป้ ญั หาจากสถานการณท์ ี่เกิด
ขึ้น ในชีวิตประจำวันการประกอบอาชีพ หรืออุตสาหกรรมได้ เช่น การใช้ความรู้วิชาเคมีในโครงการฝน
หลวงซ่งึ กอ่ กำเนิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธเิ บศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ที่ทรงห่วงใยต่อความเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้ง ซึ่งมีสาเหตุมา
จากความผันแปรและความคลาดเคลอื่ นของธรรมชาติ เช่น ฤดูฝนเริ่มตน้ ล่าช้าเกินไปหรือหมดเร็วกว่าปกติ
ฝนทิ้งช่วงระยะยาวในระหวา่ งฤดฝู นซงึ่ สภาวะแห้งแล้งดังกล่าวมีแนวโน้มวา่ จะรนุ แรงข้ึนนอกจากนี้การตัด
ไมท้ ำลายปา่ ยังเป็นสาเหตใุ ห้สภาพแวดลอ้ มของธรรมชาติเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเรว็ ทำให้สภาพอากาศจาก
พ้ืนดินถึงระดับฐานเมฆไม่เอื้ออำนวยต่อการรวมตัวของเมฆและยากตอ่ การเหนีย่ วนำให้ฝนตกลงสู่พื้นดินทำ
ให้ฝนไม่ตกหรือตกแต่มีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าปกติ แต่ทรงเชื่อมั่นว่า “การดัดแปรอากาศเพื่อให้เกิดฝน”
น่าจะเป็นมาตรการหนึ่งที่จะป้องกันและแก้ปัญหาได้และทรงพระราชทานตำราฝนหลวงเพื่อเป็นแนว
ปฏิบตั ิในการแก้ปญั หาดังกลา่ ว

ตรวจสอบความรกู้ อ่ นเรยี น 1

1. ใสเ่ คร่อื งหมาย  หน้าข้อความท่ถี ูกต้อง และใสเ่ ครื่องหมาย  หน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง
….… 1.1 วิธกี ารทางวิทยาศาสตรม์ กี ารใช้การทดลองเพ่ือตรวจสอบสมมตฐิ าน
….… 1.2 ผลการทดลองจะต้องสอดคลอ้ งกับสมมติฐาน
….… 1.3 การเขียนสมมติฐานควรระบุตวั แปรตน้ และตวั แปรตามให้ชดั เจน
….… 1.4 นิยามเชิงปฏิบัติการช่วยในการกำหนดวิธแี ละขอบเขตของการทดลอง
….… 1.5 การเปลี่ยนแปลงค่าของตวั แปรท่ตี ้องควบคุมให้คงทไี่ ม่มผี ลตอ่ คา่ ของตวั แปรตาม

2. พิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้

เม่อื ผสมสารละลาย A กบั สารละลาย B จะมีฟองแกส๊ เกิดขึ้น ในการศกึ ษาอตั ราการเกดิ แกส๊
ของปฏิกริ ยิ าดังกลา่ ว นกั เรยี นคนหน่ึงได้ทำการทดลองดังนี้

1. ใส่สารละลาย A 0.5 mol/L ปริมาตร 5 mL ลงในหลอดทดลองที่ 1 และสารละลาย B 0.5
mol/L ปริมาตร 5 mL ลงในหลอดทดลองท่ี 2

2. เทสารละลายในหลอดทดลองท่ี 1 ลงในหลอดทดลองที่ 2 ทีอ่ ุณหภมู ิห้องและวัดอัตราการเกิด
เคชำงิ ตปอฏบ34ิบ..ัตติกัง้แททปาสกรำำรมซซะ๊สขมม้ำ้ำอตขขางฐิณ้้ออตาวั 13น2แ–ปแร2นตะราแบต่แทตาชุตี ม่กห่ัวอ่แลโนปดอผรยดตสกท้นมรดอใลตหกอวั้นขงแ้อำทปหม้ังรลูลสตอใอานดงมกหทรลแดออลลบดะอทตใงนก่ีทัวนแำงั้ หปสำ้ เอนรยทงดน็ หีต่ใทหล้อ่ีออ้งุณดควแหบชภ่ใคูมนุมิ น1ใหำ้0ร้คoอ้Cงนทแท่ี ทพี่อนรณุ ้อนหม้ำภรกมู ้อำิ นห7น0oดCนยิ าม

2

สมมติฐาน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตัวแปร
ตัวแปรตน้
………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………
ตวั แปรตาม
…………………………………………….………………………………………………………………………………………………………
ตวั แปรที่ตอ้ งควบคุมให้คงท่ี
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
นยิ ามเชงิ ปฏิบัติการของตัวแปรตาม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

นกั เรยี นจะเหน็ ไดว้ า่ ส่ิงตา่ ง ๆ ท่อี ยู่รอบตวั เชน่
อาหาร ยานพาหนะ ยา อุปกรณไ์ ฟฟา้ การคดิ ค้น
ประดิษฐ์ หรือปรบั ปรุงส่งิ ตา่ ง ๆ เหลา่ นัน้ เกีย่ วขอ้ ง

กับการใช้ความรู้ในวิชาเคมที ัง้ สิน้

ร่วม กนั คดิ 1

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนิน
เยี่ยมราษฎรในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร 15 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี พ.ศ.2498 ท่านได้
ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎร และเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เมื่อเสด็จพระราช
ดำเนินกลับถึงกรุงเทพมหานคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกร เข้า
เฝ้าฯ แล้วพระราชทานแนวความคิดนั้นแก่ หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ในพ.ศ. 2542 ยังโปรดเกล้าฯ
ให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและเทคนิคควบคู่กันไปด้วย ซึ่งทรงสามารถพัฒนากรรมวิธีการทำฝนหลวงให้
ก้าวหน้าขึ้น คือ เป็นการปฏิบตั ิการฝนหลวงโดยการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนโดยเทคโนโลยฝี นหลวง
จากทงั้ เมฆอนุ่ และเมฆเย็นพร้อมกัน เรียกนวตั กรรมใหมล่ ่าสุดวา่ SUPER SANDWICH TECHNIC

ฝนหลวง ฝนเทยี ม คือ
อะไร?

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3

หลักการทำฝนเทียม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริข้ันตอนการทำฝน โดยทรงสงั เกต วิเคราะห์ข้อมูล
ในข้ันตน้ วา่ บางคร้ังถงึ แม้จะมีเมฆมาก แต่ไมส่ ามารถรวมตัวกนั จนเกิดฝนได้ พระองคท์ รงศึกษาค้นคว้าโดย
เน้นความจำเป็นในด้านพัฒนาการ และปรับปรุงกรรมวิธีในการทำฝนในแนวทางของการออกแบบ
ปฏิบัติการ ทรงใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการใช้ประโยชน์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษา
รปู แบบเมฆและการปฏิบตั ิการทำฝนให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ท่ีต้องการ พระองคท์ รงวิเคราะห์การทำฝนหลวง
วา่ มี 3 ข้นั ตอนคือ

ขั้นตอนที่ 1 ก่อกวนให้เกิดเมฆ เป็นการกระตุ้นให้ความชื้นหรือไอน้ำรวมตัวเป็นกลุ่มแกนเพื่อใช้
เป็นการกลางในการสร้างกลุ่มเมฆฝนในระยะตอ่ มาวิธกี ารคอื โปรยสารเคมีท่ีก่อให้เกิดกระบวนการกล่ันตัว
ของไอน้ำในอากาศได้แก่ เกลือแกง ที่ความสูงประมาณ 7,000 ฟุตความชื้นหรือไอน้ำจะดูดซับเข้าไปเกาะ
รอบแกนเกลือ แลว้ รวมตัวกันเกดิ เป็นเมฆท่ีจะพฒั นาเจริญข้ึนเป็นเมฆก้อนใหญท่ ี่อาจสงู ถึง 1,000 ฟุต

ข้นั ตอนที่ 2 เลี้ยงเมฆใหอ้ ้วน เปน็ การเพิ่มแกนเม็ดไอนำ้ ให้กลุ่มเมฆฝนมีความหนาแน่นมากขึ้นใช้
สารเคมผี งแคลเซียมคลอไรด์โดยเข้าไปที่กลุม่ เมฆที่มีความสูงประมาณ 8,000 หรือสงู กว่าฐานเมฆประมาณ
1,000 ข้ันตอนน้สี ามารถเร่งกิจกรรมการกล่ันตัวของไอนำ้ ไดเ้ ร็วกว่าทจี่ ะปล่อยให้เจรญิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ
เมฆใหญ่อาจจะกอ่ ยอดขึ้นถึงระดับ 15,000 ฟุต ซง่ึ ทางวทิ ยาศาสตร์ถอื ว่าเปน็ สว่ นของเมฆอ่นุ แตใ่ นบางคร้ัง
ยอดเมฆอาจจะสงู ถึง 20,000 ฟุต ซ่ึงถอื วา่ เปน็ ส่วนของเมฆเย็น (เร่ิมต้ังแต่ประมาณ 18,000 ฟตุ )

ขั้นตอนท่ี 3 โจมตี เปน็ การเรง่ หรือบังคับให้เกิดฝน ขณะทเี่ มฆเจริญเติบโตขึ้นจนเร่ิมแก่ตัวจัดจน
ฐานเมฆลดระดับต่ำลงประมาณ 1,000 ฟุต และเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายจึงปฏิบัติการ
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวพระราชทานขั้นตอนการโจมตีไวด้ ังนี้

1) แบบ Sandwich เปน็ เทคนคิ ปฏิบตั กิ ารทค่ี วามสูงไม่เกนิ 1,000 ฟตุ (เมฆอุ่น) ใช้ผงโซเดยี ม
คลอไรด์โปรยทับยอดเมฆด้านเหนือลม เพราะผงยูเรียโปรยที่ระดับฐานเมฆใต้ลมในเวลาเดียวกัน โดยให้
แนวโปรยทง้ั สองทำมุมเยื้องกนั 45 องศาดว้ ยปฏิบตั ิการนีเ้ มฆจะทวคี วามหนาแนน่ ของเม็ดน้ำขนาดใหญ่ขึ้น
และปริมาณมากขึ้นจนตกลงมารวมตวั กันท่ีฐานเมฆทำให้ใกลจ้ ะเกิดฝน วธิ กี ารน้จี ะต้องเสริมการโจมตีด้วย
การโปรยสารเคมสี ูตรเยน็ จดั คอื นำ้ แขง็ แห้งท่ใี ตฐ้ านเลข 1,000 ฟตุ เพ่อื เรง่ ให้กลุ่มฝนตกลงเรว็ ขึ้น

2) แบบเมฆเยน็ เปน็ กรณีท่ยี อดเมฆสงู มาจนถงึ ระดับเมฆเยน็ หรือประมาณ 20,000 ฟุต ดงั ที่
ได้กล่าวไว้แลว้ วิธีการคือ ใช้สารซิลเวอร์ไอโอไดด์ ยิงจากเครื่องบินทีร่ ะดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต
ทำให้ไอนำ้ ระเหยจากเม็ดน้ำเยน็ ย่ิงยวดมาเกาะตัวรวมกันของสารเคมีที่ยิง กลายเป็นผลกึ น้ำแข็งจนกระท่ัง
ตกลงมาและละลายเป็นเม็ดน้ำเมื่อเข้าสู่ระดับเมฆอุ่น ทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเข้ามาเกาะรวมตัว
เป็นเมด็ ใหญ่ขน้ึ ทะลุฐานเมฆเป็นฝนตกลงมาสพู่ ้ืนดิน

3) แบบ Super Sandwich เป็นเทคนคิ ใหม่ท่ที รงคิดคน้ ขน้ึ ในปี พ.ศ 2542 ดว้ ยน้ำพระราช
หฤทัยที่ทรงห่วงใยพสกนิกรและพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในช่วงสถานการณ์ภัยแล้งอย่างกว้างขวาง
สืบเนื่องยาวนานตัง้ แต่ปีพ.ศ 2540 จากปรากฏการณ์เอลนโี ญ ปฏิบัติการนีใ้ ช้วธิ กี ารแบบแซนวิชและแบบ
เมฆเย็นควบคู่กันในเวลาเดียว กัน จะทำให้ฝนตกหนักและต่อเนื่องยาวนานในปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งข้ึน
เนอื่ งจากเปน็ ประสานประสิทธภิ าพของการโจมตีเมฆอุ่นและเมฆเยน็ ในเวลาเดยี วกัน

อย่างไรก็ตาม ทุกขั้นตอนจะต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกใช้
ปริมาณสารเคมีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศภูมิประเทศ ทิศทางและความเร็วของลม
ตลอดจนกำหนดบรเิ วณหรือแนวพิกัดท่จี ะโปรยสารเคมี

ทม่ี า : อ้างองิ จาก The aerospace 2549 (ฝนหลวง) หน้า 23-25

4

รปู ท่ี 1 ข้ันตอนในการผลิตฝนหลวง (ท่ีมา:
https://www.facebook.com/math.ipst/posts/1663282907296862/)

ร่วม กนั คดิ 2

การทำฝนหลวงใชค้ วามรู้วชิ าเคมีเร่อื งใดบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

การใชค้ วามร้ทู างเคมใี นการแก้ปัญหา

นักวิทยาศาสตร์นิยมใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ในการแสวงหาคำตอบ
ของปรากฏการณ์ต่างๆในธรรมชาติ รวมทั้งยังใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการหาความรู้ที่เป็นพื้นฐานใน
การพัฒนาเทคโนโลยีหรือการแก้ปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีขั้นตอนและ

5

กระบวนการทำงานที่เป็นระบบซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ คือ การสังเกตและการตั้งคำถาม การ
ต้ังสมมตฐิ าน การตรวจสอบสมมตฐิ าน การรวบรวมขอ้ มลู และวเิ คราะห์ผล และ การสรุปผล

1. การสงั เกตและการต้ังคำถาม (Observation and question)
• การสังเกต (Observation) เปน็ จดุ เร่ิมต้นของการต้ังคำถาม
• การสงั เกต ทล่ี ะเอียดรอบคอบนำไปสู่คำถามทชี่ ัดเจน

2. การตงั้ สมมติฐาน (Formulation of Hypothesis)
• คาดคะเนคำตอบของคำถามโดยใช้ความรู้หรือข้อมูล
• ระบคุ วามสัมพันธ์ของตวั แปรตน้ และตัวแปรตาม
• นำไปสู่การออกแบบวธิ ีการตรวจสอบสมมติฐาน

3. การตรวจสอบสมมติฐาน (Testing The Hypothesis)
• พสิ จู นส์ มมติฐาน
• นยิ มใช้การทดลองภายใตภ้ าวะควบคุมไดข้ ้อมลู หรอื หลักฐานเชิงประจกั ษ์

4. รวบรวมข้อมลู และวเิ คราะห์ผล (Data Collection And Analysis)
• รวบรวมขอ้ มูลจากการทดลองมาจัดทำให้อยูใ่ นรปู แบบทเี่ หมาะสม
• วเิ คราะห์และอภปิ รายผลการทดลอง

5. สรปุ ผล (Conclusion)
• สรุปความร้หู รือขอ้ เท็จจรงิ ว่าเปน็ ไปตามสมมตฐิ านหรือไม่
• ตั้งสมมตฐิ านใหม่หากบทขดั แยง้ กบั สมมติฐาน
• ใหข้ ้อเสนอแนะเพม่ิ เติม

การระบุปัญหาหรือกำหนดโจทย์วิจัยของนักวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยข้อมูลจากการสังเกต
นกั วิทยาศาสตร์หรือนกั วจิ ยั ใชข้ ้อมลู ท่ีไดจ้ ากการสงั เกตในการต้ังคำถามหรือโจทย์วจิ ัยทเี่ กย่ี วข้องกับปัญหา
การตัง้ คำถามจะทำไดช้ ดั เจนย่ิงขนึ้ เมื่อมีข้อมูลมากข้นึ เชน่ เม่อื พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหา
ภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสงั เกตเห็นว่าในพืน้ ทีแ่ ห้งแลง้ ทฝ่ี นไม่ตกท้ังท่มี ีเมฆกระจายอยู่
บนท้องฟ้า แต่เมฆเหล่านไ้ี ม่รวมตัวกนั ให้ใหญพ่ อจนเปน็ เมฆฝนได้ จึงอาจนำมาส่คู ำถามท่ีวา่ “ทำอยา่ งไรให้
เมฆรวมตัวกันแล้วเกิดเป็นฝนได้” จากคำถามข้างต้นจะเห็นวา่ มีตัวแปรต้นหลายตัวแปรที่เกีย่ วข้องกบั การ
รวมตัวของเมฆท่ที ำใหเ้ กิดฝนได้ ซ่งึ จำเป็นตอ้ งมคี ำถามและสมมติฐานย่อยเพ่ือนำไปสกู่ ารกำหนดตัวแปรใน
การทดลอง ดังตวั อย่างในตารางที่ 1
ตารางท่ี 1 ตัวอย่างคำถามและสมมติฐานจากกรณีการทำฝนหลวง

คำถาม สมมติฐาน

1. ระดับความชื้นในอากาศมีผลต่อการรวมตัวของ ระดับความชื้นในอากาศมีผลต่อการรวมตัวกัน

เมฆหรือไมอ่ ย่างไร ของเมฆ

2. สารชนิดใดทชี่ ่วยให้เมฆมารวมตัวกนั ได้ สารที่มีสมบัติดูดความชื้นเช่น โซเดียมคลอไรด์มี

ผลทำให้เมฆรวมตัวกัน

3. ปริมาณของโซเดียมคลอไรด์ที่เหมาะสมต่อการ โซเดียมคลอไรด์ปริมาณมากขึ้นทำให้เมฆรวมตัว

รวมตวั ของเมฆเปน็ เทา่ ใด กันได้ดีขึ้น

4. ระดบั ความสูงที่เหมาะสมในการโปรยโซเดยี มคลอ การโปรยโซเดียมคลอไรด์ท่รี ะดบั ความสูงบริเวณ

ไรดค์ วรเปน็ เทา่ ใด ฐานเมฆจะทำให้เมฆรวมตวั กันไดด้ ี

5. ความเร็วลมมีผลต่อการรวมตัวกันของเมฆหรือไม่ ความเรว็ ลมมผี ลต่อการรวมตวั ของเมฆ
อย่างไร

6

ตัวอย่างคำถามในตาราง 1 เป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรต้นซึ่งมีผลต่อตัวแปรตามร่วมกันคือ
การรวมตัวของเมฆที่เกิดเป็นฝนได้ และคำถามเหล่านี้ช่วยกำหนดขอบเขตของการทดลองที่จะใช้ ตอบ
คำถามหรือพสิ จู น์สมมตฐิ านไดช้ ัดเจนขน้ึ

ตรวจสอบความเข้าใจ

สถานการณ์ ปาท่องโก๋ ที่ขายในร้านหน้าปากซอยมีความกรอบมากแต่มีกลิ่นฉุนของแอมโมเนีย
ขนาดรับประทานเมื่อสอบถามกบั ทางร้านถึงส่วนประกอบและวธิ ที ำปาท่องโกเ๋ จา้ ของร้านไดใ้ ห้ขอ้ มลู ดงั น้ี
วธิ ที ำ

วัตถดุ บิ ปริมาณ วัตถดุ บิ ปริมาณ
แป้งสาลี 1000 กรัม ผงฟู 4 กรมั
เกลอื 20 กรมั นำ้ 800 ml
เบกกงิ้ โซดา น้ำมนั ถ่วั เหลอื ง 50 กรมั
นำ้ ตาลทราย 1 กรมั ยีสตแ์ ห้ง 0.8 กรมั
แอมโมเนียมไบคารบ์ อเนต 8 กรัม
30 กรัม

1. รอ่ นแปง้ สาลปี ริมาณ 1 กโิ ลกรัมแล้วพกั ไว้
2. ชั่งผงฟู 4 กรัม ยีสตแ์ หง้ 0.8 กรมั เกลือ 20 กรัมน้ำตาลทราย 80 กรัม เบกก้งิ โซดา 1 กรัม และ

แอมโมเนยี มไบคารบ์ อเนต 30 กรมั เทส่วนผสมทั้งหมดลงในน้ำ 800 ml คนจนสารละลายหมด
3. ชง่ั น้ำมนั ถั่วเหลือง 50 กรมั เตมิ ลงในสว่ นผสมในขอ้ 2 คนใหน้ ำ้ มนั กระจายตัวจากนั้นเติมลงบน

แปง้ ท่รี อ่ นเตรียมไว้ผสมให้เป็นเน้ือเดยี วกัน
4. หมักส่วนผสมไวอ้ ยา่ งนอ้ ย 4 ชั่วโมง ในภาชนะทปี่ ิดมดิ ชดิ
5. นำสว่ นผสมในขอ้ 4 เทลงบนถาดท่โี รยแป้งสาลีไวแ้ ล้ว จากนน้ั ใชล้ กู กลิง้ กลง้ิ บนแป้งจนได้แผน่

แป้งมีความหนาประมาณ 0.5 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร แล้วตัดแปง้ เปน็ ชิ้นๆ ขนาดประมาณ 1 น้วิ × 2
นิ้วจากนั้นใชน้ ำ้ แตะตรงกง่ึ กลางของช้นิ แป้งแลว้ นำแป้ง 2 ช้ินมาประกบกัน
6. ทอดแป้งในกระทะโดยใชน้ ้ำมันถ่วั เหลืองที่อุณหภูมปิ ระมาณ 190-200 องศาเซลเซียส เปน็ เวลา 2
นาที แล้วนำขึ้นมาสะเดด็ นำ้ มันในตะแกรง

จากสถานการณ์ ดังกลา่ วสามารถระบปุ ัญหาและออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาโดยใช้วธิ กี าร
ทางวทิ ยาศาสตร์และความรู้ทางเคมีไดด้ งั น้ี

ปญั หา : ปาทอ่ งโก๋มกี ล่ินฉนุ ของแอมโมเนีย
คำถาม : ………………………………………………………………………………………………………………………….…
การสืบค้นขอ้ มูลและการตง้ั สมมติฐาน

จากข้อมูลส่วนประกอบของปาท่องโก๋นักเรียนอาจใช้ความรู้ทางเคมีคาดการณ์ได้ว่ากลิ่น
แอมโมเนีย (NH3) ในปาท่องโก๋ น่าจะมาจากแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต (NH4HCO3) เมื่อถูกค้นข้อมูล
เพิ่มเติมพบว่า แอมโมเนียมไบคาร์บอเนต เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดการสลายตัวให้แก๊สแอมโมเนียซ่ึง
นอกจากแก๊สแอมโมเนียแล้วยังเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำอีกด้วยด้วยแก๊สที่เกิดขึ้นน่าจะเป็น
ส่วนที่ช่วยให้ปาท่องโก๋กรอบ เช่น เดียวกับยีสต์เบกกิ้งโซดาหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) ผงฟู

7

(ของส่วนผสมของโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตและกรด ตัวอย่าง กรดเช่นโพแทสเซียมไบทาร์เทรต
(KC4H5O6))
ข้อมูลทีไ่ ดจ้ ากการสบื คน้
ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ปฏิกริ ิยาเคมี:
การสลายตวั ของแอมโมเนยี มไบคารบ์ อเนตเมื่อได้รับความร้อน

NH4HCO3(s) →∆ NH3(g) + H2O(g) + CO2(g)

การสลายตวั ของโซเดียมไบคารบ์ อเนตเม่ือได้รบั ความร้อน

2NaHCO3(s) → Na2CO3(s) + CO2(g) + H2O(g)

การหมักแป้งด้วยยีสต์
แปง้ →ยสี ต์ C6H12O6(s) →ยีสต์ 2C2H5OH (l) + 2CO2(g)

ปฏกิ ริ ยิ าของกรด-เบสในผงฟู

NaHCO3(aq) + KC4H5O6 (aq) → KNaC4H4O6(aq)+ CO2(g) + H2O(g)

ข้อมูลเกี่ยวกับความกรอบ: ขณะทอดปาท่องโก๋จะมีแก๊สเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อได้รับความร้อนจะขยายตัวและ
หลดุ ออกจากเนอ้ื แปง้ พรอ้ มกบั พาความช้ืนท่ีอยูใ่ นเน้ือแป้งออกไป ด้วยทำใหแ้ ปง้ มผี ิวที่แขง็ และกรอบข้นึ

จากปฏิกิริยาเคมีที่สืบค้นได้จะเห็นว่า มีเพียงแอมโมเนียมไคาร์บอเนตท่ีให้แก๊สแอมโมเนียซึ่งเป็น
สาเหตุของกล่นิ ฉนุ อย่างไรก็ตาม แอมโมเนียมไบคารบ์ อเนตใหท้ ้งั แก๊สคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละแกส๊ แอม
โมเนียท่ีช่วยทำใหป้ าท่องโก๋กรอบไดม้ ากกวา่ ส่วนผสมอืน่ ทีใ่ หเ้ พยี งแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

จากข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปสู่การตั้งคำถามและสมมติฐานย่อยที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการ
ออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจนส์ มมตฐิ านได้ดังตวั อย่าง

คำถาม สมมติฐาน

1. ปริมาณแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตเท่าใด แอมโมเนียมไบคาร์บอเนตทำใหป้ าท่องโก๋ไม่มีกลิ่นได้

ปาท่องโกจ๋ งึ จะไม่ มกี ลน่ิ และยังคงความกรอบ ยงั คงความกรอบ

2. ถ้าใชโ้ ซเดยี มไบคารบ์ อเนตแอมโมเนียมไบคาร์ ……………………………………………………………….............

บอเนตตอ้ งใช้ปริมาณเทา่ ใด ………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………….

การตรวจสอบสมมตฐิ าน

การออกแบบวิธกี ารทดลองเพ่ือตรวจสอบสมมติฐานของแต่ละคำถามสามารถทำไดด้ ังนี้

คำถาม 1)

ตง้ั คำถาม

• ปริมาณแอมโมเนยี มไบคารบ์ อเนตเทา่ ใดปาท่องโก๋จงึ จะไม่มกี ล่นิ และยงั คงความกรอบ

ตัง้ สมมติฐาน

• การลดปรมิ าณแอมโมเนยี มไบคาร์บอเนตทำให้ปาทอ่ งโก๋ไม่มีกล่นิ และยังคงความกรอบ

กำหนดตวั แปร

• ตวั แปรต้น ปรมิ าณแอมโมเนยี มไบคาร์บอเนต

• ตัวแปรตาม กลิ่น และความกรอบของปาทอ่ งโก๋

8

• ตัวแปรทีต่ ้องควบคุมใหค้ งท่ี ปรมิ าณของสว่ นประกอบอื่นๆ
วิธผี สมส่วนประกอบ
ชนิดของน้ำมนั ท่ีใช้ทอด
อณุ หภูมิและระยะเวลาทีใ่ ชใ้ นการทอด
ผู้ทดสอบกล่ินและความกรอบของปาท่องโก๋

ตรวจสอบสมมติฐาน
1. ทำปาท่องโกต๋ ามสูตรของร้านคา้ จากสถานการณ์ที่กำหนดให้ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ตัวเปรียบเทยี บ
2. ทำปาท่องโก๋ตามสูตรของรา้ นค้าจากสถานการณ์ท่กี ำหนดให้ แตล่ ดปรมิ าณของ NH4HCO3 เป็น
ครึง่ หนึ่งและหน่ึงในส่ี
3. เปรยี บเทียบกลน่ิ และความกรอบของปาท่องโก๋ทไ่ี ด้ในข้อ 2 กบั ปาท่องโก๋ในขอ้ 1

คำถาม 2)
ต้งั คำถาม

• ถ้าใชโ้ ซเดียมไบคาร์บอเนตแทนแอมโมเนียมไบคารบ์ อเนตต้องใช้ปรมิ าณเทา่ ใด

ตัง้ สมมตฐิ าน
• …………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………

กำหนดตวั แปร
• ตวั แปรต้น ………………………………………………………………………………………………………………..
• ตวั แปรตาม ……………………………………………………………………………………………………………….
• ตวั แปรที่ตอ้ งควบคุมใหค้ งที่ ………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………….…..
………………………………………………………………………………….…..

ตรวจสอบสมมติฐาน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………

กิจกรรม สืบเสาะ คน้ หา

หากตอ้ งการทราบวา่ อุณหภูมิของนำ้ มันและระยะเวลาทใี่ ช้ในการทอดมีผลตอ่ กลิน่ และความกรอบ
ของปาท่องโก๋หรือไม่ สามารถต้งั คำถามยอ่ ย สมมตฐิ าน ระบตุ วั แปรทีเ่ กีย่ วข้องและออกแบบการทดลอง
เพื่อตรวจสอบสมมตฐิ าน ได้อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

9

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

10

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

11

ตรวจสอบความรู้ นาสปู่ ัญญา

ขน้ั ที่ 2 สรา้ งความรู้ ปฏิบัติการ ฝึ กทา : ฝึ กสรา้ ง
Combination

เรอ่ื ง การแกป้ ญั หาด้วยวธิ ีการทางวิทยาศาสตรโ์ ดยใชค้ วามร้ทู างเคมี
จดุ ประสงคข์ องกิจกรรม

1. ระบุปัญหาจากสถานการณ์ท่กี ำหนดให้
2. ต้ังคำถาม สมมตฐิ าน และระบุตัวแปรจากสถานการณ์ที่กำหนดใหโ้ ดยใชค้ วามรทู้ างเคมี
3. ออกแบบวธิ กี ารตรวจสอบสมมตฐิ าน
4. นำเสนอแนวทางการแกป้ ัญหา
วธิ ีทำกิจกรรม
1. พิจารณาสถานการณป์ ัญหาท่ีกำหนดใหต้ อ่ ไปนี้
ช่องโหว่โอโซน ชั้นโอโซนในบรรยากาศช่วยดูดซับรังสี UVB ไม่ให้ผ่านลงมาสู่พ้ืนผิวโลกแต่ผลจาก
การใชส้ ารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ทำให้ชัน้ โอโซนในบรรยากาศเบาบางลงจนบาง บริเวณเกดิ เป็นช่องโหว่
โอโซน เช่น ขัว้ โลกใต้
การลดลงของช้ันโอโซนในบรรยากาศส่งผลให้รังสี UVB ผา่ นลงมาสู่พ้ืนผิวโลกมากขน้ึ ซ่ึงรังสี UVB
เป็นสาเหตุ ท่ีทำใหเ้ กิดโรคมะเรง็ ผิวหนัง ดงั น้ันการป้องกนั ตนเองจากรงั สดี ังกลา่ วจึงช่วยลดปัจจัยเส่ียงที่ทำ
ให้เกดิ โรคมะเร็งผวิ หนงั ได้
สาร CFCs (Chlorofluorocarbons) ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมทำโฟมใช้เป็นสารผลักดันใน
กระป๋องสเปรย์ใช้เป็นสารทำความเย็นดังนั้นจึงได้มีข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อควบคุมการใช้สาร CFCs
ซึ่งเรียกว่า พิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2530 ส่งผล ให้เกิด ปัญหาช่อง
โหว่โอโซนลดลง อย่างไรก็ตามการทำให้ปริมาณของโอโซนในชั้นบรรยากาศกลับมาเหมือนเดิมต้องใช้ระยะ
เวลานาน ซงึ่ นกั วทิ ยาศาสตรท์ ่เี ก่ยี วข้องยงั คงเฝ้าตดิ ตามสถานการณ์อยูต่ ลอดเวลา
สถานการณ์ 1
นักเรียนเป็นพนักงานในโรงงานทำโฟมฉนวนความร้อนแห่งหนึ่งท่ีได้รับมอบหมายให้ปรับปรุงการ
ผลติ โฟม ฉนวนความร้อนโดยใช้แกส๊ ชนิดอืน่ แทน CFCs
สถานการณ์ 2
นักเรียนเป็นนักเคมีในบริษัทผลิตเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ผลิตครีมกันแดดที่
สามารถป้องกันรังสี UVB ได้
2. เลอื กสถานการณท์ สี่ นใจและระบุปญั หาและตัง้ คำถามโดยใชค้ วามรู้ทางเคมี
3. สบื ค้นขอ้ มลู ท่ีเกย่ี วข้องแล้วต้ังสมมติฐานและกำหนดตัวแปร
4. ออกแบบวิธกี ารตรวจสอบสมมติฐาน
5. นำเสนอแนวทางการแกป้ ัญหา

ผลการทำกจิ กรรม
สถานการณ์ 1

นกั เรยี นเปน็ พนักงานในโรงงานทำโฟมฉนวนความร้อนแห่งหนึ่งท่ีไดร้ บั มอบหมายใหป้ รับปรุงการ
ผลิตโฟม ฉนวนความรอ้ นโดยใชแ้ กส๊ ชนดิ อ่นื แทน CFCs

12

คำสำคญั สำหรับสบื ค้นขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ เชน่
- การเกิดปฏิกริ ิยาของโอโซนกบั CFC
- สารทำโฟม (foam blowing agents)
- สารทดแทน CFC (CFC replacement)
- การทดสอบสมบตั ิของโฟมฉนวนความรอ้ น (thermal conductivity properties tests)

ปญั หา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………

คำถาม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………

การสบื คน้ ขอ้ มูล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………

13

…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามย่อย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตวั แปร
ตัวแปรต้น
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
ตัวแปรตาม
…………………………………………..……………………………………………………………………………………………
ตัวแปรท่ีตอ้ งควบคุมใหค้ งท่ี
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
ตรวจสอบสมมติฐาน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………

สถานการณ์ 2
นักเรียนเป็นนักเคมีในบริษัทผลิตเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ผลิตครีมกันแดดท่ี

สามารถป้องกนั รงั สี UVB ได้
คำสำคัญ สำหรับสบื คน้ ข้อมูลเพ่มิ เตมิ เช่น

14

- ส่วนผสมในครีมกนั แดด (sunblock or sunscreeningredients)
- สารป้องกันรังสี UVB (UVB protection)
- ประสิทธภิ าพการป้องกันรงั สี UVB
ปญั หา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
คำถาม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
การสืบคน้ ขอ้ มูล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
คำถามยอ่ ย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………

15

…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
ตัวแปร
ตวั แปรต้น
……………………………………..…………………………………………………………………………………………………
ตวั แปรตาม
…………………………………………..……………………………………………………………………………………………
ตวั แปรท่ตี อ้ งควบคมุ ใหค้ งที่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตรวจสอบสมมติฐาน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………

16

นกั วิทยฯ์ คิดอยา่ งมีวิจารณญาณ

ขนั้ ท่ี 3 ซึมซบั ปฏิบตั ิการ คิดดี ผลงานดี มคี วามสขุ
ความรAู้ ssimlation

คำชแี้ จง ใหน้ ักเรียนแต่ละกลุ่ม อ่านข่าวที่กำหนดให้และเติมขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกต้องและสมบูรณ์

แนะวิธีปฏบิ ตั ติ ัวเมื่อ "แอมโมเนยี " ร่ัวไหล ศกึ ษาไวเ้ พือ่ ความปลอดภยั

: ที่มา ขา่ วไทยรัฐออนไลน์ 10 ต.ค. 2563 14:25 น.

กรมการแพทย์ เตือนสาร "แอมโมเนีย" ที่พบเห็นทั่วไปในชีวิตประจำวันตามร้านสะดวกซื้อ ร้าน
ขายของชำ หากเกิดการรว่ั ไหลอาจเกดิ อันตรายได้ แนะวิธีปฏบิ ัติตัว เพอื่ ความปลอดภัยของตนเองและคน
รอบข้าง

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า "แอมโมเนีย" เป็นสารเคมีที่เป็น
อันตรายสูงต่อสุขภาพ เนื่องจากเป็นสารกัดกร่อนผิวหนัง ดวงตา ปอด และระบบการหายใจ ซึ่งแก๊สมี
คุณสมบัติละลายน้ำได้ดี เข้าสัมผัสหรือเข้าสู่ร่างกาย จะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะระบบทางเดิน
หายใจส่วนบนได้รับอันตราย ซึ่งในกรณีที่ได้รับปริมาณน้อย จะมีอาการไอ หลอดลมตีบ แต่หากได้รับสาร
ในปริมาณมากหรอื เปน็ ระยะเวลานาน จะมีอาการทางเดนิ หายใจสว่ นบนบวม ไหม้ หรอื อุดกนั้ จนเกิดเสียง
ผดิ ปกติขณะหายใจเข้าได้ ซงึ่ ในบางกรณีอาจมีความรนุ แรงถงึ ขั้นทำลายปอด

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายมักพบอาการอื่นๆ ร่วม ได้แก่ กล่องเสียงอักเสบ, หลอดลมอักเสบ,
หายใจดังวีด้ , หอบเหน่ือย, เจ็บหนา้ อก, น้ำทว่ มปอด, ปอดอกั เสบ, ขาดออกซเิ จน หากสัมผัสผิวหนัง จะทำ
ให้ระคายเคืองและไหม้ได้ หากสัมผัสตา จะทำให้เยื่อบุตาขาวอักเสบ น้ำตาไหล ระคายเคืองกระจกตา ตา
บอดชั่วคราวหรือถาวรได้ อาการระยะยาว ผู้ทีส่ มั ผัสแก๊สเปน็ ระยะเวลานาน อาจมอี าการไอเร้ือรัง เหนื่อย
การทำงานปอดผดิ ปกติ

หากเกิดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียในปริมาณน้อย เริ่มแรกให้แยกผู้คนออกห่างจากบริเวณท่ี
รั่วไหลเป็นระยะทาง 30 เมตร ในเวลากลางวัน และ 100 เมตรในเวลากลางคืน หรือหากมีการรั่วไหลใน
ปริมาณมาก ให้แยกผู้คนออกห่างจากบริเวณรั่วไหลเป็นระยะทาง 150 เมตร ในเวลากลางวัน และ 800
เมตร ในเวลากลางคนื

ทางดา้ น นายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผอู้ ำนวยการโรงพยาบาลนพรตั นราชธานี กล่าวเพิม่ เตมิ แนว
ทางการระงบั เหตุฉุกเฉินการรับสารแอมโมเนยี เขา้ สู่รา่ งกายทางการหายใจ การกนิ หรอื การซึมผ่านผิวหนัง
อาจทำให้เสียชีวิต ไอระเหยอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและการกัดกร่อนอย่างรุนแรง การสัมผัสอาจทำ
ให้เกิดแผลไหม้บาดเจ็บสาหัสหรือเนื้อตายจากความเย็นจัด หากสารลุกไหม้อาจทำให้เกิดก๊าซที่มีฤทธิ์
ระคายเคือง/เป็นพิษ

สำหรบั แนวทางปฏบิ ตั ิในการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัตเิ หตุก่อนถงึ โรงพยาบาล มีดังนี้ ให้เคล่ือนย้าย
ผปู้ ระสบเหตไุ ปยังที่อากาศบริสทุ ธิ์ ให้คนไข้นอนราบกบั พื้น หายใจช้าๆ เปดิ ตาเท่าทีจ่ ำเป็น ใช้ผา้ บางชุบนำ้
เปียกปิดปากและจมูกระหว่างขนย้ายออกจากพื้นที่ ให้ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนแอมโมเนียออกทันที แต่ในกรณี
เส้อื ผา้ ทเ่ี ยน็ แขง็ ติดผวิ หนัง ตอ้ งทำใหอ้ ่อนตวั กอ่ นถอดล้างรา่ งกายด้วยน้ำอุ่นสะอาดอย่างนอ้ ย 15 นาที

17

• กรณีที่แอมโมเนียสัมผัสตา ให้ล้างออกด้วยน้ำปริมาณมากๆ โดยเปิดน้ำไหลผ่านตา อย่างน้อย 15
นาที แล้วรีบไปพบแพทยโ์ ดยเรว็

• กรณีทแ่ี อมโมเนยี สัมผสั ผวิ หนังใหล้ า้ งออกดว้ ยนำ้ สบู่
• กรณีหายใจเอาแอมโมเนียเขา้ ไป ควรรีบเคลอ่ื นย้ายจากท่ีเกิดเหตุไปไว้ในที่อากาศถ่ายเท ถ้าผู้ประสบ

เหตุหายใจอ่อนให้ใช้ออกซิเจนช่วยหายใจ นาน 2 นาที แต่ไม่เกิน 15 นาที แต่หากหัวใจหยุดเต้นให้
ปั๊มหัวใจทนั ที
• กรณีกลืนกินแอมโมเนีย ให้บ้วนปากด้วยน้ำมากๆ และดื่มน้ำ 1 แก้ว และทำให้อาเจียนโดยใช้ยาขับ
เสมหะหรือวิธีการลว้ งคอ
อย่างไรก็ตาม ยกเว้นในรายที่หมดสติ ให้รีบนำสง่ แพทย์ทนั ที และหากอยู่ในสถานที่ที่มีความเส่ียงตอ่
การร่วั ไหลของแอมโมเนีย ใหเ้ ตรียมอปุ กรณ์และสถานที่ใหพ้ รอ้ มใชง้ านเสมอ

ประเภทของข่าว …………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….

.

พาดหวั ข่าว …………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….

.

เหตกุ ารณท์ ี่ …………………………………………………………………………………………
เกดิ ข้นึ ในขา่ ว ……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………

คะแนนที่ได้…………….คะแนน

18

แบบทดสอบหลังเรียน

หนว่ ยท่ี 2 เร่ืองการใชค้ วามรทู้ างเคมีในการแก้ปญั หา วชิ าเคมี
เวลา 15 นาที
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ 2

คาํ ชแ้ี จง แบบทดสอบฉบับนี้ตองการวัดความสามารถในการคิดแกปญหาทางวิทยาศาสตร์ ใหน้ ักเรยี น
เขยี นคำตอบลงในช่องวา่ ง

สถานการณท์ ่ี 1

บุญธรรมเป็นชาวไร่ก่อนปลูกพืชแต่ละครั้งเขาจะทำการไถที่ดินโดยใช้รถขนาดใหญ่ ซึ่งสะดวกและ
รวดเร็วเมื่อปลูกพืชแล้วเขาจะบำรุงดูแลรักษาพืชไร่โดยใช้รถไถและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเมื่อเข้าไปฉีดพ่น
สารฆ่าแมลงรดน้ำและพรวนดินนอกจากนี้ยังใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อผลผลิตทำให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก
และมคี ุณภาพดีเปน็ ท่ตี ้องการของตลาดต่อมาปรากฏว่าคุณภาพดินในที่น้ันเสอื่ มลงโดยดนิ มีลักษณะแข็ง
และแน่นทดลองไถพรวนให้ลึกกว่าเดิมแต่เมื่อ ปลูกพืชรดน้ำและใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ตามปกติแล้ว 1-2
เดือนต่อมาดินก็จะแข็งและแน่นเช่นเดิมเขาได้สังเกตพบว่าปัญหาเช่นนี้จะไม่เกิดกับชาวไร่ที่ใช้รถไถ
ขนาดเล็กและใชป้ ุย๋ อินทรยี ์ในการบำรุงดินเลย

1. ข้ันระบปุ ญหา (ปญหาในสถานการณคืออะไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ข้ันวิเคราะห์ปญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณนี้ได้วา่ อย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้นั กำหนดวิธกี าร (เพื่อการแกปญหาจากสถานการณดงั กลา่ วนักเรียนคิดวาจะแกปญหาในสถานการณน้ี
ไดอ้ ย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. ข้นั การตรวจสอบผลลัพธ์ (จากการท่นี ักเรียนได้เสนอวิธกี ารแกปญหาในสถานการณดังกล่าวนักเรยี นคิด
วา่ ผลทไี่ ดจ้ ะเปน็ อย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

19

สถานการณ 2

มาลัยปลกู บานอยูใกลกับโรงงานถลุงถานหิน ครอบครัวของมาลัยรบั จางทํางานในโรงงานนีเ้ ขาและคน
ในบานดื่มน้ำจากน้ำฝนที่รองใสแทงคเก็บน้ำเอาไวใชตลอดทั้งป อยูมาไมนานมาลัยและคนในบานก็มี
อาการออนเพลยี ปวดศรี ษะเปนไขบอย ๆ และในท่สี ุดตองไปนอนรกั ษาตัวที่โรงพยาบาลเลย

1. ข้นั ระบปุ ญหา (ปญหาในสถานการณคืออะไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ขัน้ วิเคราะหป์ ญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณน้ีได้ว่าอย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขัน้ กำหนดวิธีการ (เพื่อการแกปญหาจากสถานการณดงั กลา่ วนักเรยี นคดิ วาจะแกปญหาในสถานการณนี้
ได้อย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ข้ันการตรวจสอบผลลพั ธ์ (จากการทนี่ ักเรียนไดเ้ สนอวธิ ีการแกปญหาในสถานการณดังกลา่ วนกั เรยี นคิด
วา่ ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร)
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

คะแนนเต็ม 10 คะแนน
ได้ ........... คะแนน

20

บรรณานุกรม

กรมฝนหลวงและการบินเกษตร. (2560). ฝนหลวงศาสตร์พระราชา: การถอดบทเรียนการปฏบิ ตั กิ ารฝน
หลวง. สบื ค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2562, จาก http://royalrain.go.th/royalrain/uploads/
Academic/AAR_2560_0.pdf.

สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2563). ค่มู ือครู รายวิชาเพ่ิมเตมิ วทิ ยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี เคมี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 เลม่ 6.พิมพ์ครง้ั ที่ 1 ; กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์แห่ง
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2562). หนงั สอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี เคมี เล่ม 1. พมิ พ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.

ไทยรฐั ออนไลน์. (2563). แนะวธิ ปี ฏิบัติตัวเมอื่ "แอมโมเนีย" รัว่ ไหล ศึกษาไว้เพื่อความปลอดภัย.
สืบคน้ เมอ่ื 3 ธนั วาคม 2563, จาก https://www.thairath.co.th/news/local/1949650


Click to View FlipBook Version