คำยืมภาษาจีนในภาษาไทย
ที่มาและการเปรียบเทียบความหมายของคำยืมในภาษาไทยกับคำในภาษาจีน
โดย ธัญสุดา อุปพงค์
ก
คำนำ
หนังสือนำเสนอผลการวิเคราะห์การยืมภาษาจีนเข้ามาใช้ในภาษาไทยนี้ เป็นส่วนหนึ่ง
ของการศึกษา รายวิชา 21542106 ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย จัดทำขึ้นเพื่อศึกษา
หาความรู้เกี่ยวกับคำยืมภาษาจีนในภาษาไทย ซึ่งภาษาจีนถือว่าเป็นภาษาที่สำคัญและยังถูก
ผลักดันให้เป็นภาษาที่สามของคนไทย ทั้งนี้ภายในรายงานเล่มนี้ยังได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
การยืมคำภาษาต่างประเทศ ภาพลักษณ์ของภาษาจีนในประเทศไทย ลักษณะการใช้คำยืม
ปูมหลังของคำศัพท์ ตัวอย่างคำและการนำไปใช้ เป็นต้น
ผู้จัดทำขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.ธวัชชัย ดุลยสุจริต เป็นอย่างสูงที่ได้ถ่ายทอด
องค์ความรู้ อบรมบ่มเพาะ ส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดจนชี้แนะแนวทางในการศึกษาเล่าเรียน
จนโครงงานชิ้นนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการ
ศึกษาค้นคว้าต่อไป หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้
ผู้จัดทำ
นางสาวธัญสุดา อุปพงค์
ข สารบัญ
เรื่อง หน้า
คำนำ ………………………………………………………………………………………….……...............………........ ก
สารบัญ …………………………………………………………….....………….……………………..............……….. ข
เข้าใจการยืมคำภาษาต่างประเทศ …………………………………………….....……......….......….………….. 3
ความหมายของคำยืม …………………………………….………………...........…...................……….. 4
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการยืมคำภาษาต่างประเทศ ……………………………..........….......………….. 4
ลักษณะการยืมคำภาษาต่างประเทศ ………………….……………………….....................……….. 4
การเปลี่ยนแปลงความหมายของคำยืมภาษาต่างประเทศ ……………............…......………... 4
ภาษาจีน คืออะไร ……………………………………………..…….…………………........……....….….......…….. 5
สาเหตุที่ภาษาจีนเข้ามาปะปนในภาษาไทย ………………………….…......………….......……...... 6
ลักษณะของภาษาจีน …………………………………………………..……………................….……….. 6
ลักษณะคำยืมภาษาจีนในภาษาไทย …….…………………………………….........…..….......….….. 6
คำจีนที่ปรากฏในภาษาไทย …………………………………………………..........……………....................... 7
การวิเคราะห์คำศัพท์ภาษาจีนที่ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 …......... 7
ตัวอย่างคำศัพท์ …………………………..........……....................................................……................... 8
สรุป .......................................................................................................................................... 18
ภาคผนวก
๑
คำยืมภาษาจีน
ใน
ภาษาไทย
๒
สวัสดีจ้า
น้องชื่อน้องปุยฝ้าย
วันนี้น้องจะพาทุก ๆ คน
มาทำความรู้จักกับ
"คำยืมภาษาจีนในภาษาไทย"
ถ้าพร้อมแล้ว
มาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันเถอะ
การยืมคำคืออะไร ๓
การยืมคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
มีหลักการอย่างไรบ้างมาดูกัน
๔
ไทยและจีนเป็นมิตรประเทศที่ติดต่อเจริญสัมพันธไมตรี และค้าขายแลกเปลี่ยน
สินค้า และศิลปะวัฒนธรรมอันดีงามมาช้านาน ชาวจีนที่มาค้าขายได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน
อยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ภาษาจีนจึงเข้ามาสู่ไทยโดยทางเชื้อชาติ โดยมีหลักฐาน
มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย นอกจากนี้ภาษาจีนและภาษาไทยยังมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
จึงทำให้มีคำภาษาจีนเข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทยจนแทบแยกกันไม่ออก
1. การยืมคำภาษาต่างประเทศ
1.1 ความหมายของคำยืม
คำยืม คือ คำที่เกิดจากการยืมคำหรือศัพท์ที่มาจากภาษาต่างประเทศเพื่อสร้างคำขึ้นใหม่
ใช้เรียกวัตถุหรือแนวความคิดใหม่ ๆ ที่ได้รับจากสังคมอื่น ๆ โดยการทับศัพท์ การแปลความหมาย
การยืมความหมาย การเปลี่ยนแปลงเสียงเพื่อความสะดวกในการออกเสียง บางครั้งมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน
ดังนั้นคำบางคำจึงมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปใน 3 ลักษณะคือความหมายแคบเข้า ความหมายกว้างออก
และความหมายย้ายที่
1.2 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการยืมคำภาษาต่างประเทศ
สาเหตุการยืมคำภาษาต่างประเทศ คือ การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนชาติหนึ่งกับอีกชนชาติหนึ่ง
จากอิทธิพลทางภูมิศาสตร์ การสงคราม การพาณิชย์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา การศึกษา และความ
เจริญด้านเทคโนโลยี เพื่อสร้างคำใหม่เพิ่มขึ้นใช้ในการติดต่อสื่อสารทำความเข้าใจกันทำให้ภาษาเจริญงอกงาม
1.3 ลักษณะการยืมคำภาษาต่างประเทศ
ลักษณะการยืมคำภาษาต่างประเทศ เกิดจากการปะปนของภาษาอันเนื่องมาจากเสียง
สำเนียง ความหมาย โดยที่การปะปน และทับศัพท์ของคำนั้นบางครั้งก่อให้เกิดความหมายใหม่หรือ
เปลี่ยนแปลงความหมาย และบางคำยังคงความหมายเดิมไว้
1.4 การเปลี่ยนแปลงความหมายของคำยืมภาษาต่างประเทศ
การเปลี่ยนแปลงความหมายของคำยืม คำแต่ละคำมีความหมายไม่ตายตัวย่อมรับเอาความหมายอื่น
มาเกี่ยวข้องด้วย แล้วเปลี่ยนแปลงความหมายไปจากเดิม บางครั้งก็ออกห่างจากความหมายเดิมจนค่อย
เลือนไปในที่สุด บางคำที่มีความหมายแตกสาขาออกไปมากมาย การเปลี่ยนแปลงความกว้างมีหลายลักษณะ
คือ ความหมายแคบเข้า ความหมายกว้างออก และความหมายย้ายที่
๕
汉语 漢語 华语 華語ภาษาจีน ( - - HÀNYǓ - ฮั่นอวี่, - - HUÁYǓ - หัวอวี่
中文หรือ - ZHŌNGWÉN - จงเหวิน) เป็นหนึ่งในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต
ในปัจจุบันภาษาจีนใช้อักษรมาตรฐาน 2 รูปแบบทั่วโลก
ได้แก่ อักษรจีนตัวเต็ม และ อักษรจีนตัวย่อ
ภาษาพูดของจีน แบ่งออกเป็น 7 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามจำนวนประชากรที่พูดได้ ดังนี้
官話 官话1. จีนกลาง หรือ ภาษาฮั่น หรือ แมนดาริน (จีนตัวเต็ม: , จีนตัวย่อ: ,
พินอิน: GUĀNHUÀ กวานฮว่า, คำแปล: ภาษาทางการ) หรือ สำเนียงทางเหนือ
北方方言(จีน: , พินอิน:BĚIFĀNGFĀNGYÁN เป่ยฟังฟังเอี๋ยน)
吳方言 吴方言2. ง่อ (จีนตัวเต็ม:
, จีนตัวย่อ: , พินอิน: WÚ FĀNG YÁN อู๋ฟางเอี๋ยน,
吳語 吴语คำแปล: สำเนียงอู๋) หรือ (จีนตัวเต็ม: , จีนตัวย่อ: , พินอิน: WÚ YǓ อู๋อวี่,
คำแปล: ภาษาอู๋) ในมณฑลเจียงซู
粵語 粤语3. กวางตุ้ง (จีนตัวเต็ม: , จีนตัวย่อ: , พินอิน: YUE YǓ เยว้-อวี่, คำแปล:
ภาษากวางตุ้ง)
閩方言 闽方言4. ฮกเกี้ยน หรือ หมิ่น (จีนตัวเต็ม:
, จีนตัวย่อ: , พินอิน: MǏNFĀNGYÁN
หมิ่นฟางเอี๋ยน, คำแปล: สำเนียงหมิ่น) ในมณฑลฝูเจี้ยนหรือฮกเกี้ยน
湘語 湘语5. เซียง (จีนตัวเต็ม: , จีนตัวย่อ: , พินอิน: XĪANG YǓ เซียงอวี่, คำแปล:
ภาษาในมณฑลหูหนาน)
客家話 客家话6. แคะ (จีนตัวเต็ม:
, จีนตัวย่อ: , พินอิน: KÈJIĀHUÀ เค้อเจียฮว่า,
คำแปล: ภาษาแคะ) หรือ ฮักกา
贛語 赣语7. กั้น (จีนตัวเต็ม: , จีนตัวย่อ: กั้นอวี่, คำแปล: ภาษามณฑลเจียงสี)
นักภาษาศาสตร์ยังได้แบ่งกลุ่มภาษาจีนออกมาจากกลุ่มใหญ่ข้างบนอีก 3 ประเภท ได้แก่
晉語 晋语1. จิ้น (จีนตัวเต็ม: , จีนตัวย่อ: , พินอิน: JÌNYǓ จิ้นอวี่) แยกมาจาก แมนดาริน
徽語 徽语2. ฮุย (จีนตัวเต็ม: , จีนตัวย่อ: , พินอิน: HUĪYǓ ฮุยอวี่) หรือ
徽州話 徽州话(จีนตัวเต็ม: , พินอิน: HUĪZHŌUHUÀ ฮุยโจวฮว่า) แยกมาจาก อู๋
, จีนตัวย่อ:
平話 平话3. ผิง (จีนตัวเต็ม: , จีนตัวย่อ: , พินอิน: PING YǓ ผิงอวี่) แยกมาจาก กวางตุ้ง
๖
สาเหตุที่ภาษาจีนเข้ามาปะปนในภาษาไทยคือ เชื้อสายและการค้าขาย
เพราะมีคนจีนเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
มีความผูกพันกันในด้านการแต่งงาน การค้าขาย จึงรับภาษาจีนมาไว้ใช้ในภาษา
ไทยจำนวนมาก ไทยรับภาษาจีนมาใช้ส่วนมาโดยวิธีการทับศัพท์
ซึ่งเสียงอาจจะเพี้ยนจากภาษาเดิมไปบ้าง
ลักษณะของคำภาษาจีนในภาษาไทย
ส่วนมากมักเป็นพยางค์เดียว การเรียงลำดับในประโยคมักขึ้นต้นด้วยประธาน
ตามด้วยกริยาและกรรม มีลักษณนาม มีเสียงวรรณยุกต์ คำคำเดียวมีหลายความหมาย
และมีการใช้คำซ้ำเหมือนกัน ต่างกันแต่วิธีขยายคำหรือข้อความ
เพราะว่าภาษาไทยให้คำขยายอยู่หลังคำที่ถูกขยาย
แต่ภาษาจีนให้คำขยายอยู่หน้าคำที่ถูกขยาย
การยืมคำภาษาจีนมาใช้ในภาษาไทยนั้น เราได้มาจากภาษาพูดไม่ใช่ภาษาเขียน เพราะระบบการเขียนภาษาจีนต่างกับภาษา
ไทยมาก ภาษาจีนเขียนอักษรแทนคำเป็นตัว ๆ ไม่มีการประสมสระ พยัญชนะ คำภาษาจีนที่มีใช้ในภาษาไทย
นำมาเป็นคำเรียกชื่อ เครื่องใช้แบบจีน ยาสมุนไพร สัตว์ อาหาร เครื่องแต่งกาย ธุรกิจการค้า มหรสพ และอื่น ๆ
คำยืมภาษาจีนในภาษาไทยมี 6 ลักษณะ คือ ทับศั พท์แต่เสี ยงเปลี่ยนไป
การทับคำศั พท์
ใช้คำไทยแปลกับคำภาษาจีน
สร้างคำใหม่หรือความหมายใหม่ ความหมายกลายไป
ใช้คำไทยประสมกับคำภาษาจีน
๗
ตัวอย่าภงคาษำยาืจมีนที่มาจาก
กงสี กงฉิน กงไฉ่ กงเต็ก ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ เกาหลา กุ๊ย
เก๊ เก๊ก เกี้ยว เกี๊ยว เกี๊ยะ กุยเฮง เก๊ก ก๋ง เก้าอี้ ขาก๊วย เข่ง
จับกัง จับฉ่าย จับยี่กี จันอับ เจ๊ง เจี๋ยน เจ เฉาก๊วย เซ้ง
เซียน แซ่ แซยิด เซ็งลี้ ซาลาเปา ซิ้ม ตะหลิว เต๋า ตุน ตุ๋น
แต๊ะเอีย เต้าหู้ เต้าฮวย เต้าเจี้ยว โต๊ะ ไต้ก๋ง ตังเก บ๊วย
บะฉ้อ บะหมี่ บู๊ ปุ้งกี๋ ปอเปี๊ ยะ แป๊ะเจี๊ยะ พะโล้ เย็นตาโฟ
หวย ยี่ห้อ ลิ้นจี่ ห้าง หุ้น เอี๊ยม โสหุ้ย เฮงซวย ฮวงซุ้ย
ฮ่องเต้ อั้งโล่
การใช้คำภาษาจีนในภาษาไทย จีนใช้ภาษาหลายภาษา แต่ที่เข้ามาปะปนภาษาไทยมากที่สุดคือ ภาษาจีนแต้จิ๋ว
ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของคนจีนแถบซัวเถา คำที่รับมาใช้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับอาหารการกิน คำที่ใช้ในวงการค้าและ
ธุรกิจ และคำที่ใช้ในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ
เทคนิ คการจำคำศั พท์ภาษาจีน
ก๋วยเตี๋ยวเกี๊ยวบะหมี่ พะโล้นี้ ช่างน่ าสน
เกาเหลาจับฉ่ ายปน ตะหลิวคนตักเฉาก๊วย
อาหารจานเด็ดนี้ ล้วนมากมีสี สั นสวย
จีนใช้ไทยยืมด้วย สื่ อรุ่มรวยทางภาษา
๘
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
1 . กั ง ฉิ น g a n g - c h ĭ n ( กั ง - ฉิ น )
กั ง ฉิ น เ ป็ น คำ จี น ส ย า ม ที่ ค น ไ ท ย รู้ จั ก กั น ดี แ ล ะ ใ ช้ กั น อ ย่ า ง ก ว้ า ง ข ว า ง
เ พื่ อ ใ ช้ เ รีย ก พ ฤ ติ ก ร ร ม ฉ้ อ ร า ษ ฎ ร์ บั ง ห ล ว ง ข อ ง ข้ า ร า ช ก า ร ห รือ นั ก ก า ร เ มื อ ง
คำ ว่ า “ กั ง ฉิ น ” เ พี้ ย น ม า จ า ก คำ จี น แ ต้ จิ๋ ว ที่ อ อ ก เ สี ย ง ว่ า “ กั ง ชิ้ ง ” ภ า ษ า จี น ก ล า ง
อ อ ก เ สี ย ง ว่ า “ เ จี ย น เ ฉิ น ” ( j i a n c h e n ) คำ ว่ า “ เ จี ย น ” ห รือ “ กั ง ” ห ม า ย ถึ ง
เ จ้ า เ ล่ ห์ เ พ ทุ บ า ย ก ลั บ ก ล อ ก ป ลิ้ น ป ล้ อ น ท ร ย ศ หั ก ห ลั ง คำ ว่ า “ เ ฉิ น ” ห รือ “ ฉิ น ”
ห ม า ย ถึ ง ขุ น น า ง ข้ า ร า ช ก า ร ฉ ะ นั้ น เ มื่ อ ร ว ม คำ ทั้ ง ส อ ง เ ป็ น คำ ว่ า “ กั ง ฉิ น ” ห ม า ย ถึ ง
บ ร ร ด า ขุ น น า ง ห รือ ข้ า ร า ช ก า ร ต ล อ ด จ น นั ก ก า ร เ มื อ ง ที่ นิ สั ย ไ ม่ ดี มี แ น ว โ น้ ม จ ะ มี
พ ฤ ติ ก ร ร ม ไ ป ใ น ท า ง ฉ้ อ ร า ษ ฎ ร์ บั ง ห ล ว ง ค น ที่ จ ะ เ ป็ น ทั้ ง นั้ น มี พ ฤ ติ ก ร ร ม ไ ป ใ น ท า ง
เ จ้ า เ ล่ ห์ เ พ ทุ บ า ย เ พื่ อ ห า ท า ง ฉ้ อ ฉ ล ท รั พ ย์ ข อ ง แ ผ่ น ดิ น ห รือ ท รั พ ย์ อั น ไ ม่ พึ ง ไ ด้ ม า
เ ป็ น ข อ ง ต น ใ ห้ ไ ด้ ใ น ข ณ ะ เ ดี ย ว กั น ก็ พ ร้ อ ม จ ะ แ ส ด ง ค ว า ม ป ลิ้ น ป ล้ อ น อ อ ก ม า เ มื่ อ ถู ก
จั บ ไ ด้ สิ่ ง ที่ ข า ด ไ ม่ ไ ด้ อี ก ป ร ะ ก า ร ห นึ่ ง ข อ ง จั ง ขึ้ น คื อ ต้ อ ง ห า ท า ง ทำ ล า ย ขุ น น า ง ห รือ
ข้ า ร า ช ก า ร ที่ ซื่ อ สั ต ย์ สุ จ ริต เ พื่ อ ไ ม่ ใ ห้ ม า ขั ด ข ว า ง พ ฤ ติ ก ร ร ม ฉ้ อ ร า ษ ฎ ร์ บั ง ห ล ว ง
ข อ ง ต น ไ ด้ ใ น ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ จี น เ อ ง ก็ มี กั ง ฉิ น ป ร ะ เ ภ ท นี้ อ ยู่ ไ ม่ น้ อ ย ใ น ก ร ณี ข อ ง
สั ง ค ม ไ ท ย ก็ ไ ม่ ต่ า ง กั น กั ง ฉิ น ใ น สั ง ค ม ไ ท ย มี จุ ด เ ด่ น ป ร ะ ก า ร ห นึ่ ง คื อ มั ก บิ ด เ บื อ น
ก า ร ใ ช้ อำ น า จ ข อ ง ต น ด้ ว ย ก า ร ใ ห้ ผู้ ใ ต้ บั ง คั บ บั ญ ช า ทำ ก า ร อ ย่ า ง ใ ด อ ย่ า ง ห นึ่ ง แ ท น
ต น เ พื่ อ ใ ห้ ไ ด้ ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ท า ง มิ ช อ บ จ ะ เ ห็ น ไ ด้ ว่ า สั ง ค ม ไ ท ย แ ล ะ จี น มี กั ง ฉิ น ที่
ใ ก ล้ เ คี ย ง กั น กั ง ฉิ น จึ ง เ ป็ น ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ ที่ อ ยู่ คู่ กั บ เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ก า ร เ มื อ ง ข อ ง ทุ ก
สั ง ค ม ห า ก ก ล่ า ว ใ น แ ง่ ก า ร ใ ช้ คำ แ ล้ ว สั ง ค ม ไ ท ย น่ า จ ะ รั บ คำ นี้ ม า จ า ก ง า น
ว ร ร ณ ก ร ร ม ที่ มี ตั ว ล ะ ค ร รั บ บ ท กั ง ฉิ น ม า ก ก ว่ า ก า ร ไ ด้ ยิ น ไ ด้ ฟั ง ใ น ชี วิต ป ร ะ จำ วั น
เ พ ร า ะ ค น ไ ท ย ใ น อ ดี ต ยั ง ไ ม่ มี ส่ ว น ร่ ว ม ท า ง ก า ร เ มื อ ง ม า ก พ อ ที่ จ ะ ล่ ว ง รู้ ก า ร ฉ้ อ
ร า ษ ฎ ร์ บั ง ห ล ว ง ไ ด้ อ ย่ า ง ก ว้ า ง ข ว า ง เ ท่ า ปั จ จุ บั น เ มื่ อ ไ ม่ รู้ คำ ว่ า กั ง ฉิ น จึ ง ห่ า ง ไ ก ล
จ า ก ก า ร นำ ม า ใ ช้ แ ล ะ คำ ว่ า กั ง ฉิ น เ ป็ น ค่ า จี น ส ย า ม ที่ เ พี้ ย น ม า จ า ก เ สี ย ง เ ดิ ม คื อ
กั ง ซิ้ ง เ พื่ อ ใ ห้ ถ นั ด ต่ อ ก า ร อ อ ก เ สี ย ง ข อ ง ค น ไ ท ย ซึ่ ง วิธี นี้ โ ด ย ม า ก มั ก ป ร า ก ฏ ใ น ง า น
ว ร ร ณ ก ร ร ม จี น ที่ แ ป ล เ ป็ น ภ า ษ า ไ ท ย ใ น ภ า ษ า ไ ท ย น อ ก จ า ก จ ะ ใ ช้ คำ ว่ า กั ง ฉิ น
เ รีย ก บุ ค ค ล ที่ มี พ ฤ ติ ก ร ร ม ดั ง ก ล่ า ว แ ล้ ว ยั ง ใ ช้ ใ น เ ชิ ง เ ป รีย บ เ ที ย บ กั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม
ทำ น อ ง นี้ อี ก ด้ ว ย เ มื่ อ สั ง ค ม ไ ท ย ก้ า ว สู่ ร ะ บ บ ก า ร เ มื อ ง เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ส มั ย ใ ห ม่ ม า ก ขึ้ น ก็
มี คำ ว่ า “ ค อ ร์ รั ป ชั น ” เ พิ่ ม เ ข้ า ม า
๙
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
2 . ก ง สี g o n g - s ĕ e ( ก ง - สี )
คำ ว่ า “ ก ง สี ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น
พ . ศ . 2 5 4 2 ว่ า “ น . ข อ ง ก อ ง ก ล า ง ที่ ใ ช้ ร ว ม กั น สำ ห รั บ ค น ห มู่ ห นึ่ ง ๆ , หุ้ น ส่ ว น ,
บ ริษั ท , ( จ . ก ง ซี ว่ า บ ริษั ท ทำ ก า ร ค้ า , กิ จ ก า ร ที่ จั ด เ ป็ น ส า ธ า ร ณ ะ ) มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม
พ จ น า นุ ก ร ม จี น X i a n D a i H a n Y u C i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3
แ ป ล ว่ า น , อุ ต ส า ห ก ร ร ม แ ล ะ ก า ร พ า ณิ ช ย์ อ ง ค์ ก ร อ ย่ า ง ห นึ่ ง ซึ่ ง มี ก า ร บ ริห า ร
ก า ร ผ ลิ ต , ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ , สิ น ค้ า , โ ภ ค ภั ณ ฑ์ , ห รือ ผ่ า น ก า ร ก่ อ ส ร้ า ง บ า ง อ ย่ า ง ห รือ
รั ฐ วิส า ห กิ จ แ ล ะ อื่ น ๆ คำ นี้ เ ป็ น คำ ที่ ไ ท ย รั บ ม า พ ร้ อ ม กั บ วั ฒ น ธ ร ร ม ก า ร ทำ ธุ ร กิ จ ข อ ง
พ่ อ ค้ า ช า ว จี น ที่ เ ข้ า ทำ ธุ ร กิ จ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ใ น ส มั ย ก่ อ น ค ร อ บ ค รั ว ที่ ใ ช้ ร ะ บ บ ก ง สี
มั ก เ ป็ น ค ร อ บ ค รั ว ใ ห ญ่ ทุ ก ค น อ ยู่ ร ว ม กั น แ ล ะ ช่ ว ย กั น ทำ ม า ค้ า ข า ย ทำ ใ ห้ มี ฐ า น ะ เ ป็ น
ปึ ก แ ผ่ น ต่ อ ม า ร ะ บ บ ทุ น นิ ย ม ไ ด้ ทำ ใ ห้ ร ะ บ บ ก ง สี ค่ อ ย ๆ ห ม ด ไ ป เ พ ร า ะ ถื อ ว่ า ใ ค ร ทำ ไ ด้
เ ท่ า ไ ร ร า ย ไ ด้ ก็ ค ว ร จ ะ เ ป็ น ข อ ง ค น นั้ น นั่ น เ อ ง ภ า ษ า ไ ท ย มี เ สี ย ง ใ ก ล้ เ คี ย ง กั บ สำ เ นี ย ง
จี น ถิ่ น แ ต้ จิ๋ ว ที่ อ อ ก เ สี ย ง ว่ า ก ง ซี แ ต่ อ อ ก เ สี ย ง เ พี้ ย น ไ ป เ ป็ น ก ง สี
๑๐
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
3 . ต ะ ห ลิ ว d t à - l ĭ w ( ต ะ - หฺ ลิ ว )
คำ ว่ า “ ต ะ ห ลิ ว ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น
พ . ศ . 2 5 4 2 ว่ า “ น . เ ค รื่ อ ง มื อ ทำ ด้ ว ย เ ห ล็ ก ใ ช้ แ ซ ะ ห รือ ตั ก ข อ ง ที่ ท อ ด ห รือ ผั ด ใ น ก ร ะ ท ะ
( เ ที ย บ จ . เ ตี้ ย ะ ว่ า ก ร ะ ท ะ + ห ลิ ว ว่ า เ ค รื่ อ ง แ ซ ะ , เ ค รื่ อ ง ตั ก ) ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม
พ จ น า นุ ก ร ม จี น X i a n D a i H a n Y u G i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3 แ ป ล ว่ า
น . เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ใ ช้ ก า ร ป รุ ง อ า ห า ร คำ นี้ มี ที่ ม า จ า ก ภ า ษ า จี น สำ เ นี ย ง ถิ่ น แ ต้ จิ๋ ว
อ อ ก เ สี ย ง ว่ า เ ตี้ ย ห ลิ่ ว คำ ว่ า " เ ดี้ ย " ห ม า ย ถึ ง ก ร ะ ท ะ เ ป็ น ภ า ช น ะ ที่ ใ ช้ หุ ง อ า ห า ร ใ น ส มั ย
โ บ ร า ณ มี 2 หู คำ ว่ า " ห ลิ่ ว " ห ม า ย ถึ ง ก า ร ผั ด อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว ใ น ก ร ะ ท ะ จ น บ า ง ที่ มี ค ว า ม
ห ม า ย ว่ า แ ค่ ล ง ไ ป น า บ ใ น ก ร ะ ท ะ ใ ห้ อุ่ น ร้ อ น ขึ้ น ร ว ม ค ว า ม แ ล้ ว ห ม า ย ถึ ง เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ใ ช้ ใ น
ก า ร พ ลิ ก อ า ห า ร ใ น ก ร ะ ท ะ เ ช่ น เ อ า ข น ม กุ้ ย ช่ า ย ไ ป ห ลิ่ ว ใ น ก ร ะ ท ะ ดั ง นั้ น คำ ว่ า ต ะ ห ลิ ว
จึ ง น่ า จ ะ รั บ ม า จ า ก สำ เ นี ย ง จี น แ ต้ จิ๋ ว ที่ ห ม า ย ถึ ง ทั พ พี ที่ ใ ช้ พ ลิ ก กั บ ข้ า ว ใ น ก ร ะ ท ะ
แ ต่ ภ า ษ า ไ ท ย อ อ ก เ สี ย ง เ พี้ ย น เ ป็ น ต ะ ห ลิ ว
๑๑
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
4 . ป า ท่ อ ง โ ก b p a a - t ô n g - g ŏ h ( ป า - ท่ อ ง - โ ก๋ )
คำ ว่ า “ ป า ท่ อ ง โ ก้ " มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น
พ . ศ . 2 5 4 2 ว่ า “ น . ข อ ง กิ น ช นิ ด ห นึ่ ง ข อ ง จี น ทำ ด้ ว ย แ ป้ ง ข้ า ว เ จ้ า กั บ น้ำ ต า ล ท ร า ย รู ป
สี่ เ ห ลี่ ย ม เ นื้ อ ค ล้ า ย ข น ม ถ้ ว ย ฟู , ข อ ง กิ น ช นิ ด ห นึ่ ง ข อ ง จี น ทำ ด้ ว ย แ ป้ ง ส า ลี ตั ด เ ป็ น ท่ อ น ๆ
แ ล้ ว จั บ เ ป็ น คู่ ติ ด กั น ท อ ด น้ำ มั น ใ ห้ พ อ ง , ค น จี น เ รีย ก ว่ า " อิ๊ ว จ า ก๊ ว ย " ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม จี น
X i a n D a i H a n Y u C i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3 แ ป ล ว่ า น . ข อ ง กิ น ช นิ ด ห นึ่ ง ทำ ด้ ว ย
แ ป้ ง ข้ า ว เ จ้ า ที่ ท อ ด น้ำ มั น แ ล้ ว มี รู ป ย า ว ใ ช้ รั บ ป ร ะ ท า น เ ป็ น อ า ห า ร เ ช้ า ภ า ษ า จี น แ ต้ จิ๋ ว อ อ ก
เ สี ย ง " แ ป๊ ะ ทิ้ ง ก อ " ภ า ษ า ก ว า ง ตุ้ ง อ อ ก เ สี ย ง ว่ า " ปั ก ถ่ อ ง โ ก ว " ส่ ว น ค น แ ต้ จิ๋ ว เ รีย ก
ว่ า " อิ้ ว จ า ก๊ ว ย " , " โ ห ย ว จ้ า โ ก่ " ห ม า ย ถึ ง ข น ม ที่ ทำ จ า ก แ ป้ ง ส า ลี แ ล้ ว ท อ ด ด้ ว ย น้ำ มั น
แ ม้ ว่ า ต่ า ง ถิ่ น ต่ า ง เ รีย ก ไ ม่ เ ห มื อ น กั น แ ต่ ก็ คื อ ข น ม อ ย่ า ง เ ดี ย ว กั น ภ า ษ า ไ ท ย จึ ง น่ า จ ะ รั บ
ม า จ า ก สำ เ นี ย ง จี น ก ว า ง ตุ้ ง แ ล้ ว อ อ ก เ สี ย ง เ ป็ น ป า ท่ อ ง โ ก
๑๒
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
5 . ฟู f o o ( ฟู )
คำ ว่ า “ ฟู ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น พ . ศ . 2 5 4 2
ว่ า “ พ อ ง ตั ว ขึ้ น , ข ย า ย ตั ว นู น ขึ้ น , เ ช่ น ข น ม ส า ลี่ ฟู ม า ก ป ล า ดุ ก ฟู , อื ด ขึ้ น
เ ช่ น แ ป้ ง ห มั ก ฟู ขึ้ น , พ อ ง โ ป่ ง ขึ้ น ม า เ ช่ น ผ ม ฟู ปุ ย นุ่ น ฟู สุ นั ข ข น ฟู ฟู ฟ่ อ ง
ก . ก ร ะ เ ตื้ อ ง ขึ้ น , ดี ขึ้ น , เ จ ริญ ขึ้ น , ฟุ้ ง ก ร ะ จ า ย ไ ป ด้ ว ย ค ว า ม ดี , ฟ อ ง ฟู ก็ ว่ า ฟู เ ฟื่ อ ง ว .
เ จ ริญ , มั่ ง คั่ ง , รุ่ ง เ รือ ง , เ ฟื่ อ ง ฟู ก็ ว่ า ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม จี น X i a n D a i
H a n Y u C i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3 แ ป ล ว่ า 1 0 น . อ า ห า ร ที่ ห มั ก แ ช่ น้ำ ใ ห้ ข ย า ย ตั ว
เ ช่ น ห มี่ ฟู ขึ้ น
2 น . ค ว า ม ร่ำ ร ว ย เ พ ร า ะ มี เ งิ น ม า ก ห ม า ย ไ ด้ เ จ ริญ ขึ้ น สำ เ นี ย ง จี น แ ต้ จิ๋ ว อ อ ก
เ สี ย ง ว่ า " ฮ ว ก " น อ ก จ า ก นี้ ภ า ษ า จี น แ ต้ จิ๋ ว ใ ช้ คำ ที่ มี ค ว า ม ห ม า ย เ ดี ย ว กั น นี้ อ อ ก สำ เ นี ย ง
แ ต้ จิ๋ ว ว่ า " พู้ " ภ า ษ า ไ ท ย อ อ ก เ สี ย ง ใ ก ล้ เ คี ย ง กั บ สำ เ นี ย ง จี น แ ต้ จิ๋ ว ที่ อ อ ก เ สี ย ง ว่ า " พู้ "
แ ต่ ภ า ษ า ไ ท ย อ อ ก เ สี ย ง เ พี้ ย น ว่ า " ฟู "
๑๓
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
6. ไหน năi ( ไหน )
คำ ว่ า “ ไ ห น ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น พ . ศ . 2 5 4 2
ว่ า “ น . ชื่ อ ผ ล ไ ม้ ค ล้ า ย พุ ท ร า " มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม จี น X i a n D a i H a n
Y u C i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3 แ ป ล ว่ า น . ชื่ อ ไ ม้ ต้ น ใ บ เ ป็ น รู ป ไ ข่ ด อ ก สี ข า ว
ผ ล เ ป็ น รู ป ก ล ม สี เ ห ลื อ ง ห รือ สี ม่ ว ง อ ม แ ด ง คื อ ผ ล ไ ม้ ช นิ ด ห นึ่ ง
2 น . ผ ล ไ ม้ ข อ ง พื ช นี้ ภ า ษ า จี น สำ เ นี ย ง ถิ่ น แ ต้ จิ๋ ว ที่ อ อ ก เ สี ย ง ว่ า " ลี่ " คำ นี้ ภ า ษ า ไ ท ย
อ อ ก เ สี ย ง ใ ก ล้ เ คี ย ง กั บ สำ เ นี ย ง จี น ก ว า ง ตุ้ ง ว่ า " ไ ห ล " แ ต่ อ อ ก เ สี ย ง เ พี้ ย น ไ ป
๑๔
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
7 . ห้ า ง h â a n g ( ห้ า ง )
คำ ว่ า “ ห้ า ง ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น
พ . ศ . 2 5 4 2 ว่ า “ น . ส ถ า น ที่ จำ ห น่ า ย สิ น ค้ า , ส ถ า น ที่ ป ร ะ ก อ บ ธุ ร กิ จ ” มี ค ว า ม ห ม า ย
ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม จี น X i a n D a i H a n Y u C i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3
แ ป ล ว่ า น . อ ง ค์ ก า ร ท า ง ธุ ร กิ จ เ ช่ น ร้ า น ข า ย ร ถ คำ ว่ า ห้ า ง เ ป็ น คำ ยื ม ภ า ษ า จี น ใ น ภ า ษ า
ไ ท ย แ ป ล ว่ า ร้ า น ค้ า ห้ า ง แ ล ะ ใ ช้ ติ ด ป า ก จ น ค น ไ ท ย ส่ ว น ใ ห ญ่ คิ ด ว่ า คำ นี้ เ ป็ น คำ ไ ท ย แ ต่ ใ น
ค ว า ม เ ป็ น จ ริง คำ นี้ มี ที่ ม า จ า ก ภ า ษ า จี น ( h a n g ห า ง ) แ ป ล ว่ า ห้ า ง คำ นี้ เ ป็ น ที่ ย อ ม รั บ
แ ล ะ ก ล ม ก ลื น กั บ ภ า ษ า ไ ท ย เ ป็ น อ ย่ า ง ดี จ น ก ล า ย เ ป็ น ส่ ว น ห นึ่ ง ข อ ง ภ า ษ า ท า ง ก า ร อ ย่ า ง
ภ า ษ า ก ฎ ห ม า ย เ ช่ น ห้ า ง หุ้ น ส่ ว น จำ กั ด ฯ ล ฯ ภ า ษ า แ ต้ จิ๋ ว อ อ ก เ สี ย ง ว่ า " ฮั้ ง " คำ นี้ ภ า ษ า
ไ ท ย อ อ ก เ สี ย ง ใ ก ล้ เ คี ย ง กั บ ภ า ษ า จี น ก ล า ง ที่ อ อ ก เ สี ย ง ว่ า " ห า ง " แ ต่ ภ า ษ า ไ ท ย อ อ ก เ สี ย ง
เ พี้ ย น ไ ป เ ป็ น " ห้ า ง "
๑๕
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
8 . อั้ ง ยี่ â n g - y ê e ( อั้ ง - ยี่ )
คำ ว่ า “ อั้ ง ยี่ ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น พ . ศ . 2 5 4 2
แ ป ล ว่ า " น , ส ม า ค ม ลั บ ข อ ง จี น ; ( ก ฎ ) ชื่ อ ค ว า ม ผิ ด อ า ญ า ฐ า น เ ป็ น ส ม า ชิ ก ข อ ง ค ณ ะ
บุ ค ค ล ซึ่ ง ป ก ปิ ด วิธี ดำ เ นิ น ก า ร แ ล ะ มี ค ว า ม มุ่ ง ห ม า ย เ พื่ อ ก า ร อั น มิ ช อ บ ด้ ว ย ก ฎ ห ม า ย
เ รีย ก ว่ า ค ว า ม ผิ ด ฐ า น เ ป็ น อั้ ง ยี่ " มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม จี น X i a n D a i H a n
Y u G i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3 แ ป ล ว่ า ว . ใ ห ญ่ โ ต
2 น . เ ป็ น แ ซ่ ข อ ง ค น ส มั ย ต้ น ก รุ ง รั ต น โ ก สิ น ท ร์ ช า ว จี น อ พ ย พ เ ข้ า ม า ใ น
ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ ป็ น จำ น ว น ม า ก จึ ง ไ ด้ เ กิ ด ส ม า ค ม ลั บ อั้ ง ยี่ ขึ้ น แ ล ะ ก่ อ ค ว า ม วุ่ น ว า ย ( อั้ ง ยี่ ใ น
ส มั ย นั้ น เ รีย ก พ ว ก ตั้ ว เ หี่ ย ) ที่ เ มื อ ง ฉ ะ เ ชิ ง เ ท ร า จ น ท า ง ก รุ ง เ ท พ ฯ ต้ อ ง ส่ ง ก อ ง ทั พ เ ข้ า ไ ป
ป ร า บ ป ร า ม คำ นี้ ภ า ษ า ไ ท ย อ อ ก เ สี ย ง เ ห มื อ น กั น กั บ ภ า ษ า จี น สำ เ นี ย ง ถิ่ น แ ต้ จิ๋ ว ที่ อ อ ก
เ สี ย ง ว่ า " อั้ ง ยี่ "
๑๖
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
9 . อั้ ง โ ล่ â n g - l ô h ( อั้ ง - โ ล่ )
คำ ว่ า “ อั้ ง โ ล่ ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น
พ . ศ . 2 5 4 2 แ ป ล ว่ า " น , เ ต า ไ ฟ ดิ น เ ผ า ช นิ ด ห นึ่ ง ข อ ง จี น ย ก ไ ป ไ ด้ ” มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม
พ จ น า นุ ก ร ม จี น X i a n D a i H a n Y u C i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3 แ ป ล ว่ า
น , เ ต า ช นิ ด ห นึ่ ง สำ ห รั บ ใ ช้ ต้ ม น้ำ ช า ถ้ า แ ป ล ต า ม ตั ว อั ก ษ ร จ ะ ห ม า ย ถึ ง เ ต า ที่ ต้ อ ง อ า ศั ย
ล ม พั ด ภ า ษ า จี น ถิ่ น ฮ ก เ กี้ ย น อ อ ก เ สี ย ง เ รีย ก เ ต า ป ร ะ เ ภ ท นี้ ว่ า " ฮั ง ห ล อ " แ ต้ จิ๋ ว อ อ ก
เ สี ย ง ว่ า " ฮ ว ง โ ล้ ว " แ ต่ ภ า ษ า ไ ท ย อ อ ก เ สี ย ง ว่ า " อั้ ง โ ล่ " มี ที่ ม า จ า ก สำ เ นี ย ง จี น แ ต้ จิ๋ ว ที่
เ รีย ก เ ต า ว่ า " อั่ ง โ ล้ ว " ภ า ษ า จี น ม า จ า ก คำ ว่ า " ห ง ห ลู " ซึ่ ง ห ม า ย ถึ ง เ ต า ถ่ า น เ ช่ น
เ ดี ย ว กั น แ ต่ มี ก า ร เ รีย ก ที่ ห ล า ก ห ล า ย คำ นี้ ภ า ษ า ไ ท ย มี เ สี ย ง ที่ ค ล้ า ย ค ลึ ง กั บ สำ เ นี ย ง จี น
ถิ่ น แ ต้ จิ๋ ว
๑๗
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์
ตั ว อ ย่ า ง คำ ศั พ ท์ ที่ ไ ด้ ทำ ก า ร ศึ ก ษ า ป ร ะ วั ติ คำ พ ร้ อ ม ตั ว อ ย่ า ง ก า ร นำ ไ ป ใ ช้ มี ดั ง ต่ อ ไ ป นี้
1 0 . ฮั้ ว h ú u a ( ฮั้ ว )
คำ ว่ า “ ฮั้ ว " มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ร า ช บั ณ ฑิ ต ย ส ถ า น พ . ศ . 2 5 4 2
ว่ า “ ( ป า ก ) ก . ก า ร ร ว ม หั ว กั น , ร่ ว ม กั น ก ร ะ ทำ ก า ร , ส ม ย อ ม กั น ใ น ก า ร เ ส น อ ร า ค า
เ พื่ อ มุ่ ง ห ม า ย มิ ใ ห้ มี ก า ร แ ข่ ง ขั น ร า ค า อ ย่ า ง เ ป็ น ธ ร ร ม " มี ค ว า ม ห ม า ย ต า ม
พ จ น า นุ ก ร ม จี น X i a n D a i H a n Y u C i D i a n ฉ บั บ ค . ศ . 2 0 0 3
แ ป ล ว่ า ก . ร่ ว ม มื อ กั น ร่ ว ม มื อ ทำ เ รื่ อ ง ห นึ่ ง แ ต่ ต่ อ ม า มั ก ใ ช้ ใ น ค ว า ม ห ม า ย ส ม ค บ กั น ใ น
ก า ร ป ร ะ มู ล ห รือ ใ น ด้ า น ก า ร ค้ า โ ด ย มุ่ ง ห วั ง กี ด กั น ก า ร แ ข่ ง ขั น เ พื่ อ ผ ล กำ ไ ร ห รือ
ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ก ลุ่ ม ต น เ ท่ า นั้ น ภ า ษ า ไ ท ย อ อ ก เ สี ย ง ใ ก ล้ เ คี ย ง กั บ สำ เ นี ย ง จี น แ ต้ จิ๋ ว
ที่ อ อ ก เ สี ย ง ว่ า " ฮ ะ "
๑๘
สรุป
การยืมคำภาษาจีนมีในภาษาไทยมีที่มาจากความสั มพันธ์กันมา
ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนกระทั่งสมัยรัตนโกสิ นทร์ ความสั มพันธ์
ส่ วนใหญ่ เป็นความสั มพันธ์ทางการค้า ชาวจีนอพยพเข้ ามาตั้งถิ่ นฐาน
ในประเทศไทย การรับวิทยาการหลายด้านมาจากจีน ตลอดจนความสั มพันธ์
ระหว่างบุคคล ทำให้ มีการติดต่อสื่ อสารแลกเปลี่ยนและยืมภาษา
โดยคำศั พท์ที่ยืมมาจากภาษาจีนที่ใช้ในภาษาไทยนั้ น พบว่ามีการกลายความ
หมายไปจากเดิม ดังจะเห็ นได้จากตัวอย่างคำศั พท์ที่ผู้วิจัยได้ยกมาเป็นตัวอย่าง
โปรดสแกนที่นี่ เพื่ออ่านเอกสารนำเสนอผลการศึ กษาค้นคว้า
เรื่อง "ที่มาและการเปรียบเทียบความหมายของคำยืมในภาษาไทยกับคำในภาษาจีน"
โปรดสแกนที่นี่ เพื่อรับชมวิดีโอเรื่อง "คำยืมภาษาจีนในภาษาไทย"
๑๙
ประวัติผู้จัดทำ
ชื่อ-สกุล : ธัญสุดา อุปพงค์
ชื่อเล่น : อั้ม
วัน/เดือน/ปีเกิด : 22 เมษายน 2544
อายุ : 20 ปี
ที่อยู่ : 62/1 ตำบลอุ่มจาน อำเภอกุสุมาลย์
จังหวัดสกลนคร 47230
ปัจจุบัน : กำลังศึ กษาในระดับอุดมศึ กษา
ในสาขาวิชาการสอนภาษาไทย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
บทเรียนจบแล้ว
ไว้พบกับกันใหม่โอกาสหน้ านะคะ