ประเภทของเสียง
แบ่งตามลักษณะการเกิดเสียงได้ ๓ ลักษณะ
๑. เสียงดังแบบต่อเนื่อง (continuous Noise) เป็นเสียงดังที่เกิดขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง จ าแนกออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (steady-
state Noise) และเสียงดังต่อเนื่องที่ไม่คงที่ (Non steady state Noise)
๑.๑ เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (Steady-state Noise) เป็นลักษณะเสียงดัง
ต่อเนื่องที่มีระดับเสียง เปลี่ยนแปลง ไม่เกิน ๓ เดซิเบล เช่น เสียง
จากเครื่องทอผ้า เครื่องปั่นด้าย เสียงพัดลม เป็นต้น
๑.๒ เสียงดังต่อเนื่องที่ไม่คงที่ (Non-steady state Noise) เป็นลักษณะเสียงดัง
ต่อเนื่องที่มีระดับเสียงเปลี่ยนแปลงเกินกว่า ๑๐ เดชิเบล เช่น เสียงจาก
เลื่อยวงเดือน เครื่องเจียร เป็นต้น
ประเภทของเสียง (ต่อ)
๒. เสียงดังเป็นช่วงๆ (lntermittent Noise) เป็นเสียงที่ดังไม่ต่อเนื่อง มีความ
เงียบหรือเบากว่าเป็นระยะๆ สลับไปมา เช่น เสียงเครื่องปั๊ม/อัดลม
เสียงจราจร เสียงเครื่องบินที่บินผ่านไปมา เป็นต้น
ประเภทของเสียง (ต่อ)
๓. เสียงดังกระทบ หรือกระแทก (lmpact or lmpulse Noise) เป็นเสียงที่
เกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ในเวลาน้อยกว่า ๑ วินาที มีการเปลี่ยนแปลงของ
เสียงมากกว่า ๔๐ เดชิเบล เช่น เสียงการตอกเสาเข็ม การปั๊มชิ้นงาน
การทุบเคาะอย่างแรง เป็นต้น
- Impact noise เป็นเสียงที่เกิดในที่ที่มีเสียงสะท้อน เช่น เสียงโลหะกระแทกกัน
เสียงยิงปืนในห้อง
- Impulse noise เป็นเสียงที่เกิดในที่ที่ไม่เสียงสะท้อน เช่น เสียงยิงปืนในที่โล่ง
ค่าถ่วงน ้าหนักความถี่ของเสียง คืออะไร
A-weighting
C-weighting
Z-weighting
A-weighting
ค่าถ่วงน้ าหนักความถี่ของเสียงที่ใช้บ่อยที่สุดในการวัดระดับความดังเสียง
ครอบคลุมช่วงความถี่ ๒๐ Hz – ๒๐,๐๐๐ Hz ซึ่งใกล้เคียงกับความถี่ของหูมนุษย์
(ตัดช่วงความถี่ต่ าและช่วงความถี่สูง ซึ่งเป็นช่วงที่หูมนุษย์จะไม่ได้ยิน)
ค่าถ่วงน้ าหนักความถี่ของเสียง A-weighted ของแหล่งก าเนิดเสียงจะมีค่าใกล้เคียง
กับหูของมนุษย์รับสัมผัสมากที่สุด
เป็นสเกลที่ใช้ตรวจวัดเสียงเพื่อประเมินอันตรายจากเสียงตามกฎหมายหรือ
ตามมาตรฐานเสียง
การวัดระดับเสียงจะมีหน่วยเป็น dBA หรือ dB (A)
C-weighting
การตอบสนองของหูมนุษย์จะแตกต่างกันตามระดับความดังเสียง
ระดับความดังเสียงตั้งแต่ ๑๐๐ เดซิเบลขึ้นไป จะท าให้หูของมนุษย์ไม่ตอบสนอง
ค่าถ่วงน้ าหนักความถี่ของเสียง C-Weighted
โดยปกติจะใช้วัดระดับเสียงสูงสุด (Peak) แต่การวัดทั่วไปจะส่งผลต่อสัญญาณการ
รบกวน
ใช้ในการตรวจวัดเสียงจากเครื่องจักรโดยละเอียด
การวัดวัดระดับเสียงจะมีหน่วยเป็น dBC หรือ dB (C)
Z-weighting
ช่วงการตอบสนองจะใช้ค่าถ่วงน้ าหนักความถี่ของเสียงที่ Z-Weighted
เป็นการตอบสนองที่ความถี่ ๑๐ Hz ถึง ๒๐,๐๐๐ ๑.๕ dB
การตอบสนองแบบ Linear หรือ Unweighted
การวัดวัดระดับเสียงจะมีหน่วยเป็น dBZ หรือ dB (Z)
Frequency response weighting A, C, Z
การตรวจวัดระดับเสียงและประเภทกิจการที่ต้องด าเนินการ
ประเภทกิจการที่ต้องด าเนินการตรวจวัดระดับเสียง ได้แก่ การระเบิด ย่อย โม่หรือ
บดหิน การผลิตน้ าตาลหรือท าให้บริสุทธิ์ การผลิตน้ าแข็ง การปั่น ทอโดยใช้
เครื่องจักร การผลิตเครื่องเรือน เครื่องใช้จากไม้ การผลิตเยื่อกระดาษหรือกระดาษ
กิจการที่มีการปั้มหรือเจียรโลหะ กิจการที่มีแหล่งก าเนิดเสียง หรือสภาพการ
ท างานที่อาจท าให้ลูกจ้างได้รับอันตรายเนื่องจากเสียง
หลักเกณฑ์ วิธีการตรวจวัด และการวิเคราะห์สภาวะการท างานฯ
หมวด ๓ เสียง
ปรับข้อความในข้อ ๗ ก าหนด ระดับเสียงสูงสุด (peak sound pressure
level) ของเสียงกระทบกระแทก (impact or impulse noise) ต่ ากว่า
๑๔๐ dB และการรับสัมผัสเสียงดังคงที่ต่อเนื่อง (Continuous steady
noise) ต่ ากว่า ๑๑๕ dB (A)
peak SPL
Lpk Lmax RMS Leq
Lpeak
peak SPL วัดเสียงสูงสุดของเสียงดังกระทบหรือกระแทก โดย peak
Lpk เป็นค่าสูงสุดจริงของความดันเสียงในช่วงระยะเวลาการตรวจวัด
Lpeak ซึ่งไม่ใช้ weighting network ใช้ Linear หรือ Unweighted
Lmax RMS เป็นค่าความดันเสียง (sound pressure level) แบบ root
mean square ที่สูงที่สุดในช่วงระยะเวลาที่ตรวจวัด (โดยเลือก
time weight เป็น slow, fast หรือ impulse)
Leq เป็นค่าเฉลี่ยระดับความดังเสียงในบริเวณ/จุดที่ผู้ปฏิบัติงาน
สัมผัสตลอดระยะเวลาการท างาน (เป็นเสียงดังสม่ าเสมอตลอด
ไม่ว่าจะวัดช่วงใด
NIOSH & OSHA Standard
ข้อ ๘ นายจ้างต้องควบคุมระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลา
การท างานในแต่ละวัน (TWA) มิให้เกินมาตรฐานที่อธิบดีก าหนด (2)
มาตรฐานระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างานในแต่ละวัน
มีผลบังคับใช้วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๑
Time-weighted average (TWA)
• 85-dBA exposure limit and a 3-dB exchange rate
TWA = 10.0 x log (D/100) + 85
• 90-dBA exposure limit and a 5-dB exchange rate
TWA = 16.61 x log (D/100) + 90
Where D = dose
T = 8/2 (L- 85)/3
้
ั
้
T = เวลาการทางานที่ยอมใหไดรบเสียง (ชั่วโมง)
L = ระดับเสียง (เดซิเบลเอ)
D = { (C1/T1) + (C2/T2) + ...+ (Cn/Tn) } x 100
D = ปริมาณเสียงสะสมที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับหน่วยเป็นร้อยละ
C = ระยะเวลาที่สัมผัสเสียง
T = ระยะเวลาที่อนุญาตให้สัมผัสระดับเสียงนั้นๆ (ตามตารางในประกาศกรม)
TWA(8) = 10.0 x log (D/100) + 85
การใช้เครื่องมือในการตรวจวัดระดับเสียง
NOISE DOSIMETER
SLM ได้มาตรฐาน IEC 61252
ได้มาตรฐาน IEC 61672
หรือ IEC 651 Type 2หรือเทียบเท่า
Noise Calibrator
เครื่องวัดเสียงกระทบหรือเสียงกระแทก ได้มาตรฐาน IEC 60942 หรือเทียบเท่า
ต้องได้มาตรฐาน IEC 61672 หรือ IEC 60804 ตามวิธีการ ที่ระบุในคู่มือการใช้งานของผู้ผลิต
หลักเกณฑ์ วิธีการตรวจวัด และการวิเคราะห์สภาวะการท างานฯ
ี
ี
่
• ตั้งค่าวัดเสยงทสเกลเอ (Scale A) หรือ weight A
้
• การตอบสนองแบบชา (Slow response)
้
• ใหตั้งค่า exchange rate = 3
่
้
ี
• ตรวจวัดทระดับหูของลูกจางทก าลังปฏิบัติงาน
่
ี
ในรัศมไม่เกิน 30 เซนติเมตร
ี
70
Threshold Level ที่ระดับแปดสิบเดซิเบลเอ
Criteria Level ที่ระดับแปดสิบห้าเดซิเบลเอ
สเกลเอ (Scale A)
การตอบสนองแบบช้า (Slow)
Energy Exchange rate ที่สาม
NOISE DOSIMETER
ได้มาตรฐาน IEC 61252
Threshold Level (ค่าที่ให้เครื่องเริ่มค านวณ) 80 dB(A)
Criteria Level 85 dB(A)
Energy Exchange rate 3
(อัตราที่พลังงานเสียงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า) ระดับเสียงเพิ่มขึ้น 3 dB ส่งผลให้ระยะเวลาการสัมผัสเสียงลดลงครึ่งหนึ่ง
หลักเกณฑ์ วิธีการตรวจวัด และการวิเคราะห์สภาวะการท างานฯ
หมวด ๓ เสียง (ต่อ)
ข้อ ๙ กรณีที่ระดับเสียงเกินมาตรฐานให้ปรับปรุงแก้ไขทางด้านวิศวกรรม
(ต้นก าเนิด ทางผ่าน บริหารจัดการ) จัดให้มีการปิดประกาศและเอกสารหรือ
หลักฐานในการด าเนินการปรับปรุง เพื่อให้พนักงานตรวจความปลอดภัย
ตรวจสอบได้
กรณีที่ไม่สามารถด าเนินการตามข้างต้นได้ ต้องจัดให้ลูกจ้างสวมใส่
อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล เพื่อลดระดับเสียงที่สัมผัสในหูเมื่อ
สวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลแล้ว
การค านวณระดับระดับเสียงที่สัมผัสในหูเมื่อสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครอง
ความปลอดภัยส่วนบุคคลให้เป็นไปตามที่อธิบดีประกาศก าหนด (3)
การค านวณระดับเสียงที่สัมผัสในหูเมื่อสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
มีผลบังคับใช้วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
มอก. ๒๕๗๕ เล่ม ๑-๒๕๕๕
Noise Reduction Rating (NRR)
Protected dBA = Sound Level dBC – NRR adj หรือ
Protected dBA = Sound Level dBA – [NRR – 7]
adj
Protected dBA
หมายถึง ระดับเสียงที่สัมผัสในหูเมื่อสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย
ในสเกลเอ (Scale A) หรือ เดซิเบลเอ
Sound Level dBC
หมายถึง ระดับเสียงที่ได้จากการตรวจวัดเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างาน
๘ ชั่วโมง ในสเกลซี (Scale C) หรือ เดซเบลซี
ิ
Sound Level dBA
หมายถึง ระดับเสียงที่ได้จากการตรวจวัดเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างาน
ิ
๘ ชั่วโมง ในสเกลเอ (Scale A) หรือ เดซเบลเอ
NRR adj
หมายถึง ค่าการลดเสียงที่ระบุไว้บนฉลากหรืออุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย
ส่วนบุคคล โดยก าหนดให้มีการปรับค่าตามลักษณะและชนิดของอุปกรณ์คุ้มครอง
ความปลอดภัยส่วนบุคคล
ปรับลดเสียงลงร้อยละ 25
ของค่าการลดเสียงที่ระบุไว้บนฉลากหรือผลิตภัณฑ์
ปรับลดเสียงลงร้อยละ 50
ของค่าการลดเสียงที่ระบุไว้บนฉลากหรือผลิตภัณฑ์
ปรับลดเสียงลงร้อยละ 70
ของค่าการลดเสียงที่ระบุไว้บนฉลากหรือผลิตภัณฑ์
การค านวณ NRR adj
NRR adj = NRR ผู้ผลิต – 25% NRR ผู้ผลิต
หรือ NRR adj = 75% NRR ผู้ผลิต
NRR adj = NRR ผู้ผลิต – 50% NRR ผู้ผลิต
หรือ NRR adj = 50% NRR ผู้ผลิต
NRR adj = NRR ผู้ผลิต – 70% NRR ผู้ผลิต
หรือ NRR adj = 30% NRR ผู้ผลิต
Single Number Rating (SNR)
L’ AX = (L – SNR ) + 4
C
x
L’ AX
หมายถึง ระดับเสียงที่สัมผัสในหูเมื่อสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย
ในสเกลเอ (Scale A) หรือ เดซิเบลเอ
Lc
หมายถึง ระดับเสียงที่ได้จากการตรวจวัดเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างาน
๘ ชั่วโมง ในสเกลซี (Scale C) หรือ เดซิเบลซี
SNR x
หมายถึง ค่าการลดเสียงที่ระบุไว้บนฉลาก/ผลิตภัณฑ์ของอุปกรณ์คุ้มครอง
ความปลอดภัยส่วนบุคคล
มาทดลองลองค านวณกันดีกว่า !!!
พื้นที่การท างานระดับเสียงที่ได้จากการตรวจวัดเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างาน
ิ
8 ชั่วโมง ในสเกลเอ (Scale C และสเกล A) หรือ เดซเบลเอ คือ
97 dBC และ 90 dBA
NRR adj = 75% NRR ผู้ผลิต
= 0.75 (30) = 22.5
Protected dBA = 97 – (0.75 30)
= 97 – 22.5
= 74.5 dBA
Protected dBA = 90 – [(0.75 30) - 7)]
= 90 – [22.5 – 7]
= 74.5 dBA
L’ AX = (L – SNR ) + 4
C
x
= (97 – 30) + 4
= 71 dBA
เพื่อความปลอดภัยในการพิจารณาเลือกใช้
ค่าการลดเสียงจากอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย
ส่วนบุคคลหรืออุปกรณ์ป้องกันการได้ยิน
ควรให้นายจ้างใช้ค่าการลดเสียงของอุปกรณ์
คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
ที่มีค่าน้อยที่สุดเป็นล าดับแรก
หมวด ๓ เสียง (ต่อ)
ข้อ ๑๐ บริเวณที่มีระดับเสียงเกินมาตรฐานที่ก าหนด นายจ้างต้องจัดให้มี
เครื่องหมายเตือนให้ใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
ก าหนดคงเดิม ตามกฎกระทรวงฯ ความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. ๒๕๔๙
๑
ข้อ ๑ สภาวะการท างานที่ลูกจ้างได้รับเสียงเฉลี่ยตลอดระยะเวลา
การท างานแปดชั่วโมงตั้งแต่ ๘๕ dBA จัดให้มีมาตรการอนุรักษ์การได้ยินใน
สถานประกอบกิจการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศก าหนด (4)
ก าหนดคงเดิม ตามกฎกระทรวงฯ ความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. ๒๕๔๙
ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดท ามาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ
ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
มีผลบังคับใช้วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๑
ข้อ ๒ ให้นายจ้างจัดท ามาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ
เป็นลายลักษณ์อักษรในกรณีที่สภาวะการท างานในสถานประกอบกิจการมีระดับเสียง
ที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างานแปดชั่วโมงตั้งแต่แปดสิบห้าเดซิเบลเอ
ขึ้นไป ซึ่งอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการ ดังนี้
(๑) นโยบายการอนุรักษ์การได้ยิน
(๒) การเฝ้าระวังเสียงดัง (Noise Monitoring)
(๓) การเฝ้าระวังการได้ยิน (Hearing Monitoring)
(๔) หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ให้นายจ้างประกาศมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการให้ลูกจ้างทราบ
ข้อ ๓ ให้นายจ้างจัดให้มีการเฝ้าระวังเสียงดัง โดยการส ารวจและตรวจวัด
ระดับเสียงการศึกษาระยะเวลาสัมผัสเสียงดัง และการประเมินการสัมผัสเสียงดังของ
ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการแล้วแจ้งผลให้ลูกจ้างทราบ
ข้อ ๔ ให้นายจ้างจัดให้มีการเฝ้าระวังการได้ยินโดยให้ด าเนินการ ดังนี้
(๑) ทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometric sting) แก่ลูกจ้างที่สัมผัส
เสียงดังที่ได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างานแปดชั่วโมงตั้งแต่แปดสิบห้าเดซิเบลเอ
ขึ้นไป และให้ทดสอบสมรรถภาพการได้ยินของลูกจ้างครั้งต่อไปอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
(๒) แจ้งผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินให้ลูกจ้างทราบภายในเจ็ดวันนับ
แต่วันที่นายจ้างทราบผลการทดสอบ
(๓) ทดสอบสมรรถภาพการได้ยินของลูกจ้างซ้ าอีกครั้งภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่นายจ้างทราบผลการทดสอบ กรณีพบว่าลูกจ้างมีสมรรถภาพการได้ยิน
เป็นไปตามข้อ ๖
ข้อ ๕ เกณฑ์การพิจารณาผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินให้เป็นไป ดังนี้
(๑) ใช้ผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินครั้งแรกของลูกจ้างที่ความถี่ ๕๐๐
๑๐๐๐ ๒๐๐๐ ๓๐๐๐ ๔๐๐๐ และ ๖๐๐๐ เฮิรตซ์ ของหูทั้งสองข้างเป็นข้อมูลพื้นฐาน
(Baseline Audiogram) และ
(๒) น าผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินครั้งต่อไปเปรียบเทียบกับผลการ
ทดสอบสมรรถภาพการได้ยินที่เป็นข้อมูลพื้นฐานทุกครั้ง
ข้อ ๖ หากผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน พบว่าลูกจ้างสูญเสียการได้ยินที่หูข้างใด
ข้างหนึ่งตั้งแต่สิบห้าเดซิเบลขึ้นไปที่ความถี่ใดความถี่หนึ่ง ให้นายจ้างจัดให้มีมาตรการ
ป้องกันอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ลูกจ้าง ดังนี้
(๑) จัดให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่สามารถ
ลดระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างานแปดชั่วโมงน้อยกว่า
แปดสิบห้าเดซิเบลเอ
(๒) เปลี่ยนงานให้ลูกจ้าง หรือหมุนเวียนสลับหน้าที่ระหว่างลูกจ้างด้วยกัน
เพื่อให้ระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างานแปดชั่วโมงน้อยกว่า
แปดสิบห้าเดซิเบลเอ
การเกิดภาวะ15-dB shift
Left Ear Right Ear
Test/Date
5k 1k 2k 3k 4k 6k 5k 1k 2k 3k 4k 6k
Current 0 5 5 15 15 20 5 10 10 25 25 35
01/06/2018
Baseline 0 0 5 10 15 25 0 5 5 10 25 30
01/06/2015
STS 0 5 0 5 0 -5 5 5 5 15 0 5
แนวทางการตรวจคัดกรองสมรรถภาพการได้ยินและการแปลผล
(ฉบับปรับปรุง ปี ๒๕๖๐)
ของส านักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค
ข้อ ๗ ให้นายจ้างจัดท าและติดแผนผังแสดงระดับเสียง (Noise Contour Map)
ในแต่ละพื้นที่เกี่ยวกับผลการตรวจวัดระดับเสียง ติดป้ายบอกระดับเสียงและเตือนให้ระวัง
อันตรายจากเสียงดังรวมถึงจัดให้มีเครื่องหมายเตือนให้ใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย
ส่วนบุคคลในแต่ละพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากเสียงดังและทุกพื้นที่ที่มีระดับเสียงดังตั้งแต่แปด
สิบห้าเดซิเบลเอขึ้นไป โดยรูปแบบและขนาดของแผนผังแสดงระดับเสียง ป้ายบอกระดับ
เสียงและเตือนให้ระวังอันตรายจากเสียงดัง และเครื่องหมายเตือนให้ใช้อุปกรณ์คุ้มครอง
ความปลอดภัยส่วนบุคคล ให้เป็นไปตามแนบท้ายประกาศนี้
สูงอย่างน้อย
๒๕๔ มิลลิเมตร
กว้างอย่างน้อย
๓๕๕ มิลลิเมตร
หมายเหต ุ
๑) ช่องไฟระหว่างตัวอักษรต้องไม่แตกต่างกันมากกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของข้อความทั้งหมด
๒) ลักษณะของตัวอักษรต้องดูเรียบง่าย ไม่เขียนแรเงา หรือมีลวดลาย
๓) ความสูงของตัวอักษรมีความสูงอย่างน้อย ๒๐ มิลลิเมตร และความกว้างของตัวอักษรต้อง
ไม่น้อยกว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของความสูงของตัวอักษร
๔) ข้อความสามารถก าหนดเป็นภาษาอื่นๆ ได้ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาเมียนมาร์ ภาษาลาว และ
ภาษากัมพูชา แต่ต้องมีข้อความที่เป็นภาษาไทยก ากับไว้ด้วย
๕) แผนผังแสดงระดับเสียง (Noise Contour Map) ต้องเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้ความสว่าง
ทุกสภาวะ
หมายเหตุ
๑) องค์ประกอบของป้ายบอกระดับเสียงและระวังอันตรายจากเสียงดัง ประกอบด้วย สัญลักษณ์ระวังอันตราย
์
(Safety Alert Symbol) ค าสัญญาณ (Signal Word) สัญลักษณความปลอดภัย (Safety Symbol)
้
ขอความพื้นที่มีอันตรายจากเสียงดัง การแสดงระดับความดังเสียง และการป้องกันอันตรายจากการสัมผัสเสียงดัง
(Word Message)
๒) ช่องไฟระหว่างตัวอักษรต้องไม่แตกต่างกันมากกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของข้อความทั้งหมด
๓) ลักษณะของตัวอักษรต้องดูเรียบง่าย ไม่เขียนแรเงา หรือมีลวดลาย
๔) ความสูงของตัวอักษรหรือตัวเลขที่แสดงค าสัญญาณ (Signal Word) และระดับความดังเสียงมีความสูงอย่างน้อย
๖๐ มิลลิเมตร และความสูงตัวอักษรทั่วไปมีความสูงอย่างน้อย ๒๐ มิลลิเมตร และความกว้างของตัวอักษร
ต้องไม่น้อยกว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของความสูงของตัวอักษร
๖) รูปสัญลักษณ์และข้อความสามารถก าหนดเป็นรูปแบบอื่นๆ ได้ แต่ต้องสื่อความหมายว่าพื้นที่มีอันตรายจาก
เสียงดัง การแสดงระดับความดังเสียง และการป้องกันอันตรายจากการสัมผัสเสียงดัง
๗) ข้อความสามารถก าหนดเป็นภาษาอื่นๆ ได้ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาเมียนมาร์ ภาษาลาว และภาษากัมพูชา แต่ต้องมี
ข้อความที่เป็นภาษาไทยก ากับไว้ด้วย
๘) ป้ายบอกระดับเสียงและเตือนให้ระวังอันตรายจากเสียงดัง ต้องเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้ความสว่างทุกสภาวะ
หมายเหตุ
๑) พื้นที่สีฟ้าต้องครอบคลุมไม่น้อยกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นของพื้นที่ทั้งหมดของเครื่องหมาย
๒) ช่องไฟระหว่างตัวอักษรต้องไม่แตกต่างกันมากกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของข้อความทั้งหมด
๓) ลักษณะของตัวอักษรต้องดูเรียบง่าย ไม่เขียนแรเงา หรือมีลวดลาย
๔) ความกว้างของตัวอักษรต้องไม่น้อยกว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของความสูงของตัวอักษร
๕) ความกว้าง (b) ต้องไม่น้อยกว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของความสูง (a)
๖) รูปสัญลักษณ์และข้อความสามารถก าหนดเป็นรูปแบบอื่นๆ ได้ แต่ต้องสื่อความหมายว่าเป็นการ
ป้องกันอันตรายจากการสัมผัสเสียงดัง เช่น ต้องสวมที่ครอบหูลดเสียง ต้องสวมปลั๊กลดเสียง เป็นต้น
๗) ข้อความสามารถก าหนดเป็นภาษาอื่นๆ ได้ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาเมียนมาร์ ภาษาลาว และภาษา
กัมพูชา แต่ต้องมีข้อความที่เป็นภาษาไทยก ากับไว้ด้วย
๘) เครื่องหมายเตือนให้ใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลต้องเห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้
ความสว่างทุกสภาวะ
ข้อ ๘ ให้นายจ้างอบรมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
ความส าคัญของการทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน อันตรายของเสียงดัง การควบคุม
ป้องกัน และการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลแก่ลูกจ้างที่ท างานในบริเวณ
ที่มีระดับเสียงดังที่ได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการท างานแปดชั่วโมงตั้งแต่แปดสิบห้า
เดซิเบลเอขึ้นไป และลูกจ้างที่เกี่ยวข้องในสถานประกอบกิจการ
ข้อ ๙ ให้นายจ้างประเมินผลและทบทวนการจัดการมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
ในสถานประกอบกิจการไม่น้อยกว่าปีละหนึ่งครั้ง
ข้อ ๑๐ ให้นายจ้างบันทึกข้อมูลและจัดท าเอกสารการด าเนินการตามข้อ ๓ ถึง
ข้อ ๑๐ เก็บไว้ในสถานประกอบกิจการไม่น้อยกว่าห้าปี พร้อมที่จะให้พนักงานตรวจ
ความปลอดภัยตรวจสอบได้
หมวด ๔ อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
ข้อ ๑๒ จัดให้มีและดูแลลูกจ้างให้ใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย
ส่วนบุคคลตามความเหมาะสมกับลักษณ์งาน... (ก าหนดในลักษณะเดียวกับ
กฎกระทรวงฯ ความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. ๒๕๔๙ )
ข้อ ๑๓ ให้นายจ้างบ ารุงรักษาอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้อย่างปลอดภัย และจัดให้ลูกจ้างได้รับการฝึกอบรม
เกี่ยวกับวิธีใช้งานและบ ารุงรักษา และเก็บหลักฐานการฝึกอบรมไว้ให้พนักงาน
ตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้
หมวด ๕ การตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการท างาน
และการรายงานผล
ข้อ ๑๔ จัดให้มีการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการท างานเกี่ยวกับระดับ
ความร้อน แสงสว่าง หรือเสียง ภายในสถานประกอบกิจการ
หลักเกณฑ์ วิธีการตรวจวัด และวิเคราะห์ฯ รวมทั้งระยะเวลาและ
ประเภทกิจการที่ต้องด าเนินการให้เป็นไปตามที่อธิบดีประกาศก าหนด (5)
กรณีที่นายจ้างไม่สามารถด าเนินการเองได้ ให้ผู้ที่ขึ้นทะเบียน
ตามมาตรา ๙ หรือนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๑ เป็นผู้ให้บริการ
ในการตรวจวัดแล้วแต่กรณี เป็นผู้ด าเนินการแทน
เก็บผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ฯ ไว้ ณ สถานประกอบกิจการเพื่อให้
พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได ้