อารยธรรม
อินเดีย
สารบัญ
เรื่อง หน้า
อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ 4
7
สมัยอารยันระยะเเรก 10
12
สมัยมหากาพย์หรือยุคพระเวท 14
16
สมัยจักรวรรดิมคธหรือพุทธกาล 17
19
สมัยจักวรรดิเมารยะ (โมริยะ) 21
22
สมัยเเบ่งเเยกเเละการรุกรานจากภายนอก 24
25
สมัยจักรวรรดิคุปตะ
สมัยหลังจักรวรรดิคุปตะ
สมัยอิสลาม
ราชวงศ์โมกุล
ยุคอาณานิคม
ยุคเอกราช
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ระบบวรรณะ 27
ปรัชญาเเละลัทธิศาสนา 28
เทพเจ้าของอินเดีย 29
ศิลปกรรมอินเดีย 31
1. สถาปัตยกรรม
32
2. ประติมากรรม 34
35
3. จิตรกรรม
36
4. นาฏศิลป์และสังคีตศิลป์
5. วรรณกรรม 37
6. ความก้าวหน้าทางวิทยาการของอินเดีย 40
I
สมัย
ก่อนประวัติศาสตร์
อารยธรรมอินเดีย
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
1. อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ
เมืองโมเฮนโจ ดาโร
เมืองฮารัปปา
มีเมืองโบราณคดีสำคัญ คือ โมเฮนโจ ดาโร ทางตอนใต้ของ
ประเทศปากีสถานเเละ ฮารัปปา ในแคว้นปันจาป ประเทศ
ปากีสถานในปัจจุบัน มีการก่ออิฐ/ดินเผา มีป้อมปราการเเละ
สถานที่ประกอบพิธีกรรมอยู่สองฝั่ งเเม่น้ำสินธุ
เเสดงถึงความเจริญในด้านสถาปัตยกรรม สาธารณูปโภค
การชลประทานเเละผังเมือง
5
1. อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ
เครื่องประดับ
มีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหิน กระดูกสัตว์ หิน ทองเเดงเเละ
สำริด มีเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ กำไลเเขน ทำด้วย
ทองคำเงิน เเละหินที่มีค่า
รู้จักตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยผ้าฝ้าย เเละพบดวงตรา เครื่องประดับที่
เมืองฮัมรี เหมือนอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย
ประชากรพื้นเมืองเป็นชนเผ่าทราวิฑหรือดราวินเดียน
ลักษณะสรีระ คือ ผิวดำ ตัวเตี้ย ผมหยิก จมูกเเบน
เเละมีการสันนิษฐานว่าอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุเสื่อมลงมาจาก
1) ภัยธรรมชาติเพราะน้ำท่วม พายุทราย
2) ถูกรุกรานจากพวกชนเผ่าอินโด-อารยัน 6
1. อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ
พวกอารยันส่วนหนึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มน้ำสินธุเเละ
ขับไล่พวกดราวิเดียนให้ถอยร่นไปทางตอนใต้หรือจับเป็นทาศ
เเละในภายหลังชาวดราวิเดียนบางส่วนเเต่งงานกับ
ชาวอารยัน ทำให้เกิดการเเบ่งชั้นวรรณะ
7
อารยธรรมอินเดีย
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
2. สมัยอารยันระยะเเรก
การปกครองระยะเเรกเป็นเเบบชนเผ่า มีอิสระ ไม่ขึ้นเเก่กัน
หลักฐานที่สำคัญ
คือ พระเวท วรรณกรรม
ภาษาสันสกฤต ที่เก่าเเก่ที่สุด (บทสวด)
มีการปกครองเเบบราชาธิปไตย เป็นสมมติเทพ
เริ่มมีการเเบ่ง ชนชั้นวรรณะทางสังคม
ห้ามอารยันเเต่งงานกับดราวิเดียน
พระเวท
อาชีพที่สำคัญคือ ปศุสัตว์ วัวเเสดงถึงความมั่งคั่ง เริ่มมีการ
ค้าขายกับอียิปต์เเละเมโสโปเตเมีย มีความสามารถในการรบ
ประดิษฐ์อาวุธ ได้เเก่ ขวาน หอก ดาบ เเละธนูที่ชาวอารยัน
พิถีพิถันประดิษฐ์เป็นพิเศษ 8
II
สมัย
ประวัติศาสตร์
อารยธรรมอินเดีย
สมัยประวัติศาสตร์
1. สมัยมหากาพย์หรือยุคพระเวท
วรรณกรรม
เป็นสมัยที่มีการใช้ตัวหนังสือบันทึกเรื่องราว
การปกครองเริ่มแรกปกครองแบบชนเผ่าอารยัน
มีราชาเป็นผู้ปกครองอำนาจสูงสุดเด็ดขาด
ในสมัยนี้มีมหากาพย์ดัง 2 เรื่องคือ รามายณะของฤษีวาลมิกิ
( เป็นการทำศึกสงครามระหว่างฝ่ายพระรามกับฝ่ายทศกัณฑ์ )
และมหาภารตะฤษีวยา ( เป็นมหากาพย์ที่ยาวที่สุดในโลก เป็นการ
ต่อสู้ระหว่างความดีเเละความชั่ว ระหว่างสองตระกูล ) ที่สะท้อน
เกี่ยวกับการปกครองสังคม เศรษฐกิจ ของชาวอารยันสมัยนั้น
10
1. สมัยมหากาพย์หรือยุคพระเวท
ศาสนา
ระยะเเรกมีความเชื่อในเรื่องการบูชายัน ภูตผีปีศาจ และอำนาจ
ต่างๆทางธรรมชาติ ซึ่งต่อมาได้มีการบูชารูปปั้ นของเทวะและเทวี
ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบของศาสนาฮินดูปลายสมัย
ชนเผ่าอารยันขยายตัวออกไป มีการดำเนินการปกครองแบบ
ราชาธิปไตยจากราชา เปลี่ยนเป็น กษัตริย์ เป็นสมมติเทพ
เทพเจ้าสูงสุดคือพระอินทร์ (เทพเจ้าองค์เเรก)
ยุคนี้เริ่มมีระบบวรรณะชัดเจน
เกิดเเคว้น 16 เเคว้นตามลุ่มเเม่น้ำสินธุ-คงคา เเต่ละเเคว้นเรียกว่า
"มหาชนบท" ชนชั้นสูงใช้ภาษาสันสกฤต ชาวบ้านใช้ภาษาบาลี
11
อารยธรรมอินเดีย
สมัยประวัติศาสตร์
2. สมัยจักรวรรดิ
2.1 สมัยจักรวรรดิมคธหรือพุทธกาล
พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอชาตศัตรู
ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกของลุ่มน้ำคงคา กษัตริย์ที่มีชื่อเสียง
สองพระองค์คือ พระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าอชาตศัตรู
ระบอบการปกครองกษัตริย์มีอำนาจสูงสุดมีขุนนาง 3 ฝ่าย
คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ และฝ่ายการทหาร
รวมเรียกว่า “มหามาตระ”
12
2. สมัยจักรวรรดิ
พระเจ้าพิมพิสารเลื่อมใสศรัทธาในพระพุ ทธศาสนา
พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์ทั้งสองพระองค์
ทำให้จักรวรรดิมคธกลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา
ในขณะเดียวกันศาสนาพราหมณ์เสื่อมลง เนื่องจากการตีความที่มุ่ง
เน้นไปที่อิทธิปาฏิหารย์แห่งองค์เทพเจ้า ต่อมาอินเดียถูกรุกราน
จากเปอร์เซียและกรีก ซึ่งเรืองอานาจมากในสมัยนั้น
พุทธศตวรรษที่ 3 อินเดียถูกรุกรานจากกองทัพกรีก
โดยอเล็กซานเดอร์มหาราช
ต่อมาพระเจ้าจันทรคุปต์ได้ขับไล่กองทัพกรีกออกไปและรวมอินเดีย
เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครั้งแรกและสถาปนาราชวงศ์เมารยะ
13
2. สมัยจักรวรรดิ
2.2 สมัยจักรวรรดิเมารยะ (โมริยะ)
ในกลางศตวรรษที่4ก่อนคริสต์ศักราช ราชวงศ์นันทะ
ที่ปกครองจักรวรรดิมคธเสื่อมอำนาจลง ราชวงศ์เมารยะ
ได้มีอำนาจขึ้นปกครอง ปัจจุบัน คือพื้นที่ทางภาคเหนือ
ของอินเดีย
ระเบียบการปกค
รอง รวมอำนาจไว้ที่
พระมหากษัตริย์และเมืองหลวง จักรพรรดิมีอำนาจ
สูงสุดทางด้านบริหารกฎหมาย การศาลและการทหาร
มีสภาเสนาบดีและสภาแห่งรัฐเป็นสภาปรึกษา
14
2. สมัยจักรวรรดิ
มีความเจริญมาก : สร้างถนนขนาดใหญ่ มีระบบชลประทาน มี
สามะโนประชากร สร้างมหาวิทยาลัย มีกองทัพใหญ่ มีหน่วย
สืบราชการลับ
กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์เมารยะคือ พระเจ้าอโศกมหาราช
ทรงนำหลักพระพุทธศาสนามาใช้ในการปกครองและทำนุบำรุงพุทธ
ศาสนาอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังให้อิสรภาพในการเลือกนับถือ
ศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์ ทรงยกเลิกการแบ่งชั้นวรรณะ
เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จักรวรรดิเมารยะก็เสื่อมลง
โอรสพระเจ้าอโศกมหาราชขัดแย้งกัน แต่ละรัฐต้ังตนเป็นอิสระ
15
2. สมัยจักรวรรดิ
2.3 สมัยแบ่งแยกและการรุกรานจากภายนอก
- ยุคอินเดียแตกแยก ทำสงครามแย่งชิงอำนาจและถูกรุกรานจาก
ภายนอก
- พวกกุษาณะ เข้ามารุกรานตั้งอาณาจักรปกครองอินเดียตอนเหนือ
- กษัตริย์สาคัญคือพระเจ้ามิลินท์
- มิลินทปัญหา: สนทนาธรรมกับพระนาคเสน
- มีการขยายตัวทางการค้า เกิดวัฒนธรรมผสมผสานกับชาวต่างชาติ
สมัยพระเจ้ากนิษกะแห่งคันธาระ การแพทย์เจริญมาก
- มีการตั้งมหาศักราช (ม.ศ.)
- พระพุทธศาสนานิกายมหายานรุ่งเรือง
- มีพระพุทธรูปองค์แรกของโลก(พระพักตร์คล้ายเทพอะพอลโล)
- มีการเผยเเผ่พุธศาสนานิกายมหายานไปยังจีน ทิเบต ญี่ปุ่น
16
2. สมัยจักรวรรดิ
2.4 สมัยจักวรรดิคุปตะ
ได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทอง
ของอินเดีย เนื่องจากพระเจ้า
จันทรคุปต์มีความพยายามที่จะ
ฟื้ นฟูอาณาจักรมคธให้รุ่งเรือง
มหาวิทยาลัยพาราณสี
มีมหาวิทยาลัยต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น มหาวิทยาลัยนาลันทา
มหาวิทยาลัยพาราณสี มีเมืองหลายเมืองกลายเป็นศูนย์กลาง
การศึกษา เช่น เมืองสาญจี
17
2. สมัยจักรวรรดิ
ทรงให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนาเป็นอย่างดีถึงแม้พระองค์จะนับถือ
พราหมณ์ ทรงอนุญาติให้ชาวลังกามาสร้างวัดพุทธศาสนา
ฝ่ายเถรวาทขึ้น
หลวงจีนฟาเหียนเดินทางมานำพระไตรปิฏกกลับไปเป็นการส่ง
เสริมพระพุทธศาสนาให้แพร่กระจายไปยังดินแดนต่างๆ
การแพทย์ในสมัยนี้มีวิธีการผ่าตัด และ
เรียนรู้การทำสบู่และปูนซีเมนต์
18
2. สมัยจักรวรรดิ
2.5 สมัยหลังจักรวรรดิคุปตะ
ราชวงศ์คุปตะเริ่มเสื่อมอำนาจลงชนต่างชาติได้รุกราน
อินเดีย ภาคเหนือแบ่งแยกเป็นแคว้นเล็กๆ มีราชวงศ์ต่างๆ
เข้ามายึดครอง หลังการสิ้นสุดจักรวรรดิคุปตะ ชนชาติที่มา
กรุกรานนับถือพราหมณ์ จึงได้กวาดล้างชาวพุทธให้สิ้นซาก
และวัด แต่พระพุทธศาสนาในอินเดียยังคงรุ่งเรืองอยู่
19
2. สมัยจักรวรรดิ
ทางอินเดียตอนใต้ เริ่มมีการเจริญ
เติบโตทางอารยธรรม
อาณาจักรที่สำคัญคือ อาณาจักร
ปัลลาวะ
เมื่อศาสนาพุทธและศาสนาเชนเริ่มเสื่อมลง
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จึง แพร่เข้าไปในอินเดียตอนใต้
ต่อมาอาณาจักรปัลลวะเสื่อมลง อาณาจักรโจฬะ เจริญขึ้นแทน
มีศูนย์อำนาจที่ทมิฬนาดูและพูดภาษาทมิฬ นับถือศาสนาพราหมณ์-
ฮินดู ในที่สุดอาณาจักรโจฬะก็เสื่อมลงคริสต์ศตวรรษที่ 12
20
อารยธรรมอินเดีย
สมัยประวัติศาสตร์
3. สมัยอิสลาม
กองทัพมุสลิมเติร์ก เข้ายึดอินเดียได้ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของอาณาจักรมคธ
เเละสิ้นสุดยุคจักรวรรดิ
เป็นจักรพรรดิมุสลิมองค์เเรกของอินเดีย
ตั้งเดลฮีเป็นเมืองหลวง บังคับชาวอินเดียนับถือศาสนาอิสลาม
ประกาศเป็นศาสนาประจำอาณาจักร เก็บภาษีจิซิยากับ
ผู้ไม่ใช่มุสลิม ก่อให้เกิดการเเตกเเยกระหว่างฮินดูกับมุสลิม
ท่านคุรุนานัก ค.ศ.1469 กำเนิดศาสนาสิข
ท่านคุรุนานัก ได้ประยุกต์หลัก
พราหมณ์-ฮินดูเข้ากับอิสลาม มี
ศูนย์กลางเป็นเเคว้นปัญจาบ
21
3. สมัยอิสลาม
พวกมุคัล(โมกุล) ได้ล่มอำนาจสุลต่านเเห่งเดลีเเละสถาปนา
ราชวงศ์มุคัลหรือโมกุล(ราชวงศ์สุดท้ายของอินเดีย)
มีกษัตริย์ที่มีชื่อเสียง คือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช ทรงให้เสรีภาพ
ในการนับถือศาสนาการเมือง ยกเลิกภาษีจิซิยา เกิดการผสมกัน
ระหว่างภาษาเปอร์เซีย+ฮินดู เรียกว่า ภาษาอูรดู
22
3. สมัยอิสลาม
ทัชมาฮาล
สมัยจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ทรงสร้างทัชมาฮาล สุสานหินอ่อน
เป็นอนุสรณ์เเก่พระมเหสี พระนางมุมตัช มาฮาล
สมัยพระเจ้าออรังเซบ กลับมาใช้นโยบายกดขี่ผู้นับถือ
พราหมณ์-ฮินดู ปลดข้าราชการฮินดู เเละมีการเก็บภาษีจิซิยา
ใหม่ ทำให้เกิดการก่อกษฏหลายครั้ง ราชวงค์มุคัลอ่อนเเอ
ลงเเละตกภายใต้การปกครองของอังกฤษ
23
อารยธรรมอินเดีย
สมัยประวัติศาสตร์
4. ยุคอาณานิคม
ปลายอาณาจักรโมกุล กษัตริย์ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เก็บภาษีเเรงงาน
เพิ่ม ราษฎรอดอยาก เเละยังกดขี่ทำลายศาสนาฮินดูเเละชาวฮินดู
อย่างรุนเเรง เกิดความเเตกเเยกภายในชาติทำให้อังกฤษเข้า
เเทรกเเซง ได้มีการก่อตั้งบริษัทบริติชอินเดียตะวันออก
อินเดียใช้คนของอินเดียมายึดครองอินเดีย
อังกฤษก่อสงครามเจ็ดปี อังกฤษโค่นล้มราชวงศ์โมกุลเเละ
ครอบครองอินเดีย เเละได้มีการยกเลิกประเพณีบางอย่าง
เช่น พิธีสติ (เผาตัวหญิงหม้าย) จนเกิดกบฏซีปอย
สิ่งที่อังกฤษวางไว้ใช้กับอินเดีย คือ รากฐานการปกครอง
ประชาธิปไตย เเบบรัฐสภา การศึกษา เเละความเสมอภาค
24
อารยธรรมอินเดีย
สมัยประวัติศาสตร์
5. ยุคเอกราช
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการชาตินิยมอินเดีย
นำโดย มหาตมะ คานธี เเละยาวาหะราล เนห์รู
เป็นผู้นำเรียกร้องเอกราช วิธีการที่ใช้ในการเรียกร้องเอกราช
ได้เเก่ ใช้หลักอหิงสา ใช้นโยบายสัตยาสังเคราะห์ มีการทำ
สัตยาเคราะห์เกลือ
ต่อมาเกิดความรุนเเรงระหว่างชาวฮินดูเเละมุสลิม เรียกร้องให้
เเบ่งเเยกดินเเดนออกจากกัน อังกฤษให้ปากีสถานมีอิสรภาพ
14 สิงหาคม 1947 ส่วนอินเดียให้อิสรภาพ 15 สิงหาคม 1947
ต่อมาปี 1971 ปากีสถานตะวันออกเเยกตัวเป็นเอกราชจาก
ปากีสถานตะวันตก กลายเป็นประเทศบังกลาเทศ
25
III
สังคม
เเละ
วัฒนธรร
มอินเดีย
อารยธรรมอินเดีย
สังคมเเละวัฒนธรรมอินเดีย
1. ระบบวรรณะ
มีทั้งหมด 4 วรรณะ เเบ่งเป็น 2 ชนชั้น คือ
1.1 ชนชั้นผู้ปกครอง ประกอบด้วย
- วรรณะพราหมณ์ คือ กลุ่มนักบวช นักวิชาการ
นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง
- วรรณะกษัตริย์ คือ กลุ่มนักรบ ในปัจจุบันเป็นพวก
ข้าราชการ
- วรรณะเเพศย์ คือ กลุ่มพ่อค้า เเละนักธุกิจ
1.2 ชนชั้นผู้ถูกปกครอง ประกอบด้วย
- วรรณะศูทร คือ กลุ่มผู้ใช้เเรงงาน เช่น ชาวนา
กรรมกร เเละ คนยากจน
*วรรณะต่ำสุดในอินเดีย
- จัณฑาล คือ คนที่เกิดจากพ่อเเม่ที่มีวรรณะต่างกัน
27
2. ปรัชญาเเละลัทธิศาสนา
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
มีความเชื่อเเละศรัทธาต่อพระเจ้า กำหนดให้มีการ
ทำพิธีบวงสรวงบูชาพระเป็นเจ้า
ศาสนาพุทธ-ศาสนาเชน
ทั้งศาสนาพุทธเเละเชนเน้นการเเสวงหาสัจจะการดำเนินการ
เเละการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ชาวอินเดียดำเนินชีวิต มีค่านิยม เเนวคิด เเละทัศนคติ
สัมพันธ์ศาสนาอย่างใกล้ชิด 28
3. เทพเจ้าของอินเดีย
เดิมเทพเจ้าของอารยันเป็นธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์
เช่น ดวงอาทิตย์ ฝน พายุต่อมามีการนับถือเทพเจ้าเพิ่มขึ้น เช่น
พระพรหม
-เป็นเทพเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งในโลก
-ชายา : พระสุรัสวดี
พระวิษณุ
-เป็นเทพเจ้าผู้รักษาสันติสุขและปราบปรามความยุ่งยาก
-ชายา : พระลักษมี
พระศิวะ
-เป็นเทพเจ้าผู้ทำลายสิ่งชั่วรา้ย 29
-ชายา : พระปารวตี
พวกพราหมณ์ มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและติดต่อกับเทพเจ้า
จึงมีผู้ยกย่องสูงสุด *ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
บางนิกายมีความเชื่อเรื่องการทารุณโหดร้าย
IV
ศิลปกรรม
อินเดีย
อารยธรรมอินเดีย
ศิลปกรรมอินเดีย
งานศิลปกรรมอินเดีย สร้างจากความเชื่อทางศาสนา
ลักษณะปัจเจกนิยม ไม่มีความสำคัญต่อทัศนศิลป์ ต่อมาได้
รับอิทธิพลศิลปะจากภายนอก จึงมีการผสมกลมกลืนเข้ากับ
ศิลปะอินเดีย
1. สถาปัตยกรรม 2. ประติมากรรม
4. นาฎศิลป์เเละสังคีตศิลป์
3. จิตรกรรม
5. วรรณกรรม
31
ศิลปกรรมอินเดีย
1. สถาปัตยกรรม
หลักฐานโบราณ
คดีเมืองฮารัปปา
หลักฐานโบราณคดีเมือง เมืองโมเฮนโจ - ดาโร
ตัวเมืองที่มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ มีการตัดถนน
เป็นมุมฉาก เเละเเบ่งเมืองออกเป็นตาราง เเสดงความรู้ด้าน
เรขาคณิตขั้นสูงสิ่งที่โดดเด่นกว่าอารยธรรมอื่นๆ
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมืองโมเฮนโจดาโร - ฮารัปปา
มีการวางผังเมืองเน้นประโยชน์ใช้สอย
32
ศิลปกรรมอินเดีย
“พระราชวังสายลม” หรือ “ฮาวา มาฮาล”
สถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุล ทาสีชมพูอมส้มในสมัยอาณานิคม
มหาสถูปสาญจี โครงสร้างหินเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย สร้างสมัย
พระเจ้าอโศกมหาราช เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
ศิลปะผสมระหว่าง อินเดีย-ฮินดู-เปอร์เซีย 33
สถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียง คือ สุสานตัชมะฮัล
2. ประติมา
กรรม ศิลปกรรมอินเดีย
ประติมากรรมสมัยเมารยะ
แบบลอยตัวขนาดใหญ่ สลัก
จากหิน ทึบตันแข็งกระด้าง
ท่าหยุดนิ่งรูปยักษ์/รูปสตรี
พระพุทธรูปศิลปะคันธาระ
อิทธิพลจากศิลปะ
แบบเฮเลเนสติกของกรีก
ริ้วจีวรแบบกรีก พุทธศิลป์
งามที่สุด
พระพุทธรูปสมัยคุปตะ
เป็นศิลปะอินเดียแท้ ทั้งพระพุทธ
รูปและเทวรูป มักมีขนาดใหญ่โต
34
ศิลปกรรมอินเดีย
3. จิตรกรรม
จิตรกรรมอินเดียส่วนใหญ่
มุ่งการเล่าเรื่องเป็นสำคัญ
ถ่ายทอดเป็นรูปนูนต่ำหรือภาพเขียนฝาผนังขนาดใหญ่
สมัยราชวงศ์คุปตะ งาน
จิตรกรรมอินเดียรุ่งเรืองที่สุด
ผลงานสำคัญคือ ที่ถ้ำอชันตะ
มรดกโลก พบภาพชาดก 30
เรื่อง ภาพชีวิตประชาชน
35
ศิลปกรรมอินเดีย
4. นาฏศิลป์เเละสังคีตศิลป์
เป็นศิลปะชั้นสูง เป็นการบูชาเทพเจ้า
มีกำเนิดมาจากวัด ราชสำนัก/ท้องถิ่นพื้นบ้าน
คริสต์ศตวรรษที่ 1-2 นาฏศิลป์มีแบบแผน
ปรากฏตำรานาฏยศาสตร์ เรียบเรียงโดยภรตมุนี
พระศิวะเป็นนาฏราชา
บทสวดสรรเสริญเทพเจ้า ถือเป็นเเบบเเผนการ
ร้องที่เก่าเเก่ที่สุดในสังคีตศิลป์อินเดีย
เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง ประกอบบทสวดเเละการรำ
คือ วีณาหรือพิน (ดีด) , เวณุหรือขลุ่ย ,กลอง
36
ศิลปกรรมอินเดีย
5. วรรณก
รรม
เริ่มจากบทสวดในพิธีบูชาเทพเจ้า ท่องจำด้วยปาก
สืบทอดมานับพันปี วรรณกรรมอินเดียส่วนใหญ่เน้นหนักด้านศาสนา
5.1 วรรณกรรมภาษาพระเวท
• คัมภีร์พระเวท บทสวดของพราหมณ์ ใช้วิธีท่องจาต่อๆ กันมา
ใช้ภาษาสันสกฤตโบราณของพวกอารยัน มี 4 คัมภีร์
• ฤคเวท แต่งเป็นร้อยกรองสำหรับสวดสรรเสริญเทพเจ้า
• ยชุรเวท เป็นร้อยแก้วว่าด้วยแบบแผนการประกอบ
พิธีกรรมและบวงสรวง
• สามเวท เป็นบทร้อยกรองสวดในพิธีถวายน้ำโสมแก่
พระอินทร์และขับกล่อมเทพเจ้า
• อาถรรพเวท รวบรวมเวทมนต์คาถาอาคม (เกิดขึ้นภายหลัง)
37
ศิลปกรรมอินเดีย
5.2 วรรณกรรมตันติสันสกฤต (สันสกฤตแบบเเผน)
• วิวัฒนาการจากภาษาเก่าของพระเวท แบบร้อยกรองโศลก
• งานที่สำคัญคือ มหาภารตะและรามายณะ เป็นมหากาพย์ที่
สะท้อนสังคม การเมือง ศาสนา และชีวิตความเป็นอยู่
5.3 วรรณกรรมสันสกฤตผสม
• เป็นภาษาสันสกฤตที่แตกต่างไปจากภาษาพระเวทและตันติ
สันสกฤต
• ใช้เขียนหลักธรรมพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เป็นร้อยแก้ว
• งานที่สำคัญคือ พุทธจริตของอัศวโฆษ 38
ศิลปกรรมอินเดีย
5.4 วรรณกร
รมภาษาอื่น
• วรรณกรรมภาษาบาลี ใช้ในพระพุทธศาสนานิกาย
เถรวาท เป็นร้อยแก้ว เช่น พระไตรปิฎก
• วรรณกรรมภาษาทมิฬ ดัดแปลงจากภาษาสันสกฤต
นิยมใช้ในอินเดียตอนใต้
39
ศิลปกรรมอินเดีย
6. ความก้าวหน้าทางวิทยาการของอินเดีย
หลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรสมบูรณ์น้อยมาก
และกระจัดกระจาย
ภาษาศาสตร์
• ภาษาสันสกฤด
• หนังสือไวยากรณ์สันสกฤต ใช้ในคัมภีร์พระเวท คือ
อัษฏาธายายี ของปาณินิ และนิรุกตะ ของยาสกะ
• เมื่อมุสลิมเข้าปกครองทำให้เกิดภาษาใหม่ เรียกว่า
ภาษาอูรดู
ธรรมศาสตร์และนิติศาสตร์
• ธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการปกครองทั้งเป็นกฎหมาย
ศาสนบัญญัติ จารีตประเพณี หนังสือเล่มแรกคือ
มนูสมฤติหรือมานวธรรมศาสตร์
• นิติศาสตร์ งานเขียนสำคัญคือ อรรถศาสตร์ของเกาฎิลยะ
แพทย์ศาสตร์
• ปรากฎโรงพยาบาลในสมัยพระเจ้าอโศก
• คัมภีร์อรรถศาสตร์ กล่าวถึงการใช้ยาพิษ
• บันทึกเมกัสเทนีส ทูตกรีก กล่าวถึงการแพทย์
• ตำราอายุรเวท กล่าวถึงการรักษาโรค
• คัมภีร์บาลีของพระพุทธศาสนา กล่าวถึงชีวกโกมารกัจจ์
ชโยติษ (ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และคณิตศาสตร์)
• ใช้ในการประกอบพิธีกรรมฤกษ์ยาม ที่อาศัยวิถีโคจรของดวง
อาทิตย์และดวงดาว
• ใช้ค้นหาตำแหน่งของดวงดาวจึงทำให้เกิดคณิตศาสตร์
• ชาวอินเดียเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์เลข 0 ทำให้มีหลักหน่วย
สิบ ร้อย พัน ในการคำนวณ 40
รายชื่อผู้จัดทำ
1. นายศุภกิตต์ เริงรักษ์ ม.6/6 เลขที่ 24
2. นายเชษฐกิตต์ เชิงทวี ม.6/6 เลขที่ 26
3. นายปาณัท สิงห์โสดา ม.6/6 เลขที่ 27
4. นางสาวณัฐกฤตา กวินอิทธิโชค ม.6/6 เลขที่ 29
5. นางสาวสินีนาฏ ทัศนัยนา ม.6/6 เลขที่ 32
6. นางสาวณิชาภัทร วรรณสิทธิ์ ม.6/6 เลขที่ 35
เสนอ
คุณครูสวรินทร์ เลิศวัฒนเรืองชัย