The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kittipong24032006, 2022-11-28 08:04:51

พระเวสสันดร กัณฑ์มัทรี

0913A630-B162-4F28-9710-A78CC0216A60

มหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี

จัดทำโดย

นายกฤติพงษ์ จิตรจำนอง

ม.5/2 เลขที่2

ผู้แต่ง

ประวัติ
เจ้าพระยาพระคลัง ( หน ) เกิดในรัชกาลสมเด็จพรำ
เจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ใน
แผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รับราชการเป็นหลวงสรวิชิต
ถึงรัชกาลที่ ๑ ได้เลื่อนเป็นพระยาพิพัฒน์โกษา และ
เป็นเจ้าพระยาพระคลัง ในที่สุด ถึงแก่อสัญกรรม พ.ศ.
๒๓๔๘ ผลงานที่สำคัญได้แก่ ราชาธิราช ลิลิดเพชร
มงกุฎ สามก๊ก อิเหนาคำฉันท์บทมโหรีเรื่องกากี และ
ร่ายยาวหมาเวสสันดรชาดก ๒ กัณฑ์ คือ กัณฑ์กุมาร
และ กัณฑ์มัทรี

ผลงาน

ผลงาน

แต่งในสมัยกรุงธนบุรี

– ลิลิตเพชรมงกุฎ
– อิเหนาคำฉันท์
แต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

– สามก๊ก (เป็นผู้อำนวยการแปล)
– กากีกลอนสุภาพ
– ร่ายยาวมหาชาติ กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี

– ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง
– โคลงสุภาษิต
– กลอนและร่ายจารึกเรื่องสร้างภูเขาที่วัดราชคฤห์
– ลิลิตศรีวิชัยชาดก
– สมบัติอมรินทร์คำกลอน

ที่มาของเรื่อง มหาเวสสันดร กัณฑ์มัทรี

มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดกเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดย
กล่าวถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เดิม
แต่งเป็นภาษาบาลี ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยในสมัยกรุงสุโขทัย ต่อ
มาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรดเกล้าฯให้ปราชญ์ราชบัณฑิต
แต่งมหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นมหาชาติสำนวนแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้
สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าให้แต่งกาพย์มหาชาติ เพื่อใช้
สำหรับเทศน์ แต่เนื้อความในกาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว ไม่สามารถเทศน์
ให้จบภายใน ๑ วัน จึงเกิดมหาชาติขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน เพื่อให้เทศน์
จบภายใน ๑ วัน มหาชาติสำนวนใหม่นี้เรียกว่า มหาชาติกลอนเทศน์

หรือ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดเกล้าฯ
ให้มีการชำระและรวบรวมมหาชาติกลอนเทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือก
สำนวนที่ดีที่สุดของแต่ละกัณฑ์ นำมาจัดพิมพ์เป็นฉบับของหลวง ๒ ฉบับ
คือ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ

จุดประสงค์

เพื่อใช้เทศน์ให้ประชาชนฟัง มหาเสสันดรชาดก แต่งขึ้นเพื่อใช้เทศน์
มหาชาติ เนื่องจากร่ายยาวหมาเสสันดรชาดกเป็นชาดกเรื่องใหญ่ที่สุด
เป็นชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเสสันดรซึ่งเป็นพระชาติ
สุดท้ายก่อนจะประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเสด็จออกผนวชกระทั่ง
ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องราวในพระชาติที่เป็นพระ
เวสสันดรได้ทรงบำเพ็ญทศบารมี ครบทั้ง ๑๐ ประการ โดนเฉพาะ
อย่างยิ่ง ทานบารมี ซึ่งทรงบริจาคบุตรทารทาน คือ บริจาคพระชาลี พระ
กัณหา และพระนางมัทรี จึงเป็นชาติที่สำคัญและยิ่งใหญ่ เรียกว่า

“มหาชาติ” หรือ “มหาเสสันดรชาดก”

เรื่องย่อ

พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดรทำนายฝันให้ แต่พระนางก็
ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรสกับพระธิดากับพระเวสสันดรให้ช่วย
ดูแล หลังจากนั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติพระเวสสันดรและ
สองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า พระนางพบว่าธรรมชาติผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่น
ต้นไม้ที่เคยมีผลก็กลายเป็นต้นที่มีแต่ดอก ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้ง่าย
ก็กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็นสีเหลืองให้รู้สึก
หวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัดตกจากบ่า ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยว
ผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่งขึ้นบรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากันกังวลว่า
หากนางมัทรีกลับออกจากป่าเร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดา
เป็นทาน ก็จะต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์จึงส่งเทพบริวาร 3
องค์ให้แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย 3 ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้
เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อล่วงเวลาดึกแล้วจึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับ
อาศรม เมื่อพระนางเสด็จกลับถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตาม
หาและร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัดความทุกข์
โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจคบหากับชายอื่น จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลา
ดึก เพราะทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริงในขณะที่พระนางกำลังโศกเศร้าหนักและกำลัง
อ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้ ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญหาลูกจนสิ้นสติไป
ครั้นเมื่อฟื้นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์ได้ประทานกุมารทั้งสองแก่ชูชก
ไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนางมัทรีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและ

ทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรด้วย

ลักษณะคำประพันธ์

แต่งเป็นร่ายยาว มีพระคาถาภาษาบาลีนำ และพรรณนาเนื้อความโดยมี
พระคาถาสลับเป็นตอน ๆ ไปจนจบกัณฑ์ คำประพันธ์ประเภทร่ายยาว
หนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ส่วนมากมี ๕ วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่ง ๆ มี
ตั้งแต่ ๖ คำขึ้นไป ถึง ๑๐ คำหรือมากกว่า มีบังคับเฉพาะระหว่างวรรค
คือ คำสุดท้ายของวรรคจะส่งสัมผัสไปที่คำที่ ๑ ถึง ๕ ของวรรคต่อไป

เมื่อจบตอนมักมีคำสร้อย เช่น “นั้นแล” “นี้แล” ร่ายยาวมหา
เวสสันดรชาดก เป็นร่ายยาวสำหรับเทศน์ จะมีคำศัพท์บาลีขึ้นก่อน
แล้วแปลเป็นภาษาไทย แล้วจึงมีร่ายตาม ในระหว่างการดำเนินเรื่องจะ
มีคำบาลีคั่นเป็นระยะ ๆ คำบาลีนั้นมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับข้อความ

ที่ตามมา

แผนผังร่ายยาว

ถอดคำประพันธ์

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า พระกุมาร
ทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอดเวลาจนน้ำตาอาบ
แก้มทั้งสองข้าง พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้
ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผลไม้ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บ
ไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัวทุกหน
แห่ง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของ
พระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้

ก็ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิด
เท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น

ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะ
ได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม แต่ระหว่างทางกลับเจอ
สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้ นางกลัวจน
ใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นางจะหนีไป
ทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุกทิศทาง
จนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้
อ้อนวอนขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิดทางให้ตน โดย
กล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็นภรรยาของพระ
เวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความบริสุทธิ์ใจ
และกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิวนม โปรด
เปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะแบ่งผล
ไม้ให้ จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิด
ทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรมด้วยแก้มที่

อาบน้ำตา

เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม
ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะ
ออกมาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม ส่วนชา
ลีจะขอกินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่
ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม
หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียง
ลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี นี่ก็ของเล่น
กัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้า
หม่น นางจึงไปถามพระเวสสันดรว่าลูกหายไปไหน
เหตุใดจึงปล่อยให้คลาดสายตา หากมีสัตว์ป่าจับไปจะ
ทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่ตอบอะไร ทำให้

นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า

ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวาย
พลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึกแค้นเคืองใจ
ขนาดนี้ เพราะนางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะ
ได้สุขใจเพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูก

หายตัวไป ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับสิ้น

พระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง
เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธเคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่ง
ทำให้ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ
หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้น
ชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรี
ดังนั้น ก็คิดว่าหากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความ
โศกให้พระนางได้ จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้ง
พระดาบสและนายพรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บผล
ไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะ
ไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่านานถึง
เพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด
หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหายเข้าไปในป่านานถึง

เพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร

เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใด
พระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือ

เหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่
สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลายประการ
ขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่
หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล
ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัว
จนตัวสั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามีปลอดภัย แล้ว
รีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวาง
ทางเอาไว้ จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทาง
ให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้วพระ
นางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่
เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟังคำ
ตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จนกระทั่งรุ่ง

เช้า

ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อ
สามีดั่งศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้
ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้ว
อ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูกอยู่แห่ง

หนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ว่าจะร้องขออ้อนวอน
อย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พระนางจึงถวายบังคม
ลาออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อออกตามหาจนทั่ว
แล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่
เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระ
เวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ หรือก่อไฟ
ไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดร
นั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่าเห็นพระ
พักตร์ของพระองค์และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความ
เหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็นความทุกข์ร้อน
เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง แม้พระนา
งมัทรีจะได้ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี
แล้วกลับมาหาพระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใด

อยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้มลงกับพื้น

พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน ไม่เคย
ได้แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศก
และตระหนกตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระ
เวสสันดรจึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้น
ขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรีเมื่อฟื้นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่า

ลูกทั้งสองอยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่ พระ
เวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระชาลีให้กับ
ชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนางมัทรีตั้งแต่
ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อได้รู้ความจริง

แล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์เศร้าลงแล้ว
อนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระเวสสันดรได้ปฏิบัติใน

ครั้งนี้

ข้อคิด

ลูกคือแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่ "ลูก ดีเป็นที่ชื่นใจ
ของพ่อแม่ ลูกแย่พ่อแม่ช้ำใจ" รักใครเล่าจะเท่าพ่อแม่รัก
ห่วงใดเล่าจะเท่าพ่อแม่ห่วง หวงใดเล่าจะเท่าพ่อแม่หวง
ให้ใครเล่าจะเท่าพ่อแม่ให้ เพราะฉะนั้นพึงเป็นลูกแก้ว
ลูกขวัญ ลูกกตัญญู ที่ชาวโลกชื่นชม พรหมก็สรรเสริญฯ

คุณค่าที่ได้จากเรื่อง

พระเวสสันดร กัณฑ์มัทรี

๑.คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๑.๑ ใช้ถ้อยคาไพเราะ มีการเล่นคา เล่น

สัมผัสอักษร มีการใช้โวหารภาพพจน์ และการพรรณนา
ให้เกิดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน รวมทั้งเกิดจินตภาพ
ชัดเจน

๑.๒ เนื้อหาของกัณฑ์มัทรีแสดงให้เห็นถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับอารมณ์ความรู้สึกของ
ตัวละครได้อย่างชัดเจน จะเห็นได้จากตอนที่เกิดเรื่องร้าย
แก่พระนางมัทรีขณะที่หาผลาหารอยู่ในป่า

๒. คุณค่าด้านสังคม
๒.๑ สะท้อนให้เห็นค่านิยมแนวโลกุตตรธรรมของประชาชนว่า

มีความปรารถนาจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
๒.๒ เรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก เป็นวรรณกรรมที่เกิดขึ้นใน
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงเป็นภาพสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่
ขนบธรรมเนียม และค่านิยมของคนในยุคนั้น ๆได้ดีว่า มีการซื้อขาย
บุคคลเป็นทาส นิยมการบริจาคทานเพื่อหวังบรรลุนิพพาน มีความเชื่อ
องลางบอกเหตุ เชื่อเรื่องอำนาจของเทพยดาฟ้าดินต่าง ๆ นอกจากนี้ ยัง
สดงภาพชีวิตในชนบทเกี่ยวกับการละเล่นและการเล่นซ่อนหาของเด็ก


๒.๓ ให้แง่คิดเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของผู้หญิงในฐานะที่เป็น
แม่และเป็นภรรยาที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
๒.๔ มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี สะท้อนแนวคิดสำคัญ

เกี่ยวกับความรักของแม่ที่มีต่อลูกอย่างสุดชีวิต
๒.๕ ข้อคิด คติธรรม ที่สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันของ
ทุกคนได้ เกี่ยวกับการเป็นคู่สามีภรรยาที่ดี การเสียสละ เป็นคุณธรรมที่
น่ายกย่อง และการบริจาคทาน เป็นการกระทาที่สมควรได้รับการ

อนุโมทนา


Click to View FlipBook Version