The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชุดกิจกรรมเรื่องสมบัติของสารและการจำแนกสาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anocha Utumsakulrat, 2021-05-21 05:08:01

ชุดกิจกรรมเรื่องสมบัติของสารและการจำแนกสาร

ชุดกิจกรรมเรื่องสมบัติของสารและการจำแนกสาร

Keywords: ว21101

ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ ตามแนวคิดโยนิโสมนสิการ

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง สมบตั ขิ องสารและการจำแนกสาร

วิชาวทิ ยาศาสตร์ 1 ว21101

สอนโดย
นางสาวอโนชา อุทมุ สกลุ รัตน์

ครชู ำนาญการพิเศษ
ปีการศกึ ษา 2564

สำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม
ชอื่ -สกุล..................................................ช้ัน.........เลขท.่ี .......

สารบญั หนา้

บทนำ................................................................................................................................ ก
คำชี้แจงการใช้ชุดกิจกรรม................................................................................................ ข
แบบประเมนิ ตนเองกอ่ นเรยี น........................................................................................... 1
หนว่ ยการเรยี นรเู้ รอ่ื ง สมบตั ขิ องสารและการจำแนกสาร.......................................... 1
18
สมบัติของสารบริสทุ ธ์ิ..... ..................................................................... 32
การจำแนกและองค์ประกอบของสารบริสุทธิ์........................................ 36
แบบประเมินตนเองหลังเรียน............................................................................................
อ้างอิง............................................................................................................................

บทนำ

ชุดกิจกรรมที่ผู้เรียนจะได้ศึกษาน้ีเรียกว่าชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการ
หน่วยการเรยี นรู้เรอื่ ง สมบัติของสารและการจำแนกสาร เป็นส่ือวิทยาศาสตร์ท่ีเนน้ ให้ผู้เรยี นมีความสามารถใน
การคิดแก้ปัญหาอย่างมีระบบ พบคำตอบของปัญหาหรือสถานการณ์น้ันด้วยตนเอง ส่งผลให้ผู้เรียนเกดิ การ
เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ได้คิดและลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ และ เพอื่ ใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดนกั เรยี น

ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการเน้ือหาส่วนใหญ่เน้นการให้นักเรียนสามารถ
นำไปประยุกต์ใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวันเพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรูเ้ น้ือหาได้ดว้ ยตนเองจึงไดเ้ รียบเรียง
เน้อื หาใหก้ ระชับและน่าสนใจและนอกจากนี้ยงั ไดแ้ ทรกรูปภาพและคำถามชวนคิดไว้ตลอดทำให้ไม่เบื่อในการ
อ่านและทำกิจกรรม

ผูจ้ ัดทำชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนโิ สมนสกิ ารหวงั เป็นอย่างย่ิงวา่ เอกสารชุดน้ีจะมี
ประโยชน์ในการเรียนรูเ้ นือ้ หาตามหลักสตู ร ผู้เรยี นมีความรแู้ ละความสามารถในการสบื คน้ การจัดระบบสิง่ ท่ี
เรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพอื่ สรา้ งองค์ความรู้ ได้เปน็ อย่างดีสามารถนำความรู้ทีไ่ ด้จากการ
เรียนรูไ้ ปปรบั ใชใ้ นชีวิตประจำวันได้ และเป็นประโยชนส์ ำหรับผู้ที่สนใจใช้เป็นแนวทาง ในการจดั กระบวนการ
เรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ต่อไป

...........................................
( นางสาวอโนชา อุทุมสกุลรัตน์ )
ผู้จัดทำชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์



คำช้ีแจงการใชช้ ดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร

เรอ่ื ง สมบัตขิ องสารและการจำแนกสาร

1. สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบัติของ

สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
2. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ชว้ี ัด เร่อื งสมบัตขิ องสารและการจำแนกสาร

มาตรฐานการเรยี นรู้ /ตัวชีว้ ัด ว2.1ม.1/1,1/2,1/3 ,1/4, 1/5,1/6,1/7,1/8
3. วธิ ีเรยี นรจู้ ากชดุ กิจกรรมนี้เพอ่ื ให้เกดิ ประโยชน์สูงสดุ นักเรียนควรปฏบิ ตั ิตามคำชแ้ี จง ตอ่ ไปนี้
ตามลำดบั

1. ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์สองภาษาตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสกิ าร เร่อื ง สมบตั ขิ องสารและการ
จำแนกสาร ชุดน้ี ใชเ้ วลาในการศกึ ษา 18 ช่ัวโมง
2. ใหน้ กั เรียนจัดกลมุ่ ๆ ละประมาณ 6 คน
3. ให้นกั เรียนศกึ ษามาตรฐานการเรยี นรู้ / ตัวช้ีวดั ของชดุ การเรียน
4. ให้นกั เรยี นปฏบิ ัติกิจกรรมในชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคดิ แบบโยนโิ สมนสิการ โดยใช้

รปู แบบการเรียนรแู้ บบโยนโิ สมนสิการตามขัน้ ตอนดงั น้ี
1. ขนั้ พัฒนาปญั ญา
2. ขนั้ นำปญั ญาพฒั นาความคดิ
3. ข้นั นำปัญญาพัฒนาตนเอง

4. สาระสำคญั
สารบรสิ ุทธป์ิ ระกอบดว้ ยสารเพียงชนิดเดียว สว่ นสารผสมประกอบด้วยสารตงั้ แต่ 2 ชนดิ ขึน้ ไป สาร

บริสทุ ธแิ์ ต่ละชนดิ มีสมบัติบางประการทเ่ี ปน็ คา่ เฉพาะตัว มคี า่ คงที่ เช่น จุดเดอื ด จุดหลอมเหลว และความ
หนาแนน่ แต่สารผสมมจี ุดเดือด จุดหลอมเหลว และความหนาแนน่ ไม่คงท่ี ขึ้นอยูก่ บั ชนิดและสดั ส่วนของสาร
ทผ่ี สมอยู่ดว้ ยกัน

สารบริสุทธ์ิสามารถแบง่ ออกเปน็ ธาตุและสารประกอบ ธาตมุ อี งค์ประกอบเพยี งชนิดเดยี วและไม่
สามารถแยกสลายเปน็ สารอ่ืนไดด้ ว้ ยวธิ ีทางเคมี ส่วนสารประกอบธาตุองค์ประกอบตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปรวมตัว
กันทางเคมใี นอัตราสว่ นคงท่ีมสี มบัติแตกต่างจากธาตทุ ีเ่ ปน็ องคป์ ระกอบ สามารถแยกองคป์ ระกอบของ
สารประกอบออกจากกันไดด้ ้วยวิธที างเคมีโดยธาตแุ ต่ละชนดิ ประกอบด้วยอนภุ าคท่ีเล็กท่ีสุดเรียกว่าอะตอม
อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ล็กตรอนซึง่ โปรตอนและนวิ ตรอนรวมกันตรงกลางอะตอม
เรียกว่า นิวเคลยี ส สว่ นอิเลก็ ตรอนเคล่อื นทรี่ อบนวิ เคลียส อะตอมของแตล่ ะธาตุแตกต่างกันท่จี ำนวนโปรตอน
ธาตแุ ต่ละชนดิ มีสมบตั ิเฉพาะตัว นกั วิทยาศาสตรใ์ ช้สมบัตทิ างกายภาพของธาตุเพือ่ จำแนกธาตุเป็นโลหะ
อโลหะและกึ่งโลหะ ธาตบุ างชนิดเปน็ ธาตุกมั มนั ตรังสี ซง่ึ ธาตโุ ลหะ อโลหะ ก่งึ โลหะและธาตุกมั มนั ตรงั สใี ช้
ประโยชนไ์ ดแ้ ตกต่างกนั การนำธาตมุ าใชอ้ าจมีผลกระทบต่อสงิ่ มีชีวิต ส่งิ แวดลอ้ ม เศรษฐกจิ และสังคม

*** ขอใหน้ กั เรียนทกุ คนได้เรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์อยา่ งมคี วามสขุ ***



แบบประเมินตนเองก่อนเรียน

คำชี้แจง : ใหน้ ักเรียนเลือกคำตอบทถี่ กู ต้องทีส่ ุดเพียงคำตอบเดยี ว ใชเ้ วลา 20 นาที
1. พบขวดสารเคมีทไ่ี ม่ติดฉลากบรรจุสารท่มี ีสถานะของแข็ง สขี าว ไม่มกี ลิน่ เมื่อนำไปทดสอบ โดยหาจดุ
หลอมเหลวพบว่าสารเริม่ หลอมเหลวท่อี ณุ หภูมิ 156 oC และหลอมเหลวหมดที่อุณหภูมิ 156.5 oC ข้อสรุปใด
ถูกต้อง

ก. สารนเี้ ป็นสารผสมเพราะมีจดุ หลอมเหลวไมค่ งท่ี
ข. สารน้ีเป็นสารผสมเพราะจุดหลอมเหลวสงู กว่า 100 oC
ค. สารนี้เปน็ สารบริสทุ ธเ์ิ พราะเปน็ ของแข็ง สีขาว ไมม่ กี ลนิ่
ง. สารนเ้ี ป็นสารบริสุทธิเ์ พราะมีช่วงอณุ หภมู ิท่ีหลอมเหลวแคบ
2. นำของเหลว 3 ชนดิ ไปใหค้ วามรอ้ นและบนั ทึกผลอณุ หภมู ิทกุ ๆ 3 นาที จากนน้ั นำข้อมูลมาเขียนกราฟ
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งการเปลย่ี นแปลงอุณหภูมขิ องสารกับเวลา ไดด้ งั นี้

ขอ้ สรุปใดถกู ต้อง
ก. สาร A เป็นสารผสม ส่วนสาร B และ C เปน็ สารบรสิ ุทธ์ิ
ข. สาร C เป็นสารบรสิ ุทธ์ิ ส่วนสาร A และ B เปน็ สารผสม
ค. สารทั้ง 3 ชนิด เปน็ สารบริสุทธิ์
ง. สารทงั้ 3 ชนิด เป็นสารผสม

3. สาร D มจี ดุ เดือดและจุดหลอมเหลวกี่องศาเซลเซียส *

ก. จุดเดือด 0 oC และจุดหลอมเหลว 40 oC ข. จดุ เดอื ด 40 oC และจุดหลอมเหลว 0 oC

ค. จุดเดอื ด 60 oC และจุดหลอมเหลว 80 oC ง. จดุ เดอื ด 80 oC และจุดหลอมเหลว 60 oC

4. ขอ้ ใดต่อไปน้ถี ูกตอ้ ง **
ก. สาร A มีจุดหลอมเหลวสงู กวา่ สาร C และสาร D

ข. สาร A มจี ุดเดอื ดต่ำกวา่ สาร B สาร C และสาร D
ค. สาร C มีจดุ เดือดตำ่ กวา่ สาร B และสูงกว่าสาร D

ง. สาร C มีจุดหลอมเหลวสูงกว่าสาร B และต่ำกว่าสาร D
5. พิจารณาข้อมูลจากกราฟแลว้ ตอบคำถาม

ถ้านำวัตถทุ ง้ั 3 ชนิดหยอ่ นลงในนำ้ มนั พืชที่มคี วามหนาแนน่ 0.90 g/cm3 วตั ถชุ นดิ ใดลอยในนำ้ มนั พืชได้

ก. A และ B ข. A และ C ค. B และ C ง. A B และ C

6. ตารางมวลและปรมิ าตรของวัตถุ 4 ชิ้น

เม่ือหาความหนาแน่นของวตั ถทุ ้ัง 4 ช้นิ แผนภมู แิ ท่งขอ้ ใดสอดคลอ้ งกับขอ้ มูลในตาราง

7. แกส๊ A มีความหนาแนน่ 0.80 g/cm3 แก๊ส B มีความหนาแน่น 1.14 g/cm3 และ แก๊ส C มีความ
หนาแนน่ 0.07 g/cm3หากบรรจุแกส๊ แต่ละชนิดมวล 50 กรัม ในลูกโป่งทีอ่ ุณหภมู หิ อ้ งและความดนั บรรยากาศ

ใหเ้ รียงลำดบั ขนาดลกู โป่งท่ีบรรจุแก๊สจากเล็กไปใหญ่ **

ก. B A C ข. C A B ค. C B A ง. B C A

8. ตารางมวลและปรมิ าตรของวตั ถุท่ีเป็นสารบริสุทธ์ิ 4 ชน้ิ

จากตาราง วตั ถุช้นิ ใดเปน็ วัตถุชนิดเดยี วกนั

ก. วัตถุ A และ C ข. วัตถุ A และ D ค. วัตถุ B และ C ง. วตั ถุ B และ D

9. ต้องการหาค่าความหนาแน่นของวัตถชุ นิ้ หนง่ึ ที่มรี ปู ทรงไม่เป็นรูปทรงเรขาคณติ โดยสว่ นที่กวา้ งท่สี ดุ ของ

วตั ถุยาว3.5 cm และสว่ นทีย่ าวของวัตถุยาว 8.0 cm ควรเลอื กใชอ้ ปุ กรณ์ในข้อใดในการหามวลและปริมาตร

ของวตั ถุ

ใชข้ ้อมูลในตาราง ตอบคำถาม ขอ้ 10 - 11

10. ข้อใดเปน็ สารประกอบทง้ั หมด ข. ฮีเลียม เงนิ
ก. กรดนำ้ ส้ม โอโซน ง. กรดนำ้ สม้ ปนู ขาว

ค. แกส๊ คลอรีน แมกนเี ซียมคลอไรด์ ข. ฮเี ลยี ม เงิน
11. ข้อใดเป็นธาตุทั้งหมด ง. กรดน้ำสม้ ปูนขาว

ก. กรดนำ้ ส้ม โอโซน ข. ดึงเปน็ เส้นได้
ค. แก๊สคลอรนี แมกนีเซยี มคลอไรด์ ง. มคี วามมันวาว
12. ขอ้ ใดไมใ่ ช่สมบตั ิของธาตโุ ลหะ

ก. เปราะ
ค. นำไฟฟ้าและนำความรอ้ นไดด้ ี

13. จากภาพด้านบนแสดงอะตอม ขอ้ ใดถูกตอ้ ง

ก. 1, 2, 3 เปน็ ธาตุ ข. 1, 2, 4 เปน็ ธาตุ

ค. 2, 3, 5 เปน็ สารประกอบ ง. 3, 4, 5 เปน็ สารประกอบ

14. อะตอมของธาตลุ เิ ทยี มมี 3 โปรตอน 4 นวิ ตรอน และ 3 อเิ ล็กตรอน แบบจำลองอะตอมในขอ้ ใด แสดง

อะตอมของธาตลุ ิเทียมไดเ้ หมาะสมเมื่อ

ก ข คง
15. ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ งเกี่ยวกบั การนำธาตุไปใช้ *

ก. ทองแดง เป็นโลหะทีใ่ ช้ทำสายไฟฟ้า เพราะนำไฟฟา้ ไดด้ ี
ข. ซลิ ิคอน เปน็ โลหะที่ใช้ในอปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ เพราะมสี มบัติเปน็ สารก่ึงตัวนำ
ค. เหล็ก เปน็ โลหะท่ีใช้ทำเครื่องจกั ร เพราะรับน้ำหนักไดแ้ ละคงทนตอ่ การสึกหรอ
ง. ไนโตรเจน เปน็ อโลหะท่ใี ชใ้ นป๋ยุ เร่งผลผลิตทางการเกษตร เพราะเป็นส่วนประกอบทส่ี ำคญั ของพชื

คะแนนเต็ม 15 คะแนน
ได้ ........... คะแนน



หนว่ ยที่ 2 เรื่องสมบัติของสารและการจำแนกสาร

เวลา 18 ชัว่ โมง

ข้นั พฒั นาปญั ญา กิจกรรม ฝึ กอ่าน : ฝึ กคิด

1. สมบตั ขิ องสารบริสทุ ธิ์

สารบริสุทธิป์ ระกอบดว้ ยสารเพียงชนิดเดียว ส่วนสารผสมประกอบด้วยสารต้งั แต่ 2 ชนิดขึ้นไป สารบริสทุ ธแิ์ ต่ละ
ชนิดมีสมบัติบางประการท่ีเป็นค่าเฉพาะตัว มีค่าคงท่ี เช่น จุดเดือด จุดหลอมเหลว และความหนาแน่น แต่สาร
ผสมมจี ดุ เดอื ดจดุ หลอมเหลว และความหนาแน่นไม่คงท่ี ขึน้ อยกู่ บั ชนิดและสดั สว่ นของสารทผี่ สมอยดู่ ้วยกัน

สง่ิ ท่เี หน็ ในภาพมลี กั ษณะ
เหมอื นและแตกตา่ งกนั
อย่างไร

ภาพทองคำแท่งและทองรูปพรรณ

...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
.......................................................

ถา้ นกั เรยี นต้องการทราบว่าส่งิ ท่ี
เหน็ ในภาพเปน็ สารผสมหรอื
สารบริสทุ ธ์ิจะต้องทำอย่างไร

..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................

1

ทองคำใช้ทำเคร่ืองประดับหรือทองรูปพรรณ ไม่ได้เป็นสารบรสิ ุทธิ์ท่ีประกอบด้วยทองคำเพียงอย่างเดียว
เน่ืองจากทองคำบริสุทธ์ิ 100% แม้จะมีความเหนียว สามารถยืดขยาย ตีหรือรีดในทุกทิศทางได้แต่มีความอ่อนตัว
มากกวา่ โลหะชนิดอืน่ ๆ ทำให้ไม่สามารถทำเป็นรูปทรงตา่ ง ๆ ตามท่ีตอ้ งการได้ จงึ นยิ มนำมาทำเป็นทองคำแทง่

ส่วนทองรูปพรรณเป็นสารผสมระหว่างทองคำกับโลหะชนิดอ่ืน ๆ เช่น เงิน ทองแดง ในอัตราส่วนที่
เหมาะสม ซึ่งจะทำให้สมบัติต่าง ๆ ของทองคำ เช่น สี จุดหลอมเหลว จุดเดือด ความหนำแน่นเปลี่ยนไป
นอกจากนั้นยงั ทำใหท้ องคำแขง็ และคงรปู ดีขึ้น สามารถทำเครอื่ งประดับไดง้ ่ายขน้ึ

ร่วม กนั คดิ 1

1. เพราะเหตใุ ด ทองคำแทง่ จงึ เปน็ สารบริสุทธแ์ิ ละทองรูปพรรณจึงเปน็ สารผสม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ทองคำแท่งและทองรูปพรรณมสี มบตั ิตา่ งกันอย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. นักเรียนคดิ ว่าทองรูปพรรณมจี ุดเดอื ดจุดหลอมเหลว และความหนาแน่นเหมือนหรือตา่ งจากทองคำแท่งอย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

สารผสม เป็นสารที่มีองค์ประกอบของสารต้ังแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน เช่น

ทองรปู พรรณ เปน็ สารผสมระหวา่ งทองคำ และโลหะอน่ื น้ำเกลอื เป็นสารผสมระหวา่ ง
น้ำและเกลือ ส่วนสารที่มอี งค์ประกอบเพียงชนิดเดียวจัด เป็นสารบริสุทธิ์ เช่น ทองคำ
แท่ง น้ำกลั่น กลูโคส ออกซิเจน สมบัติของสารผสมและสารบริสุทธิ์เช่น จุดเดือด จุด
หลอมเหลว ความหนาแนน่ เหมือนหรือต่างกนั อยา่ งไร

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 1

คำสงั่ เขียนเครื่องหมาย  หน้าข้อท่ถี กู ตอ้ ง และ  หนา้ ข้อท่ีผดิ และบอกเหตุผล
____ 1. การเดือดเกดิ ขึน้ เมอื่ ของเหลวไดร้ ับความร้อนแลว้ เปลย่ี นสถานะเปน็ แก๊ส
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
____ 2. การหลอมเหลวเกดิ ข้ึนเมอื่ สารเปลย่ี นสถานะจากของแข็งเปน็ ของเหลว
…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
…………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………

2

ภาพ เครอื่ งยนต์ชำรดุ เนื่องจากความรอ้ น

รถยนต์ที่เราใช้กนั อย่ทู ุกวันน้ีมีความร้อนเกิดขึ้นขณะที่เครอื่ งยนต์กำลังทำ จงึ ต้องมีระบบระบายความร้อน

เพอื่ ไม่ให้ช้นิ สว่ นต่าง ๆ ของเคร่อื งยนตช์ ำรุด เสียหาย หม้อนำ้ เป็นอปุ กรณห์ นง่ึ ทีช่ ่วยระบายความร้อนดว้ ยของ

เหลวขณะทีเ่ ครื่องยนตท์ ำงานความรอ้ นที่เกิดขน้ึ อาจมีอุณหภมู สิ ูงพอท่ีจะทำใหน้ ้ำในหมอ้ นำ้ เดือด จึงมีการเติม
สารบางชนิดลงในหม้อน้ำ เรียกว่า สารหล่อเย็น สารน้ีจะส่งผลให้จุดเดือดของน้ำเปลี่ยนไป นักเรียนคิดว่าจุด

เดอื ดของน้ำบรสิ ทุ ธ์แิ ละน้ำท่ีผสมสารอ่ืนตา่ งกันอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………

…………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………
…………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

กิจกรรมท่ี 1 จุดเดือดของสารบริสุทธิ์และสารผสมเปน็ อยา่ งไร
จดุ ประสงค์ :

1. วัดอุณหภมู ิและเขยี นกราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิของน้ำกล่ัน และ สารละลายโซเดียมคลอไรด์เมอ่ื

ได้รบั ความรอ้ น

2. ตีความหมายข้อมลู จากกราฟ เพือ่ เปรียบเทียบจุดเดือดของน้ำกลนั่ และสารละลายโซเดยี มคลอไรด์

วสั ดุและอปุ กรณ์

รายการ ปริมาณ/กลมุ่

สารละลายโซเดยี มคลอไรดเ์ ข้มขน้ 10 % (w/v) 50 cm3

นำ้ กล่ัน 50 cm3

เทอรม์ อมิเตอรส์ เกล 0 - 200 °C 1 อัน

บีกเกอร์ ขนาด 100 cm3 2 ใบ

ชดุ ตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 ชดุ

ขาตง้ั พร้อมทจ่ี บั หลอดทดลอง 1 ชดุ

แท่งแก้วคน 1 อัน

นาฬกิ าจับเวลา 1 เรอื น

3

ระวัง ไม่นำภาชนะทบี่ รรจุแอลกอฮอลไ์ ปใกลก้ ับตะเกยี งแอลกอฮอล์

ท่ตี ิดไฟ

วธิ กี ารทดลอง
1. ต้มน้ำกลั่น 50 cm3 ในบีกเกอร์ ขนาด 100 cm3 นำเทอร์โมมิเตอร์จุ่มลงไปในน้ำกลั่นให้กระเปาะ
เทอร์โม มิเตอร์อยู่ระหว่างน้ำกลั่น แล้วยึดเทอร์โมมิเตอร์กับขาต้ังดังภาพ ระวังอย่าให้กระเปาะแตะ

ขา้ งหรอื ก้นบีกเกอร์ อ่านและบนั ทกึ อณุ หภมู ไิ ว้ทุกๆ 1 นาที จนถงึ นาทีที่ 10 บนั ทกึ ชว่ งเวลาท่นี ้ำเดือด
2. ทำการทดลองดงั ข้อ 1 เปลยี่ นจากนำ้ กล่ันเปน็ สารละลายโซเดียมคลอไรด์

3. นำผลที่ได้ไปเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับเวลาโดยให้แกนนอนแสดงเวลา และ
แกนตง้ั แสดงอณุ หภมู ิ

ตารางบนั ทกึ เวลา อุณหภูมิ และการเปล่ียนแปลงของน้ำกลั่นและสารละลายโซเดียมคลอไรด์

อณุ หภูมิ (°C) การเปลย่ี นแปลง

เวลา นำ้ สารละลาย นำ้ กลัน่ สารละลายโซเดยี มคลอไรด์
(วินาท)ี กลนั่ โซเดยี ม
คลอไรด์
0
30 24 25 - -
60
90 28 30 - -

120 37 39 เร่มิ มฟี องแก๊สขนาดเล็กอย่กู น้ บกี เกอร์ สารละลายมกี ารเคลอ่ื นที่
2-3 ฟอง

45 49 ฟองแก๊สเกิดข้นึ เรอ่ื ย ๆ เรม่ิ มฟี องแก๊สขนาดเลก็ ๆ

จำนวนมากเกาะทก่ี น้ บกี เกอร์

150

180

210

240

270

300

4

อุณหภูมิ (˚C) 330
360
390
420
450
480
510
540
570
600
630
660

กราฟความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอณุ หภูมิของสารกับเวลาเมื่อใหค้ วามร้อนกับสารละลายโซเดียมคลอไรด์

120
100
80
60
40
20

0 0 30 60 90 120 150 180 210 240 270 300 330 360 390 420 450 480 510 540 570 600 630 660

เวลา (sec)

5

อุณหภู ิม (˚C) กราฟความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอณุ หภมู ิของสารกับเวลาเม่ือใหค้ วามร้อนกบั น้ำ

อุณหภูมิ (˚C) 120
100
80
60
40
20

0 0 30 60 90 120 150 180 210 240 270 300 330 360 390 420 450 480 510 540 570 600 630 660

เวลา (sec)

กราฟความสัมพนั ธ์ระหว่างอณุ หภูมขิ องสารกับเวลาเมอ่ื ใหค้ วามร้อนกบั น้ำและสารละลายโซเดียมคลอไรด์

120
100
80
60
40
20

0 0 30 60 90 120 150 180 210 240 270 300 330 360 390 420 450 480 510 540 570 600 630 660

เวลา (sec)

คำถามท้ายกิจกรรม
1. น้ำกลนั่ และสารละลายโซเดยี มคลอไรด์ เมอ่ื ไดร้ ับความร้อนมกี ารเปลีย่ นแปลงอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

2. ทราบไดอ้ ยา่ งไรว่า น้ำกลน่ั และสารละลายโซเดียมคลอไรด์กำลงั เดอื ด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
3. จากกราฟ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำกลั่นและสารละลายโซเดยี มคลอไรด์เมื่อให้ความรอ้ นเปน็ อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
4. การเปล่ียนแปลงอุณหภูมขิ องน้ำกลัน่ และสารละลายโซเดยี มคลอไรด์เหมอื นหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
5. อุณหภูมขิ ณะเดือดของน้ำกลนั่ และสารละลายโซเดยี มคลอไรด์เป็นอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
6. จากกจิ กรรม สรปุ ได้วา่ อยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

6

กิจกรรมท่ี 2 จุดหลอมเหลวของสารบรสิ ุทธแิ์ ละสารผสมเปน็ อยา่ งไร (สาธิต/ดวู ดิ ีทัศน์)
จุดประสงค์ : วิเคราะหข์ อ้ มูลสารสนเทศเพื่อเปรียบเทยี บช่วงอณุ หภูมิทห่ี ลอมเหลวและจุดหลอมเหลวของแนฟ
ทาลีนและกรดเบนโซอิกในแนฟทาลีน
วสั ดุและอุปกรณ์

-

คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1.ช่วงอณุ หภมู ิทห่ี ลอมเหลวของแนฟทาลนี ในแต่ละครง้ั เป็นอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
2. จุดหลอมเหลวของแนฟทาลีนทัง้ สามครงั้ เป็นอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
3. ชว่ งอณุ หภูมิทห่ี ลอมเหลวของสารผสมระหว่างกรดเบนโซอิกในแนฟทาลนี ทม่ี อี ตั ราส่วนของสารต่างกนั เปน็
อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
4. จุดหลอมเหลวของสารผสมระหวา่ งกรดเบนโซอกิ ในแนฟทาลีนท่ีมีอัตราสว่ นของสารต่างกันเป็นอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
5. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

ปจั จุบันมกี ารนำเทคโนโลยีมาสร้างเรอื ดำน้ำเพื่อศกึ ษาส่งิ มีชีวิตหรอื ลักษณะทางธรณีวิทยาใตท้ ้องทะเล การ

ที่เรือดำน้ำดำลงสู่ทะเลลึกได้นั้นต้องทำให้เรือท้ังลำมีความหนาแน่นมากกว่าความหนาแน่นของน้ำ ในทาง
กลบั กันถา้ ต้องการใหเ้ รอื ลอยข้นึ มาได้นั้นเรือท้ังลำจะต้องมีความหนาแนน่ น้อยกว่าน้ำ

นกั เรยี นคดิ วา่ ความหนาแนน่ คอื อะไร และสามารถหาคา่ ความหนาแนน่ ของวัตถุไดอ้ ยา่ งไร

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

7

ความหนาแน่นมี
ความเกี่ยวข้อง
กบั เรอื ดำน้ำ
อย่างไร

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 2

คำสงั่ เขยี นเครอ่ื งหมาย  หน้าข้อที่ถกู ตอ้ ง และ  หนา้ ข้อที่ผิดและบอกเหตุผล
____ 1. มวลมีหน่วยเป็นนิวตัน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
____ 2. วัตถชุ นิดหนึ่ง เมือ่ ทำใหร้ ปู รา่ งเปลี่ยน มวลจะเปลีย่ นด้วย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
____ 3. ปริมาตรคอื ความจุของวัตถุ มีหน่วยเป็นลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
____ 4.ปริมาตรของของแข็งจะเทา่ กับปริมาตรของนำ้ ทีข่ องแข็งแทนท่ี
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

มวลคืออะไร และหนว่ ยของมวลคืออะไร
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
ปริมาตรคืออะไร และหน่วยของปริมาตรคอื อะไร
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………

8

ใหน้ ักเรียนอ่านทำความเข้าใจเกีย่ วกบั เร่อื ง ทะเลสาปเดดซี (Dead Sea) และร่วมกันอภิปรายถงึ
ความหมายของความหนาแน่นหนว่ ยความหนาแน่น วธิ ีการคำนวณความหนาแนน่ ของสาร จากเร่อื ง
ดงั กลา่ ว

ทะเลสาบเดดซี มีชื่อปรากฏอยู่ในหลายภาษา เช่น Dead Sea ในภาษาอังกฤษ ส่วนช่ือในภาษา
อาหรับ เรียกว่า อัลบะฮฺรุ อัลมัยยิต ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับคำในภาษาอังกฤษ คือ ทะเลแห่งความตาย
ส่วนในภาษาฮิบรูเรียกทะเลสาบแห่งน้ีว่า ยัม ฮาเมลาห์ มีความหมายว่า ทะเลเกลือ ในประเทศไทย ชื่อของ
ทะเลสาบเดดซี ปรากฏข้ึนในความรับรู้ของคนไทยในนามทะเลมรณะ

ใช้ปากกา
ขีดจดุ เน้น
ที่สาคญั
ให้เด่นชัด

ด้วย

ภาพจาก http://www.atlastours.net
ทะเลสาบเดดซีเป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่ท่ีต้ังอยู่ระหว่างเขตแดนของจอร์แดนและอิสราเอล
ทะเลสาบเดดซีมีความยาวสูงสดุ ประมาณ 67 กิโลเมตร กว้างสงู สุดประมาณ 18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ราว
810 ตารางกิโลเมตรโดยมคี วามลกึ เฉลี่ยท่ี 120 เมตร และมีจุดท่ีลึกที่สุดอยู่ที่ 330 เมตร ในขณะที่พืน้ ทีต่ ั้งของ
ทะเลสาบเดดซตี ่ำกวา่ ระดับนำ้ ทะเลถงึ 408 เมตร ดงั นัน้ หากวัดจากพื้นท่ีลึกท่ีสุดของทะเลสาบแหง่ นี้กจ็ ะอย่ตู ่ำ
กว่า ระดับน้ำทะเลราว 800 เมตร เลยทีเดียว และถือเป็นจุดที่ต่ำสุดของโลกเราเลยก็ว่าได้ ความเค็มของ
ทะเลสาบเดดซีในส่วนท่ีอยู่ลึกท่ีสุดมีมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ความเค็มของทะเลท่ัวๆ ไปอย่างเช่น
ทะเลอ่าวไทยมคี วามเคม็ เพยี ง 3 เปอร์เซ็นตเ์ ทา่ นน้ั
ทะเลสาบเดดซี ตั้งอยู่ในพื้นที่ทะเลทราย สภาพภูมิอากาศในบริเวณนั้นจะมีลักษณะหนาวจัดในตอน
กลางคืนและรอ้ นจดั ในตอนกลางวนั โดยในบางปีทะเลสาบเดดซจี ะมีอณุ หภมู ิสูงถึง 51 องศาเซลเซยี ส บริเวณ
ดังกล่าวมีปริมาณน้ำฝนตกลงในพ้ืนท่ีเพียงเล็กน้อยในแต่ละปีโดยวัดได้เพียงแค่ราวๆ 65 มิลลิเมตรต่อปี จาก
อากาศที่ร้อนจัดและมีฝนน้อยน้ีเองท่ีทำให้ระดับน้ำจากทะเลสาบเดดซีค่อยๆระเหิดระเหยแห้งขอดลงทุกปี
ส่งผลให้ความเข้มข้นในทะเลสาบดังกล่าวเพ่ิมสูงข้ึนตามลำดับเพราะนอกจากการระเหยจะทำให้ทะเลสาบ
เดดซีเข้มข้นมากขึ้นแล้ว น้ำท่ีไหลมาจากแม่น้ำจอร์แดนก็ยังคงอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น โซเดียมและ
แมกนีเซียมเม่อื ไหลลงมาทำปฏกิ ิรยิ ากับน้ำพรุ ้อนในทะเลสาบเดดซีจึงเป็นปัจจยั เกื้อหนุนตอ่ ความเค็มของทะเล
แห่งน้ี
น้ำในทะเลสาบเดดซมี ีความเคม็ มากกว่าน้ำในแหล่งนำ้ ปกติหลายเท่าโดยปกติความเค็มของน้ำทะเลจะ
เกิดข้ึน เพราะมีการละลายของเกลือหลายชนิดโดยเฉพาะโซเดียมคลอไรด์ที่มีสูตรทางเคมีว่า NaCl อยู่ในน้ำ
ทะเลโดยเฉลี่ยแล้วมีเกลือร้อยละ 3.5 หรือน้ำทะเล 1 ลิตร จะมีเกลือละลายอยู่ประมาณ 35 กรัม แต่ในพื้นท่ี

9

ของทะเลสาบเดดซีมีปริมาณเกลือมากถึง 10,523,000,000 ตัน และด้วยความหนาแน่นของน้ำในทะเลสาบ
เดดซีน้ีเองที่เป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงสามารถลอยตัวอยู่ในทะเลสาบดังกล่าวได้ ซ่ึงเป็นไปตามหลัก
วิทยาศาสตรท์ ี่ว่า สิ่งซึ่งมีความหนาแน่นน้อยกว่าก็จะสามารถลอยได้บนน้ำที่มีความหนาแน่นมากกว่า ไม่ว่า
สิ่งทลี่ อยอย่นู ้ันจะมคี วามใหญ่โตมโหฬารสักเพยี งใด ความหนาแน่นท่ีแตกต่างกันของทะเลสาบเดดซนี ้ีหากเรา
นำน้ำ 1 ลิตร มาชั่งจะได้น้ำหนักเพียง 1 กิโลกรัม แต่น้ำหนักจากการช่ังน้ำจากทะเลสาบเดดซี 1 ลิตร จะมี
น้ำหนักมากกว่าหลายเท่านัก และด้วยความเข้มข้นของเกลือจำนวนมากนี้เองจึงทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตสามารถ
ดำรงอยไู่ ดเ้ ลย จนกลายเป็นจุดเดน่ ของทะเลสาบแหง่ น้ีท่ีทงั้ เค็มและไม่มีส่งิ มีชวี ติ อาศยั อยู่
ทมี่ า : คัดลอกและเรยี บเรยี งใหม่จาก http://www.vcharkarn.com/varticle/38292 สบื คน้ เมอื่ วันท่ี

20 พฤษภาคม 2552

เพราะเหตใุ ดทะเลสาบเดดซี จงึ มคี วามหนาแนน่ มากกวา่
ทะเลปกติ

ความหนาแน่น (Density) ของสารใด ๆ หมายถึง อัตราส่วนระหว่างมวล (Mass) ต่อปริมาตร
(Volume) ของสารนั้น

มวล ( Mass ) แทนสัญลักษณ์ดว้ ย m เป็นปรมิ าณเน้ือสารที่มีอยู่จริง และมวลของวัตถุจะมีค่าคงที่เสมอ
มวลมหี น่วยไดห้ ลายหน่วย เช่น กรมั ( g. ) , หรือ กิโลกรมั ( Kg. ) การหามวลทำไดโ้ ดยการชงั่
ปรมิ าตร ( Volume ) แทนดว้ ย V ปริมาตรของวัตถุใดๆ สามารถวัดได้โดยใช้กระบอกตวง (กรณีท่ีเป็น

ของเหลว) และใช้การแทนทน่ี ้ำ (กรณที ี่เปน็ ของแขง็ )
ความหนาแน่นของสารใดๆ ( Density ) คือ มวล ( Mass : m ) ของสารนั้นต่อหน่ึงหน่วยปริมาตร

( Volume : V ) ดังน้ัน หน่วยของความหนาแนน่ จงึ มหี น่วยเปน็ หน่วยของมวลตอ่ ปริมาตร คือ เปน็ กิโลกรัม
ต่อลูกบาศก์เมตร ( Kg. / m.3 ) ในระบบเอสไอ หรือเป็นกรัมตอ่ ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ( g. / cm.3 ) ก็ได้

เขยี นเปน็ สตู รไดว้ า่ D= m

v

D ( Density ) = ความหนาแน่นของสาร หนว่ ยเปน็ กรมั ตอ่ ลูกบาศก์เซนติเมตร
(g./cm.3) หรือ กิโลกรมั ต่อลกู บาศก์เมตร (kg. / m.3)

m ( mass ) = มวลสาร หน่วยเป็นกรัม ( g. ) หรอื กโิ ลกรมั (kg.)
V (Volume) = ปรมิ าตร หน่วยเป็น ลกู บาศก์เซนติเมตร (g. / cm.3)

หรือลกู บาศก์เมตร (kg. / m.3)

10

ร่วม กนั คดิ 2

1. วตั ถุ 2 ช้นิ มีลักษณะภายนอกคล้ายกัน ช้นิ ท่ี 1 เป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความกว้าง 3 cm ยาว 8 cm สูง 2
cm และมีมวล 480 g ช้ินที่ 2 เป็นก้อนขรุขระไม่เป็นรูปทรงเรขาคณิต มีปริมาตร 50 cm3 และมีมวล 450 g

วัตถุช้ินใดมคี วามหนาแน่นมากกว่ากนั

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
2. วตั ถชุ นิดหน่ึงมคี วามหนาแนน่ 0.75 g/cm3 ถ้าวัตถนุ ้ีปริมาตร 250 cm3 จะมีมวลเท่าใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
กจิ กรรมท่ี 3 ความหนาแน่นของสารบรสิ ทุ ธแิ์ ละสารผสมเป็นอยา่ งไร

จุดประสงค์ :

1. วัดมวลและปริมาตรเพอื่ คำนวณหาความหนาแน่นของสารบริสุทธ์ิและสารผสม

2. วเิ คราะห์และเปรยี บเทียบความหนาแน่นของสารบรสิ ุทธแิ์ ละสารผสม

วสั ดแุ ละอปุ กรณ์

รายการ ปรมิ าณ/กลมุ่

สารละลายโซเดยี มคลอไรด์ความเขม้ ขน้ ต่างกัน 2 ชุด 50 cm3

สารละลายนำ้ ตาลทรายความเขม้ ขน้ ตา่ งกนั 2 ชุด 50 cm3

กอ้ นเหลก็ 2 กอ้ นท่ีมมี วลตา่ งกัน 2 กอ้ น

ก้อนทองแดง 2 ก้อนท่มี มี วลตา่ งกนั 2 กอ้ น

กระบอกตวงขนาด 10 cm3 2 ใบ

เชอื กหรอื ด้าย 1 หลอด

บีกเกอร์ขนาด 250 cm3 1 ใบ

แก้วนำ้ 1 ใบ

ถังใส่น้ำ 1 ถัง

ถ้วยยรู กี า 1 ใบ

เครื่องช่งั 2-3 เครอื่ ง

11

วธิ กี ารทดลอง ตอนที่ 1

1. ชัง่ มวลของเหลก็ กอ้ นท่ี 1 และ 2 บันทึกผล

2. ชง่ั มวลของทองแดง ก้อนท่ี 1 และ 2 บนั ทกึ ผล

3. หาปรมิ าตรของก้อนเหลก็ ก้อนท่ี 1 และ 2 โดยใช้ถ้วยยรู กี า ศึกษาวิธีกาหาปรมิ าตรของสารโดยใช้ถ้วยยูเรกา

4. คำนวณหาความหนาแนน่ ของเหลก็ ท้งั 2 ก้อน และทองแดงทงั้ 2 กอ้ น บันทกึ ผล

ตารางผลการทดลอง ตอนท่ี 1

กล่มุ ที่ ความหนาแนน่ เฉลย่ี (g/cm3)

เหล็ก ทองแดง

ก้อนท่ี 1 ก้อนท่ี 2 กอ้ นท่ี 1 ก้อนท่ี 2

1 7.53 7.54 8.74 8.45

2 7.50 7.54 8.73 8.43

3 7.52 7.53 8.72 8.45

4 7.53 7.54 8.73 8.44

5 7.53 7.54 8.74 8.45

6 7.53 7.54 8.74 8.45

หมายเหตุ : ความหนาแนน่ ของเหลก็ บรสิ ุทธิม์ คี ่า 7.874 g/cm3 ส่วนความหนาแน่นของทองแดงบริสุทธมิ์ ี
คา่ 8.96 g/cm3

คำถามท้ายการทดลอง ตอนที่ 1

1. ความหนามแนน่ คืออะไร หาไดอ้ ยา่ งไร

ความหนาแน่นของสาร = มวล

ปรมิ าตร

2. ความหนามแนน่ ของเหล็ก กอ้ นที่ 1 และ 2 เปน็ อย่างไร

ความหนาแนน่ เฉล่ียของเหล็กก้อนที่ 1 และ 2 มีค่าเทา่ กันหรอื ใกล้เคียงกนั

3. ความหนามแนน่ ของทองแดง ก้อนท่ี 1 และ 2 เป็นอยา่ งไร
ความหนาแนน่ เฉลีย่ ของทองแดงกอ้ นท่ี 1 และ 2 มีคา่ เท่ากนั หรอื ใกลเ้ คียงกัน
4. จากกิจกรรมสรุปได้ว่าอย่างไร

12

ความหนาแน่นของเหล็กท้ัง 2 กอ้ น มีค่าคงที่เท่ากันหรอื ใกลเ้ คียงกัน ความหนาแนน่ ของทองแดงทัง้ 2 กอ้ น มี
คา่ คงท่ีเทา่ กันหรือใกลเ้ คยี งกัน สว่ นความหนาแน่นของเหล็กกบั ทองแดงมีค่าไม่เทา่ กนั

วิธีการทดลอง ตอนท่ี 2
1. ชั่งมวลของสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ชุดท่ี 1 และ 2 บันทกึ ผล

2. ชัง่ มวลของสารละลายนำ้ ตาล ชดุ ที่ 1 และ 2 บนั ทกึ ผล
3. วดั ปริมาตรของสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ชดุ ท่ี 1 และ 2 สารละลายนำ้ ตาลชุดท่ี 1 และ 2 โดยใช้กระบอก

ตวงบนั ทกึ ผล

4. คำนวณหาความหนาแนน่ ของสารละลายโซเดียมคลอไรด์ ท้ัง 2 ชดุ และ สารละลายนำ้ ตาล ท้งั 2 ชุดบนั ทกึ
ผล

ตารางผลการทดลอง ตอนที่ 2

ความหนาแน่นเฉลยี่ (g/cm3)

กลุม่ ที่ สารละลายโซเดยี มคลอไรด์ สารละลายน้ำตาล

ชดุ ท่ี 1 ชดุ ท่ี 2 ชดุ ท่ี 1 ชุดท่ี 2

1 1.05 1.01 1.00 0.93

2 1.06 1.01 1.00 0.93

3 1.06 1.01 1.00 0.92

4 1.06 1.02 1.01 0.94

5 1.05 1.01 1.00 0.93

6 1.05 1.01 1.01 0.93

คำถามท้ายการทดลอง ตอนที่ 1

1. ความหนามแน่นของสารละลายโซเดยี มคลอไรด์ ชดุ ที่ 1 และ 2 เปน็ อยา่ งไร
ความหนาแนน่ เฉลี่ยของสารละลายโซเดยี มคลอไรด์ ชดุ ท่ี 1 และชุดที่ 2 มคี ่าไม่เท่ากนั โดยมีความหนาแน่นเฉลย่ี
เท่ากับ 1.06 g/cm3 และ 1.01 g/cm3 ตามลำดับ

2. ความหนามแนน่ ของสารละลายนำ้ ตาล ชดุ ท่ี 1 และ 2 เป็นอย่างไร
ความหนาแน่นเฉลยี่ ของสารละลายนำ้ ตาลทราย ชุดที่ 1 และชุดที่ 2 มีค่าไม่เท่ากนั โดยมคี วามหนาแนน่ เฉลย่ี
เทา่ กบั 1.00 g/cm3 และ 0.93 g/cm3 ตามลำดับ
3. ความหนามแนน่ ของสารละลายโซเดยี มคลอไรด์ และสารละลายนำ้ ตาล เหมอื นหรอื ต่างกนั อยา่ งไร
ความหนาแน่นของสารละลายโซเดียมคลอไรด์และสารละลายนำ้ ตาลทรายเหมอื นกัน คอื ความหนาแน่นเฉลี่ย

ของสารละลายแต่ละชดุ มีค่าไม่เทา่ กัน
4. จากกิจกรรมตอนที่ 2 สรุปไดว้ า่ อยา่ งไร

สารละลายทั้ง 2 ชดุ มีความหนาแนน่ ไม่คงท่ี และสารละลายชนิดเดียวกนั แตอ่ ตั ราสว่ นของสารทนี่ ำมาผสมกัน
ตา่ งกันมคี วามหนาแนน่ ไม่คงท่เี ช่นกัน ซ่ึงขนึ้ อยูก่ บั อตั ราสว่ นของสารทีน่ ำมาผสมกนั
5. จากกิจกรรมท้ัง 2 ตอนสรปุ ได้ว่าอย่างไร

ความหนาแนน่ ของสารบริสทุ ธิแ์ ต่ละชนิดมีค่าเท่ากัน สารบรสิ ทุ ธต์ิ ่างชนดิ มีความหนาแนน่ ต่างกัน สารผสมชนดิ
เดียวกนั แตม่ ีอตั ราส่วนผสมต่างกนั มคี วามหนาแนน่ ต่างกัน

13

ต่างกัน

ภาพรถบรรทุกแท่งซีเมนต์ และรถบรรทุกทอ่ นไม้

รถบรรทุก 2 คัน บรรทุกวัตถุต่างชนดิ กนั แต่มวลของวตั ถุท่บี รรทุกไวเ้ ท่ากัน
นกั เรยี นคิดวา่ สิ่งทบ่ี รรทกุ บนรถคันใดมคี วามหนาแน่นมากกวา่ เพราะเหตใุ ด
สงิ่ ท่ีบรรทุกบนรถคนั ใดมคี วามหนาแนน่ มากกวา่ เพราะเหตุใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

ร่วม กนั คดิ 3

ใหน้ กั เรียนสรปุ องค์ความรูแ้ ละตัวอย่างผงั มโนทัศน์ในบทเรียนเรื่องสมบัตขิ องสารบริสุทธิ์

14

กจิ กรรมน่ารู้ ทราบประเภทของพลาสตกิ ไดอ้ ย่างไร

การทดสอบประเภทของพลาสติก

พลาสติก เป็นวัสดุท่ีนำมาทำผลิตภัณฑ์ต่างๆท่ีใช้ในชีวิตประจำวัน ซ่ึงโดยมากจะอยู่ในรูปของบรรจุ

ภณั ฑ์ที่ใช้แลว้ ทิ้งทำให้เกิดขยะพลาสติกจำนวนมากซึ่งเป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมดังนั้นวิธีการท่ีดีที่สุดทจี่ ะช่วย

ลดปญั หาดังกล่าวคือการนำขยะพลาสตกิ กลับมาใช้ใหมห่ รอื การรีไซเคลิ ขยะพลาสตกิ ตามประเภทของพลาสติก

ในอตุ สาหกรรมพลาสติกจะระบุหมายเลขท่แี สดงถึงประเภทของพลาสตกิ ไว้ 6 ประเภทดังตาราง

ตารางประเภทของพลาสติก

ประเภทพลาสติก สมบัติ ตวั อยา่ งการใชง้ าน

คอ่ นข้างแข็งและเหนียวไม่เปราะ ขวดบรรจนุ ำ้ ดืม่ นำ้ มนั พืชและ

แตกง่ายและสว่ นใหญ่จะใส นำ้ อัดลม

(Polyethylene Terephthalate) ค่อนข้างนิ่มแต่เหนยี วไม่แตกง่าย ขวดนมขวดแชมพสู ระผมขวด
(High-density Polyethylene) สว่ นใหญ่ทำใหม้ ีสสี นั สวย งาน แป้งเดก็ ขวดสบู่เหลวถงุ พลาสติก
ทนสารเคมี นอกจากนย้ี งั ป้องกัน ทนความรอ้ นชนดิ ขนุ่ และถงุ หู
(Polyvinyl Chloride) การแพร่ผ่านความชื้นไดด้ ี หว้ิ
(Low-density Polyethylene) มสี มบัตหิ ลากหลายท้ังแข็งน่ิม ทอ่ น้ำประปาสายยางใสแบบนมิ่
สามารถทำใหม้ ีสีสนั สวยงามได้ แผ่นฟลิ ์มสำหรับหอ่ อาหาร แผน่
(Polypropylene) พลาสติกปูโต๊ะอาหารขวดใส่
(Polystyrene) น่มิ กว่า HDPE สามารถยืดตัวได้ แชมพสู ระผมชนดิ ใส
ในระดับหน่ึง ใส ฟิลม์ สำหรบั ห่ออาหารและหอ่
ของถงุ ใส่ขนมปงั และถงุ เยน็
แข็งและเหนยี วทนตอ่ แรง สำหรับบรรจอุ าหาร
กระแทกได้ดที ำใหม้ ีสีสนั สวยงาม
ได้ กล่องชามจานถงั ตะกร้า
กระบอกสำหรับใส่น้ำแช่เย็นถุง
ใสแข็งแตเ่ ปราะและแตกง่าย รอ้ นชนดิ ใส

ภาชนะสำหรบั บรรจุของใช้เช่น
ซดี เี พลงถาดโฟมบรรจอุ าหาร
โฟมกนั กระแทก

15

การระบุประเภทพลาสติกข้างต้นน้ีอาจไม่ปรากฏบนพลาสติกทุกประเภทจึงยากต่อการคัดแยก
พลาสติกกอ่ นนำไปรไี ซเคิลในเบ้ืองตน้ แต่มี วธิ ี ทดสอบ เพ่ือคดั แยกประเภทของพลาสติกดังแผนผัง

ร่วม กนั คดิ 4

1. พลาสติกชิ้นหน่ึงไม่มีหมายเลขระบุประเภทของพลาสติกไว้ นำไปทดสอบความหนาแน่น พบว่ามีความ
หนาแน่นน้อยกว่านำ้ พลาสตกิ ชิน้ น้ีอาจเป็นพลาสตกิ ประเภทใดได้บา้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

16

2. พลาสติกชิ้นหนึ่งไม่มีหมายเลขระบุประเภทของพลาสติกไว้ นำไปทดสอบความหนาแน่นพบว่ามีความ
หนาแน่นมากกว่าน้ำเมื่อนำลวดทองแดงเผาไฟแตะกับพลาสติกจะเห็นเปลวไฟสีส้ม และถ้านำช้ินพลาสติกไป
แช่สาร MEK พบวา่ พลาสติกละลาย พลาสตกิ ช้นิ นี้เป็นพลาสติกประเภทใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
3. การทดสอบพลาสตกิ วธิ ใี ดใช้ความรู้เรอื่ งความหนาแนน่ และแยกประเภทของพลาสตกิ ได้อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
4. การทดสอบพลาสติกวิธใี ดใชค้ วามร้เู ร่ืองจดุ เดือด จุดหลอมเหลว และสามารถ
แยกประเภทของพลาสติกไดอ้ ยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

แบบฝึ กหดั ทา้ ยบทเรยี นเรอ่ื งสมบตั ขิ องสารบรสิ ุทธ์ิ

1. ในการหาจุดเดอื ดของของเหลว 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ สาร A และ B โดยให้ความรอ้ นกับของเหลว แลว้ วัดอุณหภูมิ
ของของเหลวเมอื่ เวลาผ่านไป ได้ผลดังตาราง

จากตาราง สารใดเปน็ สารบรสิ ุทธิ์ สารใดเปน็ สารผสม เพราะเหตใุ ด
แนวคำตอบ จากตารางสาร A คอื ………………….. เนื่องจากเม่ือพิจารณาข้อมูลในตารางแลว้ พบว่า เม่ือให้ความ
ร้อนแก่สาร A ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดือดและอุณหภูมิคงที่ที่ 100 °C ส่วนสาร B เป็น…………………….. เพราะ
อุณหภูมขิ ณะเดือดจะไม่คงท่ี
2. นักสำรวจเดนิ ทางดว้ ยบอลลนู บรรจุแกส๊ ฮีเลียม ก่อนออกเดินทางไดบ้ รรจุแก๊สฮเี ลียมปรมิ าตร 500 m3 และมี
มวล 60 Kg ในบอลลูน แกส๊ ฮเี ลยี มในบอลลนู ขณะนัน้ มคี วามหนาแน่นเทา่ ใด

ความหนาแนน่ ของแกส๊ ฮีเลยี มในบอลลูน = (kg)
(m3)

ดังน้นั แกส๊ ฮเี ลยี มในบอลลูนขณะนั้นมคี วามหนาแน่น ……………. kg/m3

17

3. นำอกั ษรหนา้ ขอ้ ความทางขวามอื มาเตมิ ลงในช่องว่างหนา้ ขอ้ ความทางซ้ายมอื ท่มี คี วามสัมพนั ธ์กนั

…….... 1. ความหนาแน่นของวัตถุ ก. ความหนาแน่นของวตั ถนุ ้อยกว่าความหนาแนน่ ของนำ้

…….... 2. วตั ถุลอยในน้ำ ข. ความหนาแนน่ ของวตั ถุเท่ากบั ความหนาแนน่ ของน้ำ

………. 3. วัตถุจมในน้ำ ค. ความหนาแนน่ ของวัตถมุ ากกวา่ ความหนาแน่นของน้ำ

……….4. ความหนาแนน่ ของวัตถนุ อ้ ยลง ฉ. มวลของวัตถุตอ่ ปรมิ าตรของวตั ถุ

………. 5. วัตถลุ อยปร่ิมในนำ้ ซ. เพ่ิมปริมาตรของวตั ถุโดยมวลเท่าเดมิ

…….… 6. วธิ ีการทำวตั ถุท่ีจมน้ำให้ลอยนำ้ ได้ ญ. เพ่มิ ปรมิ าตรของวัตถจุ นมีความหนาแน่นนอ้ ยกว่า
1 g/cm3

ตารางแสดงความหนาแนน่ ของสาร

สาร พลาสติก ปิโตรเลียมเหลว นำ้ นม
(โพลีเอทอลนี )

ความหนาแน่น 0.93 0.8 1 1.03
(g/cm3)

สถานะ ของแขง็ ของเหลว ของเหลว ของเหลว

4. จากข้อมูลในตารางให้เขียนเครื่องหมาย  ในกล่องสี่เหล่ียมหน้าข้อความท่ีกล่าวถูกต้องและเขียนเครื่อง
หมาย  ในกลอ่ งสเี่ หลย่ี มหน้าข้อความทกี่ ล่าวผดิ
 แท่งพลาสติกลอยในน้ำแต่จมในปิโตรเลียม

 แทง่ พลาสติกสี่เหลีย่ มลกู บาศกม์ วล 50 g ลอยในนำ้ ขณะทแ่ี ท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมลกู บาศกม์ วล 1 kg ไม่
ลอยในน้ำ

 ถา้ เทปิโตรเลียมเหลวลงในนำ้ ปโิ ตรเลียมเหลวจะแยกชัน้ ลอยอยดู่ ้านบน แตถ่ า้ เทลงในนม ปโิ ตรเลียม
เหลวจะแยกชน้ั อยู่ด้านล่าง

2. การจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธิ์

เพชรกบั แกรไฟต์มีลักษณะเหมอื นหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร
.................................................................................................
................................................................................................

18

• อนภุ าคท่ีเลก็ ที่สดุ ของเพชรและแกรไฟตเ์ หมอื นหรอื แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................

• สารบรสิ ทุ ธิ์อ่นื ๆ ยงั มอี กี หรือไม่ และจะจาแนกสารบรสิ ทุ ธิเ์ หล่านนั้ ไดอ้ ย่างไร
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 3

เขียนเครื่องหมาย หน้าคำตอบท่ีเป็นสารบริสทุ ธิ์

เกลือแกง น้ำตาล นำ้ ปลา
น้ำ
น้ำเช่อื ม พริกกับเกลอื แก๊สไนโตรเจน

แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ แกส๊ ออกซเิ จน อากาศ

กจิ กรรมท่ี 4 สารบรสิ ทุ ธ์ิมอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง ปริมาณ/กลุ่ม
จุดประสงค์ : แยกนำ้ ด้วยไฟฟา้ และอธบิ ายผลท่ไี ด้จากการแยกน้ำด้วยไฟฟา้
วสั ดแุ ละอปุ กรณ์

รายการ

เบคกงิ้ โซดา 1-2 ชอ้ นเบอร์ 1

น้ำ ประมาณ 250 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร

แบตเตอรขี่ นาด 9 โวลต์ 1- 2 กอ้ น

ไฟแช๊ก 1 อัน หรือ 1 กลกั

ธปู 2 ดอก

เคร่ืองแยกน้ำด้วยไฟฟ้า 1 ชดุ

ช้อนตกั สารเบอร์ 1 1 อัน

สายไฟ 1 เส้น

วิธกี ารทดลอง
1. ใสน่ ำ้ ในถ้วยพลาสติกของเครอ่ื งแยกนำ้ ดว้ ยไฟฟ้าจนเตม็ เบคกิ้งโซดา 1 ชอ้ นเบอร์ 1 รอใหล้ ะลาย

จนหมดแลว้ ปิดฝาครอบทีม่ หี ลอดแกว้ และขัว้ ไฟฟา้

19

2. ใช้ปลายน้ิวปิดรูระบายอากาศที่ฝาครอบแลว้ ควำ่ ถว้ ยพลาสติก เพ่อื ให้นำ้ เข้าในหลอดแกว้ จนเตม็
แลว้ หงายถ้วยพลาสติกขึน้ โดยไม่มฟี องอากาศในหลอด

3. ตอ่ สายไฟจากแบตเตอร่ีขนาด 9 โวลต์ เขา้ กับเคร่อื งแยก
นำ้ ดว้ ยไฟฟา้ ใหค้ รบวงจรสงั เกตการเปลี่ยนแปลงในหลอดแกว้ ท้งั สอง
บันทกึ ผล

4. เม่อื ระดบั นำ้ ในหลอดใดหลอดหนงึ่ ลดลงเกือบหมดหลอด
ถอดสายไฟออก ทำเครอื่ งหมายแสดงระดบั นำ้ ที่เหลืออยู่ใน
แต่ละหลอดทดลองและแสดงวา่ แต่ละหลอดมาจากขั้วใด

5. ระมดั ระวงั ใหป้ ากหลอดยังคว่ำอยู่ใต้น้ำตลอดเวลาจนกวา่
จะทดสอบสารทอี่ ยูใ่ นหลอด คอ่ ยๆดนั หลอดและจุกยางออกทางดา้ นล่างของฝาครอบ เกบ็ ขว้ั ไฟฟา้

6. ทดสอบสารในหลอดจากขั้วบวก โดยใชป้ ลายน้ิวชี้ปิด
ปากหลอดให้แนน่ ตั้งแต่ปากหลอดยังอยู่ใต้น้ำหงายมือขึน้ โดยยังไม่
เปิดปากหลอด แล้วใช้ธูปที่ลุกเป็นเปลวไฟจ่อลงในปากหลอดทันที
ท่ปี ลายนว้ิ ขยับเปดิ ปากหลอด สงั เกตการเปล่ยี นแปลง บันทึกผล

7. ทดสอบสารในหลอดจากข้วั ลบ โดยวิธเี ดียวกันกับข้อ
6 สงั เกตการเปลย่ี นแปลง บนั ทึกผล

8. ทำซ้ำตั้งแต่ 1-5 แลว้ ทดสอบสารในหลอดจากข้ัวบวก
และขั้วลบทลี ะหลอด โดยใชธ้ ปู ทเี่ ปน็ ถ่านแดงจ่อลงในหลอดทันทที ่ี
ปลายน้ิวขยบั เปดิ ปากหลอด สังเกตการเปลี่ยนแปลง บันทึกผล

20

ผลการทำกจิ กรรม การ ระดับนำ้ ท่ี ปริมาณสาร ผลทดสอบ ผลทดสอบ
สง่ิ ทีส่ งั เกตได้ เปล่ียนแปลง เหลอื ใน ท่ีเกิดขนึ้ ใน ด้วยธูปที่มี ด้วยธูปท่ีตดิ

ชุดทดลอง ท่ีสังเกตได้ หลอด หลอด เปลวไฟ ถา่ นแดง
สารในหลอดแก้ว
ทขี่ ัว้ บวก

สารในหลอดแกว้
ท่ขี ้ัวลบ

คำถามท้ายการทดลอง
1. เมอื่ ต่อสายไฟจากแบตเตอร่เี ขา้ กบั เครื่องแยกน้ำไฟฟา้ ให้ครบวงจร ในหลอดแก้วจากข้ัวบวกและขั้วลบมกี าร
เปล่ยี นแปลงเหมือนหรือตา่ งกนั อย่างไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2. เมอ่ื เปรยี บเทียบปริมาณสารทีเ่ กิดข้นึ ในหลอดจากขว้ั บวกและข้ัวลบ มอี ัตราสว่ นประมาณเทา่ ใด
..............................................................................................................................................................................
3. เมื่อทดสอบสารในหลอดจากขว้ั บวกและขั้วลบโดยใชธ้ ูปที่ลุกเป็นเปลวไฟ และธปู ที่เป็นถ่านแดง สังเกตเห็น
การเปลย่ี นแปลงแตกต่างกันหรือไม่ อยา่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
4. สารในหลอดจากข้ัวบวกและขว้ั ลบเปน็ สารชนดิ เดียวกันหรอื ไม่ ทราบไดอ้ ย่างไร
แนวคำตอบ สารในหลอดจากขั้วบวกและข้ัวลบเป็นไม่ใช่สารชนิดเดียวกัน ทราบได้จากผลการทดสอบดว้ ยธูป
ซึ่งได้ผลต่างกัน โดยแก๊สในหลอดจากข้ัวบวกช่วยให้ไฟติด ส่วนแก๊สในหลอดจากข้ัวลบติดไฟได้และสามารถ

21

ทราบได้จากปรมิ าณแก๊สท่เี กิดข้ึนอีกด้วย โดยแก๊สทีห่ ลอดจากขว้ั บวกมปี ริมาณน้อยกว่าแกส๊ ท่ีหลอดจากข้ัวลบ
ประมาณครง่ึ หน่ึง
5. นำ้ เป็นสารบริสุทธิห์ รือสารผสม ทราบไดอ้ ย่างไร
แนวคำตอบ นำ้ เป็นสารบรสิ ุทธิ์ ทราบไดจ้ ากสมบตั ิของน้ำ ซึ่งมีจุดเดอื ดคงท่ี และอุณหภูมิทน่ี ้ำเร่ิมหลอมเหลว
และหลอมเหลวจนหมดเปน็ อณุ หภมู ิเดยี วกนั
6.จากกิจกรรม สรุปได้วา่ อยา่ งไร
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

สารบริสุทธิ์บางชนิดสามารถแยกสลายเป็นองค์ประกอบมากกว่า 1 ชนิด ที่มีสมบัติต่างจากเดิม เมื่อ
ได้รบั พลังงานที่เหมาะสม เช่น เม่ือแยกน้ำซึ่งเป็นสารบริสทุ ธ์ิด้วยไฟฟา้ จะได้แก๊สออกซิเจนและแก๊สไฮโดรเจน
ในอัตราส่วนคงที่ แสดงว่าน้ำมีองค์ประกอบ 2 ชนิดมารวมตัวกัน สารบริสุทธ์ิท่ีสามารถแยกสลายเป็น
องค์ประกอบมากกว่า 1 ชนิด เรียกว่า สารประกอบ (compound) ส่วนสารบริสุทธิ์บางชนิดที่ไม่สามารถ
แยกสลายให้สารใหม่โดยวิธีทางเคมีได้ เพราะมีองค์ประกอบเพียงชนิดเดียว เช่น ออกซิเจนและไฮโดรเจน
เรียกวา่ ธาตุ (element)

ภาพ นำ้ มีองคป์ ระกอบเป็นอนภุ าค 2 ชนิดแตกตา่ งกนั
เมอ่ื แยกนำ้ ดว้ ยไฟฟ้าจะทำให้อนุภาคของไฮโดรเจนและอนภุ าคออกซเิ จนแยกออกจากกนั และรวมกันเป็นแกส๊ ไฮโดรเจนและ

แกส๊ ออกซเิ จน

สารบรสิ ุทธร์ิ อบตัวบางชนิดเป็นธาตุ เชน่ ทองคำ เพชร ทองแดง
ปรอท แกส๊ ไนโตรเจน บางชนดิ เปน็ สารประกอบ เช่น
เกลอื แกง นำ้ ตาล โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต

สารบรสิ ทุ ธิ์ หมายถึง สารเนอ้ื เดียวท่ีมีองค์ประกอบเพยี งชนิดเดยี ว มีสมบัติเหมอื นกัน แบง่ เปน็
1. ธาตุ คือ สารบรสิ ุทธท์ิ ่ีประกอบดว้ ย ธาตุหรือสารชนิดเดียว ไม่สามารถแยกหรือสลายออกเป็นสาร

อื่นได้ เช่น เงิน ทอง คาร์บอน ออกซิเจน เป็นต้น ในปัจจุบันมีการค้นพบธาตุประมาณ 107 ธาตุ เป็นธาตุท่ี
เกดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ 92 ธาตุ ท่ีเหลอื เปน็ ธาตุทีส่ ังเคราะหข์ น้ึ ในหอ้ งทดลอง จำแนกออกเป็น 3 ชนดิ ดงั นี้

22

1.1 โลหะ มีสถานะเปน็ ของแขง็ ท่ีอุณหภูมิปกติ ยกเว้นปรอทท่ีเป็นโลหะ แตอ่ ยู่ในสถานะของเหลว
โลหะจะมผี ิวเป็นมันวาว มจี ดุ เดอื ดและจดุ หลอมเหลวสงู และนำไฟฟ้าได้ดี โลหะบางชนิดเปน็ สารแม่เหล็ก
ตัวอยา่ งของธาตโุ ลหะ เชน่ เหล็ก ทองแดง สังกะสี แมกนีเซียม เป็นต้น

1.2 อโลหะ เปน็ ได้ท้ัง 3 สถานะ เช่น กำมะถันเปน็ ของแขง็ สีเหลือง ธาตุโบรมีนเป็นของเหลวสีแดง
และคลอรนี เป็นแก๊สสีเขยี วออ่ น อโลหะสว่ นใหญ่มีสมบตั ติ รงข้ามกบั โลหะ เช่น เปราะ ไมน่ ำไฟฟ้า มีจดุ เดอื ด

และจดุ หลอมเหลวต่ำ เป็นต้น
1.3 ธาตุกึ่งโลหะ เป็นธาตทุ ม่ี ีสมบตั กิ ึง่ โลหะและอโลหะ เช่น โบรอนเปน็ ของแข็งสีดำ เปราะ ไม่นำ

ไฟฟา้ มีจุดเดือดสูงถึง 4,000 องศาเซลเซยี ส ซิลิคอน เปน็ ของแขง็ สีเงนิ วาว เปราะ นำไฟฟา้ ได้เลก็ น้อย มจี ดุ

เดือด 3,265 องศาเซลเซียส เปน็ ตน้
2. สารประกอบ คือ สารท่ีประกอบด้วยธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดข้ึนไป มาทำปฏิกิริยาเคมีกันด้วยสัดส่วนท่ี

แนน่ อนกลายเป็นสารชนิดใหม่มสี มบตั ิแตกตา่ งไปจากธาตทุ ี่เปน็ องค์ประกอบเดิม ตวั อย่างของสารประกอบ เช่น
เกลือแกง นำ้ คารบ์ อนไดออกไซด์ กรด เบส เป็นต้น

โซเดียม โซเดียมคลอไรด์
คลอรีน (เกลือแกง)

ไฮโดรเจน + ออกซิเจน → นำ้
คาร์บอน + ออกซเิ จน → คารบ์ อนไดออกไซด์

สัญลักษณ์ของธาตุ คืออักษรย่อท่ีใช้เขียนแทนชื่อธาตุ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้กำหนดข้ึนเพ่ือความสะดวกใน
การศึกษาวิชาเคมี หลกั ในการเขียนสัญลักษณ์ของธาตุ มดี งั นี้

1.ถ้าธาตุน้ันมีชื่อในภาษาละติน ให้ใช้ตัวอักษรตัวแรกในช่ือภาษาละตนิ มาเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เป็น
สญั ลักษณข์ องธาตุนั้น เช่น ธาตโุ พแทสเซยี มมชี ่ือในภาษาละติน คื่อ Kalium สญั ลักษณ์ คอื K

2.ถา้ ธาตุน้ันไมม่ ีช่ือในภาษาละติน ให้ใชช้ ื่อภาษาอังกฤษ โดยใช้ตัวอักษรตัวแรกในช่อื ภาษาอังกฤษมา
เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เป็นสัญลกั ษณ์ของธาตุ เช่น ธาตุออกซิเจน ไมม่ ีช่ือในภาษาละตินแต่มชี ื่อในภาษาอังกฤษ
คอื Oxygen สญั ลกั ษณข์ องธาตุ คอื O

3.กรณที ่ีชื่อธาตุมีอักษรตัวแรกซ้ำกันกับธาตุอ่ืน ให้ธาตทุ ่ีพบที่หลงั เขียนสัญลักษณ์โดยใชอ้ ักษรตัวแรก
เขยี นควบกับอักษรตวั ถัดไปตัวใดตวั หนึง่ ในชือ่ ธาตุน้ัน โดยให้อกั ษรตัวแรกเขยี นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ และอักษรตวั ที่
ตามมาเขียนด้วยตัวพมิ พเ์ ลก็ เชน่ Calcium พบทหี ลัง Carbon ซึ่งธาตุท้ังสองมีอักษรตัวแรกในช่ือธาตุซำ้ กนั จึง
เขยี นสัญลักษณข์ องธาตุ Calcium เป็น Ca
สูตรเคมี หมายถึง สัญลักษณ์ท่ีใช้เขียนแทนธาตุหรือสารประกอบเพ่ือแสดงองค์ประกอบ ของสารเหล่าน้ันว่า
ประกอบด้วยธาตุใดบ้างอย่างละเท่าใดหรือเป็นอัตราส่วนเท่าใด สูตรบางประเภทยังให้รายละเอียดเพิ่มเติม
เก่ียวกับการจัดเรียงอะตอมภายในโมเลกุลด้วย เช่น น้ำ มีสูตรโมเลกุลเป็น H2O หมายความว่า น้ำ 1
โมเลกุล ประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม และ ออกซิเจน 1 อะตอม

23

โครงสรา้ งของอะตอม อะตอม เป็นโครงสร้างขนาดเลก็ มากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ทพี่ บไดใ้ นส่งิ ของทุก

ๆ อย่างรอบตัวเรา อะตอมประกอบไปด้วยอนุภาค 3 ชนิด คือ: อิเล็กตรอน ซึ่งมีประจุลบโปรตอน ซึ่งมีประจุ
บวกนิวตรอน ซงึ่ ไม่มปี ระจุ

จอห์น ดอลตนั นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษไดเ้ สนอทฤษฎอี ะตอมโดยอาศัยขอ้ มลู จากการทดลอง
ที่พอจะศกึ ษาได้และนบั ว่าเป็นทฤษฎีแรกทเ่ี กี่ยวกบั อะตอมที่พอจะเชอ่ื ถอื ได้ ซึ่งมีใจความดังน้ี

1. สารทกุ ชนิดประกอบดว้ ยอนุภาคขนาดเล็กท่ีสดุ เรยี กวา่ “ อะตอม”
2. อะตอมจะไม่สามารถแบ่งแยกได้ และไมส่ ามารถสรา้ งขึ้นใหมไ่ ด้
3. อะตอมของธาตชุ นิดเดียวกนั จะมีสมบตั เิ หมือนกนั ทุกประการ
4. อะตอมของธาตุต่างกันจะมสี มบัติต่างกนั
5. ธาตุตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปสามารถรวมตัวกันเกิดเป็นสารประกอบ โดยมีอัตราส่วนการรวมตัวเป็น

ตัวเลขอย่างงา่ ย เช่น CO CO2

อนุภาค หมายถงึ สสารทีม่ ีปรมิ าณนอ้ ยมากหรอื เล็ก
มาก อาจหมายถึง
ในเคมี

• อิเลก็ ตรอน
• โมเลกุล
• อะตอม
• นิวตรอน
• โปรตอน

กิจกรรมท่ี 5 โครงสร้างอะตอมเป็นอย่างไร
จดุ ประสงค์ :

1. วเิ คราะห์และอธิบายโครงสรา้ งอะตอมจากแบบจำลอง
2. สบื คน้ และสร้างแบบจำลองอะตอม
วัสดุและอุปกรณ์

นักเรยี นเตรียมวสั ดุอุปกรณ์ท่หี าได้งา่ ย เช่น กรรไกร กาว กระดาษสี โฟม ดินนำ้ มนั ลวด แผน่ ซีดี
วิธีการทดลอง
1. สังเกตชนดิ และการจัดเรยี งตัวของอนภุ าคภายในอะตอมจากแบบจำลองอะตอมของธาตุฮีเลยี ม คาร์บอน
และอะลูมเิ นียม บนั ทึกผล

24

ภาพแบบจำลองอะตอมของธาตุฮีเลยี ม คาร์บอน และอะลูมเิ นียม
ท่ีมา หนังสอื แบบเรียนวทิ ยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 สสวท

2. สบื ค้นโครงสรา้ งอะตอมของธาตุทส่ี นใจ 1 ธาตุ และสรา้ งแบบจำลอง
3. นำเสนอแบบจำลองอะตอมที่สร้างข้นึ อธิบายโครงสร้างอะตอมของธาตนุ ัน้

ผลการทำกจิ กรรม ชนดิ อนุภาคที่พบ จำนวนอนภุ าค การจดั เรียงตัว
อะตอมของธาตุ โปรตอน 2
ฮีเลียม นิวตรอน 2 โปรตอนและนิวตรอนอยใู่ น
อเิ ล็กตรอน 2 นิวเคลียส บรเิ วณตรงกลาง
คารบ์ อน อะตอม อิเลก็ ตรอนอยูร่ อบ ๆ
โปรตอน
นวิ ตรอน นวิ เคลยี ส
อเิ ลก็ ตรอน

อะลมู ิเนียม โปรตอน
นวิ ตรอน
อิเลก็ ตรอน

ธาตุทส่ี บื คน้ โปรตอน
(เชน่ ลิเทียม) นวิ ตรอน
อเิ ล็กตรอน

คำถามท้ายกิจกรรม
1. ชนดิ และจำนวนของอนุภาคภายในอะตอมของธาตุตา่ ง ๆ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

แนวคำตอบ อะตอมของธาตุฮีเลียม คาร์บอน และอะลูมิเนียม ประกอบด้วยอนุภาค 3 ชนิด คือ โปรตอน
นิวตรอนและ อิเลก็ ตรอน เหมือนกัน แต่แตกต่างกนั ทจ่ี ำนวนอนภุ าค โดยฮีเลียมประกอบดว้ ย 2 โปรตอน 2

25

นิวตรอน และ 2 อิเล็กตรอน คาร์บอน ประกอบด้วย 6 โปรตอน 6 นิวตรอน และ 6 อิเล็กตรอนส่วน
อะลมู เิ นียมประกอบด้วย 13 โปรตอน 14 นิวตรอน และ 13 อิเล็กตรอน
2. การจัดเรยี งตวั ของอนภุ าคตา่ ง ๆ ภายในอะตอมของธาตุแตล่ ะชนดิ เหมือนและแตกตา่ งกันอยา่ งไร
.............................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
3. จากกจิ กรรมสรุปไดว้ า่ อย่างไร
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................

การจำแนกธาตแุ ละการใชป้ ระโยชน์ สายไฟบางชนดิ ทำจากธาตุทองแดง บางชนดิ ทำจากอะลมู เิ นยี ม

เนอ่ื งจากธาตุทง้ั สองมสี มบัตกิ ารนำไฟฟา้ ความแข็งแรงและเหนยี วใกล้เคียงกนั แต่แตกต่างกนั ทีค่ วามหนาแนน่
และราคา เมื่อขนาดหรอื ปริมาตรเทา่ กันสายไฟอะลูมิเนียมจะมนี ้ำหนักเบาเปน็ คร่ึงหนงึ่ ของสายไฟทองแดง และ
มีราคาถูกกว่า จึงนิยมใช้สายไฟอะลูมิเนยี มภายนอกอาคารที่ตอ้ งใช้สายไฟยาว ๆ ส่วนสายไฟทองแดงนยิ มใชใ้ น
อาคาร ธาตอุ ่ืน ๆ มีสมบัติเหมอื นหรือแตกต่างกนั อย่างไร สามารถนำมาใช้ในการจัดกลุ่มธาตุไดอ้ ยา่ งไร

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 4

จากภาพ แทง่ เหลก็ แทง่ ทองแดง และแท่งทองคำ มขี นาดและปรมิ าตร 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร
เท่ากัน เขียนเครือ่ งหมาย  หนา้ ขอ้ ท่ีถกู ตอ้ ง

 เม่อื ต่อแท่งทองแดงในวงจรไฟฟ้า ทำใหห้ ลอดไฟในวงจรสว่าง แสดงว่า ทองแดง
นำไฟฟา้ ได้

 เหล็กมีความหนาแนน่ สงู กวา่ ทองแดงและทองคำ
 เม่ือให้ความรอ้ นจนมีอณุ หภมู ิสูงข้นึ เรือ่ ย ๆ แท่งทองคำจะหลอมเหลว กอ่ นแท่ง
ทองแดงและแท่งเหล็ก

26

กิจกรรมท่ี 6 เราจำแนกธาตุได้อยา่ งไร
จดุ ประสงค์ : ทดสอบและเปรียบเทยี บสมบัตทิ างกายภาพของธาตุ เพอ่ื ใช้ในการแนกธาตุ
วัสดแุ ละอปุ กรณ์

รายการ ปรมิ าณ/กลมุ่

1. ตวั อยา่ งธาตตุ ่าง ๆ ได้แก่ อะลูมเิ นยี ม เหลก็ ทองแดง สังกะสี กำมะถัน ถ่านไม้ 1 ชดุ

2. หลอดไฟ 2.5 โวลต์ 1 หลอด

3. สายไฟ พรอ้ มคลปิ ปากจระเข้ 2 เสน้

4. แบตเตอรี่ 1.5 โวลต์ 1 กอ้ น

5. คอ้ นยางขนาดเลก็ 1 อัน

6. ถงุ พลาสตกิ ขนาดเลก็ 1 ถุง

7. แวน่ ตานริ ภัย (ถา้ มี) 1 อัน/คน

8. กระดาษทราย (ถ้ามี) 1 แผ่น

วิธกี ารดำเนินกจิ กรรม

1. สังเกตลกั ษณะภายนอกของธาตุ รวมทงั้ ความมันวาว โดยใชก้ ระดาษทรายขดั พนื้ ผวิ ตวั อย่างธาตุ บริเวณ

เลก็ ๆและบนั ทึกผลในตารางที่ออกแบบไว้

2. ทดสอบการนาไฟฟา้ ของธาตตุ ่างๆ โดยตอ่ กบั วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย ดงั ภาพบนั ทกึ ผล

ทม่ี า หนังสือแบบเรียนวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 สสวท

3. ทดสอบความเหนยี วของธาตุ โดยบรรจุตัวอยา่ งธาตุในถุงพลาสตกิ ขนาดเล็กแลว้ ทุบด้วยค้อนยาง สังเกตการ

เปลีย่ นแปลง บันทกึ ผล
4. คัดลอกขอ้ มุล จดุ เดือด จุดหลอมเหลวและการนำความร้อนจากหนังสอื ลงในตาราง บันทึกผล
5. เปรยี บเทียบสมบัตทิ างกายภาพของธาตุต่างๆ ในตารางบันทกึ ผล

ตารางจุดเดือด จดุ หลอมเหลว ความหนาแนน่ และการนำความรอ้ นของธาตุตา่ งๆ

ท่ี ธาตุ จดุ เดอื ด (๐c) จดุ หลอมเหลว (๐c) การนำความรอ้ น

1 อะลมู เิ นยี ม 2,467 660 นำความร้อนได้ดี

2 เหล็ก 2,750 1,535 นำความรอ้ นไดด้ ี

3 ทองแดง 2,567 1,083 นำความรอ้ นไดด้ ี

4 สงั กะสี 907 420 นำความรอ้ นได้ดี

5 กำมะถนั 455 113 ไม่นำความรอ้ น

6 ถา่ นไม้ - 3,500 ไมน่ ำความรอ้ น

27

6. จำแนกธาตุโดยใชส้ มบตั ทิ างกายภาพต่อไปน้เี ปน็ เกณฑร์ ว่ มกนั ได้แก่ ความมนั วาว การนำไฟฟา้ ความเหนยี ว

จุดเดือดจดุ หลอมเหลว และการนำความรอ้ น บันทึกผล

ตวั อย่างผลการทำกจิ กรรม

ผลการสงั เกต

ชอื่ ธาตุ ลักษณะภายนอก การนำ ความ จดุ จดุ การนำ ผลการ
ไฟฟ้า เหนยี ว ความ จำแนก
สถานะ สี ความ เดอื ด หลอมเห
มนั วาว ( QC) ลว ( QC) ร้อน

อะลูมเิ นียม ของแข็ง เทา มันวาว นำ บิดงอได้ 2,467 660 นำความ กลมุ่ 1
อ่อน ไฟฟา้ ร้อนไดด้ ี
ทบุ ไม่
แตก

เหลก็ ของแข็ง เทา มนั วาว นำ บิดงอได้ 2,750 1,535 นำความ กลุ่ม 1
อ่อน ไฟฟา้ ทุบไม่ รอ้ นไดด้ ี
แตก

บดิ งอได้

ทองแดง ของแขง็ ทอง มันวาว นำ ทุบไม่ 2,567 1,083 นำความ กล่มุ 1
แดง ไฟฟ้า แตก ร้อนได้ดี

สงั กะสี ของแข็ง เทา มันวาว นำ บดิ งอได้ 907 420 นำความ กล่มุ 1
อ่อน ไฟฟา้ ทุบไม่ รอ้ นไดด้ ี
แตก

กำมะถนั ของแขง็ เหลอื ง ไม่มนั ไม่นำ เปราะ 445 113 ไมน่ ำ
อ่อน วาว ไฟฟา้
แตก ความ กลมุ่ 2
งา่ ย รอ้ น

ถ่านไม้ ของแขง็ ดำ ไมม่ นั ไมน่ ำ เปราะ - สงู มาก ไมน่ ำ
วาว ไฟฟ้า (>3,600) ความ กล่มุ 2
แตก
งา่ ย ร้อน

คำถามทา้ ยกจิ กรรม

1. ธาตุใดบ้างทมี่ ีสมบัตคิ วามมันวาว การนำไฟฟา้ และความเหนยี ว เหมือนกนั
แนวคำตอบ ธาตอุ ะลูมเิ นียม เหลก็ ทองแดง สังกะสี และพลวง มคี วามมนั วาว การนำไฟฟ้าได้ดี และเหนียว
เหมอื นกัน ส่วนธาตกุ ำมะถนั และถ่านไม้ ไมม่ ันวาว นำไฟฟา้ ไดไ้ ม่ดี และไมเ่ หนยี วเหมอื นกนั

2. เมื่อจำแนกธาตโุ ดยใช้สมบตั ิต่อไปน้ีเป็นเกณฑร์ ่วมกัน ไดแ้ ก่ ความมนั วาว การนำไฟฟา้ ความเหนียว จุดเดอื ด
จุดหลอมเหลว และการนำความรอ้ น ไดผ้ ลการจำแนกเป็นอยา่ งไร

แนวคำตอบ เมือ่ ใช้สมบตั ิตา่ ง ๆ เป็นเกณฑ์รว่ มกนั สามารถจำแนกธาตุเปน็ 2 กลุ่ม โดยกลมุ่ ท่ี 1 มีความมันวาว
นำไฟฟา้ ไดด้ ี เหนียว จุดเดอื ดและจดุ หลอมเหลวสูง นำความรอ้ นได้ดี ได้แก่ อะลมู เิ นยี ม เหลก็
ทองแดง สงั กะสี กลุ่มท่ี 2 ไมม่ นั วาว นำไฟฟ้าไดไ้ มด่ ี ไม่เหนียว จดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวตำ่ นำความรอ้ นได้

ไมด่ ี ได้แก่ กำมะถนั และถ่านไม้

28

3. จากกจิ กรรม สรุปได้ว่าอย่างไร
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................

ร่วม กนั คดิ 5

จบั คธู่ าตแุ ละการใช้ประโยชนใ์ หถ้ ูกตอ้ ง โดยใชแ้ ต่ละตวั เลอื กเพยี งครั้งเดียว

....... 1. รกั ษาโรคมะเร็งบางชนิด ก. ทองแดง (โลหะ)

....... 2. ชิน้ สว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ข. โพแทสเซียม (อโลหะ)

....... 3. สายไฟภายในอาคาร ค. ซิลิคอน (ธาตุกึง่ โลหะ)

....... 4. ปุย๋ เคมี ง. เรเดียม (ธาตกุ ัมมันตรังสี)

29

คิดแบบนักวิทย์

ขน้ั นำปัญญำพฒั นำควำมคดิ กิจกรรม ฝึ กทา : ฝึ กสรา้ ง

ในนักเรียนเขยี นผังมโนทศั นส์ รปุ องคค์ วามร้ใู นบทเรียนการจำแนกและองค์ประกอบของสารบรสิ ทุ ธ์ิ

30

กิจกรรม คิดดี ผลงำนดี มคี วำมสขุ

ขนั้ นำปัญญำพฒั นำตนเอง

กจิ กรรม การนำธาตไุ ปใช้มีผลอยา่ งไรบ้าง

นักเรียนจะได้เรยี นรู้เกี่ยวกับผลจากการใช้ธาตุที่มีตอ่ สิ่งมชี ีวติ ส่ิงแวดลอ้ ม เศรษฐกิจ และสังคม

จุดประสงค์ รวบรวม วเิ คราะห์ข้อมลู และนำเสนอผลจากการใช้ธาตุบางชนิด

วิธกี ารดำเนินกิจกรรม

นักเรยี นศึกษาจากวดี ิทศั นจ์ าก youtube ท่ีเชื่อถือได้

เรือ่ ง กรมอตุ สาหกรรมพื้นฐานและการเหมอื งแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม

http://www.dpim.go.th/maincontent/viewdetail?catid=116&articleid=6616

โพแทช : แรเ่ ศรษฐกจิ ท่สี ำคญั ของไทยในอนาคต กรมอุตสาหกรรมพน้ื ฐานและการเหมืองแร่

http://www.industry.go.th/industry/index.php/th/knowledge/item/10610-2016-

05-23-05-43-19 “แรโ่ พแทช” กระทรวงอุตสาหกรรม 23 พค. 59

http://www.dpim.go.th/dpimnews/article?catid=102&articleid=7075

ผลการทำกิจกรรม

1. ถ้าบริษัทไดร้ บั อนุญาตให้ทำเหมอื ง บริษทั จะต้องจา่ ยเงนิ ให้รฐั บาลเพื่อไปใช้พฒั นาทอ้ งถิ่น

ขอ้ ด.ี ...... รัฐบาลมีเงนิ งบประมาณสำหรับพฒั นาประเทศมากข้นึ

ขอ้ เสีย... เงนิ งบประมาณทไี่ ดอ้ าจนำไปใช้พฒั นาในส่วนอนื่ ของประเทศ แต่ใช้พัฒนาท้องถน่ิ ท่ีทำ

เหมืองเพียงสว่ นน้อย

2. การขดุ เหมอื งและจา้ งงาน บริษทั เหมอื งแรจ่ า้ งคนงานและใชเ้ ครื่องจกั รจำนวนมากเพอ่ื ขดุ เหมอื งและ

ลำเลียงแร่ออกมาจากป่าไม้

ข้อด.ี ................................................................................................................................................

ขอ้ เสีย............................................................................................................................................

3. การใช้ดนิ เหมอื งแร่อาจใชว้ ธิ ีขดุ เปิดหนา้ ดนิ หรือขดุ อโุ มงค์ ควรมกี ารจัดการท่ีดี เพอ่ื ปอ้ งกันการเกิดฝ่นุ

ละอองในอากาศ

ข้อดี.................................................................................................................................................

ข้อเสยี ............................................................................................................................................

4. โรงงาน เมือ่ แร่มาถงึ โรงงาน จะถกู นำไปผลติ เป็นปยุ๋ เคมี ทำใหเ้ กษตรกรไดใ้ ชป้ ุย๋ ดรี าคาถูก และปยุ๋ บาง

สว่ นอาจส่งออกไปขายตา่ งประเทศ

ขอ้ ดี.................................................................................................................................................

ขอ้ เสีย............................................................................................................................................

31

แบบประเมนิ ตนเองหลังเรยี น

คำชแ้ี จง : ใหน้ กั เรยี นเลอื กคำตอบที่ถูกต้องท่สี ุดเพยี งคำตอบเดียว ใช้เวลา 20 นาที
1. พบขวดสารเคมีท่ีไม่ติดฉลากบรรจุสารท่ีมีสถานะของแข็ง สีขาว ไม่มีกล่ิน เมื่อนำไปทดสอบ โดยหาจุด
หลอมเหลวพบว่าสารเริ่มหลอมเหลวที่อุณหภูมิ 156 oC และหลอมเหลวหมดที่อุณหภูมิ 156.5 oC ข้อสรุปใด
ถกู ตอ้ ง

ก. สารน้ีเป็นสารผสมเพราะมีจุดหลอมเหลวไมค่ งท่ี
ข. สารนี้เป็นสารผสมเพราะจุดหลอมเหลวสูงกว่า 100 oC
ค. สารน้ีเปน็ สารบริสุทธเ์ิ พราะเป็นของแขง็ สขี าว ไมม่ กี ลิ่น
ง. สารนเี้ ปน็ สารบริสทุ ธ์เิ พราะมีช่วงอณุ หภมู ิท่ีหลอมเหลวแคบ
2. นำของเหลว 3 ชนิดไปให้ความร้อนและบันทึกผลอุณหภูมิทุก ๆ 3 นาที จากน้ันนำข้อมูลมาเขียนกราฟ
ความสมั พันธ์ระหวา่ งการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิของสารกับเวลา ได้ดังน้ี

ขอ้ สรุปใดถกู ตอ้ ง
ก. สาร A เป็นสารผสม ส่วนสาร B และ C เปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์
ข. สาร C เปน็ สารบรสิ ุทธ์ิ สว่ นสาร A และ B เปน็ สารผสม
ค. สารท้ัง 3 ชนดิ เปน็ สารบรสิ ุทธิ์
ง. สารทงั้ 3 ชนิด เปน็ สารผสม

3. สาร D มจี ดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวก่ีองศาเซลเซียส ข. จดุ เดอื ด 40 oC และจดุ หลอมเหลว 0 oC
ง. จุดเดือด 80 oC และจดุ หลอมเหลว 60 oC
ก. จุดเดือด 0 oC และจุดหลอมเหลว 40 oC
ค. จุดเดอื ด 60 oC และจดุ หลอมเหลว 80 oC

32

4. ข้อใดต่อไปน้ถี ูกตอ้ ง
ก. สาร A มีจดุ หลอมเหลวสงู กว่าสาร C และสาร D
ข. สาร A มีจดุ เดอื ดต่ำกว่าสาร B สาร C และสาร D
ค. สาร C มีจดุ เดือดตำ่ กว่าสาร B และสงู กวา่ สาร D
ง. สาร C มจี ุดหลอมเหลวสงู กว่าสาร B และตำ่ กว่าสาร D

5. พิจารณาขอ้ มูลจากกราฟแล้วตอบคำถาม

ถา้ นำวัตถุทั้ง 3 ชนิดหย่อนลงในน้ำมนั พืชท่มี คี วามหนาแนน่ 0.90 g/cm3 วัตถชุ นดิ ใดลอยในน้ำมันพืชได้

ก. A และ B ข. A และ C ค. B และ C ง. A B และ C

6. ตารางมวลและปริมาตรของวัตถุ 4 ช้นิ

เมือ่ หาความหนาแน่นของวตั ถุท้งั 4 ชิ้น แผนภูมแิ ท่งข้อใดสอดคลอ้ งกบั ข้อมูลในตาราง

33

7. แกส๊ A มีความหนาแน่น 0.80 g/cm3 แก๊ส B มีความหนาแนน่ 1.14 g/cm3 และ แกส๊ C มีความหนาแนน่

0.07 g/cm3หากบรรจุแก๊สแต่ละชนดิ มวล 50 กรัม ในลูกโป่งที่อณุ หภมู ิห้องและความดนั บรรยากาศ ให้

เรียงลำดับขนาดลูกโป่งทบี่ รรจุแกส๊ จากเล็กไปใหญ่

ก. B A C ข. C A B ค. C B A ง. B C A

8. ตารางมวลและปรมิ าตรของวตั ถุที่เป็นสารบริสุทธิ์ 4 ชิ้น

จากตาราง วตั ถุช้นิ ใดเป็นวตั ถุชนิดเดยี วกัน

ก. วตั ถุ A และ C ข. วตั ถุ A และ D ค. วตั ถุ B และ C ง. วัตถุ B และ D

9. ต้องการหาคา่ ความหนาแนน่ ของวตั ถุช้ินหนึง่ ทม่ี ีรปู ทรงไม่เปน็ รปู ทรงเรขาคณิต โดยสว่ นท่กี ว้างทสี่ ดุ ของ

วัตถยุ าว3.5 cm และส่วนทย่ี าวของวัตถุยาว 8.0 cm ควรเลอื กใช้อปุ กรณ์ในข้อใดในการหามวลและปริมาตร

ของวัตถุ

ใชข้ อ้ มูลในตาราง ตอบคำถาม ขอ้ 10 - 11

34

10. ขอ้ ใดเปน็ สารประกอบทั้งหมด ข. ฮเี ลยี ม เงนิ
ก. กรดนำ้ สม้ โอโซน ง. กรดนำ้ สม้ ปนู ขาว
ค. แก๊สคลอรนี แมกนีเซยี มคลอไรด์
ข. ฮีเลียม เงนิ
11. ข้อใดเปน็ ธาตุท้งั หมด ง. กรดนำ้ ส้ม ปนู ขาว
ก. กรดน้ำส้ม โอโซน
ข. ดงึ เปน็ เส้นได้
ค. แก๊สคลอรนี แมกนเี ซยี มคลอไรด์ ง. มีความมันวาว
12. ข้อใดไม่ใช่สมบัติของธาตุโลหะ

ก. เปราะ
ค. นำไฟฟ้าและนำความร้อนไดด้ ี

13. จากภาพดา้ นบนแสดงอะตอม ขอ้ ใดถกู ต้อง

ก. 1, 2, 3 เปน็ ธาตุ ข. 1, 2, 4 เปน็ ธาตุ

ค. 2, 3, 5 เป็นสารประกอบ ง. 3, 4, 5 เปน็ สารประกอบ

14. อะตอมของธาตุลิเทยี มมี 3 โปรตอน 4 นวิ ตรอน และ 3 อเิ ลก็ ตรอน แบบจำลองอะตอมในข้อใด แสดง

อะตอมของธาตลุ เิ ทียมได้เหมาะสม เมื่อ

ก ข คง
15. ข้อใดไมถ่ ูกตอ้ งเกย่ี วกบั การนำธาตไุ ปใช้

ก. ทองแดง เปน็ โลหะท่ใี ชท้ ำสายไฟฟา้ เพราะนำไฟฟ้าได้ดี
ข. ซิลคิ อน เปน็ โลหะทีใ่ ช้ในอปุ กรณอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์ เพราะมสี มบตั ิเปน็ สารกึง่ ตัวนำ
ค. เหล็ก เป็นโลหะที่ใช้ทำเครือ่ งจักร เพราะรบั น้ำหนักได้และคงทนตอ่ การสกึ หรอ
ง. ไนโตรเจน เปน็ อโลหะที่ใช้ในปุย๋ เรง่ ผลผลิตทางการเกษตร เพราะเปน็ ส่วนประกอบท่สี ำคญั ของพืช

คะแนนเต็ม 15 คะแนน
ได้ ........... คะแนน

35

เอกสารอ้างองิ
ศรลี กั ษณ์ ผลวัฒนะ และ คณะ . (2551). สอ่ื การเรยี นรู้และเสรมิ สรา้ งทักษะตามมาตรฐานและ

ตวั ชี้วดั ชั้นปีกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เล่ม 1. กรงุ เทพฯ.นยิ มวทิ ยา.
สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ,สถาบนั . คมู่ ือครู รายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ 1 ช้นั

มัธยมศึกษาปที ่ี 1 เล่ม 1. (2553). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว.
ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี , (2553). สถาบนั .หนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ 1 ชน้ั

มัธยมศึกษา ปีที่ 1 เลม่ 1 .กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว.
สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี , (2561). สถาบนั .หนังสอื เรียนวิทยาศาสตร์ เล่ม1 ช้ัน

มธั ยมศกึ ษา ปที ี่ 1 เล่ม 1 .กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพร้าว.

36


Click to View FlipBook Version