The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anocha Utumsakulrat, 2021-05-22 11:07:59

หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

Keywords: ว21101

ชุดกจิ กรรมวิทยาศาสตร์ ตามแนวคดิ โยนิโสมนสกิ าร

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 เรอื่ ง หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมชี ีวิต

วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 1 ว21101

สอนโดย
นางสาวอโนชา อุทุมสกลุ รตั น์

ครชู ำนาญการพิเศษ
ปีการศกึ ษา 2564

สำหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม
ช่ือ-สกุล..................................................ชัน้ .........เลขท.ี่ .......

สารบญั หนา้

บทนำ................................................................................................................................ ก
คำชีแ้ จงการใชช้ ุดกิจกรรม................................................................................................ ข
แบบประเมินตนเองกอ่ นเรยี น........................................................................................... 1
หนว่ ยการเรยี นร้เู ร่อื ง หน่วยพ้ืนฐานของสง่ิ มีชวี ิต .......................................... 1
19
เซลล์..... ..................................................................... 29
การลำเลยี งสารเข้าออกเซลล์........................................ 33
แบบประเมนิ ตนเองหลงั เรียน............................................................................................
อา้ งอิง............................................................................................................................

บทนำ

ชุดกิจกรรมที่ผู้เรียนจะได้ศึกษาน้ีเรียกว่าชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการ
หน่วยการเรียนรู้เร่ือง หนว่ ยพ้ืนฐานของส่งิ มชี ีวิตเป็นส่อื วทิ ยาศาสตร์ทเี่ นน้ ให้ผเู้ รยี นมีความสามารถในการคิด
แก้ปัญหาอย่างมีระบบ พบคำตอบของปัญหาหรือสถานการณ์นั้นด้วยตนเอง ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ด้วยตนเอง ได้คดิ และลงมือปฏิบตั กิ ิจกรรมตา่ ง ๆ และ เพือ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสุดนักเรียน

ชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการเน้ือหาส่วนใหญ่เน้นการให้นักเรียนสามารถ
นำไปประยุกต์ใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวันเพ่อื ให้นกั เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาได้ด้วยตนเองจึงไดเ้ รยี บเรยี ง
เน้อื หาใหก้ ระชับและน่าสนใจและนอกจากนี้ยงั ไดแ้ ทรกรปู ภาพและคำถามชวนคิดไว้ตลอดทำให้ไม่เบือ่ ในการ
อา่ นและทำกิจกรรม

ผ้จู ัดทำชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการหวังเป็นอย่างย่ิงวา่ เอกสารชุดนี้จะมี
ประโยชน์ในการเรียนรูเ้ นื้อหาตามหลักสูตร ผู้เรยี นมคี วามรูแ้ ละความสามารถในการสืบคน้ การจดั ระบบสง่ิ ที่
เรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ ได้เป็นอย่างดีสามารถนำความรู้ที่ได้จากการ
เรียนรูไ้ ปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจำวนั ได้ และเป็นประโยชน์สำหรับผทู้ ่ีสนใจใช้เป็นแนวทาง ในการจดั กระบวนการ
เรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ตอ่ ไป

...........................................
( นางสาวอโนชา อุทมุ สกุลรตั น์ )
ผจู้ ัดทำชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตร์



คำชแี้ จงการใชช้ ดุ กจิ กรรมวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวคดิ แบบโยนิโสมนสกิ าร

เรือ่ ง หนว่ ยพืน้ ฐานของสิง่ มีชวี ิต

1. สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัตขิ องสงิ่ มชี ีวติ หนว่ ยพ้ืนฐานของสิง่ มีชวี ิต การลาเลยี งสารเข้าและออก

จากเซลล์ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละมนษุ ย์ทีท่ างานสัมพันธก์ นั
ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหนา้ ท่ขี องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทางานสัมพนั ธก์ ัน รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
2. มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตวั ชว้ี ดั เร่ืองหนว่ ยพ้ืนฐานของส่งิ มีชวี ิต ชดุ นี้ ใชเ้ วลา 12 ชัว่ โมง

มาตรฐานการเรียนรู้ /ตวั ช้ีวดั ว 1.2 ม.1/1, ม.1/2, ม.1/4,ม.1/5
3. วธิ เี รยี นรูจ้ ากชดุ กจิ กรรมน้ีเพือ่ ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดนกั เรียนควรปฏบิ ตั ิตามคำชแี้ จง ตอ่ ไปนี้
ตามลำดับ

1. ชุดกิจกรรมวทิ ยาศาสตรส์ องภาษาตามแนวคดิ แบบโยนโิ สมนสิการ เรอื่ ง หน่วยพนื้ ฐานของ
สิง่ มีชีวิต ชุดนี้ ใช้เวลาในการศกึ ษา 12 ชว่ั โมง
2. ให้นักเรียนจดั กลมุ่ ๆ ละประมาณ 6 คน
3. ให้นกั เรียนศึกษามาตรฐานการเรยี นรู้ / ตัวช้วี ดั ของชดุ การเรียน
4. ใหน้ ักเรยี นปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร โดยใช้

รปู แบบการเรยี นรู้แบบโยนิโสมนสิการตามขน้ั ตอนดงั นี้
1. ขั้นพฒั นาปญั ญา
2. ข้นั นำปัญญาพัฒนาความคดิ
3. ขั้นนำปัญญาพัฒนาตนเอง

4. สาระสำคญั
ส่ิงมชี วี ติ ทุกชนิดมเี ซลลเ์ ปน็ สว่ นประกอบ บางชนดิ ประกอบด้วยเซลล์ 1 เซลล์ บางชนดิ ประกอบดว้ ย

เซลลห์ ลายเซลล์ เซลล์ของส่ิงมีชวี ิตจะมขี นาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่าจงึ ต้องใช้กล้อง
จุลทรรศน์ใชแ้ สงเป็นเครอ่ื งมือชว่ ยในการศึกษาเซลลพ์ ชื และเซลล์สตั วม์ โี ครงสร้างพนื้ ฐานเหมือน
กัน คอื มเี ยอ่ื หุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนวิ เคลียสซ่งึ โครงสรา้ งพน้ื ฐานนี้จะทำหน้าท่ีแตกต่างกนั ไป แตเ่ ซลล์
พชื มโี ครงสร้างบางอยา่ งทไ่ี มพ่ บในเซลล์สัตว์ ได้แก่ผนังเซลล์และคลอโรพลาสตเ์ ซลลม์ ีรปู ร่างลกั ษณะที่
หลากหลายเพ่อื ให้เหมาะสมกบั หนา้ ที่ของเซลล์นั้น ๆ โดยเซลลช์ นิดเดียวกันหรือหลายชนดิ จะทำงานร่วมกัน
เปน็ เนอ้ื เยื่อ เนือ้ เย่ือหลายชนดิ รวมกนั เป็นอวยั วะ อวัยวะทำงานรว่ มกนั จัดเปน็ ระบบอวยั วะ และระบบอวัยวะ
ทกุ ระบบทำงานรว่ มกันจนเปน็ สง่ิ มชี ีวิต

*** ขอให้นกั เรยี นทกุ คนได้เรียนร้วู ิทยาศาสตรอ์ ยา่ งมคี วามสขุ ***



แบบประเมนิ ตนเองกอ่ นเรยี น

คำชแ้ี จง : ให้นกั เรยี นเลือกคำตอบที่ถกู ตอ้ งทส่ี ุดเพียงคำตอบเดียว ใชเ้ วลา 20 นาที
1. จากวัตถทุ ก่ี ำหนดให้ เมื่อสงั เกตวัตถนุ ี้ด้วยกล้องจุลทรรศนใ์ ช้แสง ภาพท่เี หน็ จะมลี กั ษณะอยา่ งไร

2. จากแผนภาพ ขอ้ ใดต่อไปนถ้ี กู ต้อง
ก. หมายเลข 1 หมายถึง เยื่อห้มุ เซลล์ และ หมายเลข 8 หมายถงึ สิ่งมีชีวติ

ข. หมายเลข 2 หมายถงึ เย่อื เลือกผา่ น และ หมายเลข 7 หมายถงึ ระบบเนื้อเยือ่
ค. หมายเลข 3 หมายถงึ สารพนั ธกุ รรม และ หมายเลข 4 หมายถงึ คลอโรพลาสต์

ง. หมายเลข 5 หมายถึง คลอโรฟลิ ล์ และ หมายเลข 6 หมายถึง แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์
3. จากแผนภาพต่อไปนี้ ข้อใดถูกตอ้ ง

ก. 1 คือ เยื่อห้มุ เซลล์ และ 2 คือ ผนังเซลล์ ข. 1 คอื เยื่อหุ้มเซลล์ และ 2 คอื คลอโรพลาสต์
ค. 2 คอื คลอโรพลาสต์ และ 3 คือ แวควิ โอล ง. 2 คอื คลอโรพลาสต์ และ 3 คือ เยือ่ หมุ้ เซลล์

4. ถา้ นำเซลล์จากส่วน A และส่วน B ของต้นไมต้ ัวอย่างดงั ภาพ มาสอ่ งภายใต้กล้องจุลทรรศนใ์ ชแ้ สง
โครงสรา้ งใดท่ีพบมากในเซลล์จากส่วน A และพบน้อยหรอื ไมพ่ บเลยในสว่ น B

ก. ไมโทคอนเดรยี ข. คลอโรพลาสต์ ค. ผนังเซลล์ ง. นิวเคลียส

5. นักวทิ ยาศาสตร์วิจัยเกีย่ วกับการสะสมแปง้ ของข้าวสายพันธุ์ใหม่ โดยการศึกษาโครงสรา้ งของเซลลเ์ มลด็

ข้าวหลกั ฐานในข้อใดที่บง่ ช้วี ่าเมล็ดขา้ วดงั กล่าวนา่ จะมกี ารสะสมแปง้ ได้ดที ี่สุด

ก. พบผนงั เซลล์หนาล้อมรอบเซลล์

ข. พบนิวเคลยี สขนาดใหญ่จนเกือบเตม็ เซลล์

ค. พบแวควิ โอลขนาดใหญก่ ระจายทว่ั ทัง้ เซลล์

ง. พบคลอโรพลาสต์จำนวนมากอยู่ภายในเซลล์

6. การจดั ระบบของสิ่งมีชีวติ ในข้อใด เรยี งลำดับจากใหญ่ไปเลก็ ได้ถกู ต้อง

ก. ระบบหมุนเวียนเลอื ด หวั ใจ กลา้ มเน้อื หัวใจ เซลล์กล้ามเน้ือหัวใจ

ข. เซลล์ลำไส้ใหญ่ เนื้อเยอื่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ ระบบยอ่ ยอาหาร

ค. เซลล์ประสาท สมอง เน้ือเยอื่ สมอง ระบบประสาท

ง. ระบบหายใจ เนอ้ื เยือ่ ปอด ปอด เซลล์ปอด

7. ขอ้ ใดอธิบายความสัมพันธร์ ะหว่างรูปรา่ งกบั หนา้ ทขี่ องเซลลไ์ ดถ้ กู ต้อง

ก. เซลลค์ ุม มผี นังเซลลห์ นาบางไมเ่ ทา่ กนั เพ่ือให้สามารถปิดเปดิ ปากใบได้

ข. เซลล์เมด็ เลือดแดง มีรปู รา่ งกลมแบน เพ่อื เพม่ิ พื้นท่ีผิวในการแลกเปล่ียนแก๊ส

ค. เซลลป์ ระสาท มีเสน้ ใยเปน็ แขนงยาว เพอื่ ช่วยให้กระแสประสาทเคลือ่ นทเี่ รว็ ข้ึน

ง. เซลลเ์ นื้อเยอื่ ลำเลียง มลี ักษณะเป็นท่อกลวงยาว เพือ่ สรา้ งความแขง็ แรงแก่เซลล์

8. สถานการณ์ใดเป็นผลมาจากการแพร่

ก. สวมเส้ือคลุมให้รา่ งกายอบอ่นุ เม่อื อากาศเย็น ข. ไดก้ ลิน่ หอมของดอกไม้ในสวน

ค. ใชพ้ ดั โบกไปมา เพอ่ื ให้เหงอ่ื แหง้ เร็วขนึ้ ง. นำ้ คา้ งระเหยจากบริเวณยอดหญา้

9. สารละลายน้ำตาล 1% และ สารละลายนำ้ ตาล 5% บรรจุอยู่ในภาชนะใบเดยี วกนั โดยมีเยอื่ เลอื กผ่านก้นั
อยู่ระหวา่ งสารละลายท้ังสอง ดังภาพ

จากภาพ ข้อความใดแสดงถงึ กระบวนการออสโมซสิ
ก. การเคลื่อนทีข่ องนำ้ ตาลจากสารละลายน้ำตาล 1% ไปยังสารละลายน้ำตาล 5%
ข. การเคล่ือนท่ีของนำ้ ตาลจากสารละลายนำ้ ตาล 5% ไปยังสารละลายนำ้ ตาล 1%
ค. การเคลือ่ นทข่ี องนำ้ จากสารละลายน้ำตาล 1% ไปยังสารละลายนำ้ ตาล 5%
ง. การเคล่อื นท่ขี องนำ้ จากสารละลายน้ำตาล 5% ไปยงั สารละลายน้ำตาล 1%

10. เมอื่ เรมิ่ ตน้ จัดชุดการทดลองไดผ้ ลดงั ภาพ หากวางชุดการทดลองนต้ี ่อไปอกี 5 นาที ของเหลวในหลอดแก้ว
และบีกเกอร์จะมกี ารเปลย่ี นแปลงอย่างไร

ระดับของเหลวในหลอดแก้ว ระดับของเหลวในบีกเกอร์
ก. สงู ขึ้น ต่ำลง
ข. ตำ่ ลง สงู ข้ึน
ค. เทา่ เดิม เทา่ เดิม
ง. ต่ำลง ต่ำลง

คะแนนเตม็ 10 คะแนน
ได้ ........... คะแนน

หน่วยที่ 3 หนว่ ยพื้นฐานของสิ่งมชี ีวติ

เวลา 12 ชว่ั โมง

ขน้ั พัฒนาปัญญา กิจกรรม ฝึ กอ่าน : ฝึ กคิด
1. เซลล์

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีเซลล์เป็นส่วนประกอบ บางชนิดประกอบด้วยเซลล์ 1 เซลล์ บางชนิด
ประกอบดว้ ยซลล์หลายเซลล์ เซลล์ของสิ่งมีชีวติ จะมีขนาดเลก็ มากจนไม่สามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่าจึงต้อง
ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเป็นเครื่องมือช่วยในการศึกษาเซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีโครงสร้างพื้นฐานเหมือนกัน
คือ มีเย่ือหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลยี สซ่ึงโครงสร้างพื้นฐานนี้จะทำหน้าที่แตกต่างกันไป แต่เซลล์พืชมี
โครงสรา้ งบางอยา่ งทีไ่ ม่พบในเซลล์สตั ว์ ได้แก่ผนงั เซลล์และคลอโรพลาสต์

เซลล์มรี ูปร่างลกั ษณะท่ีหลากหลายเพอื่ ให้เหมาะสมกบั หน้าทข่ี องเซลล์นน้ั ๆ โดยเซลล์ชนดิ เดียวกนั
หรอื หลายชนิดจะทำงานร่วมกนั เป็นเนอื้ เยอื่ เนือ้ เยื่อหลายชนิดรวมกนั เป็นอวัยวะ อวยั วะทำงานรว่ มกนั จดั เป็น
ระบบอวยั วะ และระบบอวัยวะทุกระบบทำงานร่วมกันจนเปน็ สง่ิ มีชีวติ

จากภาพ นักเรียนสงั เกตเห็นส่ิงมชี ีวิตอะไรบ้าง

นักเรยี นคิดวา่ ในน้ำมสี ิ่งมชี วี ิตเลก็ ๆ ทเ่ี รามองไม่เหน็ หรือไม่ เชน่ อะไรบา้ ง…………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

จากที่เรยี นมาแลว้ ว่าธาตปุ ระกอบดว้ ยหน่วยย่อยท่เี ล็กท่ีสดุ ที่แสดงสมบัตขิ องธาตเุ รียกว่า อะตอม

นกั เรียนคดิ วา่ ส่งิ มีชวี ติ จะมีหนว่ ยยอ่ ยท่เี ลก็ ที่สดุ ทแ่ี สดงสมบตั ิของการมีชีวติ หรอื ไม่ หนว่ ยย่อยทเี่ ลก็ ทสี่ ุดน้ัน
เรียกวา่ อะไร และมีรปู รา่ งลักษณะอยา่ งไร

1

นักเรียนคิดวา่ สิ่งทอี่ ยภู่ ายในวงกลม 3 วงน้คี อื อะไร เกยี่ วขอ้ งกับสงิ่ มีชีวิตในภาพอยา่ งไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 1

1. สง่ิ มีชีวติ ในภาพมกี ่ีกลุ่ม อะไรบา้ ง

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ถา้ ต้องการสังเกตครบี ปลาให้ชดั เจนยง่ิ ขึน้ จะใช้เคร่ืองมอื อะไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เราสามารถใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ในการศกึ ษาสิ่งท่เี รามองดว้ ยตาเปล่าไม่
เหน็ เชน่ เซลล์ กล้องจุลทรรศน์มหี ลายแบบ โดยแบบท่ีใช้ในบทเรยี น
น้ี เป็นกล้องจุลทรรศน์แบบใชแ้ สง นกั เรียนจะไดศ้ ึกษาส่วนประกอบ
และวธิ กี ารใช้งานกล้องจุลทรรศนแ์ บบใชแ้ สง

โครงสรา้ งโดยท่ัวไปของกล้องจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สงธรรมดา ดังนี้ คือ
1. ส่วนฐาน (base) คอื สว่ นฐานท่ีวางติดกับโต๊ะ มหี ลอดไฟฟา้ ติดอยู่ท่ฐี านกลอ้ งพรอ้ มสวทิ ชป์ ดิ เปดิ
2. สว่ นแขน (arm) คอื ส่วนทยี่ ึดติดระหว่างลำกล้องกับสว่ นฐาน
3. ลำกล้อง (body tube) มีเลนส์ใกล้ตาติดอย่ดู า้ นบน สว่ นดา้ นลา่ งติดกบั แผ่นหมนุ ซง่ึ มีเลนส์ใกลว้ ัตถุตดิ

อยู่ บางกลอ้ งมีปรซิ มึ ตดิ อยเู่ พื่อหกั เหแสงจากเลนสใ์ กลว้ ตั ถุให้ผ่านเลนส์ใกล้ตา

2

4. แผน่ หมุน (revolving nosepiece) คอื แผน่ กลมหมุนได้ มเี ลนสใ์ กลว้ ตั ถุติดอยเู่ พ่ือหมนุ เปล่ียนกาลงั
ขยายของเลนสต์ ามความตอ้ งการ

5. เลนส์ใกล้วตั ถุ (objective lens) คือเลนส์ทตี่ ดิ อยู่บนแผ่นหมุน ตามปกติจะมี 3 หรอื 4 อนั แต่ละอันจะ
มีตวั เลขแสดงกำลังขยายกำกับไว้ เชน่ x4, x10, x40 หรือ x100 เป็นตน้ ในกรณีทใี่ ช้เลนสใ์ กลว้ ัตถุกาลงั
ขยาย x100 ตอ้ งใช้นำ้ มนั เป็นตัวกลางระหวา่ งเลนสแ์ ละวัตถุจึงจะเห็น

6. เลนสใ์ กลต้ า (eyepiece lens) คอื เลนสช์ ุดท่ีอยู่สว่ นบนสุดของกลอ้ ง มีตัวเลขบอกกำลงั ขยายอยู่
ทางด้านบน เช่น x5, x10, หรือ x15 เปน็ ตน้ บางกลอ้ งมีเลนส์ใกลต้ าอันเดียว (monocular) บางกล้องมี
เลนสใ์ กล้ตา 2 อัน (binocular) เลนสช์ ุดนข้ี ยายภาพที่เกิดจากเลนส์ใกลว้ ตั ถุ ภาพทเี่ หน็ มีขนาดขยาย เปน็
ภาพเสมือนหัวกลับ และกลับซา้ ยเป็นขวากับวัตถุ

7. วงล้อปรบั ภาพ (adjustment wheel) สำหรบั ปรบั ระยะห่างระหว่างวตั ถุกบั เลนส์ใกล้วตั ถุ เพ่ือปรบั
ภาพใหเ้ ห็นชดั ซง่ึ ระยะหา่ งท่ที าให้เหน็ ภาพชัด เรยี กวา่ ระยะการทำงานของกลอ้ ง (working distance)
หรือระยะโฟกสั ของกลอ้ ง วงลอ้ ดังกล่าวมี 2 ชนิด คือ ชนดิ ปรับภาพหยาบ (coarse adjustment wheel)
ใชป้ รบั ระยะหา่ งระหวา่ งวัตถกุ ับเลนสใ์ กล้วัตถุชนิดกำลังขยาย 10 เทา่ ลงมา และชนิดปรบั ภาพละเอยี ด
(fine adjustment wheel) ใช้ปรับภาพให้ชัด เม่ือใชเ้ ลนสใ์ กล้วัตถกุ ำลังขยายสูง 40 เท่าข้ึนไป

8. แทน่ วางวตั ถุ (stage) มีช่องตรงกลางสำหรับใหแ้ สงผ่าน และใชว้ างสไลดแ์ ก้ว เปน็ อปุ กรณท์ ่ีเคลื่อนทไ่ี ด้
(mechanical stage) ด้วยการหมนุ ป่มุ บงั คับ อุปกรณด์ งั กลา่ วมคี ลิปเกาะสไลด์ และมสี เกลบอกตำแหน่ง
ของสไลด์บนแท่นวางวัตถุ ฉะน้นั อปุ กรณ์น้จี ะชว่ ยอำนวยความสะดวกในการเล่ือนสไลด์ไปทางขวา ซา้ ย
หน้า และหลังได้ในขณะทต่ี ามองภาพในกลอ้ ง ช่วยใหห้ าภาพได้รวดเรว็ และมีสเกลบอกตำแหนง่ ของวตั ถุ
บนสไลด์

9. คอนเดนเซอร์ (condenser) คอื ชดุ ของเลนสท์ ่ีทำหนา้ ทรี่ วมแสงให้มีความเขม้ มากที่สุด เพอ่ื สอ่ งวัตถุบน
สไลดแ์ ก้วให้สว่างท่ีสดุ มปี ่มุ ปรบั ความสงู ตำ่ ของ condenser

10. ไอรสิ ไดอะแฟรม (iris diaphragm) เปน็ มา่ นปรับรเู ปิดเพอ่ื ให้แสงผา่ นเข้า condenser และมีปุ่มสาหรับ
ปรับ iris diaphragm ให้แสงผ่านเขา้ มากน้อยตามตอ้ งการ

11. แหล่งกำเนิดแสง (light source) เปน็ หลอดไฟฟ้าใหแ้ สงสวา่ งตดิ อยู่ท่ีฐานกล้อง มีสวทิ ชเ์ ปดิ ปิด และมี
สเกลปรับปรมิ าณแสงสวา่ ง

การใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์
1. การจับกล้องและเคลื่อนย้ายกล้อง ตอ้ งใช้มอื หน่งึ จบั ทีแ่ ขนและอีกมือหนึง่ รองที่ฐานของกลอ้ ง
2. ตง้ั ลำกล้องให้ตรง
3. เปดิ ไฟเพอ่ื ให้แสงเขา้ ลำกลอ้ งไดเ้ ตม็ ท่ี
4. หมนุ เลนส์ใกลว้ ตั ถุ ให้เลนส์ทมี่ ีกำลังขยายต่ำสุดอยู่ในตำแหนง่ แนวของลำกล้อง
5. นำสไลดท์ จ่ี ะศกึ ษามาวางบนแทน่ วางวตั ถุ โดยปรับให้อยกู่ ลางบริเวณทแ่ี สงผ่าน
6. ค่อยๆหมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้กล้องเลื่อนข้ึนช้าๆเพื่อหาระยะภาพ แต่ต้องระวังไม่ให้เลนส์ใกล้วัตถุ

กระทบกบั สไลด์ตวั อยา่ ง เพราะจะทำให้เลนสแ์ ตกได้
7. ปรับภาพให้ชัดเจนขึ้นด้วยปุ่มปรับภาพละเอียด ถ้าวัตถุท่ีศึกษาไม่อยู่ตรงกลางให้เล่ือนสไลด์ให้มาอยู่ตรง

กลาง

3

8. ถา้ ต้องการใหภ้ าพขยายใหญข่ นึ้ ใหห้ มุนเลนส์ใกลว้ ัตถทุ ม่ี กี ำลังขยายสูงกว่าเดิมมาอยู่ในตำแหนง่ แนวของลำ
กล้อง จากนั้นปรับภาพให้ชัดเจนด้วยปมุ่ ปรับภาพละเอียดเทา่ นั้น หา้ มปรับภาพด้วยปุ่มปรับภาพหยาบ
เพราะจะทำใหร้ ะยะของภาพ หรอื จดุ โฟกสั ของภาพเปลี่ยนไป

9. บนั ทึกกำลงั ขยายโดยหาได้จากผลคูณของกำลังขยายของเลนส์ใกลว้ ัตถกุ ับกำลังขยายของเลนส์ใกล้ตา

ร่วม กนั คดิ 1

คำสง่ั จงเตมิ ส่วนประกอบของกล้องจลุ ทรรศน์ให้ครบถ้วนและสมบูรณ์

4

กจิ กรรมท่ี 1 โลกใตก้ ลอ้ งจุลทรรศนเ์ ปน็ อยา่ งไร

จุดประสงค์ :

1. สงั เกตและอภิปราย เพอ่ื ระบสุ ่วนประกอบและบรรยายหนา้ ที่แต่ละส่วนประกอบของกลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สง

2. ฝึกปฏบิ ัตกิ ารใชก้ ลอ้ งจุลทรรศนใ์ ช้แสงเพ่ือสังเกตเซลล์

3. สังเกตเซลล์และนำเสนอหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์เกยี่ วกับลกั ษณะของเซลล์

วสั ดแุ ละอุปกรณ์

รายการ ปริมาณ/กลมุ่

1. กลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ช้แสง 1 กล้อง

2. แว่นขยาย 1 อัน

3. สไลด์ 1 แผน่

4. สไลดถ์ าวรของเนอ้ื เย่ือพชื เชน่ ลำต้น ใบ 1 แผน่

5. สไลดถ์ าวรของเนือ้ เย่อื สัตว์ เชน่ ลำไสเ้ ล็ก กล้ามเนื้อ 1 แผน่

6. สไลดถ์ าวรของส่ิงมชี วี ติ เซลล์เดียว เชน่ พารามีเซียม 1 แผน่

7. ปากกา 1 ด้าม

8. เทปใส 1 มว้ น

9. กระดาษขาว ขนาด 1 cm x 1 cm 1- 2 แผ่น

• ควรใชจ้ านหมุนในการเปลย่ี นกำลงั ขยายของเลนส์ใกลว้ ตั ถแุ ละหมนุ
ใหเ้ ขา้ ทีต่ รงกับลำกลอ้ งหรือตำแหน่งส่อง และปรบั ระยะภาพโดยเริม่
จากกำลังขยายต่ำกอ่ นเสมอ

• เมื่อใชเ้ ลนสใ์ กลว้ ัตถกุ ำลงั ขยายขนาด 40 เท่า ไมค่ วรปรับระยะภาพ
ดว้ ยปุม่ ปรบั ภาพหยาบเพราะอาจทำใหเ้ ลนส์ใกล้วัตถกุ ระแทกสไลด์

• ควรปรบั เลนสใ์ กล้วตั ถุให้เป็นเลนส์ทม่ี ีกำลงั ขยายต่ำสดุ กอ่ นนำสไลด์
ออก

กำลังขยายของภาพที่เหน็ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ คำนวณไดจ้ ากผลคูณกำลังขยาย
ของเลนส์ใกลว้ ัตถุกบั กำลังขยายของเลนส์ใกล้ตา

กำลังขยายของกลอ้ งจุลทรรศน์ = กำลังขยายของเลนส์ใกล้วตั ถุ x กำลังขยายของเลนสใ์ กลต้ า

วธิ กี ารทดลอง ตอนท่ี 1
1. สังเกตส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงและร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับหน้าท่ีของส่วนประกอบ
ต่างๆ

2. อา่ นวธิ ีการใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงจากข้อมลู ในหนงั สือเรียน
3. เขียนตัวอักษรขนาดเล็กบนกระดาษที่ตัดไว้ วางกระดาษบนสไลด์และปิดด้วยเทปใส สังเกตตัว

อักษรบนสไลดแ์ ละบันทกึ ผลให้มขี นาดใกล้เคยี งกบั ขนาดตัวอกั ษรบนสไลด์

5

4. สังเกตตวั อกั ษรโดยใช้แวน่ ขยาย บนั ทกึ ผลโดยการวาดภาพและเขยี นบรรยายลกั ษณะของภาพ
5. สังเกตตัวอักษรโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงซึ่งใช้เลนส์ใกล้วัตถุกำลังขยาย 4 เท่า จากนั้นปรับเป็น

กำลังขยาย 4 เท่า จากน้ันปรับเป็นกำลังขยาย 10 เท่า และ 40 เท่าตามลำดับ สังเกตและบันทึกผล

โดยการวาดภาพและเขยี นบรรยายลกั ษณะของภาพ พรอ้ มระบุกำลงั ขยายของกล้องท่ีใช้
6. เปลี่ยนให้เลนส์ใกล้วัตถุกำลังขยาย 4 เท่า อย่ตู รงกับวัตถุแล้วเล่ือนสไลด์ที่มีตัวอักษรไปทางซ้าย ขวา

บน และล่าง สังเกตการเปลี่ยนตำแหน่งของภาพและบันทึกผลโดยการวาดภาพและเขียนบรรยาย
ลักษณะของภาพ
ผลการทำกิจกรรม
ตอนท่ี 1
1. ภาพทสี่ ังเกตได้จากแวน่ ขยาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..



กอ่ นสงั เกตดว้ ยแว่นขยาย หลงั สังเกตดว้ ยแว่นขยาย

2. ภาพที่สังเกตไดห้ ลงั จากใช้เลนสใ์ กลว้ ัตถุขนาด 4X 10X และ 40X

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..



กอ่ นสังเกตด้วย
กล้องจุลทรรศนใ์ ช้แสง กำลงั ขยาย 40 เท่า กำลงั ขยาย 100 เท่า กำลงั ขยาย 400 เท่า

หลงั สังเกตดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศนใ์ ช้แสง
3. ภาพทีส่ ังเกตได้จากการเลื่อนแทน่ วางสไลดไ์ ปทางซา้ ย ขวา บน และลา่ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

กอ่ นเล่ือนสไลด์ เมื่อเลื่อนสไลดไ์ ปทางซ้าย เม่ือเล่อื นสไลด์ขึ้นบน

6

เมื่อเล่อื นสไลดไ์ ปทางขวา เมอื่ เล่ือนสไลดล์ งล่าง

คำถามทา้ ยกิจกรรม

1. แว่นขยายมีส่วนประกอบและหนา้ ทเี่ หมือนหรอื แตกตา่ งจากกลอ้ งจุลทรรศน์อย่างไร

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

2. ภาพอักษรท่สี งั เกตจากกลอ้ งจุลทรรศนม์ ลี ักษณะแตกตา่ งจากแวน่ ขยายอย่างไร

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

3. เมอ่ื ปรับกำลังขยายของเลนสใ์ กลว้ ตั ถุให้สงู ขึ้น ภาพทเ่ี ห็นเป็นอยา่ งไร

..............................................................................................................................................................................

4. เม่ือเลอ่ื นวัตถุไปทางซา้ ย ขวา บน และลา่ ง ภาพทเี่ หน็ จากกล้องจุลทรรศนจ์ ะเปล่ียนตำแหนง่ ไปอย่างไร

..............................................................................................................................................................................

5. เมอ่ื พบปัญหาขณะใช้กลอ้ งจุลทรรศน์ เชน่ ไม่เหน็ ภาพ ภาพไม่ชัดเจน ภาพท่เี หน็ มดื หรือสวา่ งเกินไป จะมี

วธิ ีการแก้ไขอย่างไร

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

6. จากกิจกรรม สรปุ ไดว้ ่าอย่างไร

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

วธิ กี ารทดลอง ตอนที่ 2 เซลล์ของสงิ่ มชี วี ิตต่างๆ

1. ใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ใช้แสงสงั เกตลักษณะของเซลลพ์ ชื จากสไลด์ถาวรของเนอ้ื เย่ือพชื โดยใช้เลนส์ใกล้วัตถุ
กำลงั ขยาย 10 เทา่ สังเกตและบันทึกผลโดยการวาดภาพ
2. ทำซำ้ ขอ้ 1 โดยใชส้ ไลด์ถาวรของเนอ้ื เย่ือสัตว์ และสไลดถ์ าวรของส่งิ มีชีวิตเซลล์เดียว

7

3. นำภาพทีบ่ นั ทึกได้มาจัดแสดงและรว่ มอภิปรายเปรยี บเทยี บลกั ษณะที่พบของเซลล์พืชเซลล์สัตว์ และ
สิ่งมีชวี ิตเซลล์เดยี ว
ผลการทำกิจกรรม ตอนท่ี 2
1. ภาพที่นกั เรียนสงั เกตได้จากการทำกิจกรรม

ภาพวาดจากสไลด์ถาวรของเน้อื เย่ือพืช ภาพวาดจากสไลด์ถาวรของเนอื้ เยอ่ื สัตว์

ภาพวาดจากสไลดถ์ าวรของพารามเี ซียม

2. ลกั ษณะรว่ มกนั ของเซลล์ของสง่ิ มีชีวิต
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

คำถามทา้ ยกิจกรรม
1.รปู รา่ งลกั ษณะของภาพทีส่ งั เกตได้จากสไลด์ถาวรของเน้อื เยื่อพืช เน้ือเยือ่ สตั ว์ และส่งิ มชี วี ิตเซลล์เดยี วมี
รูปร่างลักษณะเหมอื นหรอื แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2. สิง่ ทีน่ ักเรียนสงั เกตได้ สว่ นใดท่ีเปน็ เซลล์และมีลักษณะอย่างไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
3. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอยา่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
4. จากกิจกรรมทง้ั 2 ตอน สรปุ ไดว้ ่าอยา่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

8

2. โครงสร้างและหน้าทีข่ องเซลล์

ภาพ เซลลข์ องส่ิงมชี วี ิต

ภาพทน่ี กั เรียนเห็นมลี กั ษณะอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………
นกั เรยี นคดิ ว่าภาพใดเป็นเซลล์พชื ภาพใดเปน็ เซลลส์ ัตว์
…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………

นักเรียนคิดว่าเซลลพ์ ชื และเซลล์สตั วม์ ีรปู รา่ งลกั ษณะและโครงสรา้ งแตกต่างกนั หรอื ไม่อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 2

คำสั่ง เขียนเคร่ืองหมาย  หนา้ ข้อสงิ่ ทปี่ ระกอบด้วยเซลล์

ผกั กาด นำ้ ตาล ไส้เดือนดนิ หนอน
เมล็ดแตงโม
โปรตีน ดอกกุหลาบ ปลากัด

ทราย พารามีเซียม

อธบิ ายเพ่ิมเติม :

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

9

เซลล์พืช และเซลล์สตั ว์มีรปู รา่ งลกั ษณะเหมือนหรือแตกต่างกัน

หรือไม่ และโครงสรา้ งภายในของเซลลป์ ระกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
……………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………

กจิ กรรมท่ี 2 เซลลพ์ ชื และเซลล์สัตว์แตกต่างอย่างไร
จดุ ประสงค์ :

สงั เกตและรวบรวมหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์เพอ่ื บรรยายและเปรยี บเทียบรปู รา่ งลักษณะและโครงสร้าง

ของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์
วสั ดุและอปุ กรณ์

รายการ ปริมาณ/กลมุ่
1. สารละลายไอโอดนี ความเขม้ ข้น 1% 1 ขวด
2. นำ้ เกลือ ความเข้มข้น 0.85% 50 cm3
3. กระดาษเยอ่ื 1 มว้ น
4. สาหร่ายหางกระรอก 1 ช่อ
5. หวั หอมแดงหรือหวั หอมใหญ่ 1 หัว
6. น้ำ 100 100 cm3
7. ปากคีบ 1 อัน
8. กา้ นสำลี 1 อัน
9. หลอดหยด 1 อัน
10. เข็มเขี่ย 1 อัน
11. ใบมีดโกน 1 เล่ม
12. สไลดแ์ ละกระจกปดิ สไลด์ 3 ชดุ
13. กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใช้แสง 1 กลอ้ ง

วิธกี ารทดลอง ตอนที่ 1

หัวหอมแดง
1. หยดน้ำลงบนสไลด์ 1-2 หยด
2. ใช้ปากคบี ลอกเย่ือด้านในของหัวหอมแดงออก ตัดเป็นชน้ิ เล็กๆแล้วค่อยๆวางบนหยดน้ำบนสไลดเ์ พื่อ

ไม่ให้เกิดฟองอากาศระวังไม่ให้เน้ือเย่ือพับซ้อนกัน และหยดสารละลายไอโอดีน 1 หยด บนเยื่อหัว
หอมแดง

10

3. วางกระจกปดิ สไลด์ทำมุมประมาณ 45 องศา กบั สไลด์ด้านหน่ึง ใช้นิว้ หัวแมม่ อื และนว้ิ ช้ขี องมอื ซา้ ยจับ
ขอบกระจก แล้วเล่ือนกระจกปิดสไลด์ไปสัมผัสกับขอบด้านนอกของหยดน้ำ มือขวาจบั เข็มเข่ียรองรับ
กระจกปิดสไลด์ไว้ แล้วค่อยๆลดเข็มเข่ียลงจนกระจกปิดสไลด์ปิดลงบนสไลด์สนิท ระวังอย่าให้มี
ฟองอากาศ ใช้กระดาษเยอ่ื แตะดา้ นขา้ งๆกระจกปิดสไลดเ์ พื่อซับของเหลวสว่ นเกนิ ออก

4. นำสไลด์ตัวอย่างไปสังเกตด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงกำลังขยายต่างๆบันทึกผลโดยการวาดภาพหรือ
ถา่ ยภาพ

5. ระบุโครงสร้างของเซลลท์ ่ีพบจากการสังเกต
สาหร่ายหางกระรอก

1. หยดนำ้ ลงบนสไลด์ 1 หยด
2. ใช้ปากคีบเด็ดใบสาหร่ายหางกระรอกบริเวณใกล้ส่วนยอด 1 ใบ วางบนหยดน้ำบนแผน่ สไลด์ปิดด้วย

กระจกปดิ สไลด์
3. นำสไลด์ตัวอย่างไปสังเกตด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงกำลังขยายต่างๆบันทึกผลโดยการวาดภาพหรือ

ถา่ ยภาพ
4. ระบโุ ครงสร้างของเซลล์ทพ่ี บจากการสงั เกต

ผลการทำกิจกรรม ตอนท่ี 1 เซลล์พชื

เซลล์เยอ่ื หอมแดง เซลล์สาหร่ายหางกระรอก

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

คำถามท้ายกิจกรรม

1. เซลลพ์ ชื ทงั้ 2 ชนิด มีรูปรา่ งลักษณะเป็นอยา่ งไร และมโี ครงสรา้ งอะไรบา้ ง

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

2. เซลลพ์ ืชท้งั 2 ชนดิ เหมอื นหรอื แตกตา่ งกนั อย่างไร

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................

11

3. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ า่ อย่างไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
วิธีการทดลอง ตอนท่ี 2 เย่อื บุข้างแก้ม

1. หยดน้ำเกลอื ความเขม้ ข้น 0.85% ลงบนสไลด์ 1 หยด
2. ใช้กา้ นสำลที ่สี ะอาดขดู เบาๆทีด่ ้านในของกระพุง้ แก้ม แลว้ นำไปแตะลงบนหยดน้ำเกลอื บนสไลด์
3. หยดสารละลายไอโอดนี 1 หยด บนสไลด์แล้วปิดด้วยกระจกปดิ สไลด์
4. นำสไลด์ตัวอย่างไปสังเกตด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงกำลังขยายต่างๆบันทึกผลโดยการวาดภาพหรือ

ถา่ ยภาพ
5. ระบโุ ครงสรา้ งของเซลลท์ พ่ี บจากการสังเกต
ผลการทำกจิ กรรมตอนท่ี 2 เซลล์สตั ว์

……………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………

เซลลเ์ ยอ่ื บุขา้ งแก้ม
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. เซลล์สัตวม์ ีรปู รา่ งลกั ษณะเป็นอยา่ งไร และมโี ครงสร้างอะไรบ้าง
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2. จากกิจกรรม สรปุ ไดว้ ่าอยา่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
3. จากกจิ กรรมทั้ง 2 ตอน สรปุ ได้ว่าอย่างไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

สว่ นประกอบของเซลล์
เซลล์ของส่ิงมชี ีวิตทกุ ชนดิ มีส่วนประกอบคลา้ ยกบั บ้านท่ีอยอู่ าศยั ที่โครงสรา้ งประกอบดว้ ย อฐิ ไม้ กระจก

แบง่ เป็นห้อง ๆ และเป็นสว่ นตา่ ง ๆ ทีแ่ กตละหอ้ งแตล่ ะสว่ นกเ็ พ่อื ประโยชนต์ ่างกนั จงึ ทำให้บา้ นเป็นหนว่ ย
อาศัยท่ีสมบรู ณ์ เชน่ เดียวกับ เซลล์ทุกชนิดจะประกอบดว้ ยโครงสร้างหรอื ส่วนประกอบท่ีทำให้เซลล์ 1 เซลล์
สามารถดำรงชีวติ อยไู่ ด้ เซลล์จะประกอบด้วยโครงสรา้ งพ้นื ฐาน ดงั นี้

12

ผนังเซลล์
ผนังเซลล์ (Cell wall) มีลักษณะเป็นผนังหนาอยู่ด้านนอกสุดของเซลล์ เราจะพบผนังเซลล์เฉพาะในเซลล์

ของพืชเท่านั้น โครงสร้างนท้ี ำหน้าท่ีป้องกนั ส่วนตา่ ง ๆ ท่อี ยภู่ ายในเซลล์ และช่วยรักษารูปทรงของเซลล์ให้คง
อยู่ ผนังเซลล์ประกอบด้วยสาร เซลลูโลส ลิกนิน เพกทิน โปรตีน และสารประกอบอ่ืน ๆ เช่น คิวทิน และซูเบอ
รนิ จงึ ทำให้ผนงั เซลลม์ คี วามแข็งแรงมาก
เยอื่ หุ้มเซลล์

เย่อื หมุ้ เซลล์ (Cell membrane) มีลกั ษณะเป็นเยอื่ บาง ๆ ห่อหุ้มส่วนต่าง ๆ ของเซลล์ ทำหน้าท่เี หมอื น
ยามประตู คอื คอยควบคุมการผ่านเข้าออกของสารระหว่างภายในเซลล์และภายนอกเซลล์ มสี มบัติเป็นเย่ือ
เลอื กผา่ น (Semi - permeable membrane) คือ ยอมให้สารบางชนิดเทา่ นน้ั ผา่ นเขา้ ออกได้ เยื่อหุ้มเซลล์
สามารถยดื และหดได้ แต่ถา้ ได้รบั แรงดนั มาก ๆ เยือ่ ห้มุ เซลล์จะขาดและทำใหเ้ ซลลต์ ายได้
ไซโทพลาซึม

ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ประกอบด้วยสารประกอบทางเคมีและโครงสร้างต่างๆมากมาย ท่ีทำหน้าท่ีเกี่ยวกับ
กจิ กรรมส่วนใหญ่ภายในเซลลเ์ รียกว่า ไซโทพลาซึม (Cytoplasm) ส่วนท่ีเปน็ ออร์แกเนลล์ มีหลายชนิดและทำ
หน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่น ทำหน้าท่ีเก็บสะสมอาหาร ทำลายส่ิงท่ีเป็นของเสียออรแ์ กเนลล์ท่ีพบเฉพาะในเซลล์พืช
ไดแ้ ก่ คลอโรพลาสต์และแวคิวโอล ส่วนออร์แกเนลล์ท่ีพบเฉพาะในเซลล์สัตว์ คือ เซนทริโอล ส่วนออร์แกเนลล์
ที่พ บได้ทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ เช่น ร่างแหเอนโดพ ลาซึมกอลจิบอดีและไมโท คอน เดรีย

1) ร่างแหเอนโดพลาซึม (Endoplasmic reticulum) ลักษณะเป็นร่างแห ร่างแหเอนโดพลาซึม แบ่ง
ออกเป็น 2 ชนิด คือ ร่างแหเอนโดพลาซึมที่มีไรโบโซม (Rough endoplasmic reticulum) และแบบท่ีไม่มีไร
โบโซม (Smooth endoplasmic reticulum) โดยแบบที่มีไรโบโซมเกาะอยู่เป็นแหล่งสร้างโปรตีนหน้าท่ีหลัก
ของร่างแหเอนโดพลาสซมึ ชนดิ นี้ จงึ เป็นการสังเคราะห์โปรตีนและเอนไซม์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ควบคุมการ
ลำเลียงสารระหวา่ งนวิ เคลียสกบั ไซโทพลาสซึมดว้ ย

2) กอลจิบอดี (Golgi body) ประกอบด้วยถุงเยื่อบาง ๆ เรียงซ้อนกัน ทำหน้าที่เก็บสารท่ีร่างแหเอนโด
พลาซมึ สรา้ งขึน้

3) ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) มีลกั ษณะเป็นกอ้ นกลม ๆ มผี นงั ห้มุ หนาท่ีประกอบด้วยเย่ือ 2 ช้ัน ทำ
หนา้ ที่เป็นแหล่งสรา้ งพลงั งานใหแ้ ก่เซลล์ โดยกระบวนการหายใจระดบั เซลล์

4) คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) มีลักษณะเป็นก้อนภายใน มีรงควัตถุสีเขียวช่ือ คลอโรฟิลล์
(Chlorophyll) คลอโรพลาสต์จึงเป็นแหลง่ สังเคราะหด์ ว้ ยแสงในเซลล์พืช

13

5) แวคิวโอล (Vacuole) มีลักษณะเป็นถงุ มเี ย่ือบาง ๆ หุ้มใช้ในการสะสมน้ำ ของเหลวหรืออาหาร และทำ

หน้าท่ีขบั ถา่ ยของเหลวออกจากเซลล์
นิวเคลยี ส

เซลลท์ ุกเซลล์ตอ้ งมนี ิวเคลยี ส เพราะมีหนา้ ทค่ี วบคมุ การทำงานของเซลล์และการถา่ ยทอดลกั ษณะทาง
พนั ธกุ รรมของสิ่งมีชีวิต เพราะในนวิ เคลยี สมสี ารพันธกุ รรมทเ่ี รียกวา่ ดเี อน็ เอ (DNA = Deoxyribonucleic

acid) อยู่บนโครโมโซมในนวิ เคลียส
นวิ เคลยี สของเซลลท์ ่วั ๆไปจะมีลักษณะเป็นก้อนค่อนข้างกลมมเี ยื่อหุ้มเซลล์ ในลักษณะนี้เรียกวา่ ยคู าริ

โอติกเซลล์ (Eukaryotic cell) ส่วนสงิ่ มชี ีวติ บางชนดิ เชน่ แบคทีเรยี นวิ เคลียสไมม่ ีเยอ่ื ห้ม ดงั นน้ั DNA จึง

กระจายอย่ภู ายในไซโทพลาสซมึ เซลลใ์ นลกั ษณะนี้เรียกว่า โปรคารโิ อตกิ เซลล์ (Prokaryotic Cell)
เซลลส์ ัตว์มรี ปู รา่ งหลายลกั ษณะ เซลลบ์ างชนดิ อาจมีรปู รา่ งกลมรี บางชนดิ มีรปู ร่างยาวเป็น เสน้

หรือรูปรา่ งอน่ื ๆ ขนึ้ อยู่กับชนิดและหน้าท่ีของเซลล์ เชน่ เซลล์เมด็ เลอื ดแดง มีรปู รา่ งค่อนขา้ งกลม ตรงกลาง
เว้าทั้งสองข้าง เซลลป์ ระสาทมีรูปร่างหลายแบบ เช่น กลม รี เป็นแฉก เซลล์กลา้ มเน้อื เรยี บทีอ่ วัยวะภายใน
มรี ูปร่างเรยี วยาว แหลม หัวแหลมท้าย เปน็ ต้น

เซลล์ประสาท เซลลเ์ มด็ เลอื ด เซลล์สเปิร์ม
ภาพ เซลล์ต่างๆของสัตว์

เซลล์จากสว่ นตา่ ง ๆ ของสตั ว์ ดงั ภาพข้างตน้ มรี ูปรา่ งสัมพันธ์กบั หน้าที่ของเซลล์
อยา่ งไร
...................................................................................................................................

...................................................................................................................................
...................................................................................................................................

...................................................................................................................................
...................................................................................................................................

ร่วม กนั คดิ 2

1. การจัดระบบชองเซลล์ไปเป็นร่างกายของสิง่ ชีวติ ลำดับจากหน่วยที่เลก็ ท่ีสดุ ไปเปน็ หน่วยทใ่ี หญท่ ่ีสดุ อยา่ งไร
.............................................................................................................................................................................
2. รวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกับการจัดการระบบของรา่ งกายมนุษยแ์ ละนำสิ่งตอ่ ไปนีม้ าเรยี งลำดับความสำคัญตาม
การจัดระบบของส่งิ มชี ีวิตจากหนว่ ยทีเ่ ลก็ ท่ีสดุ จนเปน็ หน่วยทใี่ หญ่ทีส่ ุด เนือ้ เยอ่ื ประสาท สมอง ระบบ
ประสาท เซลลป์ ระสาท มนษุ ย์
...............................................................................................................................................................................

14

3. จงเขียนผังมโนทัศน์ สงิ่ ท่ีไดเ้ รยี นรูจ้ ากบทเรยี นเรอื่ งการศึกษาเซลล์ดว้ ยกล้องจุลทรรศน์
15

แบบฝึ กหดั ทา้ ยบทเรยี นเรอื่ งเซลล์

1. จงเรยี งลำดับขัน้ ตอนการใช้กล้องจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สงอย่างถกู วิธี
………..1.นำสไลด์ท่ีจะศึกษาวางบนแท่นวางวตั ถุ เลือ่ นใหว้ ตั ถุอยู่กึ่งกลางบรเิ วณทีแ่ สงผา่ น มองดา้ นขา้ งตามแนว

ระดบั แทน่ วางวัตถุ คอ่ ยๆหมนุ ปุ่มปรับภาพหยาบ เล่อื นให้แท่นวางวัตถุอยใู่ นระดับสงู สุด
………..2.หากต้องการศึกษาภาพโดยใชก้ ำลังขยายสูงขึน้ ให้หมุนจานหมุนเพอื่ เล่ือนเลนส์ใกลว้ ัตถุที่มีกำลงั ขยาย

สงู ข้นึ (10X มาแทนที่กำลงั ขยาย 4X) จากนน้ั ปรับภาพใหช้ ัดเจนข้นึ โดยการหมนุ ปุ่มปรบั ภาพละเอียด
………..3.เมื่อต้องการเกบ็ กล้องจุลทรรศนใ์ ช้แสง หมุนจานหมนุ ให้เลนส์ใกล้วตั ถุทีม่ กี ำลังขยายต่ำสุดตรงกับลำ

กล้องเล่ือนแทน่ วางวตั ถใุ หอ้ ยู่ในตำแหน่งตำ่ สดุ ปดิ สวิตซ์ไฟ ทำความสะอาดเลนส์ด้วยกระดาษเช็ดเลนส์
เก็บสายไฟและวางกลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ นชัน้ วางใหเ้ รียบรอ้ ย
………..4.มองผ่านเลนส์ใกล้ตาพร้อมกบั หมนุ ป่มุ ปรับภาพหยาบช้าๆให้เลนส์ใกล้วัตถุขยบั หา่ งออกจากวัตถทุ ีละ
น้อยจนมองเหน็ วตั ถุ แล้วปรับภาพใหช้ ัดเจนข้นึ โดยการหมุนปุ่มปรับภาพละเอยี ด ปรับไดอะแฟรมเม่ือ
ตอ้ งการปรบั ความเข้มของแสงที่เข้าสู่ลำกล้อง
………..5.ตรวจสอบใหเ้ ลนส์ใกล้วัตถุกำลงั ขยายต่ำสุด (4X) อยูต่ รงกับกลอ้ ง และแทน่ วางวตั ถอุ ยทู่ ตี่ ำแหน่งตำ่ สดุ
เปิดสวิตซ์ไฟ ปรบั ความเข้มของแสง ปรับระยะห่างของเลนสใ์ กลต้ า

2. ถา้ นกั เรยี นใช้กลอ้ งจุลทรรศน์ในการศกึ ษาเซลล์เมด็ เลือดแดง โดยใชเ้ ลนส์ใกล้วัตถุ 4X เลนสต์ า 10X พบว่า
ภาพเซลล์เมด็ เลอื ดแดงชดั เจนแล้ว แต่ต้องการขยายขนาดของเซลล์เม็ดเลอื ดแดงให้ใหญ่ข้นึ นกั เรยี นจึงปรบั
เลนสใ์ กล้วัตถุไปท่ี 10X พบวา่ ภาพเซลล์เมด็ เลือดแดงทส่ี ังเกตเห็นใตก้ ล้องน้ันขยายใหญข่ ึน้ แตภ่ าพกลับไมช่ ัดเจน
นักเรียนจะมีวิธกี ารปรบั ภาพอย่างไร เพ่อื แกป้ ัญหาดังกลา่ ว
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. จงพจิ ารณาข้อความต่อไปนี้ และเขียนเครือ่ งหมาย √ หนา้ ข้อความทีถ่ ูกและ × หน้าขอ้ ความทผี่ ิด
………..3.1 หน่วยพ้นื ฐานของสงิ่ มชี ีวติ ทุกชนดิ คอื เซลล์
………..3.2 เซลลท์ กุ เซลล์มขี นาดและรูปร่างเหมอื นกนั
………..3.3 เซลลท์ ุกเซลล์มเี ยอ่ื หมุ้ เซลล์ นวิ เคลยี ส และไซโทพลาซึม
………..3.4 เซลล์สัตว์มีเยือ่ หุ้มเซลล์ และเซลล์พชื ไม่มีมีเยอื่ หุ้มเซลล์ มีแตผ่ นงั เซลล์
………..3.5 ภายในนวิ เคลยี ส มีสารพนั ธุกรรม ทำหนา้ ที่ควบคมุ ลักษณะและกระบวนการต่างๆของสิง่ มีชีวติ
………..3.6 ผนังเซลลม์ ีหน้าทีค่ วบคุมการผ่านเข้าและออกของสาร
………..3.7 เซลล์แต่ละชนิดมีรปู ร่างเฉพาะตามหน้าทีข่ องเซลล์

16

4. ระบุสว่ นประกอบของเซลล์พืชและเซลล์สตั ว์จากภาพ

5. เขียนอธิบายลักษณะและหน้าทีข่ องสว่ นประกอบของเซลลต์ อ่ ไปนี้

ช่ือส่วนประกอบ ลกั ษณะ หน้าท่ี

ผนังเซลล์ อยดู่ ้านนอกสดุ ของเซลลพ์ ชื ช่วยให้เซลล์พชื คงรูป ให้ความแข็งแรง

เยอื่ ห้มุ เซลล์ เป็นเยอื่ บางๆ มีสมบัตเิ ปน็ เยื่อเลือกผา่ น ห่อหุ้มเซลล์ ควบคุมปริมาณและชนิดของ

ประกอบดว้ ยลิพิดและโปรตนี สารท่ีผ่านเขา้ และออกจากเซลล์

ไซโทพลาซึม

นิวเคลียส

แวควิ โอล

ไมโทคอนเดรีย

คลอโรพลาสต์

17

6. เปรยี บเทยี บความเหมอื นและความแตกต่างของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั วโ์ ดยใชแ้ ผนภาพต่อไปนี้ ส่วนท่ีหมอื น
กันให้เขียนไว้ตรงกลางที่วงกลมทบั ซอ้ นกนั สว่ นทแี่ ตกต่างกันใหเ้ ขียนลงในสว่ นของวงกลมทไ่ี ม่ทบั ซ้อน

7. นำอักษรหน้าภาพไปเติมให้ตรงกบั หนา้ ทีข่ องเซลลเ์ หล่านนั้

ก เซลลเ์ มด็ เลอื ด ข เซลลเ์ ยอ่ื บุภายในลำไสเ้ ล็ก ค เซลล์สเปิร์ม

ง เซลล์คุม จ เซลล์ขนราก ฉ เซลล์ในเนอ้ื เยอื่ ลำเลยี งน้ำ

……………..7.1 เซลล์ใดชว่ ยเพิม่ พื้นทีใ่ นการดดู น้ำและธาตุอาหาร

……………..7.2 เซลล์ใดชว่ ยเพม่ิ พื้นท่ีในการดดู ซมึ สารอาหารและของเหลวต่าง ๆ ภายในท่อทางเดนิ อาหารเขา้ สู่

กระแสเลือด

……………..7.3 เซลล์ใดทำหนา้ ท่ีเปน็ เซลล์สืบพนั ธ์ุ มีโครงสรา้ งทีช่ ว่ ยแหวกวา่ ยผา่ นสว่ นตา่ งๆไปยงั เซลลไ์ ข่

……………..7.4 เซลล์ใดทำหนา้ ท่ีลำเลียงแก๊สออกซิเจนไปยงั เซลลต์ า่ ง ๆ ท่ัวร่างกาย

8. เซลล์ในภาพเปน็ เซลล์พืชหรือเซลล์สตั ว์ เพราะเหตุใด

18

ภาพที่ 1 เปน็ .......................... เพราะ...................................................................................................................
ภาพท่ี 2 เป็น.......................... เพราะ...................................................................................................................
ภาพที่ 3 เปน็ .......................... เพราะ....................................................................................................................

9. ถ้าเปรียบเทียบเซลลเ์ ป็นเมืองหนึ่ง โครงสร้างของเซลลท์ ี่นักเรยี นรู้จัก จะเปรียบเทยี บไดก้ บั ส่วนท่ใี ดของเมอื ง
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

2. การลำเลยี งสารเขา้ ออกเซลล์

น้ำกระเจ๊ียบเป็นเครอื่ งดม่ื ท่ีมสี ีแดงให้รสเปรีย้ ว สามารถ
เตรยี มไดโ้ ดยนำกลบี เลีย้ งทอี่ ยตู่ ิดกับผลกระเจย๊ี บมาแช่ใน
นำ้ รอ้ น สังเกตไดว้ ่านำ้ บริเวณใกลก้ ับกลีบเลยี้ งกระเจยี๊ บ
จะคอ่ ย ๆ มสี แี ดง จนในท่สี ุดน้ำมสี แี ดงทัว่ ทัง้ แก้ว การ
เปลีย่ นแปลงที่เกดิ ข้นึ น้ีเก่ียวข้องกับการท่ีอนภุ าคสารสี
แดงเคลื่อนท่ีออกจากเซลล์ของกลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบไปจน

ทั่วทัง้ แกว้

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 2

เขยี นเครอื่ งหมาย  หน้าคำตอบท่ีถกู ตอ้ ง

 เย่ือห้มุ เซลล์สามารถพบไดท้ ัง้ ในเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ตั ว์
 เซลลม์ ีขนาดเลก็ กว่าอนุภาคของน้ำตาล
 เย่อื หุม้ เซลลย์ อมให้สารทุกชนิดผ่านได้

19

กจิ กรรมท่ี 3 อนุภาคของสารมีการเคลอื่ นทอ่ี ยา่ งไร
จุดประสงค์ : สังเกตและอธบิ ายการเคลอ่ื นท่ขี องอนภุ าคดา่ งทบั ทิมในน้ำ

อปุ กรณ์ ปริมาณ/กลุ่ม

รายการ 1 ใบ
1. บีกเกอร์ ขนาด 50 cm3 30 cm3
2. นำ้ 1 อนั
3. ช้อนตกั สาร 2-3 เกล็ด
4. เกล็ดด่างทับทมิ

วิธีการทดลอง
1. สังเกตลักษณะ ขนาดและสีของเกลด็ ด่างทับทิม บันทึกผล
2. ใส่เกล็ดด่างทบั ทิม 2-3 เกลด็ ลงในน้ำ 30 cm3
3. สังเกตและบนั ทกึ การเปลยี่ นแปลง ที่เกดิ ขึน้ ตั้งแต่เรมิ่ ใส่เกล็ดด่างทับทมิ จนครบเวลา 10 นาที โดย

การวาดภาพและเขยี นบรรยาย
ผลการทำกจิ กรรม

เร่มิ ตน้ 5 นาที 10 นาที
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
คำถามทา้ ยการทดลอง
1. เมอื่ ใสเ่ กล็ดด่างทับทิมลงในนำ้ มีการเปล่ียนแปลงอย่างไรตั้งแตเ่ ริ่มตน้ จนครบเวลาที่กำหนด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. การกระจายของสดี ่างทับทมิ มีทศิ ทางใดบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ถา้ วางบกี เกอร์ท่ีมีเกล็ดดา่ งทับทิมตอ่ ไปอีก 2 ชั่วโมง สารละลายในบกี เกอร์มีลกั ษณะอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. จากกจิ กรรมสรุปได้วา่ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

20

ร่วม กนั คดิ 3

1.เม่ือสังเกตเหน็ น้ำมสี มี ่วงสมำ่ เสมอทั่วกนั ทงั้ ภาชนะ อนภุ าคดา่ งทับทิมมีการเคล่ือนท่หี รือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. การท่ีเยือ่ หมุ้ เซลล์ไม่ยอมให้สารทกุ ชนดิ ผ่านเข้าออกเซลล์ไดอ้ ย่างอิสระ มีความสำคัญอย่างไรต่อส่ิงมชี ีวติ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. นักเรยี นมีประสบการณเ์ กี่ยวกบั การแพร่ของสารในชีวติ ประจำวนั อยา่ งไรบา้ ง อธิบายพรอ้ มยกตวั อยา่ ง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

การแพร่เกดิ ขึ้นเม่อื มีความแตกต่างของความเขม้ ข้นของสารละลายระหว่างสองบริเวณ โดยมีทิศ

ทางการเคลื่อนท่ขี องตัวละลายจากบริเวณที่มีความเข้มขน้ มากไปยงั บริเวณท่มี ีความเขม้ ขน้ น้อย จนความเขม้ ข้น
ของสารละลายโดยเฉลย่ี เท่ากันทุกบริเวณ เรียกวา่ เกิดสมดุลของการแพร่ การแพรน่ อกจากแพร่ในตัวกลางที่เปน็
ของเหลวดังกิจกรรมแล้ว การแพรส่ ามารถแพรผ่ ่านตวั กลางท่ีเป็นแก๊สได้ เชน่ การแพรข่ องน้ำมันหอมระเหยหรือ
กล่ินดอกไม้กลนิ่ อาหารผ่านอากาศ เป็นต้นซ่ึงเซลลข์ องส่งิ มีชวี ติ ก็มีการแพร่ของสารเข้าออกเซลล์เช่นเดยี ว กัน
เชน่ การแพร่ออกของแกส๊ ออกซเิ จนและแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์บรเิ วณถุงลมปอด การแพรเ่ ข้าออกของแกส๊
ออกซเิ จนและแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์บริเวณปากใบ เปน็ ตน้

เม่อื เราวางผกั สดท้งิ ไวส้ กั ครู่ ใบผักจะค่อย ๆ เหี่ยวลง และ
เม่ือเวลาผ่านไป ใบและก้านผกั จะเหี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ

แตเ่ ม่อื เรานำผกั น้นั ไปแช่ในน้ำสักครู่หนงึ่ ใบและก้านผักจะ
คอ่ ย ๆ เต่งขึ้น จนกระทั่งกลบั มาสดเหมอื นเดมิ การ
เปลี่ยนแปลงดงั กล่าวเกิดข้ึนได้อยา่ งไร

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 3

เขียนลกู ศรแสดงทิศทางการแพร่ของแก๊สออกซิเจน

21

กจิ กรรมท่ี 4 น้ำเคลอื่ นทผี่ ่านเยอื่ เลือกผ่านได้อยา่ งไร

จดุ ประสงค์ : สงั เกต และอธบิ ายกระบวนการเคล่ือนทขี่ องน้ำผ่านเย่อื เลือกผา่ น

อปุ กรณ์

รายการ ปริมาณ/กลมุ่

1. น้ำเปลา่ 50 cm3

2. สารละลายนำ้ ตาลทราย ความเขม้ ขน้ 20% 30 cm3

3. เซลโลเฟน (กวา้ ง 15 cm x ยาว 15 cm) 1 แผน่

4. ยางรัดของ 1 เสน้

5. ปากกาเคมี 1 ด้าม
6. บีกเกอรข์ นาด 100 cm3
1 ใบ

7. หลอดแก้ว (เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง .5 cm ยาว 20 cm) 1 หลอด

8. ขาต้ังพรอ้ มทห่ี นีบ 1 ชุด

วิธกี ารทดลอง
1. นำเซลโลเฟนชบุ น้ำใหเ้ ปียก แล้วบลุ งในบกี เกอรเ์ ปลา่ จากนน้ั นำสารละลายนำ้ ตาลทรายปรมิ าตร

30 cm3เทลงในเซลโลเฟนทอี่ ยู่ในบกี เกอร์
2. นำหลอดแก้วจ่มุ ลงในสารละลายน้ำตาลทรายแล้วรวบขอบแตล่ ะด้านของเซลโลเฟนเขา้ ด้วยกนั ให้

เปน็ ถุงใชย้ างรัดปากถงุ ให้แนน่ โดยพยายามอย่าให้เกดิ ฟองอากาศในหลอดแกว้ และในถุงเซลโลเฟน
3. ยึดหลอดแก้วกับขาตงั้ ให้ตัง้ ตรง จากนัน้ ทำเคร่ืองหมายแสดงระดบั สารละลายนำ้ ตาลทรายใน

หลอดแกว้
4. ใส่นำ้ ลงในบกี เกอร์ประมาณ 50 cm3 ค่อยๆลดระดบั ถุงเซลโลเฟนลงในบีกเกอร์ โดยให้ยางรัดปาก

ถงุ เซลโลเฟนอยเู่ หนือระดับน้ำในบกี เกอร์เล็กน้อย

ผลการทำกิจกรรม
ตารางแสดงระดบั ของเหลวในหลอดแก้วท่เี วลาตา่ ง ๆ

เวลาท่ผี า่ นไป (นาที) ความสงู ของระดับของเหลวในหลอดแกว้ (cm)
5
10
15
20
25
30

22

คำถามท้ายกจิ กรรม
1. หลงั จากตง้ั ชดุ การทดลองทง้ิ ไว้ 30 นาที ระดับของเหลวในหลอดแก้วมีการเปล่ียนแปลงหรอื ไมอ่ ยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ในกจิ กรรมนีม้ ีการเคลื่อนท่ขี องสารใด และเคลื่อนท่อี ยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. เขยี นแผนภาพแสดงการเคลอ่ื นทขี่ องสารในชดุ การทดลองได้อย่างไร

4. จากกจิ กรรมสรปุ ไดว้ า่ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ออสโมซสิ เกิดขึ้นได้อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………

ร่วม กนั คดิ 4

1.ถา้ เซลลพ์ ืชแชอ่ ย่ใู นสารละลายท่ีมีความเขม้ ข้นมากกวา่ เทา่ กับ และน้อยกวา่ สารละลายภายในเซลล์ รูปรา่ ง
ของเซลล์พชื จะมีการเปลี่ยนแปลงเหมอื นหรือแตกต่างจากเซลล์สตั ว์อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ยกตัวอยา่ งออสโมซิสของสารในชวี ติ ประจำวันที่นกั เรียนเคยพบเห็น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. เพราะเหตใุ ด เม่ือนำผกั ท่ีเรมิ่ เหย่ี วไปแชน่ ำ้ ผกั จงึ เต่งขน้ึ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

23

4. เขียนผงั มโนทศั นส์ รุปองคค์ วามรูใ้ นบทเรยี นการลาเลียงสารเขา้ ออกเซลล์

5. สงิ่ มีชวี ติ นำสารเขา้ และออกจากเซลลไ์ ด้อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. การแพร่และออสโมซสิ มีความสำคัญต่อการดำรงชวี ิตของสง่ิ มชี วี ิตอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

24

แบบฝึ กหดั ท้ายบทเรยี นการลาเลยี งสารเขา้ ออกเซลล์

จงเขียนลูกศรแสดงทิศทางการเคลอื่ นทขี่ องนำ้ ลงบนภาพ และวาดภาพแสดงรูปร่างลกั ษณะของเซลล์
1. เมื่อแช่เซลลใ์ นสารละลายท่ีมีความเขม้ ขน้ นอ้ ยกว่าสารละลายภายในเซลล์

เขียนลกู ศรแสดงทิศทางการเคลอื่ นทีข่ องนา้ รูปรา่ งและลกั ษณะของเซลล์

2. เมือ่ แช่เมด็ เลอื ดแดงในสารละลายทีม่ ีความเขม้ ขน้ เทา่ กบั สารละลายภายในเซลล์

เขยี นลกู ศรแสดงทิศทางการเคลอ่ื นทข่ี องนา้ รูปรา่ งและลกั ษณะของเซลล์

3. เม่ือแชเ่ ม็ดเลอื ดแดงในสารละลายที่มคี วามเขม้ ขน้ มากกวา่ สารละลายภายในเซลล์

เขยี นลกู ศรแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของนา้ รูปรา่ งและลกั ษณะของเซลล์

25

คิดแบบนกั วิทย์

ขนั้ นำปัญญำพฒั นำควำมคดิ กิจกรรม ฝึ กทา : ฝึ กสร้าง

กิจกรรม เพราะเหตุใดน้ำหนักของไข่ไก่จงึ เปลยี่ นแปลง (ดจู ากคลิป)

จุดประสงค์ ทดลองและอธบิ ายการเปลยี่ นแปลงของไขไ่ กใ่ นสารละลายชนดิ ต่าง ๆ

วธิ ีการดำเนินกิจกรรม
1. ไขไ่ กแ่ ช่ในบีกเกอร์ทมี่ ีนำ้ สม้ สายชูเป็นเวลา 2 วัน จากน้นั ค่อยๆถูเปลือกไข่ที่เหลอื อยรู่ ะวงั อย่างให้เย่อื หุ้มไข่

ไก่ขาด ชั่งนำ้ หนักไขไ่ ก่ และบันทกึ ผล
2. นำไขไ่ ก่จากขอ้ 1 .ใส่ในบีกเกอร์ เติมนำ้ เชอื่ มเข้มข้นทีเ่ คี่ยวจนเหนยี วให้ท่วมไข่ไก่ ทงิ้ ไวเ้ ป้นระยะเวลา 2 วนั

สังเกตการเปล่ยี นแปลงทเี่ กิดขนึ้ ชัง่ นำ้ หนกั ไขไ่ ก่และบนั ทกึ ผล
3. นำไข่ไก่จากข้อ2 .ใสใ่ นบกี เกอร์ เตมิ นำ้ เปล่าให้ทว่ มไขไ่ ก่ ทง้ิ ไวเ้ ป้นระยะเวลา 2 วัน สังเกตการเปล่ียนแปลง
ที่เกิดขนึ้ ชง่ั นำ้ หนกั ไขไ่ กแ่ ละบนั ทกึ ผล

ตัวอย่างผลการทำกจิ กรรม

ข้อมูล ไขไ่ ก่เมอื่ แชด่ ้วย ไข่ไก่เมอ่ื แชด่ ว้ ยสารละลายที่ตอ้ งการศกึ ษา
นำ้ สม้ สายชู 2 วัน
นำ้ ตาลทรายเข้มข้น น้ำ

ลักษณะ ทรงกลมค่อนขา้ งรี มสี ี ทรงกลมคอ่ นข้างรี มีสี ทรงกลมค่อนข้างรี มีสี

เหลืองใส ไม่มีเปลือกแข็ง เหลอื งใส ผิวค่อนข้างเห่ยี ว เหลอื งใส ผิวค่อนข้างเต่ง

นำ้ หนกั 88.86 กรัม (ขึน้ อยู่กบั ไขไ่ ก่ 66.33 กรัม (ขนึ้ อยกู่ บั ไข่ 79.01 กรัม (ขึน้ อยูก่ ับ

ทน่ี ำมาศึกษา) ไกท่ ี่นำมาศกึ ษา) ไข่ไก่ท่นี ำมาศึกษา)

คำถามท้ายกจิ กรรม
1.น้ำหนักไข่ไกม่ กี ารเปลีย่ นแปลงหรือไม่ อยา่ งไร เม่อื แช่ในสารละลายตัวอยา่ งตา่ ง ๆ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

26

2. สารตวั อยา่ งใดที่ทำให้ไข่ไก่มีนำ้ หนกั ลดลงและเพม่ิ ข้ึน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. การเปลี่ยนแปลงน้ำหนกั ของไขไ่ ก่เกดิ ขน้ึ จากกระบวนการใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. จากกจิ กรรม สรุปได้ว่าอยา่ งไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

สง่ิ มชี ีวิตมีการลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์โดย

กระบวนการแพร่ตลอดเวลาเช่น การแพร่ของแกส๊ ออกซเิ จน
และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ระหวา่ งเซลล์เมด็ เลอื ดแดงและ
ถุงลมภายในปอด การแพร่ของแกส๊ ออกซิเจน และแกส๊
คารบ์ อนไดออกไซด์บรเิ วณปากใบ

27

กจิ กรรม คิดดี ผลงำนดี มคี วำมสขุ

ขนั้ นำปัญญำพฒั นำตนเอง

ตรวจสอบตนเอง

เขียนเครื่องหมาย  ในชอ่ งวา่ งหน้าทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทไี่ ด้ทำในบทเรียนน้ี

 การสังเกต
 การวัด
 การจำแนกประเภท
 การหาความสมั พันธร์ ะหว่างสเปซกับสเปซ และสเปซกบั เวลา
 การใช้จำนวน
 การจดั กระทำและสอ่ื ความหมายขอ้ มูล
 การลงความเห็นจากข้อมูล
 การพยากรณ์
 การตง้ั สมมตฐิ าน
 การกำหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัติการ
 การกำหนดและควบคมุ ตัวแปร
 การทดลอง
 การตีความหมายข้อมูลและลงขอ้ สรปุ
 การสรา้ งแบบจำลอง

28

แบบประเมินตนเองหลงั เรยี น

คำชแ้ี จง : ให้นักเรียนเลอื กคำตอบที่ถกู ตอ้ งทสี่ ุดเพียงคำตอบเดียว ใชเ้ วลา 20 นาที
1. จากวตั ถุที่กำหนดให้ เมื่อสงั เกตวัตถุน้ดี ว้ ยกลอ้ งจุลทรรศนใ์ ชแ้ สง ภาพท่ีเห็นจะมลี กั ษณะอย่างไร

29

2. จากแผนภาพ ข้อใดต่อไปนถี้ ูกต้อง
ก. หมายเลข 1 หมายถึง เยื่อหมุ้ เซลล์ และ หมายเลข 8 หมายถงึ สง่ิ มีชวี ิต
ข. หมายเลข 2 หมายถงึ เยอื่ เลือกผา่ น และ หมายเลข 7 หมายถึง ระบบเน้อื เยอ่ื
ค. หมายเลข 3 หมายถงึ สารพนั ธกุ รรม และ หมายเลข 4 หมายถึง คลอโรพลาสต์
ง. หมายเลข 5 หมายถึง คลอโรฟิลล์ และ หมายเลข 6 หมายถงึ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์

3. จากแผนภาพตอ่ ไปน้ี ขอ้ ใดถูกต้อง

30

ก. 1 คือ เยื่อหุม้ เซลล์ และ 2 คอื ผนงั เซลล์ ข. 1 คอื เยอื่ หุ้มเซลล์ และ 2 คือ คลอโรพลาสต์
ค. 2 คอื คลอโรพลาสต์ และ 3 คอื แวควิ โอล ง. 2 คอื คลอโรพลาสต์ และ 3 คอื เยือ่ หมุ้ เซลล์

4. ถ้านำเซลล์จากสว่ น A และส่วน B ของตน้ ไม้ตวั อย่างดงั ภาพ มาส่องภายใต้กล้องจุลทรรศนใ์ ชแ้ สง
โครงสรา้ งใดท่ีพบมากในเซลลจ์ ากสว่ น A และพบน้อยหรือไม่พบเลยในส่วน B

ก. ไมโทคอนเดรีย ข. คลอโรพลาสต์ ค. ผนงั เซลล์ ง. นวิ เคลยี ส

5. นักวิทยาศาสตรว์ ิจัยเกยี่ วกบั การสะสมแป้งของขา้ วสายพนั ธุ์ใหม่ โดยการศึกษาโครงสรา้ งของเซลลเ์ มลด็ ข้าว

หลกั ฐานในข้อใดท่ีบง่ ช้วี ่าเมล็ดข้าวดงั กลา่ วนา่ จะมีการสะสมแป้งไดด้ ีทีส่ ุด

ก. พบผนงั เซลล์หนาล้อมรอบเซลล์ ข. พบนวิ เคลียสขนาดใหญ่จนเกือบเตม็ เซลล์

ค. พบแวคิวโอลขนาดใหญก่ ระจายทั่วทัง้ เซลล์ ง. พบคลอโรพลาสต์จำนวนมากอยภู่ ายในเซลล์

6. การจดั ระบบของสิ่งมชี วี ิตในข้อใด เรียงลำดับจากใหญ่ไปเลก็ ได้ถกู ต้อง

ก. ระบบหมุนเวยี นเลือด หัวใจ กลา้ มเน้ือหวั ใจ เซลลก์ ล้ามเนือ้ หัวใจ

ข. เซลล์ลำไส้ใหญ่ เนือ้ เยอื่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ ระบบย่อยอาหาร

ค. เซลลป์ ระสาท สมอง เนอื้ เย่อื สมอง ระบบประสาท

ง. ระบบหายใจ เน้ือเยื่อปอด ปอด เซลลป์ อด

7. ข้อใดอธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรปู ร่างกับหนา้ ทขี่ องเซลล์ไดถ้ กู ตอ้ ง

ก. เซลล์คมุ มีผนังเซลลห์ นาบางไมเ่ ท่ากนั เพอ่ื ให้สามารถปิดเปดิ ปากใบได้

ข. เซลล์เมด็ เลือดแดง มีรูปร่างกลมแบน เพื่อเพมิ่ พนื้ ที่ผิวในการแลกเปลย่ี นแก๊ส

ค. เซลล์ประสาท มเี ส้นใยเป็นแขนงยาว เพือ่ ชว่ ยให้กระแสประสาทเคล่ือนท่เี รว็ ขนึ้

ง. เซลลเ์ น้ือเย่ือลำเลียง มลี กั ษณะเปน็ ท่อกลวงยาว เพ่อื สร้างความแขง็ แรงแก่เซลล์

8. สถานการณ์ใดเปน็ ผลมาจากการแพร่

ก. สวมเส้อื คลุมให้รา่ งกายอบอุ่นเมอ่ื อากาศเย็น ข. ไดก้ ลิ่นหอมของดอกไมใ้ นสวน

ค. ใช้พัดโบกไปมา เพื่อให้เหงื่อแหง้ เรว็ ขน้ึ ง. น้ำค้างระเหยจากบริเวณยอดหญา้

31

9. สารละลายน้ำตาล 1% และ สารละลายนำ้ ตาล 5% บรรจุอยูใ่ นภาชนะใบเดียวกัน โดยมเี ยอื่ เลือกผ่านกัน้ อยู่
ระหว่างสารละลายทั้งสอง ดังภาพ

จากภาพ ข้อความใดแสดงถงึ กระบวนการออสโมซิส
ก. การเคลื่อนท่ีของน้ำตาลจากสารละลายนำ้ ตาล 1% ไปยงั สารละลายน้ำตาล 5%
ข. การเคลอื่ นที่ของน้ำตาลจากสารละลายนำ้ ตาล 5% ไปยงั สารละลายนำ้ ตาล 1%
ค. การเคล่อื นทข่ี องน้ำ จากสารละลายนำ้ ตาล 1% ไปยังสารละลายน้ำตาล 5%
ง. การเคลอ่ื นท่ขี องนำ้ จากสารละลายนำ้ ตาล 5% ไปยังสารละลายน้ำตาล 1%

10. เมือ่ เร่ิมตน้ จัดชุดการทดลองไดผ้ ลดังภาพ หากวางชุดการทดลองน้ีต่อไปอีก 5 นาที ของเหลวในหลอดแกว้
และบีกเกอร์จะมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร

ระดับของเหลวในหลอดแกว้ ระดับของเหลวในบกี เกอร์
ก. สงู ข้ึน ตำ่ ลง
ข. ตำ่ ลง สูงขนึ้
ค. เทา่ เดิม เท่าเดมิ
ง. ตำ่ ลง ต่ำลง

คะแนนเต็ม 10 คะแนน
ได้ ........... คะแนน

32

เอกสารอ้างอิง
ศรีลกั ษณ์ ผลวัฒนะ และ คณะ . (2551). สื่อการเรียนรูแ้ ละเสรมิ สร้างทักษะตามมาตรฐานและ

ตวั ชี้วดั ช้ันปกี ลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เลม่ 1. กรงุ เทพฯ.นยิ มวทิ ยา.
สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ,สถาบัน. คู่มือครู รายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ 1 ช้นั

มัธยมศึกษาปที ่ี 1 เลม่ 1. (2553). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพรา้ ว.
สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี , (2553). สถาบัน.หนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ 1 ชน้ั

มัธยมศึกษา ปที ี่ 1 เล่ม 1 .กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี , (2561). สถาบัน.หนังสอื เรียนวิทยาศาสตร์ เล่ม1 ช้ัน

มธั ยมศกึ ษา ปีที่ 1 เล่ม 1 .กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพค์ รุ สุ ภาลาดพร้าว.

33


Click to View FlipBook Version