The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มสรุปกิจกรรมพัฒนาสื่อ2563

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anocha Utumsakulrat, 2022-01-07 21:42:19

เล่มสรุปกิจกรรมพัฒนาสื่อ2563

เล่มสรุปกิจกรรมพัฒนาสื่อ2563

บนั ทกึ ข้อความ

ส่วนราชการ โรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม

ท่ี ........................................................... วนั ท่ี 17 พฤษภาคม 2564

เร่อื ง รายงานผลการดำเนินกจิ กรรมสง่ เสรมิ ให้ครพู ฒั นาสื่อและนวัตกรรม

เรียน ผู้อำนวยการโรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม

ส่ิงทสี่ ่งมาดว้ ย 1. รายงานสรุปผลการดำเนนิ กิจกรรมส่งเสริมให้ครูศึกษาและพฒั นางานวิจัย จำนวน 1 ฉบับ

ข้าพเจ้านางสาวอโนชา อุทมุ สกุลรัตน์ ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนสุวรรณาราม
วิทยาคมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ครูพัฒนาสื่อนวัตกรรมการเรียนการ
สอนและพัฒนางานวจิ ัย ประจำปกี ารศกึ ษา 2563 โดยมงี บประมาณที่ไดร้ บั ในการจัดสรร 29,000 บาท บัดน้ี
การจัดกิจกรรม ได้ดำเนนิ กิจกรรมเสรจ็ ส้ิน สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงคท์ ีว่ างไว้ ซง่ึ มผี ลการดำเนนิ งาน ดงั น้ี

1. งานพัฒนาสื่อนวัตกรรมและวิจัย ไดด้ ำเนินการรวบรวมและจัดทำเอกสารรายงานผลการ
ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมให้ครศู ึกษาและพฒั นางานวจิ ัย จำนวน 1 เลม่ เพ่อื เสนอผลการดำเนินจดั กิจกรรม โดย
มีผลการจัดกิจกรรมดังน้ี

1.1 ในปีการศึกษา 2563 ครูมีการจัดทำวิจัยในชั้นเรียน จำนวน 78 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ
96.30 ของจำนวนครทู ั้งหมด 81 คน

1.2 การจดั ทำวิจยั ในช้ันเรียนของครูแบ่งเป็นประเภท ดงั นี้
- วจิ ัยเพอ่ื แก้ปัญหาและพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน จำนวน 71 เร่ือง คิด
เปน็ รอ้ ยละ 91.03
- วิจัยเพ่ือพัฒนาเจตคติตอ่ การเรียน จำนวน 2 เร่อื ง คดิ เป็นรอ้ ยละ 2.56
- วิจัยเพ่ือแก้ปัญหาพฤตกิ รรมและพฒั นาคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ จำนวน 6
เรอื่ ง คิดเปน็ ร้อยละ 7.69
- วิจัยเพ่ือศกึ ษาความตอ้ งการต่อการเรยี น จำนวน 2 เรื่อง คดิ เป็นร้อยละ 2.56

1.3 คัดสรรครูผู้มกี ารจัดการเรียนการสอนและรายงานวิจยั ดีเดน่ 3 อันดับในระดับกลุ่มสาระ
การเรียนรู้ จำนวน 24 คน โดยให้ครผู ู้ได้อันดับที่ 1 ของกลุ่มสาระการเรียนรู้เป็นตวั แทนจำนวน 8 คน เข้า
ประกวดวิจัยส่ือนวัตกรรม ในงานนิทรรศการเปิดโลกผลงาน วิจัยและนวัตกรรมของข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา ปีการศึกษา 2563 ในวัน ที่ 3 เมษายน 2564 ณ ห้องประชุมสุพรรณิการ์ โรงเรียน
สวุ รรณารามวทิ ยาคม สพม.กท1 แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019
(COVID - 19) จึงไม่สามารถดำเนินงานดังกล่าวได้จึงไม่ได้ใช้งบประมาณจำนวน 29,000 บาท ตามท่ีได้รับ
การจดั สรรเพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมประกวดวิจัยส่ือนวัตกรรม

3. ค่าเฉลี่ยคะแนนการประเมินผลการบริหารโครงการ/กิจกรรม เท่ากับ 4.54 ผลการ
ประเมินการบรหิ ารโครงการ/กจิ กรรมในระดับดมี าก

ข้าพเจ้า จึงขอรายงานผลการดำเนินโครงการ ซึ่งมีรายละเอียดดังกล่าวข้างต้น และรายละเอยี ด
อ่ืนๆ ตามเอกสารดังแนบ

จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดทราบและพจิ ารณา

ความเหน็ ของผู้บรหิ าร ลงช่ือ…………………………..…………
................................................................................. (นางสาวอโนชา อุทุมสกุลรัตน)์
................................................................................. หัวหนา้ งานวจิ ยั ส่อื นวตั กรรมฯ
.................................................................................
ลงชือ่ ................................................
ความเหน็ ของผู้บริหาร (นางรพพี ร คำบุญมา)
.................................................................................
................................................................................. รองผ้อู ำนวยการกลุม่ บรหิ ารวชิ าการ
.................................................................................
ลงชอ่ื ................................................
(นายจงจัด จันทบ)

ผู้อำนวยการโรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม

คำนำ

รายงานผลการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมให้ครูพัฒนาวิจัยสื่อนวัตกรรม ประจำปีการศึกษา
2563 การดำเนินงานตามกิจกรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ครูคิดค้น สร้างสรรค์ พัฒนาสื่อและ
นวัตกรรมการ เรียนรู้ได้อย่างหลากหลาย ทันสมยั และเพียงพอต่อการจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย
การดำเนินงาน ตามกิจกรรมนี้ได้เสร็จสิ้นการดำเนินงานแล้ว คณะผู้รับผิดชอบการดำเนินงานจึงจัดทำ
รายงานผลการ ดำเนินงานต่อผู้เกี่ยวข้อง ดังรายละเอียดที่ปรากฏในข้อมูลการรายงานผลการดำเนิน
กิจกรรมส่งเสริมให้ครูพัฒนาสื่อนวัตกรรมประจำปกี ารศึกษา 2563

คณะผ้จู ัดทำ
งานวิจยั พัฒนาสอ่ื นวัตกรรม

การเรียนการสอน

สารบัญ

บทท่ี 1 บทนำ หนา้
1.1 หลกั การและเหตุผล
1
1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 1
1.3 เป้าหมาย 1
1.4 งบประมาณ 1
2
1.5 การติดตามและประเมินผล 2
1.6 ผลที่ไดร้ ับจากกิจกรรม 3
21
บทท่ี 2 ความรู้และเอกสารทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง 22
บทท่ี 3 วิธีดำเนินงานกจิ กรรม 24
บทที่ 4 ผลการประเมินกจิ กรรม

บทท่ี 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ

ภาคผนวก ปฏทิ ินการติดตามการพัฒนาสอ่ื วิจยั ปกี ารศกึ ษา 2563

- บนั ทกึ ขอ้ ความสรปุ ผลการตดิ ตามการสง่ แบบรายงานการ
- จดั ทำส่อื การสอนของครู

- บันทกึ ข้อความสรปุ ผลการตดิ ตามการส่งแบบรายงานวจิ ยั ใน
ชนั้ เรยี นของครูของครู
-
- ทำเนยี บรายงานการวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในชนั้ เรียน

รายชื่อครูผ้ไู ด้รับการคดั เลอื กงานวิจัยและนวตั กรรม ประจำปี
2563

บทท่ี 1
บทนำ

1.1 หลักการและเหตุผล

หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไดก้ ำหนดใหค้ รูจัดการเรียนรูโ้ ดยยดึ ผู้เรยี นเป็น
สำคัญ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง จากการลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยตนเอง เพ่ือให้ผู้เรียนได้

พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ ทั้ง 3 ด้าน คือด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ ในการจัดการเรยี นรเู้ พอื่ ให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมอื ปฏบิ ัติด้วยตนเองและบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ท้ัง
3 ด้านอย่างเต็มศักยภาพน้ันจำเป็นต้องมีสื่อการเรียนการสอนท่ีเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนและลักษณะ

เน้ือหาหรือกิจกรรมนั้น ๆ ด้วย เน่ืองจากส่ือ/นวัตกรรมท่ีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ผู้เรียน
เกิดการเรยี นร้แู ละบรรลุเปา้ หมายการเรยี นร้ใู นเวลาอนั รวดเร็ว

โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคมไดเ้ ล็งเห็นความสำคัญของการใชส้ ื่อ/นวตั กรรมในการจดั กิจกรรม
การเรียนการสอน จงึ มีการส่งเสริมให้ครผู ลิตและพัฒนาสื่อการสอน โดยมีการจดั งบประมาณสนบั สนุนครู
เพือ่ ใหค้ รูสามารถผลติ สอื่ และนวตั กรรมทางการศึกษาท่ีมีประสทิ ธิภาพมากย่ิงข้ึน

1.2 วัตถุประสงค์

1. เพอ่ื ส่งเสรมิ ให้ครูสรา้ งและพฒั นาส่ือ/นวัตกรรมในการจัดการเรยี นการสอน
2. เพื่อส่งเสรมิ ให้ครูมีการศึกษาวิจัยและพฒั นาการจัดการเรียนรู้
3. เพ่ือสง่ เสริมใหค้ รมู ีโอกาสนำเสนอผลงานวิจยั ในชน้ั เรียนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้

1.3 เป้าหมาย
เชิงปริมาณ
ครู รอ้ ยละ 85 มีการศึกษาวิจัยและพฒั นาการจดั การเรยี นร้ใู นวชิ าทต่ี นเองรับผิดชอบ

เชงิ คุณภาพ
ครูสามารถแก้ปัญหาชั้นเรียนและพัฒนาการจัดการเรยี นรขู้ องตนเองให้มปี ระสทิ ธิภาพมากยง่ิ ขน้ึ

โดยใชก้ ารศึกษาวิจัยเพอ่ื พัฒนาการจดั การเรียนรใู้ นวิชาที่ตนเองรบั ผิดชอบ

1.4 งบประมาณ รายละเอียดดงั น้ี

รายละเอียดการใช้งบประมาณ งบประมาณ จำแนกตามรายจา่ ย
ค่าใชส้ อย คา่ ตอบแทน คา่ วสั ดุ
1. กจิ กรรมส่งเสริมใหค้ รูศึกษาและ 23,600 23,600
พัฒนางานวิจยั คา่ วัสดอุ ุปกรณส์ ำหรบั จดั ทำ/ 5,400
เอกสารสรปุ รายงานวจิ ัยในชัน้ เรียน 5,400

2. งานนทิ รรศการเปิดโลกผลงานวจิ ยั และ
นวตั กรรมของข้าราชการครูและบุคลากร

ทางการศกึ ษา ปกี ารศกึ ษา 2561

2

งบประมาณทัง้ กิจกรรม รวม ……29,000…….บาท
เงินงบประมาณ (งบอดุ หนุน)

1.5 การตดิ ตามและประเมนิ ผล

ตวั ชี้วัดความสำเรจ็ ของแตล่ ะกจิ กรรม การประเมนิ ผล เครื่องมือท่ใี ช้

1. ครูมีการสร้างสื่อนวัตกรรมเพื่อการ 1.นิเทศการสอน 1.แบบนเิ ทศแผนการ

จัดการเรียนรู้ในวิชาท่ีตนเองรับผิดชอบร้อย 2.รายงานการใช้สื่อนวตั กรรม จัดการเรยี นรู้

ละ 100 3. รายงานวจิ ยั ในช้นั เรียน 2.แบบรายงานการใชส้ ่ือ

2. ครูมีวิจัยและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ใน นวตั กรรม

วิชาท่ตี นเองรับผิดชอบรอ้ ยละ 96.30 3.แบบประเมินงานวจิ ัยใน

ชน้ั เรียน

1.6 ผลที่ได้รบั จากกจิ กรรม
ครสู ามารถแก้ปญั หาช้ันเรียนและพฒั นาการจดั การเรยี นรู้ของตนเองให้มปี ระสทิ ธิภาพมากยิ่งข้นึ

โดยใชก้ ารศึกษาวิจัยเพื่อพฒั นาการจดั การเรียนรูใ้ นวิชาทต่ี นเองรบั ผดิ ชอบ

บทที่ 2
ความรแู้ ละเอกสารทีเ่ กยี่ วขอ้ ง

ความร้แู ละเอกสารท่เี กย่ี วขอ้ ง

ภายหลงั จากการใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ครูผูส้ อนในทุกระดบั การศกึ ษาตา่ ง
ต่ืนตัว ขานรบั กับกระแสการเปล่ียนแปลงทางการศึกษา ท้ังการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูปกระบวนการ
เรียนรู้ แนวคดิ ในเชิงบวกมีการปรับเปลย่ี นเจตคติ การปฏิบตั ิตนเพ่อื เตรยี มตัวไปสูค่ วามเปน็ “ครูนกั วิจยั ” มาก
ยิ่งขึ้น ซ่ึงเป็นผลให้บทบาทของครูผู้สอน ผู้เรียน ตลอดจนกระบวนการเรียนการสอนแปรเปลี่ยนไปตาม
เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในยุคปัจจุบันทั้งทาง ด้านเศรษฐกิจ
ข่าวสาร และสังคม ก่อให้เกิดสรรพวิทยาการในแขนงต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนใหม่มากมาย ดังนั้น ครูผู้สอนจึง
จำเปน็ ตอ้ งอาศัย “กลยุทธ์” หรือ “ยทุ ธศาสตร์” ในการพัฒนาคุณภาพดา้ นการเรียนการสอน เพือ่ ให้ผู้เรียนมี
ความรู้ความสามารถเต็มตามศักยภาพ ด่ังคำขวัญท่ีว่า เป็นคนเก่ง ดี และมีความสุข ตามความคาดหวังของ
หลักสูตรสงั คม และประเทศชาติ

แนวความคิดหนึ่งที่เอ้ือต่อการพัฒนาระบบการจดั การเรยี นการสอน ก็คือ สอนดีต้องมีการวิจยั ในช้ัน
เรียน โดยเฉพาะพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ หมวด 4 พ.ศ. 2542 ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการวิจัย
และแนวการจัดการศึกษา มาตรา 24(5) การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเกีย่ วข้อง
ดำเนินการดัง ข้อ 5 คือ ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม ส่ือการเรียน และ
อำนวยให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมท้ังกำหนดให้ผู้สอนสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของ
กระบวนการเรียนรู้ ท้ังน้ี ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่ง
วิทยาการต่าง ๆ และในมาตรา 30 ระบุให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา
เพราะฉะน้ัน การวิจัยในชั้นเรียนจึงเป็นส่ิงที่จำเป็นและสำคัญ ท่ีจะต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาการเรียนรู้
ดว้ ยเหตุผลดังกล่าว การวจิ ัยในชั้นเรียนก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนและผู้สอนในยุคของการปฏิรูปการศึกษา
ไทย

2.1 การวจิ ัยในชน้ั เรยี นคอื อะไร
จากการศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้อง พบว่า คำที่ใช้ในการวิจัยในชั้นเรียน มีหลายคำได้แก่ 1) การวิจัย

ปฏิบัติการ (action research) 2) การวิจัยในชั้นเรียน (classroom research) 3) การวิจัยของครู (teacher
research) 4) การวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียน (classroom action research) 5) การวิจัยการเรียนการสอน
(learning research) ในที่น้ีผูเ้ ขียนขอใช้ค าว่า การวจิ ัยในช้ันเรียน เพราะเป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายและเป็นที่
รู้จักของครูและบุคลากรทางการศกึ ษา การวิจัยในช้ันเรียนได้มีนักวชิ าการ นักวิจัยให้ความหมายไว้หลายท่าน
ดังนี้

อุทุมพร จามรมาน (2537, หน้า 9) ให้ความหมายของการวิจยั ปฏบิ ตั ิการในชนั้ เรยี นไว้วา่ เป็นการวิจัย
ทท่ี ำโดยครู ของครู เพื่อครู เป็นการวิจัยที่ครผู ู้ดึงปัญหาในการเรียนการสอนออกมาและครูผู้ซ่ึงแสวงหาขอ้ มูล
เพ่อื แก้ปัญหาดังกล่าวด้วยกระบวนการท่ีเช่ือถอื ได้ ผลการวิจยั คอื คำตอบที่ครจู ะเป็นผู้นำไปใช้ในการแกป้ ัญหา
ของชั้นเรยี น

ทิศนา แขมมณี (2540, หน้า 14) ให้ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียนว่า หมายถึงการ

4

วิจั ยใน บริ บทขอ งชั้ น เรี ยน และ มุ่ งน ำผลก ารวิ จัย ไปใช้ ใน การพั ฒ น าก ารเรีย น ก าร สอ น ขอ งตน เป็น ก ารน ำ
กระบวนการวิจัยไปใช้ในการพฒั นาครใู หไ้ ปสูค่ วามเปน็ เลศิ และมีความเป็นอสิ ระทางวิชาการ

สุวิมล ว่องวาณิช (2544, หน้า 11) ได้สังเคราะห์นิยามเกี่ยวกับการวิจัยปฏิบัติการในช้ันเรียนแล้ว
สรุปว่าการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนคือการวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในห้องเรียนเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดข้ึนใน
ห้องเรียน และนำผลมาใชใ้ นการปรับปรงุ การเรียนการสอนเพือ่ ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ กบั ผเู้ รยี น เป็นการวิจยั ที่
ต้องทำอย่างรวดเร็ว น าผลไปใช้ทันทีและสะทอ้ นข้อมูลเก่ียวกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของตนเองใหท้ ั้งตนเอง
และกลุ่มเพ่ือนร่วมงานในโรงเรยี นได้มีโอกาสอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในแนวทางที่ได้ปฏิบัติ และนำ
ผลทเ่ี กดิ ข้นึ เพ่อื พฒั นาการเรียนการสอนตอ่ ไป

กรมวิชาการ (2542, หนา้ 7) กล่าวว่าการวจิ ยั ปฏบิ ัติการในช้ันเรียน หมายถึง กระบวนการทคี่ รูศึกษา
ค้นคว้าเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนการสอนที่ตนรับผิดชอบ จุดเน้นของการวิจัยในชั้นเรียน คือ การ
แก้ปัญหาหรือพัฒนากระบวนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ดังน้ันการวจิ ัยในช้ันเรียนเป็นการศึกษาและ
วจิ ัยควบคู่กบั การจัดการเรียนการสอนเพ่ือแก้ปัญหาหรือพฒั นาการสอนของตนเอง เพ่ือเผยแพร่ผลการวิจัยให้
เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นตอ่ ไป

ครุรักษ์ ภิรมย์รักษ์ (2544, หน้า 4) กล่าวว่าการวิจัยในชั้นเรียนเป็นบทบาทของครูในการแสวงหา
วธิ ีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในบริบทของชั้นเรียนโดยทำพรอ้ ม ๆ กันไปกับการจัดกจิ กรรมการเรียนการ
สอนตามปกติ ด้วยกระบวนการที่เรียบง่ายและเชื่อถือได้ เพ่ือนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มี
ประสิทธภิ าพและเกิดประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ ผเู้ รียน

จากความหมายของการวิจัยในช้ันเรียน สรุปได้ว่า การวิจัยในช้ันเรียนหมายถึง กระบวนการศึกษา
ค้นคว้าหาความรู้จริงเกี่ยวกับกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ แก้ปัญหาหรือ
พฒั นาการเรยี นรู้ของผ้เู รียน โดยดำเนนิ การควบคไู่ ปกบั การสอนในช้นั เรยี น

2.2 ความสำคญั ของวจิ ัยช้ันเรยี น
การวิจัยชั้นเรียน (Classroom Research) เป็นวิจัยทางการศึกษารูปแบบหน่ึงท่ีมุ่งค้นหาคำตอบ

คำอธิบาย แนวทางการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาที่เกิดข้ึนในชั้นเรียน และการลงมือปฏิบัติของครูเพ่ือแก้ไข
ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนในดา้ นผลสัมฤทธ์ิ คุณลักษณะ พฤติกรรม และทักษะกระบวนการ มีการดำเนินการ
อย่างเป็นระบบต่อเนื่อง และเช่ือถือได้พร้อมทั้งมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลการวิจัยที่ได้อย่างสร้างสรรค์เพ่ือ
สร้างชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (Professional Learning Community) ครูท่ีทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการ
สอน จงึ อาจเรยี กได้ว่าเป็น “ครูนักวิจัย”การวิจัยช้ันเรยี นมีเป้าหมายสูงสุดทก่ี ารพัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี น และผล
พลอยไดค้ ือการพัฒนาตนเองของครผู สู้ อน สรปุ ความสำคัญของการวิจยั ได้ดังน้ี

1. ชว่ ยพฒั นาผเู้ รยี นด้านผลสัมฤทธิ์ ทกั ษะกระบวนการ และคุณลักษณะท่พี ึงประสงค์
2. ช่วยทำให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
(Continuous Quality Improvement)ทีเ่ ปน็ ประโยชนท์ ั้งตัวผเู้ รียนและผู้สอน โดยเกิดการเปลย่ี นแปลงผา่ น
กระบวนการวจิ ยั
3. ช่วยให้ครูมีวิถีชีวิตการทำงานอย่างเป็นระบบ เห็นภาพของงานตลอดแนว มีการตัดสินใจที่มี
คณุ ภาพ ชว่ ยพัฒนาไปส่คู วามเปน็ ครูมืออาชพี (Professional Teacher)
4. เป็นการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Professional LearningCommunity)ที่เกิดจากการ
แลกเปล่ียนเรียนรู้องคค์ วามร้ขู องการวิจยั
5. นำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพ (Quality Culture) ภายในองค์กรที่มีความรู้เป็นฐานของการ

5

พัฒนา (Knowledge-based development)

2.3 ความจำเป็นทคี่ รตู ้องทำวิจัย
เหตผุ ลเชงิ นโยบาย กฎหมาย และระเบยี บ ทคี่ รตู ้องทำวิจัย มีดงั นี้

1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553
กำหนดใหค้ รูตอ้ งทำวิจัยเพอ่ื พฒั นาการจดั การเรียนการสอน (มาตราท่ี 30) และใหค้ รใู ช้การวจิ ัยเปน็ กจิ กรรม
การเรียนร้ขู องนกั เรยี นและครู (มาตราที่ 24 (5))

2. มาตรฐานวิชาชีพครู คุรุสภากำหนดให้ผู้ท่ีจะปฏิบัติงานในวิชาชีพครูต้องมีมาตรฐานความรู้ด้าน
“การวิจยั ทางการศึกษา” เป็นหนึ่งในมาตรฐานความรู้ของครู (มาตรฐานวชิ าชีพทางการศึกษา) สาระความรู้

และในมาตรฐานความรู้ “การวิจัยทางการศึกษา” นี้ ครอบคลุม ”การวิจัยในช้ันเรียน”“การฝึกปฏิบัติการ
วิจัย” และ“การใช้กระบวนการวิจัยในการแก้ปัญหา” ด้วยและครูต้องมีสมรรถนะ “สามารถทำวิจัยเพ่ือ
พัฒนาการเรียนการสอนและพฒั นาผู้เรียน”

3. มาตรฐานของหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาว่าต้องให้บัณฑิตผ่านการปฏิบัติการสอนใน
สถานศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปี และผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ปฏิบัติการสอนดังคณะกรรมการคุรุสภากำหนดไว้ทั้ง

(1) การฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน และ (2) การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ ซึ่งการ
ปฏิบัติการสอนดังกล่าว กำหนดให้ต้องฝึกทักษะและมีสมรรถนะในด้าน “การทำวิจัยในโรงเรียนเพ่ือพัฒนา
ผเู้ รยี น”

4. มาตรฐานการประเมนิ คณุ ภาพภายนอก สำนกั งานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
(สมศ.) องค์การมหาชนกำหนดมาตรฐานคุณภาพครูในด้านการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

อยา่ งมปี ระสิทธิภาพไว้วา่ ในการปฏิบัตงิ านสอนนัน้ ครูจะตอ้ งทำกิจกรรม 7 กิจกรรม ดงั นี้
1) การวเิ คราะห์หลกั สูตร
2) การวิเคราะห์ผเู้ รียนเปน็ รายบุคคล

3) การจัดกิจกรรมการเรียนรูท้ ่ีหลากหลาย
4) การใช้เทคโนโลยเี ป็นแหล่งและส่ือการเรียนรขู้ องตนเองและนักเรียน

5) การวัดและประเมนิ ผลตามสภาพจริงอย่างรอบดา้ นเน้นองคร์ วมและเน้นพฒั นาการ
6) การใช้ผลการประเมนิ เพือ่ แกไ้ ข ปรบั ปรุงและพัฒนาการจดั การเรียนการสอนเพอื่ พัฒนา
ผ้เู รยี นให้เต็มศักยภาพ

7) การใช้การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในการพัฒนานวัตกรรมเพอื่ พัฒนาการเรยี นรู้ของนกั เรียนและ
การสอนของตนเอง

5. มาตรฐานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (สำนักทดสอบทางการศึกษา, 2559)
โดยเฉพาะมาตรฐานที่ 3 กระบวนการจดั การเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ที่มีจุดเนน้ หนึ่งที่ให้ผู้เรียน
ได้เรยี นรู้โดยใช้กระบวนการวจิ ัยอยา่ งเป็นรูปธรรมและตอ่ เน่อื ง รวมทง้ั การตรวจสอบและประเมนิ ความร้คู วาม

เขา้ ใจของผ้เู รยี นอย่างเป็นระบบ และมีประสทิ ธภิ าพ โดยประเมนิ ผเู้ รียนจากสภาพจรงิ มขี น้ั ตอนตรวจสอบและ
ประเมินอย่างเป็นระบบใช้เครื่องมือและวิธีการวัดและประเมินผลท่ีเหมาะสมกับเป้าหมาย และการจัดการ

เรียนการสอน นกั เรยี นและผมู้ สี ่วนเกย่ี วขอ้ งมสี ่วนร่วมในการวดั และประเมนิ ผล ตลอดจนใหข้ ้อมลู ย้อนกลบั แก่
ผู้เรียนและผู้เรยี นนำไปใชพ้ ัฒนาตนเอง

6

2.4 กระบวนการวจิ ยั
ครูนักวิจัยทุกคนควรทราบถึงกระบวนการวิจัย ซึ่งเป็นวิธีการสร้างความรู้ท่ีมีลักษณะสำคัญคือ ใช้

ระเบียบวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) ซึ่งมีขน้ั ตอนสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. กำหนดปัญหาวจิ ัยหรือหัวข้อวจิ ยั (a research topic)
2. กำหนดวตั ถุประสงค์ของการวิจัย (research purposes)
3. กำหนดขอบเขตการวจิ ัย และ/หรอื สมมติฐาน (research framework/research hypothesis)
4. ออกแบบการวจิ ัย (research design)
4.1 ออกแบบการไดม้ าซ่ึงกลุ่มตวั อย่าง/กลมุ่ เปา้ หมาย (sampling techniques)
4.2 ออกแบบเครอื่ งมือวิจัย (research tool)
4.3 ออกแบบการวิเคราะหข์ อ้ มูล (data analysis)
5. เก็บรวบรวมข้อมูล (data collection)
6. วเิ คราะหข์ ้อมลู และการแปลผล (data analysis and data interpretation)
7. เขียนรายงาน (reporting the findings)
8. ตีพิมพ์เผยแพร่ (publishing) ในการจัดการเรียนรู้ของครูสามารถใช้กระบวนการวิจัยร่วมได้

(Teaching as Researching) โดยมีเป้าหมายเพ่ือปรับปรุงพฒั นาท้ังต่อนักเรยี นและต่อตัวครูเอง ดังจะเห็นได้
จากตัวอยา่ งกระบวนการจัดการเรียนรู้ดังตอ่ ไปน้ี

กระบวนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ใช้กระบวนการวจิ ัยเป็นฐาน
เมือ่ พิจารณาในระบบการเรยี นการสอนที่เน้นกระบวนการ จะพบวา่ ครูผู้สอนสามารถดำเนินการวิจัย
รว่ มกนั กับข้นั ตอนการดำเนินการจัดการเรยี นการสอนในปกตไิ ด้ ดงั แผนภาพที่ 1

แผนภาพที่ 1 ระบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ กระบวนการร่วมกบั การทำวิจยั
(พมิ พพ์ นั ธ์ เดชะคปุ ต์ และพะเยาว์ ยินดสี ขุ , 2549)

กระบวนการจัดการเรยี นรู้ 5 ขั้นตอน (5 STEPs) (พิมพพ์ ันธ์ เดชะคปุ ต์,2558)
1. ระบุคำถาม

1.1 สงั เกตส่ิงเรา้ เพ่อื เกิดความสงสัย

1.2 ตงั้ คำถามสำคญั /คำถามหลัก 7
1.3 คาดคะเนคำตอบ/ตง้ั สมมติฐาน

2. แสวงหาสารสนเทศ
2.1 วางแผนเพ่อื รวบรวมขอ้ มูล

2.2 รวบรวมขอ้ มลู ท้ังหมดดว้ ยการทดลอง หรือวิธีเก็บขอ้ มูลต่างๆ
2.3 วเิ คราะหแ์ ละสื่อความหมายข้อมูล
3. สร้างความรู้

3.1 อภปิ รายเพ่ือสร้างคำอธบิ ายดว้ ยตัวนักเรยี นเอง
3.2 เชื่อมโยงความรูส้ คู่ ำอธิบายที่ถูกตอ้ งโดยครู

4. ส่ือสาร
4.1 เขียนเพอ่ื เสนอความร้ทู ่ีไดจ้ ากการสร้างด้วยตนเอง
4.2 นำเสนอด้วยวาจาหน้าชัน้ เรียนหรอื ในสถานที่ตา่ งๆ

5. ตอบแทนสังคม
5.1 นำความรูไ้ ปใช้หรือประยุกตค์ วามร้ไู ปใช้ในสถานการณ์ใหม่

5.2 สรา้ งผลงานหรือภาระงานเพอ่ื บริการสงั คม
กระบวนการเรียนรู้ 5 ข้ันตอนเปน็ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Method) รว่ มกบั ทกั ษะการ
ส่ือสาร และทักษะการประยุกตค์ วามรู้ ไดผ้ ลงานไปตอบแทนสังคมเป็นการสร้างคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์

ให้กับผูเ้ รียน

2.5 ข้ันตอนการดำเนนิ งานวิจยั ช้ันเรียน
การออกแบบการวจิ ัยชัน้ เรยี นสำหรบั ครูนกั วจิ ัยมีกิจกรรม 8 ขนั้ ตอนทค่ี วรใหค้ วามสำคัญ ดัง

แผนภาพท่ี 2

แผนภาพท่ี 2 ลำดับขน้ั ตอนการดำเนินงานวจิ ยั ชัน้ เรียน

ขนั้ ตอนที่ 1 การกำหนดปัญหาวิจยั
สภาพทีเ่ ปน็ ปญั หาการจัดการเรียนการสอนเกดิ ขึ้นมากมายและเกิดขึ้นตลอดเวลาในขณะสอน หาก

เราลองจำแนกแยกปัญหาออกมาแลว้ จะพบวา่ มลี ักษณะต่างๆกนั ดังน้ี
ลกั ษณะท่ี 1 ปญั หาเก่ยี วกับการเรียนรู้ของผู้เรียน ปญั หาลักษณะน้ีเกีย่ วขอ้ งกับผลสมั ฤทธท์ิ างการ

เรยี นของผู้เรยี น เช่น อ่านไมอ่ อก เขียนไมเ่ ป็นไมเ่ ขา้ ใจเนื้อหา เรยี นชา้ บวกเลขไม่ได้ เป็นต้น

ลกั ษณะท่ี 2 ปญั หาเกีย่ วกบั ทกั ษะการปฏบิ ัตงิ านของผู้เรยี น เช่นการใช้คอมพวิ เตอร์ การเล่นกฬี า
การเลน่ ดนตรี เป็นตน้ ปญั หาลักษณะนี้อาจสง่ ผลใหผ้ ูเ้ รยี นขาดทักษะท่จี ำเปน็ ได้

ลักษณะท่ี 3 ปัญหาเกี่ยวกับคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงคข์ องผู้เรียนหรืออาจเรยี กได้วา่ เป็นพฤติกรรมที่ไม่

8

พงึ ประสงค์ ผลกระทบของปัญหาลกั ษณะน้ีอาจส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนและคุณลักษณะของผู้เรียน
ในอนาคตได้

การเลือกปญั หามาทำวิจยั
ปัญหาเหลา่ น้ันจะต้องเป็นปัญหาท่ีอาจส่งผลกระทบต่อผเู้ รียนในด้านการเรยี นรู้ ทกั ษะการปฏิบัติและ
คณุ ลักษณะทพ่ี ึงประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งปัญหาเป็นชอ่ งวา่ งระหว่างการปฏิบัติจรงิ และจุดมุ่งหมายของการ
จัดการเรียนการสอนหรอื สภาวะท่ีไม่พึงประสงค์ที่คุณครูต้องการหาวธิ แี กไ้ ขและพฒั นา ปัญหาการวจิ ัยจะต้อง
มีความลกึ ซ้ึงและใช้กระบวนการที่เป็นระบบในการแก้ไขปัญหา ลกั ษณะของปัญหาในช้ันเรียนควรมีลกั ษณะ
ดังตอ่ ไปน้ี
1. ต้องเปน็ ปญั หาที่คุพบจริงๆ ในการจัดการเรยี นการสอน
2. ต้องมีความชัดเจนและแน่ใจว่าเป็นปัญหาท่ีแท้จริง อาจตรวจสอบด้วยวิธีการหลายๆอย่างเพ่ือ
ยืนยันสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นสอบถามจากนักเรียนโดยตรง เพื่อนนักเรียน เพื่อนครู ผู้ปกครอง หรือใช้
แบบสอบถาม เป็นต้น
3. ปัญหาต้องไม่เกิดจากการตัดสินตามความคิดของตัวผู้สอนเอง ควรระบุปัญหาที่เป็นพฤติกรรมท่ี
แสดงออกของนักเรียนแล้ววิจัยว่าเป็นเพราะเหตุใด ตัวอย่างเช่น นักเรียนไม่ส่งการบ้าน ปัญหาวิจัยท่ีคุณครู
ควรระบุคือ นักเรียนมีพฤตกิ รรมไมส่ ่งการบา้ น แล้วคุณครคู ่อยวเิ คราะห์ต่อไปวา่ เหตุใดนักเรยี นถึงมีพฤติกรรม
เชน่ นั้น
4. ต้องสอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และศักยภาพในการทำวิจัยของครู ศักยภาพในที่น้ี
หมายถึงความสามารถในการทำวิจัยหรือควบคุมงานวิจัยในชั้นเรียน ครูอาจจะแก้ไขปัญหาหรือไม่ได้เป็นผู้

แก้ไขปัญหาเด็กดว้ ยตนเอง แตส่ ามารถทาให้ผอู้ นื่ มาช่วยในการแกไ้ ขปัญหา ลกั ษณะเช่นนี้ถอื ว่าครูมีศกั ยภาพท่ี

จะควบคุมงานวิจัยเช่นกัน การวิจัยจึงต้องเป็นความร่วมมือ (Collaborative) ระหว่างผู้ท่ีเห็นความสาคัญใน

การพัฒนานักเรียนหรือผู้ท่ีมีส่วนได้ส่วนเสียกับนักเรียน เช่น ผู้บริหาร นักเรียน ผู้ปกครอง เพื่อนครูหรือ

นกั วชิ าการและผู้เชย่ี วชาญ เป็นต้น

5. ต้องมีความสัมพันธ์หรอื เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่นๆ ในการเลือกปัญหาวิจัยน้ัน ครูจะต้องมีข้อมูล

ของสภาพปัญหาท่ีเกดิ ขนึ้ และแน่นอนว่ามีหลายปัญหาดว้ ยกัน การเลือกปญั หาใดปัญหาหน่ึงนน้ั การพิจารณา

ความเชื่อมโยงและเป็นเหตุเป็นผลกับปัญหาอ่ืนจะช่วยให้ครูเลือกปัญหาท่ีมาแก้ไขได้อย่างถูกต้องและตรง

ประเด็น และต้องวิเคราะห์ว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาหรือไม่ และถ้ามีแล้วปัญหาสัมพันธ์กันอย่างไร

และปัญหาได้รับอิทธิพลจากปัญหาใด ส่งผลกระทบตอ่ ปัญหาอื่นอย่างไร เมื่อเราทราบความสัมพันธ์ที่เกิดข้ึน

ครูต้องเลือกปัญหาท่ีก่อให้เกิดปัญหาอ่ืนๆมาแก้ไข เพราะเมื่อแก้ไขสาเร็จแล้วนอกจากจะเป็นการขจัดปัญหา

น้ันแล้วผลท่ีตามมาคอื ปัญหาอื่นๆ ก็จะถูกตัดวงจรการเกิดด้วย เรยี กว่ายิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลย

ทีเดยี ว

การวเิ คราะหส์ ภาพปัญหาของผเู้ รยี น การวเิ คราะห์สภาพปญั หาของผู้เรยี น เป็นสง่ิ สาคัญและจาเป็น

สาหรับครูในการตัดสินใจวา่ จะเลือกปัญหาใดมาทาวิจัย เพ่ือให้เกิดความเข้าใจ เข้าถึงและสามารถแก้ปัญหาท่ี

เกิดขึ้นได้ตรงจุด การวเิ คราะห์สภาพปัญหาจึงเป็นการตวี งของปัญหาให้แคบและมีความชัดเจนข้ึน สวุ ิมล ว่อง

วาณิช (2547) ได้เสนอแนวทางในการวิเคราะห์สภาพของปัญหาผู้เรียนโดยต้ังคาถามให้คุณครูตอบเกี่ยวกับ

สภาพปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนดังน้ี

9

1. สภาพปญั หาหรือปรากฏการณ์ทเี่ กดิ ข้ึนคืออะไร

2. ปัญหาทีเ่ กดิ ขน้ึ เปน็ ของใคร

3. ปญั หานส้ี ่งผลกระทบตอ่ ใครบา้ ง

4. เม่อื เปรยี บเทยี บกบั ปัญหาอืน่ ท่ีเกิดพรอ้ มกนั ปัญหาใดสาคัญกวา่

5. ปัญหาท่เี กิดขนึ้ อยา่ งหลากหลายนนั้ เชอ่ื มโยงกันอยา่ งไร

6. ใครคอื ผทู้ ี่มีสว่ นรบั ผิดชอบต่อปญั หานั้น

เมอ่ื คณุ ครสู ามารถตอบคาถามได้ทั้ง 6 ข้อแล้วอาจเขียนบนั ทึกไว้คาตอบท่ีได้นา่ จะเป็นแนวทางหนึ่งที่

ช่วยให้เข้าใจสภาพปัญหาได้ดียิ่งข้ึนและสามารถเลือกปัญหามาทาวิจัยได้ คุณครูต้องฝึกปฏิบัติเป็นประจา

ชว่ งแรกอาจเกิดความลาบากในการวิเคราะหบ์ ้าง คุณครูอาจขอคาปรึกษาจากเพื่อนครูหรือผู้เช่ยี วชาญได้ เมื่อ

ฝึกฝนวิเคราะห์สภาพปัญหาบ่อยคร้ังแล้วความชานาญก็จะเกิดข้ึน เมื่อเจอปัญหาครั้งต่อไปจะเกิดความ

เช่ือมโยงโดยอตั โนมัตแิ ละทาใหเ้ ข้าใจสภาพปัญหาได้งา่ ยย่งิ ข้นึ

การตงั้ คำถามการวิจัย
เม่ือคุณครูได้ปัญหามาทำวิจัยแล้ว ส่ิงท่ีต้องคิดต่อไปก็คือการตั้งคำถามการวิจัย คำถามการวิจัยเป็น
ประโยคหรือขอ้ ความทเี่ ขยี นขนึ้ มาเพ่อื คน้ หาคำตอบในปรากฏการณข์ องปญั หาท่เี กดิ ข้ึนนนั่ เอง คำถามการวจิ ัย
สามารถชี้ทิศทางหรือแนวทางในการวิจัยได้ กล่าวคือคำถามการวิจัยมีความสำคัญในเชิงหลักการกำหนด
กระบวนการและระเบียบวิธีวิจยั ในการทำวิจัยทา้ ยสดุ แล้วผูว้ ิจัยจะต้องตอบคำถามการวิจัยให้ครบงานวิจัยจึง
จะถือว่าประสบผลสำเร็จ การตั้งคำถามการวิจัยในช้ันเรียนจะต้องมีความจำเพาะเจาะจงสังเกตได้ สามารถ
สำรวจและกระทำการวิจยั ได้ คำถามท่ีใช้ในการวจิ ัยในชั้นเรียนอาจแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ตามแนวคดิ ของ สวุ ิมล
ว่องวาณิช (2547) ดังนี้
คำถามระดับท่ี 1 เป็นคำถามระดับพื้นฐาน เป็นคำถามที่มีความมุ่งหมายตอบว่า ใคร ทำอะไร และ
ได้ผลย่างไร และเมื่อพิจารณาคำถามการวิจัยประเภทน้ี เป็นคำถามท่ีสังเกตผลจากกระบวนการวิจัยที่ไม่มี
ความซับซ้อนอะไรตัวอยา่ งคำถามวิจยั เช่น “ใครเป็นผู้ทไี่ ดร้ ับการยอมรับในชั้นเรยี นมากที่สุด” “เด็กชายแดง
มพี ฤติกรรมก้าวร้าวอย่างไรบ้าง”
คำถามระดับท่ี 2 เป็นคำถามที่มีความลึกซึ้งและซับซอ้ นกว่าคำถามเบอ้ื งต้น เป็นการศกึ ษาความรู้สึก
ของผ้รู ่วมวจิ ยั ในชนั้ เรียนตอ่ ปรากฏการณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ เชน่ “นกั เรียนมีความรู้สกึ อย่างไรต่อการประเมนิ ตนเอง”
การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา

วิธกี ารแก้ไขปญั หาในชนั้ เรยี นทพี่ บบอ่ ย คือ การสร้างนวตั กรรมท้ังท่ีเปน็ วสั ดุ อปุ กรณ์ ชุดฝึก วิธกี าร

สอน และวิธีการปรับพฤติกรรมวธิ ีการแก้ไขปัญหาทน่ี ามาใชจ้ ะต้องมีความเหมาะสมสามารถแกไ้ ขปญั หาได้

อย่างแท้จรงิ

ขั้นตอนท่ี 2 การต้ังวัตถปุ ระสงค์และชื่อเร่อื งวิจัย

วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ก า ร วิ จั ย เป็ น ข้ อ ค ว าม ที่ แ ส ด ง ว่ าเร าต้ อ ง ก าร จ ะ ท ำ อ ะ ไร เพื่ อ ต อ บ ค ำ ถ าม ก า ร วิ จั ย
วตั ถุประสงค์การวิจยั จงึ ตอ้ งเขียนตามลำดบั และเปน็ ขน้ั ตอน

การเขยี นวตั ถุประสงคต์ อ้ งสอดคล้องกบั คาถามการวิจัยวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย ครอบคลุมตัวแปรและ

ประเด็นทตี่ อ้ งการศึกษาไม่ควรแยกย่อยจนเกินไปมคี วามชดั เจนและช้ใี ห้เหน็ ความสมั พันธข์ องตัวแปรการเขียน

วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั ที่ดีจะต้อง SMART ไดแ้ ก่ มีความเฉพาะเจาะจง (Specific) สามารถวดั ได้ Measurable)

10

ดาเนินการให้สาเร็จได้(Attainable) ตรงกับสภาพความเปน็ จรงิ (Realistic) และแสดงถงึ ชว่ งเวลา (Time -
Bound)

การต้ังชอ่ื เร่ืองวิจยั
ชื่อเรื่องวิจัยเปรียบเสมือนหน้าตาหรือรูปร่างภายนอกที่คนจะเห็นจากงานวิจัยของครูเป็นลาดับแรก

การเขียนช่อื เรื่องการวิจัยในช้ันเรียนจะต้องอิงวตั ถุประสงค์และเน้ือหาท่ีทา มีลักษณะเขียนเป็นประโยคบอก
เลา่ และแสดงใหเ้ ห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร ใช้ภาษาท่ีชัดเจน ไม่ฟุ่มเฟือยไม่ซ้าซ้อนกัน ไม่กว้างหรือแคบ

เกินไปจนไม่ได้สาระ การตั้งชื่อเร่ืองวิจัยจะต้องประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ จุดมุ่งหมาย ตัวแปร
กลมุ่ เป้าหมายและวิธีการ/นวัตกรรมที่นามาศึกษาหรือแก้ไขปัญหาโดยมีรายละเอียดของแต่ละองค์ประกอบ

ดังนี้
1. จุดมุ่งหมายการวิจยั

การกาหนดจดุ มงุ่ หมายการวิจัยควรระบุวา่ ต้องการจะทาอะไรโดยอาจจะอิงจากวตั ถุประสงค์ของการ
วจิ ัยก็ได้ จุดมุ่งหมายในการวิจัยท่ีพบบ่อยในงานวจิ ัยในช้ันเรียนประกอบด้วยคาหลักต่อไปน้ีคือ การแกไ้ ขการ

พัฒนาการแก้ปัญหา การศกึ ษา การเปรียบเทียบ เป็นตน้
2. ตวั แปร
ในการวจิ ยั มกั จะมกี ารกลา่ วถึง“ตวั แปร” อยเู่ สมอ ซ่งึ ความหมายของตัวแปรคอื คณุ ลกั ษณะท่ี

สามารถแปรค่าไดห้ ลายคา่ คุณลกั ษณะนั้นอาจจะเปน็ วตั ถุ ส่ิงของ เหตุการณ์ หรอื สถานท่ี เปน็ ตน้ หรอื อาจจะ
กล่าวได้วา่ เปน็ ส่ิงที่เรามุง่ สนใจศกึ ษาอยนู่ ่ันเอง เช่นผลสัมฤทธิท์ างการเรียนความสามารถในการอ่านออกเสยี ง
ของนักเรยี น โดยคุณครอู าจจะสนใจศกึ ษาตัวแปรเพียงตัวเดียวหรอื มากกว่า 1 ตัวแปรก็ได้ ขนึ้ อยกู่ บั ปัญหา
การวิจยั ดงั นั้นจึงอาจกลา่ วได้ว่าการวิจัยในชนั้ เรียนเปน็ กระบวนการศึกษาตวั แปรนั่นเอง ตวั แปรมีการจัดแบง่
ไว้หลายประเภท ในทีน่ ี้จะแบ่งประเภทตามความสัมพันธข์ องตัวแปร ซง่ึ เป็นแบบทรี่ จู้ กั กนั โดยท่ัวไปในการวจิ ยั
ชนั้ เรยี นดังน้ี

1) ตัวแปรตน้ หรอื ตวั แปรอิสระ (Independent Variable) เปน็ ตัวแปรทีม่ ีอทิ ธพิ ลหรือ
ส่งผลตอ่ ตัวแปรอ่นื
2) ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรผลท่ีเกิดข้ึนจากการส่งผลของตัว

แปรอิสระ
3) ตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous Variable) เป็นตัวแปรอิสระท่ไี ม่ต้องการศึกษาหรือ

ไม่ได้เลือกมาศึกษาผล ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผลการวิจัยหากคุณครูไม่ได้ควบคุมหรือกาจัด
ออกไป

4) ตัวแปรแทรกสอด (Intervening Variable) เป็นตัวแปรท่ีสอดเข้ามาคั่นกลางระหว่าง
ตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม โดยทอี่ าจจะได้รบั อทิ ธพิ ลจากตัวแปรอิสระก่อนแล้วจึงส่งผลต่อ

ตัวแปรตาม ตวั แปรแทรกสอดผู้วิจัยมิได้คานึงถึงไว้ล่วงหน้า แตถ่ ้าควบคุมหรือออกแบบการ
วิจยั ใหด้ ีผู้วจิ ัยอาจนาตวั แปรแทรกสอดมาอธบิ ายได้

11

3. กล่มุ เปา้ หมาย
กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มนกั เรยี นทค่ี รูทาวิจัยเพ่ือพฒั นา ส่งเสริมและแกป้ ัญหา การวจิ ัยเชิงวิชาการอาจ
เรียกว่า กลุ่มตัวอย่าง การใช้คาว่ากลุ่มเป้าหมายเน่ืองจากลักษณะของการวิจัยในช้ันเรียนเป็นการส่งเสริม
พัฒนาและแก้ไขสภาพปัญหาท่ีเกิดขึ้นกับผู้เรียนของครูผู้สอนภายในห้องเรียนของตนไม่ต้องอาศัยการอ้างอิง
จากกลุ่มตัวอยา่ งไปสู่ประชากร นอกจากนกี้ ารทาวิจยั ในชั้นเรยี นยงั เปน็ การทาวิจยั แบบรว่ มมอื ทคี่ รผู วู้ ิจยั ถือว่า
ผเู้ รียนเปน็ ผ้รู ่วมวิจัยมิใช่กล่มุ ตัวอยา่ ง
4. วิธีการหรือนวตั กรรมท่นี ามาศึกษาหรอื แกไ้ ขปญั หา
เป็นการระบุว่าเราจะใช้วิธีการใด หรือนวัตกรรมอะไรมาส่งเสรมิ พัฒนา หรือแก้ไขปัญหา ในงานวิจัย
ในชั้นเรียนท่ีพบบอ่ ยคือสอ่ื การสอน วิธีการจัดการเรียนรู้ และวิธีการปรับพฤตกิ รรมกล่าวโดยสรปุ หลักการต้ัง
ช่ือเร่ืองวิจัยจะต้องประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ จุดมุ่งหมาย ตัวแปร กลุ่มเป้าหมาย และวิธีการ/
นวัตกรรมท่ีนามาใช้
ข้ันตอนที่ 3 การพัฒนานวัตกรรม
สาหรับช้ันเรียนของครนู ักวิจัยทตี่ ้องใชห้ รือพฒั นานวตั กรรมขึ้นมาใชใ้ นการแก้ไขปัญหาผูเ้ รยี นหรือการ
พัฒนาการเรียนการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนวัตกรรมการเรียนรู้ท่ีเป็นการปรับเปล่ียนหรือพัฒนาตวั กระตุ้น
หรือส่อื การเรยี นรู้ และ/หรอื การปรับเปลี่ยนหรือพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนทสี่ ร้างสรรค์ขน้ึ ใหม่ ไม่มี
ใครเคยทามาก่อน เพ่ือทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัส ระบบประสาทมอเตอร์ ระบบ
สมองเกีย่ วกบั ความจา ความรู้สกึ และอารมณ์ ยงั ผลให้เกิดปัญญาและจิตปัญญาซึง่ สามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ใน
ชีวติ ประจาวนั และการทางานตา่ งๆ ให้สาเร็จลุล่วงไปได้
ประเภทของการใช้นวัตกรรมการศกึ ษา
พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มบี ทบัญญัติท่เี กยี่ วข้องกบั เทคโนโลยีการศึกษาและ
นวัตกรรมการศกึ ษาไว้หลายมาตรา มาตราทสี่ าคัญ คือ มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมใหม้ ีการวิจัยและพัฒนาการ
ผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา รวมท้ังการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยี
เพื่อการศึกษา เพ่ือให้เกิดการใช้ท่ีคุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทยและในมาตรา 22
“การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมี
ความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการ
ศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ” การดาเนินการปฏิรูป
การศึกษาให้สาเร็จได้ตามท่ีระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังกล่าว จาเป็นต้อง
ทาการศกึ ษาวิจยั และพฒั นานวัตกรรมการศกึ ษาใหม่ๆ ทจี่ ะเข้ามาช่วยแก้ไขปญั หาทางการศกึ ษาท้ังในรูปแบบ
ของการศึกษาวิจยั การทดลองและการประเมนิ ผลนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีท่ีนามาใช้ว่ามคี วามเหมาะสมมาก
น้อยเพยี งใด นวตั กรรมท่ีนามาใชท้ งั้ ท่ีผา่ นมาแลว้ และทจี่ ะมีในอนาคตมหี ลายประเภทขน้ึ อยูก่ บั การประยกุ ตใ์ ช้
นวัตกรรมในด้านต่างๆ ในท่ีน้ีจะขอกล่าวคือ นวัตกรรม 5 ประเภท คือ (1) นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร (2)
นวัตกรรมการเรียนการสอน (3) นวัตกรรมสอ่ื การสอน (4) นวัตกรรมการประเมินผล และ (5) นวตั กรรม

การบรหิ ารจัดการ ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้ 12

1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร

นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการ พัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ

สภาพแวดล้อมในท้องถ่ินและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากข้ึน เน่ืองจากหลักสูตรจะต้องมีการ

เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

และของโลก นอกจากน้ีการพัฒนาหลกั สตู รยงั มีความจาเป็นทีจ่ ะต้องอย่บู นฐานของแนวคดิ ทฤษฎีและปรชั ญา

ทางการจัดการสัมมนาอีกด้วย การพัฒนาหลักสูตรตามหลักการและวิธีการดังกล่าวต้องอาศัยแนวคิดและ

วิธีการใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นวัตกรรม

ทางด้านหลักสูตรในประเทศไทย ไดแ้ ก่ การพัฒนาหลกั สูตรดังต่อไปน้ี

1) หลักสตู รบูรณาการ เป็นการบรู ณาการส่วนประกอบของหลักสูตรเข้าด้วยกันทางด้านวิทยาการใน

สาขาต่างๆ การศึกษาทางด้านจริยธรรมและสังคม โดยมุ่งให้ผู้เรียนเป็นคนดี สามารถใช้ประโยชน์จากองค์

ความรใู้ นสาขาตา่ งๆ ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมอย่างมจี รยิ ธรรม

2) หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพ่ือการศึกษาตามอัตภาพ เพ่ือตอบสนอง

แนวความคิดในการจดั การศกึ ษารายบคุ คล ซ่ึงจะต้องออกแบบระบบเพอื่ รองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

ดา้ นตา่ งๆ

3) หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้น กระบวนการในการจัดกิจกรรมและ

ประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพ่ือนาไปสู่ความสาเร็จ เช่น กิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในบทเรียน

ประสบการณ์การเรยี นร้จู ากการสบื คน้ ดว้ ยตนเอง เปน็ ตน้

4) หลักสตู รทอ้ งถ่นิ เป็นการพัฒนาหลักสูตรท่ีตอ้ งการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ท้องถน่ิ เพ่ือให้

สอดคล้องกบั ศิลปวฒั นธรรมสงิ่ แวดล้อมและความเปน็ อยขู่ องประชาชนท่มี อี ยู่ในแตล่ ะทอ้ งถิ่น แทนท่ีหลกั สูตร

ในแบบเดิมทีใ่ ช้วธิ ีการรวมศนู ย์การพัฒนาอยู่ในส่วนกลาง

2. นวัตกรรมการเรียนการสอน

เปน็ การใชว้ ธิ ีระบบในการปรับปรุงและคดิ คน้ พฒั นาวิธีสอนแบบใหมๆ่ ท่ีสามารถตอบสนองการเรียน

รายบคุ คล การจัดการเรียนรู้แบบเน้นผ้เู รยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง การเรยี นรู้แบบมีสว่ นร่วม การเรียนรู้แบบแกป้ ัญหา

การเรยี นรู้เชิงรุก (Active learning) การพัฒนาวิธีจัดการเรียนรจู้ าเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ

เข้ามาจัดการและสนบั สนนุ การเรยี นการสอน ตวั อยา่ งนวตั กรรมที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ การสอนแบบ

โมดูล (Module Teaching) การสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Group Process Teaching) การสอนซ่อมเสริม

(Remedial Teaching) การสอนโดยเพ่ือนสอนเพื่อน (Peers Teaching)การเรียนแบบศูนย์การเรียน

(Learning Center) การสอนแบบบูรณาการ (Integrative Techniques)การสอนแบบสืบสวนสอบสวน

(Inquiry Method) การสอนโดยใช้ชุดการเรียนการสอน (Instructional Package) การสอนโดยให้ทางบ้าน

ดแู ลการฝกึ ปฏิบัติ (Home Training) การจัดการเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning)

การเรยี นผา่ นเครอื ข่ายคอมพิวเตอรแ์ ละอินเทอร์เนต็ เปน็ ต้น

3. นวตั กรรมสือ่ การสอน 13

เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี

โทรคมนาคม ทาให้นักการศึกษาพยายามนาศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตส่ือการเรียนการ

สอนใหม่ๆ จานวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเองการเรียนเปน็ กลมุ่ และการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนส่ือท่ี

ใชเ้ พื่อสนับสนุนการฝกึ อบรม ผา่ นเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ตัวอยา่ งนวตั กรรมสอ่ื การสอน ได้แก่

- คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)

- มลั ตมิ ีเดยี (Multimedia)

- การประชุมทางไกล (Teleconference)

- ชดุ การสอน (Instructional Module)

- วีดีทศั นแ์ บบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Video)

- การออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรโู้ ดยใชเ้ ทคโนโลยี (Learning Environment Design)

4. นวตั กรรมทางดา้ นการประเมนิ ผล

เป็นนวัตกรรมท่ใี ช้เป็นเครือ่ งมือเพ่ือการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทาไดอ้ ย่าง

รวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มา

สนับสนุนการวดั ผล ประเมนิ ผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ ตัวอยา่ ง นวตั กรรมทางด้านการประเมินผล ได้แก่

- การพฒั นาคลังข้อสอบ (items bank)

- การสร้างแบบสอบวินิจฉยั ทางปัญญา (Cognitive diagnostic test)

- การทดสอบทางคอมพวิ เตอรแ์ บบปรับเหมาะ (Computerized Adaptive Testing)

- การใช้คอมพิวเตอร์ในการตัดเกรด

- ฯลฯ

5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ

เปน็ การใช้นวัตกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการใชส้ ารสนเทศมาชว่ ยในการบริหารจดั การ เพื่อการ

ตัดสินใจของผู้บรหิ ารการศึกษาให้มีความรวดเรว็ ทนั เหตุการณ์ ทนั ตอ่ การเปล่ยี นแปลงของโลกนวัตกรรม

การศึกษาที่นามาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา

เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบุคลากร ในสถานศึกษา ด้านการเงิน บัญชี

พัสดุ และครุภัณฑ์ ฐานขอ้ มูลเหล่าน้ีตอ้ งการออกระบบทีส่ มบรู ณ์มีความปลอดภัยของข้อมูลสูง นอกจากนี้ยังมี

ความเกยี่ วข้องกบั สารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏบิ ัติ กฎหมาย พระราชบัญญัติ ทเ่ี ก่ียวกับการ

จัดการศึกษา ซึ่งจะต้องมีการอบรม เก็บรักษาและออกแบบระบบการสืบค้นที่ดีพอซ่ึงผู้บริหารสามารถสืบค้น

ขอ้ มูลมาใช้งานได้ทันทีตลอดเวลา การใช้นวัตกรรมแตล่ ะด้านอาจมกี ารผสมผสานท่ีซอ้ นทับกันในบางเรอื่ ง ซ่ึง

จาเป็นต้องมีการพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กันหลายด้าน การพัฒนาฐานข้อมูลอาจต้องทาเป็นกลุ่มเพื่อให้

สามารถนามาใช้ร่วมกันไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ

ขัน้ ตอนในการหาประสทิ ธภิ าพของนวัตกรรมการเรยี นการสอน

14

นวัตกรรมทีค่ รูนักวิจัยสรา้ งข้ึน มีขนั้ ตอนในการหาประสทิ ธภิ าพอย่างงา่ ยๆ ดังน้ี
1. การหาประสทิ ธิภาพของนวตั กรรมเบ้อื งตน้ ควรให้ผู้เชีย่ วชาญดา้ นการเรยี นการสอนใน

วิชานั้นๆ ตรวจสอบความถูกต้องของเน้ือหาและการส่ือความหมาย โดยนานวัตกรรมท่ีสร้างขึ้น พร้อมแบบ
ประเมินทมี่ ีแนวทางหรือประเด็นในการพิจารณาคุณภาพให้ผเู้ ชี่ยวชาญประเมนิ คณุ ภาพ

2. นาข้อมูลท่ีได้จากข้อ 1 ซ่ึงเป็นข้อแนะนาจากผู้เช่ียวชาญมาพิจารณาปรับปรุง แก้ไขหลัง
จาก นั้นจึงนานวัตกรรมท่ีสร้างข้ึนไปทดลองกับผู้เรียนกลุ่มเล็กๆ อาจเป็น 1 คน 3 คน 5 คน หรือ 10 คน
แล้วแต่ความเหมาะสม โดยให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมหรือฝึกปฏิบัติตามข้ันตอนที่ระบุไว้แล้วมีการเก็บคะแนน
ระหวา่ งปฏิบัติและคะแนนหลงั การทดลองใช้นวัตกรรม เพอ่ื หาประสิทธิภาพของนวัตกรรมตามหลกั การ

3. นาผลการทดลองใช้นวัตกรรมจากผ้เู รียนกลุ่มเลก็ ตามข้อ 2 มาปรบั ปรงุ ข้อบกพร่องอีกคร้ัง
หนึง่ กอ่ นนาไปใชจ้ ริงกับกลมุ่ นักเรยี นท่ีสอน

การพิสูจนป์ ระสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนการสอน
การหาประสิทธิภาพนวัตกรรมโดยท่ัวไปจะใช้ทดลองกับผู้เรียนกลุ่มหนึ่งตามความเหมาะสม

ซ่งึ สามารถใช้วิธีการหาประสิทธภิ าพไดด้ งั ต่อไปนี้
1. วิธีบรรยายเปรียบเทียบสภาพก่อนและหลังการใช้นวัตกรรมจากการทดลองใช้กับกลุ่ม

เล็กๆ โดยมีการบันทึกหรือเก็บข้อมูลท่ีได้จากการวัดผลผู้เรียนด้วยเครื่องมือต่างๆ ท้ังก่อนและหลังการใช้
นวัตกรรมแล้วจงึ นาขอ้ มูลเหลา่ นน้ั มาประกอบการบรรยายเชิงคณุ ภาพเพื่อแสดงใหเ้ ห็นว่าหลังการใชน้ วตั กรรม
แลว้ ผเู้ รียนมกี ารพัฒนาเพม่ิ ขึ้นเปน็ ที่น่าพอใจมากนอ้ ยเพียงใด

2. วิธีนิยามตัวบ่งชี้ท่ีแสดงผลลัพธ์ที่ต้องการ แล้วเปรียบเทียบข้อมูลก่อนใช้กับหลังใช้
นวัตกรรม เช่น กาหนดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ (ว 306) เร่ือง พลังงานไฟฟ้า ไว้เป็นร้อยละ
60 แสดงว่าหลังจากใช้นวัตกรรมแล้วนักเรียนทุกคนที่เป็นกลุ่มทดลองจะต้องผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้คือรอ้ ยละ
60 จงึ จะถือว่านวตั กรรมนนั้ มีประสิทธิภาพ

3. วิธีคานวณหาอัตราส่วนระหว่างร้อยละของจานวนนักเรียนท่ีสอบแบบทดสอบอิงเกณฑ์
ผ่านเกณฑท์ ก่ี าหนดไว้ (P1) ต่อ รอ้ ยละของคะแนนเต็มท่กี าหนดเกณฑก์ ารผา่ นไว้ (P2) เชน่ P1 : P2 = 80 : 60
หมายความว่ากาหนดเกณฑ์การผ่านไว้แล้ว ต้องมีจานวนผู้เรียน 80% ของจานวนผู้เรียนท้ังหมดผ่านเกณฑ์
(P1) และต้องผ่าน 60% ของจานวนคะแนนเต็ม (P2) จงึ จะมปี ระสิทธภิ าพ

4.วิธีหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมโดยใช้สูตร E1 / E2 การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม
โดยวิธีน้ี ผู้สร้างนวัตกรรมจะต้องกำหนด E1 และ E2 ไว้ล่วงหน้าก่อนทดลองนวัตกรรม เช่น 80/80 หรือ
90/90 โดยทั่วไปนิยมกำหนดเกณฑอ์ ยูใ่ นชว่ ง 70% - 90% ทง้ั น้ีแลว้ แต่ความเหมาะสมของนวตั กรรมและการ
วัดความสามารถของผู้เรียนโดยที่ E1 คือ ค่าเฉล่ียร้อยละของคะแนนเต็มระหว่างการปฏิบัติจากการใช้
นวัตกรรม (Process) E2 คอื ค่าเฉล่ียร้อยละของคะแนนเต็มหลงั การใชน้ วัตกรรม (Outcome)

ขน้ั ตอนท่ี 4 การเลอื กประเภทของการวิจยั
ในช้นั เรียนครสู ามารถนำประเภทของการวิจัย (Research Type) มาใช้ในช้นั เรียนไดห้ ลากหลายแบบ

ตามเปา้ หมายของการค้นหาคำตอบเกี่ยวกบั ตวั แปรต่างๆ ของผเู้ รียนเพื่อนำมาใช้บรรยาย อธบิ าย ทำนาย และ

15

ควบคมุ ซ่งึ แต่ละประเภทมีลกั ษณะสำคัญรว่ มกันคือ มีระเบียบวิธกี ารทเี่ ป็นข้ันตอน กระบวนการท่ที ำ
อย่างเป็นระบบ ทำอย่างต่อเน่ือง ตรวจสอบยืนยันผลได้ มีความน่าเชื่อถือ หรือท่ีเรียกว่าใช้ “วิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ (Scientific Method)”
ข้ันตอนท่ี 5 การกำหนดตัวอยา่ ง (Sampling Design)

ประเภทของการสุม่ (ใช้ความนา่ จะเป็น/มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือนำผลการวจิ ัยไปอนมุ านถึงประชากร)
1. การสุ่มอยา่ งงา่ ย (Simple Random Sampling) เป็นวิธีท่ีประชากรแต่ละหน่วยมีโอกาสถูกสุ่มมา
เปน็ กลุ่มตวั อย่างเท่าๆ กนั ประชากรจะต้องกำหนดเฉพาะลงไปวา่ เป็นกลมุ่ ใด การสมุ่ แบบน้ีจะต้องกำหนดเลข
ลำดบั ใหก้ ับประชากรแต่ละหนว่ ย
2. การสุ่มอย่างเป็นระบบ (Systematic Random Sampling) วิธีนี้เป็นการสุ่มตัวอย่างโดยการอ่าน
ข้ามทีละ n คน โดยจะต้องสุ่มเลขเริม่ ต้นใหไ้ ดเ้ สียก่อน ซึ่งวธิ นี ี้จะคล้ายกับการสุม่ อยา่ งง่าย
3. การสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เป็นวิธีท่ีผู้วิจัยสามารถแบ่งประชากร
ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้แน่นอน มีประโยชน์ช่วยให้ผวู้ ิจัยมีความมั่นใจวา่ คุณลกั ษณะหรือตัวแปรท่ีสนใจศึกษาที่
อย่ใู นประชากรนนั้ กม็ อี ยใู่ นกลุ่มตวั อยา่ งในสัดส่วนที่เทา่ กนั
4. การสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster (Area) Random Sampling) เป็นวิธีท่ีผู้วิจัยใช้ในการแบ่ง
ประชากรออกเป็นกลุ่มตามเขตพื้นที่ (area) ซึ่งในแต่ละเขตพื้นท่ีจะมีประชากรที่มีคุณลักษณะท่ีต้องการ
กระจายกนั อยู่อย่างเท่าเทียมกัน แล้วสุ่มกลุ่มมาจำนวนหนึง่ ด้วยวิธีการสมุ่ ทเ่ี หมาะสม
5. การสุ่มแบบหลายขัน้ ตอน (Multi - Stage Sampling) มวี ิธีการสมุ่ 4 แบบท่ีอธิบายไว้แล้ว คือ การ
สุ่มอย่างงา่ ย การสุ่มอยา่ งมรี ะบบ การสมุ่ แบบแบง่ ชัน้ และการสุ่มแบบแบ่งกลมุ่ ในการทำวิจัยจรงิ ๆ เราอาจจะ
ใช้วิธีการสุม่ ที่ซบั ซ้อนมากกว่าน้ี โดยหลักแลว้ จะต้องพิจารณาวิธีการสุม่ ทงั้ 4 แบบน้ีมาใช้ให้ไดป้ ระโยชนส์ ูงสุด
เพ่อื ใหไ้ ด้กล่มุ ตวั อยา่ งท่ผี ู้วิจยั ต้องการอย่างแท้จริง
ประเภทของการเลือก (ไม่ใช้ความน่าจะเป็น/ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพ่ือนำผลการวิจัยไปอนุมานถึง
ประชากร ผลการวิจยั ข้ึนอยกู่ ับบรบิ ทท่ศี กึ ษาเทา่ นั้น มักใชใ้ นการวิจัยเชิงคุณภาพ)
1. การเลือกตัวอย่างแบบสะดวกสบาย (Convenience หรือAccidental Sampling) เป็นการเลือก
แบบไม่มีกฎเกณฑ์ อาศัยความสะดวกของผู้วิจัยเป็นหลัก กลุ่มตัวอย่างจะเป็นใครก็ได้ท่ีให้ความร่วมมือกับ
ผู้วิจยั ในการให้ขอ้ มลู บางอยา่ ง
2. การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive หรือ Judgmental Sampling) เป็นการเลือกกลุ่ม
ตัวอย่างท่ีจะเป็นใครก็ได้ท่ีมีลักษณะตามความต้องการของผู้วิจัย โดยอาจจะกำหนดเป็นคุณลักษณะ
เฉพาะเจาะจงลงไป
3. การเลือกตัวอย่างแบบโควตา (Quota Sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างโดยกำหนดคุณลักษณะ
และสดั สว่ นที่ตอ้ งการไวล้ ่วงหน้า
4. การเลือกตัวอย่างแบบลูกโซ่ (Snowball Sampling) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยอาศัยการ
แนะนำของหนว่ ยตวั อย่างท่ไี ด้เก็บข้อมลู ไปแลว้
สาหรบั งานวจิ ยั ช้นั เรยี น ไม่นิยมศกึ ษากบั กล่มุ ตวั อยา่ งท่ไี ดจ้ ากการสุ่มเนื่องจากเป็นงานวจิ ัยท่ีเน้น

การพฒั นาผู้เรียนขณะท่ีทาวิจัย ดังนนั้ นกั เรียนทีน่ ามาใช้ในการวจิ ัยคือ นักเรยี นทเ่ี ปน็ “กลุ่มเป้าหมาย” ของ

การพัฒนา

ขนั้ ตอนที่ 6 การออกแบบเครื่องมอื วิจัย

16

สาหรับการวิจัยเพอ่ื พัฒนาการเรยี นการสอน เคร่ืองมือวิจัยท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจะสอดคล้อง

กับลักษณะการประเมินตามสภาพจริงใช้เครื่องมือที่หลากหลาย ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกตพฤติกรรม

แบบสมั ภาษณ์ แบบประเมินคุณภาพการปฏิบัตงิ าน ผลงานนกั เรยี น ฯลฯ

การสร้างเครอ่ื งมอื และตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมอื วิจัย
หลกั เกณฑ์การพจิ ารณาการเลือกเครอื่ งมือ/วธิ กี ารเกบ็ ข้อมูล (สุวมิ ล ว่องวาณชิ , 2545) มดี งั น้ี
1. กลุ่มผ้ทู ่ถี ูกวัด/ทดสอบ/ประเมิน
2. พฤติกรรมหรอื ลักษณะท่มี ุง่ วัด
3. จำนวนผใู้ หข้ อ้ มูล
4. ลกั ษณะข้อมูลทีต่ อ้ งการใชใ้ นการวจิ ยั
5. ชว่ งเวลาในการทำวจิ ยั
6. ประเดน็ วิจยั
สงิ่ สำคัญท่เี กยี่ วข้องกับการสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือวจิ ยั
1. การนิยามตัวแปรที่ต้องการวัด อาจเป็นการนิยามตามทฤษฎีหรือการนิยามเชิงปฏิบัติการามเชิง
ปฏบิ ัติการท่เี ฉพาะนำมาใช้ในการวิจัยคร้ังน้ันๆ
2. การเขยี นช่ือเครื่องมือวิจัย ใหส้ อดคลอ้ งกับลกั ษณะของข้อมลู ที่ต้องการ
3. ขั้นตอนการสร้างและพัฒนาเครื่องมือวิจัย อาจแสดงเป็นลำดับข้อ หรือแผนภาพ (Flow Chart)
แสดงแตล่ ะขั้นที่เกย่ี วโยงกนั
4. การตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมอื วิจยั คุณลักษณะสำคญั ของเคร่อื งมอื คอื ตอ้ งเช่ือถือได้และให้
ข้อมูลทถ่ี กู ตอ้ ง แบ่งเปน็ 2 ระยะ ดงั น้ี
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือก่อนนำไปใช้ เป็นการตรวจสอบความตรง (Validity) ท่ีนิยมใช้ดัชนี
IOC (index of item-objective congruence) เป็นความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) พิจารณาเป็น
รายข้อโดยผู้เช่ียวชาญ จำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน ค่า IOC แต่ละข้อต้องได้ 0.5 ขึ้นไป นอกจากน้ีต้องดูความ
เปน็ ปรนัยของข้อความวา่ เข้าใจได้ตรงกันหรือไม่ สำหรับครใู นโรงเรยี นอาจกำหนดผเู้ ชี่ยวชาญภายในโรงเรยี นท่ี
มคี วามรู้ความเช่ยี วชาญในเนอื้ หาและเคร่อื งมือท่ีใชว้ ัดผลได้
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือหลังนำไปทดลองใช้ (pilot study) เป็นการตรวจสอบความเท่ียง/
ความเชื่อมั่น (Reliability) ของเคร่ืองมือท้ังฉบับ ด้วยการนำไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มอื่นท่ีไม่ใช่
กลุม่ เป้าหมายแต่มีลักษณะท่ีใกล้เคียงกัน จำนวนอย่างน้อย 30 คน สำหรับแบบทดสอบจำเป็นต้องมีความยาก
ง่าย และอำนาจจำแนกของขอ้ สอบรายขอ้ ด้วย
หมายเหตุ หากมีการยืมเครื่องมือนั้นจากหน่วยงานอ่ืนหรือจากนักวิจัยอื่น ต้องมีการแสดงหลักฐาน
การขออนุญาตการใช้เครอ่ื งมือ และควรมีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือซ้ำอีกคร้ังว่ามีความเหมาะสมท่ี
จะนำมาใชใ้ นงานวิจัยของตนมากนอ้ ยเพยี งใด
เกณฑพ์ ิจารณาคณุ ภาพเครื่องมอื วิจัย
ความตรงเชิงเน้อื หา ใช้ค่า IOC รายข้อ ควรได้ 0.5 ข้นึ ไปคา่ ความเท่ียง/ความเช่ือมนั่ (Reliability) ท้ัง
ฉบับ ควรได้ 0.7 ขึ้นไปการตรวจสอบคุณภาพของเครอื่ งมือวิจัยประเภท แบบทดสอบ แบบวัด แบบประเมิน
โดยอาศัยผู้เชีย่ วชาญ ส่งิ ทตี่ ้องจัดเตรียมมดี งั น้ี
1. เค้าโครงการวิจัย (ช่ือเร่ืองวิจัย ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ ขอบเขต
นยิ ามศัพท์ ประโยชน์ กรอบแนวคดิ การวจิ ัย วิธดี ำเนินการวิจยั เป็นตน้ )
2. คำอธิบายเกีย่ วกบั การตรวจสอบวา่ ต้องการใหผ้ ้เู ช่ยี วชาญทำอะไร อย่างไร

17

3. ตารางโครงสร้างเน้ือหา (table of specification) และตารางแสดงวา่ ข้อคำถามแต่ละขอ้ มงุ่ วัดตัว
แปรใด

การเก็บรวบรวมข้อมลู ของการวจิ ยั ชั้นเรียน
การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอีกข้ันตอนหน่ึงซึ่งมีความสำคัญในการวิจัย เพราะถ้าเก็บข้อมูลได้ถูกต้อง
สมบูรณ์จะทำให้ผลการวิจัยมีความถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือได้มากเช่นกัน ซ่ึงแนวทางการเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู มีดังต่อไปนี้
1. บันทึกการทำงาน (Field Note) เป็นการเขียนบันทึกส่ิงต่างๆที่พบเห็นขณะจัดการเรียนการสอน
ตามท่ีกำหนดไว้ในแผนการวจิ ยั บนั ทกึ นี้เปน็ หลักฐานทด่ี ีกวา่ และชัดเจนกวา่ การจำในสมอง
2. บันทึกเหตุการณ์ (Logs) เปน็ การเขียนบันทึกเหตุการณ์ตา่ งๆที่เกิดขึ้นตามลำดับก่อนหลังอย่างเป็น
ระบบ
3. บันทึกความเห็น (Journals) เม่ือคุณครูได้พูดคยุ กับเพ่ือนครูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องอืน่ ๆก็สามารถเขียน
สรุปความคิดเหน็ น้นั ไว้ไดเ้ ช่นกนั
4. บันทึกประจำวัน (Diaries) เป็นการเขียนบันทึกความคิดเห็นของตนเองต่องานท่ีทำว่าเป็นอย่างไร
คณุ ครูควรบนั ทกึ ประจำวันให้ไดม้ ากทส่ี ุดเทา่ ที่จะทำได้
5. การบอกเล่า (Verbal Report) หรือการรายงานด้วยการพูด เป็นกระบวนการคิดท่ีมีเสียงดัง
(Think around) คือ เมื่อคุณครูขอให้ใครสักคนทำในบางส่ิงบางอย่าง คุณครูก็จะเล่าสิ่งนั้นให้เขาฟัง การทำ
อย่างนี้จะทำให้คณุ ครูเองและผู้ที่ฟังระมัดระวังตัวมากข้นึ ท้ังในการอธิบายหรือให้ข้อเสนอแนะ น่ันหมายถึง
ต้องคิดอย่างรอบคอบก่อนพูดออกมานั่นเอง เม่ือได้มีการบอกเล่าแล้วคุณครกู ็อาจนำไปบันทึกความเห็นหรือ
บนั ทกึ ประจำวันด้วยกไ็ ด้
6. การสังเกตการสอน (Observation) คุณครูสามารถทำได้ตลอดเวลา แต่ต้องทำอย่างรัดกุมชัดเจน
ควรระบุให้ชดั ว่าต้องสงั เกตอะไร
7. แบบสอบถาม (Questionnaires) ไม่ควรมีคำถามยาวมากเกินไป เพราะนักเรียนจะเบ่ือ คำถาม
งา่ ยๆส้นั ๆ เพียง 1-2 คำถาม อาจไดข้ ้อมลู จากนกั เรยี นมากมาย
8. การสมั ภาษณ์ (Interview) อาจเปน็ เร่อื งง่ายท่ีสดุ ในการเก็บข้อมูลก็ได้ ไม่ต้องเป็นทางการมาก แต่
จะเป็นการดีหากคุณครูมีการเตรียมคำถามไว้ล่วงหน้า วิธีการคือ คุณครูอาจใช้เวลาสัก 10 นาที พูดคุยกับ
นกั เรียนกล่มุ เลก็ ๆเกย่ี วกับความเปลี่ยนแปลงที่ครูทำขึน้ ในชั้นเรยี น
9. กรณีศึกษา (Case Studies) เป็นการดูนักเรียนเป็นรายบุคคล ค้นหาศักยภาพที่นักเรียนมี หรือ
ค้นหาวิธกี ารแกป้ ญั หาหรือพัฒนาให้นักเรียนไดร้ บั การพฒั นาตามศักยภาพมากทีส่ ุด

ข้ันตอนที่ 7 การเลือกวิธกี ารวิเคราะห์ขอ้ มูล
ส่ิงสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมานั้นเป็นขอ้ มูลเชิงปริมาณ (ตัวเลข) หรือขอ้ มูลเชิง

คุณภาพ (คำสัมภาษณ์ ผลการสังเกต) เมื่อแยกได้แล้วก็ดำเนินการวิเคราะห์เพ่อื ตอบวตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
หรือรายงานผลแตล่ ะส่วนของการพฒั นาผู้เรียนให้สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะข้อมลู

สถติ ิทีใ่ ช้สำหรับข้อมลู เชงิ ปรมิ าณ
กลุ่มที่ 1 สถิติบรรยาย (Descriptive Statistics) เช่น คา่ เฉล่ีย ความเบยี่ งเบนมาตรฐาน ความถ่ี ร้อย
ละ สถติ วิ ัดความสัมพันธ์ เปน็ สถติ ิพ้นื ฐานท่ีตอ้ งใชก้ ับการวิจัยเกอื บทุกเรอื่ ง
กลุ่มท่ี 2 สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics) หรือสถิติอนุมาน เป็นสถิติที่ใช้สรุปค่าสถิติไปยัง
ค่าพารามิเตอร์ ใช้ในกรณีทำการวิจัยกับกลุ่มตัวอย่าง โดยมากจะใช้ในการทดสอบสมมุติฐานที่นักวิจัยต้ังไว้

(Hypothesis Testing) หรือ การทดสอบความมนี ยั สำคญั ทางสถิติ (Test of Significance) 18

หลักการเลือกสถิติใหเ้ หมาะสม

1. วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพ่ือบรรยายข้อมูล (กรณีทำกับประชากรท้ังหมดใช้สถิติบรรยาย) หรือ

สรุปอ้างอิงจากกลุ่มตัวอย่างไปยังค่าประชากร (กรณีทำการวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างต้องใชส้ ถิติบรรยายและสถิติ

อ้างอิง)

2. จำนวนกลุม่ ตัวอย่างทีใ่ ชม้ ีกี่กลมุ่

3. ข้อมูลทเี่ ก็บรวบรวมมาอยูใ่ นระดบั ใด นามบญั ญตั ิ เรยี งอันดับ อันตรภาค อัตราส่วน

4. ตวั แปรทีใ่ ชม้ ีกีต่ วั แปร

การนำเสนอขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณ

1. การนำเสนอโดยใชก้ ราฟแสดงแนวโน้ม

2. การนำเสนอการเปรยี บเทยี บขอ้ มูลโดยใชแ้ ผนภูมิแบบต่างๆ

การวเิ คราะหข์ อ้ มูลเชงิ คุณภาพ

โดยธรรมชาตลิ ักษณะของขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพท่ีวิเคราะหแ์ ล้วจะอย่ใู นลกั ษณะคำบรรยาย จากขอ้ มูลท่ี

รวบรวมมาในรูปของคำบอกเล่า การสมั ภาษณ์ บันทึกจากการสงั เกตของครู หรือบนั ทึกของผ้เู รยี น เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 8 การเขียนรายงานวิจัย
การรายงานผลการวิจัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอองค์ความรู้ให้เป็นระบบ ชัดเจนและเช่ือถือได้

สำหรับการวิจัยชนั้ เรียน (Classroom Research) มีหลกั การสำคัญคือ การแสดงหลักฐานหรือขอ้ มลู ประกอบ
เพ่ือใหเ้ ห็นท่ีมาของการสรุปผลการวิจัย ตัวอย่างหวั ขอ้ ท่เี ขียนในรายงาน

2.6 การเผยแพรแ่ ละใช้ประโยชนผ์ ลงานวิจยั ในชน้ั เรยี น
1. การเขียนรายงานการวจิ ัย
รายงานการวิจัยเป็นการนำเสนอความรู้ ข้อค้นพบออกสู่สาธารณชน ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดประ

โยชน์ในวงกว้างแล้ว ยังแสดงถึงความรู้ ความสามารถเชิงวิชาการของครูโดยทั่วไปพบว่า มีการเขียนใน 2
รูปแบบ คือ

1.1 รายงานวิจัยแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งเหมาะกับครูนักวิจัยในระยะเร่ิมต้นที่ยงั มีทักษะในการวิจัยไม่
มาก มุ่งเสนอข้อคน้ พบตามสภาพจริงที่เกิดขึ้นมากกวา่ การยึดรูปแบบการเขียนรายงานวิจัยทเี่ ป็นสากล ไม่เน้น
คำศัพท์ทางวิชาการ ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ เช่น ชอื่ เรือ่ ง ช่ือผู้วิจัย ความเป็นมาและความสำคัญของปัญ

หาวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ตัวแปรในการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย การ
วิเคราะห์ข้อมูล และผลการวิจัยการนำเสนองานวิจัยช้ันเรยี นแบบไม่เป็นทางการ มีข้อดีในแง่ความต้องการใช้

ผลการวิจัยอย่างรวดเร็ว มงุ่ น าเสนอภาพความมชี ีวิตชีวาของช้ันเรียนจากผลการแก้ปัญหาของครู อย่างไรก็ดี
ในการนำเสนอรายงานวิจัยแบบไม่เป็นทางการนี้มักพบจุดอ่อนท่ีไม่แสดงหลักฐาน ข้ันตอนกระบวนการวิจัย
อย่างชัดเจน เพื่อยืนยันข้อสรุปจากการวิจัย อาจส่งผลต่อความน่าเช่ือถือและการนำผลวิจัยไปใช้ หากครูมี

ทักษะความชำนาญมากขึ้น ควรเขียนรายงานวิจัยในรูปแบบเป็นทางการ เพ่ือให้ ถูกต้องตามหลักการ เป็น
สากลในกลุ่มวิชาชีพมากข้ึนยกระดบั เปน็ งานวิจยั เชงิ วชิ าการได้เชน่ กัน

1.2 รายงานวิจัยแบบเป็นทางการ มีลักษณะเหมือนรายงานวิจัยเชิงวิชาการท่ัวๆ ไป ท่ีใช้กันในหมู่
นักวจิ ยั มกั นำเสนอในรปู 5 บท คือ

บทที่ 1 บทนำ

- ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหาวิจัย

19

- วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย
- ขอบเขตการวจิ ยั
- กล่มุ ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง
- เน้ือหา
- ตวั แปร
- ระยะเวลา
- ประโยชนท์ ี่ได้รับจากการวจิ ยั
บทที่ 2 เอกสารท่ีเกยี่ วข้องกับการวจิ ยั
- แนวคดิ ทฤษฎที ่ีเก่ียวขอ้ ง
- กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
บทท่ี 3 วธิ ีดำเนนิ การวิจัย
- รปู แบบการวจิ ยั
- ขนั้ ตอนการดำเนินการ
- เครือ่ งมือการวิจัย
- การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
- วิธีวิเคราะห์ขอ้ มูล
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
- สรุปผลการวิจัย
- อภิปรายผลการวิจัย
- ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก
โดยสรปุ หลกั การเขียนรายงานการวิจัยท่ีดี ครนู ักวิจยั ควรตระหนกั ถึงความสอดคล้องเช่ือมโยงกันของ
เน้ือหาสาระ แสดงหลักฐานท่สี ะท้อนการแสวงหาความรู้ เป็นกระบวนการ เป็นระบบ สาระท่นี ำเสนอจะต้อง
เป็นข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือน ตรงไปตรงมา ตอบค าถามการวิจัยตรงตามวัตถุประสงค์การวิจัย โดยใช้ภาษาที่
อ่านเข้าใจได้ง่าย ไมว่ กวน ชัดเจน ก่อให้เกดิ สารสนเทศทีม่ ีคุณค่าต่อการน าไปใชป้ รับปรุงหรือพฒั นาผู้เรยี นได้
แท้จริง
2. คุณภาพของงานวจิ ัยในชน้ั เรยี น
คณุ ภาพของงานวิจัยในช้ันเรียนอยู่ที่กระบวนการวิจัยและคุณค่าของข้อค้นพบโดยมุ่งด าเนินงานให้
สอดคล้องกับสภาพการเรียนการสอนตามธรรมชาติจริง โดยไม่มุ่งควบคุมสถานการณ์ห้องเรียน และมีเป้า
หมายต่างจากวิจัยเชิงวิชาการ (Academic Research) ดังนั้นการประเมินคุณภาพงานวิจัยในช้ันเรียนจึงไม่
เหมาะสมในการนำมาตรฐานการวิจัยเชงิ วิชาการมาใชต้ ดั สนิ ประเมิน อย่างไรก็ดีงานวิจยั ชั้นเรียนท่ีมีมาตรฐาน
ควรมีลกั ษณะสำคญั สรุปได้ดังนี้
2.1 สร้าง ผลิตความรู้ใหก้ ับสาขาวิชา
2.2 มีความเหมาะสมในแง่การแสวงหาความรู้ โดยมคี ำถามการวิจัยนำไปสู่การวางแผนออกแบบเพื่อ
หาคำตอบ
2.3 วิธกี ารรวบรวมขอ้ มลู และการวิเคราะห์ขอ้ มูลเป็นไปอย่างมีประสิทธผิ ล

20

2.4 คุณค่าของการศกึ ษาค้นควา้ น าไปสู่การปรบั ปรุงการปฏิบตั ิทางการศกึ ษา
(คณุ คา่ ภายนอก) และมจี รรยาของการวจิ ยั (คุณค่าภายใน)

2.5 สามารถสรุปผลโดยรวมให้ เปน็ ทเ่ี ข้าใจได้ โดยมีความสมดุลระหว่างคุณภาพของเทคนิควิธีการ
คณุ ค่าการศึกษาคน้ ควา้ กบั ข้อผดิ พลาดท่ีเกดิ ขน้ึ และคำนงึ ถึงการใช้ความรูเ้ ชงิ ทฤษฎีมาอธบิ ายข้อมูล

บทท่ี 3
วธิ ดี ำเนินงานกิจกรรม

กจิ กรรมส่งเสรมิ ให้ครูศึกษาและพฒั นางานวิจัย ปกี ารศึกษา 2563 จดั ขึ้นท่โี รงเรยี นสุวรรณาราม
วิทยาคม โดยมีขนั้ ตอนดำเนนิ งานต่าง ๆ ดังน้ี

3.1 ขนั้ ตอนการดำเนนิ กจิ กรรม
ขน้ั เตรียมงาน (PLAN)

1. กำหนดจุดมุ่งหมายการพัฒนางานวิจัยส่ือและนวัตกรรม ให้การวิจัยในช้ันเรียนเป็นการพัฒนา
ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพได้อย่างเหมาะสมเกิดประสิทธิผล มีประสิทธิภาพที่สุดในชั้น
เรยี น

2. กำหนดวิธีการหาข้อมูล ศึกษาปัญหาอุปสรรค และประเด็นท่ีต้องพัฒนา ได้แก่ การเข้าเย่ียมช้ัน
เรียน การสงั เกต ปรึกษาหารือ ประเมนิ ผลงานทางวิชาการของโรงเรียน

3. เครื่องมือท่ีใช้ในการประเมินงานวิจัยในช้ันเรียน ได้แก่ แบบนิเทศแผนการจัดการเรียนรู้แบบ
รายงานการใช้สื่อนวตั กรรม แบบประเมนิ งานวจิ ยั ในช้ันเรยี น แบบบันทึกการส่งงานวิจยั

4. ประชุมกรรมการเพอื่ วางแผนการดำเนินงาน
ขัน้ ดำเนนิ การ (DO)

1. สำรวจปญั หาที่พบในการจดั การเรยี นรู้ และแนวทางการพัฒนาการจดั การเรยี นรขู้ องครู
2. ครูดำเนนิ การแก้ปัญหาในชั้นเรียนโดยใชก้ ารวิจัยในใชเ้ รียน
3. ติดตามผลการดำเนนิ การ
4. ครูจัดทำรายงานวิจัยในชั้นเรียน
ขน้ั ตรวจสอบ ( CHECK)
1. ประเมินจากแบบบนั ทึกผลการการรายสอื่ นวตั กรรม
2. สรปุ รายงานผลการดำเนนิ งานการสร้างส่ือนวตั กรรมและวิจยั ในช้ันเรียนโดยหัวหนา้ กลุม่ สาระ ฯ
ของแตล่ ะกลมุ่ สาระ ฯ
ข้ันรายงาน (ACTION)
1. สรุปรายงานผลการดาเนินงาน

2. นำผลการประเมนิ มาปรับปรงุ พัฒนาตอ่ ไป

บทที่ 4
ผลการประเมนิ กจิ กรรม

4.1 การประเมินกจิ กรรม

รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
5 4321

1. ดา้ นสภาพแวดลอ้ มของกิจกรรม/กจิ กรรม

1.1 กจิ กรรม/กิจกรรมสอดคลอ้ งกบั วสิ ัยทัศนข์ องโรงเรียน 

1.2 กิจกรรม/กิจกรรมสอดคล้องกับ นโยบาย เป้าหมายของโรงเรยี น 
1.3 กจิ กรรม/กจิ กรรมสอดคล้องกับมาตรฐานคุณภาพการศึกษา 
2. ดา้ นความพอเพียงของทรัพยากรทใ่ี ช้ในการดำเนนิ กจิ กรรม

2.1 ความเหมาะสมของงบประมาณ 
2.2 ความพอเพยี งของวสั ดุ อุปกรณ์ 

2.3 ความเหมาะสมของสถานที่ ทใี่ ช้ดำเนนิ งาน 

2.4 ความพึงพอใจของบคุ ลากร 
2.5 ความร่วมมอื ของบุคลากรในการดำเนินงาน 
3. ดา้ นความเหมาะสมของกระบวนการจัดกจิ กรรม/กิจกรรม

3.1 ความเหมาะสมของระยะเวลาดำเนนิ งานแตล่ ะกจิ กรรม 

3.2 วธิ กี าร/กจิ กรรมท่ีปฏบิ ัตใิ นแต่ละข้นั ตอนสอดคลอ้ งกับเป้าหมาย 
4. ดา้ นความสำเรจ็ ตามวัตถุประสงคแ์ ละเป้าหมายในการจดั กจิ กรรม

4.1 ปฏิบตั ิกจิ กรรมได้ครบถ้วนตามลำดับทีก่ ำหนด 

4.2 ผลการดำเนนิ งานบรรลตุ ามวตั ถุประสงคข์ องกจิ กรรม/กิจกรรม 
4.3 ผลการดำเนินงานบรรลตุ ามเปา้ หมายที่ตงั้ ไว้ 

รวม 35 24

รวม (ผลรวมทกุ ชอ่ ง) 59

คา่ เฉล่ยี คะแนนการประเมินผลการบรหิ ารโครงการ (คะแนนผลรวม ÷ 13) = 4.54

คะแนนเฉลี่ย 4.00 - 5.00 แสดงว่าการดาเนินงานอย่ใู นระดบั ดมี าก

คะแนนเฉลย่ี 3.00 - 3.99 แสดงวา่ การดาเนินงานอยใู่ นระดับ ดี

คะแนนเฉลี่ย 2.00 - 2.99 แสดงวา่ การดาเนินงานอย่ใู นระดับ พอใช้

คะแนนเฉลีย่ 1.50 - 1.99 แสดงว่าการดาเนินงานอยูใ่ นระดบั ควรปรบั ปรงุ

คะแนนเฉลี่ย 1.00 - 1.49 แสดงวา่ การดาเนินงานอย่ใู นระดบั ควรปรบั ปรุงเร่งดว่ น

สรุปผลการประเมินกิจกรรม/กิจกรรม

 ระดับดีมาก  ระดบั ดี  ระดบั พอใช้  ระดบั ปรบั ปรุง

4.2. สรปุ ผลการประเมนิ

ผลการประเมินกิจกรรมหลังการดำเนินงานโดยรวมเฉล่ียทุกด้านอยใู่ นระดับ…ดีมาก….และมีคะแนน

เฉล่ียในแต่ละด้านดังนคี้ อื

1) การดำเนินงานตามวตั ถุประสงค์

- ตรงตามวัตถุประสงค์ รอ้ ยละ…100….. 23
2) ผลการปฏบิ ัติงาน
ร้อยละ
……เปน็ ไปตามแผนท่กี ำหนด………………. 0
3) การใชจ้ ่ายงบประมาณ 0
0
…………………………………………………………………………………………..

จำนวนและรอ้ ยละของคา่ ใชจ้ า่ ยงบประมาณ

ท่ี รายการคา่ ใช้จา่ ย จำนวนเงนิ
ทต่ี ัง้ ไว้ ทใี่ ชไ้ ป
1 กิจกรรมส่งเสริมใหค้ รศู กึ ษาและพฒั นางานวจิ ัย 23,600 -
ค่าวสั ดอุ ุปกรณ์สำหรับจัดทำ/เอกสารสรุป
รายงานวจิ ยั ในชน้ั เรียน 5,400 -

2 งานนทิ รรศการเปิดโลกผลงานวิจัยและ
นวัตกรรมของข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา ปกี ารศึกษา 2561

รวม - -
การดำเนนิ การเบกิ จ่ายเงิน
( ) ตรงตามท่ีประมาณการไว้
( ) ไม่ตรง ตามทีป่ ระมาณการไว้
(  ) ไม่ได้ใช้เงนิ ตามท่ปี ระมาณการไว้

4) การประเมินผลกจิ กรรม ร้อยละ …100……..

5) ผลสำเรจ็ ของการปฏบิ ตั งิ าน
- ผลสำเร็จของการปฏบิ ตั งิ าน ร้อยละ…100………

บทท่ี 5
สรปุ อภปิ ราย และข้อเสนอแนะ

การดำเนนิ งาน โครงการวิจยั ส่ือนวตั กรรม ปกี ารศกึ ษา 2563 โดยมีผลการดำเนนิ งาน ดังน้ี

5.1 สรุป อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ
สรปุ ผลการประเมนิ
ผลการประเมินกิจกรรมหลังการดำเนนิ งานโดยรวมเฉล่ยี ทุกดา้ นอยู่ในระดบั ดมี าก และมี

จำนวนรอ้ ยละ 100 ค่าเฉลยี่ ในแต่ละด้านดงั นคี้ อื
1.ดา้ นประสิทธผิ ล
1.1 เชิงปริมาณ
1) ครูโรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคมรอ้ ยละ 96.30 นำปัญหาท่ีพบในช้ันเรียนมาหาวิธีการ

แกไ้ ขปญั หาอย่างมรี ะบบผ่านกระบวนการทำวิจัยในช้นั เรียน มีการพัฒนากระบวนการจัดการเรยี นรขู้ องตนเอง
เพ่อื ให้เกดิ ประสิทธภิ าพสงู สดุ และตอบสนองตอ่ ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของผู้เรยี น มีการออกแบบการวัด
และประเมินผลผ้เู รียนดว้ ยวธิ กี ารที่หลากหลายและเหมาะสมกับผ้เู รยี นมากขึ้น

2) นักเรียนโรงเรยี นสุวรรณารามวทิ ยาคม ร้อยละ 100 มีคณุ ภาพตามศกั ยภาพ
1.2 เชิงคณุ ภาพ

1) ครูมีความรู้เข้าใจให้ความสำคัญต่อการทำวิจัยในช้ันเรียน และนำผลการทำวิจัยในช้ัน
เรียน มาปรบั ปรุงการเรียนการสอนใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากขนึ้

2) นกั เรียนไดร้ บั ความประสบการณท์ ี่ดีจากครูและมผี ลการเรยี นดขี น้ึ
5.2 ปญั หาและอุปสรรค

1) มผี ู้เชยี่ วชาญในการตรวจผลงานวิจัยในชน้ั เรียนของครูนอ้ ย
2) ไม่สามารถดำเนินงาน การประกวดวิจัยส่ือนวัตกรรม ในงานนิทรรศการเปิดโลกผลงาน
วิจัยและนวัตกรรมของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2563 เน่ืองจาก
สถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) จึงดงั กล่าวได้

5.3 แนวทางในการแกไ้ ข
1) ควรมกี ารกำหนดเวลาท่แี นช่ ัดในการสง่ ผลงาน
2) ควรมกี ารแต่งตัง้ คณะกรรมการผู้เช่ียวชาญในการตรวจผลงานวิจยั ในช้ันเรยี น ในแต่ละ

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ก่อนสง่ มายังกลุ่มงานพัฒนาวจิ ัย สือ่ นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศกึ ษา
5.4 ข้อเสนอสำหรบั การดำเนนิ การกจิ กรรม

( ) ควรดำเนินการตอ่ เนื่องจากเกีย่ วข้องโดยตรงกบั การพัฒนาครู ส่หู อ้ งเรียน
( ) ควรดำเนนิ การตอ่ แตต่ ้องปรบั ปรงุ ………………………………………………
( ) ยกเลิกการดำเนนิ งานในปีตอ่ ไปเนื่องจาก.........................................
( ) อื่น ๆ……………………………

เอกสารอ้างองิ

ขจติ ฝอยทอง. (2544). “การวจิ ัยในชนั้ เรียน : ทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ”. , วารสารวชิ าการ, 3,(11)7.
คณะกรรมการการอาชวี ศึกษา, สำนักงาน. (2547). วิจยั แผ่นเดียว : เส้นทางสู่คุณภาพการอาชีวศกึ ษา .

กรุงเทพฯ : สำนกั วิจัยและพฒั นาการอาชีวศกึ ษา.
ครุรกั ษ์ ภริ มยร์ ักษ์. (2543). เรยี นรแู้ ละฝึกปฏิบัติการวิจยั ในช้ันเรียน. ชลบรุ :ี งามชา่ ง.
ทิศนา แขมมณี. (2538) . เส้นทางสู่งานวิจยั ในช้ันเรยี น. กรงุ เทพมหานคร : บพธิ การพิมพ์.
เทคนิคนราธิวาส, วิทยาลยั . (2545). เอกสารประกอบการฝึกอบรมเชิงปฏิบัตกิ าร “การวิจัยในช้ันเรยี น.

วทิ ยาลัยเทคนิคนราธิวาส. (สำเนา).
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และ พะเยาว์ ยินดีสุข. (2549). ทกั ษะ 5C เพ่อื การพฒั นาหนว่ ยการเรียนรู้และการจัดการ

เรียนการสอนแบบบูรณาการ.พิมพ์คร้ังที่ 3 กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
รัตนา แสงบวั เผือ่ น. (2550). การวิจยั ในชน้ั เรยี น ไมย่ ากอยา่ งท่ีคดิ . วารสารวิชาการ 10 ,(7)86-88.
วชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2542).การวิจยั เพ่อื พัฒนาการเรียนรู้. กรงุ เทพมหานคร:การศาสนา.
สุวมิ ล วอ่ งวาณชิ . (2548). การวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในชน้ั เรยี น. พิมพ์ครง้ั ที่ 8. กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์

มหาวิทยาลยั .
ศึกษาธิการ, กระทรวง, กรมวชิ าการ. (2543). การวจิ ัยในช้นั เรียน. กรุงเทพฯ : การศาสนา.
อนงค์พร สถติ ย์ภาคีกุล. (2543). “5 คำถามนา่ รกู้ ับการวิจัยในชน้ั เรียน” .วารสารวิชาการ, 4,(7)63-64.
อุทุมพร จามรมาน.(2537). การวิจยั ของครู. กรุงเทพมหานคร : ฟันน่ี

ภาคผนวก

- ปฏิทนิ การติดตามการพฒั นาสื่อวิจยั ปกี ารศึกษา 2563
- บนั ทกึ ข้อความสรปุ ผลการตดิ ตามการส่งแบบรายงานการจัดทำส่อื การสอน

ของครู
- บันทกึ ข้อความสรปุ ผลการตดิ ตามการสง่ แบบรายงานวจิ ยั ในชนั้ เรียนของครู

ของครู
- ทำเนยี บรายงานการวจิ ยั ปฏิบตั ิการในช้ันเรียน
- รายชอ่ื ครูผู้ได้รับการคัดเลอื กงานวิจยั และนวัตกรรม ประจำปี 2563

ปฏทิ ินการติดตามการพัฒนาส่อื วิจยั ปกี ารศกึ ษา 2563



บนั ทกึ ข้อความสรุปผลการติดตามการส่งแบบรายงานการจดั ทำส่อื การสอนของครู

บนั ทกึ ข้อความ

ส่วนราชการ งานวจิ ัยพัฒนาสื่อนวัตกรรมฯ กลุ่มบริหารวชิ าการโรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม
ท่ี ……………………………………… วนั ที่ 17 มนี าคม 2564
เร่ือง สรุปผลการตดิ ตามการส่งแบบรายงานการจดั ทำส่ือการสอนของครู
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เรียน ผอู้ ำนวยการโรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม
สง่ิ ทสี่ ่งมาด้วย สรุปผลการตดิ ตามการส่งแบบรายงานการจัดทำสื่อการสอนของครู จำนวน 1 ชุด

ตามที่ โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม ได้เล็งเห็นความสำคัญของการใช้สื่อ/นวัตกรรมในการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอน จึงมีการส่งเสริมให้ครูผลิตและพัฒนาส่ือการสอน โดยมีการจัดงบประมาณ
สนับสนุนครู ประจำปีการศึกษา 2563 เพอื่ ใหค้ รสู ามารถผลิตสือ่ และนวตั กรรมทางการศึกษาทมี่ ีประสทิ ธภิ าพ
โดยมอบหมายให้คณะกรรมการงานวจิ ัยพฒั นาส่อื นวัตกรรมฯ ตรวจสอบการจดั ทำ และองคป์ ระกอบของการ
สร้างสื่อ/นวัตกรรม ผลการใชส้ ื่อ ใหค้ รบถ้วน และได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วทั้ง 2 ภาคเรียน ในภาคเรียนท่ี 1
ครูจำนวน 83 คน มีการรายงานการจัดทำสอื่ จำนวน 80 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 98.25 ภาคเรียนที่ 2 ครูจำนวน
82 คน มกี ารรายงานการจัดทำสอ่ื จำนวน 80 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 98.37 รายละเอียดการตรวจสอบดังแนบ

จึงเรียนมาเพ่อื โปรดทราบ และพจิ ารณา

ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสาวอโนชา อุทุมสกุลรตั น์)
งานวิจยั พฒั นาสื่อนวตั กรรมฯ

ความเห็นของรองผอู้ ำนวยการกลุ่มบรหิ ารวิชาการ
..............................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ............................................................
(นางรพพี ร คำบุญมา)

รองผูอ้ ำนวยการฯกล่มุ บริหารวิชาการ

ความเหน็ ของผอู้ ำนวยการโรงเรียนสวุ รรณารามวทิ ยาคม
..............................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ............................................................
(นายจงจัด จันทบ)

ผอู้ ำนวยการโรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

แบบสรุปผลการสง่ การจัดทำส่ือการสอนของครูโรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม

ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563

โรงเรยี นสุวรรณารามวทิ ยาคม

ท่ี กลุม่ สาระฯ จำนวน สง่ แบบ คิดเป็น ไมส่ ง่ แบบ คดิ เป็น หมายเหตุ
ครู รายงานการ ร้อยละ รายงานการ ร้อยละ

จัดทำสื่อ จัดทำสอื่

1 ภาษาไทย 8 8 100 0 0

2 คณิตศาสตร์ 12 12 100 0 0

3 วทิ ยาศาสตร์และ 19 16 84.21 3 15.79 1. ครสู รุ จักริ์
เทคโนโลยี
(ลาปว่ ย)

2. ครูกนกวรรณ

(ลาดูแลผู้ปว่ ย)

3. ครูพรศรี

4 สงั คมศกึ ษา ศาสนา 13 13 100 0 0
และวัฒนธรรม
5 5 100 0 0
5 สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา 5 5 100 0 0
6 ศิลปะ 5 5 100 0 0
7 การงานอาชีพ 14 14 100 0 0
8 ภาษาต่างประเทศ 2 2 100 0 0
9 พฒั นาผู้เรียน 83 80 98.25 3 1.75

รวม

ขอ้ สงั เกตและข้อเสนอแนะ

..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ............................................................รบั ทราบ
(นางรพีพร คำบุญมา)

รองผอู้ ำนวยการฯกลมุ่ บรหิ ารวชิ าการ

แบบสรุปผลการสง่ แบบรายงานการจัดทำส่ือการสอนของครูโรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563

โรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม

ท่ี กลมุ่ สาระฯ จำนวน สง่ แบบ คดิ เป็น ไมแ่ บบ คดิ เปน็ หมายเหตุ
ครู รายงานการ ร้อยละ รายงานการ ร้อยละ

จดั ทำสือ่ จดั ทำสอื่

1 ภาษาไทย 9 9 100 0 0

2 คณิตศาสตร์ 11 10 90.91 1 9.09 ลาคลอด 1 คน
3 วิทยาศาสตร์และ 18 17 94.44 1 5.56 1. ครูพรศรี

เทคโนโลยี 12 12 100 0 0
4 สังคมศกึ ษา ศาสนา
5 5 100 0 0
และวัฒนธรรม
5 สุขศกึ ษาและพล 5 5 100 0 0
5 5 100 0 0
ศึกษา 14 14 100 0 0
6 ศิลปะ 3 3 100 0 0
7 การงานอาชพี 82 80 98.37 2 1.63

8 ภาษาต่างประเทศ

9 พฒั นาผู้เรยี น
รวม

ลงชื่อ ............................................................รบั ทราบ

(นางรพีพร คำบญุ มา)
รองผ้อู ำนวยการฯกลมุ่ บริหารวชิ าการ

บนั ทกึ ข้อความสรุปผลการติดตามการส่งแบบรายงานวจิ ยั ในช้นั เรียนของครู

ทำเนียบรายงานการวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการในช้นั เรยี น

ทำเนียบรายงานการวจิ ยั ปฏบิ ัตกิ ารในชั้นเรยี น
โรงเรยี นสุวรรณารามวทิ ยาคม ปีการศกึ ษา 2563

ลำดบั ท่ี ช่อื งานวจิ ยั ผู้วิจยั

1. กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

1 การพฒั นาการคิดวิเคราะห์ในวิชาภาษาไทย (สาระท่5ี วรรณคดีวรรณกรรม) โดยใช้ นางสาวเกศินี เทยี่ งชุดติ
กระบวนการกลุม่ ของนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นสวุ รรณารามวิทยาคม

การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะการอ่านคดิ วิเคราะห์ประกอบการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ นางสาวอมรา ขอดสนั เทยี ะ

2 วรรณคดเี ปน็ ฐาน สำหรับนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นสวุ รรณาราม
วิทยาคม

3 การพัฒนาแบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทยเร่ืองการสรา้ งคำ ของนักเรยี นชัน้ นางสาวรัชนี คตกฤษณ์
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม

4 การเปรยี บเทียบความสามารถในการอา่ นจับใจความ ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษา นางสาวปนดั ดา หงษ์ทอง
ปที ี่ 3 ระหวา่ งวิธีสอนแบบ SQ3R กับวิธสี อนแบบปกติ

การพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวรรณคดี เรอ่ื งกลอนดอกสรอ้ ยรำพงึ ในป่าช้า นางรังสรรค์ สมอารยี ์
5 ชว่ งสถานการณ์โควดิ 19 ด้วยวธิ กี ารสอนแบบออนไลน์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา

ปที ี่ 2 โรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม

6 การพัฒนาทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสำคัญ โดยใชเ้ ทคนิคแผนท่ีความคดิ (Mind นายเชาวัฒน์ ดดี อม
Mapping) สำหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

7 การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้แบบฝกึ ทักษะการอ่านจบั นางสาวนนั ทิดา กรบั ทอง
ใจความสำคัญ ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสุวรรณรามวิทยาคม

8 การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคโ์ ดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน เรือ่ ง ระบบการตัดหมวดหมู่ นางสาวมาลินี ศรไี ชยแสง
หนงั สอื ด้วยระบบทศนิยมของดิวอี้ ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1

9 การพัฒนาทกั ษะการอ่านจับใจความสำคญั ทางการเรยี นวรรณคดเี ร่อื งราชาธิราช นายชาญณรงค์ ขนั เงิน

ตอนสมิงพระรามอาสา ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนสุวรรณาราม
วิทยาคม

2. กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์

1- นางสาวศศลิ ดั ดา มจี ังหาร

2 การศึกษาเปรยี บเทียบผลการสอบกอ่ นเรียนและการสอบหลังเรียนโดยใช้ชดุ นายธรี ะ ลศี้ ริ ิสรรพ์
เอกสารประกอบการเรยี นเรอ่ื งหลกั การนบั เบ้อื งต้นและความนา่ จะเป็น ของ

นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรยี นสวุ รรณารามวิทยาคม

3 การศึกษาเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น เรื่อง แคลคูลัส ของนักเรียนช้นั นายสรณ ปัทมพรหม
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม

4 สำรวจชอ่ งทางการเรียนออนไลน์ท่ีนักเรียนตอ้ งการ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน นายอิทธกิ ร ภ่สู าระ
สุวรรณารามวทิ ยาคม

5 การแก้ปญั หาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์ เรอื่ ง การคณู เลขยกกำลัง นางสาวชลธิรา เมอื งใจ

เมือ่ เลขชกี้ ำลังเปน็ จำนวนเตม็ บวกของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยการสอน
ซ่อมเสรมิ

ลำดับท่ี ชื่องานวจิ ัย ผ้วู ิจยั

6 การศึกษาเปรียบเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรื่อง ความน่าจะเปน็ ของนกั เรียน นางจิตตมิ า ยศเรืองสา

ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนสวุ รรณารามวทิ ยาคม

7 การศึกษาเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน โดยใชช้ ุดแบบฝกึ เร่อื งเลขยกกำลัง นางสาวอรนุช เทพอคั รพงศ์

ของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม

8 การศกึ ษาเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เรื่องความน่าจะเป็น ของนกั เรยี น นายชวลิต สงิ ห์โต

ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม

9 การศกึ ษาเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เร่ืองอตั ราสว่ นตรโี กณมิติ โดยใช้เกม นางสาววราภรณ์ แซ่ตัน

vonder go ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม

10 การศึกษาเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติท่ีมตี ่อวชิ าคณิตศาสตร์ นายฑนนั ชยั คชเคลื่อน

เรื่อง ทฤษฎีบทพีทาโกรสั โดยการเรียนแบบรว่ มมือเทคนคิ กลมุ่ แข่งขนั ของนักเรียน

ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นสวุ รรณารามวทิ ยาคม

11 การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 นางสาวกมลนัทธ์ แกล้วทนงค์

เรอ่ื ง ลำดับเลขคณิต ดว้ ยการสอนแบบเรียนออนไลน์ โรงเรียนสุวรรณาราม

วิทยาคม

3. กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

1 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์และทักษะทางวิทยาศาสตรข์ อง นายสุรจกั ริ์ แก้วม่วง

นกั เรยี น เร่อื งพลังงานไฟฟา้ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3

2 เจตคติท่มี ตี ่อวินยั ในตนเองดา้ นวินยั ในห้องเรยี นของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท4ี่ /2 นายประภสั ผลหมู่

ปกี ารศึกษา 2563

3 การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเรอื่ งดิน โดยใช้การเรียนรแู้ บบรว่ มมือด้วย นางกณิการ์ พฒั รากุล

เทคนคิ จ๊ิกซอว์ สำหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม

4 การพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของ นายธงวฒุ ิ จันทร์เพชร

นักเรยี นระดับชนั้ ม.5 รายวชิ าชีววทิ ยา โดยใช้ส่ือผสม ในสถานการณ์การแพร่

ระบาดของโรคติดต่อเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

5 การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาฟิสิกส์เรอื่ งแรง มวลและกฎการ นายศริ ิชยั พงษ์พฤษพรรณ์

เคลอื่ นทีข่ องนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4/2 ที่เรียนโดยวฏั จักรการเรียนรู้ (4 MAT)

6 การศึกษาปจั จัยบางประการทมี่ ีผลต่อเจตคติในการเรียนวิชาฟสิ กิ ส์ของนักเรียนชัน้ นายชเู กยี รติ นลิ โคตร
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/1

7 การศึกษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นและความสามรถในการแก้ไขปญั หาทาง นายทวี มว่ งมนตรี

วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่3โดยสอนแบบอทิ ธิบาท4

8 การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์เรื่องเมฆ ของนักเรยี นช้ัน นางสาวหทยั รัตน์ มะโต

มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1

9 ผลของการจัดการเรยี นรู้แบบเปดิ (open approach teaching ) ท่ีมีผลตอ่ นายวารตุ ขำเจริญ

ความสามารถในการระบพุ ิกัดท้องฟ้า ในรายวิชาโลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ6

ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 6/1 ปีการศึกษา2563

10 การพฒั นาผลสมั ฤทธริ์ ายวิชาชวี วทิ ยาระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 โดยการจัดการ นางสาวชตุ ิมา รอดสุด

เรียนรแู้ บบกำกบั ตนเอง (Self Regulated learning strategy) ของการเรยี น

ลำดับที่ ช่อื งานวิจยั ผ้วู จิ ัย
นางสมศรี คงสวุ รรณ
ออนไลน์ในชว่ งการระบาดของโรคไวรัสทางเดินหายใจ (COVID - 19) นางกนกวรรณ แกว้ ม่วง
นางสาวพรศรี เจรญิ วยั
11 การพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนชน้ั ม.6/3โดยใชส้ ่อื ประสมเรอื่ ง

การเกดิ ลมฟา้ อากาศและภมู ิภาค

12 การพฒั นาผลสัมฤทธ๋ิ ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์ของนกั เรียน ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษา

ปีท่ี 2/2 ท่มี ีระดบั ผลการเรยี นต่ำกว่าเกณฑโ์ ดยใช้แบบฝกึ

13 ขาดส่ง

14 รายงานการศึกษาผลสมั ฤทธิ์และความพึงพอใจของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการ นางสาวขวญั หลา้ เกตุฉิม

เรียนรู้โดยใชบ้ ทเรยี นออนไลน์ ด้วยแอปพลิเคชนั Google Classroom แบบ

ผสมผสานวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี เรือ่ งกระบวนการออกแบบเชงิ

วิศวกรรม สำหรบั นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม

15 การศึกษาผลสมั ฤทธิ์และความพึงพอใจของนักเรยี น ที่ได้รับการจดั การเรยี นรู้ นางสาวอโนชา อุทุมสกุลรตั น์

โดยใช้บทเรียนออนไลน์ ด้วยแอปพลเิ คชนั Google classroom วิชาเคมี 6 เร่ือง

การใชค้ วามรู้ทางเคมใี นการแกป้ ญั หา สำหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6

โรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม

16 การพัฒนาบทเรยี นออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom เรอ่ื งการเขียน โปรแกรม นางสาวรัศมี กุลสุวรรณ

ด้วย Scratch 0nline สำหรับ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสวุ รรณาราม

วทิ ยาคม

17 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ โดยใช้ Google Classroom เร่ืองอนิ เทอรเ์ น็ตและ นางสาวกาญจนา คงทน

การบริการบนอนิ เทอร์เนต็ สำหรบั นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนสวุ รรณา

รามวิทยาคม

18 การพฒั นาบทเรียนออนไลนโ์ ดยใช้ Google Site เร่อื ง ความรแู้ ละการคดิ เชงิ นายอรรถพล ภทู อง

ออกแบบเพอ่ื การแก้ปญั หา ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรยี นสวุ รรณาราม

วทิ ยาคม

4. กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

1 การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สาระ นางสาวฐมน มว่ งนาพูล

ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4/4 โรงเรยี น

สุวรรณารามวทิ ยาคม โดยใช้ แบบฝกึ ทักษะการเรียน

2 พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะหโ์ ดยกระบวนการ 5W1H เร่อื งภัยพิบตั ิทางธรรมชาติ นางสาวณัฐรินีย์ สมนึก

และการจดั การของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5/6

3 การปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมของนักเรียนใหม้ ีระเบยี บวินยั มีความรับผิดชอบต่อการ นางสาววานดิ า เสน่หา

เรยี นและการสง่ งานของนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2/10 ปกี ารศกึ ษา 2563

4 การศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียนสวุ รรณา นางสาวนนั ทวรรณ บุญวัฒน์

รามวิทยาคม ท่มี ีต่อการจัดการเรียนการสอนเอกสารประกอบการสอน รายวิชา

ส33205 สงั คมศึกษาเพื่อการศึกษาตอ่ 1 ปีการศึกษา 2563

5 การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสังคมศกึ ษา ของนกั เรียนชน้ั นายอนุศกั ดิ์ ตริ สถิตย์

มัธยมศึกษาปที ่ี 2 ดว้ ยวธิ ีการสอบย่อยทุกสัปดาหก์ ับวิธที ดสอบเม่ือจบหน่วยการ

เรียนรู้

ลำดับที่ ชือ่ งานวจิ ยั ผู้วิจัย

6 "เรอ่ื ง การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาภมู ิศาสตร์ เรื่อง องคก์ รในการ นางสาวภรณี สืบเครอื

จดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5

ระหวา่ งการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะกับการสอนปกติ

7 การใชก้ ลวธิ แี บบสืบสอบในการสอนวิชาประวัตศิ าสตร์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ นางสาววมิ ลมาศ ฟบู ินทร์

ทางการเรียน ของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5

8 การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าหนา้ ท่ีพลเมืองม 2 เร่ืองวฒั นธรรมโดยใชส้ อ่ื นายสมานชยั ริดจนั ดี

ชุดเกมการสอนผ่าน QR Code ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรียนสวุ รรณา

รามวทิ ยาคม

9 การปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้มีวนิ ัยและความรบั ผิดชอบของนกั เรียนชน้ั นายปรชั ญานันท์ พันธเสน

มธั ยมศึกษาปที ่ี 2/7 โรงเรยี นสวุ รรณารามวิทยาคม

10 การพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนและความสามารถในการทำงานร่วมกบั ผู้อน่ื ของ นางสาวสภุ าวดี พงประสิทธ์ิ

นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ท่ีไดร้ บั การจัดการเรยี นการสอนแบบรว่ มมอื ใน

รายวิชาสงั คมศึกษา

เจตคตทิ ีม่ ีตอ่ วินัยในตนเองด้านวนิ ยั ในห้องเรยี นมคี วามขยันอดทนดา้ นการเรียน นายอรรถกิตต์ิ มีเงนิ

11 และแรงจูงใจใฝ่ตอ่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนมคี วามรับผิดชอบต่อการเรียนและการ
ส่งงาน ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3/7

การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวชิ าหน้าที่พลเมือง 6 ส20246 เรอ่ื งความ นางสาวกานดา รว่ มเกตุ

12 หลากหลายทางสงั คมและวัฒนธรรมโลก นักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3/4 ภาค
เรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 โดยใช้สมุดเลม่ เล็ก

5. กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ

1 การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เร่อื ง TV and Movie โดยใช้บทเรยี นออนไลน์ นายธนกฤต พิมพ์ทอง

Google Classroom ของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 5/5 โรงเรยี นสุวรรณาราม

วิทยาคม

2 การพฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 6 อ23102 เร่ือง Active นางสาวกนกวรรณ พิมพ์ศรวงษ์

Voice & Passive Voice โดยใช้เกม Passive Fifteen Puzzle ของนักเรียนชัน้

มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3/8 และ 3/10 โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม

3 การพฒั นาทักษะการอ่านจบั ใจความภาษาองั กฤษโดยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่าน นางสาวสอุ าภา กระปกุ ทอง
ของนกั เรียนมธั ยมศึกษาปีท่ี 5/4 โรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

4 การพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนรคู้ ำศพั ทภ์ าษาอังกฤษโดยใช้ Wordwall ของ นางสาวธีรนชุ วารีรักษ์

นักเรยี นระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสวุ รรณารามวทิ ยาคม

5 การใช้เกมในการจัดการเรียนรู้แก้ปญั หานักเรียนขาดความกระตือรอื ร้นในการเรยี น นางสาวชุลีพร รืน่ เรงิ

ของนักเรยี นระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6/4 โรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

6 การพัฒนาทักษะการออกเสยี ง -ed ทา้ ยคำกรยิ าช่องที่ 2 และ 3 โดยใชแ้ บบฝกึ นางสาววราลักษณ์ จนั ทร์ลอย
ทกั ษะการอา่ น ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/4 โรงเรียนสวุ รรณารามวทิ ยาคม

7 การพฒั นาความสามารถดา้ นการเขยี นสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เร่ือง Jobs นายอรรถพล หวานทรพั ย์

โดยใช้เกมคำศัพท์ สำหรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2/7 โรงเรยี นสุรรณาราม

วิทยาคม

ลำดับที่ ชื่องานวจิ ัย ผูว้ ิจัย
นางสาวสุภาวรรณ ลืนภเู ขยี ว
8 การฝกึ ทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใชแ้ บบฝกึ การอา่ นเรื่อง A Christmas นางสาวมารษิ า ผิวคำ

Carol ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 4/5-4/7 โรงเรยี นสุรรณารามวทิ ยาคม นางสาวพิมพพ์ ิชชา ผลทิพย์
นางสาววิไลวรรณ บุญเพ่ิม
9 การพฒั นาทกั ษะการอ่านคำศพั ทภ์ าษาองั กฤษ เรื่อง TV programs โดยใชแ้ บบ นายเปรมณัช สถติ ยม์ ย่ั ววิ ฒั น์
นางสาวฐิตริ ตั น์ ชเู กตุ
เสริมทกั ษะการอา่ น สำหรบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนสุรรณาราม นางสาวภัคพร ตั้งรงุ่ กาญจนา

วทิ ยาคม นางสาวรังษิยา ชูขนั ธ์
นางสภุ ทั รา อินต๊ะคำ
10 การพฒั นาการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาองั กฤษ เรอ่ื ง Containers โดยแบบฝกึ นายเอกนรินทร์ ชง่ั จตั ตุรตั น์

การอ่านของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2/4 โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม ว่าท่ีรอ้ ยตรีทวศี กั ด์ิ ยิ้มแยม้

11 การพัฒนาการอ่านออกเสยี งคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นโดยใชบ้ ัตรคำศพั ท์คำกิริยา ของ
นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5/5 โรงเรียนสวุ รรณารามวทิ ยาคม

12 การพฒั นาการเรยี นรูค้ วามหมายของคำศพั ทภ์ าษาจนี เรื่องคำคุณศัพท์โดยใช้
ภาพเหมอื นอักษรของนกั เรยี นชน้ั 4/6 โรงเรียนสุรรณารามวิทยาคม

13 การพัฒนาทักษะการเขียนคำศัพท์ตวั อกั ษรคันจิภาษาญป่ี นุ่ โดยใชเ้ กม Gossip ของ
นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4/6 โรงเรียนสรุ รณารามวทิ ยาคม

14 การพฒั นาความสามารถการเขยี นตัวอักษรจีนและการเขยี นพินอนิ โดยใช้ Monkey
king Chinese ของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2/6 โรงเรียนสุรรณารามวิทยาคม

6. กลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ

1. การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะเร่ืองการละครไทย(ละครดกึ ดำบรรพ) โดยการใช้สื่อ
ออนไลน์ ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4/4

2. การแกป้ ัญหานักเรยี นในเร่อื งการวาดภาพใบหน้าคน ในรายวิชาศิลปะ 6 ให้มี
พัฒนาการเพ่ิมขึ้น โดยใช้สอ่ื เอกสารใบงาน

เร่ือง การแก้ปญั หาการทำความเข้าใจเพอื่ ชว่ ยในการจดจำทำนองเพลง

3. ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2563

ในรายวิชาศลิ ปะ 6 ศ 23102 (ดนตรีไทย) เพลงช่ืนชมุ นุม – กลมุ่ ดนตรี

4. การศึกษาพฤติกรรมนักเรียนช้นั ม.2/8 ปีการศกึ ษา 2563

5. การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิของผ้เู รยี นทัง้ แบบกล่มุ และแบบเดี่ยว นายกมลลาสน์ แสนเสนาะ

7. กล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพ

1 การศกึ ษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น เรอ่ื ง โครงงานอาชพี โดยการใชก้ จิ กรรมการ นางสาวนงนุช ภิญโญทรัพย์

ปลูกต้นอ่อนทานตะวัน วชิ า โครงงานอาชพี 2 ง21252 ของนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษา

ปที ี่ 1/5 โรงเรียนสวุ รรณารามวทิ ยาคม

2 การพฒั นาบทเรยี นออนไลน์ วิชา การงานอาชพี 4 เพือ่ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการ นางสาวสุภาพร บญุ ศิริ
เรียนของนักเรียนระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม

3 การสอน Online กบั Onsite ของนักเรียนระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ท่มี ีต่อ นางสาวจรุ ยี พ์ ร ดว้ งชอมุ่

นักเรียนในยุค Covid - 19 วชิ า การงานอาชพี 2 ง31102 กรณศี กึ ษาเฉพาะใน
โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม

4 การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน วิชา การงานอาชีพ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 นางสาวรุง่ ทวิ า วงค์ษา
โรงเรียนสุวรรณารามวทิ ยาคม โดยใช้ชุดฝึกทักษะทางการเรยี น

ลำดับที่ ชอื่ งานวจิ ยั ผูว้ ิจัย

5 การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วิชา การงานอาชพี 4 เร่ือง เศษวัสดุสร้างสรรค์ นางสาวปานตะวนั คันธะเนตร

ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ด้วยการเรียนการสอนแบบกลมุ่ ร่วมมอื โดยการ นางสาวบปุ ผา กาลพฒั น์
ใชเ้ ทคนิค STAD
นางสาวชลิสา ชำนาญวารี
8. กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา นางสาวกัลยา ทองโชติ
นายนนั ทกรณ์ หนูดี
การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสุขศึกษา เร่อื งมหันตภยั จากสารเสพ นายวนั เฉลมิ เนตรธานนท์

1. ตดิ และการปอ้ งกัน ระหวา่ งการสอนโดยใช้ส่ือประสมกับการสอนด้วยวธิ ีปกติ ของ นางสาวหทัยรตั น์ ทบั เปรม
นกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี1/3 นางสาวสุจริ ดา โพธิ์เทศ

2. ศึกษาการใช้เกมในการจดั การเรียนการสอน เพ่ือสร้างแรงจงู ใจในการเรยี นของ
นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นสวุ รรณารามวทิ ยาคม

3. การพฒั นาทักษะการเล่นลกู สองมอื ลา่ ง ดว้ ยนวัตกรรมกญุ แจมอื ยางยดื สำหรับ
นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2/1 โรงเรียนสวุ รรณารามวิทยาคม

4. การทดสอบและศกึ ษาสมรรถภาพทางกายของนกั เรยี น ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5
โรงเรียนสุวรรณารามวิทยาคม

การพัฒนาชดุ กจิ กรรมการฝกึ ทกั ษะพ้ืนฐานกีฬาแฮนดบ์ อลโดยใช้รูปแบบการเรยี น

5. การสอน ทักษะปฏิบตั ิของเดวสี ์ สำหรบั นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาช้ันปที ี1่ /6โรงเรียน
สุวรรณารามวิทยาคม

9. กิจกรรมพฒั นาผู้เรียน

1 รายงานการทำวจิ ยั ในชน้ั เรียน เรอื่ งการปรบั พฤตกิ รรมการเรยี นให้มีวินยั และความ
รับผิดชอบ ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 / 9

2 การศึกษาพฤตกิ รรมของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นสวุ รรณาราม
วทิ ยาคมในเรื่องการไม่ส่งงาน/การบ้าน

*****************

รายช่อื ครผู ้ไู ด้รบั การคัดเลอื กงานวจิ ยั และนวตั กรรม ประจำปี 2563

รายชอื่ ครูผู้ได้รบั การคัดเลือก งานวิจยั และนวตั กรรม ประจำปี 2563

กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย

ท่ี ชื่อ - นามสกุล รางวัล

1 นางสาวนนั ทดิ า กรับทอง รางวัลชนะเลิศ

2 นางสาวปนัดดา หงษท์ อง รางวัลรองชนะเลศิ อนั ดับ 1

3 นายเชาวว์ ฒั น์ ดดี อม รางวลั รองชนะเลศิ อันดับ 2

กลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์

ท่ี ชื่อ - นามสกุล รางวลั
รางวัลชนะเลศิ
1 นายฑนนั ชัย คชเคลอ่ื น รางวลั รองชนะเลศิ อนั ดบั 1
รางวลั รองชนะเลศิ อันดับ 2
2 นางสาวกมลนทั ธ์ แกลว้ ทนงค์

3 นางจิตติมา ยศเรอื งสา

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ท่ี ชอ่ื - นามสกุล รางวัล

1 นายวารตุ ขำเจรญิ รางวัลชนะเลิศ

2 นางสาวอโนชา อุทุมสกุลรตั น์ รางวัลรองชนะเลิศ อนั ดบั 1

3 นายธงวุฒิ จนั ทร์เพชร รางวัลรองชนะเลิศ อนั ดบั 2

กลุม่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม

ที่ ชื่อ - นามสกุล รางวัล

1 นางสาวนันทวรรณ บญุ วฒั น์ รางวัลชนะเลิศ

2 นางสาวภรณี สบื เครอื รางวลั รองชนะเลิศ อันดับ 1

3 นางสาววมิ ลมาศ ฟบู นิ ทร์ รางวลั รองชนะเลศิ อันดับ 2

กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศกึ ษา รางวลั
ที่ ช่อื - นามสกลุ รางวัลชนะเลิศ
1 นางสาวชลสิ า ชำนาญวารี รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1
2 นายวนั เฉลิม เนตรธานนท์ รางวัลรองชนะเลศิ อันดับ 2
3 นายนันทกรณ์ หนดู ี

กลมุ่ สาระการเรียนร้ศู ลิ ปะ ชัง่ จัตตรุ ัตน์ รางวัล
ท่ี ชอื่ - นามสกลุ รตั นะ รางวัลชนะเลศิ
1 นายเอกนรนิ ทร์ ชูขันธ์ รางวลั รองชนะเลศิ อนั ดบั 1
2 นายศิวาวุฒิ รางวลั รองชนะเลิศ อนั ดับ 2
3 นางสาวรงั ษยิ า

กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพ รางวลั
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ รางวัลชนะเลิศ
1 นางสาวรศั มี กลุ สวุ รรณ รางวลั รองชนะเลศิ อันดับ 1
2 นางสาวนงนชุ ภิญโญทรัพย์ รางวลั รองชนะเลิศ อันดบั 2
3 นางสาวกาญจนา คงทน
รางวัล
กล่มุ สาระการเรียนร้ภู าษาต่างประเทศ รางวลั ชนะเลศิ
รางวลั รองชนะเลิศ อนั ดบั 1
ท่ี ชื่อ - นามสกุล รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2

1 นายธนกฤต พมิ พท์ อง

2 นางสาววราลักษณ์ จนั ทร์ลอย

3 นางสาวกนกวรรณ พมิ พ์ศรวงษ์


Click to View FlipBook Version