40
๒). สาร หมายถึง เนื้อเรื่องที่จะถ่ายทอด ต้องมีความถูกต้อง ชัดเจน มีประโยชน์เป็น
ไปในทางสร้างสรรค์และที่สำคัญควรเป็นเรื่องที่ผู้พูดมีความสนใจ เชี้ยวชาย และมีองค์ความรู้
ครบถ้วนสมบูรณ์
๓). ผู้ฟัง หมายถึง ผู้รับสารที่ผู้พูดถ่ายทอดมา ซึ่งผู้ฟังต้องตั้งใจฟังสารอย่างมีสมาธิ
สามารถยอมรับฟังความคิดเห้นของผู้พูดได้ ในขณะที่ฟังควรแสดงอากัปกิริยาให้ผู้พูดทราบ
ด้วยว่าสิ่งที่พูดตรงกับจุดมุ่งหมายหรือไม่ เช่น การพยักหน้า ปรบมือ ยิ้ม หัวเราะ
หลักการพูดสรุปความจากสื่อ
ฟองจันทร์ สุขยิง และคณะ (2551 : 90) การพูดสรุปความ จะต้องตั้งคำถามแล้วหาคำ
ตอบในหัวข้อ ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไม (เพราะอะไร) และอย่างไรบ้าง เมื่อตอบ
คำถามได้ก็นับว่าจับประเด็นหรือใจความสำคัญได้ครบถ้วนแล้วจึงเขียนสรุป ซึ่งต้องเขียนให้
กระชับ เนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์โดยใช้สำนวนภาษาของตน ลำดับความให้ต่อเนื่องกลมกลืน
กัน อาจพูดนำเสนอแนวคิด การแก้ปัญหา หรือยกตัวอย่างเพื่อเป็นข้อยืนยันและสร้างความ
เข้าใจในสิ่งที่ฟังด้วย
หลักการพูดสรุปความจากสื่อ
ฟองจันทร์ สุขยิง และคณะ (2551 : 91) ได้กล่าวถึงหลักการสรุปความจากสื่อ ดังนี้
๑). ศึกษาเรื่องที่จะต้องสรุปและตีความเข้าใจ ผู้พูดจะต้องฟังและดูสื่ออย่างมีสมาธิ
ทำความเข้าใจเนื้อหาของเรื่องและตีความหมายจากเรื่องว่ากล่าวถึงอะไร สิ่งใด อย่างไร และ
เพื่ออะไร
๒). สรุปใจความสำคัญของเรื่อง ผู้พูดต้องทราบความหมายและจุดมุ่งหมายของเรื่อง
พร้อมทั้งสรุปใจความสำคัญของเรื่อง
๓). พูดสรุปใจความจากเรื่องที่ฟังและดู ผู้พูดต้องสรุปความด้วยภาษาสุภาพ เข้าใจง่าย
ไม่วกวนสับสน
41
ตัวอย่างการพูดสรุปใจความจากสื่อภาพยนตร์
ตัวอย่าง
การพูดสรุปความจากการชมภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก
น้ำ เด็กนักเรียนชั้น ม.๑ หน้าตาธรรมดาค่อนข้างไปทางไม่สวย แต่กลับไปหลงรักโชน
รุ่นพี่ที่ทั้งหล่อ นิสัยดี เป็นนักกีฬา และเป็นที่หมายปองของสาวๆ เกือบทั้งโรงเรียน น้ำจึงได้
แค่มองและพยายามหาวิธีใกล้ชิดกับโชน แต่ก็ดูเหมือนกับว่าโชนจะไม่ได้มีท่าทีสนใจน้ำเลย
แม้แต่น้อย วันหนึ่งกลุ่มเพื่อนของน้ำจึงช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้โชนหันมาสนใจน้ำ น้ำ
และเพื่อนๆจึงตัดสินใจใช้ความรักเป็นแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเองของน้ำ และ
ด้วยความที่น้ำอยากไปหาพ่อที่ไปทำงานที่ต่างประเทศและพ่อสัญญาว่าจะส่งตั๋วเครื่องบินมา
ให้หากสอบได้ที่ ๑ น้ำจึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการเรียนและรูป
ลักษณ์
น้ำสมัครเข้าชมรมภาษาอังกฤษและได้รับเลือกเป็นนางเอก เนื่องจากเธอพุดภาษา
อังกฤษได้ดีที่สุดและโชนก็มาช่วยเป็นฝ่ายศิลป์ในการทำละครเรื่องนี้ด้วย น้ำเริ่มโตเป็นสาว
ทั้งสวยและเก่งขึ้นในทุกๆด้าน ขณะเดียวกันท็อปเพื่อนรักของโชนตั้งแต่สมัยเด็กก็ได้ย้ายเข้า
มาอยู่โรงเรียนเดียวกันและมีทีท่าว่าจะชอบพอน้ำอยู่ไม่น้อย ท็อปให้โชนเป็นพ่อสื่อให้ตนเอง
กับน้ำ น้ำเองก็ยอมสนิทกับท็อปเพราะอยากอยู่ใกล้โชน และโชนก็สัญญากับท็อปว่าจะไม่จีบ
น้ำ
ในวันจบการศึกษาของโชน น้ำตัดสินใจบอกโชนว่าเขาเป็นคนที่เธอแอบรักมาตั้งแต่
ม.๑ แต่ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อโชนได้ตกลงคบหากับปิ่นเพื่อนสนิทของเขา น้ำเสียใจมาก แต่ก็
บอกกับโชนว่าเธอยินดีกับความรักครั้งนี้ของงเขา ในด้านโชนเองก็เสียใจมากเช่นกัน เมื่อได้รู้
ว่าผู้หญิงที่เขาแอบชอบมากกว่า ๓ ปี ก็มีใจให้เขาเช่นกัน แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป
42
คุณสมบัติของผู้พูด
ฟองจันทร์ สุขยิง และคณะ (2551 : 89-90) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้พูดไว้ ดังนี้
๑). มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะพุด เมื่อจะพูดเรื่องใด ผู้พูดต้องรู้เรื่องอย่าง
ละเอียดไม่ใช่รู้แค่ใคร ทำอะไร ที่ไหนเท่านั้น ต้องรู้ว่าทำไม เพราะอะไร อย่างไรอีกด้วย เพื่อ
เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพูด ถ้าความรู้พื้นฐานเดิมมีไม่พอ ต้องค้นคว้าเพิ่มเติม หรือถ้าเกรงว่า
จะพูดจัดลำดับได้ไม่ดี ควรเตรียมบันทึกย่อไว้เพื่อช่วยให้การพูดประสบความสำเร็จ
๒). รู้จักผู้ฟัง ผู้พูดต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง เพื่อให้ทราบพื้นฐานความสนใจ ความ
สามารถของผู้ฟังแต่ละกลุ่ม โดยพิจารณาจากเพศ วัย ความรู้ และอาชีพ ทั้งนี้ในขณะที่พูดก้
สามารถวิเคราะห์ผู้ฟังได้จากความตั้งใจของผู้ฟัง แล้วจึงพูดให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ โดยอาศัย
ปฏิภาณไหวพริบ เมื่อสังเกตได้ว่าผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย ต้องแก้ไขเพื่อทำให้บรรยากาศ
แจ่มใส น่าสนใจ ดังนั้น ถ้าผู้พูดทราบพื้นฐานความสนใจของผู้ฟังก่อนการพูด ย่อมช่วยให้การ
พูดน่าสนใจและช่วยให้การพูดดำเนินไปอย่างราบรื่นและสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย
๓). ใช้ภาษาถูกต้องเหมาะสม การพูดต่อหน้าผู้อื่น ต้องระมัดระวังเรื่องการออกเสียง
ผู้พูดควรออกเสียงให้ชัดเจน ถูกต้อง โดยเฉพาะคำควบกล้ำ ตัว ร ล เพราะการออกเสียงปิด
อาจทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป หรือฟังแล้วน่าขำ ทำให้เสียบรรยากาศ บั่นทอนความ
น่าเชื่อถือของผู้พูด
๔). มีความเชื่อมั่นในความคิดของตน การพูดวิเคราะห์ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง
ก่อนที่จะพูดให้ผู้ฟังเชื่อมั่นตาม ดังนั้นจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม แต่งกายสุภาพเหมาะสมและ
วางท่าทีให้สง่างาม ไม่หวาดหวั่น ไม่ประหม่า พูดด้วยเสียงที่มั่นคง หนักแน่น เสียงดังชัดเจน
อาจใช้ท่าทางประกอบบ้างอย่างเป็นธรรมชาติ มีชีวิตชีวา น่าสนใจ เพื่อให้ผู้ฟังคิดตามอย่าง
ตั้งใจ
๕). มีความประพฤติดี มีคุณธรรม ผุ้พูดต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องที่พูด ใช้ภาษา
สุภาพ ให้เกียรติผู้ฟัง ส่วนการวิเคราะห์นั้น ผู้พูดต้องมีใจเป็นกลาง ไม่อคติ
43
มารยาทการพูด
ฟองจันทร์ สุขยิง และคณะ (2551 : 90) ได้กล่าวถึงมารยาทในการพูดไว้ ดังนี้
1.พูดด้วยคำสัตย์จริง ผู้พูดควรนพเสนอเนื้อหาให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นข้อเท็จ
จริงที่พิสูจน์ได้ มีเหตุผลน่าเชื่อถือสนับสนุนอย่างเพียงพอ
2.รับผิดชอบต่อคำพูด ผู้พูดควรมีความรับผิดชอบต่อคำพูดหรือสิ่งที่ได้สื่อสารไปสู่ผู้ฟัง
หากมีการกล่าวพาดพิงบุคคลอื่น หรือให้ข้อมูลบกพร่อง ไม่ครบถ้วนควรแสดงความรับผิด
ชอบด้วยการกล่าวขอโทษและชี้แจงแสดงข้อมูลที่ถูกต้อง
3.ใช้ภาษาสุภาพ ผู้พูดควรใช้คำพูดที่สุภาพสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ไปสู่ผู้ฟัง เพราะคำพูดที่
สุภาพย่อมทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกชื่นชม นำไปสู่ความศรัทธาในตัวผู้พูดและเรื่องที่ฟังได้
4.อ่อนน้อมถ่อมตน ผู้พูดควรแสดงภาษากายหรือท่าทางที่เป็นมิตรติ่ผู้ฟัง และสื่อถึง
ความอ่อนน้อมถ่อมตนเพราะความอ่อนน้อมย่อมสร้างความชื่นชมให้เกิดขึ้นได้ง่าย
5.ควบคุมอารมณ์ให้มั่นคง ผู้พูดควรควบคุมอารมณ์ของตนเองให้เป็นปกติในขณะสื่อสาร
จะเกิดสถานการณ์ต่างๆ ไม่ควรใช้อารมรืตอบโต้หรือแสดงท่าทางไม่พอใจ
แบบฝึกเสริมทักษะ
45
คำถามประจำหน่วยการเรียนรู้
๑.การพูดสรุปใจความมีแนวทางในการพูดอย่างไร จงอธิบายพอสังเขป
๒.การพูดสรุปความกับย่อความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
แบบฝึกเสริมทักษะ 46
คำชี้แจง นักเรียนพูดสรุปใจความสำคัญจากเรื่องที่ฟังและดู
ประเพณีกองตายาย
เรื่องที่ ๑ เรื่อง.........................................................................................................................
ประโยคใจความสำคัญของเรื่อง
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
เนื้อหาเหมาะสมกับวัยใด เพราะ
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
ประโยชน์จากเรื่อง
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
แบบฝึกเสริมทักษะ 47
คำชี้แจง นักเรียนพูดสรุปใจความสำคัญจากเรื่องที่ฟังและดู
กาแฟเขาทะลุ
เรื่องที่ ๑ เรื่อง.........................................................................................................................
ประโยคใจความสำคัญของเรื่อง
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
เนื้อหาเหมาะสมกับวัยใด เพราะ
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
ประโยชน์จากเรื่อง
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
48
บรรณานุกรม
ฐะปะนีย์ นาครทรรพและคณะ.(2549).หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน กลุ่ม
สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทย ม.2.พิมพ์ครั้งที่ 8.กรุงเทพฯ:อักษรเจริญทัศน์.
นพดล จันทร์เพ็ญ.(2535).การใช้ภาษาไทย.กรุงเทพฯ:ต้ออ้อ.
ไพรถ เลิศพิริยกมล.(2543).การย่อความ.กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น
ฟองจันทร์ สุขยิง และคณะ.(2551).หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย หลักภาษา
และการใช้ภาษาไทย กลุ่มการเรียนรู้ภาษาไทย ม.2.พิมพ์ครั้งที่ 14.กรุงเทพฯ:อักษรเจริญ
ทัศน์.
อัจฉรา ชีวพันธ์.(2531).ศาสตร์ของการสอนภาษาไทย.กรุงเทพฯ:คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บทที่ ๔
"ร้อยเรียงกลอนกานท์ สู่ตำนานเมืองชุมพร"
สาระหลักการใช้ภาษา
ตัวชี้วัด ท ๔.๑ ม ๒/๓ แต่งบทร้อยกรอง
วัตถุประสงค์
๑.นักเรียนสามารถอธิบายแผนผังกลอนสุภาพได้
๒.นักเรียนสามารถอธิบายฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองได้
๓.นักเรียนสามารถอธิบายการใช้คำตามข้อบังคับของกลอนสุภาพได้
๔.นักเรียนสามารถแต่งกลอนสุภาพได้
๕.นักเรียนเห็นความสำคัญของการเลือกใช้คำในการแต่งบทร้อยกรอง
50
เรารัก "ชุมพร"
เช้าวันที่สามแล้วที่ส้มจุกกับส้มใสได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่สงบสุข ไม่มี
เสียงอื้ออึงของรถราที่แล่นไปมาบนท้องถนน ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสมีไมตรีที่ดีต่อกัน วันนี้ส้มจุก
กับส้มใสได้เจอเมืองไม้หลานชายคนเดียวของไกด์ไก่ เมืองไม้ชอบติดตามไกด์ไก่ไปทั่วทุกที่
ทำให้เมืองไม้เป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลม คุ้นเคยและรู้จักประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัดชุมพร
เป็นอย่างดี เพราะเมืองไม้ได้ถูกปลูกฝังความรู้มาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ว่าเป็นเด็กยุคใหม่จะต้องไม่
ลืมขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของบ้านเกิด และต้องศึกษาไว้เพื่อไม่ให้ประเพณีเก่าแก่
ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้นเลือนหายไป
เมืองไม้เล่าว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์หลังฤดูเก็บเกี่ยว ชาวไทดำหรือที่เรียกกันว่าไทโซ่ง
หรือลาวโซ่งในพื้นที่อำเภอเมืองชุมพร จะร่วมกันจัดงานประเพณีไทยทรงดำขึ้น ชาวไทดำ 3
หมู่บ้าน 2 ตำบล ได้แก่ หมู่ที่ 9 บ้านบางหลง ตำบลท่ายาง หมู่ที่ 8 บ้านดอนรวบ และ หมู่ที่
9 บ้านคอเตี้ย ตำบลบางหมาก จะร่วมกันจัดประเพณีนี้ขึ้นมาเป็นประจำทุกปี เพื่อสาน
สัมพันธ์กันในหมู่ญาติพี่น้อง เป็นการพบปะสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน ผู้คนที่มาร่วมงานจะ
สวมชุดไทดำอย่างสวยงาม ภายในงานมีการรำแคนและเซิ้งกันอย่างสนุกสนาน การจัดวงรำ
แคนของชาวไทดำจะมีลักษณะคล้ายกับรำวงของไทยในปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นประเพณีที่น่า
ตื่นตาตื่นใจมากเลยทีเดียว นอกจากนี้เมืองไม้ยังเล่าอีกว่าชุมชนบ้านเนินทอง ตำบลสลุย
อำเภอท่าแซะ มีประเพณีส่งตายายข้ามสายน้ำเป็นประจำทุกปี เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้
แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วในวันสารทเดือนสิบ จะมีการนำเครื่องกระยาหารคาวหวาน จัด
ขึ้นบนแพไม้ไผ่ที่ชาวบ้านได้ช่วยกันทำไว้ แล้วลอยออกไปตามสายน้ำ สร้างความสามัคคีให้แก่
คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี “เมืองไม้นี่เก่งจริง ๆ เลยเนอะส้มใส ได้เล่นด้วยกัน แถมยังได้ความ
รู้กลับมาอีกด้วย” ส้มจุกกล่าวชื่นชมเมืองไม้ให้ส้มใสฟัง สองพี่น้องต่างประทับใจในตัวของ
เมืองไม้
"ประเพณีไทยทรงดำ" 51
ประเพณี ไทยทรงดำ นำชีวิต ร่วมผูกมิตร ช่วงสงกรานต์ งานสร้างสรรค์
หลังเก็บเกี่ยว วงรำแคน ชุบชีวัน ฟ้อนรำกัน แสนสนุก ทุกผู้คน
อำเภอเมือง ถิ่นชุมพร สะท้อนจิต เป็นวิถี ชีวิต ทั่วแห่งหน
ในชุมพร สามหมู่บ้าน สองตำบล สุขท่วมท้น ประเพณี เปรมปรีดิ์ใจ
ชาวไทดำ หมู่ที่เก้า ร่วมรำวง บ้านบางหลง คงสืบสาน กาลสมัย
สานสัมพันธ์ ฉันพี่น้อง สุขฤทัย ทุกเพศวัย ในท่ายาง ต่างยินดี
หมู่ที่แปด บ้านดอนรวบ ไม่เสียกิจ แสนวิจิตร ชาวบางหมาก พาสุขี
ชาวไทดำ ในพื้นที่ รื่นฤดี เล่นดนตรี พื้นบ้าน สำราญใจ
หมู่ที่เก้า บ้านคอเตี้ย ต่างร่ายรำ สวมใส่ชุด ไทดำ น่าพิสมัย
ชาวตำบล บางหมาก สืบสานไว้ ศูนย์รวมใจ ประเพณี สานสัมพันธ์
ชาวไทดำ หรือลาวโซ่ง ในพื้นที่ เล่นดนตรี ร่ายรำ แสนสุขสันต์
คุณค่าทาง จิตใจ ไม่ลืมกัน พี่น้องฉัน ไทยทรงดำ สามัคคี
การแต่งบทร้อยกรอง 53
ความหมายของกลอน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2546:77) ได้ใหความหมายของกลอนไววา
กลอน คือ คำ ประพันธ์ ซึ่งแต่เดิมเรียกคำเรียงที่มีสัมผัสทั่วไป จะเป็นโคลงฉันท์ หรือกาพย์
ก็ตาม
กำชัย ทองหล่อ (2543:460) ได้อธิบายว่า “กลอน คือ ลักษณะคำประพันธ์ ที่เรียบ
เรียงเข้าเป็นคณะ มีสัมผัสกันตามลักษณะ บัญญัติเป็นชนิด ๆ แต่ไม่มี เอกโท ครุ ลหุ”
บุญเหลือ ใจมโน (2549:41) ได้อธิบายวา “กลอน ในปัจจุบัน คือ คำประพันธ์ ที่มี
ความหมายแคบเข้า ไม่รวมฉันท์ กาพย์หรือร่ายเข้าไปด้วย แต่เป็นคำประพันธ์ที่มีลักษณะ
บังคับ คณะและเสียงวรรณยุกต์ ไม่บังคับเอก-โท และครุ-ลหุ ข้อบังคับ คือ ต้องมีสัมผัสนอก
คำสุดท้าย ของวรรค ต้องลงด้วยวรรณยุกต์ที่กำหนดให้”
ความรู้เรื่องกลอน
เชื่อกันว่า กลอน เป็นคำประพันธ์ที่คนไทยมีมาแต่เดิม ชาวบ้านในภาคกลางและภาคใต้
นิยมแต่งกลอนเป็นบทร้องเล่น บทกล่อมเด็ก และเพลงพื้นบ้านต่างๆกลอนมีพัฒนาการมา
เป็นลำดับจนมีข้อบังคับทางฉันทลักษณ์ที่แน่นอนในปัจจุบันเป็นคำประพันธ์ที่บังดับจำนวน
คำ จำนวนวรรค สัมผัส และเสียงวรรณยุกต์กลอนมีประเภทย่อยซึ่งมีชื่อต่างกันไปตาม
ลักษณะย่อย เช่น กลอนแปด กลอนหกกลอนสี่ กลอนสักวา กลอนดอกสร้อย กลอนบท
ละคร เป็นต้น บทกลอนเรื่องพอใจให้สุข เป็นคำประพันธ์ประเภทกลอนแปด
54
ประเภทของกลอน
กำชัย ทองหล่อ (2545:415) ได้แบ่งประเภทของกลอน ดังนี้
1. กลอนสุภาพ คือ กลอนที่ใช้ถ้อยคำและทำนองเรียบ ๆ แบ่งออกเป็น 4 ชนิด คือ
กลอน 6 กลอน 7 กลอน 8 กลอน 9 แต่ละชนิดใช้คำตามจำนวน ที่กำหนดเท่ากันทุกวรรค
2. กลอนลำนำ คือ กลอนที่ใช้ขับร้องสวดให้ทำนองต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ
กลอนบทละคร กลอนสักวา กลอนเสภา กลอนดอกสร้อย และกลอนขับร้อง
3. กลอนตลาด คือ กลอนผสมหรือกลอนคละ ไม่กำหนดคำตายตัวเหมือนกลอนสุภาพ
กลอนบทหนึ่งอาจมีวรรคละ 7 คำบ้าง 8 คำบ้าง 9 คำบ้าง คือ แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ กลอน
เพลงยาว กลอนนิราศ กลอนนิยาย กลอนเพลงปฏิพากย์
55
ฟองจันทร์ สุขยิง และคณะ (2551 : 141-144) กล่าวว่า กลอนสุภาพหรือกลอนแปด
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ กลอนขับร้องและกลอนเพลง โดยกลอนขับร้องแบ่งออกเป็นก
ลอนบทละคร กลอนเสภา กลอนสักวา และกลอนดอกสร้อย ส่วนกลอนเพลงแบ่งเป็นกลอน
นิราศ กลอนหก และกลอนเพลงยาว
56
๑.กลอนบทละคร
กลอนดอกสร้อย เป็นกลอนที่แต่งขึ้นสำหรับแสดงละคร มีลักษณะบังคับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ
นิยมแต่งวรรคละ ๖-๙ คำ มักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า “มาจะกล่าวบทไป” “เมื่อนั้น” และ “บัดนั้น”
เช่น
เมื่อนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ
ยิ้มแล้วจึงตอบพจมาน คำเจ้าขานนี้คมนัก
(รามเกียรติ์:พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)
๒.กลอนเสภา
แต่งขึ้นสำหรับขับเสภาโดยมีกรับขยับเป็นจังหวะ เรียกว่า ขับเสภา และเริ่มต้นข้อความใหม่ ให้
ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ครานั้น” ไว้ต้นกลอนวรรคแรก จำนวนคำในวรรคไม่กำหนดตายตัวขึ้นอยู่กับ
เนื้อความที่ต้องการบรรยายและความเหมาะสมของการแอนเสียงประกอบการขับเสภา
ครานั้นขุนแผนแสนสนิท คอยท่าช้าผิดหามาไม่
เยื้องย่างตามนางเข้าห้องใน สลดใจสงสารวันทองนัก
(ขุนช้างขุนแผน:พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
57
๓.กลอนสักวา
แต่เดิมใช้เล่นเป็นกลอนสดโต้ตอบกัน สามารถเล่นโต้ตอบกันในเรื่องใดก็ได้โดยจำนวนคำในวรรค
ขึ้นอยู่กับเนื้อความ แต่นิยมใช้ ๖-๙ คำสัมผัสเหมือนกลอนสุภาพแต่สามารถยืดหยุ่นคำสัมผัสได้
ปัจจุบันนิยมแต่งกลอนสักวาเป็น ๔ คำกลอน หรือ ๘ วรรค โดยขึ้นต้นวรรคสดับบาทแรกว่า
“สักวา” จบวรรคส่งของบาทสุดท้ายว่า “เอย” ถ้าจะแต่งต่อไปอีกให้ขึ้นบทใหม่โดยที่สัมผัสไม่
จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับบทต้น เช่น
สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม
กลิ่นประเทียบเปรียบดวงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม
แม้นล้อลามหยามหยาบไม่ปลาบปลื้ม ดังดูดดื่มบอระเพ็ดต้องเข็ดขม
ผู้ดีไพร่ไม่ประกอบชอบอารมณ์ ใครฟังลมเมินหน้าระอาเอย
(สักวา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ)
๔.กลอนดอกสร้อย
นิยมแต่งเป็น ๔ คำกลอน หรือ ๘ วรรค จำนวนคำในวรรคขึ้นอยู่กับเนื้อความที่ต้องการบรรยาย
สามารถใช้ได้ตั้งแต่ ๖-๘ คำ มีการรับส่งสัมผัสเหมือนกลอนสุภาพ กลอนดอกสร้อยมีลักษณะเด่น
คือ วรรคสดับ ขึ้นต้นบทจะใช้ ๔ คำ โดยคำที่ ๑ และ ๓ เป็นคำเดียวกันแล้วแทรกคำว่า “เอ๋ย” ไว้
ตรงกลาง เช่น ไก่เอ๋ยไก่แก้ว เด็กเอ๋ยเด็กน้อย และจบบาทที่ ๔ ด้วยคำว่า “เอย”
๕.กลอนนิทาน
เป็นการใช้คำกลอนแต่งเป็นเรื่อง อาจเรียกอีกชื่อว่า กลอนนิยายจำนวนคำและสัมผัสเหมือน
กลอนสุภาพ แต่มีวิธีขึ้นตน ๒ แบบคือ ขึ้นต้นด้วยวรรคสดับหรือวรรครับก้ได้ เมื่อจบเรื่องใช้คำว่า
“เอย” ในวรรคส่งของบทสุดท้าย เช่น
............................................ จักกล่าวอดีตนิทานแต่ปางก่อน
เมื่อครั้งสมเด็จพระชินวร ยังสังวรแสดงหาโพธิญาณ
....................................... ถึงท่าใส่แพแล้วลอยเอย
(กากีคำกลอน : เจ้าพระยาพระคลัง (หน))
58
๖.กลอนเพลงยาว
การแต่งเพลงยาวสามารถแต่งได้ความยาวเท่าใดก็ได้ตามเนื้อความที่กวีต้องการพรรณนา มัก
มีเนื้อหาเชิงเกี้ยวพาราสีรำพึงรำพันถึงความรักหรือพลาดรัก โดยจำนวนคำในวรรคใช้ได้ตั้งแต่
๗-๙ คำ มีสัมผัสเหมือนกลอนสุภาพ กลอนเพลงยาวจะขึ้นต้นเรื่องบทแรกด้วยวรรครับและ
เมื่อจบเรื่องใช้คำว่า “เอย” เป็นคำสุดท้าย เช่น
ได้สดับรับรสบรรหารสาร
เสนาะพจน์มธุรสอาลัยลาญ ดังเจือจานอมฤตมาโรยริน
ฯลฯ
ก็นี่แลยากใจไว้จิต ถ้าฉวยผิดก็ผิดแต่คนสรวล
อันสตรียากที่ถนอมนวล ควรมิควรจงแจ้งแถลงเอย
(เพลงยางความเก่า:ประชุมเพลงยาวภาคที่ ๙)
๗.กลอนนิราศ
มีลักษณะการแต่งเหมือนกัลป์เพลงยาว คือ ขึ้นต้นด้วยวรรครับกลอนนิราศเน้นเนื้อหาที่
เกี่ยวข้องกับการเดินทาง เพราะนิราศ หมายถึง การจากไป แต่บางเรื่องก็ไม่ได้กล่าวถึงการ
เดินทาง เช่น นิราศเดือน
โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา ใช่แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
(นิราศเมืองแกลง : สุนทรภู่)
59
ลักษณะต่างๆ ของกลอน
๑) บท และ บาท
กลอน ๑ บท มี ๒ บรรทัด แต่ละบรรทัดเรียกว่า บาท หรือ คำกลอนบาทที่หนึ่งของกลอน
เรียกว่า บาทเอก ส่วนบาทที่สองเรียกว่า บาทโท กลอนบาทหนึ่งมี ๒ วรรด กลอนบทหนึ่งจึง
มี ๔ วรรค เช่น
แม้มิได้เป็นดอกกุหลาบหอม ก็จงยอมเป็นเพียงลดาขาว (บาทเอก)
แม้มิได้เป็นจันทร์อันสกาว จงเป็นดาวดวงแจ่มแอร่มตา (บาทโท)
๒) จำนวนวรรค
กลอน ๑ บท มี ๔ วรรค แต่ละวรรคมีชื่อเรียกดังนี้
วรรคที่ ๑ เรียกว่า วรรคสดับ วรรคที่ ๒ เรียกว่า วรรครับ
วรรคที่ ๓ เรียกว่า วรรครอง วรรคที่ ๔ เรียกว่า วรรคส่ง
เช่น
แม้มิได้เป็นหงส์ทะนงศักดิ์ (วรรคสดับ) ก็จงรักเป็นโนรีที่หรรษา (วรรครับ)
แม้มิได้เป็นน้ำแม่คงคา (วรรครอง) จงเป็นธาราใสที่ไหลเย็น (วรรคส่ง)
60
๓) จำนวนคำและจังหวะการอ่าน
คำว่า คำ ในกลอนมีความหมายเฉพาะ หมายถึง พยางค์ที่ลงจังหวะในแต่ละวรรค เช่น
กลอนหก คือกลอนที่กำหนดให้วรรคหนึ่งมี ๖ คำ หรือ ๖พยางค์ กลอนแปด คือ กลอนที่
กำหนดให้วรรคหนึ่งมี ๘ คำ หรือ ๘ พยางค์ ในกลอนบทละคร คำ ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ
หมายถึง บาท หรือ คำกลอน เช่นกลอนบทละครช่วงหนึ่งมี ๖ บาท หรือ ๖ คำกลอน ก็เรียก
ว่ามี ๖ คำ
กลอนวรรคหนึ่งอาจมีคำได้ตั้งแต่ ๗ ถึง ๙ ดำ (แต่อาจมีจำนวนพยางค์ได้มากถึง ๑๒ พยางค์)
ในแต่ละวรรคจะแบ่งจังหวะของคำเป็น ๓ ช่วง ถ้ามี ๗ คำมักแบ่งเป็น ๒-๒-๓ ถ้ามี ๘ คำมัก
แบ่งเป็น ๓-๒-๓ ถ้ามี ๙ คำ
มักแบ่งเป็น ๓-๓-ถ เป็นต้น ไม่ว่ากลอน ๑ วรรค จะมีกี่พยางค์ ก็ต้องอ่านรวบพยางค์ให้เป็น
๓ ช่วง เช่น
ปักเป้า-ว่าวว่อง-คล่องเคลื่อนคล้อย
เจ้างามพักตร์-ผ่องเพียง-บุหลันฉาย
ไฉนนาง-หมางสวาท-ประหลาดใจ
เจ้างามปีก-ตัดทรง-มกุฎกษัตริย์
เจ้างามศอ-เสมือนคอ-สุวรรณหงส์
61
๔) สัมผัส
คำว่า สัมผัส ในดำประพันธ์ หมายถึงดำ ๒ คำ (หรือ ๒ พยางค์) ที่มีเสียงสระเสียงเดียวกัน
ตา-หรรษา หิมาลัย-พอใจ วิถี-เด่นดี-ที่ หรือ คำ คำที่ประสมกับเสียงสระและเสียงสะกดแม่
เดียวกัน เช่น หอม-ยอม ขาว-สกาว-ดาว แจ่ม-แอร่ม ศักดิ์-รัก ขัดขวาง-สะอาง สัมผัสแบบนี้
เรียกว่า สัมผัสสระ
ในคำประพันธ์มีสัมผัสอีกแบบหนึ่งเรียกว่า สัมผัสพยัญชนะ หมายถึงคำ ๒ คำหรือหลายดำที่
มีเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียงเดียวกัน เป็นลักษณะที่กวีมักใช้เพื่อเพิ่มความไพเราะให้แก่
บทกลอน ไม่ใช่สัมผัสบังคับ สัมผัสพยัญชนะอาจปรากฏในวรรคเดียวกันหรือต่างวรรคกันก็ได้
เช่น
ลางลิงลิงลอดเลี้ยวลางลิง แลลูกลิงลงชิงลูกไม้
สัมผัสในบทกลอนมีทั้งสัมผัสบังดับและสัมผัสไม่บังคับ
สัมผัสบังคับ มี ๒ ประเภท คือ สัมผัสนอก กับ สัมผัสระหว่างบท
สัมผัสนอก คือ สัมผัสสระของคำที่อยู่ต่างวรรคกัน กลอนบทหนึ่งๆ มีสัมผัสนอกบังคับ ๓
แห่ง คือ
แห่งที่ ๑ คำสุดท้ายของวรรดสดับ (วรรคที่ ๑) สัมผัสกับคำท้ายของ
ช่วงที่ ๑ หรือ ๒ ในวรรครับ (วรรดที่ ๒)
แห่งที่ ๒ คำสุดท้ายของวรรครับ (วรรคที่ ๒) สัมผัสกับดำสุดท้ายของ
วรรครอง (วรรคที่ ๓) แล้วส่งต่อไปสัมผัสแห่งที่ ๓
แห่งที่ ๓ รับสัมผัสมาจากคำสุดท้ายของวรรคสอง (วรรคที่ ๓) ไปยังคำท้ายของช่วงที่ ๑ หรือ
ช่วงที่ ๒ ในวรรคส่ง (วรรค ๔)
62
สัมผัสระหว่างบท คือ สัมผัสสระที่ส่งต่อจากคำสุดท้ายของบทไปยังคำสุดท้ายในวรรครับ (วร
รดที่ ๒) ของบทถัดไป ซึ่งเป็นสัมผัสที่ทำให้กลอนเชื่อมต่อกันโดยตลอด ไม่ว่าจะแต่งกลอนกี่
บท กลอนในเรื่องวรรณคดีของไทยมีกลอนบทละครเรื่องอิเหนา กลอนเสภาเรื่องขุนช้าง
ขุนแผน กลอนเรื่องพระอภัยมณีจะเชื่อมต่อกันตลอดทั้งเรื่อง
สัมผัสไม่บังคับ คือ สัมผัสสระหรือสัมผัสพยัญชนะที่อยู่ในแต่ละวรรคเพื่อเพิ่มความไพเราะให้
แก่บทกลอน สัมผัสที่อยู่ในวรรคมักเรียกว่า สัมผัสในในกลอนแต่ละวรรค ถ้าคำที่เชื่อม
ระหว่างช่วงเป็นคำที่สัมผัสกัน จะทำให้กลอนไพเราะ
ก.เสียงวรรณยุกต์ ฉันทลักษณ์ของกลอนไม่มีข้อกำหนดเรื่องวรรณยุกต์ แต่มีข้อสังเกดว่าหาก
กำหนดคำที่มีเสียงวรรณยุกต์ได้ตามที่แนะนำนี้ กลอนจะไพเราะ หากใช้เสียงที่ไม่แนะนำ
กลอนจะฟังประหลาดและไม่เป็นกลอน ดังนี้
คำท้ายวรรคที่ ๑ ใช้เสียงวรรณยุกต์ใดก็ได้
คำท้ายวรรคที่ ๒ ใช้เสียงวรรณยุกต์เอก โท หรือจัตวา ไม่ใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญหรือเสียงตรี
คำท้ายวรรคที่ ๓ ใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญหรือตรี ไม่ใช้เสียงวรรณยุกต์เอก โท หรือจัดวา
และไม่ใช้ เสียงวรรณยุกต์ซ้ำกับเสียงวรรณยุกต์ของคำท้ายวรรคที่ ๒
คำท้ายวรรคที่ ๔ ใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญหรือตรีไม่ใช้เสียงวรรณยุกต์เอก โท หรือจัตวา
63
ข. การสัมผัส
ลักษณะสัมผัสของกลอนที่ไม่ควรใช้ มีดังนี้
๑.สัมผัสซ้ำเสียง คือ รับและส่งสัมผัสด้วยคำที่ออกเสียงเหมือนกัน
เช่น มา (ดำส่ง)-มา (คำรับ) นัย (คำส่ง)-ใน(คำรับ)
การ(คำส่ง)-กาญจน์(คำรับ)
๒. สัมผัสเลือน คือ รับและส่งด้วยเสียงสระสั้นยาวต่างกัน เช่น
ใน(คำส่ง)-นาย (ดำรับ) ทัณฑ์(คำส่ง)-ทาน(ดำรับ)
กรีด (คำส่ง)-ปิด (คำรับ
๓.ชิงสัมผัส คือ ใช้เสียงส่งสัมผัสก่อนตำแหน่งที่รับสัมผัส
ตัวอย่างเช่น แต่งคำกลอนว่า
แต่งคำกลอนบอกแจ้งความในใจ ที่มีไว้เพื่อให้เธอเล็งเห็น
แจะเขียนให้อ่านเล่นก็ยากเย็น พี่ไม่เว้นพากเพียรเขียนเพื่อเธอ
คำที่ส่งสัมผัสในวรรคที่ คือ ใจ ส่งไปให้รับสัมผัสกับคำ
ในวรรคที่ ๒ คือ ให้ แต่มีคำว่า ไว้ มาชิงสัมผัสก่อน
และคำส่งสัมผัสจากท้ายวรรดที่ ๒ ว่า เห็น ส่งสัมผัสไปคำสุดท้าย วรรคที่ ๓ คือ เย็น แต่มี
คำว่า เล่น มาชิงสัมผัสก่อน ทำให้กลอนไม่เป็นกลอน
แต่งคำกลอนบอกแจ้งความในใจ ที่ร้อนรุ่มเพื่อให้เธอเล็งเห็น
แม้จะเขียนลำบากแสนยากเย็น พี่ไม่เว้นพากเพียรเขียนเพื่อเธอ
64
หลัการแต่งกลอนแปด (กลอนสุภาพ)
กลอนแปด อาจเรียกว่า กลอนสุภาพ หรือกลอนตลาด ก็ได้ถ้าแต่งเป็นเรื่องนิทานเพื่ออ่าน
เล่น ก็เรียกว่า กลอนนิทาน เช่น เรื่องโดบุตรพระอภัยมณี ถ้าแต่งเป็นนิราศ ก็เรียกว่า กลอน
นิราศ เช่น นิราศพระแท่นดงรัง นิราศเมืองแกลง นิราศลอนดอน ถ้าแต่งเป็นสุภาษิตต่างๆ ก็
เรียกว่า กลอนสุภาษิต เช่น สุภาษิตสอนหญิง พาลีสอนน้อง และอาจแต่งเป็นเพลงยาวหรือ
จดหมายที่ชายหญิงมีไปมาถึงกัน เรียกว่า กลอนเพลงยาว กลอนที่แต่งเรื่องดังกล่าวนี้บังคับให้
ขึ้นต้นด้วยวรรครับ
กลอนสุภาพรุ่งเรืองในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กวีที่มีฝีมือยอดเยี่ยม
ทางกลอน คือ สุนทนภู่ และเป็นผู้คิดสัมผัสในเพิ่มขึ้นเป็น แบบฉบับ เพื่อความไพเราะของ
กลอน
หลักการแต่งกลอนแปด
- แต่ละบทมี ๒ บาท แต่ละบาทจะมี ๒วรรค
- แต่ละวรรค จะมี ๘ คำ (ปกติจะใช้คำได้ ได้ ระหว่าง ๗-๘ คำ)
- บทที่ ๑ เรียกว่า บาทเอก มี ๒ วรรค คือ วรรคสดับ (วรรคต้น) และวรรครับ
- บทที่ ๒ เรียกว่า บาทโท มี ๒ วรรค คือ วรรครอง และวรรคส่ง
ฉันทลักษณ์กลอนสุภาพ
- พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๒
- พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๓ และสัมผัส
กับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๔
- สัมผัสระหว่างบทพยางค์สุดท้ายของบทต้น สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่
๒ ของบทถัดไป
65
การสัมผัส
สัมผัสเป็นลักษณะสำคัญของคำประพันธ์ไทย ลักษณะสัมผัสมีดังนี้
- สัมผัสพยัญชนะหรือสัมผัสอักษร คือ มีพยัญชนะต้นของคำเหมือนกัน
- สัมผัสสระ คือ ถ้ามีสระเดียวกัน หากมีตัวสะกดต้องเป็นเสียงพยัญชนะสะกดใน
มาตรเดียวกัน
- สัมผัสใน คือ สัมผัสที่อยู่ในวรรคเดียวกัน มีทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสพยัญชนะ
- สัมผัสนอก คือ สัมผัสระหว่างคำ ที่อยู่ต่างวรรคกันเป็นสัมผัสบังคับของกลอน
- สัมผัสระหว่างบท คือ ถ้าแต่วงกลอนมากกว่า ๑ บท ต้องมีการส่งสัมผัสให้คำ
สุดท้ายของวรรคส่งในบทต่อไปสัมผัสคำสุดท้ายของวรรครับในบทถัดไปนอกจากนี้ยังมีการ
สัมผัสอื่นดังนี้
- สัมผัสซ้ำเสียง คือ รับส่งสัมผัสด้วยคำที่ออกเสียงเหมือนกัน
- สัมผัสเลือน คือ รับส่งด้วยเสียงสระสั้นยาวต่างกัน เช่น ส่งเสียง อาย รับด้วย
อัย
- ชิงสัมผัส คือ ใช้เสียงตรงกับคำที่ส่งสัมผัสก่อนตำแหน่งที่รับสัมผัสจริง
66
เสียงของคำท้ายวรรคของกลอนสุภาพ
เสียงของคำสุดท้ายในแต่ละวรรคของกลอนมีข้อกำหนดในเรื่องเสียงของวรรณยุกต์ เป็นตัว
กำหนดด้วยการกำหนดเรื่องเสียงนี้ ถือว่าเป็นข้อบังคับทาง ฉันทลักษณ์ อย่างหนึ่งของกลอน
แปด หรือกลอนสุภาพ อันมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้
- คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ (วรรคสดับ) วรรคต้น คำทุดท้ายใช้คำเสียงวรรณยุกต์
ใดก็ได้ คือ นอกจากเสียงสามัญ แต่ถ้าจะใช้ก็ไม่ห้าม
- คำสุดท้ายวรรคที่ ๒ (วรรครับ) คำสุดท้ายนิยมใช้เสียงจัตวา ห้ามใช้เสียง
โท,สามัญ,ตรี และวรรณยุกต์เอก ไม่มีรูป ไม่ห้าม แต่ต้องให้คำสุดท้ายของวรรคครองเป็นเสียง
ตรี
- คำสุดท้ายวรรคที่ ๓ (วรรครอง) คำสุดท้ายนิยมใช้เสียงสามัญ ห้ามใช้เสียง
จัตวาหรือคำที่มีรูปวรรคยุกต์
- คำสุดท้ายวรรคที่ ๔ (วรรคส่ง) คำสุดท้ายไม่นิยมใช้เสียงสามัญ ห้ามใช้คำตายและคำที่มี
รูปวรรณยุกต์ซึ่งอาจจะใช้คำตายเสียงตรีบ้างก็ได้
67
ตัวอย่าง
"ประเพณีส่งตายายตามสายน้ำ"
ประเพณี ส่งตายาย ข้ามสายน้ำ แรมหนึ่งค่ำ เดือนสิบ เยี่ยมลูกหลาน
จวบจนแรม ห้าค่ำ อันตรธาน ส่งตายาย กลับกาล สู่โลกันต์
แม้นใกล้ไกล กลับไป ประกอบกิจ รวมพี่น้อง ญาติมิตร จิตสังสรรค์
กตัญญู รู้คุณ หนุนชีวัน ตราบนิรันดร์ ผลบุญ หนุนนำตน
แบบฝึกเสริมทักษะ
69
คำถามประจำหน่วยการเรียนรู้
๑.เพราะเหตุใดจึงเรียกคำประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพว่ากลอนแปดหรือกลอนตลาด
๒.กลอนนิทาน กลอนเพลงยาว และกลอนนิราศมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
70
แบบฝึกเสริมทักษะ
คำชี้แจง ให้นักเรียนแต่งคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง กลอนสุภาพ ในหัวข้อของดีบ้านฉัน
จำนวน 6 บท
71
บรรณานุกรม
กำชัย ทองหล่อ. (2533).หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ: บำรุงสาสน์.
กระทรวงศึกษาธิการ.(2556).หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วิวิธภาษา
ม.2.พิมพ์ครั้งที่ 3 . กรุงเทพมหานครฯ:สกสค.
ฟองจันทร์ สุขยิง และคณะ.(2551).หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย หลักภาษา
และการใช้ ภาษาไทย กลุ่มการเรียนรู้ภาษาไทย ม.2.พิมพ์ครั้งที่ 14.กรุงเทพฯ:อักษรเจริญ
ทัศน์.
บทที่ ๕
วรรณกรรมล้ำค่า เสน่หาเมืองชุมพร
สาระวรรณคดีและวรรณกรรม
ตัวชี้วัด ท ๕.๑ ม ๒/๓ อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน
วัตถุประสงค์
๑. นักเรียนอธิบายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้
๒. นักเรียนสามารถวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้
๓. นักเรียนเห็นความสำคัญของการศึกษาวรรณคดีไทย
73
เดินทางโดยสวัสดิภาพ
เช้าวันที่สี่ ส้มจุกกับส้มใสทำสีหน้าละห้อยเพราะวันนี้จะต้องบอกลาคุณปู่และทุกคนที่
นี่แล้ว เนื่องจากพ่อกับแม่ต้องรีบกลับไปทำงาน สองพี่น้องเศร้าใจแต่ก็เข้าใจเหตุผล ไม่เอะอะ
โวยวายและไม่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เพราะพ่อเคยสอนไว้ว่า การปล่อยให้อารมณ์
ความรู้สึก ความต้องการมาควบคุมจิตใจและเป็นคนไม่มีเหตุผลนั้น ย่อมจะนำผลเสียมาให้
จะทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ รอบตัวดูแย่ลง และจะกลายเป็นเด็กไม่ดี ไม่น่ารัก เราทุกคนต้อง
ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาควบคุมพฤติกรรมของเราให้กลายเป็นคนก้าวร้าว ส้มจุกกับส้มใสจึง
เข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี พ่อกับแม่จะต้องรีบกลับไปทำงานหาเงินเพื่อนำเงินมาซื้อขนมให้ทั้งสอง
กิน เราทุกคนมีหน้าที่เป็นของตนเองกันทั้งนั้น พ่อกับแม่มีหน้าที่ทำงานและเลี้ยงดูส้มจุกกับ
ส้มใสให้ดี ส่วนตัวส้มจุกกับส้มใสเองก็มีหน้าที่ตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง เวลาว่างสองพี่น้องก็จะ
ได้กลับมาเยี่ยมคุณปู่สมพรอีก แต่ก่อนกลับวันนี้คุณปู่สมพรยังเล่าเรื่องประเพณีร้อยชั้น
(ปิ่นโต) กับวรรณกรรมไกรสิทธิ์ให้ทุกคนฟัง ไกด์ไก่กับเมืองไม้ก็ร่วมฟังและร่วมสนทนาด้วย
รวมถึงเจ้าด่างหมาไทยหลังอานก็มานอนกระดิกหางราวกับไม่อยากให้ส้มจุกกับส้มใสกลับ
บ้าน
คุณปู่สมพรเล่าว่าประเพณีร้อยชั้น (ปิ่นโต) พันใจ สานสายใยชุมชน อำเภอละแม เป็น
ประเพณีที่จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ภายงานมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย โดย
ชาวบ้านจะนำปิ่นโตไปวัดคนละ 1 เถา แต่งกายด้วยผ้าไทยพื้นบ้าน มีการละเล่นพื้นบ้าน เช่น
วิ่งกระสอบ แข่งขันขูดมะพร้าว แข่งขันว่าวไทยและอีกมากมาย มีการสาธิตการทำอาหารพื้น
บ้าน ทั้งยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นกันอย่างสนุกสนาน จัดขึ้นเพื่อส่งเสริม สนับสนุน
และอนุรักษ์ ฟื้นฟูประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างค่านิยมและจิตสำนึกความเป็นไทย
และส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความรัก และเอื้ออาทร มีความสามัคคีและอยู่ร่วมกันในสังคม
อย่างมีความสุข
74
ในส่วนของวรรณกรรมไกรสิทธิ์คุณปู่สมพรบอกว่า เป็นวรรณกรรมท้องถิ่นของจังหวัด
ชุมพร มีการจดบันทึกไว้ในสมุดข่อย โดยชาวบ้านเรียกว่าหนังสือบุด มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับกฎ
แห่งกรรม และสอนให้ผู้คนรู้จักการให้อภัย ไม่ผูกแค้นพยาบาท เป็นวรณกรรมประเภทจักร ๆ
วงศ์ ๆ ที่มีมาตั้งแต่สมัยรัตนกสินทร์ตอนต้น ชาวบ้านอ่านกันมาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน
มีเนื้อหาที่น่าสนใจและเป็นวรรณกรรมประจำท้องถิ่นชุมพรที่น่าภาคภูมิใจอีกด้วย
มาเที่ยวบ้านคุณปู่ในครั้งนี้ สองพี่น้องฝาแฝดได้รับความรู้กลับไปมากมาย ได้เรียนรู้ความ
เป็นมาของประเพณีวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น ได้ท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ มากมายจาก
คุณปู่และไกด์ไก่ รวมถึงเมืองไม้เด็กชายผู้ฉลาดเกินวัย สร้างความประทับใจให้แก่ส้มจุกกับส้ม
ใสเป็นอย่างมาก “หมดเวลาสนุกแล้วซี” ส้มใสบ่นกับเจ้าด่างด้วยความเศร้าใจเพราะยังไม่
อยากกลับบ้าน แต่อย่างไรก็ตามสองพี่น้องฝาแฝดก็ต้องกลับบ้านไปทำหน้าที่ของตนเอง ส้ม
จุกกับส้มใสกอดลาคุณปู่สมพรและกล่าวสวัสดีไกด์ไก่ “ไว้เจอกันใหม่นะเมืองไม้ ครั้งหน้าเธอ
ต้องพาพวกเราไปเที่ยวสถานที่ใหม่ ๆ อีกนะ” ส้มจุกกับส้มใสเดินทางกลับบ้านอย่างมีความ
สุข “ลาก่อนนะชุมพร ไว้เจอกันใหม่ปิดเทอมครั้งหน้า......”
กรุงเทพฯ
ชุมพร
"ประเพณีร้อยชั้น (ปิ่นโต)"
ประเพณีถิ่นใต้ ละแม บารนี
นำปิ่นโตไปแล ท่วมท้น
ทำบุญร่วมกันแจ ชุมพร พี่เอย
น้องพี่สุขมากล้น ถิ่นนี้แบ่งปัน
76
คุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม
ความหมาย
วรรณกรรม คือ ผลงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดและการใช้
ภาษาอย่างมีศิลปะ
วรรณคดี คือ ผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีศิลปะในการประพันธ์
ให้คุณค่าควรแก่การศึกษา มีการอ่านสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน
การวิเคราะห์ คือ การแยกแยะรายละเอียดองค์ประกอบต่างๆ ศึกษาภูมิหลังประวัติ
ที่มาของเรื่อง ประวัติผู้แต่ง เนื้อหา เรื่องราว การดำเนินเรื่อง ตลอดจนลักษณะนิสัยของ
ตัวละคร
การวิจารณ์ คือ การใช้เหตุผล อธิบายความรู้สึกของตนเพื่อวิจารณ์หรือแสดงความ
คิดเห็นตอกลวิธีการแต่ง การใช้ภาษารูปแบบคำประพันธ์ เนื้อหา แนวคิด แล้วพิจารณา
งานเขียนนั้น ทั้งที่นำเสนอโดยตรง ที่แฝงไว้ให้ตีความและศึกษาบริบทต่างๆ ของงานเขียน
นั้นๆ
77
ประเภทของวรรณคดีและวรรณกรรม
จิตต์นิภา ศรีไสยและคณะ (2559:6-7) กล่าวว่า วรรณคดีและวรรณกรรมที่บันทึกไว้
เป็นลายลักษณ์อักษรมีจำนวนมาก ซึ่งอาจแบ่งประเภท ตามจุดมุ่งหมายการแต่งและลักษณะ
เนื้อหาได้ ดังนี้
๑. วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ผู้แต่งจะนำาเรื่องราวจากคัมภีร์
ต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนามาแต่งเป็นวรรณคดีและวรรณกรรมซึ่งส่วนใหญ่จะมุ่งสั่งสอนให้
ประพฤติดี ละเว้นความชั่ว หรือสอนให้รู้จักบาปบุญ นรก สวรรค์ อบายภูมิ กฎแห่งกรรม
เช่น ไตรภูมิพระร่วง พระมาลัยคำาหลวง บางเรื่องเป็นการเล่าประวัติพระพุทธเจ้า เช่น มหา
ชาติคำาหลวง ร่ายยาว- มหาเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ พระปฐมสมโพธิกถา นอกจากนี้
ยังมีวรรณคดีและวรรณกรรมที่มีเนื้อหา จากนิทานชาดก ซึ่งให้คติสอนใจและแฝงธรรมะไว้
ด้วย เช่น สมุทรโฆษคำาฉันท์ จันทกินนรคำาฉันท์ พระสุธนคำาฉันท์ กากีคำากลอน
๒.วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเพณีและพิธีกรรม ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมาย
ที่จะบันทึกประเพณีต่าง ๆ ของไทยและพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เช่น ลิลิตโองการแช่งน้า มีเนื้อหา
เกี่ยวกับ การสาบานตนของข้าราชบริพารว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ กาพย์เห่เรือ มี
เนื้อหากล่าวถึง พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค พระราช
พิธีสิบสองเดือน มีเนื้อหา อธิบายประเพณีไทยในเดือนต่าง ๆ
๓. วรรณคดีและวรรณกรรมที่เป็นสุภาษิตคำาสอน ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายที่จะสั่งสอนให้
ข้อคิด หรือเสนอแนวทางการปฏิบัติตนในการดำาเนินชีวิต เช่น อิศรญาณภาษิต สุภาษิตสอน
หญิง สวัสดิรักษา
๔.วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายที่จะบัน
ทึก เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และสดุดีเกียรติของวีรบุรุษ วีรสตรี เช่น โคลงภาพพระราช
พงศาวดาร ลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตยวนพ่าย เฉลิมเกียรติกษัตรีคำาฉันท์ พงศาวดารจีน เช่น
สามก๊ก ไซ่ฮั่น พงศาวดารมอญเช่น ราชาธิราช
78
๕.วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดง ผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายจะให้เกิด
ความเพลิดเพลินและความจรรโลงใจ วรรณคดี และวรรณกรรมประเภทนี้จะนำามาแสดงเป็น
มหรสพ โขน ละคร หุ่นกระบอก หนังใหญ่ เช่น รามเกียรติ์ สำาหรับแสดงโขน พระอภัย
มณี สำาหรับแสดง หุ่นกระบอก อิเหนา อุณรุท สำาหรับแสดงละครใน คาวี มณีพิชัย ไชย
เชษฐ์ สังข์ทอง สำาหรับแสดง ละครนอก
๖.รรณคดีและวรรณกรรมที่บันทึกประสบการณ์และความรู้สึกระหว่างการเดินทาง
วรรณคดี และวรรณกรรมประเภทนี้มุ่งที่จะบันทึกเส้นทางการเดินทาง สิ่งที่ได้พบเห็นไม่ว่าจะ
เป็นธรรมชาติ หรือวิถีชีวิตของผู้คน และการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่ง
ระหว่างการเดินทาง เช่น นิราศนรินทร์ นิราศต่าง ๆ ของสุนทรภู่ นิราศลอนดอน ไกล
บ้าน
๗.วรรณคดีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปลุกใจให้รักชาติวรรณคดีและ
วรรณกรรม ประเภทนี้มีจุดมุ่งหมายจะให้เกิดความรักชาติ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เช่น
พระร่วง หัวใจนักรบ เลือดสุพรรณ
วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นบันทึกทางสังคมและสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ
คนในยุคนั้น ๆ ผ่านตัวละครที่สร้างตามจินตนาการของผู้แต่ง ไม่ว่าจะเป็นพระราชา สามัญ
ชน หญิง ชาย คนดี คนชั่ว ผู้อ่านจึงสามารถเรียนรู้สัจธรรมของชีวิตได้จากลักษณะนิสัย
ของตัวละครเหล่านั้น ได้ข้อคิด ในการดำาเนินชีวิต เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว รู้จักการ
ให้อภัยและเอาใจเขามาใส่ใจเรา ดังนั้น วรรณคดีและวรรณกรรมจึงให้ทั้งความเพลิดเพลิน
บันเทิงใจ และช่วยกล่อมเกลาจิตใจมนุษย์ ให้มีความดีงามอีกด้วย
79
ประเภทของคุณค่า
จิตต์นิภา ศรีไสยและคณะ (2559:8-15) กล่าวว่า การพิจารณาคุณค่าของวรรณคดีและ
วรรณกรรม เป็นการพิจารณาเพื่อให้เห็นความสำาคัญ และเกิดความซาบซึ้งในวรรณคดีและ
วรรณกรรมซึ่งสามารถพิจารณาได้หลายด้าน เช่น คุณค่าด้านเนื้อหา ที่ทำาให้ผู้อ่านได้รับความรู้
และเกิดอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ คุณค่าด้านแนวคิดที่สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมให้ผู้อ่านนำา
ไปประยุกต์ใช้ในการดำาเนินชีวิต คุณค่าด้านวรรณศิลป์ที่ทำาให้ผู้อ่านได้รับรสของภาษา และ
คุณค่าด้านสังคมที่ทำาให้ผู้อ่านเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมประเพณีของผู้คนในสังคมยุคนั้น
การพิจารณาคุณค่าแต่ละด้านมีรายละเอียด ดังนี้
๑.คุณค่าด้านเนื้อหาเนื้อหา หมายถึง ใจความของเรื่อง รายละเอียดที่ปรากฏอยู่ใน
เหตุการณ์ ต่าง ๆ ของวรรณคดีและวรรณกรรม เนื้อหาจึงประกอบด้วย ฉาก ตัวละคร เหตุการณ์
ต่าง ๆ บทสนทนา ของตัวละคร การพิจารณาคุณค่าด้านเนื้อหา จึงต้องพิจารณาองค์ประกอบ
เหล่านี้ว่ามีครบถ้วนหรือไม่ สมจริงอย่างไร มีเหตุผลเพียงใด มีคุณค่าต่อผู้อ่านอย่างไร ในด้าน
เนื้อหานอกจากเนื้อเรื่องสนุกสนาน แล้วยังต้องมีความไพเราะของคำาประพันธ์ด้วย เนื้อหาที่ดีจะ
ต้องอ่านแล้วประทับใจในแง่มุมใด แง่มุมหนึ่งที่ทำาให้วรรณคดีเรื่องนั้นเป็นอมตะ คือ ได้รับความ
นิยมและมีผู้ชื่นชอบมาตลอดจนถึงปัจจุบัน เช่น วรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีที่ยังมีผู้สนใจนำามา
ดัดแปลงเป็นการ์ตูน สร้างเป็นละครโทรทัศน์ และนำาไปสอดแทรกในนวนิยาย วรรณคดีบาง
เรื่องทำาให้ผู้อ่านรู้สึกอิ่มอารมณ์อิ่มใจเพราะมีเนื้อหา น่าประทับใจ เช่น กาพย์ห่อโคลงประพาส
ธารทองแดงมีเนื้อหาเล่าเรื่องการเดินทางไปพระพุทธบาท ในจังหวัดสระบุรี และชมธรรมชาติอัน
งดงามระหว่างทาง ชมสัตว์บกสัตว์น้า ชมนกชมไม้ คุณค่าด้านเนื้อหา จึงให้ความรู้เรื่องธรรมชาติ
อันเป็นลักษณะเด่นของวรรณคดีเรื่องนี้ การพิจารณาคุณค่าด้านเนื้อหา จะมุ่งไปพิจารณาองค์
ประกอบของเนื้อหาว่ามีคุณค่า หรือเป็นประโยชน์อย่างไร เช่น
ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า น้าพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย
เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ
อิศรญาณภาษิต : หม่อมเจ้าอิศรญาณ
80
อิศรญาณภาษิตชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ควรพึ่งพาซึ่งกันและกันเพราะไม่อาจอยู่คนเดียวใน
โลกได้ การเห็นอกเห็นใจ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นสิ่งดีที่ควรมีให้กัน การอ่านวรรณคดี
และวรรณกรรมนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังทำาให้เกิดความเพลิดเพลิน บันเทิงใจ วรรณคดี
และวรรณกรรมบางเรื่อง เช่น พระอภัยมณี มีตัวละครทั้งฤๅษี ผีเสื้อสมุทร ชีเปลือย ม้านิล
มังกร นางเงือก มีฉากทั้งในน้าและบนบก มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน ตื่นเต้นโลดโผน และมีข้อคิด
เตือนใจอีกด้วย หรือรามเกียรติ์มีตัวละครทั้งมนุษย์ ยักษ์ ลิง เทวดา มีการเหาะเหิน และ
อภินิหารต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะทำาให้ผู้อ่านวรรณคดีและวรรณกรรมเพลิดเพลินใจ
นอกจากนี้ เนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่ดีจะต้องก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ
อย่างใด อย่างหนึ่งแก่ผู้อ่านหรือผู้ฟัง หากกวีถ่ายทอดจินตนาการออกมาเป็นถ้อยคำาจนสา
มารถทำาให้ผู้อ่าน หรือผู้ฟังรู้สึกสะเทือนใจ ซาบซึ้ง และจดจำาถ้อยคำาเหล่านั้นได้ แสดงว่า
กวีมีความสามารถถ่ายทอดอารมณ์ สะเทือนใจได้อย่างมีศิลปะ ยิ่งถ้าสามารถเร้าอารมณ์ด้วย
ถ้อยคำาให้เกิดความสะเทือนใจให้แก่มวลชน ได้มากและยาวนานก็ได้ชื่อว่าเป็นผลงานอมตะ
อารมณ์สะเทือนใจนี้อาจจะเป็นความโศกเศร้า ความขบขัน ความรัก ความสนุกสนานเบิก
บานใจ เป็นต้น
เนื้อหาที่ทำาให้เกิดอารมณ์ขัน เช่น
สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลำาคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม มันน่าเชยน่าชมนางเทวี
ระเด่นลันได : พระมหามนตรี (ทรัพย์)
81
๒.คุณค่าด้านแนวคิด ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน แนวคิด หมายถึง
ความคิด ที่มีแนวทางปฏิบัติ แนวคิดทางวรรณคดีและวรรณกรรมจึงหมายถึง สารหรือความ
คิดสำคัญ ที่ผู้เขียนต้องการสื่อมาให้ผู้อ่านเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ อาจจะสื่อผ่านพฤติกรรมตัว
ละคร เนื้อหา หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยให้ผู้อ่านพิจารณาเรื่องทั้งหมด แล้วสรุปออกมาเป็น
แนวคิดสำคัญ เช่น กลอนดอกสร้อยรำาพึงในป่าช้ามีแนวคิดสำคัญของเรื่อง คือ ความไม่
แน่นอนของชีวิต มนุษย์ไม่อาจ หลีกหนีความตายไปได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ดัง
บทกลอนต่อไปนี้
ซากเอ๋ยซากศพ อาจเป็นซากนักรบผู้กล้าหาญ
เช่นชาวบ้านบางระจันขันรำาบาญ กับหมู่ม่านมาประทุษอยุธยา
ไม่เช่นนั้นท่านกวีเช่นศรีปราชญ์ นอนอนาถเล่ห์ใบ้ไร้ภาษา
หรือผู้กู้บ้านเมืองเรืองปัญญา อาจจะมานอนจมถมดินเอย
กลอนดอกสร้อยรำาพึงในป่าช้า : พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม
กาญจนาชีวะ)
นอกจากนี้ ในวรรณคดีและวรรณกรรมที่มีเรื่องขนาดยาวอาจมีสารที่แสดงแนวคิด
หลัก และแนวคิดรองได้ แนวคิดหลัก หมายถึง การพิจารณาสาระสำคัญที่ผู้เขียนสื่อมาถึงผู้
อ่าน หรือความคิดสำคัญของเนื้อเรื่องโดยรวม ส่วนแนวคิดรอง หมายถึง การพิจารณา
แนวคิดสำคัญเฉพาะ ตอนใดตอนหนึ่งของเรื่อง ซึ่งวรรณคดีและวรรณกรรมแต่ละเรื่องอาจใช้
แนวคิดรองประกอบกับแนวคิดหลักได้
82
การสอนเกี่ยวกับความรัก วรรณคดีและวรรณกรรมหลายเรื่องสอดแทรกแนวคิดเกี่ยว
กับความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรัก ของแม่ เช่น พระนางมัทรีจากมหาเวสสันดรชาดก ความรัก
ชาติ เช่น เลือดสุพรรณ รามเกียรติ์ ลิลิตตะเลงพ่าย หรือแม้แต่ความเจ็บปวดอันเนื่องมาจาก
ความรัก เช่น มัทนะพาธา ล้วนจรรโลงใจ ให้ผู้อ่านได้แนวคิดเกี่ยวกับความรักในแง่มุมต่าง ๆ
เช่น
ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำาลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำาลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิดถึงเจ็บกาย
มัทนะพาธา : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
วรรณคดีและวรรณกรรมที่ดีมักจะให้แนวคิดที่ส่งเสริมคุณธรรมแก่ผู้อ่าน ให้ข้อคิดสอน
ใจ เสนอแนวทางการดำาเนินชีวิตอย่างมีความสุข โดยอาจสะท้อนจากการกระทำาของตัว
ละครทั้งด้านดีและ ด้านไม่ดี หรือให้ผู้อ่านตัดสินใจเองว่าควรจะทำาเช่นใด จึงจะถูกต้องและ
ประสบความสำาเร็จ เช่น เรื่องรามเกียรติ์เสนอแนวคิดหลักคือธรรมะย่อมชนะอธรรม
ไตรภูมิพระร่วงให้แนวคิดเกี่ยวกับ การทำความดีละเว้นความชั่ว ซึ่งผู้แต่งมักจะแฝงคำาสอน
ต่าง ๆ ไว้ในคำาพูดของตัวละครด้วยเสมอ ดังตัวอย่าง การสอนเกี่ยวกับการดำาเนินชีวิต
วรรณคดีที่สะท้อนแนวคิดในด้านการดำาเนินชีวิต เช่น โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ พระราช-
นิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ข้อคิดเรื่อง การคิดก่อนพูด การไม่
นินทาว่าร้าย การฟังความก่อนตัดสิน หรือการงดพูดในเวลาโกรธ หากนำาไปปฏิบัติแล้วจะ
เป็นผลดีต่อชีวิต และผู้ประพฤติจะไม่มีคำาว่าเสียใจ ซึ่งเป็นความจริงในการดำาเนินชีวิต
83
๓.คุณค่าด้านวรรณศิลป์วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการประพันธ์หนังสือ ให้เกิด
อารมณ์สะเทือนใจ โดยมากมักเน้นพิจารณาเรื่องการแสดงออกโดยใช้ถ้อยคำาที่มีสำนวน
โวหารไพเราะ มีลักษณะเด่นในเชิงการประพันธ์ สามารถถ่ายทอดความคิดความรู้สึกของกวี
ได้จับใจผู้อ่านและผู้ฟัง ให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามไปกับกวีด้วย การพิจารณาคุณค่าด้าน
วรรณศิลป์ มีดังนี้
๓.๑ภาพพจน์ หมายถึง การใช้ถ้อยคำาที่ทำาให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเกิดภาพขึ้นใน
ใจ ซึ่งกวีสามารถ เขียนเพื่อให้เกิดภาพพจน์ด้วยวิธีต่าง ๆ กัน เช่น
๑) อุปมาเป็นการใช้ถ้อยคำาเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่ง
หนึ่ง มักมีคำา ให้สังเกตคือ ดั่ง ราว เหมือน เสมือน ดุจ ประหนึ่ง เพี้ยง เช่น
จนผมโกร๋นโล้นเกลี้ยงถึงเพียงหู ดูเงาในน้าแล้วร้องไห้
ฮึดฮัดขัดแค้นแน่นใจ ตาแดงดั่งแสงไฟฟ้า
รามเกียรติ์ : พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เล่าปี่นั้นเป็นคนมีสติปัญญา ถ้าละไว้ช้าก็จะมีกำาลังมากขึ้น อุปมาเหมือนลูกนกอันขน
ปีก ยังไม่ขึ้นพร้อม แม้เราจะนิ่งไว้ให้อยู่ในรังฉะนี้ ถ้าขนขึ้นพร้อมแล้วก็จะบินไปทางไกลได้ ซึ่ง
จะ จับตัวนั้นเห็นจะได้ความขัดสน อ้วนเสี้ยวนั้นมีทหารมากก็จริง แต่สติปัญญาน้อย ถึงจะคิด
ประการใดเราก็ไม่กลัว
สามก๊ก : เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
๒) อุปลักษณ์เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง มักมีคำา
ว่า คือ เป็น บางครั้งการใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ไม่ปรากฏคำาเปรียบเทียบแต่พอจะทราบ
ได้ว่า เป็นการเปรียบเทียบแบบอุปลักษณ์ เช่น
แม่แก้วกัณหาของแม่เอ๋ย เปรียบกัณหา เป็น แก้ว
เจ้าดวงมณฑาทองทั้งคู่ของแม่เอ๋ย เปรียบกัณหาชาลี เป็น ดวงมณฑาทอง
84
๓) บุคลาธิษฐานหรือบุคคลวัตหมายถึง การสมมุติให้สิ่งมีชีวิต
เช่น พืช สัตว์ และสิ่งไม่มีชีวิต เช่น แสงแดด สายลม สิ่งของ ทำากิริยาหรือมีความรู้สึก
นึกคิดอย่างมนุษย์ เช่น
อิฐหินปูนร่าไห้ พระจันทร์ยิ้ม ทะเลไม่เคยหลับใหล น้ากระซิบสาด คลื่นลมเห่จูบหิน
ทะเลสะอื้น พระอาทิตย์หัวเราะ หรือให้สัตว์ต่าง ๆ เจรจาโต้ตอบกัน โดยในชีวิตจริงสัตว์
เหล่านั้นพูดไม่ได้ แต่มาใช้ คำาพูดเหมือนมนุษย์ เช่น นิทานอีสปมีกระต่ายกับเต่าพูดคุยกัน
๔) สัทพจน์หมายถึง คำาเลียนเสียงธรรมชาติ ฝน ฟ้า ลม เสียง
สัตว์ร้อง เสียงใบไม้ เสียดสีกัน เสียงระฆังดัง แล้วนำาถ้อยคำาเหล่านั้นมาใช้ทำาให้เกิด
ภาพพจน์ได้ง่ายขึ้น เช่น
วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่ง!ย่าค่าระฆังขาน ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล
ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ
ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล
กลอนดอกสร้อยรำาพึงในป่าช้า : พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
๓.๒การใช้คำาถามเชิงวาทศิลป์ คือ การใช้ถ้อยคำาเป็นคำาถามที่ไม่ต้องการคำา
ตอบ แต่ต้องการ เน้นให้คิดหรือยอมรับความจริง
๓.๓การเล่นคำาหมายถึง การนำาถ้อยคำามาเล่นพลิกแพลงให้เกิดความหมาย
พิเศษ เกิดภาพ เกิดเสียงไพเราะ เป็นวิธีการที่นิยมใช้ในวรรณคดี เพื่อให้เกิดศิลปะในการใช้
ถ้อยคำา มีทั้งเล่นคำาพ้องรูป คำาพ้องเสียง คำาหลากความหมาย การซ้ำคำ เป็นต้น
๓.๔การเล่นเสียงหมายถึง การนำาเสียงสัมผัสพยัญชนะ สัมผัสสระ และเสียงวรรณยุกต์ มา
เล่นเพื่อให้เกิดความไพเราะ และแสดงความสามารถของกวี
85
๔.คุณค่าด้านสังคม คือ ภาพสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่สะท้อนมาจากวรรณคดี
และวรรณกรรมโดยกวีนิยมแทรกไว้ในเนื้อเรื่อง เช่น ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม ความเป็น
อยู่ การประกอบอาชีพ วรรณคดีและวรรณกรรมจึงเป็นเสมือนกระจกสะท้อนสภาพสังคมใน
แต่ละยุคสมัย ซึ่งเป็นหลักฐานที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตแก่คนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี ตัวอย่าง
คุณค่าด้านสังคมที่ปรากฏในเสภาเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน
ครั้นรุ่งเช้าขึ้นพลันเป็นวันดี ทองประศรีจัดเรือกัญญาใหญ่
เอาขันหมากลงบรรทุกขลุกขลุ่ยไป หามโหรีใส่ท้ายกัญญา
ขันหมากเอกเลือกเอาที่รูปสวย นุ่งยกห่มผวยจับผิวหน้า
ก็ออกเรือด้วยพลันทันเวลา ครู่หนึ่งถึงท่าศรีประจัน
จึ่งจอดเรือเข้าหน้าสะพานใหญ่ ตาผลวิ่งไปเอาไม้กั้น
เสียเงินทองให้ขึ้นไปพลัน ขนขันหมากขึ้นบนบันได
ยายเป้าเถ้าแก่อยู่ที่บ้าน ก็นับขานเงินตราแลผ้าไหว้
ครบจำนวนถ้วนที่สัญญาไว้ ให้ขนเข้าไปในเรือนพลัน
แถมพกยกของมาเลี้ยงดู ครั้นกินอยู่อิ่มดีขมีขมัน
ก็กลับเรือมาพร้อมหน้ากัน ถึงพลันจอดท่าพากันไป
เสภาเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ตอน พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม : พระบาท
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เนื้อเรื่องขุนช้าง-ขุนแผนในตอนนี้กล่าวถึงการจัดขบวนขันหมากซึ่งแห่ไปทางเรือ และ
พิธีสู่ขอ ตามประเพณีไทยของชาวบ้านในสมัยนั้น เมื่อผู้อ่านวรรณคดีได้ศึกษาก็จะเกิดความ
เข้าใจสภาพสังคม วิถีชีวิต และประเพณีของคนไทย
แบบฝึกเสริมทักษะ
แบบฝึกเสริมทักษะ 87
คำชี้แจง ให้นักเรียนวิเคราะห์คุณค่าในวรรณกรรมท้องถิ่นของจังหวัดชุมพร เรื่อง ไกร
สิทธิ์ จากเรื่องย่อที่กำหนดให้
วรรรกรรมท้องถิ่นชุมพร เรื่อง "ไกรสิทธิ์"
ณ เมืองมุขพิมานมีท้าวโกศานเป็นผู้ปกครอง มเหสีชื่อนางอินทร์สุริยา บุตรสามคน
คือโกสินทร์ นรินทร์ และไกรสรสุริยา โกสินทร์และนรินทร์เป็นฝาแฝดชาย ถูกพลัดพรากจาก
เมืองไปอาศัยยู่กับฤๅษีตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งเติบโตได้ออกจากอาศรมฤๅษีกลับบ้านเมือง และ
ฤๅษีได้มอบหญิงสาวให้กับโกสินทร์ ชื่อนางวิมาลา ฝ่ายนางไกรสรสุริยาเมื่อเติบโตเกิดโดนยักษ์
กุมภัณฑ์ลักพาตัวนำไปเป็นเมีย โกสินทร์และนรินทร์ได้กลับมาถึงบ้านเมืองมุขพิมาน ท้าวโกศ
านได้ทำพิธีรับขวัญ ต้อนรับ ทำการยกเมืองให้โกสินทร์ครอบครอง ส่วนนางอินทร์สุริยาได้
พบเห็นนางวิมาลาทุกวันจึงเกิดคิดถึงนางไกรสรสุริยา ทำให้โกสินทร์และนรินทร์อาสาไปตาม
หา ระหว่างที่เดินทางทั้งสองได้เจอเมืองร้าง พบกลองใบใหญ่มีเสียงร้องออกมาจากกลอง
ฝ่ายนรินทร์จึงใช้อาวุธวิเศษฟันกลอง พบเจอกับหญิงสาว คือนางวรดี นางได้เล่าเรื่องราวของ
เมือง ว่ามีกบยักษ์มาอาละวาดกินคนจนหมดเมือง ทำให้โกสินทร์และนรินทร์ไปปราบกบยักษ์
และทำการชุบชีวิตคนทั้งเมืองขึ้นมา เจ้าเมืองจึงยกเมืองและบุตรสาวให้กับนรินทร์ แต่นรินทร์
ขอออกเดินทางไปตามหานางไกรสรสุริยาก่อน ไม่นานทั้งสองจึงเดินทางไปถึงเมืองยักษ์
กุมภัณฑ์ เกิดการต่อสู้จนยักษ์กุมภัณฑ์เสียชีวิตและนางไกรสรสุริยากลับบ้านเมือง
88
ฝ่ายท้าวโกสินทร์กับนางวิมาลาได้มีโอรสชื่อ สินธุมาลา ส่วนนรินทร์กับวรดีมีธิดาชื่อ
วรจันทร์ นางไกรสรสุริยาคลอดบุตรที่ได้ตั้งท้องกับยักษ์กุมภัณฑ์ โกสินทร์โกรธมาก และเกรง
ว่าจะมาแย่งชิงสมบัติ จึงกำจัดกุมารน้อย โดยให้นำพาไปลอยน้ำ ฝ่ายพระอินทร์ทราบเรื่องจึง
เกิดความสงสาร โดยให้พระวิษณุแปลงร่างเป็นปลาว่ายน้ำนำไปปล่อยไว้ที่เกาะแก้ว ซึ่งเป็นที่
พำนักของพญากระบี่ป่า เมื่อพญากระบี่ป่าพบเข้าจึงไปปรึกษากับพญากุมภีล์แล้วนำไปฝาก
ฤๅษีนาคาเลี้ยงไว้ และได้ชื่อว่า ไกรสิทธิ์ เมื่อไกรสิทธิ์เติบโตได้ทราบเรื่องจากพญากระบี่ป่าจึง
ตัดสินใจออกตามหามารดา ฤๅษีนาคาและพระอินทร์ได้มอบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กับไกรสิทธิ์
มากมาย ฤๅษีนาคาได้บอกไกรสิทธิ์ว่าเนื้อคู่ชื่อ รัตนมานี เป็นธิดาเมืองยักษ์ มีอาซึ่งเป็นยักษ์ ๗
ตนคอยดูแล นางรัตนมานีพำนักอยู่ในปราสาทมีกำแพงใหญ่ล้อมรอบ ๗ ชั้น
ฝ่ายไกรสิทธิ์เดินทาง ๗ วัน ๗ คืน ก็มาถึงเมืองอินทปักโข ซึ่งเป็นเมืองของนางรัตน
มานี ไกรสิทธิ์ลอบเข้าไปในปราสาทและได้นางรัตนมานีเป็นคู่ครอง ฝ่ายยักษ์ทราบเรื่องเกิด
การต่อสู้กับไกรสิทธิ์เป็นเวลานาน จนในที่สุดไกรสิทธิ์ได้รับชัยชนะ ทั้งหมดได้ออกเดินทางต่อ
จนไปถึงเมืองของนรินทร์กับนางวรดี ขอเข้าเฝ้าและเล่าเรื่องราวของตนให้นรินทร์ฟังว่าตน
เป็นหลาน ทำการเดินทางไปพบมารดากับแก้แค้นลุง นรินทร์ได้ขอร้องให้ไกรสิทธิ์ให้อภัย อย่า
ผูกพยาบาทจองเวรกัน และตนจะเขียนสาส์นถึงท้าวโกสินทร์ ให้ขอโทษไกรสิทธิ์และยกเมือง
ให้ หลังจากนี้ทั้งหมดได้ออกเดินทางไปยังเมืองมุขพิมาน ท้าวโกสินทร์ได้รับสาส์นเกิดความ
กลัวว่าไกรสิทธิ์จะมาแย่งสมบัติ จึงให้สินธุมาลาจัดทัพมาสู้รบกับไกรสิทธิ์ ฝ่ายไกรสิทธิ์ไม่ยอม
ทำสงครามจึงบอกให้สินธุมาลาไปบอกให้โกสินทร์ออกมาสู้รบ ท้าวโกสินทร์กลัวพ่ายแพ้ จึง
เขียนสาส์นส่งไปให้นรินทร์ เมื่อนรินทร์ได้รับสาส์นจึงรีบเดินทางมาหย่าศึก และบอกให้
โกสินทร์ยอมขอโทษไกรสิทธิ์ มอบเมืองคืนให้ไกรสิทธิ์ และขอให้ไกรสิทธิ์อโหสิกรรมให้ ใน
ที่สุดทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดี ไกรสิทธิ์ก็ได้พบกับมารดา และปกครองเมืองอยู่อย่างร่มเย็น
เป็นสุข
89
วิเคราะห์คุณค่า จากวรรณกรรมท้องถิ่นจังหวัดชุมพร