วชิ าเคมี6 ว 30226
สอนโดย นางสาวอโนชา อุทุมสกลุ รตั น์
ครชู ำนาญการพิเศษ
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ปีการศกึ ษา 2564
สำหรบั นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นสวุ รรณารามวทิ ยาคม
ชือ่ -สกุล..................................................ชน้ั .........เลขที.่ .......
ก
คำนำ
ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หน่วยท่ี 1 เรอ่ื งการใช้ความรู้ทางเคมใี นการแก้ปญั หา ตามแนวคิดแบบ
โยนิโสมนสิการ จัดทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ความพึงพอใจทางการเรียนเคมี ส่งเสริม
ความสามารถทางการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ สำหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6/1-3 โรงเรียนสุวรรณา
รามวิทยาคม โดยในทุกกิจกรรมได้จัดลำดับขั้นตอนที่เน้นการเพิ่มพูนประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์
นกั เรยี นจะได้รบั การทดสอบก่อนเรียน และศกึ ษาเนื้อหาความรู้ท่ีส่งเสริมให้นกั เรียนศึกษาและสืบค้น โดยมีความรู้
เพิ่มเติมนอกเหนือจากในบทเรียน การตอบคำถาม การทำแบบฝึกหัด และทำกิจกรรมการทดลองตามขั้นตอน
ตลอดจนทำแบบทดสอบหลงั เรยี น เพอ่ื ประเมนิ ตนเองหลังจากการเรียนรู้ในแต่ละกิจกรรมการเรียนรู้
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีใน
การแก้ปัญหา ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการ จะทำให้ผู้เรียนมีความรูแ้ ละความสามารถในการสืบคน้
การจัดระบบส่ิงท่ีเรยี นรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ ได้เป็นอย่างดีสามารถ
นำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจใช้เป็น
แนวทาง ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้ต่อไป
นางสาวอโนชา อทุ ุมสกลุ รัตน์
สารบญั ข
เรอ่ื ง หนา้
คำนำ ก
สารบญั ข
ข้อแนะนำการเรียนรู้ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ ค
โครงสรา้ งชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ ง
แบบทดสอบก่อนเรียน 1
ขัน้ ท่ี 1 การหาความรู้ 3
3
- ปฏบิ ัติการ ฝึกอ่าน : ฝกึ คิด 13
ขัน้ ท่ี 2 สร้างความรู้ 13
19
- ปฏบิ ัติการ ฝกึ ทำ : ฝึกสรา้ ง 19
ข้ันท่ี 3 ซมึ ซบั ความรู้ 21
23
- ปฏบิ ตั ิการ คดิ ดี ผลงานดี มีความสขุ
แบบทดสอบหลงั เรียน
บรรณานุกรม
ค
ขอ้ แนะนำการเรียนรู้ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตร์วิทยาศาสตร์
สำหรับนกั เรียน
จุดประสงค์ของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มุ่งหวังให้นักเรียนเป็นผู้มีความสามารถทางการจัดการ
ความร้ทู างวิทยาศาสตร์ 3 ด้าน ไดแ้ ก่
1. ดา้ นความรู้ ความคดิ
2. ดา้ นทกั ษะการจัดการความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์
3. ด้านค่านยิ มต่อตนเองเพ่ือสังคม
ซ่ึงนกั เรียนจะไดเ้ สรมิ สร้างความสามารถดังกลา่ วดังน้ี 1.การหาความรู้ (Operation) จากกจิ กรรม
การสืบเสาะ ค้นหา กิจกรรมร่วมกันคิด และกิจกรรมร่วมกันค้น 2.การสร้างความรู้ (Combination) เป็น
ขั้นฝึกการวิเคราะห์ประกอบด้วยการฝึกคิดแบบสืบสาวปัจจัยเหตุและแบบแยกแยะส่วนปร ะกอบโดยใช้
ข้อความและสถานการณ์ เพื่อพัฒนาตนเอง 3. การซึมซับความรู้ (Assimilation) เป็นขั้นที่ให้นักเรียน
ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น หนังสือ อินเตอร์เน็ต ฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณ ฝึก
ทักษะการเขียนเพื่อนำเสนอแก้ไขปัญหาที่พบ ประกอบการตอบคำถามฝึกการวิเคราะห์จุดเด่น และจุด
ดอ้ ยของผลงาน ตรวจสอบและปรับปรุงเพ่อื สรา้ งชิ้นงานใหม่ต่อไปได้ และขอ้ เสนอแนะกับผอู้ ่านได้ โดยใน
ทุกกจิ กรรมไดจ้ ัดลำดับขนั้ ตอนที่เน้นการเพิ่มพนู ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ เพอื่ เป็นผู้มีความสามารถ
ทางการจดั การความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ดงั น้ี
1. อ่าน และทำความเข้าใจในทกุ ขั้นตอนของกิจกรรมการเรยี นรู้
2.รกั และสนใจตนเอง สร้างความรสู้ กึ ที่ดใี ห้กบั ตนเอง วา่ ตวั เราเป็นผู้มคี วามสามารถมีศักยภาพอยู่
ในตัว และพรอ้ มทจี่ ะเรยี นรู้ทกุ สิ่งทสี่ รา้ งสรรค์
3. รูส้ ึกอสิ ระและแสดงออกอย่างเตม็ ความสามารถ
4. ฟงั คิด ถาม เขยี น ปฏบิ ตั ิ อย่างรอบคอบในทกุ กจิ กรรม ใช้เน้ือที่กระดาษทจ่ี ดั ไวส้ ำหรับเขียนให้
เต็ม โดยไม่ปล่อยใหเ้ หลือเปล่า เพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สุดกับตนเอง
5. ใช้เวลาในการเรยี นรอู้ ย่างคมุ้ ค่า ใชท้ ุกๆ นาทที ำใหต้ นเองมคี วามสามารถเพม่ิ มากขน้ึ
6. ตระหนักตนเองอยเู่ สมอว่าจะเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ นำมาพฒั นาตนเองและพัฒนาสงั คม
จดุ เด่นของการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ คือ การสร้างคุณคา่ ท่ีดใี ห้กบั สงั คม
จึงขอเชญิ ชวนนักเรยี น มารว่ มกันเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ดว้ ยใจรกั และ พฒั นาตนใหเ้ ตม็ ขีดความสามารถ
ขอส่งความปรารถนาดใี ห้แกน่ ักเรยี นทุกคนได้เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรอ์ ย่างมีความสุขพึง่ ตนเองได้ และ
เปน็ ผมู้ ีความสามารถทางการจัดการความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์เพื่อสังคม ยงิ่ ๆ ขนึ้ สืบไป
ง
โครงสร้างชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์
หน่วยที่ 1 เรื่องการใช้ความรทู้ างเคมีในการแก้ปญั หา
สาระสำคญั
ความร้เู กีย่ วกบั เนือ้ หาวิชาเคมี สามารถนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในการแกป้ ญั หาจากสถานการณ์ที่เกดิ ขึน้
ในชวี ติ ประจำวนั การประกอบอาชีพหรอื อตุ สาหกรรม โดยใชค้ วามรทู้ างเคมีและวธิ กี ารทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. ระบุปญั หาทเี่ กยี่ วข้องกับความรทู้ างเคมีจากสถานการณท์ ีก่ ำหนด
2. ออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาโดยใช้ความร้ทู างเคมีและวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์
การจัดกระบวนการเรียนรู้ใชร้ ูปแบบการจัดการความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ มี 3 ขน้ั คอื
1. การหาความรู้ (Operation)
2. การสรา้ งความรู้ (Combination)
3. การซมึ ซับความรู้ (Assimilation)
เวลาที่ใช้ 15 ชัว่ โมง
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
นกั เรยี นประเมนิ ผลตนเองโดยใช้แบบประเมนิ ผลตนเองกอ่ นเรียน-หลงั เรยี น
แบบทดสอบก่อนเรยี น
หนว่ ยที่ 1 เรือ่ งการใช้ความรทู้ างเคมีในการแก้ปญั หา วชิ าเคมี
เวลา 15 นาที
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นที่ 2
คําชแี้ จง แบบทดสอบฉบับนีต้ องการวัดความสามารถในการคิดแกปญหาทางวทิ ยาศาสตร์ ใหน้ ักเรยี นเขยี น
คำตอบลงในชอ่ งว่าง
สถานการณ์ที่ 1
บุญธรรมเป็นชาวไร่ก่อนปลูกพืชแต่ละครั้งเขาจะทำการไถที่ดินโดยใชร้ ถขนาดใหญ่ ซึ่งสะดวกและรวดเร็วเมือ่
ปลูกพืชแล้วเขาจะบำรุงดูแลรักษาพืชไร่โดยใช้รถไถและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเมื่อเข้าไปฉีดพ่นสารฆ่าแมลงรดน้ำ
และพรวนดินนอกจากนี้ยังใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อผลผลิตทำให้ได้ผลผลิตจำนวนมากและมีคุณภาพดีเป็นที่
ตอ้ งการของตลาดต่อมาปรากฏว่าคุณภาพดนิ ในทีน่ ้ันเส่ือมลงโดยดินมีลักษณะแข็งและแนน่ ทดลองไถพรวนให้
ลึกกว่าเดิมแต่เมื่อ ปลูกพืชรดน้ำและใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ตามปกติแล้ว 1-2 เดือนต่อมาดินก็จะแข็งและแน่น
เช่นเดิมเขาไดส้ ังเกตพบว่าปัญหาเช่นนีจ้ ะไม่เกิดกับชาวไร่ที่ใช้รถไถขนาดเล็กและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการบำรุงดนิ
เลย
1. ขั้นระบุปญหา (ปญหาในสถานการณคืออะไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ข้นั วเิ คราะหปญหา (นกั เรยี นจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณนไ้ี ดวาอยางไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขัน้ กาํ หนดวธิ กี าร (เพอื่ การแกปญหาจากสถานการณดงั กลาวนักเรียนคิดวาจะแกปญหาในสถานการณนีไ้ ดอยาง
ไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ขัน้ การตรวจสอบผลลัพธ (จากการทีน่ ักเรียนไดเสนอวิธกี ารแกปญหาในสถานการณดงั กลาวแลวนักเรยี นคิดวา
ผลทีไ่ ดจะเปนอยางไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1
สถานการณ 2
มาลยั ปลูกบานอยูใกลกบั โรงงานถลุงถานหิน ครอบครัวของมาลยั รบั จางทาํ งานในโรงงานนเ้ี ขาและคนในบาน
ดื่มน้ำจากน้ำฝนทรี่ องใสแทงคเก็บน้ำเอาไวใชตลอดทง้ั ป อยมู าไมนานมาลยั และคนในบานก็มีอาการออนเพลีย
ปวดศรี ษะเปนไขบอย ๆ และในท่สี ดุ ตองไปนอนรักษาตัวท่ีโรงพยาบาลเลย
1. ข้นั ระบปุ ญหา (ปญหาในสถานการณคอื อะไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ข้นั วิเคราะหปญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณน้ีไดวาอยางไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขัน้ กําหนดวธิ กี าร (เพ่อื การแกปญหาจากสถานการณดังกลาวนักเรยี นคิดวาจะแกปญหาในสถานการณนไ้ี ดอยาง
ไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ขน้ั การตรวจสอบผลลัพธ (จากการทน่ี ักเรยี นไดเสนอวธิ ีการแกปญหาในสถานการณดังกลาวแลวนักเรยี นคดิ วา
ผลท่ีไดจะเปนอยางไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คะแนนเต็ม 10 คะแนน
ได้ ........... คะแนน
2
หน่วยท่ี 1 การใชค้ วามร้ทู างเคมใี นการแกป้ ัญหา
เวลา 15 ชวั่ โมง
ขั้นท่ี 1 การหาความรู้ ปฏิบัตกิ าร ฝกึ อ่าน : ฝกึ คดิ
Operation
ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาเคมี สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ใน
ชวี ิตประจำวันการประกอบอาชพี หรอื อุตสาหกรรมได้ เช่น การใชค้ วามรวู้ ชิ าเคมใี นโครงการฝนหลวงซ่งึ ก่อกำเนิด
จากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่ทรง
ห่วงใยต่อความเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผันแปรและความ
คลาดเคลอื่ นของธรรมชาติ เช่น ฤดฝู นเร่ิมตน้ ล่าช้าเกนิ ไปหรอื หมดเรว็ กว่าปกติ ฝนทง้ิ ช่วงระยะยาวในระหว่างฤดู
ฝนซึ่งสภาวะแห้งแล้งดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นนอกจากนี้การตัดไม้ทำลายป่ายังเป็นสาเหตุให้
สภาพแวดล้อมของธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สภาพอากาศจากพื้นดินถึงระดับฐานเมฆไม่
เออ้ื อำนวยตอ่ การรวมตวั ของเมฆและยากตอ่ การเหนี่ยวนำให้ฝนตกลงสพู่ ้นื ดินทำให้ฝนไม่ตกหรือตกแต่มีปริมาณ
นำ้ ฝนต่ำกว่าปกติ แต่ทรงเชอื่ ม่ันวา่ “การดัดแปรอากาศเพอื่ ใหเ้ กดิ ฝน” น่าจะเปน็ มาตรการหนงึ่ ท่จี ะป้องกันและ
แก้ปัญหาไดแ้ ละทรงพระราชทานตำราฝนหลวงเพอ่ื เป็นแนวปฏบิ ัตใิ นการแกป้ ัญหาดังกลา่ ว
ทบทวนความรู้ก่อนเรียน
1. ใส่เครอื่ งหมาย หนา้ ข้อความท่ถี กู ตอ้ ง และใส่เคร่ืองหมาย หนา้ ขอ้ ความทไ่ี มถ่ ูกต้อง
….… 1.1 วิธีการทางวทิ ยาศาสตรม์ กี ารใช้การทดลองเพอื่ ตรวจสอบสมมติฐาน
….… 1.2 ผลการทดลองจะต้องสอดคลอ้ งกับสมมติฐาน
….… 1.3 การเขยี นสมมติฐานควรระบุตัวแปรต้นและตวั แปรตามให้ชัดเจน
….… 1.4 นิยามเชงิ ปฏบิ ัติการช่วยในการกำหนดวธิ ีและขอบเขตของการทดลอง
….… 1.5 การเปล่ยี นแปลงคา่ ของตัวแปรท่ีตอ้ งควบคมุ ใหค้ งทไี่ มม่ ผี ลต่อค่าของตัวแปรตาม
2. พจิ ารณาสถานการณ์ตอ่ ไปนี้
เม่ือผสมสารละลาย A กบั สารละลาย B จะมฟี องแก๊สเกิดขน้ึ ในการศกึ ษาอตั ราการเกดิ แก๊สของปฏิกิรยิ า
ดังกล่าว นกั เรยี นคนหน่ึงไดท้ ำการทดลองดังน้ี
1. ใส่สารละลาย A 0.5 mol/L ปริมาตร 5 mL ลงในหลอดทดลองท่ี 1 และสารละลาย B 0.5 mol/L ปรมิ าตร 5 mL
ลงในหลอดทดลองท่ี 2
2. เทสารละลายในหลอดทดลองท่ี 1 ลงในหลอดทดลองท่ี 2 ท่ีอณุ หภูมหิ ้องและวดั อัตราการเกดิ แกส๊
o
3. ทำซำ้ ข้อ 1–2 แตก่ ่อนผสมให้นำหลอดทดลองทั้งสองหลอดแชใ่ นน้ำร้อนทอี่ ณุ หภูมิ 70 C ประมาณ 2 นาที
o
4. ทำซำ้ ขอ้ 3 แตแ่ ช่หลอดทดลองท้ังสองหลอดในน้ำเย็นทอ่ี ุณหภูมิ 10 C แทน นำ้ ร้อน
3
ต้งั สมมติฐาน ระบตุ ัวแปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงท่ี พร้อม กำหนดนยิ ามเชิง
ปฏบิ ัตกิ ารของตวั แปรตาม โดยกรอกขอ้ มูลในกรอบทกี่ ำหนดให้
คำตอบ
สมมตฐิ าน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตัวแปร
ตัวแปรต้น…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตวั แปรตาม…………………………………………….…………………………………………………………………………………………………
ตวั แปรท่ตี อ้ งควบคุมให้คงท่ี
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
นยิ ามเชงิ ปฏิบตั กิ ารของตวั แปรตาม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
นักเรียนจะเหน็ ได้วา่ สงิ่ ต่าง ๆ ท่ีอย่รู อบตวั เชน่
อาหาร ยานพาหนะ ยา อปุ กรณไ์ ฟฟ้าการคดิ ค้น
ประดิษฐ์ หรือปรบั ปรงุ สงิ่ ต่าง ๆ เหลา่ นน้ั เกี่ยวขอ้ ง
กับการใชค้ วามรู้ในวิชาเคมที ง้ั ส้ิน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยม
ราษฎรในพนื้ ที่แหง้ แล้งทรุ กนั ดาร 15 จงั หวัด ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ในปี พ.ศ.2498 ทา่ นไดท้ รงรับทราบถึง
ความเดือดร้อนของราษฎร และเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึง
กรงุ เทพมหานคร ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ม่อมราชวงศเ์ ทพฤทธิ์ เทวกุล วศิ วกร เข้าเฝา้ ฯ แล้วพระราชทาน
แนวความคดิ น้นั แก่ หมอ่ มราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ในพ.ศ. 2542 ยังโปรดเกลา้ ฯ ให้มกี ารพฒั นาเทคโนโลยีและ
เทคนิคควบคู่กนั ไปด้วย ซึ่งทรงสามารถพัฒนากรรมวิธีการทำฝนหลวงใหก้ า้ วหนา้ ขึ้น คือ เป็นการปฏิบัติการฝน
หลวงโดยการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนโดยเทคโนโลยีฝนหลวงจากทั้งเมฆอุ่นและเมฆเย็นพร้อมกัน เรียก
นวตั กรรมใหม่ลา่ สุดว่า SUPER SANDWICH TECHNIC
ฝนหลวง ฝนเทียม คอื
อะไร?
4
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
หลกั การทำฝนเทียม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริขั้นตอนการทำฝน โดยทรงสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลใน
ข้ันตน้ วา่ บางครัง้ ถงึ แมจ้ ะมีเมฆมาก แต่ไม่สามารถรวมตวั กนั จนเกิดฝนได้ พระองคท์ รงศึกษาคน้ ควา้ โดยเน้นความ
จำเป็นในด้านพฒั นาการ และปรับปรงุ กรรมวธิ ีในการทำฝนในแนวทางของการออกแบบปฏบิ ัติการ ทรงใช้วิธีการ
ทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการใช้ประโยชน์ของเครือ่ งคอมพิวเตอร์เพ่ือศึกษารูปแบบเมฆและการปฏบิ ัติการทำฝน
ให้บรรลุวัตถปุ ระสงคท์ ตี่ อ้ งการ พระองค์ทรงวเิ คราะหก์ ารทำฝนหลวงว่ามี 3 ขนั้ ตอนคอื
ขั้นตอนท่ี 1 กอ่ กวนใหเ้ กดิ เมฆ เปน็ การกระตนุ้ ใหค้ วามชนื้ หรือไอน้ำรวมตัวเป็นกลุ่มแกนเพื่อใช้เป็นการ
กลางในการสร้างกลุ่มเมฆฝนในระยะต่อมาวิธีการคือโปรยสารเคมีที่ก่อให้เกิดกระบวนการกลั่นตัวของไอน้ำใน
อากาศไดแ้ ก่ เกลือแกง ที่ความสูงประมาณ 7,000 ฟุตความช้นื หรือไอนำ้ จะดูดซับเข้าไปเกาะรอบแกนเกลือ แล้ว
รวมตัวกนั เกิดเปน็ เมฆทจ่ี ะพฒั นาเจรญิ ข้นึ เป็นเมฆกอ้ นใหญท่ ่อี าจสงู ถงึ 1,000 ฟตุ
ขน้ั ตอนที่ 2 เล้ยี งเมฆใหอ้ ว้ น เปน็ การเพม่ิ แกนเม็ดไอน้ำให้กลุม่ เมฆฝนมคี วามหนาแนน่ มากข้นึ ใชส้ ารเคมี
ผงแคลเซยี มคลอไรดโ์ ดยเขา้ ไปที่กลมุ่ เมฆท่ีมีความสงู ประมาณ 8,000 หรอื สงู กวา่ ฐานเมฆประมาณ 1,000 ข้ันตอน
นี้สามารถเร่งกิจกรรมการกลั่นตัวของไอน้ำได้เร็วกว่าที่จะปล่อยให้เจริญขึ้นเองตามธรรมชาติเมฆใหญ่อาจจะก่อ
ยอดขึ้นถึงระดับ 15,000 ฟุต ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นส่วนของเมฆอุ่นแต่ในบางครั้งยอดเมฆอาจจะสูงถึง
20,000 ฟุต ซ่ึงถือวา่ เปน็ ส่วนของเมฆเย็น (เริม่ ตงั้ แต่ประมาณ 18,000 ฟุต)
ขน้ั ตอนที่ 3 โจมตี เป็นการเรง่ หรอื บังคบั ใหเ้ กิดฝน ขณะทเ่ี มฆเจรญิ เตบิ โตขึ้นจนเรมิ่ แก่ตัวจัดจนฐานเมฆ
ลดระดับตำ่ ลงประมาณ 1,000 ฟตุ และเคล่อื นตัวเข้าสูพ่ น้ื ที่เป้าหมายจงึ ปฏิบัติการ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานขนั้ ตอนการโจมตีไว้ดังน้ี
1) แบบ Sandwich เป็นเทคนิคปฏิบตั กิ ารทค่ี วามสูงไมเ่ กิน 1,000 ฟตุ (เมฆอุน่ ) ใช้ผงโซเดียมคลอไรด์
โปรยทับยอดเมฆดา้ นเหนอื ลม เพราะผงยูเรียโปรยท่ีระดบั ฐานเมฆใตล้ มในเวลาเดียวกัน โดยให้แนวโปรยทัง้ สองทำ
มมุ เย้อื งกัน 45 องศาด้วยปฏิบตั กิ ารน้เี มฆจะทวีความหนาแน่นของเม็ดน้ำขนาดใหญ่ขึน้ และปรมิ าณมากข้ึนจนตก
ลงมารวมตัวกันที่ฐานเมฆทำให้ใกล้จะเกิดฝน วิธีการนี้จะต้องเสริมการโจมตดี ้วยการโปรยสารเคมีสูตรเย็นจัดคือ
น้ำแขง็ แหง้ ทใี่ ตฐ้ านเลข 1,000 ฟตุ เพื่อเรง่ ให้กลมุ่ ฝนตกลงเรว็ ขน้ึ
2) แบบเมฆเยน็ เป็นกรณที ่ยี อดเมฆสงู มาจนถงึ ระดบั เมฆเย็น หรือประมาณ 20,000 ฟุต ดงั ท่ีไดก้ ล่าว
ไว้แล้ว วิธีการคือ ใช้สารซิลเวอร์ไอโอไดด์ ยิงจากเครื่องบินที่ระดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต ทำให้ไอน้ำ
ระเหยจากเม็ดน้ำเย็นยิ่งยวดมาเกาะตัวรวมกันของสารเคมีที่ยิง กลายเป็นผลึกน้ำแข็งจนกระทั่งตกลงมาและ
ละลายเป็นเม็ดน้ำเม่ือเข้าสู่ระดับเมฆอุ่น ทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเข้ามาเกาะรวมตัวเป็นเม็ดใหญ่ขึน้ ทะลุ
ฐานเมฆเปน็ ฝนตกลงมาส่พู นื้ ดิน
3) แบบ Super Sandwich เป็นเทคนิคใหมท่ ีท่ รงคดิ คน้ ข้นึ ในปี พ.ศ 2542 ดว้ ยน้ำพระราชหฤทัยท่ีทรง
ห่วงใยพสกนิกรและพระอจั ฉรยิ ภาพของพระองคใ์ นชว่ งสถานการณ์ภัยแล้งอย่างกว้างขวางสืบเน่ืองยาวนานตั้งแต่
ปีพศ 2540 จากปรากฏการณเ์ อลนีโญ ปฏิบัติการนี้ใช้วิธีการแบบแซนวิชและแบบเมฆเย็นควบคู่กันในเวลาเดียว
กัน จะทำให้ฝนตกหนักและตอ่ เนอ่ื งยาวนานในปรมิ าณน้ำฝนสูงยิ่งขึน้ เนื่องจากเปน็ ประสานประสิทธิภาพของการ
โจมตเี มฆอ่นุ และเมฆเย็นในเวลาเดียวกัน
5
อย่างไรก็ตาม ทุกขั้นตอนจะต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกใช้ปริมาณ
สารเคมีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศภูมิประเทศ ทิศทางและความเร็วของลม ตลอดจนกำหนด
บรเิ วณหรือแนวพิกดั ท่จี ะโปรยสารเคมี
ทม่ี า : อ้างองิ จาก The aerospace 2549 (ฝนหลวง) หน้า 23-25
รปู ที่ 1 ข้นั ตอนในการผลติ ฝนหลวง (ที่มา: https://www.facebook.com/math.ipst/posts/1663282907296862/)
การทำฝนหลวงใชค้ วามรู้
วิชาเคมเี รื่องใดบา้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6
การใช้ความรทู้ างเคมใี นการแก้ปญั หา
นักวิทยาศาสตร์นิยมใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ในการแสวงหาคำตอบของ
ปรากฏการณ์ต่างๆในธรรมชาติ รวมทั้งยังใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการหาความรู้ที่เป็นพื้นฐานในการพัฒนา
เทคโนโลยหี รอื การแก้ปญั หาต่างๆในชวี ิตประจำวัน ทั้งนี้วิธีการทางวทิ ยาศาสตรม์ ีข้นั ตอนและกระบวนการทำงาน
ที่เป็นระบบซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ คือ การสังเกตและการตั้งคำถาม การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบ
สมมติฐาน การรวบรวมข้อมูลและวเิ คราะหผ์ ล และ การสรุปผล
1. การสังเกตและการตงั้ คำถาม (Observation and question)
• การสังเกต (Observation) เป็นจุดเร่มิ ต้นของการตั้งคำถาม
• การสังเกต ทีล่ ะเอียดรอบคอบนำไปสคู่ ำถามท่ีชัดเจน
2. การตงั้ สมมติฐาน (Formulation of Hypothesis)
• คาดคะเนคำตอบของคำถามโดยใชค้ วามรูห้ รือข้อมูล
• ระบคุ วามสมั พนั ธ์ของตัวแปรต้นและตวั แปรตาม
• นำไปสกู่ ารออกแบบวธิ กี ารตรวจสอบสมมตฐิ าน
3. การตรวจสอบสมมติฐาน (Testing The Hypothesis)
• พิสูจน์สมมตฐิ าน
• นิยมใช้การทดลองภายใต้ภาวะควบคุมไดข้ อ้ มลู หรือหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์
4. รวบรวมขอ้ มลู และวเิ คราะห์ผล (Data Collection And Analysis)
• รวบรวมข้อมลู จากการทดลองมาจัดทำใหอ้ ยใู่ นรูปแบบที่เหมาะสม
• วิเคราะห์และอภิปรายผลการทดลอง
5. สรุปผล (Conclusion)
• สรุปความรู้หรือข้อเทจ็ จรงิ ว่าเปน็ ไปตามสมมติฐานหรอื ไม่
• ตัง้ สมมติฐานใหมห่ ากบทขดั แยง้ กบั สมมติฐาน
• ใหข้ ้อเสนอแนะเพิม่ เตมิ
การระบปุ ัญหาหรอื กำหนดโจทย์วจิ ัยของนักวทิ ยาศาสตรต์ อ้ งอาศัยข้อมูลจากการสังเกต นกั วทิ ยาศาสตร์
หรือนักวิจัยใชข้ ้อมูลทไ่ี ด้จากการสงั เกตในการตงั้ คำถามหรอื โจทย์วิจัยที่เกีย่ วข้องกับปัญหาการต้ังคำถามจะทำได้
ชดั เจนย่งิ ข้นึ เมอ่ื มขี อ้ มูลมากขนึ้ เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรม
นาถบพติ ร ทรงสงั เกตเหน็ ว่าในพนื้ ทแี่ หง้ แลง้ ที่ฝนไมต่ กท้งั ทม่ี ีเมฆกระจายอยบู่ นทอ้ งฟา้ แตเ่ มฆเหลา่ นไ้ี มร่ วมตวั กนั
ใหใ้ หญ่พอจนเป็นเมฆฝนได้ จึงอาจนำมาสู่คำถามท่วี ่า “ทำอยา่ งไรให้เมฆรวมตัวกนั แลว้ เกดิ เปน็ ฝนได้” จากคำถาม
ข้างต้นจะเห็นว่ามีตัวแปรต้นหลายตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการรวมตัวของเมฆที่ทำให้เกิดฝนได้ ซึ่งจำเป็นต้องมี
คำถามและสมมติฐานยอ่ ยเพอ่ื นำไปส่กู ารกำหนดตัวแปรในการทดลอง ดังตวั อยา่ งในตารางที่ 1
7
ตารางท่ี 1 ตัวอยา่ งคำถามและสมมตฐิ านจากกรณกี ารทำฝนหลวง
คำถาม สมมติฐาน
1. ระดับความชื้นในอากาศมีผลต่อการรวมตัวของเมฆ ระดับความชื้นในอากาศมีผลต่อการรวมตัวกันของ
หรอื ไมอ่ ยา่ งไร เมฆ
2. สารชนดิ ใดท่ชี ว่ ยให้เมฆมารวมตัวกันได้ สารที่มีสมบัติดูดความช้ืนเช่น โซเดียมคลอไรด์มีผล
ทำให้เมฆรวมตัวกัน
3. ปริมาณของโซเดยี มคลอไรด์ทเ่ี หมาะสมต่อการรวมตัว โซเดียมคลอไรด์ปริมาณมากขึ้นทำใหเ้ มฆรวมตวั กัน
ของเมฆเปน็ เทา่ ใด ไดด้ ขี ึน้
4. ระดบั ความสงู ท่เี หมาะสมในการโปรยโซเดยี มคลอไรด์ การโปรยโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับความสูงบริเวณ
ควรเปน็ เทา่ ใด ฐานเมฆจะทำให้เมฆรวมตวั กนั ไดด้ ี
5. ความเร็วลมมีผลต่อการรวมตัวกันของเมฆหรือไม่ ความเร็วลมมผี ลตอ่ การรวมตัวของเมฆ
อยา่ งไร
ตัวอยา่ งคำถามในตาราง 1 เป็นคำถามท่ีเก่ยี วข้องกบั ตวั แปรตน้ ซงึ่ มผี ลต่อตัวแปรตามร่วมกนั คอื การรวม
ตัวของเมฆทเี่ กิดเป็นฝนได้ และคำถามเหล่านี้ชว่ ยกำหนดขอบเขตของการทดลองทจ่ี ะใช้ตอบคำถามหรอื พสิ ูจน์
สมมตฐิ านไดช้ ัดเจนขึ้น
ตรวจสอบความเข้าใจ
สถานการณ์ ปาทอ่ งโก๋ ที่ขายในรา้ นหน้าปากซอยมีความกรอบมากแต่มีกล่นิ ฉนุ ของแอมโมเนยี ขนาดรับประทานเมื่อ
สอบถามกบั ทางร้านถึงส่วนประกอบและวิธีทำปาท่องโกเ๋ จา้ ของร้านได้ใหข้ ้อมลู ดงั นี้
วัตถดุ ิบ เกลือ 20 กรัม เบกกิ้งโซดา 1 กรมั
แปง้ สาลี 1 กิโลกรัม ยีสต์แห้ง 0.8 กรัม แอมโมเนียมไบคารบ์ อเนต 30 กรัม
น้ำตาลทราย 8 กรมั น้ำ 800 ml นำ้ มนั ถ่ัวเหลอื ง 50 กรัม
ผงฟู 4 กรมั
วิธีทำ
1. รอ่ นแป้งสาลีปรมิ าณ 1 กิโลกรัมแลว้ พักไว้
2. ชงั่ ผงฟู 4 กรมั ยสี ตแ์ ห้ง 0.8 กรัม เกลือ 20 กรัมน้ำตาลทราย 80 กรมั เบกก้ิงโซดา 1 กรัม และ
แอมโมเนียมไบคาร์บอเนต 30 กรมั เทสว่ นผสมท้ังหมดลงในน้ำ 800 ml คนจนสารละลายหมด
3. ชัง่ น้ำมนั ถ่ัวเหลือง 50 กรัม เติมลงในสว่ นผสมในข้อ 2 คนใหน้ ำ้ มันกระจายตวั จากนนั้ เติมลงบนแป้งที่ร่อน
เตรียมไวผ้ สมให้เป็นเนือ้ เดยี วกัน
4. หมักสว่ นผสมไว้อย่างน้อย 4 ชว่ั โมง ในภาชนะทป่ี ิดมิดชดิ
8
5. นำส่วนผสมในข้อ 4 เทลงบนถาดที่โรยแปง้ สาลีไว้แล้ว จากนน้ั ใชล้ กู กลง้ิ กลงิ้ บนแปง้ จนไดแ้ ผน่ แปง้ มคี วาม
หนาประมาณ 0.5 ลกู บาศก์เซนติเมตร แล้วตัดแป้งเปน็ ชิน้ ๆ ขนาดประมาณ 1 นว้ิ × 2 น้วิ จากน้นั ใชน้ ้ำ
แตะตรงก่งึ กลางของชนิ้ แปง้ แลว้ นำแปง้ 2 ชิน้ มาประกบกัน
6. ทอดแป้งในกระทะโดยใช้น้ำมนั ถั่วเหลืองทอี่ ณุ หภูมปิ ระมาณ 190-200 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 นาที
แลว้ นำข้นึ มาสะเดด็ น้ำมันในตะแกรง
จากสถานการณด์ ังกลา่ วสามารถระบุปญั หาและออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาโดยใชว้ ธิ ีการทางวิทยาศาสตร์และความรู้
ทางเคมีได้ดังนี้
ปญั หา : ปาท่องโกม๋ ีกลิ่นฉนุ ของแอมโมเนีย
คำถาม : ทำอยา่ งไรให้ปาทอ่ งโก๋ไมม่ ีกล่นิ ฉุนของแอมโมเนียและยังคงความกรอบ
การสืบค้นข้อมลู และการต้ังสมมติฐาน
จากขอ้ มูลส่วนประกอบของปาทอ่ งโกน๋ ักเรียนอาจใช้ความรู้ทางเคมีคาดการณ์ไดว้ า่ กลิน่ แอมโมเนยี (NH3)
ในปาท่องโก๋ น่าจะมาจากแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต (NH4HCO3) เมื่อถูกค้นข้อมูลเพ่ิมเติมพบวา่ แอมโมเนียมไบ
คาร์บอเนต เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดการสลายตัวให้แก๊สแอมโมเนียซ่ึงนอกจากแก๊สแอมโมเนียแล้วยังเกิดแกส๊
คารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละไอนำ้ อีกดว้ ยด้วยแก๊สทเี่ กิดขึ้นน่าจะเป็นส่วนทีช่ ว่ ยใหป้ าท่องโก๋กรอบ เชน่ เดยี วกับยีสต์เบ
กกิ้งโซดาหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) ผงฟู (ของส่วนผสมของโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตและกรด
ตัวอย่าง กรดเชน่ โพแทสเซียมไบทารเ์ ทรต (KC4H5O6))
ข้อมูลทไี่ ดจ้ ากการสืบคน้
ขอ้ มูลเกีย่ วกบั ปฏิกริ ิยาเคมี:
การสลายตวั ของแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตเม่อื ไดร้ บั ความรอ้ น
NH4HCO3(s) →∆ NH3(g) + H2O(g) + CO2(g)
การสลายตวั ของโซเดยี มไบคารบ์ อเนตเมอื่ ได้รับความรอ้ น
2NaHCO3(s) → Na2CO3(s) + CO2(g) + H2O(g)
การหมกั แปง้ ด้วยยีสต์
แป้ง →ยสี ต์ C6H12O6(s) →ยสี ต์ 2C2H5OH (l) + 2CO2(g)
ปฏิกริ ยิ าของกรด-เบสในผงฟู
NaHCO3(aq) + KC4H5O6(aq) → KNaC4H4O6(aq) + CO2(g) + H2O(g)
ข้อมลู เกยี่ วกับความกรอบ: ขณะทอดปาทอ่ งโกจ๋ ะมีแก๊สเกดิ ข้ึน ซ่ึงเมอื่ ไดร้ ับความรอ้ นจะขยายตัวและ
หลุดออกจากเนื้อแปง้ พรอ้ มกับพาความช้ืนท่ีอยูใ่ นเนอื้ แปง้ ออกไป ดว้ ยทำใหแ้ ปง้ มีผิวท่ีแข็งและกรอบข้นึ
9
จากปฏกิ ิริยาเคมีท่สี ืบคน้ ได้จะเหน็ วา่ มเี พียงแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตท่ใี หแ้ ก๊สแอมโมเนยี ซ่งึ เป็นสาเหตุ
ของกลิน่ ฉุน อย่างไรก็ตาม แอมโมเนยี มไบคาร์บอเนตให้ท้งั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดแ์ ละแก๊สแอมโมเนียท่ีช่วยทำให้
ปาท่องโกก๋ รอบได้มากกวา่ ส่วนผสมอ่ืนทใี่ ห้เพียงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
จากข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปสู่การต้ังคำถามและสมมติฐานย่อยทีช่ ดั เจนเพยี งพอสำหรบั การออกแบบ
การทดลองเพื่อพิสจู น์สมมติฐานได้ดงั ตัวอยา่ ง
คำถาม สมมติฐาน
1. ปริมาณแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตเท่าใดปาท่องโก๋ แอมโมเนียมไบคาร์บอเนตทำให้ปาท่องโก๋ไม่มีกลิ่นได้
จงึ จะไม่ มกี ลิน่ และยงั คงความกรอบ ยงั คงความกรอบ
2. ถา้ ใช้โซเดียมไบคารบ์ อเนตแอมโมเนยี มไบคาร์ การใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตปริมาณที่ทำให้เกิดแก๊ส
บอเนตต้องใช้ปรมิ าณเทา่ ใด เท่ าก ั บเม ื ่ อ ใช ้ แ อ ม โ ม เน ี ย ม ไ บ ค าร ์ บอ เน ตจะ ท ำ ใ ห้
ปาทอ่ งโกไ๋ ม่มกี ลิ่นไดย้ ังคงความกรอบ
การตรวจสอบสมมตฐิ าน
การออกแบบวธิ กี ารทดลองเพอื่ ตรวจสอบสมมติฐานของแต่ละคำถามสามารถทำไดด้ งั น้ี
คำถาม 1)
ตง้ั คำถาม
• ปรมิ าณแอมโมเนยี มไบคารบ์ อเนตเทา่ ใดปาทอ่ งโกจ๋ งึ จะไมม่ กี ลิน่ และยงั คงความกรอบ
ต้งั สมมตฐิ าน
• การลดปรมิ าณแอมโมเนยี มไบคาร์บอเนตทำใหป้ าทอ่ งโกไ๋ มม่ ีกล่นิ และยงั คงความกรอบ
กำหนดตวั แปร
• ตัวแปรต้น ปริมาณแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต
• ตัวแปรตาม กล่นิ และความกรอบของปาทอ่ งโก๋
• ตวั แปรท่ตี ้องควบคุมให้คงที่ ปรมิ าณของสว่ นประกอบอ่ืนๆ
วิธผี สมส่วนประกอบ
ชนดิ ของน้ำมนั ทีใ่ ช้ทอด
อุณหภมู ิและระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการทอด
ผู้ทดสอบกล่นิ และความกรอบของปาทอ่ งโก๋
ตรวจสอบสมมตฐิ าน
1. ทำปาทอ่ งโกต๋ ามสตู รของรา้ นค้าจากสถานการณ์ทก่ี ำหนดให้ เพ่อื ใช้เป็นตวั เปรยี บเทยี บ
2. ทำปาท่องโกต๋ ามสูตรของร้านคา้ จากสถานการณ์ทีก่ ำหนดให้ แตล่ ดปรมิ าณของ NH4HCO3 เปน็ คร่ึงหนง่ึ
และหน่ึงในสี่
3. เปรียบเทยี บกลน่ิ และความกรอบของปาท่องโกท๋ ่ีไดใ้ นขอ้ 2 กบั ปาทอ่ งโก๋ในข้อ 1
คำถาม 2)
ตั้งคำถาม
• ถา้ ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตแทนแอมโมเนยี มไบคารบ์ อเนตตอ้ งใชป้ ริมาณเทา่ ใด
10
ตง้ั สมมตฐิ าน
• การใชโ้ ซเดียมไบคารบ์ อเนตปริมาณทท่ี ำเกิดแกส๊ เท่ากับเมือ่ ใชแ้ อมโมเนียมไบคาร์บอเนตจะทำให้
ปาท่องโก๋ไมม่ กี ลนิ่ และยงั คงความกรอบ
กำหนดตัวแปร
• ตัวแปรตน้ ปรมิ าณโซเดียมไบคารบ์ อเนต
• ตวั แปรตาม กลน่ิ และความกรอบของปาท่องโก๋
• ตวั แปรที่ต้องควบคมุ ใหค้ งที่ ปรมิ าณของสว่ นประกอบอืน่ ๆ
วิธผี สมส่วนประกอบ
ชนิดของนำ้ มันทใ่ี ชท้ อด
อณุ หภมู แิ ละระยะเวลาที่ใชใ้ นการทอด
ผู้ทดสอบกล่นิ และความกรอบของปาทอ่ งโก๋
ตรวจสอบสมมตฐิ าน
1. ทำปาทอ่ งโก๋ตามสูตรของรา้ นค้าจากสถานการณ์ท่ีกำหนดให้ เพอ่ื ใช้เปน็ ตัวเปรียบเทียบ
2. ทำปาทอ่ งโก๋ตามสตู รของร้านค้าจากสถานการณ์ทีก่ ำหนดให้ แต่ลดปริมาณของ NaHCO3 แทนNH4HCO3
โดยใชจ้ ำนวน 96 กรัม ซึง่ ไดป้ รมิ าณแกส๊ เท่ากับสูตรเดิม และอาจทดสอบเพิ่มโดยการลดปรมิ าณของ
NaHCO3 ท่ีใช้แทน NH4HCO3
3. เปรียบเทียบกลนิ่ และความกรอบของปาทอ่ งโก๋ที่ได้ในขอ้ 2 กับปาท่องโกใ๋ นข้อ 1
❖ หากต้องการทราบว่า อุณหภมู ิของนำ้ มันและระยะเวลาท่ีใชใ้ นการทอดมีผลต่อกลิน่ และความกรอบของ
ปาทอ่ งโกห๋ รอื ไม่ สามารถตง้ั คำถามยอ่ ย สมมตฐิ าน ระบุตัวแปรท่เี กีย่ วขอ้ งและออกแบบการทดลองเพอ่ื
ตรวจสอบสมมตฐิ าน ได้อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
11
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
12
เรือ่ ง การแก้ปัญหาด้วยวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์โดยใชค้ วามรู้ทางเคมี
จุดประสงค์ของกิจกรรม
1. ระบุปัญหาจากสถานการณ์ทก่ี ำหนดให้
2. ต้ังคำถาม สมมติฐาน และระบตุ วั แปรจากสถานการณ์ที่กำหนดให้โดยใช้ความรทู้ างเคมี
3. ออกแบบวิธกี ารตรวจสอบสมมติฐาน
4. นำเสนอแนวทางการแกป้ ัญหา
วธิ ีทำกจิ กรรม
1. พิจารณาสถานการณป์ ญั หาทีก่ ำหนดใหต้ ่อไปนี้
ช่องโหว่โอโซน ชั้นโอโซนในบรรยากาศชว่ ยดูดซับรังสี UVB ไม่ให้ผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลกแต่ผลจากการใช้
สารคลอโรฟลอู อโรคาร์บอน ทำให้ชนั้ โอโซนในบรรยากาศเบาบางลงจนบาง บริเวณเกิดเปน็ ช่องโหวโ่ อโซน เช่น ขัว้
โลกใต้
การลดลงของชั้นโอโซนในบรรยากาศส่งผลให้รังสี UVB ผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลกมากขึ้นซึ่งรังสี UVB เป็น
สาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ดังนั้นการป้องกันตนเองจากรังสีดังกล่าวจึงช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด
โรคมะเร็งผวิ หนงั ได้
สาร CFCs (Chlorofluorocarbons) ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมทำโฟมใช้เป็นสารผลักดันในกระป๋อง
สเปรย์ใช้เป็นสารทำความเย็นดังน้ันจึงได้มีข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อควบคุมการใช้สาร CFCs ซึ่งเรียกว่า พิธี
สารมอนทรอี อล (Montreal Protocol) เกดิ ขึ้นในปี พ.ศ. 2530 สง่ ผล ใหเ้ กิด ปญั หาช่องโหว่โอโซนลดลง อย่างไร
ก็ตามการทำให้ปริมาณของโอโซนในชั้นบรรยากาศกลับมาเหมือนเดิมตอ้ งใชร้ ะยะเวลานาน ซึ่งนักวทิ ยาศาสตรท์ ี่
เก่ียวข้องยงั คงเฝ้าติดตามสถานการณอ์ ยตู่ ลอดเวลา
สถานการณ์ 1
นกั เรียนเป็นพนกั งานในโรงงานทำโฟมฉนวนความรอ้ นแหง่ หนึ่งทไ่ี ดร้ บั มอบหมายให้ปรับปรงุ การผลิตโฟม
ฉนวนความรอ้ นโดยใชแ้ ก๊สชนิดอนื่ แทน CFCs
สถานการณ์ 2
นักเรียนเป็นนักเคมีในบริษัทผลิตเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ผลิตครีมกันแดดที่สามารถ
ปอ้ งกนั รังสี UVB ได้
2. เลอื กสถานการณท์ ่ีสนใจและระบปุ ัญหาและตั้งคำถามโดยใช้ความรู้ทางเคมี
3. สืบค้นข้อมูลทเี่ ก่ียวขอ้ งแล้วตั้งสมมตฐิ านและกำหนดตวั แปร
13
4. ออกแบบวิธีการตรวจสอบสมมตฐิ าน
5. นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหา
ผลการทำกิจกรรม
สถานการณ์ 1
นักเรยี นเป็นพนกั งานในโรงงานทำโฟมฉนวนความร้อนแห่งหนง่ึ ทไี่ ด้รบั มอบหมายให้ปรบั ปรุงการผลิตโฟม
ฉนวนความร้อนโดยใชแ้ กส๊ ชนิดอืน่ แทน CFCs
คำสำคัญ สำหรับสืบคน้ ขอ้ มูลเพิม่ เติม เชน่
- การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าของโอโซนกับ CFC
- สารทำโฟม (foam blowing agents)
- สารทดแทน CFC (CFC replacement)
- การทดสอบสมบัตขิ องโฟมฉนวนความรอ้ น (thermal conductivity properties tests)
ปญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถาม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
การสบื ค้นข้อมูล
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
14
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามย่อย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตัวแปร
ตวั แปรต้น ……………………………………..……………………………………………………………………
ตัวแปรตาม …………………………………………..………………………………………………………………
ตวั แปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ ……………………………………………………………………………………………………………
15
ตรวจสอบสมมติฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สถานการณ์ 2
นักเรียนเป็นนักเคมีในบริษัทผลิตเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ผลิตครีมกันแดดที่สามารถ
ป้องกนั รังสี UVB ได้
คำสำคัญ สำหรบั สบื คน้ ข้อมูลเพ่มิ เติม เช่น
- ส่วนผสมในครมี กันแดด (sunblock or sunscreeningredients)
- สารป้องกนั รังสี UVB (UVB protection)
- ประสทิ ธิภาพการปอ้ งกันรงั สี UVB
ปญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถาม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
การสืบคน้ ขอ้ มูล
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
16
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
17
คำถามยอ่ ย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตวั แปร
ตัวแปรตน้ ……………………………………..……………………………………………………………………
ตัวแปรตาม …………………………………………..………………………………………………………………
ตัวแปรทต่ี ้องควบคุมให้คงที่ ……………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตรวจสอบสมมติฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
18
นักวิทยฯ์ คดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ
ขัน้ ที่ 3 ซึมซับความรู้ ปฏบิ ัตกิ าร คิดดี ผลงานดี มคี วามสขุ
Assimlation
คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุม่ อ่านขา่ วทีก่ ำหนดให้และเตมิ ข้อความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ต้องและสมบูรณ์
แนะวธิ ปี ฏิบัติตวั เมอ่ื "แอมโมเนีย" ร่วั ไหล ศึกษาไว้เพอ่ื ความปลอดภัย
: ท่มี า ข่าวไทยรฐั ออนไลน์ 10 ต.ค. 2563 14:25 น.
กรมการแพทย์ เตือนสาร "แอมโมเนีย" ที่พบเห็นทั่วไปในชวี ิตประจำวนั ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของ
ชำ หากเกิดการร่ัวไหลอาจเกิดอันตรายได้ แนะวธิ ปี ฏิบตั ิตวั เพ่อื ความปลอดภยั ของตนเองและคนรอบขา้ ง
นายแพทยส์ มศกั ดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า "แอมโมเนีย" เป็นสารเคมีท่ีเป็นอันตรายสงู
ต่อสุขภาพ เนือ่ งจากเป็นสารกัดกรอ่ นผิวหนัง ดวงตา ปอด และระบบการหายใจ ซงึ่ แกส๊ มคี ณุ สมบัตลิ ะลายน้ำได้ดี
เข้าสัมผัสหรือเขา้ สู่ร่างกาย จะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้รับอันตราย ซึ่งใน
กรณที ไี่ ด้รับปรมิ าณนอ้ ย จะมอี าการไอ หลอดลมตีบ แต่หากได้รบั สารในปรมิ าณมากหรอื เปน็ ระยะเวลานาน จะมี
อาการทางเดินหายใจส่วนบนบวม ไหม้ หรืออุดกั้น จนเกิดเสียงผิดปกติขณะหายใจเข้าได้ ซึ่งในบางกรณีอาจมี
ความรุนแรงถึงขัน้ ทำลายปอด
นอกจากน้ี ผู้ป่วยบางรายมกั พบอาการอื่นๆ ร่วม ไดแ้ ก่ กลอ่ งเสยี งอักเสบ, หลอดลมอกั เสบ, หายใจดังวี้ด,
หอบเหนื่อย, เจ็บหน้าอก, น้ำท่วมปอด, ปอดอักเสบ, ขาดออกซิเจน หากสัมผัสผิวหนัง จะทำให้ระคายเคืองและ
ไหม้ได้ หากสัมผัสตา จะทำให้เยื่อบุตาขาวอักเสบ น้ำตาไหล ระคายเคืองกระจกตา ตาบอดชั่วคราวหรือถาวรได้
อาการระยะยาว ผทู้ ส่ี มั ผัสแกส๊ เปน็ ระยะเวลานาน อาจมอี าการไอเร้อื รัง เหนือ่ ย การทำงานปอดผดิ ปกติ
หากเกิดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนยี ในปริมาณน้อย เริ่มแรกให้แยกผู้คนออกห่างจากบริเวณที่รั่วไหล
เปน็ ระยะทาง 30 เมตร ในเวลากลางวนั และ 100 เมตรในเวลากลางคนื หรอื หากมีการรัว่ ไหลในปรมิ าณมาก ให้
แยกผู้คนออกห่างจากบรเิ วณรั่วไหลเปน็ ระยะทาง 150 เมตร ในเวลากลางวนั และ 800 เมตร ในเวลากลางคืน
ทางด้าน นายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กล่าวเพิ่มเติม แนว
ทางการระงบั เหตุฉุกเฉินการรบั สารแอมโมเนีย เข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ การกินหรือการซมึ ผา่ นผวิ หนงั อาจทำ
ใหเ้ สยี ชวี ิต ไอระเหยอาจทำใหเ้ กิดการระคายเคืองและการกัดกร่อนอย่างรุนแรง การสัมผัสอาจทำให้เกิดแผลไหม้
บาดเจบ็ สาหสั หรอื เนื้อตายจากความเย็นจดั หากสารลกุ ไหม้อาจทำใหเ้ กิดก๊าซท่มี ฤี ทธ์ริ ะคายเคือง/เปน็ พิษ
สำหรับแนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุก่อนถึงโรงพยาบาล มีดังนี้ ให้เคลื่อนย้ายผู้
ประสบเหตุไปยังทอ่ี ากาศบรสิ ทุ ธ์ิ ให้คนไขน้ อนราบกบั พืน้ หายใจชา้ ๆ เปดิ ตาเทา่ ที่จำเป็น ใชผ้ ้าบางชบุ นำ้ เปียกปิด
ปากและจมกู ระหวา่ งขนย้ายออกจากพ้ืนที่ ให้ถอดเส้ือผ้าที่เป้ือนแอมโมเนยี ออกทันที แต่ในกรณีเส้ือผ้าที่เย็นแข็ง
ตดิ ผิวหนงั ตอ้ งทำใหอ้ อ่ นตัวก่อนถอดลา้ งรา่ งกายดว้ ยนำ้ อุ่นสะอาดอย่างน้อย 15 นาที
19
• กรณที แี่ อมโมเนียสัมผัสตา ใหล้ ้างออกด้วยน้ำปรมิ าณมากๆ โดยเปดิ นำ้ ไหลผ่านตา อย่างน้อย 15 นาที แล้ว
รีบไปพบแพทยโ์ ดยเรว็
• กรณที ่แี อมโมเนยี สัมผสั ผวิ หนังใหล้ า้ งออกดว้ ยน้ำสบู่
• กรณีหายใจเอาแอมโมเนียเข้าไป ควรรีบเคลื่อนย้ายจากที่เกิดเหตุไปไว้ในที่อากาศถ่ายเท ถ้าผู้ประสบเหตุ
หายใจออ่ นให้ใชอ้ อกซเิ จนชว่ ยหายใจ นาน 2 นาที แตไ่ ม่เกนิ 15 นาที แตห่ ากหวั ใจหยดุ เตน้ ใหป้ ั๊มหวั ใจทันที
• กรณีกลืนกินแอมโมเนีย ให้บ้วนปากด้วยน้ำมากๆ และดื่มน้ำ 1 แก้ว และทำให้อาเจียนโดยใช้ยาขับเสมหะ
หรอื วิธกี ารลว้ งคอ
อย่างไรก็ตาม ยกเว้นในรายที่หมดสติ ให้รีบนำส่งแพทย์ทันที และหากอยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการ
รัว่ ไหลของแอมโมเนยี ใหเ้ ตรียมอปุ กรณ์และสถานทใ่ี ห้พรอ้ มใชง้ านเสมอ
ประเภทของข่าว …………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….
.
พาดหัวขา่ ว …………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………….
.
เหตุการณ์ที่ …………………………………………………………………………………………
เกิดข้นึ ในขา่ ว ……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
คะแนนทไ่ี ด้…………….คะแนน
20
แบบทดสอบหลงั เรียน
หนว่ ยท่ี 2 เรือ่ งการใชค้ วามรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา วิชาเคมี
เวลา 15 นาที
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 2
คําชแ้ี จง แบบทดสอบฉบบั นต้ี องการวดั ความสามารถในการคดิ แกปญหาทางวทิ ยาศาสตร์ ให้นกั เรียนเขียน
คำตอบลงในชอ่ งวา่ ง
สถานการณท์ ี่ 1
บุญธรรมเป็นชาวไร่ก่อนปลูกพืชแต่ละครั้งเขาจะทำการไถที่ดนิ โดยใช้รถขนาดใหญ่ ซึ่งสะดวกและรวดเร็วเมอ่ื
ปลูกพืชแล้วเขาจะบำรุงดูแลรักษาพืชไร่โดยใช้รถไถและอุปกรณ์ที่ทันสมยั เมื่อเข้าไปฉีดพ่นสารฆ่าแมลงรดน้ำ
และพรวนดินนอกจากนี้ยังใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อผลผลิตทำให้ได้ผลผลิตจำนวนมากและมีคุณภาพดีเป็นท่ี
ตอ้ งการของตลาดต่อมาปรากฏว่าคุณภาพดินในที่นัน้ เส่ือมลงโดยดนิ มีลกั ษณะแข็งและแนน่ ทดลองไถพรวนให้
ลึกกว่าเดิมแต่เมื่อ ปลูกพืชรดน้ำและใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ตามปกติแล้ว 1-2 เดือนต่อมาดินก็จะแข็งและแน่น
เช่นเดิมเขาไดส้ ังเกตพบว่าปัญหาเช่นนี้จะไม่เกิดกับชาวไร่ทีใ่ ช้รถไถขนาดเล็กและใชป้ ุย๋ อินทรีย์ในการบำรุงดนิ
เลย
1. ขน้ั ระบปุ ญหา (ปญหาในสถานการณคอื อะไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ข้นั วเิ คราะหปญหา (นกั เรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณน้ไี ดวาอยางไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ข้นั กําหนดวิธีการ (เพอ่ื การแกปญหาจากสถานการณดังกลาวนักเรียนคดิ วาจะแกปญหาในสถานการณนีไ้ ดอยาง
ไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ขนั้ การตรวจสอบผลลัพธ (จากการที่นกั เรียนไดเสนอวิธกี ารแกปญหาในสถานการณดงั กลาวแลวนกั เรยี นคิดวา
ผลทีไ่ ดจะเปนอยางไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
21
สถานการณ 2
มาลยั ปลูกบานอยูใกลกบั โรงงานถลุงถานหิน ครอบครวั ของมาลยั รับจางทาํ งานในโรงงานนี้เขาและคนในบาน
ดมื่ น้ำจากน้ำฝนทร่ี องใสแทงคเก็บน้ำเอาไวใชตลอดท้งั ป อยมู าไมนานมาลัยและคนในบานกม็ ีอาการออนเพลีย
ปวดศีรษะเปนไขบอย ๆ และในท่ีสุดตองไปนอนรักษาตวั ทีโ่ รงพยาบาลเลย
1. ขั้นระบปุ ญหา (ปญหาในสถานการณคอื อะไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ข้นั วิเคราะหปญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตขุ องปญหาในสถานการณนี้ไดวาอยางไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขน้ั กาํ หนดวิธกี าร (เพ่อื การแกปญหาจากสถานการณดงั กลาวนกั เรียนคดิ วาจะแกปญหาในสถานการณนไี้ ดอยาง
ไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ขน้ั การตรวจสอบผลลพั ธ (จากการที่นักเรียนไดเสนอวิธีการแกปญหาในสถานการณดังกลาวแลวนกั เรยี นคดิ วา
ผลท่ีไดจะเปนอยางไร)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คะแนนเตม็ 10 คะแนน
ได้ ........... คะแนน
22
บรรณานุกรม
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร. (2560). ฝนหลวงศาสตรพ์ ระราชา: การถอดบทเรยี นการปฏิบัตกิ ารฝนหลวง.
สืบคน้ เมือ่ 18 กรกฎาคม 2562, จาก http://royalrain.go.th/royalrain/uploads/
Academic/AAR_2560_0.pdf.
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2563). คมู่ ือครู รายวิชาเพิ่มเตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
เคมี ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 เล่ม 6.พิมพ์คร้ังท่ี 1 ; กรุงเทพฯ : โรงพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2562). หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพม่ิ เติมวทิ ยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยี เคมี เล่ม 1. พิมพค์ ร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ไทยรัฐออนไลน์. (2563). แนะวธิ ปี ฏิบัติตวั เมือ่ "แอมโมเนยี " ร่วั ไหล ศกึ ษาไว้เพือ่ ความปลอดภัย.
สบื คน้ เมอื่ 3 ธนั วาคม 2563, จาก https://www.thairath.co.th/news/local/1949650
23