The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศิลปะประวัติศาสตร์อินเดีย4สมัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pimmadaa9554, 2022-02-27 04:02:58

ศิลปะประวัติศาสตร์

ศิลปะประวัติศาสตร์อินเดีย4สมัย

ARTE
ROMANICO

ศิ ลปะอินเดีย INDIAN ART

ศิ ลปะสมัยอินเดียที่1

ศิลปะแบบสาญจีเป็นศิลปะอินเดียที่ด้รับอิทธิพลของศิลปะ
ต่างประเทศ 2 ศิลปะ

1.ศิ ลปะอิหร่านสมัยราชวงศ์ อะคีเมนิด
2.ศิ ลปะกรีกรุ่นหลัง

ในสมัยนี้ งานศิลปกกรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาจะ
ไม่มีการสลักพระพุทธรูปหรือมนุษย์มี่เกี่ยวข้องกับพุทธ
ประวัติ เเตาจะใช้สัญลักษณ์แทน
ประเภทจิตกรรม
- จิตกรรมผนั งถ้ำโยคิมาร
- นั กดนตรี ที่ถ้ำอชันตาที่1 มหาชนกชาดก

ประเภทประติมากรรม
- ยอดเสาหินของพระเจ้าอโศกทสี่ารนาถ
สร้างข้ึนราวปลายพุทธศตวรรษที่3

ประเภทสถาปัตยกรรม
- มหาสถูปสาญจี มีลักษณะรูปโอคว่ำซึ่งเป็นแม่แบบของ
การสร้างสถูปในสมัยต่อๆมา

ศิ ลปะอินเดียสมัยที่2

ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 จนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 10 มีอิทธิพล
ภายนอกที่มีต่อศิลปะอินเดียคือ ศิลปคันธารราฐ และศิลปะอินเดีย
เองคือ ศิลปะแบบมถุรา ทางเหนื อและศิลปะแบบอมราวดีทางตะวัน
ออกเฉียงใต้ เกิดรูปแบบศิลปะอินเดียขึ้น 3 แบบ คือ

1. ศิ ลปะแบบคันธารราฐ

จัดเป็นรูปแบบศิลปะที่ได้รับอิทธิพลศิลปะของ
กรีกรุ่นหลังเข้ามาผสมผสานกับศิลปะท้องถิ่น
พุทธลักษณะที่เด่นคือการสร้างพทุธศิลป์ด้วยการ
แกะสลักศิ ลาสี น้ำเงินปนเทาหรือสี ค่อนข้างเขียว
ในสมัยนี้ เป็นยุคเริ่มในการประดิษฐ์พระพุทธรูป
เป็นมนุษย์

2.ศิ ลปะแบบมถุรา ประติมากรรมในสมัยนี้
นิ ยมใช้หินทรายสีชมพูเเก่

• ลักษณะพระพุทธรูปสมัยนี้ ยังมีอิทธิพลการสร้าง
แบบคันธาระอยู่บ้างแต่พระพักตร์เริ่มมีลักษณะ
คล้านชาวอินเดียมากขึ้น
• พระเศียรกลมพระจีวรบางกว่าแบบคันธาระและ
จะแนบ

3.ศิ ลปะแบบอมราวดี

มีรู ปแบบศิ ลปะที่ผสมผสานบางส่ วนมีลักษณะ
คล้ายแบบมถุราพระพุทธรูปแบบอมราวดีมัก
ครองจีวรห่มเฉี ยงจีวรเป็นริ้วทั้งองค์และเบื้อง
ล่างใกล้พระบาทมัก มีจีวรขอบหนายกจากด้าน
ขวามาพาดข้อพระหัตถ์ซ้าย

ศิ ลปะอินเดียสมัยที่3

สมัยนี้ ถือเป็นยุคทองของอินเดียเกิดรูปแบบศิลปะที่เรียกว่า
“ศิลปะแบบคุปตะ” เกิดรูปแบบศิลปะ 2 รูปแบบ

1.ศิ ลปะแบบคุปตะ

ศิลปะแบบคุปตะถือเป็นยุคทองของศิลปะอินเดียซึ่ศิลปะในยุคสมัยนั้ น
เป็นศิลปะมีรูปแบบพัฒนามาจากศิลปะแบบเก่าลักษณะพระพุทธรูปมี
ความสมดุลได้สัดส่วนมีความละเอียดอ่อนสวยงามแบบธรรมชาติ รูปร่าง
และสั ดส่ วนชัดเจน

งานประติมากรรม
งานประติมากรรมที่งดงามที่สุดในยุคนั้ น คือ พระพุทธรูปปาง
ปฐมเทศนาสลักนูนสูงจากหินทรายพระหัตถ์เเสดงปางประคอง
ธรรมจักรพระเนตรมองต่าพระขนงโก่งด้านหลังพระเศียรมีประภารัศมี
แผ่เป็นวงฐานสลักเป็นรูปนางวิสาขาปัญจวัคคีย์

งานจิตรกรรม
ในสมัยนั้ นงานจิตรกรรมเจริญถึงขีดสุดเห็นได้จากจิตรกรรมฝาผนั งถ้ำ
อชันตา

2.ศิ ลปะแบบหลังคุปตะ

เป็นศิลปะที่สืบเนื่ องต่อจากศิลปะแบบคุปตะลงในสมัยนั้ นศาสนาฮินดู
มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น และศิลปะเองก็เเสดงความงามในรูปแบบ
ใหม่โดยแสดงถึงอานาจความน่ าเกรงขาม

ศิ ลปะอินเดียสมัยที่4

ศิ ลปะทมิฬหรือดราวิเดียน

ศิลปะแบบทมิฬแบบที่เก่าสุดมีประติมากรรมจากศิลา รูปสำริดและรูป
สลักจาก ไม้ ประติมากรรมสำริดที่รู้จักกันดีคือ รูปพระศิวนาฏราช
ฟ้อนรำอยู่ในวงเปลวไฟ สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่หลังคาสร้างเป็นหิน
ซ้อนกันเป็นชั้น เช่น สถาปัตยกรรมที่เป็นเทวสถานใหญ่ชื่อลิงคราชที่
เมืองภูวเนศวร ศิลปะปาละ เสนะ ศิลปะทางพุทธศาสนาของอินเดียภาค
เหนื อภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงศ์ปาละ-เสนะ ในแคว้นเบงคอลและ
พิหารระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14-18 พุทธศาสนาในสมัยปาละ คือ
พุทศาสนาลัทธิตันตระซึ่งกลายมาจากลัทธิมหายานโดยผสมความเชื่อ
ในลัทธิฮินดูเข้าไปปะปนสถาปัตยกรรมที่สำคัญคือ มหาวิทยาลัยนาลัน
ทาซึ่งเป็นศูนย์กลางการสอนพุทธศาสนาลัทธิตันตระในแคว้นเบงคอล
ส่วนประติมากรรมมี ทั้งภาพสลักจากศิลาและหล่อจากสำริดทั้งทาง
พุทธศาสนาและตามคติแบบฮินดู ประติมากรรมสลักจากศิลาในสมัยนี้
แบ่งออกเป็น 3 ยุค

ยุคแรกพุทธศตวรรรษที่ 14-15 มีพระโพธิสัตว์และ พระพุทธรูปทรง
เครื่อง
ยุคสองพุทธศตวรรษที่ 16-17 พระพุทธรูปทรงเครื่องมากขึ้น สร้าง
ตามคตินิ ยมลัทธิ ตันตระ
ยุคที่สามยุคราชวงศ์เสนะ พุทธศตวรรษที่ 18 นั บถือศาสนาฮินดูจึง
เป็นยุคของประติมากรรมแบบฮินดู ศิลปะแบบปาละ เสนะ ได้แพร่
หลายไปยังที่ต่าง ๆ เช่น ประเทศเนปาล ธิเบต ศรีลังกา ชวาทาง
ภาคกลาง เกาะ สุมาตราในอินโดนี เซีย พม่า และประเทศไทย

ศิ ลปะตะวันตกยุคก่อนประวัติศาสตร์

คืองานศิลปะที่ได้เริ่มทำก่อนกันมาก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการบันทึกเรื่อง
ราวที่เรียกว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยนั บตั้งแต่
ยุคหินเก่าตอนปลายซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณ30,000-10,000ปีมา
แล้ว20,000–10,000ปี

จิตรกรรม
มีการค้นพบภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์บนผนั งถ้ำ (CAVE PAINTING) ซึ่ง

เป็นภาพเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานจิตรกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ
มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่ผนั งถ้ำอัลตามิรา (ALTAMIRA) ประเทศสเปน
ซึ่งเขียนเป็นภาพวัว ไบซัน ช้างแมมมอส กวางเรนเดียร์ ซึ่งสัตว์ทุกชนิ ดแสดง
การเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา และภาพเขียนบนผนั งถ้ำอีกแหล่งหนึ่ งที่ ถ้ำลา
สโคซ์ (LASCAUX) ประเทศฝรั่งเศส อายุราย 20,000 – 13,000 ปี มีรูปม้า
กวาง สีที่นำมาใช้ส่วนใหญ่เป็นสีที่ได้จากดินสีต่าง ๆ เช่น ดินแดง ดินสี
น้ำตาล ดินสีเหลือง สีดำ นำมาจากผงถ่ายไม้หรือเขม่า ผสมกับยางไม้ไขสัตว์
หรือน้ำผึ้ง วิธีเขียนใช้พ่นทาหรือใช้ไม้ทุบปลายให้แตกคล้ายพู่กันระบายสี
แบน ๆ






ประติมากรรม
ในยุคหินเก่าตอนปลายพบรูปแกะสลักด้วยหินขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็น

รูปแกะสลักหิน ซึ่งนั กโบราณคดีสมัยปัจจุบันเรียกชื่อรูปเหล่านี้ ว่า วีนั ส
ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน คือ ศรีษะไม่แสดงรายละเอียดของหู ตา จมูกและ
หาง แต่ทำเป็นเป็นปุ่มเล็ก ๆ แขนและขาลีบไม่ปรากฏ เท้าและนิ้ ว เท้า เต้า
นมใหญ่ ท้องยื่นคล้ายกำลังตั้งครรภ์ แสดงอวัยวะเพศชัดเจน

ศิ ลปะตะวันตกสมัยประวัติศาสตร์ศิ ลปะอียิปต์

ศิ ลปะอียิปต์ (Egypt Art)

อยู่ในช่วงเวลา 3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราชถึงคริสต์ศักราชที่ 1000
ชาวอียิปต์มีศาสนาและพิธีกรรมอันซับซ้อน แทรกซึมอยู่เป็นวัฒนธรรมอยู่ใน
สังคมเป็นเวลานาน มีการนั บถือเทพเจ้าที่มีลักษณะอันหลากหลาย ดังนั้ น
งานจิตรกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรมส่วนมากจึงเป็นเรื่องเกี่ยว
กับศาสนา พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีฝังศพ ซึ่งมีความเชื่อว่าเมื่อตายแล้วจะยังมี
ชีวิตอยู่ในโลกใหม่ได้อีก จึงมีการรักษาศพไว้อย่างดี และนำสิ่งของเครื่องใช้ที่
มีค่าของผู้ตายบรรจุตามลงไปด้วย

จิตรกรรม

ลักษณะงานจิตรกรรมของอียิปต์ เป็นภาพที่เขียนไว้บนฝาผนั งสุสานและ
วิหารต่าง ๆ สีที่ใช้เขียนภาพทำจากวัสดุทางธรรมชาติ ได้แก่เขม่าไฟ
สารประกอบทองแดง หรือสีจากดิน แล้วนำมาผสมกับน้ำและยางไม้ลักษณะ
ของงานจิตรกรรมเป็นงานที่เน้ นให้เห็นรูปร่างแบน ๆ มีเส้นรอบนอกที่คมชัด
จัดท่าทางของคนแสดงอิริยาบถต่าง ๆ ในรูปสัญลักษณ์มากว่าแสดงความ
เหมือนจริงตามธรรมชาติ มักเขียนอักษรภาพลงในช่องว่างระหว่างรูปด้วย
และเน้ นสัดส่วนของสิ่งสำคัญในภาพให้ใหญ่โตกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ

ประติมากรรม

ลักษณะงานประติมากรรมของอียิปต์ จะมีลักษณะเด่นกว่างานจิตรกรรม มี
ตั้งแต่รู ปแกะสลักขนาดมหึมาไปจนถึงผลงานอันประณี ตบอบบางของพวก
ช่างทอง ชาวอิยิปต์นิ ยมสร้างรูปสลัก ประติมากรรมจากหินชนิ ดต่างๆ เช่น
หินแกรนิ ต หินดิโอไรด์ และหินบะซอลท์ หรือบางทีก็ เป็นหินอะลาบาสเตอร์
ซึ่งเป็นหินเนื้ ออ่อนสีขาว

ประติมากรรมแบบนูนสูง เสาสลักบริเวณหุบผากษัตริย์




สถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรมอียิปต์ สร้างขึ้นเพื่อคนที่ล่วงลับไปแล้ว โดยคนที่มีชีวิตอยู่

จะไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากสถาปัตยกรรมนั้ นๆ ใช้ระบบโครงสร้างเสา

และคาน แสดงรูปทรงที่เรียบง่ายและ แข็งทื่อ ขนาดช่องว่างภายในมีเล็ก

น้ อยและต่อเนื่ องกันโดยตลอด สถาปัตยกรรมสำคัญของชาวอียิปต์ได้แก่

สุสานที่ฝังศพ ซึ่งมีตั้งแต่ของประชาชนธรรมดาไปจนถึงกษัตริย์ ซึ่งจะมี

ความวิจิตร พิสดาร ใหญ่โตไปตามฐานะ และอำนาจ

พีระมิดเมืองกิซ่า หุบผากษัตริย์

ศิ ลปะตะวันตกเมโสโปเตเมีย

ศิลปะเมโสโปเตเมีย มีอายุประมาณ 8,000-146 ปีก่อนคริสตกาล เป็นงาน
ศิลปะที่เจริญในลุ่มแม่น้ำไทกรีส -ยูเฟตีส ซึ่งปัจจุบันเป็นดินแดนบางส่วน
ของอีรัก อิหร่าน ซีเรีย จอร์แดน เป็นศิลปะที่อยู่ในยุคร่วมสมัยกับศิลปะ
อียิปต์อีกกลุ่มหนึ่ ง เมโสโปเตเมียมีพื้นที่กว้างขวางและมีความอุดมสมบูรณ์
มาก ทำให้มีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ ตั้งถิ่นฐานประกอบด้วยชนชาติ ซูเมอเรียน
บาบิโลเนี ย แอสสิเรีย และเปอร์เซีย ตามลำดับ เริ่มจากซูเมอเรียนและ
บาบิโลเนี ย เนื่ องจากที่อยู่อาศัยเป็นผลทำให้มีศึกสงครามแย่งชิงดินแดนมา
ตลอด

ด้านสถาปัตยกรรม

มักสร้างให้สูงใหญ่เหมือนภูเขา นิ ยมประดับแก้วหินในสถาปัตยกรรม
นั้ นๆ ด้วย สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ ซิกกูรัตแห่งเมืองอูร์ สวนลอย
แห่งกรุงบาบิโลน ห้องสมุดแห่งแรกของโลก

ประติมากรรม

มีทั้งแบบนูนต่ำ แบบนูนสูง และแบบลอยตัว ส่วนมากเกี่ยวกับเรื่องราว
กิจกรรมของพระมหากษัตริย์ มีการประดับเปลือกหอย หินสี มีความ
สามารถในการแสดงออกและเลือกวัสดุได้อย่างเหมาะสม ส่วนภาพนูนต่ำ
เป็นรูปการล่าสัตว์ การทำสงคราม

งานจิตรกรรม

เขียนง่ายๆ ไม่เน้ นรายละเอียด ไม่มีแสงเงา มีความคล้ายคลึงกับอิยิปต์
ตรงการจัดวาง คือ ภาพหน้ าคน แขน ขาจะหันข้าง แต่ลำตัวหันด้านหน้ า
นอกจากนี้ พวกเขายังมีอักษรใช้ เรียกว่า อักษรลิ่ม หรือคูนิ ฟอร์ม

ภาพนูนต่ำรู ปสิ งโต ซิกกูแรตแห่งเมืองอูร์ ในอิรัก อักษรคูนิ ฟอร์ม

ศิ ลปะตะวันตกกรีก

ชาวกรีกมีความเชื่อว่า "มนุษย์เป็นมาตรวัดสรรพสิ่ง" ซึ่งความเชื่อนี้ เป็น
รากฐาน ทางวัฒนธรรมของชาวกรีก เทพเจ้าของชาวกรีกจะมีรูปร่างอย่าง
มนุษย์ และไม่มี ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเหมือนชาวอียิปต์ ดัง
นั้ น จึงไม่มีสุสานหรือพิธี ฝังศพที่ซับซ้อนวิจิตรเหมือนกับชาวอียิปต์

จิตรกรรมของกรีก

ที่รู้จักกันดีก็มีแต่ภาพวาดระบายสีตกแต่งผิวแจกันเท่านั้ น ที่ ชาวกรีก
นิ ยมทำมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 1 เป็นภาพที่มีรูปร่างที่ถูกตัดทอนรูปจน
ใกล้เคียงกับรูปเรขาคณิต มีความเรียบง่ายและคมชัด สีที่ใช้ได้แก่ สีดิน คือ
เอาสีดำ อมน้ำตาลผสมบาง ๆ ระบายสีเป็นภาพบนพื้นผิวแจกันที่เป็นดินสี
น้ำลอมแดง แต่บางทีก็มีสีขาว และสีอื่น ๆ ร่วมด้วย เทคนิ คการใช้รูปร่างสี
ดำ ระบายพื้นหลัง เป็นสีแดงนี้ เรียกว่า "จิตรกรรมแบบรูปตัวดำ" และทำ
กันเรื่อยมาจนถึงสมัยพุทธ ศตวรรษที่ 1 มีรูปแบบใหม่ขึ้นมา คือ
"จิตรกรรมแบบรูปดัวแดง" โดยใช้สีดำอม น้ำตาลเป็นพื้นหลังภาพ ตัวรูป
เป็นสีส้มแดง หรือสีน้ำตาลไม้ ตามสีดินของพื้น แจกัน

ประติมากรรมของกรีก

การแสดงออกทางประติมากรรมของกรีกเกี่ยวข้องกับปรัชญาความคิด
ของแต่ละสมัย ระหว่างศตวรรษที่ 10 - 8 ก่อนคริสตกาล ชีวิตคนกรีกยัง
สัมพันธ์อย่างแน่ นแฟ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น เช่น เจ้าแม่ เทพเจ้า ที่
พวกเขาจินตนาการขึ้นมาผสมกับสิ่งที่เป็นจริงที่มองเห็นได้ด้วยตา สิ่งที่เป็น
ธรรมชาติ คนพึ่งศาสนามาก เพราะชีวิตในสมัยนี้ มีแต่การทำสงคราม
ตัวอย่างดูได้จากงานประติมากรรมแบบเรขาคณิ ต



งานประติมากรรมนูนต่ำ สลักบนหินอ่อนใช้ประดับ
วิหาร Parthenonในกรุงเอเธนส์นี้ เป็นงานของประติมา
กร Phidias จะเห็นว่าเขาเน้ นความเป็นธรรมชาติเน้ นจีบ
ของผ้ามากและเน้ นความรู้สึกที่แสดงออกมาทางใบหน้ า
ในภาพเป็นเทพเจ้า3 องค์ของกรีก คือ จากซ้ายไป
ขวาPoseidon, Apollon และ Artemis ทำขึ้นราว440 ปี
ก่อนค.ศ. ดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ Acropole เมืองเอเธนส์
ประเทศกรีก






รูป คนขี่ม้า Rampin ทำด้วยหินอ่อน
เป็นงานของประติมากรชาวเอเธนส์ราว 550 ปีก่อนค.ศ.
จะเน้ นอิทธิพลของศิลปะไอโอเนี ยน (แถวริมฝั่ งทะเล
เมดิเตอร์เรเนี ยนของตุรกี)ตรงที่แสดงรายละเอียดของสรีระ
ใบหน้ ามีรอยยิ้มบ่งบอกถึงความสุขและความงามในวัยหนุ่ มสาว
ดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ Louvre ประเทศฝรั่งเศส

รูป เทพเจ้า Zeus อุ้ม Ganymedes
ราว 470 ปีก่อนค.ศ. แสดงให้เห็นถึงความนิ ยม
ในงานประติมากรรมด้วยดินเผาระบายสี ด้วยเช่นกัน
ส่วนประติมากรไม่ระบุชื่อไว้ ดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ Olympia
ประเทศกรีก

สถาปัตยกรรมกรีก

เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มชนรุ่นแรกได้อพยพเข้าสู่

คาบสมุทรกรีก สถาปัตยกรรมของกลุ่มชนเหล่านี้ มีลักษณะเรียบง่าย ไม่มี

อะไรน่ าสนใจเมื่อเทียบกับ ชาวกรีกยุคคลาสสิก ... พวกเขาก่อสร้างบ้าน

เรือนในหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปทรงกลม รูปทรงไข่ รูปทรงสี่เหลี่ยม วัสดุ

ที่ใช้ในการก่อสร้างมักทำมาจากโคลน โดยปราศจากการใช้ปูนในการ

ก่อสร้าง ภายในบ้านส่วนใหญ่จะมีเพียงแค่ห้องเดียว

งานสถาปัตยกรรมกรีกแบ่งตามลักษณะหัวเสา 3 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. แบบดอริก (Doric)
2. แบบไอโอนิ ก (Ionic)
3. แบบคอรินเทียน (Corinthian)


Click to View FlipBook Version