ประชุมพระมงกุฎเกล้า ครั้งที่ 51

20 - 23 พฤศจิกายน 2566 การประชุมวิชาการพระมงกุฎเกล้า ครั้งที่ 51 โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า PMK Toward Medical Excellence : A Vision for the Future กับความเป็นเลิศทางการแพทย์ เวชสาร พิมพ์ระหว่าง พ.ศ. 2491-2530 ในนาม “วิทยาสารเสนารักษ์” แพทย์ทหารบก Royal Thai Army Medical Journal ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 Vol. 76 Supplement (1) November 2023 www.rtamedj.pmk.ac.th www.amed.go.th ISSN 0125-7722

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 1 มหาธีรราชสดุดี ข้าบาทพร้อมน้อมถวายศิรภิวาท ถวายราชสดุดีพระศรีสินทร์ มหาวชิราวุธจอมบดินทร์ จักรีพงศ์นรินทร์ปิ่นพารา พระองค์ทรงอัจฉริยะปรีชาชาญ กวีการเลื่องระบือลือหล้า ทรงเริ่มการออมสินเสือป่า การศึกษาและประชาธิปไตย ราชกิจพระมหาธีรราช เป็นมรดกของชาติยิ่งใหญ่ พระราชทานมวลเหล่าชาวไทย ทวยราษฎร์เทิดพระเกียรติไว้นิรันดร์กาล ๒๕ พฤศจิกาดิถีวรรต บรมกษัตริย์เสด็จทิพย์พิมานสถาน ขอทรงโปรดสดับด้วยทิพญาณ รับปวงเหล่าสักการข้าบาทเอย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าข้าราชการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (พลตรีหญิง นันทา เกษหอม ร้อยกรอง)

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 2 ก�ำหนดการ เนื่องในวันสถาปนาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ครบรอบปีที่ 71 วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566 พิธีสักการะสิ่งศักดิ์ สิทธิ์ ประจ�ำหน่วย เวลา 0530 - ถวายเครื่องสักการะองค์พระพุทธมหานาคชินะวรวรานุสรณ์มงกุฎราช - ถวายเครื่องสักการะศาลท้าวหิรัญพนาสูร (ศาลใหญ่) - ถวายเครื่องสักการะศาลท้าวหิรัญพนาสูร (ศาลเล็ก) - ถวายเครื่องสักการะศาลฤาษีเขาช้าง - พิธีบวงสรวง พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 พิธีวางพวงมาลา ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 พระราชวังพญาไท เวลา 0630 - เรียนเชิญผู้แทนหน่วยงานต่างๆ เข้าวางพวงมาลา เวลา 0720 - ประธานในพิธีเดินทางมาถึง พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 0730 - เรียนเชิญ จก.พบ. ประธานในพิธีวางพวงมาลา พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 - ผอ.ศพม. และผู้แทนหน่วยเข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา - เสร็จพิธี พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท เวลา 0730 - ผู้เข้าร่วมในพิธีพร้อม 0740 - ประธานในพิธีเดินทางมาถึง - เริ่มพิธีสงฆ์ - เสร็จพิธีและรับประทานอาหาร การแต่งกาย • ผู้แทนวางพวงมาลา : เครื่องแบบปกติขาว คาดกระบี่ถุงมือ หมวกทรงหม้อตาลสีขาว : ชุดสูทสากล หรือชุดไทยพระราชทาน • ผู้ร่วมพิธี o นายทหารสัญญาบัตรชาย : เครื่องแบบปกติขาว คาดกระบี่ถุงมือ หมวกทรงหม้อตาลสีขาว o นายทหารสัญญาบัตรหญิง : เครื่องแบบปกติขาว หมวกแก๊ปทรงอ่อนพับปีก หมายเหตุ จุดลงรถ ณ อาคารเทียบรถพระที่นั ่ง พระราชวังพญาไท

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 3 พลตรี (ธ�ำรงโรจน์ เต็มอุดม) ผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผู้อ�ำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ประธานจัดการประชุม สารจากประธานจัดประชุมวิชาการ พระมงกุฎเกล้า ครังที่ 51 ้ ด้วยในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 เป็นวันสถาปนาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ครบรอบ ปีที่ 71 โรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้า และ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ได้จัดการประชุมวิชาการ พระมงกุฎเกล้า ครั้งที่ 51 ระหว่างวันที่ 20-23 พฤศจิกายน2566 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ6 รอบ พระชนมพรรษา รพ.รร.6ภายใต้หัวข้อ“โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กับความเป็นเลิศทางการแพทย์(PMK Toward Medical Excellence : A Vision for the Future) สืบเนื่องจาก โรง พยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นสถาบันที่ ให้การบริการทางการแพทย์ระดับตติยภูมิขั้นสูง (super tertiary care) มีการพัฒนา ศูนย์ต่างๆ เพื่อมุ่งสู ่ความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่องเสมอมา อาทิศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ ศูนย์ส่อง กล้องและการผ่าตัด ศูนย์เวชศาสตร์ทหาร ศูนย์หัวใจสิรินธร ศูนย์มะเร็ง และศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง ตามวิสัยทัศน์ของ โรงพยาบาลที่มุ่งสู ่การเป็นสถาบันทางการแพทย์ชั้นน�ำของกองทัพในภูมิภาค การประชุมครั้งนี้ประกอบด้วยการบรรยาย การเสวนาทางวิชาการ การจัดนิทรรศการทางการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ สื่อการสอน นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ทางการแพทย์ รวมทั้งการน�ำเสนอผลงานทางวิชาการต่างๆ นอกจากนี้ มีการบรรยายทางวิชาการและการน�ำเสนอการปฏิบัติการของศูนย์สถานการณ์จ�ำลองทางการแพทย์ทหาร วิทยาลัยแพทยศาสตร์ พระมงกุฎเกล้า ร่วมด้วย ในโอกาสนี้โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้เรียนเชิญ ศ.เกียรติคุณ ดร. นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา ที่ปรึกษา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดลมาเป็นองค์ปาฐกในปาฐกถาเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ในโอกาสกึ่งศตวรรษ การพระราชทานก�ำเนิดวิทยาลัยแพทยศาสตร์ พระมงกุฎเกล้า เรื่อง “ความเป็นเลิศทางการแพทย์วิสัยทัศน์แห่งอนาคต” และ การบรรยายพิเศษจาก ดร. สุขยืน เทพทอง บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการ และนวัตกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีในหัวข้อ Generative AI for Medical Excellence นอกจากปาฐกถาฯ และการบรรยายพิเศษ ดังกล่าวแล้ว การประชุมครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก ผู้ทรงคุณวุฒิจาก ภายนอกอีกหลายท่านที่กรุณามาเป็นวิทยากร การประชุมวิชาการครั้งนี้ จะเป็นโอกาสอันดีที่แพทย์ พยาบาล และบุคลากร ทางการแพทย์ทุกระดับ ทุกสาขา รวมทั้งแพทย์ประจ�ำบ้าน แพทย์ประจ�ำบ้านต่อยอด นักเรียนแพทย์ทหาร นักศึกษาแพทย์ และ นักเรียนพยาบาล จะได้เพิ่มเติมความรู้ความคิด มุมมองต่างๆ รวมถึงสามารถน�ำเอาความรู้ผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ได้รับจากการประชุม ไปพัฒนาและต่อยอดการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากที่สุด อันจะส่งผลดีต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย ตลอดจนพัฒนาองค์กรสู ่ความเป็นเลิศยิ่งขึ้นไปในอนาคต

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 4 ค�ำประกาศเกียรติคุณ พลเอก จัดพล วุฑฒกนก ประวัติการศึกษา พล.อ. จัดพล วุฑฒกนกเกิดเมื่อวันที่10สิงหาคม2499ปัจจุบันอายุ67ปีส�ำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จบการฝึกอบรมแพทย์ฝึกหัด (Intern) และแพทย์ประจ�ำบ้านศัลยกรรมทั ่วไป (Resident) จาก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้รับวุฒิบัตรศัลยกรรมทั ่วไป (General Surgery) ในปีพ.ศ. 2529 และอนุมัติบัตรเวชศาสตร์ ครอบครัว (Family Medicine) ในปีพ.ศ. 2548 ประวัติการท�ำงานโดยสังเขป เมื่อจบจากการอบรมแพทย์ฝึกหัดและเข้ารับราชการทหารในต�ำแหน่งผู้บังคับกองร้อยสนับสนุนกองพันเสนารักษ์ที่ 4 จังหวัดพิษณุโลกในปีพ.ศ. 2524 ได้ท�ำงานด้านเสนารักษ์สนามในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่อ�ำเภอ เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์และอ�ำเภอเชียงค�ำ จังหวัดพะเยา เป็นเวลา 2 ปีในห้วงนั้นได้มีโอกาส ช่วยงานกับชุดศัลยกรรม เคลื่อนที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จึงมีความประทับใจและความส�ำคัญของงานทางศัลยกรรมและในตัวอาจารย์ศัลยแพทย์ที่ สามารถช่วยเหลือและลดอัตราการเสียชีวิตของทหารผู้บาดเจ็บจากการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้เข้ารับการฝึกอบรมแพทย์ ประจ�ำบ้านศัลยกรรมทั ่วไปโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อจบการศึกษาในปีพ.ศ. 2529 เข้าท�ำงานเป็นศัลยแพทย์โรงพยาบาล ค่ายกาญจนบุรี(โรงพยาบาลค่ายสุรสีห์ในปัจจุบัน) ซึ่งในเวลานั้นเป็นห้วงบุกเบิกการมีแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลขนาดกลาง และขนาดเล็กของกองทัพบก และในการท�ำงานของการผ่าตัดที่ต้องการการท�ำงานเป็นทีม ก็ได้จัดให้มีการฝึกอบรมบุคลากร ทางการแพทย์ทั้งการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ระหว่างการผ่าตัด และการดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัด มีผลให้โรงพยาบาลค่าย กาญจนบุรีสามารถให้การผ่าตัดใหญ่ (Major Surgery) ได้ ในปีพ.ศ. 2533 รับต�ำแหน่งผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาลค่ายกาญจนบุรีเริ่มมีความสนใจงานด้านเวชศาสตร์ครอบครัว เพราะต้องรับความผิดชอบงานส่งเสริมและป้องกันด้านสุขภาพให้ทั้งทหารและครอบครัว ในปีพ.ศ. 2535-2546 รับราชการ ในต�ำแหน่งผู้บังคับหน่วยตรวจโรค กรมการสัตว์จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นหน่วยรักษาพยาบาลที่มีขนาดต� ่ำกว่าโรงพยาบาล ดังนั้นในการท�ำงานจึงมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพมากกว่าการรักษาพยาบาลโดยการเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาล ศูนย์นครปฐมในโครงการ 30 บาทของรัฐบาล ซึ่งต้องดูแลสุขภาพของชุมชนพลเรือนที่ใกล้เคียงกับหน่วย ท�ำให้เห็นว่างาน เวชศาสตร์ครอบครัวก็เป็นงานหนึ่งที่ส�ำคัญในการแพทย์ ในปีพ.ศ. 2549-2553 ด�ำรงต�ำแหน่งผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาลค่าย สุรสีห์ได้ให้ความส�ำคัญกับงานส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้ นฟูควบคู่กัน ในห้วงนั้นมีโครงการหมออ่วมของกรมแพทย์ทหาร บกจึงได้จัดให้มีโครงการหมออ่วมเยี่ยมบ้านจัดท�ำ FamilyTreeตรวจคัดกรองหาผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและ โรคหัวใจ รวมทั้งการดูแลผู้พิการ และในโครงการนักศึกษาวิชาทหาร (เขาชนไก่) โครงการทหารใหม่ปลอดภัยจากการฝึก ได้ ให้ความส�ำคัญกับการป้องกันและดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากความร้อนมีการจัดสร้างห้องปฐมพยาบาลโรคลมร้อนจนท�ำให้อัตรา การบาดเจ็บจากความร้อนและอัตราการเสียชีวิตลดลงจึงท�ำให้โรงพยาบาลได้รับรางวัลจากกรมแพทย์ทหารบกและกองทัพบก ตลอดจนเป็นสถานที่ศึกษาดูงานของนักเรียนแพทย์ทหารนักเรียนพยาบาลกองทัพบกตลอดจนหน่วยงานที่สนใจอย่างต่อเนื่อง ในปีพ.ศ. 2553-2559 เข้ารับราชการในส่วนกลางในต�ำแหน่งรองผู้อ�ำนวยการสถาบันพยาธิวิทยา รองผู้อ�ำนวย การโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผู้อ�ำนวยการสถาบันพยาธิวิทยา รองเจ้ากรมแพทย์ทหารบก และที่ปรึกษาผู้อ�ำนวยการโรง พยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ให้ความส�ำคัญกับการฝึกศึกษาอบรมนักเรียนแพทย์ทหาร แพทย์ประจ�ำบ้านและการส่งเสริมประสาน

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 5 งานการศึกษาต่อต่างประเทศของแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในฐานะประธานวิชาการโรงพยาบาลฯ ได้มีโอกาสแนะน�ำ แนวทางการท�ำงาน แนวทางรับราชการและการเป็นแพทย์ทั้งในฐานะการดูแลผู้ป่วยและในฐานะผู้บริการงานสายแพทย์ทหาร ให้แก่นักเรียนแพทย์ทหาร แพทย์ประจ�ำบ้าน และอาจารย์แพทย์ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา และในห้วงปีพ.ศ. 2554- 2557 ได้มีส่วนร่วมในการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทั้งในส่วนการอ�ำนวยการ รื้อถอนตึกสถาบันพยาธิวิทยาเดิม และประธานการออกแบบอาคารฯ การท�ำงานหลังเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบันได้มาท�ำการตรวจรักษาผู้ป่วย ณ ห้องตรวจโรคเวชศาสตร์ครอบครัว กองตรวจโรคผู้ป่วยนอก ทุกวันพุธ เพื่อ ท�ำการตรวจรักษาผู้ป่วยตลอดจนการแนะน�ำความรู้ทางการแพทย์ การท�ำงานและถ่ายทอดประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ นักเรียนแพทย์ทหารและแพทย์รุ่นน้องต่อไปโดยไม่ขอรับค่าตอบแทนจากโรงพยาบาลแต่อย่างใดและยังท�ำหน้าที่เป็นตัวแทน แพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในการร่วมคณะแพทย์ถวายงานการเสด็จพระราชด�ำเนินทรงงานในกรมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีรวมทั้งการเป็นกรรมการมูลนิธิสายใจไทย ในการดูแลทหารผู้ พิการจากการบาดเจ็บจากการรบอีกด้วย กองตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รู้สึกซาบซึ้งในคุณงามความดีของท่าน เห็นสมควรยกย่อง เชิดชูเกียรติพล.อ. จัดพล วุฑฒกนก ซึ่งเป็นผู้เสียสละต่อหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบเสมอมา สมควรได้รับมอบโล่ประกาศ เกียรติคุณจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นเกียรติประวิติสืบไป

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 6 ค�ำประกาศเกียรติคุณ พลตรีหญิง กรรณิกา ตาตะนันทน์ พลตรีหญิง กรรณิกา ตาตะนันทน์ จบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิตจาก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย วว. สาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และ วว.อนุสาขามะเร็งวิทยานรีเวช เคยด�ำรงต�ำแหน่ง อาจารย์หัวหน้าภาค วิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ปีพ.ศ. 2543 ผู้อ�ำนวยการกองสูตินรีเวชกรรม ปีพ.ศ. 2548 ต�ำแหน่งสุดท้ายในอาชีพรับราชการ ผู้ช�ำนาญการกองทัพบก ปีพ.ศ. 2553 ก่อนเกษียณอายุราชการ ปัจจุบันด�ำรง ต�ำแหน่งเป็นที่ปรึกษา กองสูตินรีเวชกรรม อาจารย์เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั ่น เสียสละ อุทิศตน ให้กับงาน ทุ่มเทท�ำงานด้านการ รักษาพยาบาล และงานการเรียนการสอนของ นพท./นศพ.วพม. โดยไม่รับค่าตอบแทนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 7 ประกาศเกียรติคุณ พลตรี บัณฑิต กาญจนพยัฆ ประวัติการศึกษา พ.ศ. 2522 วิทยาศาสตร์การแพทย์ พ.ศ. 2524 แพทยศาสตร์บัณฑิต คณแพทยศาสตร์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2525 หลักสูตรโดดร่ม กองทัพบก รุ่น 141 พ.ศ. 2526-2528 แพทย์ประจ�ำบ้าน กองศัลยกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า วุฒิบัตรศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา พ.ศ. 2526-2528 ประกาศนียบัตรวิชาชีพศัลยศาสตร์ชั้นสูง พ.ศ. 2543 Certificate in Brachytherapy of Prostate Cancer, Swedish Medical Cancer Center in Seattle, Washington, USA ประวัติรับราชการ พ.ศ. 2525-2526 นายแพทย์กรมรบพิเศษ ค่ายสฤษดิ์ เสนา อ�ำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. 2528-2558 อาจารย์แพทย์วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า พ.ศ. 2528 ถึงปัจจุบัน ศัลยแพทย์กองศัลยกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า งานสอน l ศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา นพท. ปี4, 5, 6 แพทย์ประจ�ำบ้าน แพทย์ประจ�ำบ้านต่อยอด l จริยธรรมทางการแพทย์ปี4, 5, 6 แพทย์ประจ�ำบ้าน แพทย์ประจ�ำบ้านต่อยอด l สอนและปฏิบัติในห้องผ่าตัด > 100 ชั ่วโมงต่อปี l การปฏิบัติการทางคลินิก l การตรวจผู้ป่วย ทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดีตั้งแต่ 09.00-16.00 l การผ่าตัด ทุกวันอังคาร ตั้งแต่ 09.00-16.00 น. ภารกิจเพือประเทศชาติ่ l ยุทธการ “ผาเมืองเผด็จศึก” กองทัพภาคที่ 3 อ�ำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์(พ.ศ. 2524) l ยุทธการ “บ้านร่มเกล้า” ชุดศัลยกรรมเคลื่อนที่กองศัลยกรรม ช่วยราชการกองทัพภาคที่ 3 (พ.ศ. 2548) เกียรติยศที่ได้รับ l เกียรติยศอันสูงสุดได้รับพระราชทานยศเป็น พลตรีกองทัพบก จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุยเดชมหาราชฯ เมื่อ พ.ศ. 2556 l ได้รับเลือกให้เป็น “ศิษย์เก่าดีเด่น คนดีศรีสวน” รุ่น 87 ปีพ.ศ. 2558 ของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กองศัลยกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รู้สึกซาบซึ้งในคุณงามความดีของท่าน เห็นสมควรยกย่องเชิดชูเกียรติ พลตรีนายแพทย์บัณฑิต กายจนพยัฆ ซึ่งเป็นผู้เสียสละต่อหน้าที่การสอน การดูแลรักษาผู้ป่วย และให้ค�ำปรึกษาในด้าน ต่างๆ กองศัลยกรรม ด้วยความเสียสละ ท�ำคุณประโยชน์กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า สมควรได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ จาก โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นเกียรติประวัติสืบไป

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 9 ค�ำสั ่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า/วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (เฉพาะ) ที่ 821 / 66 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานสถาปนาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ครบรอบปีที่ 71 ---------------------- ด้วยในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 เป็นวันสถาปนาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ครบรอบปีที่ 71 โรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้า ร่วมกับ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า จะจัดให้การประชุมวิชาการพระมงกุฎเกล้า ครั้งที่ 51 ระหว่าง วันที่ 20-23 พฤศจิกายน 2566 และพิธีวางพวงมาลาถวายบังคม พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า อยู่หัว ในวันศุกร์ที่24 พฤศจิกายน2566 เพื่อให้การด�ำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ สมความมุ่งหมาย ของทางราชการ จึงแต่งตั้งให้ข้าราชการเป็นคณะกรรมการจัดงานสถาปนาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ครบรอบปีที่ 71 และ ให้ผู้มีรายชื่อปฏิบัติตามหน้าที่ที่ก�ำหนดไว้ในผนวกที่แนบท้ายค�ำสั ่งนี้ พร้อมทั้งให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ เพิ่ม เติมให้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั ่ง ณ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ศูนย์บริหารงานวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ โทร.93476 พลตรี (ธ�ำรงโรจน์ เต็มอุดม) ผู้อ�ำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผู้อ�ำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ประธานจัดการประชุม

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 10 ผนวก ก คณะกรรมการที่ปรึกษา คณะกรรมการที่ปรึกษา ประกอบด้วย.- 1. จก.พบ. 2. ผอ.ศพม. 3. รอง จก.พบ.(1) 4. รอง จก.พบ.(2) 5. เสธ.ศพม. 6. ผอ.สพธ. 7. ผอ.สวพท. 8. ผอ.กศ.วพม. 9. รอง ผอ.วพม. ฝ่ายวิชาการ 10. รอง ผอ.กศ.วพม. หน้าที่ 1. ให้ค�ำปรึกษาแก่คณะกรรมการด�ำเนินงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ในการวางแผนอ�ำนวยการ และพิจารณา จัดการประชุม 2. ให้การสนับสนุนตามที่คณะกรรมการฯ และคณะอนุกรรมการฯ ร้องขอตามความเหมาะสมและจ�ำเป็น เพื่อให้ สามารถด�ำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้รับมอบหมาย ผนวก ข คณะกรรมการด�ำเนินการ คณะกรรมการด�ำเนินการ ประกอบด้วย.- 1. พล.ต. ธ�ำรงโรจน์ เต็มอุดม ประธานกรรมการ 2. พ.อ. สุขไชย สาทถาพร รองประธานกรรมการ 3. พล.ต. สุธี พานิชกุล กรรมการ 4. พ.อ. ฐิติศักดิ์ กิจทวีสิน กรรมการ 5. พ.อ.หญิง รวีวรรณ ชุนถนอม กรรมการ 6. พ.อ.หญิง อุดมรัตน์ ซัดเราะมาน กรรมการฝ่ายนิทรรศการความรู้สู ่ประชาชน 7. พ.อ. ปิติพัฒก์ ช�ำนาญเวช กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์/ห้องประชุม 8. พ.อ.หญิง จริยา เกตุแก้ว กรรมการฝ่ายหารายได้และนิทรรศการยา 9. พ.อ. ณัฏฐพล อิ่มสม-สมบูรณ์ กรรมการฝ่ายสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางการแพทย์ของ แพทย์ประจ�ำบ้าน/เลขานุการฝ่ายจัดประชุม 10. พ.ท. อานิสงส์ ปิลกศิริ กรรมการฝ่ายจัดนิทรรศการคอมพิวเตอร์และ จัดประกวดสื่อการสอน 11. พ.อ.หญิง รวีวรรณ ชุนถนอม กรรมการฝ่ายประกวดผลงานนิทรรศการ และ ผลงานของแพทย์ประจ�ำบ้าน 12. พ.อ. พฤษพงศ์ ศรีสวัสดิ์กรรมการฝ่ายประกวดผลงานวิจัยนพท. และนรพ. 13. พ.ต.หญิง ระวีวรรณ ยุพาวิบูลย์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 11 หน้าที่รับผิดชอบ 1. ก�ำหนดนโยบาย รูปแบบการด�ำเนินงาน และก�ำหนดการประชุมวิชาการ 2. ประชาสัมพันธ์การประชุมให้แพร่หลาย 3. ประสานงานในการจัดท�ำหนังสือเวชสารแพทย์ทหารบก ส�ำหรับแจกจ่ายในวันประชุม 4. ประสานงานในการลงทะเบียนผู้เข้าร่วมประชุม 5. อ�ำนวยการให้การจัดประชุมเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการจัดประชุม 6. ติดตามและประเมินผล วิเคราะห์สรุป และจัดท�ำรายงานโครงการประชุมวิชาการ ผนวก ค คณะอนุกรรมการฝ่ ายวิชาการ คณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ ประกอบด้วย.- 1. พ.อ. ฐิติศักดิ์ กิจทวีสิน ประธานอนุกรรมการ 2. พ.อ.หญิง รวีวรรณ ชุนถนอม รองประธานอนุกรรมการ (1) 3. พ.อ. ปรีชา เอื้อโรจน์อังกูร รองประธานอนุกรรมการ (2) 4. พ.อ. พลังสันต์ จงรักษ์ อนุกรรมการ 5. พ.อ. ภูวดล วีรพันธุ์ อนุกรรมการ 6. พ.อ. วันปรีดี ตันเสนีย์ อนุกรรมการ 7. พ.อ.หญิง วัชราภรณ์ เพ็ญศิริ อนุกรรมการ 8. พ.อ. ปิติพัฒก์ ช�ำนาญเวช อนุกรรมการ 9. พ.ต. จักรกฤษฎิ จันทวานิช อนุกรรมการ 10. พ.อ.หญิง สุพิชญา พจน์สุภาพ อนุกรรมการ 11. พ.อ.หญิง ปองรัก บุญญานุรักษ์ อนุกรรมการ 12. พ.อ.หญิง ศุทธิษา แต่บรรพกุล อนุกรรมการ 13. พ.อ. วิริยะ แก้วกังสดาล อนุกรรมการ 14. พ.ท. นรเศรษฐ์ กิตตินรเศรษฐ์ อนุกรรมการ 15. พ.ท. ศีตธัช วงศ์กุลศิริ อนุกรรมการ 16. พ.ท. วิริยะ หอมหวล อนุกรรมการ 17. พ.ท. กลทีป์ บูรณรัช อนุกรรมการ 18. พ.ท. ชนปิติ สิริวรรณ อนุกรรมการ 19. พ.ต. ณัฐวรรธน์ วงสาสนธิ์อนุกรรมการ 20. พ.ท.หญิง นันทวัน ดาวอุดม อนุกรรมการ 21. พ.ต.หญิง เขมจิตรา เสนีวงศ์ณ อยุธยา อนุกรรมการ 22. พ.อ. ณัฏฐพล อิ่มสม-สมบูรณ์ กรรมการและเลขานุการ

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 12 หน้าที่รับผิดชอบ 1. เตรียมก�ำหนดการ หัวข้อ และบริหารจัดการรายละเอียดในการจัดประชุมวิชาการพระมงกุฎเกล้า 2. ก�ำหนดรูปแบบ วิธีการส�ำหรับการรับลงทะเบียนผู้เข้าร่วมประชุม 3. ก�ำหนดหน้าที่ประธาน ประธานร่วม 4. ก�ำหนด กฎเกณฑ์อ�ำนวยความสะดวกในการบรรยายแก่ผู้บรรยาย 5. ตรวจ และแก้ไขบทคัดย่อ ผนวก ง คณะอนุกรรมการฝ่ ายจัดหารายได้และนิทรรศการยา คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดหารายได้และนิทรรศการยา ประกอบด้วย.- 1. พ.อ.หญิง จริยา เกตุแก้ว ประธานอนุกรรมการ 2. พ.อ.หญิง วณิกนันทน์ หัสดิน รองประธานอนุกรรมการ 3. พ.ท.หญิง นวลอนงค์ สิทธาภา อนุกรรมการ 4. ร.อ.หญิง วาสนา เรียมอมตกุล อนุกรรมการ 5. ร.อ.หญิง อมรา พงษ์ประวัติ อนุกรรมการ 6. ร.อ.หญิง วีรภาณ์ จิระวงศ์ อนุกรรมการและเลขานุการ 7. น.ส. สายใจ เกาะหวายเหนือ เจ้าหน้าที่ประสานงาน หน้าที่รับผิดชอบ 1. ประสานงานกับผู้ให้การสนับสนุนการประชุม เพื่อหารายได้สนับสนุนการจัดงาน และสรุปรายได้เมื่อเสร็จสิ้น การประชุม 2. ประสานงานเรื่องการจัดนิทรรศการผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ร่วมแสดงภายในงานประชุม ผนวก จ คณะอนุกรรมการประกวดผลงานนิทรรศการ และผลงานวิจัยของแพทย์ประจ�ำบ้าน คณะอนุกรรมการประกวดผลงานนิทรรศการ และผลงานวิจัยของแพทย์ประจ�ำบ้าน ประกอบด้วย.- 1. พ.อ. ชาญชัย ไตรวารี ที่ปรึกษา 2. พ.อ.หญิง รวีวรรณ นถนอม ประธานอนุกรรมการ 3. พ.อ.หญิง สุมาภา ชัยอ�ำนวย รองประธานอนุกรรมการ 4. พ.อ. นิธิพันธ์ สุขสุเมฆ อนุกรรมการ 5. พ.อ. สิทธาพันธ์ มั ่นชูพงศ์ อนุกรรมการ 6. พ.อ.หญิง พาสิริ สิทธินามสุวรรณ อนุกรรมการ 7. พ.อ. ชนศักดิ์ หทัยอารีย์รักษ์ อนุกรรมการ 8. พ.ท.หญิง สุภัชฌา เก่งพานิช อนุกรรมการ 9. พ.ท. พนา กล� ่ำค�ำ อนุกรรมการ 10. พ.ท. ธีรภัทร ธุถาวร อนุกรรมการ 11. พ.ท. ชาติชาย พฤกษาพงษ์ อนุกรรมการ 12. พ.อ. ชนศักดิ์ หทัยอารีย์รักษ์ อนุกรรมการ 13. พ.ท. ทศพล ตระกูลมุ่งกิจการ อนุกรรมการ

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 13 14. พ.ต.หญิง สุวิชชา ค�ำพันธุ์นิพ อนุกรรมการ 15. พ.ต. พิชญุตม์ เกษมภักดีพงษ์ อนุกรรมการ 16. จักรกฤษฎิ จันทวานิช อนุกรรมการ 17. พ.อ. เดชวิจิตร์ สุวรรณภักดี อนุกรรมการและเลขานุการ 18. น.ส. อนุสรา ผ่องประสาท เจ้าหน้าที่ประสานงาน หน้าที่รับผิดชอบ 1. ตัดสินการประกวดผลงานนิทรรศการ และการประกวดผลงานวิจัยของแพทย์ประจ�ำบ้าน 2. จัดเตรียมและด�ำเนินการประกวด การน�ำเสนอผลงานวิจัย ของแพทย์ประจ�ำบ้านให้เป็นไปด้วย 3. ความเรียบร้อย 4. พิจารณาคัดเลือกบทความ เพื่อตอบรับให้ร่วมน�ำเสนอผลงาน 5. พิจารณาตรวจสอบบทคัดย่อ 6. คัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในการอ่านบทความ 7. ท�ำหนังสือตอบรับการน�ำเสนอบทความไปยังผู้น�ำเสนอบทความ 8. งานอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ผนวก ฉ คณะอนุกรรมการประกวดผลงานวิจัยของนักเรียนแพทย์ทหาร และนักเรียนพยาบาล คณะอนุกรรมการประกวดผลงานวิจัยของนักเรียนแพทย์ทหาร และนักเรียนพยาบาล ประกอบด้วย.- 1. พล.ท. วิโรจน์ อารีย์กุล ที่ปรึกษา 2. พ.อ. พฤษพงศ์ ศรีสวัสดิ์ประธานอนุกรรมการ 3. พ.อ.หญิง ศศิพร อุ่นใจชน รองประธานอนุกรรมการ 4. พ.อ. ศราวุธ จินดารัตน์ อนุกรรมการ 5. พ.อ.หญิง พัชราภรณ์ อุ่นเตจ๊ะ อนุกรรมการ 6. พ.อ.หญิง หทัยรัตน์ ขาวเอี่ยม อนุกรรมการ 7. พ.อ.หญิง อภิญญา อินทรรัตน์ อนุกรรมการ 8. พ.อ.หญิง สรินทร เชี่ยวโสธร อนุกรรมการ 9. พ.อ. พันเลิศ ปิยะราช อนุกรรมการ 10. พ.ท. ทนงสรรค์ เทียนถาวร อนุกรรมการ 11. พ.ท.หญิง องค์อร ประจันเขตต์ อนุกรรมการ 12. พ.ท. พิชา สุวรรณหิตาทร อนุกรรมการ 13. พ.ท. หญิง กัลยา จงเชิดชูตระกูล อนุกรรมการ 14. พ.ท. วิทวัส จันทน์คราญ อนุกรรมการ 15. พ.ต. ณัชชา เหมปฐวี อนุกรรมการ 16. ร.อ.หญิง พลอยพรรณ นรินทรางกูร ณ อยุธยา อนุกรรมการ 17. ร.ท. ธีระบูลย์ เลิศวณิชย์วัฒน์ อนุกรรมการ 18. พ.อ. วิศิษฐ์ แก้วพุด อนุกรรมการและเลขานุการ 19. น.ส. พรศิริ ศิริมาศ เจ้าหน้าที่ประสานงาน 20. น.ส. ศิรินาฎ สุวรรณกูฏ เจ้าหน้าที่ประสานงาน

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 14 หน้าที่รับผิดชอบ 1. ตัดสินการประกวดผลงานวิจัยของนักเรียนแพทย์ทหาร และนักเรียนพยาบาล 2. จัดเตรียมจัดนิทรรศการ และน�ำเสนอผลงานวิจัย และดูแลอ�ำนวยความสะดวกในบริเวณที่จัดนิทรรศการ 3. จัดเตรียมและด�ำเนินการประกวด การน�ำเสนอผลงานวิจัย ของแพทย์ประจ�ำบ้าน นักเรียนแพทย์ทหารและ นักเรียนพยาบาล ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 4. พิจารณาคัดเลือกบทความ เพื่อตอบรับให้ร่วมน�ำเสนอผลงาน 5. พิจารณาตรวจสอบบทคัดย่อ 6. คัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในการอ่านบทความ 7. ท�ำหนังสือตอบรับการน�ำเสนอบทความไปยังผู้น�ำเสนอบทความ 8. งานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย ผนวก ช คณะอนุกรรมการฝ่ ายจัดประกวดสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางการแพทย์ คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดการประกวดสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางการแพทย์ประกอบด้วย.- 1. พ.อ. ณัฏฐพล อิ่มสม-สมบูรณ์ ประธานอนุกรรมการ 2. พ.ท. ปริญญา สมัครการไถ รองประธานอนุกรรมการ 3. พ.อ. อารัญ สวัสดิพงษ์ อนุกรรมการ 4. พ.อ. เสริมพงษ์ จารุเลิศวุฒิ อนุกรรมการ 5. พ.อ. ณรงฤทธิ์ ติยะธะ อนุกรรมการ 6. พ.อ.หญิง รวีวรรณ ชุนถนอม อนุกรรมการ 7. พ.อ. วันชัย นคเรศไอศูรย์ อนุกรรมการ 8. พ.อ.หญิง ศุทธิษา แต่บรรพกุล อนุกรรมการ 9. พ.ท.หญิง นันทวัน ดาวอุดม อนุกรรมการ 10. พ.อ.หญิง พรรณพิลาส หุตะเสวี อนุกรรมการ 11. พ.ท. ตุลย์ เรืองอารีย์รัชต์ อนุกรรมการและเลขานุการ 12. นาง ประนอม ภักษา เจ้าหน้าที่ประสานงาน 13. น.ส. เกษราภรณ์ สังแสวง เจ้าหน้าที่ประสานงาน หน้าที่รับผิดชอบ 1. จัดประกวดสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางการแพทย์นวัตกรรมทางการแพทย์ในส่วนการบริการการบริหารจัดการ รพ. และอื่น ๆ และตัดสินการประกวดสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางการแพทย์ของแพทย์ปัจจุบัน 2. เผยแพร่นวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีประโยชน์ผ่านช่องทางต่าง ๆ

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 15 ผนวก ซ คณะอนุกรรมการฝ่ ายจัดนิทรรศการคอมพิวเตอร์และจัดการประกวดสือการสอนคอมพิวเตอร์ ่ คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดนิทรรศการคอมพิวเตอร์และจัดการประกวดสื่อการสอนคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย.- 1. พ.อ. กศม ภังคานนท์ ที่ปรึกษา 2. พ.ท. ธนกฤต วิชาศิลป์ ที่ปรึกษา 3. พ.ท. อานิสงส์ ปิลกศิริ ประธานอนุกรรมการ 4. พ.ต. ศิรชัช นิจพาณิชย์ รองประธานอนุกรรมการ 5. ศ.ดร. จินตวีร์ คล้ายสังข์ อนุกรรมการ 6. ดร. ชุติวัฒน์ สุวัตถุพงศ์ อนุกรรมการ 7. พ.อ.หญิง โสรยา ชัชวาลานนท์ อนุกรรมการ 8. พ.อ. ณัฏฐพล อิ่มสม-สมบูรณ์ อนุกรรมการ 9. พ.ท.หญิง สรานันท์ อนุชน อนุกรรมการ 10. พ.ท.หญิง วรลักษณ์ ภัทรกิจนิรันทร์ อนุกรรมการ 11. พ.ท.หญิง ปิยะฉัตร จันทร์เสละ อนุกรรมการและเลขานุการ 12. พ.ต.หญิง มณฑลี ธีรอภิศักดิ์ กุล อนุกรรมการและรองเลขานุการ 13. น.ส. พรศิริ ศิริมาศ เจ้าหน้าที่ประสานงาน 14. น.ส. สุพัตรา ไทยนาม เจ้าหน้าที่ประสานงาน หน้าที่รับผิดชอบ จัดประกวดสื่อการสอนทางคอมพิวเตอร์เผยแพร่เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ทางการเรียนการสอนการวิจัยสนับสนุน การเรียนการสอน การบริหารและการบริการผู้ป่วย ผนวก ฌ คณะอนุกรรมการฝ่ ายเวชนิทัศน์ ประชาสัมพันธ์ และสถานที่ คณะอนุกรรมการฝ่ายเวชนิทัศน์ประชาสัมพันธ์และสถานที่ ประกอบด้วย.- 1. พ.อ. ปิติพัฒก์ ช�ำนาญเวช ประธานอนุกรรมการ 2. จ.ส.ต. สงคราม สิงห์เจริญ อนุกรรมการ 3. ส.อ. นิวัฒน์ เมนะสูต อนุกรรมการ 4. นาย ณฐเมศร์ หิรัณย์ประยูร อนุกรรมการ 5. น.ส. นุชติยาพร สันสี อนุกรรมการ 6. น.ส. นฤมล เจริญภักดี อนุกรรมการ 7. นาย นาวิน ศรีโพธิ์ ทองนาค อนุกรรมการ 8. น.ส. นพรัตน์ เรือนทอง อนุกรรมการ 9. นาย สุรกิต กาญจนอุทัย อนุกรรมการ 10. นาย นิติ กาญจนพบู อนุกรรมการ 11. นาย เอกพงศ์ กตะศิลา อนุกรรมการ 12. น.ส. ณัฐพร เทียนสุวรรณ อนุกรรมการ 13. ร.อ. ขวัญชน เพชรดี อนุกรรมการและเลขานุการ

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 16 14. นาง ประนอม ภักษา เจ้าหน้าที่ประสานงาน 15. นาย ชุติพนธ์ ชีพอยู่ยืน เจ้าหน้าที่ประสานงาน หน้าที่รับผิดชอบ 1. ประชาสัมพันธ์การจัดประชุมวิชาการ ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ 2. การจัดท�ำป้ายงานประชุม ติดตามสถานที่ต่าง ๆ 3. ด�ำเนินการบันทึกภาพ วีดิทัศน์และถ่ายทอดสดผ่านระบบเครือข่าย Teleconference ตลอดจนเก็บบันทึก ภาพระหว่างการจัดประชุม 4. ดูความพร้อมของสถานที่ตลอดงาน บริเวณหน้าเวทีโพเดียม โต๊ะ เก้าอี้บอร์ดส�ำหรับติดโปสเตอร์ 5. ก�ำกับ ดูแล ความสะอาดของห้องประชุม ห้องน�้ำ ผนวก ญ คณะอนุกรรมการจัดท�ำเวชสารแพทย์ทหารบก ฉบับพิเศษ 2566 คณะอนุกรรมการจัดท�ำเวชสารแพทย์ทหารบก ฉบับพิเศษ 2566 ประกอบด้วย.- 1. พล.ต. สุธี พานิชกุล ที่ปรึกษา 2. พ.อ. มฑิรุทธ มุ่งถิ่น ที่ปรึกษา 3. พ.อ. เสริมพงษ์ จารุเลิศวุฒิ ที่ปรึกษา 4. พ.อ. ศราวุธ จินดารัตน์ ประธานอนุกรรมการ 5. พ.อ. วิศิษฐ์ แก้วพุด อนุกรรมการและเลขานุการ 6. พ.อ. อ�ำนาจ ชัยประเสริฐ อนุกรรมการ 7. พ.อ.หญิง รวีวรรณ ชุนถนอม อนุกรรมการ 8. พ.ท.หญิง สุภัทราภรณ์ กุลภา อนุกรรมการ 9. น.ส. ปานศิริ รื่นแจ่ม เจ้าหน้าที่ประสานงาน หน้าที่รับผิดชอบ เรียบเรียงจัดท�ำเวชสารแพทย์ทหารบก ฉบับพิเศษ 2566

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 17 ก�ำหนดการประชุมวิชาการพระมงกุฎเกล้า ครังที่ 51 ้ 20 พฤศจิกายน 2566 ห้องประชุมใหญ่ ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา้ 0730-0830 ลงทะเบียน 0830-0900 พิธีเปิดการประชุมวิชาการพระมงกุฎเกล้า ครังที่ 51 โดย จก.พบ. ้ 0900-1000 ปาฐกถาเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร ในโอกาส กึ่งศตวรรษ การพระราชทาน ก�ำเนิดวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เรื่อง “ความเป็นเลิศทางการแพทย์ : วิสัยทัศน์แห่งอนาคต” องค์ปาฐก ศ.เกียรติคุณ ดร. นพ. ประสิทธิ์ วัฒนาภา ที่ปรึกษา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล Coffee break ห้องประชุมดุสิตธานี ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา้ 1030-1200 พิธีเปิดนิทรรศการทางการแพทย์ โดย จก.พบ. - การน�ำเสนอผลงานการวิจัยด้วยโปสเตอร์ - การน�ำเสนอนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ - การน�ำเสนอสื่อการสอน ห้องประชุมใหญ่ ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียติ 6 รอบพระชนมพรรษา้ 1200-1300 Luncheon Symposium : “Vaccination Turn The TIDES in Fight Against Dengue: Role of the Vaccine and Recommendation” วิทยากร พ.อ. ฐิติวัฒน์ ช่างประดับ พ.ท. วรวงศ์ ชื่นสุวรรณ สนับสนุนโดย : บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จ�ำกัด 1300-1420 การน�ำเสนอผลงานนวัตกรรมทางการแพทย์/พยาบาล ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.ท.หญิง นันทวัน ดาวอุดม พ.ท.หญิง ปาริชาติ พยัคฆ์สนธ์ 1300-1320 Digital transformation วิทยากร พล.ต. โชคชัย ขวัญพิชิต 1320-1340 อุปกรณ์ดูดของเหลวบนพื้นห้องผ่าตัดประดิษฐ์ได้เอง Floor Suction D.I.Y. วิทยากร พ.อ. อรรคพัฐ โกสิยตระกูล

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 18 1340-1400 สายวัดรอบขา Early Detection DVT วิทยากร ร.อ.หญิง กรกนก ประยูรอนุเทพ 1400-1420 การฝึกหยกพิรารักษ์ วิทยากร พ.อ.หญิง ดร. พัชราภรณ์ อุ่นเตจ๊ะ Coffee break 1450-1550 ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.ท.หญิง นันทวัน ดาวอุดม พ.ท.หญิง ปาริชาติ พยัคฆ์สนธ์ 1450-1510 Role of triage boardgame in military medicine - Google Classroom Vs Microsoft Teams in Phramongkutklao College of Medicine วิทยากร พ.ท. อานิสงส์ ปิลกศิริ 1510-1530 The Way Back to the IVF Industry : ART PMK วิทยากร ร.อ. กฤติเดช ภู่กิตติวรางกูร 1530-1550 New Innovation for management in elderly hip fracture วิทยากร พ.อ. องอาจ พฤทธิภาส 21 พฤศจิกายน 2566 ห้องประชุมใหญ่ ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา้ 0800-0830 ลงทะเบียน 0830-1000 Toward Medical Excellence of Trauma from Pre-hospital to Post-treatment care วิทยากร พ.อ.วันปรีดี ตันเสนีย์ ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.ท. ธนานันต์ อิศรางกูร ณ อยุธยา Coffee break 1030-1150 Present and Future of Organ Transplantation ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.อ. คงกระพัน ศรีสุวรรณ 1030-1050 l Kidney Transplantation วิทยากร ร.ท.หญิง พิชมญฐ์ อินกอง 1050-1110 l Pediatric Kidney Transplantation วิทยากร พ.อ. คงกระพัน ศรีสุวรรณ 1110-1130 l Corneal Transplantation วิทยากร พ.อ.หญิง วิวรรณ ศันสนยุทธ 1130-1150 l Stem Cell Transplantation วิทยากร ร.ท. ปณชัย ศิลป์สัมฤทธิ์

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 19 1200-1300 Luncheon Symposium “Chronic Kidney Disease and Long term RRT after ESRD” ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พล.อ. ถนอม สุภาพร วิทยากร พล.ต. ประเจษฏ์ เรืองกาญจนเศรษฐ์ พ.อ. ฐิติศักดิ์ กิจทวีสิน สนับสนุนโดย บริษัท แอสเทลลัส ฟาร์มา (ไทยแลนด์) จากัดํ ห้องประชุมใหญ่ ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา้ 1300-1430 ประกวดผลงานวิจัยแพทย์ประจ�ำบ้าน ประธาน พ.อ.หญิง รวีวรรณ ชุนถนอม ประธานร่วม พ.อ. เดชวิจิตร์ สุวรรณภักดี 1300-1310 l Accuracy of the combination of Thai SRBD-PSQ and examination of adenotonsillar hypertrophy to predict moderate to severe pediatric obstructive sleep apnea Panon Srithanetsakul (Department of Otolaryngology) Abstract no. 1 1310-1320 l The effectiveness of pre-arrival video-call assisted bystander cardiopulmonary resuscitation in prehospital setting Dusita Luwichitbanchong (Department of Emergency Medicine) Abstract no. 2 1320-1330 l Prevalence and associated factors of iron deficient erythropoiesis among pregnant woman in Phramongkutklao Hospital, Thailand Palinlat Wittayatanaseth (Department of Obstetrics and Gynecology) Abstract no. 3 1330-1340 l Comparative hip functional outcome after surgery between isolated hip fracture and hip fracture with osteoporotic vertebral compression fracture in fracture liaison service (FLS) Wasin Kanokwongnuwat (Department of Orthopedics) Abstract no. 4 1340-1350 l Accuracy in the cross-sectional area of median nerve at the wrist measured by physical medicine and rehabilitation residents Natcha Homrossukhon (Department of Physical Medicine and Rehabilitation) Abstract no. 5 1350-1400 l A single suture material for surgical wound closure both dermal and epidermal layers: A randomized controlled trial Pattareeya Pongpanich (Department of Surgery) Abstract no. 6 1400-1410 l Myocarditis after COVID-19 mRNA vaccination: compare between pre-exciting illness and healthy children aged 5-18 years at Phramongkutklao Hospital Patcharawat Chotwattanakul (Department of Pediatrics) Abstract no. 7

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 20 1410-1420 l Comparison between flap-flap and flap-subcutaneous tissue techniques in external dacryocystorhinostomy, randomized controlled study Tunjira Chokjutha (Department of Ophthalmology) Abstract no. 8 1420-1430 l Sensitivity and specificity of Yubi-wakka (Finger-ring) screening method for sarcopenia among older Thai adults Kasidid Lawongsa (Department of Ambulatory and Family Medicine) Abstract no. 9 1430-1440 l Efficacy of Vonoprazan-Based Therapy (Vonoprazan, Amoxicillin and Levofloxacin) versus Standard Triple Therapy for Helicobacter pylori Eradication: A Multicenter Randomized Controlled Trial Suttigiat Sangsuwan (Department of Medicine) Abstract no. 10 ห้องประชุมดุสิตธานี ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา้ 0830-1000 Active Shooter in Thailand : Multidisciplinary Perspectives วิทยากร ดร. ญาดา เดชชัยเธียรประสิทธิ์ พ.อ.หญิง นวพร หิรัญวิวัฒน์กุล พ.อ. ณัฐ ไกรโรจนานันท์ พ.ต.ท. จิตพงศ์ ภู่บัวเผื่อน นพ. สฤษดิ์ เดช เจริญไชย ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.อ.พฤษพงศ์ ศรีสวัสดิ์ Coffee Break 1030-1150 Current expanding therapeutic options in GI PMK service ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.อ. กฤษณ์ อุปัชฌาย์ 1030-1050 l Interventional EUS : Minimally invasive procedure, optimize the outcomes วิทยากร พ.ท. ขจรศักดิ์ ยงวัฒนา 1050-1110 l Advanced management and evaluate bile duct beyond ERCP วิทยากร พ.ท.หญิง ณัชพร นพเคราะห์ 1110-1130 l Bariatric endoscopy: Battling with global pandemic of obesity วิทยากร นพ. กิตติธัช ตันติธนวัฒน์ 1130-1150 l Laparoscopic endocsopic coopertive surgery (LECS) วิทยากร พ.อ. เรวัต วาราชนนท์

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 21 1200-1300 Luncheon Symposium : l From Pain Relief to Safety: The Art of Balancing Efficacy and Cardio-Renal Health in NSAIDs วิทยากร พ.อ.หญิง สุมาภา ชัยอ�ำนวย l Enhance brain potential in aging populations วิทยากร พ.อ.หญิง พาสิริ สิทธินามสุวรรณ สนับสนุนโดย : บริษัท เวียร์ทริศ (ประเทศไทย) จ�ำกัด 1300-1600 ประกวดผลงานวิจัย นพท./นรพ. ประธาน พ.อ. พฤษพงศ์ ศรีสวัสดิ์ ประธานร่วม พ.อ.หญิง ศศิพร อุ่นใจชน 1300-1315 l Prevalence and associated factor of delayed language development of preschool children in Sa Kaeo, Thailand Adirakrit Ruangsawat (Phramongkutklao College of Medicine) Abstract no. 11 1315-1330 l The design and development of a real time urine volume alarm (RUVA) for patients after open heart surgery with a heart-lung machine Krittiya Chimpalee (The Royal Thai Army Nursing College) Abstract no. 12 1330-1345 l A follow-up study of infection dynamics of liver fluke infections in non-endemic area of rural community in central Thailand, phase 2 Suwapach Sukkrasanti (Phramongkutklao College of Medicine) Abstract no. 13 1345-1400 l The relationship between social media use in health promotion and exercise intention among patients with type 2 diabetes Nongnapat Khamleuchai (The Royal Thai Army Nursing College) Abstract no. 14 1400-1415 l Prevalence and associated factors of low back pain among rubber agriculturists in rural community, Thailand, 2023 Panrawee Sertsuwankul (Phramongkutklao College of Medicine) Abstract no. 15 1415-1430 l Mental health self-care behaviors of Royal Thai Army conscripts Theirinee Chaisrima (The Royal Thai Army Nursing College) Abstract no. 16 Coffee Break 1445-1500 l Prevalence and factors associated with long COVID among adults in Phra Phloeng subdistrict, Khao Chakan district, Sa Kaeo province, Thailand: A cross-sectional study Passakorn Khontharatkul (Phramongkutklao College of Medicine) Abstract no. 17

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 22 1500-1515 l Factors Influencing Happiness among Army Nursing Students Natcha Sujaritchai (The Royal Thai Army Nursing College) Abstract no. 18 1515-1530 l Prevalence, associated factors and impact on inferior heel pain among agriculturist in Phra Phloeng, Khao Chakan, Sa Kaeo province Thailand, 2023: A cross-sectional study Gorawich Witayanun (Phramongkutklao College of Medicine) Abstract no. 19 1530-1545 l Perceived illness representation, perceived social family support, and recovery in ischemic stroke older adult patients over a 6-month period Kullanan Chaipa (The Royal Thai Army Nursing College) Abstract no. 20 1545-1600 l What sustain mask-wearing behavior among elders in a rural community in the post-COVID-19 era: An exploratory mixed-methods study Pinyada Kittisarapong (Phramongkutklao College of Medicine) Abstract no. 21 1600-1615 l Developing a prototype of health care program for patients with post-operative total knee arthroplasty: line official HealMotion Chananchida Biangklang (The Royal Thai Army Nursing College) Abstract no. 22 1615-1630 l Prevalence and risk factors of the infestation of head lice with permethrin resistance in juvenile, eastern Thailand Yossaphong Aitthiphitchayarat (Phramongkutklao College of Medicine) Abstract no. 23 1630-1645 l Development of a prototype “aging healthy knees” exercise sets to prevent knee osteoarthritis in the elderly living in urban community Anuradee Mabua (The Royal Thai Army Nursing College) Abstract no. 24 1645-1700 l Prevalence and factors associated with falling among elderly in rural area, Thailand Sirawich Karuna (Phramongkutklao College of Medicine) Abstract no. 25 1700-1715 l The study of health behaviors and health effects associated with Kratom use among patients with type 2 diabetes at Khlong Sam community, Khlong Luang district, Pathum Thani province Yanaporn Methaburanapirin (The Royal Thai Army Nursing College) Abstract no. 26

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 23 22 พฤศจิกายน 2566 ห้องประชุมใหญ่ ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ้ 0800-0830 ลงทะเบียน 0830-1000 ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.อ. ปรีชา เอื้อโรจนอังกูร 0830-0900 l Imaging guided revascularization วิทยากร พ.ท. ธีปกร ผังเมืองดี 0900-0930 l How hidden heart diseases revealed by cardiac CT & MRI วิทยากร พ.อ.หญิง หัสยา ประสิทธิ์ ด�ำรง 0930-1000 l MIDCAB in Phramongkutklao Hospital วิทยากร นพ. ทวีวัฒน์ กรฤทธิ์ Coffee Break 1030-1200 l Hope for cancer patients: excellence PMK Comprehensive Cancer Center วิทยากร นพ. ธวัชสภณ ธรรมบ�ำรุง ร.ท. จิรัฐ ลีลาพัฒนดิษฐ์ พญ. จิดาภา อาจหาญศิริ ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.อ.หญิง สุทธิดา อินทรบุหรั ่น 1300-1500 PMK Talk 2023 ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พ.ท.ปริญญา สมัครการไถ 1300-1320 l Palliative care in your area วิทยากร ร.อ.หญิง จรรยารักษ์ พลอยสุภา 1320-1340 l In love with the shutter วิทยากร พ.ท.หญิง นันทวัน ดาวอุดม 1340-1400 l What’s the michelin tell us วิทยากร พ.ท.ชนปิติ สิริวรรณ 1400-1420 l Charming and the pride วิทยากร ร.ท.หญิง ชนิกานต์ สนมวัฒนะวงศ์ 1420-1440 l The ghost station วิทยากร พ.ท.หญิง สมกมล ดลบันดาลโชค 1440-1500 l How to be the popular YouTuber วิทยากร นพ.นันทพล พงศ์รัตนามาน

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 24 ห้องประชุมดุสิตธานี ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา้ 0800-0900 ลงทะเบียน 0900-1030 ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พล.อ. สิรรุจน์ สกุลณะมรรคา พ.ต. ณษฐพจน์ น�ำผล 0900-0930 l The integration of brain-specific treatments into the resuscitation of the severe head injury patients วิทยากร Professor Christian Matula, Medical University of Vienna, Austria 0930-1000 l Humanization in neurotrauma and neurocritical Care วิทยากร Professor Dafin Muresanu, Univ Med & Pharm, Dept Clin Neurosci, Cluj Napoca, Romania.; RoNeuro Inst Neurol Res & Diagnost, Cluj Napoca, Romania 1000-1030 l Prehospital and emergency care in traumatic brain injury วิทยากร พ.ท. ธนานันต์ อิศรางกูร ณ อยุธยา Coffee Break 1100-1200 ผู้ด�ำเนินการอภิปราย พล.อ. สิรรุจน์ สกุลณะมรรคา พ.ต. ณษฐพจน์ น�ำผล 1100-1130 l The role of hyperbaric oxygen therapy for traumatic brain injury วิทยากร พ.อ. วันปรีดี ตันเสนีย์ 1130-1200 l Innovative rehabilitation for traumatic brain injury วิทยากร พ.ท. ชาญวิทย์ โพธิ์ งามวงศ์ Workshop PCM Simulation Center 1300-1330 l Introduction to PCM simulator center and PCM simulator based learning วิทยากร พ.อ. ปณิธาน กวางวโรภาส 1330-1400 l Milestone of neuro-trauma and neuro critical care in Thailand วิทยากร พ.ท. ภาณุ บุญต่อเติม 1400-1430 l New trends management in emergency neuro-trauma care in Thailand วิทยากร วิทยาลัยการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย และ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ 1430-1500 l Introduction to AMN (Academy for Multidisciplinary Neurotraumatology) and how to collaborated with AMN-Thailand วิทยากร คณะกรรมการจาก Academy for Multidisciplinary Neurotraumatology 1500-1530 l ฝึกปฏิบัติการการเรียนรู้วิชาการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บทางสมองจากอุบัติเหตุ ในรูปแบบ simulator base แบบบูรณาการสหวิชาชีพ 1530-1630 l Focus group discussion “The implementation of AMN in Thai guideline and clinical practice

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 25 23 พฤศจิกายน 2566 ห้องประชุมใหญ่ ชัน 10 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา้ 0800-0900 ลงทะเบียน 0900-1000 l Plenary session “Generative AI for Medical Excellence” (Generative AI เพอความเป็น ่ื เลิศทางการแพทย์) วิทยากร ดร. สุขยืน เทพทอง บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี Coffee Break 1030-1200 พิธีปิดและมอบรางวัล โดย ผอ.รพ.รร.6

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 27 Abstract no. 1 Accuracy of the combination of Thai SRBD-PSQ and examination of adenotonsillar hypertrophy to predict moderate to severe pediatric obstructive sleep apnea Panon Srithanetsakul, Jakkrit Chantavanich and Paloch Hongtongdang Department of Otolaryngology, Phramongkutklao Hospital Background: Obstructive sleep apnea (OSA) is a common sleep disorder in children. Although the pathophysiology of pediatric OSA is multifactorial but adenotonsillar hypertrophy is the most common cause. The gold standard for diagnosis of OSA remains Polysomnography (PSG). However, standard PSG is limited due to cost and availability. Less than 10% of children with OSA can perform PSG before treatment with Adenotonsillectomy. A pediatric sleep questionnaire (PSQ) was developed for screening pediatric OSA. The accuracy of combination of questionnaire with clinical and radiologic evaluation of tonsils and adenoid could be a diagnostic method in pediatric OSA. Objective: To evaluate the accuracy of the Thai Sleep-Related Breathing Disordered-Pediatric Sleep Questionnaire (Thai SRBD-PSQ) and adenotonsillar hypertrophy for diagnosis of moderate to severe pediatric OSA. Methods: A total of 57 children between 2-12 years old with moderated to severe OSA were enrolled in a clinical study between January 2018 to October 2023. All patients underwent physical examination to assess tonsillar size and performed radiographic evaluation of adenoid size by adenoid nasopharynx ratio (AN ratio) by otolaryngologist. The Thai SRBD-PSQ was carried out by parents before polysomnography. Children with craniofacial abnormalities, genetic disorders, neuromuscular diseases, chronic lung diseases and cardiovascular diseases were excluded. Results: Thirty-five (61.4%) were boys and twenty-two (38.6%) were girls with mean(SD) age of 7.79 (2.53). Twenty-four (42.11%) with allergic rhinitis. Twenty (60.61%) were obesity. Five (15.15%) were morbid obesity. Nineteen(33.33%) have tonsil grade 3 and two(3.51%) have tonsil grade 4. Twenty (35.09%) have adenoid hypertrophy. Thirty-three (40.36%) were diagnosed with moderated to severe OSA (AHI > 5). Thirty-two (56.14%) have positive questionnaire. Sensitivity and specificity of positive PSQ (PSQ > 8) were 52.2% and 41.2%. Sensitivity and specificity of positive PSQ and tonsillar hypertrophy were 39.1% and 85.3%. Sensitivity, specificity, positive predictive value (PPV), negative predictive value (NPV) and accuracy of combined positive PSQ with tonsillar hypertrophy (grade 3-4) and adenoid hypertrophy (AN ratio > 0.8) were 13%, 97.1%, 75%, 62.3% and 63.16% respectively.

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 28 Conclusions: The combination of Thai SRBD-PSQ with adenotonsillar hypertrophy are highly specificity to diagnose moderated to severe pediatric OSA. The specificity and positive predictive value for diagnosis of moderated to severe pediatric OSA are increased when combined Thai SRBD-PSQ with adenotonsillar hypertrophy and radiographic evaluation of adenoid size. Keyword: l Pediatric obstructive sleep apnea l Adenotonsillar hypertrophy l Thai SRBD-PSQ

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 29 Abstract no. 2 The effectiveness of Pre-arrival Video-call assisted bystander cardiopulmonary resuscitation in prehospital setting Dusita Luwichitbanchong, Woranis Amornsongchai and Suthee Intharachat. Department of emergency, Phramongkutklao Hospital Background: Out-of-hospital cardiac arrest has low survival rate and opportunity of recovery. Cardiopulmonary resuscitation can begin before rescuers arrive by communicating with rescuers (telemedicine), therefore they can provide better pre-arrival instruction. Objective: To study the effectiveness of pre-arrival instruction basic life support through video communication with bystander before the rescuers arrived and to compare the survival rate (ROSC,1-day survival, 30-day survival) and neurological outcome after cardiopulmonary resuscitation between video-dispatcher assisted CPR and audio-dispatcher assisted CPR of out-of-hospital cardiac arrest patients. Methods: When cardiac arrest outside the hospital was notified, Phramongkutklao Hospital Emergency Medical Service Center (EMS) will begin contacting to assist by giving instructions via voice and video communication to begin bystander CPR from the mobile phone. The cardiopulmonary resuscitation (CPR) and external defibrillation (AED) are used in pre-arrival instruction of basic life support before the rescuer arrives. Results: From dispatcher assisted-CPR resuscitation, there were 8 patients returning of spontaneous circulation (ROSC) in the audio-dispatcher group (7.48%) and 34 people (50%) in the video-dispatcher group. The survival rate of VDO-dispatcher group was 8.76 times higher than the group audio-dispatcher. From the results of resuscitation and follow-up over a period of 30 days, we found that patients in the group video-dispatcher assisted CPR also had a significantly higher survival rate than audio-dispatcher assisted CPR. (p-value < 0.05) Conclusion: The video-dispatcher assisted of cardiopulmonary resuscitation is guided before EMS team arriving use shorter time than audio-dispatcher, Furthermore outcome of recovery including 1-day, 30-day survival and neurological outcome are better than audio-dispatcher assisted cardiopulmonary resuscitation group. Keyword: l Bystander l Basic life support l Pre-arrival instructions l Audio-dispatcher assisted CPR l Video-dispatcher assisted CPR l Telemedicine

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 30 Abstract no. 3 Prevalence and Associated Factors of Iron Deficient Erythropoiesis among Pregnant Woman in Phramongkutklao Hospital, Thailand Palinlat Wittayatanaseth1 , Chonlada Laoruangroj2 and Sakchai Panitwong1 1 Department of Obstetrics and Gynecology; 2 Department of Hematology, Phramongkutklao Hospital Objective: To determine the prevalence and associated factors of iron deficient erythropoiesis (IDE) in early pregnancy. Material and Methods: A cross-sectional survey was conducted on pregnant women aged ≥ 20 years, who visited the antenatal clinic during the first 14 weeks of gestation without anemia or systemic diseases. The primary outcome was the prevalence of IDE defined as serum ferritin < 30 ng/mL. The associated factor was assessed by using the questionnaires. Results: A total of 130 pregnant women were included. IDE was detected in 10.77%. In univariate analysis, lower income and tampon used ≥ 3 pads per day were associated with IDE. (p = 0.003, 0.038, respectively). Parity ≥ 2 was significantly associated with IDE in multivariate analyses (ORadj 5.728, 95%CI: 1.019-32.210, p = 0.048). Conclusion: Determining iron reserve is not routinely assessed in early pregnancy, thus IDE remains undiagnosed and untreated. The result showed the prevalence of IDE was much lower than previously reported and similar to that found by other study from Europe. The result raise awareness among doctors to prevent pregnant women from the consequences and sequalae of IDE. Further study should be performed to clarify the long-term outcome and maybe lead to proper iron supplement therapy. Keyword: l Iron deficiency erythropoiesis l Iron deficiency anemia l Serum ferritin l Serum iron l TIBC

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 31 Abstract no. 4 Comparative hip functional outcome after surgery between isolated hip fracture and hip fracture with osteoporotic vertebral compression fracture in fracture liaison service (FLS) Ong-art Phruetthiphat, Wasin Kanokwongnuwat, Yodhathai Satravaha, Panukorn Pinijprapa, Chaisiri Chaichankul and Pawin Gajaseni Department of Orthopedics, Phramongkutklao Hospital Background: Fragility hip fractures are correlated with high mortality, loss in disability-adjusted life year, financial burden on the healthcare system, and the functional outcome declined at least one activity level after surgery in elderly hip fracture (1-4). In addition, vertebral fractures in the elderly population are the most common osteoporotic fractures and the 2 out of 3 osteoporotic vertebral compression fracture (OVCF) is asymptomatic (5). However, lack of data identified the association of hip fracture and OVCF including the recovery and functional outcome. Objectives: The purpose of this study was to identify the prevalence of the combination of hip fracture and the OVCF, and to demonstrate a comparison of short-term recovery and functional outcome between Isolated hip fracture and hip fracture coexisting with the OVCF. Study design & Methods: After the Institutional Research Board Approval, a prospective study was performed between April 2021 and June 2022. Patients’ Demography, Comorbidity, American Society of Anesthesiologists Classification (ASA class), and Charlson comorbidity index (CCI) were collected. Vertebral fracture assessment (VFA), bone mineral density (BMD) of spine and hip were measured in all patients. The inclusion criteria were those patients over 60 years old with femoral neck fractures or intertrochanteric fractures underwent bipolar hemiarthroplasty or Proximal Femoral Nail Anti-rotation (PFNA), respectively. The exclusion criteria were those patients with follow up time less than one-year, pathologic fracture, multiple fracture, high energy trauma. All patients were taken care by the fracture liaison service (FLS) care team and were classified into 2 groups: Isolated hip fracture (Isolated group) (n = 25) (30.9%), and combined hip fracture and OVCF (Combined group) (n = 56) (69.1%). The severity of OVCF was evaluated by Genant classification as shown in figure 1: grade 0 is normal (no vertebral height loss), grade I is mild fracture [vertebral height loss between 20 and 25 percentages (%)], grade II is moderate fracture (vertebral height loss between 26 and 40%), and grade III is severe fracture (vertebral height loss more than 40%). Physical performance was assessed by Time Up and Go Test (TUG) test at 2 weeks, and 6 weeks follow up (Table 2). The TUG test was timed after the participant could stand, walk with normal speed for 3 meters, turn around and then walk back to sit on the chair. In addition, the functional outcome assessed by Harris Hip Score (HHS) was performed at 6 months, and one year (Table 2). The association of the

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 32 severity of OVCF, TUG, and HHS were also evaluated (Table 3). Results: There was no difference in age, gender, comorbidity, ASA class, CCI, and the percentages of intertrochanteric fractures and femoral neck fractures in both groups, as well as the operative time and operative blood loss. Hip BMD and spine T-score BMD in the combined group was significantly lower than the Isolated group (0.64 vs 0.70 g/cm2 , p = 0.03; -1.68 vs -0.84, p = 0.033, respectively). The length of hospital (p = 0.022) was significantly shorter and the 6 weeks TUG (p = 0.042) was significantly lower in the isolated group compared to the combined group. Moreover, the 6 months HHS, and one year HHS in the isolated group was significantly higher than the combined group (82.5 vs 77.5, p = 0.007; 87.4 vs 80.8, p = 0.005, respectively). In term of severity of OVCF (Grade 1-2 vs grade 0 and grade 3 vs grade 0), the higher grade was significantly lower 6 months HHS (78.0 vs 82.5, p = 0.014 and 74.5 vs 82.5, p = 0.012, respectively). However, there was no significant difference of one year HHS among 3 groups (87.4, 81.3, and 77.6 with p = 0.056). Conclusions: The prevalence of elderly hip fracture combined with OVCF was high and this combined group had significantly longer hospital stay, longer time to recover, and worse functional outcome than the isolated group. The severity of OVCF was significantly associated with the worse outcome. This combined group needs more attention during the rehabilitation program. Keyword: l Osteoporotic vertebral compression fracture (OVCF) l Hip fracture l Functional outcomes l Comparative

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 33 Abstract no. 5 Accuracy in the cross-sectional area of median nerve at the wrist measured by Physical medicine and Rehabilitation residents Natcha Homrossukhon, Chanwit Phongamwong and Chanasak Hathaiareerug Department of Physical Medicine and Rehabilitation, Phramongkutklao Hospital Background: Carpal tunnel syndrome (CTS) is the most common focal neuropathy of the upper extremity. Using diagnostic ultrasound (US) measure the cross-sectional area (CSA) of median nerve at the wrist was proved with high sensitivity and specificity in CTS diagnosis. Objectives: This study aimed to evaluate the accuracy between PMR residents and expert physiatrist in the CSA of median nerve at the wrist measurement after a single session of training. Methodology: A single session workshop of ultrasound measuring the CSA of median nerve at the wrist was provided to all 17 PMR residents. Each resident was required to measure median nerve CSA of five different wrists of the participants who visited electrodiagnostic laboratory at Phramongkutklao hospital. The CSA was averaged from three separate measurements. Measurement from a single expert physiatrist was considered as a reference standard. The intraclass correlation coefficient (ICC) was used to determine the accuracy of CSA measurement. Additionally, the agreement to determine the median nerve enlargement (≥ 12 cm2 ) was determined using Cohen’s Kappa coefficient. Results: Of 82 wrists, 64% were diagnosed with median neuropathy at the wrist from electrodiagnosis study. The ICC of overall residents, compared with an expert physiatrist, was 0.884 (p < 0.001). Kappa coefficient was 0.78 (p < 0.001) with 89% of agreement percentage. Conclusion: Accuracy in measuring median CSA at the wrist by PMR residents was good. The US course training in the measurement of median CSA at the wrist was needed for PMR residents. Keyword: l Median nerve l Cross sectional area l Carpal tunnel syndrome l Accuracy l Resident training.

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 34 Abstract no. 6 A single suture material for surgical wound closure both dermal and epidermal layers: A randomized controlled trial Pattareeya Pongpanich and Suttisun Jankajorn Department of Plastic and Reconstructive Surgery, Phramongkutklao Hospital Background: Surgical wound closure with absorbable suture in dermal layer and non-absorbable suture in epidermal layer is theoretically standard treatment. However, wound closure with absorbable suture in both dermis and epidermis is practically used in children to reduce process of stitch removal without any effects on wound healing and surgical scar. In addition, wound closure with non-absorbable suture in both dermis and epidermis is also used for widening scar correction and prevention. Objective: To compare early complications (wound infection, wound dehiscence, stitch abscess) and late complications (widening scar, hypertrophic scar, keloid) of wound closure with three suturing technique. Standard method using Monocryl in dermis and Nylon in epidermis compares with intervention method using either Nylon or Monocryl in both dermis and epidermis. Methodology: Prospective randomized controlled trial was conducted into three groups of surgical wound closure; controlled group, non-absorbable group and absorbable group, at Department of Plastic and Reconstructive Surgery and Department of Trauma and Emergency Medicine, Phramongkutklao Hospital during July 2023 to November 2023. The early complications were observed at seven days and one month post-operatively. The late complications were observed and performed POSAS (Patient and Observer Scar Assessment Scale) and VSS (Vancouver Scar Scale) to evaluate cosmetic outcome of scar at three month post-operatively. Results: Sixty-six patients with surgical and clean or clean-contaminated traumatic wound on face, scalp, trunk, upper and lower extremities with less than five centimeters of wound width were enrolled. There were 22 patients in each group. The results showed no significant difference of early complications at seven days and one month follow up and late complications at three months follow up. Neither POSAS nor VSS were significant difference in three groups. Conclusion: A single suture material either non-absorbable or absorbable suture for surgical wound closure in dermal and epidermal layers can be alternative to using absorbable suture in dermal layer and nonabsorbable suture in epidermal layer. The incidence of early and late complicates among these three groups are similar as well as cosmetic outcome of scar. Keyword: l Single suture material l Absorbable suture l Non-absorbable suture l Wound closure l Infection, scar

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 35 Abstract no. 7 Myocarditis after COVID-19 mRNA vaccination: compare between pre-exciting illness and healthy children aged 5-18 years at Phramongkutklao Hospital Patcharawat Chotwattanakul and Somjate Suntratonpipat Department of Pediatrics, Phramongkutklao Hospital Background: Following the outbreak of the COVID-19 virus, the mRNA COVID-19 vaccine has been studied for its potential use in preventing such infections. According to a vaccine study, it was concluded that the benefits and effectiveness of this vaccine outweighed the potential side effects in children between the ages of 5 and 18. Overall, there are severe side effects seen at low rates. According to the evidence from VAERS, the possibility of serious side effects from vaccinations that have been reported in children is myocarditis and pericarditis. This is often found in male adolescents from the 2nd dose onwards. Nevertheless, there hasn’t been any reported data collection on the side effects of receiving the mRNA COVID-19 vaccine among Thai children. Objective: To study the incidence of the side effects of myocarditis and pericarditis after mRNA COVID-19 vaccination, by comparing between the population of children with seven chronic diseases and healthy children between the ages of 5-18 years at Phramongkutklao Hospital within seven days after vaccination. Methods: The data collection will involve children aged 5 to 18 years who have received the first dose, second dose, or booster dose of the mRNA COVID-19 vaccine within one week. These children will be divided into two separate groups for analysis. The first group is in good health and the second group is a group of seven chronic diseases including 1) Obesity, 2) Chronic respiratory disease, asthma with moderate or severe symptoms, 3) Cardiovascular disease or stroke, 4) Chronic kidney failure 5) Cancer and immunocompromised, 6) Diabetes and 7) Genetic diseases including Down syndrome. After receiving the vaccine, all of the participants were scheduled for follow-up appointments to monitor their symptoms and undergo an electrocardiogram. Results: Seventy children participated in the study. They were divided into two groups. The first group was 38 children with no underlying disease and the second one was 32 children with seven chronic diseases. It was found from the survey that one case of myocarditis was a 13-year-old boy (1.4%) who received the third dose of the mRNA COVID-19 vaccine and had chest pain after receiving vaccine within three days, with abnormal ECG and abnormal cardiac enzyme. ECG abnormalities were found in seven cases (10%), with chest pain in one case (1.4%) and no symptoms in six cases (8.5%). Patients with seven chronic diseases and without chronic diseases who received the mRNA COVID-19 vaccine experienced side effects, with some of them being mild in nature. They were divided into injection

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 36 site and systemic reaction. The most common injection site symptoms are pain (42%), swelling at the injection site (25.7%), redness (10%), and itchy (7.1%) respectively. The results that should be aware in the underlying disease group are swelling in the injection site and diarrhea. According to the data collection, it was found that in the group of patients with 7 chronic diseases, there was significantly more swelling at the injection site and diarrhea than in the group of patients without chronic diseases, p-value = 0.031 and 0.023, respectively. The most common time period is days 1-3 after vaccination. The symptoms usually disappear within 24 hours. Conclusions: Gathering information about vaccine side effects in both healthy children and children with seven chronic diseases in the Thai children population can provide valuable information for parents, enabling them to make informed decisions regarding the safety of vaccination. This data can also be used as a foundation for collecting such information in the future. Regarding myocarditis following vaccination with the mRNA COVID-19 vaccine, it may be advisable to consider monitoring in boys aged 12-15 years starting from the second dose onwards. Keyword: l Myocarditis l mRNA COVID-19 vaccine l Children with 7 chronic diseases l VAERS vaccine adverse event reporting system

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 37 Abstract no. 8 Comparison between flap-flap and flap-subcutaneous tissue techniques in external dacryocystorhinostomy, randomized controlled study Tunjira Chokjutha, Sombat Thanaboonyawat and Raveewan Choontanom Department of Ophthalmology, Phramongkutklao Hospital Background: Epiphora is a significant symptom of nasolacrimal duct obstruction (NLDO), a common eye condition in medical practice. External dacryocystorhinostomy (DCR) with flap anastomosis is the standard treatment. However, a new surgical approach called flapless DCR, performed without the need for anastomosis of the lacrimal flap and nasal flap, has gained attention in recent years due to its high success rate. Nevertheless, studies comparing flapless techniques to traditional procedures are limited, with most existing researches being retrospective studies. Objective: To compare the anatomical and functional outcomes between standard technique (with flap anastomosis, lacrimal flap-nasal flap) and new surgical technique (without flap anastomosis, lacrimal or nasal flap-subcutaneous tissue) in external DCR. Methodology: Twenty-seven patients with a total of 30 eyes of acquired nasolacrimal duct obstruction (NLDO) were randomized and operated with external DCR (14 eyes had standard technique and 16 eyes had flap-subcutaneous tissue technique). Regular follow-up settings were done to document the patient’s subjective improvement, ostium patency on lacrimal irrigation, and any complications. Results: The mean (SD) age of patients was 66.4 (12.7) years, and there was a predominance of women [20 (74.1%)]. The mean (SD) operative time in flap-subcutaneous technique group was shorter at 70.6 (35.7) minutes compared with 114.6 (37.4) minutes in standard technique group (p = 0.03). Flap-subcutaneous technique group had a higher (92.9%) success rate when compared with standard group (87.5%) but there was no significant difference in both success rates and complications. Conclusions: The external DCR with flap-subcutaneous tissue technique is easy to perform, safe, and provides a high success rate comparable to the standard technique. Keyword: l Nasolacrimal duct obstruction l External dacryocystorhinostomy

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 38 Abstract no. 9 Sensitivity and specificity of Yubi-wakka (Finger-ring) screening method for sarcopenia among older Thai adults Kasidid Lawongsa1 , Patsri Srisuwan1 , Sirakarn Tejavanija2 and Kulachade Gesakomol1 1 Family Practice Outpatient Department; 2 Division of Clinical Nutrition, Department of Medicine, Phramongkutklao Hospital Background: Measurements of muscle mass are considered to be a gold standard for testing for sarcopenia; such measurements are typically attained using Bioelectrical Impedance Analysis (BIA) or Dual-energy X-ray Absorptiometry (DXA). However, the Yubi-wakka test is a simple assessment that can also be used to screen for sarcopenia. Methods: An analytic cross-sectional study was conducted to determine the sensitivity and specificity of the Yubi-wakka test. The study cohort included 230 adults older than 60 who had no disabilities or handicaps and who visited the outpatient department of Phramongkutklao Hospital. Each participant underwent the Yubi-wakka test, a handgrip strength test, the 5-chair stand test, and BIA. We analyzed the associations between the Yubi-wakka test results and sarcopenia. We also analyzed the accuracy of the Yubi-wakka test for sarcopenia screening using the area under the receiver operating characteristic curves (AUROC). The findings were compared with diagnoses that followed from the Asian Working Group for Sarcopenia (AWGS) 2019. Results: The test results were statistically associated with sarcopenia (“just fits” OR = 8.55, 95%CI: 3.29- 22.18 and “smaller” OR = 10.73, 95%CI: 4.31-26.73) relative to “bigger”. The sensitivity and specificity of the Yubi-wakka test in men were 85.7% and 71.2% (AUC = 0.785, 95%CI: 0.618-0.952), respectively. On the other hand, the sensitivity and specificity of the test in women were 87.5% and 80.8% (AUC = 0.842, 95%CI: 0.764-0.919), respectively. Conclusions: The Yubi-wakka test is a practical way of identifying the risk of sarcopenia among the elderly; it exhibits promising sensitivity and specificity.

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 39 Abstract no. 10 Efficacy of vonoprazan-based therapy (vonoprazan, amoxicillin, and levofloxacin) versus standard triple therapy for Helicobacter pylori eradication: A multicenter randomized controlled trial Suttigiat Sangsuwan¹, Anuchit Suksamai2 , Noppamate Preechathammawong3 Sukhum Songserm4 and Kachonsak Yongwatana5 , 1 Department of Medicine, Phramongkutklao Hospital; 2 Fort Suranari Hospital; 3 Fort Wachirawut Hospital; 4 Fort Somdej Phra Naresuan Maharaj Hospital; 5 Division of Gastroenterology and Hepatology, Department of Medicine, Phramongkutklao Hospital Background: Helicobacter pylori (H. pylori) infection is a global concern, impacting approximately 50% of the world’s population. H. pylori infection leads to gastritis, dyspepsia, peptic ulcer disease, and in severe cases, may progress to gastric cancer or MALT lymphoma. Eradication of H. pylori is recommended by global guidelines. However, the conventional regimen especially standard triple therapy may yield suboptimal outcomes and some adverse events. Vonoprazan, a potassium-competitive acid blocker, may yield a higher response rate but the data is limited. Objective: The primary outcome was to compare the efficacy of Vonoprazan-based therapy versus Standard Triple therapy for H. pylori eradication. The secondary outcome was to assess adverse events and risk factors affecting the eradication rate. Methods: Patients diagnosed with H. pylori infection were enrolled from December 2022 to September 2023. Patients were randomized into two groups: the 10-VAL group (Vonoprazan 20 mg twice daily, Amoxicillin 1,000 mg twice daily, and Levofloxacin 500 mg once daily for 10 days) and the 14-OAC group (Omeprazole 20 mg twice daily, Amoxicillin 1,000 mg twice daily, and Clarithromycin 500 mg twice daily for 14 days). The eradication rate was evaluated by C13 UBT 4 weeks after completion of treatment. Result: The study included 280 patients, with 140 patients in each group. Vonoprazan-based therapy (10-VAL) resulted in a significantly higher H. pylori eradication rate compared to the 14-OAC group in both intention-to-treat analysis (91.4% vs 80.7%, p = 0.009), and per-protocol analysis (93.4% vs 83.7%, p = 0.012) respectively. The incidence of adverse events rate was lower in the 10-VAL group compared to the 14-OAC group, with a bitter taste (2.1 % vs 42.9%, p < 0.001) and Bloating (5% vs 12.1%, p = 0.033). A low BMI of less than 23.5 kg/m2 was significantly shown to be the risk factor associated with the higher success of H. pylori eradication, especially in the 14-OAC group. Conclusion: Vonoprazan-based therapy for 10 days (10-VAL) is more effective, well tolerated, and has a higher H. pylori eradication rate compared to standard triple therapy for 14 days (14-OAC). Furthermore, 10-VAL therapy is associated with fewer adverse effects, making it a preferred treatment option.

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 40 Abstract no. 11 Prevalence and associated factor of delayed language development of preschool children in Sa Kaeo, Thailand Adirakrit Ruangsawat, Ratchata Kheowkhamsaeng, Prakronkiate Siriwongnapa, Napat Intarapairoj, Chanapat Limprungpattanakit, Chanikan Buranabunwong, Thawanporn Chukiatchaturaporn, Papon Alongkotpatay, Panissara Amornjiraporn, Pornchanit Sirisuknantadech, Ratchata Kheowkhamsaeng, Sasipa Arunrakthavorn, Harithanon Jongbhinyotragool, Kanlaya Jongcherdchootrakul, Anupong Kantiwong, Wirongrong Arunyanart and Teeraboon Letwanichwattana Phramongkutklao College of Medicine Background: Language skill is necessary for communication and daily life, and the COVID-19 pandemic has caused a delay in language development. According to the report of ministry of public health, the current situation of language development in Thai children remains a problem and is increasingly detected. Delayed language development in pre-school children is a significant issue. Thus, studying the prevalence and risk factors of delayed language development in Thailand would be beneficial. Objectives: The objective of this study is to investigate the prevalence of delayed language development in pre-school children in the provinces of Sa Kaeo. Methods: A cross-sectional study was conducted using a structured and standardized questionnaire. The sample group includes children aged 3-6.5 years old from four kindergartens in Sa Kaeo. The Data was collected using questionnaires and language development was evaluated using the Developmental Surveillance and Promotion of Young Children (DSPM) handbook. Statistics used for analysis included frequency, percentage, chi-square, and binary logistic regression. Data was analyzed using STATA version 17. Results: The prevalence of delayed language development was found to be 55.71%. In multivariate analysis, parameters found to be significantly associated with delayed language development were increased age (AOR = 5.60, 95%CI: 2.72-11.54), small number of children in kindergarten class 3.43, CI: 1.17-10.11), high school maternal education (AOR = 0.48, 95%CI: 0.25-0.94) and complete Expanded Program on Immunization (EPI) vaccine in children (AOR = 0.13, 95%CI: 0.02-0.75) Conclusion: Our study emphasizes the importance of participation in setting goals to solve this problem, and specific risk factors identified in this study. The identification and development of policies or guidelines from the early stages by authorities, schools, and healthcare systems should collaborate in a coordinated and comprehensive manner. Additionally, efforts should be made to set targets to solve economic and social inequalities, which can help reduce the burden and improve long-term health outcomes for these children. Keyword: l Delayed language development l Preschool children l Public health

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 41 Abstract no. 12 The design and development of a real time urine volume alarm (RUVA) for patients after open heart surgery with a heart-lung machine Krittiya Chimpalee1 , Taninton Triratwitcha1 , Korroong Sookjaisan1 , Nichakorn Santaweesuk1 , Darunee Pangson1 , Thanawan Sributchin1 , Tanyaluck Nathi1 , Naruepon Borwaree1 , Nawasuparut Majaem1 , Porntip Rosdee1 , Munlika Boonsri1 , Wiphawadee Yaemarun1 , Hatairat Kaoaiem2 and Thitaporn Siriwan2 1 4 th year Nursing Students; 2 Advisors, Royal Thai Army Nursing College Background: Acute Kidney Injury (AKI) is significant complication after open heart surgery. The incidence is 28-83.6% after surgery which results in a death rate of 13.9%. Using a heart-lung machine is a risk factor of AKI caused by decreasing renal blood supply. AKI is diagnosed by evaluating urine output in the first 24 hours after surgery, which should be at least 0.5-1 mL/kg/hr. Measuring urine volume accurately will allow patients to receive timely treatment that can reduce and prevent Chronic Kidney Disease (CKD). Therefore, the researchers designed and developed a Real Time Urine Volume Alarm (RUVA), a urine volume notification device through Line Application to optimize the effectiveness of urine volume monitoring in patients after open heart surgery. Objective: To develop and examine the efficiency of the RUVA in patients after open heart surgery with a heart-lung machine within the first 24 hours post-operation. Research Design: Research & Development Methodology: This study was divided into four phases; Phase 1: Analysis and synthesis of literature; Phase 2: Design and development of the RUVA using Load Cell for force measurement and reading signals through the Arduino board, including testing the RUVA prototype’s accuracy of the notification system and the working system using water instead of urine; Phase 3: Trial of the RUVA in five patients after open heart surgery. This involved using a heart-lung machine at the Cardiovascular and Thoracic Intensive Care Unit (ICU-CVT), Phramongkutklao Hospital, for patients whose urine volume needs to be monitored every one hour within the first 24 hours post-operation; Phase 4: Evaluation of innovation effectiveness. Data in phases 2 and 3 will be analyzed using descriptive statistics. Research Instruments: The experimental record form of the RUVA consists of the notification accuracy and the working system sections. Keyword: l Real time urine volume alarm l Patient after open heart surgery l Heart lung machine l Acute kidney injury

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 42 Abstract no. 13 A follow-up study of infection dynamics of liver fluke infections in non-endemic area of rural community in central Thailand, phase 2 Suwapach Sukkrasanti, Ornradee Werojviwat, Nichaporn Laohanarathip, Nicha Sivasomboon, Katunyoo Sanposh, Chanisara Jatupitpornjan, Kasidit Phophrom, Trin Tatsanagraivuth, Chan Tantikosol, Aryuwat Pintavirooj, Piyalert Jiraratmethakorn, Nathida Rachgrom and Picha Suwannahitatorn Phramongkutklao College of Medicine Background: Opisthorchis viverrini (OV) infection is one of the public health problems in Thailand. Chronic OV infection is associated with cholangiocarcinoma. Our recent cross-sectional study conducted in a non-endemic area of rural community in central Thailand revealed the prevalence of OV infection in 2022 was 2.11%, which was higher than the regional average. This study aimed to follow up on infection dynamics, including incidence risk factors, from quantitative and qualitative approaches. Methods: A retrospective cohort study was conducted to evaluate the incidence and risk factors of OV infection. Stool examination methods, including Kato-Katz and PBS ethyl acetate concentration techniques, were performed to detect OV eggs. A standardized questionnaire was used to assess risk behaviors. Participants with positive OV results were enrolled in In-depth interviews for qualitative study. Results: The incidence of OV infection was 2.61%. Poisson regression analysis showed consumption of Koi-Pla, a traditional raw fish menu, (RR = 8.25, 95%CI: 1.01-67.1) and age 60 years and older (RR = 4.98, 95%CI: 1.02-24.7) were independently associated with OV infection. Findings from the In-depth interviews indicated that inadequate knowledge, misbeliefs, and social and cultural mores were important factors leading to the maintenance of risky behaviors. Conclusion: Study results are consistent with our previous study, indicating the persistent infection dynamics, including the burden of infection and contributions from risk factors in this non-endemic rural community. Keyword: l Opisthorchis viverrini infection l Cholangiocarcinoma l Koi Pla

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 43 Abstract no. 14 The relationship between social media use in health promotion and exercise intention among patients with type 2 diabetes Nongnapat Khamleuchai1 , Muchtikar Warasin1 , Tanyalak Chumphoosaeng1 , Pitchayaporn Reawwai1 , Pimpisa Khaosud1 , Pimsiri Kullasan1 , Fareeda Silalek1 , Mingkamon Laowatthanayingyong1 , Ratirat Chimeium1 , Warada Intiyos1 , Warisara Mektub1 , Sirawit Sukmuen1 , Jutarat Bandansin2 and Thanatchaporn Thacheephan2 1 4 th year Nursing Students; 2 Advisors, Royal Thai Army Nursing College Background: The prevalence of type 2 diabetes patients in Thailand is increasing. Besides medication and dietary control, appropriate and regular physical activity helps enhance the body’s insulin sensitivity, leading to better blood sugar control. However, some patients neglect exercise. Currently, online social media platforms are being used to provide health information and promote healthy behaviors, including exercise. Objectives: 1) To investigate the utilization of online social media for promoting the health of type 2 diabetes patients, including types of social media used, searched or followed the content, and frequency of usage; 2) To examine the relationship between the use of online social media in health promotion and the intention to exercise among type 2 diabetes patients. Methodology: This descriptive research involves 782 patients with type 2 diabetes who have been using online social media for at least three months, selected through convenient sampling. Data collection will use a four-level rating scale questionnaire, consisting of three parts: 1) Personal information, 2) The use of online social media in health promotion, and 3) Intention to exercise. The content validity will be assessed by three experts, and the reliability will be analyzed using Cronbach’s alpha. Data analysis will include descriptive statistics, such as frequency distribution, percentage, mean, and standard deviation, as well as inferential statistics using Pearson’s correlation coefficient. Keyword: l Type 2 diabetes patients l Social media l Exercise intention

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 44 Abstract no. 15 Prevalence and associated factors of low back pain among rubber agriculturists in rural community, Thailand, 2023 Panrawee Sertsuwankul, Rassawong Wathtarnavasin, Punnatorn Swangbuddhakun, Pawarit Ponpijitsup, Phongphich Pattanateerapat, Phakin Chunhasewee, Nopawit Kaewsalubnil, Sahutswat Sukchod, Suthasinee Phathaisuang, Akkaradech Khlaykun, Nutchar Hempatawee and Chanasak Hathaiareerak Phramongkutklao College of Medicine Background: Low back pain is a significant work-related musculoskeletal disorder among rubber agriculturists. Several research have indicated the associated factors of low back pain in agriculturists. This study is designed to investigate the predictors of low back pain among rubber agriculturists in Thailand in 2023 after harvesting. The results will be used to generalize the whole population of rubber workers in rural areas. Objective: This study is aimed to identify the prevalence and associated factors of low back pain among rubber agriculturists in Phra Phloeng Subdistrict, Khao Chakan District, Sakaeo Province, Thailand in 2023. Methods: A cross-sectional study was conducted among all adult rubber agriculturists in the rural area of Thailand from January to May 2023. During this period, respondents were asked to answer a selfadministered questionnaire. Bivariate and multivariate binary logistic regression analyses were performed. Results: Prevalence of low back pain in this study is 62.84%. The multivariate analysis reveals that the factors significantly associated with low back pain among rubber agriculturists are working more than 7 hours per day (OR = 2.16, 95%CI: 1.18-3.95, p = 0.012), lifting a load of more than 10 kilograms for 2 hours or more (OR = 4.20, 95%CI: 1.66-10.61, p = 0.002), sleeping for less than 6 hours per day (OR = 2.10, 95%CI: 1.17-3.75, p = 0.012), and experiencing stress (OR = 2.95, 95%CI: 1.36-6.39, p = 0.006). However, the study found that standing for more than 8 hours per day decrease the occurrence of low back pain (OR = 0.40, 95%CI: 0.20-0.81, p = 0.010). Conclusion: The high prevalence of low back pain among agriculturists in rural area in Thailand still persists. Related factors of low back pain from our study are all modifiable. Further studies should establish interventions on these factors in order to lower burden of the disease. Keyword: l Low back pain l Rubber agriculturists l Prevalence l Associated factors

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 45 Abstract no. 16 Mental health self-care behaviors of Royal Thai Army conscripts Theirinee Chaisrima1 , Natnaree Authaisa1 , Nitcharee Achamahat1 , Thanwalai Eksajja1 , Nisarat Yantaphon1 , Banthita Khottecha1 , Benjamaphon Daengsee1 , Ploytawan Ngoenjantr1 , Pimpisut Panjanda1 , Phurichaya Nakprasit1 , Rinrada Choorat1 , Worakarn Damderm1 and Sarintorn Chiewsothorn2 1 4 th year Nursing Students; 2 Advisors, Royal Thai Army Nursing College Background: Currently, the majority of societal violence arises from individuals with mental health issues who cannot control themselves. When faced with stress and intense pressures in situations that require significant adjustments to changes, such violent behaviors impact the lives and the quality of life of the individual, their families, and society at large. Conscripts are individuals who need to adjust to roles and responsibilities under pressure, undergoing rigorous military discipline and training to ensure physical strength and adequate military capabilities for missions under various pressures, including non-war operations like counter-terrorism, disaster relief, and peacekeeping operations. They face physical and mental stress in various social and cultural environments. From a report on the mental health screening of Royal Thai Army Conscripts batch 1/66, totaling 34,866 men, it was found that 3,231 men, or 9.38%, showed mental abnormalities. Literature reviews have shown that if an individual has good mental self-care behavior, it helps the individual, family, and society to care for, assist, protect, and address issues arising from mental health problems effectively. Therefore, the researcher chose to study the mental self-care behavior of the Royal Thai Army conscripts at the King’s Guard, 2nd Cavalry Division, batch 2/66. Objective: To study the self-care behaviors regarding mental health of Thai army conscripts. Methodology: This study is a survey research. The population of this study is the new Thai army conscripts at the King’s Guard, 2nd Cavalry Division, batch 2/66, who voluntarily participate. Data will be collected using a questionnaire and analyzed using descriptive statistics, including frequency, percentage, mean, and standard deviation. Research Tool: The assessment form used to evaluate the self-care behaviors regarding mental health is developed by Lt. Col. Sarintorn Chiewsothorn, based on the concepts of Lyda Hil, Nancy Smith, and Jintana Yunipon. It comprises seven aspects of mental health self-care behaviors. Keyword: l Mental health self-care behavior l Mental health l Regular military personnel

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 46 Abstract no. 17 Prevalence and factors associated with long COVID among adults in Phra Phloeng subdistrict, Khao Chakan district, Sa Kaeo province, Thailand: a cross-sectional study. Passakorn Khontharatkul, Kittipan Wongtuntakorn, Kasama Chaichna, Chakarin Kalinvidhaya, Jaedsupa Thanakitcharu, Tanawat Kerdsawat, Noppakorn Bovornwatananon, Narakul Augkitanon, Ploychompoo Tansiri, Peeranat Sukchuay, Patranun Kulpreeyawat and Atipat Wongwatcharadamrong Phramongkutklao College of Medicine Background: Some individuals with a history of COVID-19 infection have experienced different manifestations during post-covid-19 for weeks or even for months, also known as long COVID. However, epidemiological studies regarding long COVID symptoms in Thailand are not widespread, and most of the population of Thailand live in rural areas. This research conducted in rural areas of Thailand may be critical to improving our understanding of the long-term consequences of COVID-19, identifying prevalence and associated factors of each long COVID symptoms, as well as developing effective strategies for preventing and treating this debilitating condition. Objective: To determine the prevalence of Long COVID and to identify the associated factors of Long COVID relating to respiratory, neurological, psychological systems and fatigue among adults in Phra Phloeng, Khao Chakan district, Sa Kaeo province, Thailand. Methods: The study was a cross-sectional design. The research was conducted with 208 people who were age of 20 years or older, living in Phra Phloeng Subdistrict, Khao Chakan District, Sa Kaeo Province, testing positive for COVID-19 either by ATK or RT-PCR for at least 3 months and home isolation or hospitalized-isolation. Socio-demographic characteristics, mMRC (Modified Medical research) Dyspnea scale, Cough evaluation, VAS fatigue, GAD-7, ISI (insomnia severity index) were collected. The primary outcome was the prevalence and associated factors of long COVID-19 using a questionnaire and then analyzing continuous and categorical data in STATA17 to find the outcome. Results: The study revealed a total of 288 participants, the prevalence of long COVID was 35.76%. Overall, five long COVID symptoms (fatigue, dyspnea, cough, insomnia, anxiety), the most common symptom is fatigue (22.57%). Associated factors for long COVID included age group, gender, marital status, and health coverage scheme. Conclusion: There are two differences in terms of statistical significance for the association with long COVID symptoms. Results show that agriculturists bring about long COVID symptoms, conversely 60-yearold people and older are protective factors. Further studies applied to cohort study for more accurate and more precise results. larger scale Keyword: l Long COVID l Modified medical research dyspnea scale l VAS fatigue l GAD-7 l Insomnia severity index

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 47 Abstract no. 18 Factors influencing happiness among army nursing students Natcha Sujaritchai1 , Petrada Sangyaimanee1 , Katsuda Kraikitrat1 , Khuanjira Saiplean1 , Thanapron Thaikham1 , Pattamawadee Rungdaeng1 , Panalee Bunmak1 , Panida Poodenpha1 , Panisara Wakayaban1 , Phatthanan Wongammat1 , Petrada Sangyaimanee1 , Warisara Wanghengyarit1 and Aree Sanee2 1 4 th year Nursing Students; 2 Advisors, Royal Thai Army Nursing College Background: Thailand recognizes that the happiness of citizens is one of the key factors contributing to the country’s development. Happiness could lead people’s lives, which enhances their efficiency in both work and education. Nursing students are one of the least happy groups when compared to other populations in educational institutions. The Royal Thai Army Nursing college is an institution that trains professional nurses for the Royal Thai Army and civilians. The curriculum includes military leadership training as well as nursing courses, which can lead to stress and anxiety. Comparing with institutions outside the Ministry of Defence, various factors have been found to affect happiness, such as gender, age, place of residence, and relationships with friends. Therefore, the research team is interested in studying the factors that affect the happiness of nursing students at the Royal Thai Army Nursing College as this is essential for the development of students according to the desired graduate attributes. The results of this study will act as a guide to develop and improve the management system, thus enhancing the quality of students’ lives, allowing them to develop themselves into professional nurses in the future, which will be beneficial to the nation. Objective: To study and compare the happiness levels of Army Nursing students and the relationship of factors affecting the happiness of Army Nursing students. Methodology: This research is survey research. The population consists of nursing students from year one to year four at the Royal Thai Army Nursing College in academic year 2023, with a total of 349 individuals. Data will be collected through questionnaires. Data will be analysed using descriptive statistics (percentages, means, standard deviations), and multiple regression analysis. Research instrument: The questionnaire is composed of 3 sections; 1) General Information: This section includes 11 items as follows: Gender, Age, College Year, Income and Expenses, Grade Point Average, Body Mass Index, Sleep Duration, Chronic Illnesses, Place of Residence, Family Relationships, Relationships with Friends; 2) This section includes 55 items based on the Thai Mental Health Indicator Version 2007 (TMHI-55) by the Department of Mental Health; 3) This section is designed to gather opinions for enhancing happiness among army nursing students, which consists of two open-ended questions. Keyword: l Happiness l Army nursing students l Royal Thai Army Nursing College

Royal Thai Army Medical Journal Vol. 76 Supplement (1) November 2023 48 Abstract no. 19 Prevalence, associated factors and impact on inferior heel pain among agriculturist in Phra Phloeng, Khao Chakan, Sa Kaeo province Thailand, 2023: a cross-sectional study Gorawich Witayanun, Nannapat Tiyanon, Varissara Suphavarophas, Panisa Pramaunururut, Pornchanok Naksarn, Kasidit Rattanaumpol, Kandaporn Chiarlalit, Pumipat Yachiangkham, Boonyakorn Supsuantang, Puthipong Chaichotkulchai, Kaophiphat Thammasoon, Chanwit Phongamwong and Kanlaya Jongcherdchootrakul Phramongkutklao College of Medicine Background: Inferior heel pain is a common condition caused by various factors, including plantar fasciitis, calcaneal spur, and plantar fibroma. Occupations that involve prolonged standing, walking, or carrying heavy loads, such as agriculture, increase the risk of developing this condition. Thailand has a large workforce in the agricultural sector, but limited information exists about the prevalence and impact of inferior heel pain among agriculturists in rural areas. This study aims to determine the prevalence, associated factors, and impact of inferior heel pain among agriculturists in Sai Thong, Suk Jareon, and Sai Ngam, Khao Chakan, Sa Kaeo Province, Thailand. Objectives: This study aimed to assess the prevalence, associated factors and impact on inferior heel pain among agriculturist in Phra Phleong, Kao Chakan, Sa Keao province Thailand. Methods: The cross-sectional study was conducted by using self-questionnaires, including the Foot Function Index (FFI) to evaluate pain and disability. A total of 309 agriculturists who were eligible to criteria were surveyed in March 2023. The statistical analysis was performed using Stata ver.17.0 software, and the data were analyzed using descriptive statistics, chi-square test, and logistic regression. Results: The prevalence of inferior heel pain was 42.7%. Female gender was 48.4% (aOR = .83, 95%CI: 1.142.94), walk-only working posture was 49.5% (aOR = 2.022, 95%CI: 1.21-3.38), and work on rough surfaces was 51.7% (aOR = 2.170, 95%CI: 1.28-3.69) were statistic significantly associated with inferior heel pain. The participants reported a mild to moderate impact on functional impairment by the Foot function index, which decreased in their quality of life due to the pain and functional limitations. Conclusion: This study found a high prevalence of inferior heel pain among agriculturists. Agriculturists who work long hours of work in standing or walking positions, with female gender and working on rough surfaces being identified as risk of developing inferior heel pain. The researchers recommend health education efforts to raise awareness of these risk factors and how to manage inferior heel pain. Future studies should consider a longitudinal design, objective measure such as imaging and clinical examination, and a larger sample size to improve the statistical power of the study and establish causal relationships between variables. Keyword: l Inferior heel pain l Plantar fasciitis l Calcaneal spur l Plantar fibroma l Agriculturists l Foot function index

เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 76 ฉบับพิเศษ (1) พฤศจิกายน 2566 49 Abstract no. 20 Perceived illness representation, perceived social family support, and recovery in ischemic stroke older adult patients over a 6-month period Kullanan Chaipa1 , Wiphaphorn Nokthong1 , Gritphanaphat Jiraporn1 , Kanpitcha Niyomsuk1 , Chalida Sangsud1 , Napatsorn Pengsakool1 , Nawaporn Anosak1 , Puangporn Thipprom1 , Warista Thongta1 , Wicharaporn Sudsiri1 , Sujeeporn Hommali1 , Suchanya Kruersuwan1 and Suweena Bohplian2 1 4 th year Nursing Students; 2 Advisors, Royal Thai Army Nursing College Background: In 2023, ischemic stroke in Thailand stands as the primary cause of death among women and is second only to car accidents among men. The first six months following an ischemic stroke represent a crucial window for recovery if patients receive appropriate and effective rehabilitation. Illness representation plays an important role in how individuals perceive their health condition and protect themselves, thus contributing to overall well-being. It becomes evident that social family support plays a significant role in increasing their selfesteem. The relationship among perceived illness representation, perceived social family support, and recovery among older adult ischemic stroke patients still needs to be explored. The aim of the study is to understand the relationship among these variables and to use its results to guide the development of an effective care program and discharge planning for older adult ischemic stroke patients. Objective: To investigate the relationship among perceived illness representation, perceived social family support, and the recovery of ischemic stroke in older adult patients who were admitted to Phramongkutklao Hospital over a six-month period after discharge. Methodology: This study employs a cross-sectional descriptive research design from July 2023 to January 2024. The study focuses on patients admitted to Phramongkutklao Hospital within a six-month period following discharge. The sample group consists of 128 ischemic stroke patients aged 60 years and over. Data will be collected through structured questionnaires and analyzed using a combination of statistical methods, including mean, frequency, percentage, standard deviation, and Pearson correlation statistics, to investigate and quantify the relationships among the variables of interest. Research tools: The questionnaires are composed of four parts: 1) General Information and Demographic Data; 2) the Barthel Activity of Daily Living Index; 3) Illness Perception Assessment; and 4) the Family APGAR Questionnaire. Keyword: l Recovery of ischemic stroke in old adult patients l Social family support l Illness representation stroke