The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สังคมพหุวัฒนธรรมประเทศอินเดีย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by monnaluemon58, 2023-01-03 03:52:47

สังคมพหุวัฒนธรรมประเทศอินเดีย

สังคมพหุวัฒนธรรมประเทศอินเดีย

พหุวัฒนธรรมอินเดีย

INDIA

คำนำ

รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาหน้าที่พลเมือง ส 30234 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โดยมีจุด
ประสงค์ เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องพหุวัฒนธรรม ประเทศอินเดีย ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหา
เกี่ยวกับความรู้จากวัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีชีวิต ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ภาษา เชื้อชาติ
ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ อันแสดงให้เห็นพหุวัฒนธรรมประเทศอินเดีย

ผู้จัดทำจะต้องขอขอบคุณ ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษาเพื่อน ๆ
ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็น
ประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน

ผู้จัดทำ

สารบัญ

ประวัติ 1
ภูมิประเทศ 2
ภูมิอากาศ 2
การเเต่งกาย 3
อาชีพ 3
อาหาร 4
กลุ่มชาติพันธุ์ 5
จำนวนประชากร 5
ศาสนา 5
ภาษา 5
วัฒนธรรม 6
วัฒนธรรม- ความเชื่อ 7
แหล่งท่องเที่ยว 8 - 11
13

1

ประวัติ

อินเดียมีประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า 3,500 ปี โดยเริ่มจากชาวดราวิเดียน (Dravidian) อพยพจากบริเวณประเทศปากีสถานเข้า
มาสู่ลุ่มน้ำคงคาก่อน ต่อมาชาวอารยัน (Aryan) ได้เข้าอพยพมาจากตอนใต้ของรัสเซียขับไล่ชนชาวดราวิเดียนให้ถอยล่นไปทางใต้

และตั้งถิ่นฐานอยู่แถบลุ่มน้ำคงคาแทน ต่อมาได้มีการผสมผสานกลมกลืนกันของทั้งสองอารยธรรมเกิดเป็นอารยธรรมฮินดูที่มีความ
คงทนต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ เช่น ศาสนาฮินดู ภาษาสันสกฤต และระบบชั้นวรรณะ อารยธรรมอารยันหรือฮินดูรุ่งเรืองมาจนถึงราว
คริสต์ศตวรรษที่ 12 (แต่มีระยะหนึ่งที่อารยธรรมพุทธรุ่งเรืองในอินเดีย คือ ตั้งแต่พุทธกาลถึงราว 3 ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราชในสมัย
พระเจ้าอโศกมหาราช)

ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 อารยธรรมอิสลามได้เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในอินเดียตั้งแต่ โดยพ่อค้ามุสลิมจากตะวันออกกลาง และ
จักรวรรดิอาหรับได้ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นซินด์ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) จักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น คือ จักรวรรดิโมกุล
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16-18 ซึ่งเป็นสมัยที่มีการแพร่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมโมกุลอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการปกครอง ภาษา ศิลปะ
สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ดี ในสมัยของพระเจ้าออรังเซ็บ (Aurangzeb) ซึ่งเป็นผู้เคร่งศาสนาอิสลาม ได้
ออกกฎหมายที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูและมุสลิม และเป็นเหตุให้ชาวอินเดียต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิ เมื่อสิ้น
อำนาจของพระเจ้าออรังเซ็บในปี 2250 จักรวรรดิโมกุลก็ค่อยๆ แตกแยก เกิดการรบกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ และเสื่อมลง เป็นโอกาส
ให้อังกฤษเข้ามามีอำนาจแทนที่ อังกฤษเริ่มเข้าไปมีอิทธิพลในอนุทวีปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อค้าขายพร้อม ๆ กับครอบครองดิน
แดนและแทรกแซงในการเมืองท้องถิ่น จนกระทั่งอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในปี 2420 โดยมีสมเด็จพระราชินี
วิคตอเรียแห่งอังกฤษทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดินีแห่งอินเดีย หลังจากการรณรงค์ต่อสู้กับการปกครองของอังกฤษมา
เป็นเวลานาน ภายใต้การนำของมหาตมะ คานธี อินเดียจึงได้รับเอกราชและร่วมเป็นสมาชิกอยู่ภายใต้เครือจักรภพ เมื่อวันที่ 15
สิงหาคม 2490 โดยยังมีพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเป็นประมุข ซึ่งทรงแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์
ต่อมาในวันที่ 26 มกราคม 2493 ได้มีการสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และนายเยาวาหะราล
เนห์รู (Jawaharlal Nehru) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย

ในช่วงหลังจากได้รับเอกราช อินเดียมีข้อพิพาทกับต่างประเทศหลายกรณี อาทิ ในเดือนธันวาคม 2504 กองทัพอินเดียเข้ายึด
ครองดินแดนอาณานิคมของโปรตุเกส ได้แก่ กัว ดามัน และดิว ในเดือนตุลาคม 2505 มีข้อพิพาทกับจีนเรื่องพรมแดน ซึ่งนำไปสู่การ
ทำสงคราม นอกจากนี้ อินเดียยังมีสงครามกับปากีสถานถึง 3 ครั้ง คือ ในปี 2490 และ 2508 โดยมีสาเหตุจากปัญหาความขัดแย้ง
เหนือดินแดนแคว้นจัมมู และแคชเมียร์และในปี 2514 อินเดียช่วยปากีสถานตะวันออกทำสงครามกับปากีสถาน และได้รับชัยชนะ
ทำให้เกิดการแบ่งแยกปากีสถานตะวันออกเป็นอิสระจากปากีสถานและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นประเทศบังกลาเทศ

2

ภูมิศาสตร์

ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ในเอเชียใต้ มีพรมแดนติดบกับ 6 ประเทศ คือ จีน เนปาล
ภูฏานในตอนเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจรดปากีสถาน ทิศตะวันออกจรดบังกลาเทศ และ
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือจรดพม่า
มีดินแดนในอาณัติ คือ หมู่เกาะนิโคบาและอันดามัน

พื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก จึงเรียกว่าเป็น “อนุ
ทวีป” มีพื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูกกว่า 54% ของพื้นที่ทั้งหมด และมีพื้นที่ชลประทานมาก
เป็นอันดับ 1 ของโลกมีอาณาเขตทางทะเลยาว 7,516.6 กิโลเมตร ติดอ่าวเบงกอล (ทิศตะวัน
ออก) ทะเลอาหรับ (ทิศตะวันตก) และมหาสมุทรอินเดีย (ทิศใต้)




ภูมิอากาศ

ภูมิอากาศแตกต่างกันอย่างมาก เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมฤดูร้อนและฤดูหนาว และมี
พื้นที่กว้างใหญ่ ตอนเหนืออยู่ในเขตหนาว ขณะที่ตอนใต้อยู่ในเขตร้อน

ภาคเหนือ มี 4 ฤดู คือ ฤดูหนาว (ธันวาคม - กุมภาพันธ์) ฤดูร้อน (มีนาคม — มิถุนายน)
ฤดูลมมรสุม (มิถุนายน — กันยายน) และฤดูหลังมรสุม (ตุลาคม — พฤศจิกายน)
อุณหภูมิเฉลี่ยในที่ราบช่วงฤดูร้อน ประมาณ 35 C และฤดูหนาว ประมาณ 10 C
ภาคใต้ ภูมิอากาศคล้ายประเทศไทย โดยมี -3 ฤดู คือ ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)
ฤดูร้อน (มีนาคม-กันยายน) ฤดูฝน (ตุลาคม —พฤศจิกายน) มักประสบภัยธรรมชาติ
ได้แก่ น้ำท่วมฉับพลัน แผ่นดินไหว ภัยแล้ง และแผ่นดินถล่ม

3

การเเต่งกาย




ส่าหรีเป็นเครื่องแต่งกายที่สตรีอินเดียนิยมสวมใส่ในชีวิตประจำวันและเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา โดยผ้าและรูปแบบการนุ่งห่ม
ส่าหรีจะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การแต่งกายสมัยใหม่ได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในเมือง Tier

เช่น กรุงเดลี มุมไบ




รัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือหรือรัฐ 7 สาวน้อย
สตรีในพื้นที่นอกเขตเมือง ส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ใส่ชุดประจำท้องถิ่น ยกเว้น รัฐ
ยังคงนิยมแต่งกายแบบดั้งเดิม ทั้งส่าหรี และ Assam
Kurta (เสื้อแขนยาว ลำตัวเสื้อยาวถึงเอวหรือเข่า) ที่นิยมใส่ส่าหรี




อาชีพ

อินเดียเป็นประเทศก้ำลังพัฒนาท่ีมีรายได้ต่ำ ประชากรกว่าร้อยละ 60 ยังคงประกอบ
อาชีพ เกษตรกรรม ปัญหาความยากจนและการว่างงานเป็นปัญหาส้าคัญ เนื่องจาก
การปิดประเทศและด้าเนิน นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมภายในมานาน อย่างไรก็ดี
อินเดียได้เร่ิมเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เมื่อปี 2534 เนื่องจากต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐ
กิจตกต่่ำอย่างรุนแรง จุดเปลี่ยนท่ีสำคัญ คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจซึ่งส่งผล ให้มีการ
ลงทุนจากต่างชาติในกิจการไฟฟ้า พลังงาน และอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากน้ี ยังได้
เปิดเสรี โทรคมนาคม และการสื่อสารในปี 2543 ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของ
อินเดียดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน อินเดียอยู่ในสถานะตลาดใหม่ที่ได้รับความสนใจ
อย่างยิ่งจากนานาชาติ

4

อาหาร

ความหลากหลายด้าน Soft Sides ของอินเดีย

ภาคเหนือ

นิยมรับประทานอาหารรสไม่จัด
ประชาชนส่วนใหญ่ในภาคเหนือและภาคตะวันตกนิยมบริโภคมังสวิรัติและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ตาม
ความเชื่อทางศาสนา
นิยมใส่มะเขือเทศ สีสันของอาหารจึงดูจัดจ้านแต่รสชาติไม่เผ็ด
ประชาชนบางส่วนนำเนื้อแกะมาทำเป็นอาหารประเภทสตูหรือแกง เนื่องจากชาวอินเดียตอนเหนือบาง
ส่วนเลี้ยงแกะ

ภาคใต้และภาคตะวันออก

นิยมรับประทานอาหารรสจัด เผ็ดร้อน
นิยมใช้สัตว์น้ำเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหาร
ใช้กะทิและพริกในการปรุงรสเป็นหลัก
เป็นแหล่งผลิตเครื่องเทศสำคัญ อาหารจึงมีรสชาติค่อนข้างเผ็ดร้อน
นิยมรับประทานข้าวบาสมาติเนื่องจากหลายพื้นที่เป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญ โดยเฉพาะรัฐ West Bengal
และAndhra Pradesh
ประชาชนในภาคใต้และภาคตะวันออกนอกจากบริโภคมังสวิรัติแล้ว บางส่วนนิยมรับประทานเนื้อสัตว์
(ไก่และปลา) เนื่องจากความพร้อมของวัตถุดิบ (พื้นที่ส่วนใหญ่ติดทะเล)

5

กลุ่มชาติพันธุ์

เชื้อชาติ อินโดอารยัน (72%) ดราวิเดียน (25%) มองโกลอยด์และอื่นๆ (3%)

จำนวนประชากร

มีประชากร 1.21 พันล้านคน มากเป็นอันดับ 2 ของโลก
อัตราการเพิ่มของประชากรเฉลี่ยปีละ 1.548% สัดส่วนเป็นชายกว่า 52%

ศาสนา

ฮินดู ร้อยละ 81.3 คริสต์ ร้อยละ 2.3
มุสลิม ร้อยละ 12 ซิกข์ ร้อยละ 1.9
อื่น ๆ (พุทธและเชน) ร้อยละ 2.5
ภาษา



อินเดียมีภาษามากกว่า 80 ภาษา โดยเฉพาะบางรัฐ เช่น รัฐ Punjab
และ Tamil Nadu ประชาชนกว่า 80% ใช้ภาษาท้องถิ่นของ
ตนเองในการสื่อสารเป็นหลัก
ภาษาหลัก

• ภาษาอังกฤษ
• ภาษาฮินดี
รัฐ Punjab 92% ใช้ภาษา Punjabi
รัฐ West Bengal 85% ใช้ภาษา Bengali
รัฐ Tamil Nadu 89% ใช้ภาษา Tamil
รัฐ Gujarat 84% ใช้ภาษา Gujarati

6

วัฒนธรรม

วรรณะของชาวอินเดีย

เรื่อง "วรรณะ" เป็นเรื่องที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจชาวอินเดียมายาวนาน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เขียนเป็นนักเรียนอยู่
ในอินเดีย ได้ออกไปพบชาวอินเดียตามชนบทหลายครั้ง แล้วถูกเขาถามว่าเป็นวรรณะอะไร เมื่อตอบว่าไม่มีวรรณะ
เขาจะรู้สึกแปลกใจว่า เป็นไปได้อย่างไรที่เป็นมนุษย์แล้วไม่มีวรรณะ การที่ตอบว่าไม่มีวรรณะ เป็นคำตอบที่เขาคิด
ว่าเหลวไหล คล้ายกับถามว่า "เป็นลูกใคร" แล้วตอบว่า "ไม่มีพ่อ" เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดมาแล้วไม่มีพ่อ หาก
ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อก็ยังพอฟังได้ แต่คำตอบว่าไม่มีพ่อนั้นเหลวไหลสิ้นดี ความคิด ความเชื่อของชาวอินเดียในชนบท
เช่นนี้ ย่อมบอกให้เรารู้ว่า เรื่อง "วรรณะ" เป็นเรื่องใหญ่ของชาวอินเดีย

ตัวตนของชาวอินเดียนั้นถูกทำให้ปรากฏผ่านกรอบของระบบวรรณะมาอย่างยาวนานนับพันปี แม้ต่อมา
ระบบวรรณะจะถูกทำให้คลายความสำคัญลง แต่ก็ยังคงเป็นกรอบกำหนดความหมายแห่งชีวิตของชาวอินเดียที่เป็น
ฮินดูอยู่ อัตลักษณ์ของชาวฮินดูถูกนิยามขึ้นจากโคตรและสกุลที่สังกัดอยู่ในวรรณะใดวรรณะหนึ่ง ความหมายแห่ง
ความเป็นตัวตนของบุคคลหนึ่ง ๆ จึงไม่ได้สร้างขึ้นมาอย่างลอย ๆ หากแต่ต้องผูกพันอยู่กับ วรรณะ โคตร และสกุล
ชื่อสกุล จึงมีความหมายบอกวรรณะไปด้วย เช่น เมื่อเราได้รู้ว่าคนนี้สกุล "คานธี" ชื่อสกุลนี้จะบ่งบอกว่าเป็นวรรณ
แพศย์ ที่สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มพ่อค้าที่ค้าขายเครื่องของหอม (คันธ = เครื่องของหอม) เป็นต้น
แม้ในปัจจุบัน วรรณะ ไม่ได้กำหนดระดับชั้น และหน้าที่ในสังคมเหมือนดังเช่นอดีต แต่ระบบวรรณะ ก็ยังเป็นกรอบ
ที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจความเป็นคนอินเดียได้อยู่พอสมควร

7

วัฒนธรรม - ความเชื่อ

ในบรรดาเรื่องราวของเทพเจ้าของชนชาติทั้งหลายนั้น เทพเจ้าของอินเดียนับว่ามีเรื่องราวและประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนมากกว่าชาติ
อื่น และกล่าวกันว่า ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ชนชาติอริยกะ หรืออินเดียอิหร่านที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุ มีการนับถือเทพเจ้า
และมีคัมภีร์พระเวทเกิดขึ้น พวกอริยกะ หรืออารยันนั้น แต่เดิมก็นับถือธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟ้า ลม และไฟ ต่อมามี

การกำหนดให้ปวงเทพเกิดมีหน้าที่กันขึ้น โดยตั้งชื่อตามสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้นๆ แล้วก็เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์
พระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์ จากหลักฐานโบราณที่เป็นจารึกบนแผ่นดินเหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล เรียกว่าแผ่นจารึก โบกาซ
คุย หรือจารึก เทเรีย ซึ่งขุดพบที่ตำบลดังกล่าว ของดินแดนแคปปาโดเซีย ในตุรกี จารึกนี้ ได้ออกนามเทพเจ้าเป็นพยานถึง 4 องค์ นั่นก็คือ
พระอินทร์ (lndra) เทพเจ้าแห่งพลัง มิทระ (Mitra) พระวรุณ (Varuna) และ นาสัตย์ (Nasatya) คือ พระนาสัตย์อัศวิน (Asvins) นับเป็น
ชื่อเทพเจ้าที่เก่าที่สุดที่ถูกเอ่ยนาม แสดงว่าลัทธิพราหมณ์ มีมายาวนานยิ่งนัก สมัยของพระเวท จึงมีผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มีมาก่อนพุทธกาล
ราว 1,000 ปีและบางตำราบอกว่า เทพเจ้าดั้งเดิมของพวกอริยกะนั้นมีพระอินทร์ พระสาวิตรี พระวรุณ และพระยม (พระสาวิตรี คือ ดวง
อาทิตย์) ส่วนอีกตำราหนึ่งกล่าวว่า เทพเจ้าที่เก่าที่สุด คือ พระอินทร์ พระพฤหัสบดี พระวรุณ และพระยม เทพที่พราหมณ์ยกย่องนั้น มี

เพียงไม่กี่องค์ที่ปรากฏอยู่ในพระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์ ที่ถือว่ามีฤทธิ์อำนาจมาก

8

แหล่งท่องเที่ยว

ทัชมาฮาล (Taj Mahal), เมืองอัครา (Agra)
ทัชมาฮาล สุสานหินอ่อน สถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก ได้รับยกย่องให้
เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใหม่ ให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2550

ป้อมอัครา (Agra fort) , เมืองอัครา (Agra) ป้อมอัครา
หรือที่รู้จักอีกชื่อนึงว่าป้อมแดง ตั้งอยู่ที่เมืองอัครา (Agra) อดีตเมืองหลวงของ

อินเดีย ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา (Yomuna) ในรัฐอุตตรประเทศ

เที่ยวเทศกาลโฮลี (Holi Festival) เทศกาลโฮลี
หรือเทศกาลแห่งสีสัน เป็นเทศกาลที่เกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
เป็นการเฉลิมฉลองเรื่องราวความดีชนะความชั่วนั่นเอง โดยจะ

ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี ตามปฏิทิน

9

แหล่งท่องเที่ยว

ประตูอินเดีย (India Gate), กรุงนิวเดลี (New Delhi)
ประตูอินเดีย มีชื่อเดิมคืออนุสรณ์สถานเหล่าสงครามในอินเดีย (All-India War
Memorial) หรือชื่อทางการว่า อนุสรณ์สถานนิวเดลี ประตูนี้ตั้งอยู่ที่กรุงนิวเดลี
ของอินเดีย ตัวอนุสาวรีย์ทำจากหินทราย สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้เหล่ากองทัพทหาร
บริติชอินเดียที่เสียชีวิตกว่า 70,000 นาย ในสงครามครั้งที่ 1 ช่วงปี ค.ศ. 1914–

1921

พระราชวังสายลม (Hawa Mahal), เมืองชัยปุระ (Jaipur)
พระราชวังสายลม หรือฮาวา มาฮาล (Hawa Mahal) ตั้งอยู่ที่เมืองชัยปุระ
(Jaipur) ในรัฐราชสถาน (Rajasthan) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1799 โดยมหา
ราชาไสว ประธาป สิงห์ (Maharaja Sawai Pratap Singh) เพื่อให้สนม
นางใน หรือสตรีในราชวงส์ใช้เป็นที่ชมชีวิตประจำวันของประชาชนในเมือง

หรือกิจกรรมต่างๆ

พระราชวังหลวง (City Palace), เมืองชัยปุระ (Jaipur)
พระราชวังหลวง อยู่ทางเหนือของใจกลางเมืองชัยปุระ (Jaipur)
มีขนาดกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง
ชัยปุระกันเลยทีเดียว พระราชวังได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยมหาราชา
สะหวายจัย สิงห์ที่ 2 (Maharaja Sawai Jai Singh II) เพื่อเป็น

ที่พักผ่อน และอยู่อาศัยของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ชัยปุระ

10

แหล่งท่องเที่ยว

ป้อมปราการแอมเบอร์ (Amber Fort), เมืองชัยปุระ (Jaipur)
ตั้งอยู่บนหน้าผาเหนือทะเลสาบเมาตา (Maota) ในเมืองอาเมร์ (Amer) สร้างโดยราชา มาน สิงห์ที่ 1 (Raja Man Singh I) ในปี ค.ศ. 1592

ที่นี่เคยเป็นที่ประทับของมหาราชา รวมไปถึงราชวงศ์อาเมร์

แม่น้ำคงคา, เมืองพาราณสี (Varanasi)
แม่น้ำคงคาในพาราณสี แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวฮินดู มีการทำพิธีกรรมโบราณ

ตามความเชื่อ และศรัทธา การอาบน้ำล้างบาปตลอดทั้งวัน

11

แหล่งท่องเที่ยว

นครสีทองจัยซัลเมียร์ (Jaisalmer Golden City), เมืองจัยซัลเมียร์ (Jaisalmer)
นครสีทองจัยซัลเมียร์ ห่างจากเมืองชัยปุระ (Jaipur) ออกไปทางตะวันตก 575 กิโลเมตร ถึงแม้อากาศจะทั้งร้อน และแห้งแล้ง ภาพ
แสงแดดที่สาดส่องลงบนพื้นที่อาคารบ้านเรือน ทำจากหินทรายสีเหลืองบนที่ราบสูงกลางทะเลทรายธาร์ (Thar Desert) เกิดเป็นวิว

สีทองเหลืองอร่ามงามนักๆ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยวที่เมืองแห่งนี้ไม่ไกลจากชายแดนปากีสถานมากนัก

เลห์ ลาดัก (Leh-Ladakh) เลห์ (Leh) เป็นเมืองในเขตเลห์ของรัฐชัมมู และกัศมีร์ (Jammu and Kashmir)
รัฐทางเหนือสุดของอินเดีย ดินแดนส่วนมากตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย เลห์เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรหิมาลัยของลาดัก ลาดักเป็นสถานที่สุด
ยอดสำหรับคนที่รักการปีนเขาเป็นชีวิตจิตใจ เพราะมียอดเขาสามลูกที่สูงที่สุดในโลก แถมที่นี่ยังมีบรรยากาศของพระพุทธศาสนา และวัฒนธรรม

ทิเบตแบบเข้มข้น ตั้งแต่สถาปัตยกรรมไปจนถึงอาหาร

12

บรรณานุกรม

https://www.exim.go.th/eximinter/e-news/7272/enews_january2019_new_market.html
https://www.mfa.go.th/th/content/5d5bcc1c15e39c306000a027?
cate=5d5bcb4e15e39c3060006870

https://www.ryt9.com/s/expd/619884
https://www.winnews.tv/news/18859
https://www.moac.go.th/foreignagri-article-files-392791791842
http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/geo/47.htm
https://www.yingpook.com/blogs/world/15-best-of-india/


Click to View FlipBook Version