The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชุดที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anocha Utumsakulrat, 2023-10-12 10:01:59

ชุดที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา

ชุดที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา


ก คำนำ ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา ตามแนวคิดแบบ โยนิโสมนสิการ จัดทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ความพึงพอใจทางการเรียนเคมี ส่งเสริม ความสามารถทางการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1-3 โรงเรียนสุวรรณา รามวิทยาคม โดยในทุกกิจกรรมได้จัดลำดับขั้นตอนที่เน้นการเพิ่มพูนประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนจะได้รับการทดสอบก่อนเรียน และศึกษาเนื้อหาความรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนศึกษาและสืบค้น โดยมีความรู้ เพิ่มเติมนอกเหนือจากในบทเรียน การตอบคำถาม การทำแบบฝึกหัด และทำกิจกรรมการทดลองตามขั้นตอน ตลอดจนทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อประเมินตนเองหลังจากการเรียนรู้ในแต่ละกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีใน การแก้ปัญหา ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการ จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้และความสามารถในการสืบค้น การจัดระบบสิ่งที่เรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ ได้เป็นอย่างดีสามารถ นำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจใช้เป็น แนวทาง ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้ต่อไป นางสาวอโนชา อุทุมสกุลรัตน์


ข เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ข้อแนะนำการเรียนรู้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ค โครงสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ง แบบทดสอบก่อนเรียน จ ขั้นที่ 1 การหาความรู้ ปฏิบัติการ ฝึกอ่าน : ฝึกคิด 1 - ทบทวนความรู้ก่อนเรียน 1 - ร่วม กัน คิด 1 2 - ร่วม กัน คิด 2 4 - เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา 4 - กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 6 - กิจกรรม สืบเสาะ ค้นหา 8 ขั้นที่ 2 สร้างความรู้ ปฏิบัติการ ฝึกทำ : ฝึกสร้าง 11 - กิจกรรมฝึกทำ : ฝึกสร้าง เรื่อง การแก้ปัญหาด้วยวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ความรู้ทางเคมี 11 ขั้นที่ 3 ซึมซับความรู้ ปฏิบัติการ คิดดี ผลงานดี มีความสุข 16 - นักวิทย์ฯ คิดอย่างมีวิจารณญาณ 16 แบบทดสอบหลังเรียน 18 บรรณานุกรม 20 สารบัญ


ค สำหรับนักเรียน จุดประสงค์ของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มุ่งหวังให้นักเรียนเป็นผู้มีความสามารถทางการจัดการ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านความรู้ความคิด 2. ด้านทักษะการจัดการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 3. ด้านค่านิยมต่อตนเองเพื่อสังคม ซึ่งนักเรียนจะได้เสริมสร้างความสามารถดังกล่าวดังนี้1.การหาความรู้(Operation) จากกิจกรรม การสืบเสาะ ค้นหา กิจกรรมร่วมกันคิด และกิจกรรมร่วมกันค้น 2.การสร้างความรู้(Combination) เป็น ขั้นฝึกการวิเคราะห์ประกอบด้วยการฝึกคิดแบบสืบสาวปัจจัยเหตุและแบบแยกแยะส่วนประกอบโดยใช้ ข้อความและสถานการณ์ เพื่อพัฒนาตนเอง 3. การซึมซับความรู้(Assimilation) เป็นขั้นที่ให้นักเรียน ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น หนังสือ อินเตอร์เน็ต ฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณ ฝึกทักษะ การเขียนเพื่อนำเสนอแก้ไขปัญหาที่พบ ประกอบการตอบคำถามฝึกการวิเคราะห์จุดเด่น และจุดด้อยของ ผลงาน ตรวจสอบและปรับปรุงเพื่อสร้างชิ้นงานใหม่ต่อไปได้และข้อเสนอแนะกับผู้อ่านได้โดยในทุก กิจกรรมได้จัดลำดับขั้นตอนที่เน้นการเพิ่มพูนประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นผู้มีความสามารถ ทางการจัดการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ดังนี้ 1. อ่าน และทำความเข้าใจในทุกขั้นตอนของกิจกรรมการเรียนรู้ 2.รักและสนใจตนเอง สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับตนเอง ว่าตัวเราเป็นผู้มีความสามารถมีศักยภาพอยู่ ในตัว และพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งที่สร้างสรรค์ 3. รู้สึกอิสระและแสดงออกอย่างเต็มความสามารถ 4. ฟัง คิด ถาม เขียน ปฏิบัติอย่างรอบคอบในทุกกิจกรรม ใช้เนื้อที่กระดาษที่จัดไว้สำหรับเขียนให้ เต็ม โดยไม่ปล่อยให้เหลือเปล่า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตนเอง 5. ใช้เวลาในการเรียนรู้อย่างคุ้มค่า ใช้ทุกๆ นาทีทำให้ตนเองมีความสามารถเพิ่มมากขึ้น 6. ตระหนักตนเองอยู่เสมอว่าจะเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อนำมาพัฒนาตนเองและพัฒนาสังคม จุดเด่นของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์คือ การสร้างคุณค่าที่ดีให้กับสังคม จึงขอเชิญชวนนักเรียน มาร่วมกันเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ด้วยใจรัก และ พัฒนาตนให้เต็มขีดความสามารถ ขอส่งความปรารถนาดีให้แก่นักเรียนทุกคนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างมีความสุขพึ่งตนเองได้และ เป็นผู้มีความสามารถทางการจัดการความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อสังคม ยิ่งๆ ขึ้น สืบไป ข้อแนะนำการเรียนรู้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์


ง สาระสำคัญ ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาเคมี สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวันการประกอบอาชีพหรืออุตสาหกรรม โดยใช้ความรู้ทางเคมีและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ระบุปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางเคมีจากสถานการณ์ที่กำหนด 2. ออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ทางเคมีและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การจัดกระบวนการเรียนรู้ใช้รูปแบบการจัดการความรู้ทางวิทยาศาสตร์มี3 ขั้น คือ 1. การหาความรู้(Operation) 2. การสร้างความรู้(Combination) 3. การซึมซับความรู้(Assimilation) เวลาที่ใช้ 15 ชั่วโมง การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ นักเรียนประเมินผลตนเองโดยใช้แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน-หลังเรียน โครงสร้างชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา


จ แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 1 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา วิชาเคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 15 นาที ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คําชี้แจง แบบทดสอบฉบับนี้ตองการวัดความสามารถในการคิดแกปญหาทางวิทยาศาสตร์ ให้นักเรียน เขียนคำตอบลงในช่องว่าง สถานการณ์ที่ 1 1. ขั้นระบุปญหา (ปญหาในสถานการณคืออะไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ขั้นวิเคราะห์ปญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณนี้ได้วาอย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ขั้นกำหนดวิธีการ (เพื่อการแกปญหาจากสถานการณดังกล่าวนักเรียนคิดวาจะแกปญหาในสถานการณนี้ ได้อย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ขั้นการตรวจสอบผลลัพธ์(จากการที่นักเรียนได้เสนอวิธีการแกปญหาในสถานการณดังกล่าวแลวนัก เรียนคิดวา ผลที่ได้ว่าเป็นอย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… บุญธรรมเป็นชาวไร่ก่อนปลูกพืชแต่ละครั้งเขาจะทำการไถที่ดินโดยใช้รถขนาดใหญ่ ซึ่งสะดวกและ รวดเร็วเมื่อปลูกพืชแล้วเขาจะบำรุงดูแลรักษาพืชไร่โดยใช้รถไถและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเมื่อเข้าไปฉีดพ่น สารฆ่าแมลงรดน้ำและพรวนดินนอกจากนี้ยังใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อผลผลิตทำให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก และมีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของตลาดต่อมาปรากฏว่าคุณภาพดินในที่นั้นเสื่อมลงโดยดินมีลักษณะ แข็งและแน่นทดลองไถพรวนให้ลึกกว่าเดิมแต่เมื่อ ปลูกพืชรดน้ำและใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ตามปกติแล้ว 1-2 เดือนต่อมาดินก็จะแข็งและแน่นเช่นเดิมเขาได้สังเกตพบว่าปัญหาเช่นนี้จะไม่เกิดกับชาวไร่ที่ใช้รถ ไถขนาดเล็กและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการบำรุงดินเลย


0 สถานการณ 2 1. ขั้นระบุปญหา (ปญหาในสถานการณคืออะไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ขั้นวิเคราะห์ปญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณนี้ได้วาอย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ขั้นกำหนดวิธีการ (เพื่อการแกปญหาจากสถานการณดังกล่าวนักเรียนคิดวาจะแกปญหาในสถานการณนี้ ได้อย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ขั้นการตรวจสอบผลลัพธ์ (จากการที่นักเรียนได้เสนอวิธีการแกปญหาในสถานการณดังกล่าวแลวนัก เรียนคิดวา ผลที่ได้ว่าเป็นอย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คะแนนเต็ม 10 คะแนน ได้ ........... คะแนน มาลัยปลูกบานอยูใกลกับโรงงานถลุงถหิน ครอบครัวของมาลัยรับจ้างทำงานในโรงงานนี้เขาและคน บ้านดื่มน้ำจากน้ำฝนที่รองใสแทงคเก็บน่านไวใชตลอดทั้งป อยู่มาไม่นานมาลัยและคนในบ้านก็มี อาการออนเพลีย ปวดศีรษะเป็นไขบ่อย ๆ และในที่สุดตองไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย


1 ขั้นที่1 การหาความรู้ Operation ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาเคมีสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่เกิด ขึ้น ในชีวิตประจำวันการประกอบอาชีพ หรืออุตสาหกรรมได้เช่น การใช้ความรู้วิชาเคมีในโครงการฝน หลวงซึ่งก่อกำเนิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงห่วงใยต่อความเดือดร้อนของประชาชนอันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้ง ซึ่งมีสาเหตุมา จากความผันแปรและความคลาดเคลื่อนของธรรมชาติเช่น ฤดูฝนเริ่มต้นล่าช้าเกินไปหรือหมดเร็วกว่าปกติ ฝนทิ้งช่วงระยะยาวในระหว่างฤดูฝนซึ่งสภาวะแห้งแล้งดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นนอกจากนี้การตัด ไม้ทำลายป่ายังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมของธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สภาพอากาศจาก พื้นดินถึงระดับฐานเมฆไม่เอื้ออำนวยต่อการรวมตัวของเมฆและยากต่อการเหนี่ยวนำให้ฝนตกลงสู่พื้นดินทำ ให้ฝนไม่ตกหรือตกแต่มีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าปกติ แต่ทรงเชื่อมั่นว่า “การดัดแปรอากาศเพื่อให้เกิดฝน” น่าจะเป็นมาตรการหนึ่งที่จะป้องกันและแก้ปัญหาได้และทรงพระราชทานตำราฝนหลวงเพื่อเป็นแนว ปฏิบัติในการแก้ปัญหาดังกล่าว 1. ใส่เครื่องหมาย หน้าข้อความที่ถูกต้อง และใส่เครื่องหมาย หน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง ….… 1.1 วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีการใช้การทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ….… 1.2 ผลการทดลองจะต้องสอดคล้องกับสมมติฐาน ….… 1.3 การเขียนสมมติฐานควรระบุตัวแปรต้นและตัวแปรตามให้ชัดเจน ….… 1.4 นิยามเชิงปฏิบัติการช่วยในการกำหนดวิธีและขอบเขตของการทดลอง ….… 1.5 การเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ไม่มีผลต่อค่าของตัวแปรตาม 2. พิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้ ตั้งสมมติฐาน ระบุตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ พร้อม กำหนดนิยาม เชิงปฏิบัติการของตัวแปรตาม โดยกรอกข้อมูลในกรอบที่กำหนดให้ คำตอบ การใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา เล่มที่ 1 เวลา 15 ชั่วโมง ปฏิบัติการ ฝึกอ่าน : ฝึกคิด เมื่อผสมสารละลาย A กับสารละลาย B จะมีฟองแก๊สเกิดขึ้น ในการศึกษาอัตราการเกิดแก๊ส ของปฏิกิริยาดังกล่าว นักเรียนคนหนึ่งได้ทำการทดลองดังนี้ 1. ใส่สารละลาย A 0.5 mol/L ปริมาตร 5 mL ลงในหลอดทดลองที่ 1 และสารละลาย B 0.5 mol/L ปริมาตร 5 mL ลงในหลอดทดลองที่ 2 2. เทสารละลายในหลอดทดลองที่ 1 ลงในหลอดทดลองที่ 2 ที่อุณหภูมิห้องและวัดอัตราการเกิด แก๊ส 3. ทำซ้ำข้อ 1–2 แต่ก่อนผสมให้นำหลอดทดลองทั้งสองหลอดแช่ในน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 70o C ประมาณ 2 นาที 4. ทำซ้ำข้อ 3 แต่แช่หลอดทดลองทั้งสองหลอดในน้ำเย็นที่อุณหภูมิ 10o C แทน น้ำร้อน ตรวจสอบความรู้ก่อนเรียน 1


2 สมมติฐาน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ตัวแปร ตัวแปรต้น ………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………… ตัวแปรตาม …………………………………………….……………………………………………………………………………………………………… ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… นิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปรตาม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนิน เยี่ยมราษฎรในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร 15 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี พ.ศ.2498 ท่านได้ ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎร และเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เมื่อเสด็จพระราช ดำเนินกลับถึงกรุงเทพมหานคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกร เข้า เฝ้าฯ แล้วพระราชทานแนวความคิดนั้นแก่ หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ในพ.ศ. 2542 ยังโปรดเกล้าฯ ให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและเทคนิคควบคู่กันไปด้วย ซึ่งทรงสามารถพัฒนากรรมวิธีการทำฝนหลวงให้ ก้าวหน้าขึ้น คือ เป็นการปฏิบัติการฝนหลวงโดยการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนโดยเทคโนโลยีฝนหลวง จากทั้งเมฆอุ่นและเมฆเย็นพร้อมกัน เรียกนวัตกรรมใหม่ล่าสุดว่า SUPER SANDWICH TECHNIC ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… นักเรียนจะเห็นได้ว่า สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว เช่น อาหาร ยานพาหนะ ยา อุปกรณ์ไฟฟ้าการคิดค้น ประดิษฐ์ หรือปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น เกี่ยวข้อง กับการใช้ความรู้ในวิชาเคมีทั้งสิ้น ฝนหลวง ฝนเทียม คือ อะไร? ร่วม กัน คิด 1


3 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริขั้นตอนการทำฝน โดยทรงสังเกต วิเคราะห์ข้อมูล ในขั้นต้นว่าบางครั้งถึงแม้จะมีเมฆมาก แต่ไม่สามารถรวมตัวกันจนเกิดฝนได้พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าโดย เน้นความจำเป็นในด้านพัฒนาการ และปรับปรุงกรรมวิธีในการทำฝนในแนวทางของการออกแบบ ปฏิบัติการ ทรงใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการใช้ประโยชน์ของเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อศึกษา รูปแบบเมฆและการปฏิบัติการทำฝนให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ พระองค์ทรงวิเคราะห์การทำฝนหลวง ว่ามี 3 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนที่ 1 ก่อกวนให้เกิดเมฆ เป็นการกระตุ้นให้ความชื้นหรือไอน้ำรวมตัวเป็นกลุ่มแกนเพื่อใช้ เป็นการกลางในการสร้างกลุ่มเมฆฝนในระยะต่อมาวิธีการคือโปรยสารเคมีที่ก่อให้เกิดกระบวนการกลั่นตัว ของไอน้ำในอากาศได้แก่ เกลือแกง ที่ความสูงประมาณ 7,000 ฟุตความชื้นหรือไอน้ำจะดูดซับเข้าไปเกาะ รอบแกนเกลือ แล้วรวมตัวกันเกิดเป็นเมฆที่จะพัฒนาเจริญขึ้นเป็นเมฆก้อนใหญ่ที่อาจสูงถึง 1,000 ฟุต ขั้นตอนที่ 2 เลี้ยงเมฆให้อ้วน เป็นการเพิ่มแกนเม็ดไอน้ำให้กลุ่มเมฆฝนมีความหนาแน่นมากขึ้นใช้ สารเคมีผงแคลเซียมคลอไรด์โดยเข้าไปที่กลุ่มเมฆที่มีความสูงประมาณ 8,000 หรือสูงกว่าฐานเมฆประมาณ 1,000 ขั้นตอนนี้สามารถเร่งกิจกรรมการกลั่นตัวของไอน้ำได้เร็วกว่าที่จะปล่อยให้เจริญขึ้นเองตามธรรมชาติ เมฆใหญ่อาจจะก่อยอดขึ้นถึงระดับ 15,000 ฟุต ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นส่วนของเมฆอุ่นแต่ในบางครั้ง ยอดเมฆอาจจะสูงถึง 20,000 ฟุต ซึ่งถือว่าเป็นส่วนของเมฆเย็น (เริ่มตั้งแต่ประมาณ 18,000 ฟุต) ขั้นตอนที่ 3 โจมตีเป็นการเร่งหรือบังคับให้เกิดฝน ขณะที่เมฆเจริญเติบโตขึ้นจนเริ่มแก่ตัวจัดจน ฐานเมฆลดระดับต่ำลงประมาณ 1,000 ฟุต และเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายจึงปฏิบัติการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานขั้นตอนการโจมตีไว้ดังนี้ 1) แบบ Sandwich เป็นเทคนิคปฏิบัติการที่ความสูงไม่เกิน 1,000 ฟุต (เมฆอุ่น) ใช้ผงโซเดียม คลอไรด์โปรยทับยอดเมฆด้านเหนือลม เพราะผงยูเรียโปรยที่ระดับฐานเมฆใต้ลมในเวลาเดียวกัน โดยให้ แนวโปรยทั้งสองทำมุมเยื้องกัน 45 องศาด้วยปฏิบัติการนี้เมฆจะทวีความหนาแน่นของเม็ดน้ำขนาดใหญ่ขึ้น และปริมาณมากขึ้นจนตกลงมารวมตัวกันที่ฐานเมฆทำให้ใกล้จะเกิดฝน วิธีการนี้จะต้องเสริมการโจมตีด้วย การโปรยสารเคมีสูตรเย็นจัดคือน้ำแข็งแห้งที่ใต้ฐานเลข 1,000 ฟุตเพื่อเร่งให้กลุ่มฝนตกลงเร็วขึ้น 2) แบบเมฆเย็น เป็นกรณีที่ยอดเมฆสูง มาจนถึงระดับเมฆเย็น หรือประมาณ 20,000 ฟุต ดังที่ ได้กล่าวไว้แล้ว วิธีการคือ ใช้สารซิลเวอร์ไอโอไดด์ยิงจากเครื่องบินที่ระดับความสูงประมาณ 21,500 ฟุต ทำให้ไอน้ำระเหยจากเม็ดน้ำเย็นยิ่งยวดมาเกาะตัวรวมกันของสารเคมีที่ยิง กลายเป็นผลึกน้ำแข็งจนกระทั่ง ตกลงมาและละลายเป็นเม็ดน้ำเมื่อเข้าสู่ระดับเมฆอุ่น ทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเข้ามาเกาะรวมตัว เป็นเม็ดใหญ่ขึ้นทะลุฐานเมฆเป็นฝนตกลงมาสู่พื้นดิน 3) แบบ Super Sandwich เป็นเทคนิคใหม่ที่ทรงคิดค้นขึ้นในปีพ.ศ 2542 ด้วยน้ำพระราช หฤทัยที่ทรงห่วงใยพสกนิกรและพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในช่วงสถานการณ์ภัยแล้งอย่างกว้างขวาง สืบเนื่องยาวนานตั้งแต่ปีพ.ศ 2540 จากปรากฏการณ์เอลนีโญ ปฏิบัติการนี้ใช้วิธีการแบบแซนวิชและแบบ เมฆเย็นควบคู่กันในเวลาเดียว กัน จะทำให้ฝนตกหนักและต่อเนื่องยาวนานในปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็น ประสานประสิทธิภาพของการโจมตีเมฆอุ่นและเมฆเย็นในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทุกขั้นตอนจะต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกใช้ ปริมาณสารเคมีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศภูมิประเทศ ทิศทางและความเร็วของลม ตลอดจนกำหนดบริเวณหรือแนวพิกัดที่จะโปรยสารเคมี ที่มา : อ้างอิงจาก The aerospace 2549 (ฝนหลวง) หน้า 23-25 หลักการทำฝนเทียม


4 รูปที่ 1 ขั้นตอนในการผลิตฝนหลวง (ที่มา: https://www.facebook.com/math.ipst/posts/1663282907296862/) การทำฝนหลวงใช้ความรู้วิชาเคมีเรื่องใดบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… นักวิทยาศาสตร์นิยมใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ในการแสวงหาคำตอบ ของปรากฏการณ์ต่างๆในธรรมชาติ รวมทั้งยังใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการหาความรู้ที่เป็นพื้นฐานใน การพัฒนาเทคโนโลยีหรือการแก้ปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีขั้นตอนและ การใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา ร่วม กัน คิด 2


5 กระบวนการทำงานที่เป็นระบบซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ คือ การสังเกตและการตั้งคำถาม การ ตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผล และ การสรุปผล 1. การสังเกตและการตั้งคำถาม (Observation and question) • การสังเกต (Observation) เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถาม • การสังเกต ที่ละเอียดรอบคอบนำไปสู่คำถามที่ชัดเจน 2. การตั้งสมมติฐาน (Formulation of Hypothesis) • คาดคะเนคำตอบของคำถามโดยใช้ความรู้หรือข้อมูล • ระบุความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม • นำไปสู่การออกแบบวิธีการตรวจสอบสมมติฐาน 3. การตรวจสอบสมมติฐาน (Testing The Hypothesis) • พิสูจน์สมมติฐาน • นิยมใช้การทดลองภายใต้ภาวะควบคุมได้ข้อมูลหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ 4. รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผล (Data Collection And Analysis) • รวบรวมข้อมูลจากการทดลองมาจัดทำให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม • วิเคราะห์และอภิปรายผลการทดลอง 5. สรุปผล (Conclusion) • สรุปความรู้หรือข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่ • ตั้งสมมติฐานใหม่หากบทขัดแย้งกับสมมติฐาน • ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม การระบุปัญหาหรือกำหนดโจทย์วิจัยของนักวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยข้อมูลจากการสังเกต นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัยใช้ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตในการตั้งคำถามหรือโจทย์วิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหา การตั้งคำถามจะทำได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อมีข้อมูลมากขึ้น เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหา ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสังเกตเห็นว่าในพื้นที่แห้งแล้งที่ฝนไม่ตกทั้งที่มีเมฆกระจายอยู่ บนท้องฟ้า แต่เมฆเหล่านี้ไม่รวมตัวกันให้ใหญ่พอจนเป็นเมฆฝนได้ จึงอาจนำมาสู่คำถามที่ว่า “ทำอย่างไรให้ เมฆรวมตัวกันแล้วเกิดเป็นฝนได้” จากคำถามข้างต้นจะเห็นว่ามีตัวแปรต้นหลายตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการ รวมตัวของเมฆที่ทำให้เกิดฝนได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีคำถามและสมมติฐานย่อยเพื่อนำไปสู่การกำหนดตัวแปรใน การทดลอง ดังตัวอย่างในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ตัวอย่างคำถามและสมมติฐานจากกรณีการทำฝนหลวง คำถาม สมมติฐาน 1. ระดับความชื้นในอากาศมีผลต่อการรวมตัวของ เมฆหรือไม่อย่างไร ระดับความชื้นในอากาศมีผลต่อการรวมตัวกัน ของเมฆ 2. สารชนิดใดที่ช่วยให้เมฆมารวมตัวกันได้ สารที่มีสมบัติดูดความชื้นเช่น โซเดียมคลอไรด์มี ผลทำให้เมฆรวมตัวกัน 3. ปริมาณของโซเดียมคลอไรด์ที่เหมาะสมต่อการ รวมตัวของเมฆเป็นเท่าใด โซเดียมคลอไรด์ปริมาณมากขึ้นทำให้เมฆรวมตัว กันได้ดีขึ้น 4. ระดับความสูงที่เหมาะสมในการโปรยโซเดียมคลอ ไรด์ควรเป็นเท่าใด การโปรยโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับความสูงบริเวณ ฐานเมฆจะทำให้เมฆรวมตัวกันได้ดี 5. ความเร็วลมมีผลต่อการรวมตัวกันของเมฆหรือไม่ อย่างไร ความเร็วลมมีผลต่อการรวมตัวของเมฆ


6 ตัวอย่างคำถามในตาราง 1 เป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรต้นซึ่งมีผลต่อตัวแปรตามร่วมกันคือ การรวมตัวของเมฆที่เกิดเป็นฝนได้ และคำถามเหล่านี้ช่วยกำหนดขอบเขตของการทดลองที่จะใช้ตอบ คำถามหรือพิสูจน์สมมติฐานได้ชัดเจนขึ้น สถานการณ์ ปาท่องโก๋ ที่ขายในร้านหน้าปากซอยมีความกรอบมากแต่มีกลิ่นฉุนของแอมโมเนีย ขนาดรับประทานเมื่อสอบถามกับทางร้านถึงส่วนประกอบและวิธีทำปาท่องโก๋เจ้าของร้านได้ให้ข้อมูลดังนี้ วิธีทำ 1. ร่อนแป้งสาลีปริมาณ 1 กิโลกรัมแล้วพักไว้ 2. ชั่งผงฟู 4 กรัม ยีสต์แห้ง 0.8 กรัม เกลือ 20 กรัมน้ำตาลทราย 80 กรัม เบกกิ้งโซดา 1 กรัม และ แอมโมเนียมไบคาร์บอเนต 30 กรัม เทส่วนผสมทั้งหมดลงในน้ำ 800 ml คนจนสารละลายหมด 3. ชั่งน้ำมันถั่วเหลือง 50 กรัม เติมลงในส่วนผสมในข้อ 2 คนให้น้ำมันกระจายตัวจากนั้นเติมลงบน แป้งที่ร่อนเตรียมไว้ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน 4. หมักส่วนผสมไว้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง ในภาชนะที่ปิดมิดชิด 5. นำส่วนผสมในข้อ 4 เทลงบนถาดที่โรยแป้งสาลีไว้แล้ว จากนั้นใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งบนแป้งจนได้แผ่น แป้งมีความหนาประมาณ 0.5 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วตัดแป้งเป็นชิ้นๆ ขนาดประมาณ 1 นิ้ว × 2 นิ้วจากนั้นใช้น้ำแตะตรงกึ่งกลางของชิ้นแป้งแล้วนำแป้ง 2 ชิ้นมาประกบกัน 6. ทอดแป้งในกระทะโดยใช้น้ำมันถั่วเหลืองที่อุณหภูมิประมาณ 190-200 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 นาที แล้วนำขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันในตะแกรง จากสถานการณ์ดังกล่าวสามารถระบุปัญหาและออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการ ทางวิทยาศาสตร์และความรู้ทางเคมีได้ดังนี้ ปัญหา : ปาท่องโก๋มีกลิ่นฉุนของแอมโมเนีย คำถาม : ………………………………………………………………………………………………………………………….… การสืบค้นข้อมูลและการตั้งสมมติฐาน จากข้อมูลส่วนประกอบของปาท่องโก๋นักเรียนอาจใช้ความรู้ทางเคมีคาดการณ์ได้ว่ากลิ่น แอมโมเนีย (NH3) ในปาท่องโก๋ น่าจะมาจากแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต (NH4HCO3) เมื่อถูกค้นข้อมูล เพิ่มเติมพบว่า แอมโมเนียมไบคาร์บอเนต เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดการสลายตัวให้แก๊สแอมโมเนียซึ่ง นอกจากแก๊สแอมโมเนียแล้วยังเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำอีกด้วยด้วยแก๊สที่เกิดขึ้นน่าจะเป็น ส่วนที่ช่วยให้ปาท่องโก๋กรอบ เช่น เดียวกับยีสต์เบกกิ้งโซดาหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) ผงฟู วัตถุดิบ ปริมาณ วัตถุดิบ ปริมาณ แป้งสาลี 1000 กรัม ผงฟู 4 กรัม เกลือ 20 กรัม น้ำ 800 ml เบกกิ้งโซดา 1 กรัม น้ำมันถั่วเหลือง 50 กรัม น้ำตาลทราย 8 กรัม ยีสต์แห้ง 0.8 กรัม แอมโมเนียมไบคาร์บอเนต 30 กรัม ตรวจสอบความเข้าใจ


7 (ของส่วนผสมของโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตและกรด ตัวอย่าง กรดเช่นโพแทสเซียมไบทาร์เทรต (KC4H5O6)) ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น ข้อมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี: การสลายตัวของแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตเมื่อได้รับความร้อน การสลายตัวของโซเดียมไบคาร์บอเนตเมื่อได้รับความร้อน การหมักแป้งด้วยยีสต์ ปฏิกิริยาของกรด-เบสในผงฟู ข้อมูลเกี่ยวกับความกรอบ: ขณะทอดปาท่องโก๋จะมีแก๊สเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อได้รับความร้อนจะขยายตัวและ หลุดออกจากเนื้อแป้งพร้อมกับพาความชื้นที่อยู่ในเนื้อแป้งออกไป ด้วยทำให้แป้งมีผิวที่แข็งและกรอบขึ้น จากปฏิกิริยาเคมีที่สืบค้นได้จะเห็นว่า มีเพียงแอมโมเนียมไคาร์บอเนตที่ให้แก๊สแอมโมเนียซึ่งเป็น สาเหตุของกลิ่นฉุน อย่างไรก็ตาม แอมโมเนียมไบคาร์บอเนตให้ทั้งแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สแอม โมเนียที่ช่วยทำให้ปาท่องโก๋กรอบได้มากกว่าส่วนผสมอื่นที่ให้เพียงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จากข้อมูลดังกล่าวสามารถนำไปสู่การตั้งคำถามและสมมติฐานย่อยที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการ ออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานได้ดังตัวอย่าง คำถาม สมมติฐาน 1. ปริมาณแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตเท่าใด ปาท่องโก๋จึงจะไม่ มีกลิ่นและยังคงความกรอบ แอมโมเนียมไบคาร์บอเนตทำให้ปาท่องโก๋ไม่มีกลิ่นได้ ยังคงความกรอบ 2. ถ้าใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตแอมโมเนียมไบคาร์ บอเนตต้องใช้ปริมาณเท่าใด ………………………………………………………………............. …………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………. การตรวจสอบสมมติฐาน การออกแบบวิธีการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐานของแต่ละคำถามสามารถทำได้ดังนี้ คำถาม 1) ตั้งคำถาม • ปริมาณแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตเท่าใดปาท่องโก๋จึงจะไม่มีกลิ่นและยังคงความกรอบ ตั้งสมมติฐาน • การลดปริมาณแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตทำให้ปาท่องโก๋ไม่มีกลิ่นและยังคงความกรอบ กำหนดตัวแปร • ตัวแปรต้น ปริมาณแอมโมเนียมไบคาร์บอเนต • ตัวแปรตาม กลิ่น และความกรอบของปาท่องโก๋ ∆ ยีสต์ ยีสต์ NH4HCO3(s) → NH3(g) + H2O(g) + CO2(g) 2NaHCO3(s) → Na2CO3(s) + CO2(g) + H2O(g) แป้ง → C6H12O6(s) → 2C2H5OH (l) + 2CO2(g) NaHCO3(aq) + KC4H5O6 (aq) → KNaC4H4O6(aq)+ CO2(g) + H2O(g)


8 • ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ ปริมาณของส่วนประกอบอื่นๆ วิธีผสมส่วนประกอบ ชนิดของน้ำมันที่ใช้ทอด อุณหภูมิและระยะเวลาที่ใช้ในการทอด ผู้ทดสอบกลิ่นและความกรอบของปาท่องโก๋ ตรวจสอบสมมติฐาน 1. ทำปาท่องโก๋ตามสูตรของร้านค้าจากสถานการณ์ที่กำหนดให้ เพื่อใช้เป็นตัวเปรียบเทียบ 2. ทำปาท่องโก๋ตามสูตรของร้านค้าจากสถานการณ์ที่กำหนดให้ แต่ลดปริมาณของ NH4HCO3 เป็น ครึ่งหนึ่งและหนึ่งในสี่ 3. เปรียบเทียบกลิ่นและความกรอบของปาท่องโก๋ที่ได้ในข้อ 2 กับปาท่องโก๋ในข้อ 1 คำถาม 2) ตั้งคำถาม • ถ้าใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตแทนแอมโมเนียมไบคาร์บอเนตต้องใช้ปริมาณเท่าใด ตั้งสมมติฐาน • ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… กำหนดตัวแปร • ตัวแปรต้น ……………………………………………………………………………………………………………….. • ตัวแปรตาม ………………………………………………………………………………………………………………. • ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ ……………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………... ………………………………………………………………………………….….. ………………………………………………………………………………….….. ตรวจสอบสมมติฐาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… หากต้องการทราบว่า อุณหภูมิของน้ำมันและระยะเวลาที่ใช้ในการทอดมีผลต่อกลิ่นและความกรอบ ของปาท่องโก๋หรือไม่ สามารถตั้งคำถามย่อย สมมติฐาน ระบุตัวแปรที่เกี่ยวข้องและออกแบบการทดลอง เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… กิจกรรม สืบเสาะ ค้นหา


9 ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


10 ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


11 ตรวจสอบความรู้ น าสู่ปั ญญา เรื่อง การแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ความรู้ทางเคมี จุดประสงค์ของกิจกรรม 1. ระบุปัญหาจากสถานการณ์ที่กำหนดให้ 2. ตั้งคำถาม สมมติฐาน และระบุตัวแปรจากสถานการณ์ที่กำหนดให้โดยใช้ความรู้ทางเคมี 3. ออกแบบวิธีการตรวจสอบสมมติฐาน 4. นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหา วิธีทำกิจกรรม 1. พิจารณาสถานการณ์ปัญหาที่กำหนดให้ต่อไปนี้ ช่องโหว่โอโซน ชั้นโอโซนในบรรยากาศช่วยดูดซับรังสี UVB ไม่ให้ผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลกแต่ผลจาก การใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ทำให้ชั้นโอโซนในบรรยากาศเบาบางลงจนบาง บริเวณเกิดเป็นช่องโหว่ โอโซน เช่น ขั้วโลกใต้ การลดลงของชั้นโอโซนในบรรยากาศส่งผลให้รังสีUVB ผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลกมากขึ้นซึ่งรังสี UVB เป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ดังนั้นการป้องกันตนเองจากรังสีดังกล่าวจึงช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำ ให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ สาร CFCs (Chlorofluorocarbons) ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมทำโฟมใช้เป็นสารผลักดันใน กระป๋องสเปรย์ใช้เป็นสารทำความเย็นดังนั้นจึงได้มีข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อควบคุมการใช้สาร CFCs ซึ่งเรียกว่า พิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2530 ส่งผล ให้เกิด ปัญหาช่อง โหว่โอโซนลดลง อย่างไรก็ตามการทำให้ปริมาณของโอโซนในชั้นบรรยากาศกลับมาเหมือนเดิมต้องใช้ระยะ เวลานาน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา สถานการณ์ 1 นักเรียนเป็นพนักงานในโรงงานทำโฟมฉนวนความร้อนแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ปรับปรุงการ ผลิตโฟม ฉนวนความร้อนโดยใช้แก๊สชนิดอื่นแทน CFCs สถานการณ์ 2 นักเรียนเป็นนักเคมีในบริษัทผลิตเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ผลิตครีมกันแดดที่ สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 2. เลือกสถานการณ์ที่สนใจและระบุปัญหาและตั้งคำถามโดยใช้ความรู้ทางเคมี 3. สืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องแล้วตั้งสมมติฐานและกำหนดตัวแปร 4. ออกแบบวิธีการตรวจสอบสมมติฐาน 5. นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหา ผลการทำกิจกรรม สถานการณ์ 1 นักเรียนเป็นพนักงานในโรงงานทำโฟมฉนวนความร้อนแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ปรับปรุงการ ผลิตโฟม ฉนวนความร้อนโดยใช้แก๊สชนิดอื่นแทน CFCs ขั้นที่2 สร้างความรู้ Combination ปฏิบัติการ ฝึกท า : ฝึกสร้าง


12 คำสำคัญ สำหรับสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม เช่น - การเกิดปฏิกิริยาของโอโซนกับ CFC - สารทำโฟม (foam blowing agents) - สารทดแทน CFC (CFC replacement) - การทดสอบสมบัติของโฟมฉนวนความร้อน (thermal conductivity properties tests) ปัญหา ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถาม ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… การสืบค้นข้อมูล ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………


13 ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามย่อย ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… สมมติฐาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ตัวแปร ตัวแปรต้น ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ตัวแปรตาม …………………………………………..…………………………………………………………………………………………… ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ตรวจสอบสมมติฐาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… สถานการณ์ 2 นักเรียนเป็นนักเคมีในบริษัทผลิตเครื่องสำอางแห่งหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ผลิตครีมกันแดดที่ สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ คำสำคัญ สำหรับสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม เช่น


14 - ส่วนผสมในครีมกันแดด (sunblock or sunscreeningredients) - สารป้องกันรังสี UVB (UVB protection) - ประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UVB ปัญหา ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… คำถาม ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… การสืบค้นข้อมูล ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… คำถามย่อย ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..…………………………………………………………………………………………………


15 ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… สมมติฐาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ตัวแปร ตัวแปรต้น ……………………………………..………………………………………………………………………………………………… ตัวแปรตาม …………………………………………..…………………………………………………………………………………………… ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ตรวจสอบสมมติฐาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………


16 นักวิทย์ฯ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คำชี้แจง ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม อ่านข่าวที่กำหนดให้และเติมข้อความลงในช่องว่างให้ถูกต้องและสมบูรณ์ กรมการแพทย์ เตือนสาร "แอมโมเนีย" ที่พบเห็นทั่วไปในชีวิตประจำวันตามร้านสะดวกซื้อ ร้าน ขายของชำ หากเกิดการรั่วไหลอาจเกิดอันตรายได้ แนะวิธีปฏิบัติตัว เพื่อความปลอดภัยของตนเองและคน รอบข้าง นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า "แอมโมเนีย" เป็นสารเคมีที่เป็น อันตรายสูงต่อสุขภาพ เนื่องจากเป็นสารกัดกร่อนผิวหนัง ดวงตา ปอด และระบบการหายใจ ซึ่งแก๊สมี คุณสมบัติละลายน้ำได้ดี เข้าสัมผัสหรือเข้าสู่ร่างกาย จะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะระบบทางเดิน หายใจส่วนบนได้รับอันตราย ซึ่งในกรณีที่ได้รับปริมาณน้อย จะมีอาการไอ หลอดลมตีบ แต่หากได้รับสาร ในปริมาณมากหรือเป็นระยะเวลานาน จะมีอาการทางเดินหายใจส่วนบนบวม ไหม้ หรืออุดกั้น จนเกิดเสียง ผิดปกติขณะหายใจเข้าได้ ซึ่งในบางกรณีอาจมีความรุนแรงถึงขั้นทำลายปอด นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายมักพบอาการอื่นๆ ร่วม ได้แก่ กล่องเสียงอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, หายใจดังวี้ด, หอบเหนื่อย, เจ็บหน้าอก, น้ำท่วมปอด, ปอดอักเสบ, ขาดออกซิเจน หากสัมผัสผิวหนัง จะทำ ให้ระคายเคืองและไหม้ได้ หากสัมผัสตา จะทำให้เยื่อบุตาขาวอักเสบ น้ำตาไหล ระคายเคืองกระจกตา ตา บอดชั่วคราวหรือถาวรได้ อาการระยะยาว ผู้ที่สัมผัสแก๊สเป็นระยะเวลานาน อาจมีอาการไอเรื้อรัง เหนื่อย การทำงานปอดผิดปกติ หากเกิดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียในปริมาณน้อย เริ่มแรกให้แยกผู้คนออกห่างจากบริเวณที่ รั่วไหลเป็นระยะทาง 30 เมตร ในเวลากลางวัน และ 100 เมตรในเวลากลางคืน หรือหากมีการรั่วไหลใน ปริมาณมาก ให้แยกผู้คนออกห่างจากบริเวณรั่วไหลเป็นระยะทาง 150 เมตร ในเวลากลางวัน และ 800 เมตร ในเวลากลางคืน ทางด้าน นายแพทย์สมบูรณ์ ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กล่าวเพิ่มเติม แนว ทางการระงับเหตุฉุกเฉินการรับสารแอมโมเนีย เข้าสู่ร่างกายทางการหายใจ การกินหรือการซึมผ่านผิวหนัง อาจทำให้เสียชีวิต ไอระเหยอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและการกัดกร่อนอย่างรุนแรง การสัมผัสอาจทำ ให้เกิดแผลไหม้บาดเจ็บสาหัสหรือเนื้อตายจากความเย็นจัด หากสารลุกไหม้อาจทำให้เกิดก๊าซที่มีฤทธิ์ ระคายเคือง/เป็นพิษ สำหรับแนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุก่อนถึงโรงพยาบาล มีดังนี้ ให้เคลื่อนย้าย ผู้ประสบเหตุไปยังที่อากาศบริสุทธิ์ ให้คนไข้นอนราบกับพื้น หายใจช้าๆ เปิดตาเท่าที่จำเป็น ใช้ผ้าบางชุบน้ำ เปียกปิดปากและจมูกระหว่างขนย้ายออกจากพื้นที่ ให้ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนแอมโมเนียออกทันที แต่ในกรณี เสื้อผ้าที่เย็นแข็งติดผิวหนัง ต้องทำให้อ่อนตัวก่อนถอดล้างร่างกายด้วยน้ำอุ่นสะอาดอย่างน้อย 15 นาที แนะวิธีปฏิบัติตัวเมื่อ "แอมโมเนีย" รั่วไหล ศึกษาไว้เพื่อความปลอดภัย : ที่มา ข่าวไทยรัฐออนไลน์10 ต.ค. 2563 14:25 น. ขั้นที่3 ซึมซับความรู้ ปฏิบัติการ คิดดี ผลงานดี มีความสุข Assimlation


17 • กรณีที่แอมโมเนียสัมผัสตา ให้ล้างออกด้วยน้ำปริมาณมากๆ โดยเปิดน้ำไหลผ่านตา อย่างน้อย 15 นาที แล้วรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว • กรณีที่แอมโมเนียสัมผัสผิวหนังให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่ • กรณีหายใจเอาแอมโมเนียเข้าไป ควรรีบเคลื่อนย้ายจากที่เกิดเหตุไปไว้ในที่อากาศถ่ายเท ถ้าผู้ประสบ เหตุหายใจอ่อนให้ใช้ออกซิเจนช่วยหายใจ นาน 2 นาที แต่ไม่เกิน 15 นาที แต่หากหัวใจหยุดเต้นให้ ปั๊มหัวใจทันที • กรณีกลืนกินแอมโมเนีย ให้บ้วนปากด้วยน้ำมากๆ และดื่มน้ำ 1 แก้ว และทำให้อาเจียนโดยใช้ยาขับ เสมหะหรือวิธีการล้วงคอ อย่างไรก็ตาม ยกเว้นในรายที่หมดสติ ให้รีบนำส่งแพทย์ทันที และหากอยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อ การรั่วไหลของแอมโมเนีย ให้เตรียมอุปกรณ์และสถานที่ให้พร้อมใช้งานเสมอ คะแนนที่ได้…………….คะแนน ประเภทของข่าว ………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………. . พาดหัวข่าว ………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………. . เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในข่าว ………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………


18 แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยที่ 2 เรื่องการใช้ความรู้ทางเคมีในการแก้ปัญหา วิชาเคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 15 นาที คําชี้แจง แบบทดสอบฉบับนี้ตองการวัดความสามารถในการคิดแกปญหาทางวิทยาศาสตร์ ให้นักเรียน เขียนคำตอบลงในช่องว่าง สถานการณ์ที่ 1 1. ขั้นระบุปญหา (ปญหาในสถานการณคืออะไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ขั้นวิเคราะห์ปญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณนี้ได้ว่าอย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ขั้นกำหนดวิธีการ (เพื่อการแกปญหาจากสถานการณดังกล่าวนักเรียนคิดวาจะแกปญหาในสถานการณนี้ ได้อย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ขั้นการตรวจสอบผลลัพธ์(จากการที่นักเรียนได้เสนอวิธีการแกปญหาในสถานการณดังกล่าวนักเรียนคิด ว่า ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… บุญธรรมเป็นชาวไร่ก่อนปลูกพืชแต่ละครั้งเขาจะทำการไถที่ดินโดยใช้รถขนาดใหญ่ ซึ่งสะดวกและ รวดเร็วเมื่อปลูกพืชแล้วเขาจะบำรุงดูแลรักษาพืชไร่โดยใช้รถไถและอุปกรณ์ที่ทันสมัยเมื่อเข้าไปฉีดพ่น สารฆ่าแมลงรดน้ำและพรวนดินนอกจากนี้ยังใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อผลผลิตทำให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก และมีคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของตลาดต่อมาปรากฏว่าคุณภาพดินในที่นั้นเสื่อมลงโดยดินมีลักษณะแข็ง และแน่นทดลองไถพรวนให้ลึกกว่าเดิมแต่เมื่อ ปลูกพืชรดน้ำและใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ตามปกติแล้ว 1-2 เดือนต่อมาดินก็จะแข็งและแน่นเช่นเดิมเขาได้สังเกตพบว่าปัญหาเช่นนี้จะไม่เกิดกับชาวไร่ที่ใช้รถไถ ขนาดเล็กและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการบำรุงดินเลย


19 สถานการณ 2 1. ขั้นระบุปญหา (ปญหาในสถานการณคืออะไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ขั้นวิเคราะห์ปญหา (นักเรียนจะคาดคะเนสาเหตุของปญหาในสถานการณนี้ได้ว่าอย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ขั้นกำหนดวิธีการ (เพื่อการแกปญหาจากสถานการณดังกล่าวนักเรียนคิดวาจะแกปญหาในสถานการณนี้ ได้อย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ขั้นการตรวจสอบผลลัพธ์(จากการที่นักเรียนได้เสนอวิธีการแกปญหาในสถานการณดังกล่าวนักเรียนคิด ว่า ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… คะแนนเต็ม 10 คะแนน ได้ ........... คะแนน มาลัยปลูกบานอยูใกลกับโรงงานถลุงถานหิน ครอบครัวของมาลัยรับจางทํางานในโรงงานนี้เขาและคน ในบานดื่มน้ำจากน้ำฝนที่รองใสแทงคเก็บน้ำเอาไวใชตลอดทั้งป อยูมาไมนานมาลัยและคนในบานก็มี อาการออนเพลีย ปวดศีรษะเปนไขบอย ๆ และในที่สุดตองไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเลย


20 บรรณานุกรม กรมฝนหลวงและการบินเกษตร. (2560). ฝนหลวงศาสตร์พระราชา: การถอดบทเรียนการปฏิบัติการฝน หลวง. สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2562, จาก http://royalrain.go.th/royalrain/uploads/ Academic/AAR_2560_0.pdf. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2563). คู่มือครู รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 6.พิมพ์ครั้งที่ 1 ; กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2562). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เคมี เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ไทยรัฐออนไลน์. (2563). แนะวิธีปฏิบัติตัวเมื่อ "แอมโมเนีย" รั่วไหล ศึกษาไว้เพื่อความปลอดภัย. สืบค้นเมื่อ 3 ธันวาคม 2563, จาก https://www.thairath.co.th/news/local/1949650


Click to View FlipBook Version