The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aumhero, 2020-10-29 00:28:14

ไม้สะเดา2562

ไม้สะเดา







Azadirachta indica A. Juss. var siamensis Valeton















































ศูนย์วนวัฒนวิจัยภาคเหนือ



ส านักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้





2562

1




บทน า





ื้
ไม้สะเดามีชอสามัญที่เรยกกันทั่วไปหรอชอพนเมืองว่า Neem, Nim, Margosa, Yepa,
ื่
ื่


Tamaka ส าหรบชอท้องถิ่นในเมืองไทยเรยกแตกตางกันไปคือ กะเดา, เดา (ภาคใต) กาเดา
ื่





(นครพนม) จะตง (สวย) สะเลียม (ภาคเหนือ) เรยกชื่อทางการค้าว่า Neem Tree (สมาคมป่าไม้
แห่งประเทศไทย, 2526) มีชอวิทยาศาสตรว่า Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis

ื่
Valeton อยในวงศ MELIACEAE ไม้สะเดาจะพบขึ้นในป่าแล้งทั่วไปในประเทศอินเดีย ปากีสถาน
ู่


ศรีลงกา มาเลเซีย อินโดนเซีย ไทย ลาว และพม่า ประเทศแถบอาฟรกาได้มีการนาไม้สะเดาเข้า






ื้
ไปปลูกเป็นสวนป่าตามบรเวณพนที่แห้งแล้งอยางกว้างขวาง เชน ซูดาน มาลาวี ซิมบับเว





แทนซาเนย แซนซิบา ไนจีเรย และกานา เป็นตน สะเดาเป็นพนธุ์ไม้ที่นาสนใจและมีประโยชน ์

หลายประการ ขึ้นได้ดีในแถบแห้งแล้งทั่วไปโดยไม่เลือกดิน เรือนยอดเป็นพุ่มหนาทึบตลอดปี ให้


ั่
ร่มเงาดี มีระบบรากหยงลก ชอบแสง มีช่วงล าต้นสั้น เรอนยอดแผ่กว้างรูปไข่ ในบริเวณพื้นที่ที่มี
ความแห้งแล้งจัด สะเดาจะทิ้งใบที่อยู่เฉพาะส่วนล่างๆ ประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม


และใบใหม่จะผลิขึ้นมาอยางรวดเรวในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ชวงนสะเดาจะแทงยอดอ่อน
ี้




พุ่งขึนไปอยางรวดเร็วและจะออกดอกระหว่างเดือนธันวาคมถึงมีนาคมเป็นชอโตตามง่ามใบตอน

ปลายกิ่ง สามารถใชเหง้าปลูกได้ ทนไฟ แตกหนอได้ดี สัตว์เลียงไม่กิน ปัญหาเกี่ยวกับโรคและ




แมลงท าอันตรายมีนอย ใบและดอกสามารถใชเป็นอาหารคน เนื้อไม้เหมาะส าหรบใชในการ





ก่อสรางและใชท าเชื้อเพลิง นอกจากนยงมีประโยชนอื่นๆ อีกมากมาย เชน สกัดท านามัน



ี้



เชื้อเพลิงจุดตะเกียง นามันหล่อลืนเครืองยนต น้ ามันที่ไดจากสะเดานิยมใช้ในการท าสบู่ ผสมยา



รักษาโรคและเครื่องส าอาง ใชเป็นสารป้องกันก าจัดศตรูพช เปลือกสะเดาให้สีแดงใช้ในการย้อม


ผ้า เป็นต้น


คณะผู้จัดท าไดรวบรวมรวมองค์ความรู้และผลงานวิจัยด้านตางๆ ของไม้สะเดา เพื่อให้

ผู้ที่สนใจไดน าไปศึกษาและใช้ประโยชน์ต่อไป

คณะผู้จัดท า
มกราคม 2562

2




ไม้สะเดา




ชื่อพื้นเมือง (Common name) เดา กะเดา (ภาคใต้) จะตัง (ส่วน)

กาเดา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

สะเดา สะเดาบ้าน (ภาคกลาง ทั่วไป)

สะเลียม (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name) Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis
Valeton

ชื่อวงศ์ (Family) MELIACEAE

ชื่อทางการค้า (Trade name) Holy tree, Pride of China, Neem Tree



ลักษณะทั่วไป



ไม้สะเดาเป็นไม้ผลัดใบยนตนขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงถึง 25 เมตร ใบ สีเขียวเข้ม

หนาทึบ ใบอ่อนที่แตกใหม่ๆ อาจจะเป็นสีม่วงปนแดง แล้วค่อยๆ เปลียนเป็นสีเขียว เป็นใบ







ประกอบแบบขนนก ใบเรยงตวแบบสลับ ใบยอยเรยงตวแบบตรงกันข้าม ใบยอย 4-6 คู่ กว้าง


2-2.5 เซนตเมตร ยาว 6-8 เซนตเมตร ใบมักจะโค้ง ฐานใบไม่สมมาตร ขอบใบหยกเล็กนอย


ี้
หรือเรยบ ใบแก่เรียบเกลยงด้านบนเป็นมัน ก้านใบประกอบยาว 30-40 เซนติเมตร ดอก ขนาด

ุ่
 0.5 เซนติเมตร สีขาวหรือเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่อดอกออกเป็นกลมตามง่ามใบตอน



ปลายๆ กิ่ง กลีบเลียงกลม 5-6 พ กลบดอกแคบ 5-6 กลีบ หลอดเกสรตวผู้รปทรงกระบอก มี






อับเรณู 10 อัน ด้านนอกเรยบ ด้านในมีขน ก้านเกสรตวเมียยาวปลายแยกเป็น 3-6 พ รงไข่มี
หมอนรองดอกรปถ้วย ออกดอกระหว่างเดือนธันวาคมถึงมีนาคม หลังจากผสมเกสรแล้วจะ

พฒนาฐานดอกเป็นผล ผล กลมรๆ คล้ายผลองุ่นมีขนาดยาว 1-2 เซนตเมตร และกว้าง



ประมาณ 1 เซนติเมตร อวบน้ า ห่อหุ้มด้วยเนื้อเยื่อที่นุ่ม มีรสหวานเล็กน้อย ท าให้นกและค้างคาว
ชอบกิน ผลมีสีเขียวเมื่อยังอ่อนกรีดดูมียางขาวๆ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อสุกหรือแก่จัด
ในเดือนเมษายน จ านวนเมล็ดในผลนนถ้าเป็นสะเดาอินเดีย (A. indica) ในแตละผลจะมีเมล็ด
ั้

เดียว ส่วนสะเดาไทย (A. indica var. siamensis) จะมี 1-3 เมล็ด ผลจะสุกระหว่างเดือนมีนาคม
ถึงมิถุนายนแล้วแตสภาพท้องที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอจะแก่เรวกว่าภาคกลาง ที่จังหวัด



ิ่
ก าแพงเพชร ไม้สะเดาเรมติดผลในเดือนมกราคม ผลแก่ในเดือนมีนาคมถึงเมษายน และผลแก่จะ
รวงในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม (สุขสันต, 2540) เมล็ด มีลักษณะกลมร ผิวค่อนข้างเรยบ






หรอแตกเป็นรองเล็กๆ ตามยาว สีเหลืองซีดหรอสีนาตาลโตประมาณ 0.5–1.5 เซนตเมตร




3





เปลือกต้นค่อนข้างหนา สีน้ าตาลเทา หรือเทาปนด า แตกเป็นร่องตื้นหรอเป็นสะเก็ดยาวๆ เยื้อง


สลับกันไปตามความยาวของล าตน ยอดอ่อนจะมีเปลือกสีเขียวค่อนข้างเรยบ เปลือกของกิ่ง
ค่อนข้างเรียบ แก่นไม้สีน้ าตาลแดง มีความแข็งแรงและทนทานมาก (ไซมอน และคณะ, 2543)

ไม้สะเดา ในท้องที่จังหวัดกาญจนบุรมีชวงออกดอกและชวงดอกบานสูงสุด (peak


ู่

flowering and anthesis period) อยในเดือนกุมภาพนธ์ ลักษณะชอดอกแบบ compound panicle



มีจ านวนดอกยอย 680–840 (เฉลีย 817.5 ดอก) ดอกมีลักษณะแบบ Protandry ดอกเป็นดอก


สมบูรณ์เพศ (complete flowers) ประกอบด้วยกลีบเลียง (sepal) และกลบดอก (petal) อยางละ



ั้
5 กลีบ เกสรตวผู้ (stamen) เรยงล้อมรอบเกสรตวเมีย (pistil) โดยปกตดอกเรมบานตงแตเวลา

ิ่



ประมาณ 17.00–18.00 น. และบานเตมที่ (anthesis) ในชวงเวลา 20.00–21.00 น. ในแตละชอ




ดอก ดอกยอยจะทยอยบานเรอยๆ ในแตละวันจนกระทั่งถึงดอกสุดท้ายใชเวลาประมาณ 2–3
ื่


สัปดาห์ ภายในดอกเดียวกันความพร้อมการผสมเกสรของเกสรตวผู้ (ระยะที่อับละอองเรณูแตก)


เกิดขึ้นก่อนเกสรตวเมีย (ระยะที่พบสารของเหลวบนยอดเกสรตวเมีย) ประมาณ 2-3 ชวโมง
ั่

ู่
ส่วนยอดเกสรตวเมีย (stigma) อยในต าแหนงต่ ากว่าส่วนปลายของอับละอองเรณูเพยงเล็กนอย





ั้
เท่านน ซึ่งลักษณะดังกล่าวมีส่วนส่งเสรมการผสมเกสรภายในดอกเดียวกัน (self–pollination)

การควบคุมการผสมเกสร (controlled–pollination) พบว่า ดัชนความล้มเหลวจากการผสมพนธุ์


ภายในตนเดียวกัน (index of self–incompatibility, ISI) ของไม้สะเดาไทยมีค่าเท่ากับ 0.13 จัดอย ู่
ในกลุ่มที่มีระบบผสมพนธุ์แบบ mostly self–incompatibility (ISI< 0.2) กล่าวคือ ไม้สะเดาไทยมี

ระบบการผสมพนธุ์โดยหลักเป็นแบบผสมข้าม (outcrossing) แต่การผสมพนธุ์ภายในตนเดียวกัน



(selfing) สามารถเกิดขึ้นได ลักษณะดังกล่าวสอดคล้องกับค่าอัตราส่วนระหว่างละอองเรณู (P)

ตอจ านวนไขอ่อน (O) (P/O ratio) ของดอกซึ่งมีค่าเฉลียเท่ากับ 537.3 บ่งบอกถึงลักษณะระบบ



ผสมพันธุ์แบบ facultative xenogamy (ประเสริฐ และคณะ, 2543)
การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ไม้สะเดา มีถิ่นก าเนิดทางใต้และตะวันออกเฉียงใตของทวีปเอเชีย พบขึ้นในป่าแล้งทั่วไป


ในประเทศอินเดีย ปากีสถาน ศรลังกา มาเลเซีย อินโดนเซีย ไทย ลาว และพม่า และยงพบใน





แถบประเทศ อาฟรกา เอเชย ลาตนอเมรกา และในหมู่เกาะคารเบียน รวมทั้งประเทศ


สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย (บุญฤทธิ์ และคณะ, 2536 ; Chowdhry and Emwanual, 1995)
ในสภาพธรรมชาติไม้สะเดาสามารถเจรญงอกงามในท้องถิ่นที่มีอากาศร้อนชื้น ซึ่งมีอุณหภูมิสูง

0
ถึง 44 C ส าหรบในแถบแห้งแล้งที่มีปรมาณนาฝนนอยกว่า 130 มิลลิเมตร/ปี ตนสะเดาไม่






สามารถขึ้นได

4




ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม


การปลูกไม้สะเดาจะต้องค านึงถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมดังต่อไปนี้ (สมยศ, 2536)

ื้




1. ดิน สะเดาสามารถขึ้นไดในพนที่หลายประเภท แตที่ส าคัญที่สุดจะตองไม่เป็นที่นา


ท่วมขัง หรอมีปรมาณนาฝนมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นดินรวนปนทราย ดินรวนปนดินเหนยวดิน








ลูกรง หรอดินทรายจัด สะเดาก็ขึ้นได้ แตจะตองระบายนาได้ดีหรอแม้แตดินตื้นๆ ที่มีหินโผล่



ประปราย ก็สามารถปลูกสะเดาได้ทั้งในดินเป็นกรดอ่อนๆ (pH ไม่ต่ ากว่า 6) หรือดินด่าง (pH ไม่
ควรเกิน 7.5)
2. น้ าฝน สะเดาชอบขึ้นในที่แห้งแล้งที่มีปรมาณน้ าฝนตั้งแต่ 700 มิลลิเมตรต่อปี ขึ้นไป



แตไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิเมตรตอปี มิฉะนนแล้วสะเดาจะเตบโตได้ไม่ดี แม้ว่ามาเลเซียหรอ

ั้





ื่

อินโดนเซีย จะนาสะเดาเข้าไปปลูกได แตผลที่ได้ไม่นาพอใจนกเนองจากสะเดาไม่ชอบความชื้น

มากๆ สะเดาสามารถเติบโตได้ในช่วงแห้งแล้งติดต่อกันนาน 7-8 เดือน
3. ระดับความสูงจากน้ าทะเล พบเห็นสะเดาขึ้นไดตั้งแต่ความสูง 50 เมตรขึ้นไปจนถึง



ุ่
1,500 เมตร จากระดับนาทะเล แตบนที่สูงสะเดาจะแตกกิ่งก้านเป็นพมมากและค่อนข้าง
แคระแกรน

4. อุณหภูมิ สะเดาทนแล้งได้ดี จึงสามารถทนทานต่ออุณหภูมิสูงๆ ได้ถึง 44-45 องศา
เซลเซียส


5. แสง แม้ว่าสะเดาจะงอกขึ้นภายใตรมเงาไม้อื่นได้ แตะสะเดาเป็นพนธุ์ไม้ที่ตองการ



แสงมาก ควรปลูกในที่โล่งแจ้ง ได้รับแสงแดดโดยตรง เพื่อให้อัตราการเติบโตดี
การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า

ไม้สะเดาสามารถให้เมล็ดมากในแตละปีและมีเปอรเซ็นตการงอกสูง และมี


ความสามารถในการแตกหน่อได้ดี ดังนั้น การขยายพนธุ์จึงท าได้ทั้งวิธีแบบไม่อาศัยเพศและแบบ

อาศัยเพศ
1. การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เหมาะส าหรับพื้นที่ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเมล็ด การ





ขยายพนธุ์แบบไม่อาศยเพศจะคงลักษณะทางพนธุกรรมของตนแม่ไว้ ซึ่งพนธุกรรมเหล่าน ี้
สามารถนามาใช้ในการปรับปรุงพนธุ์ต่อไป การขยายพนธุ์แบบไม่อาศัยเพศของไม้สะเดามีหลาย



วิธี ดังน ี้




1.1 การขยายพนธุ์โดยการผลิตหนอที่มีอายอ่อน (Rejuvenile shoot) โดยการตด

ั้



กิ่งหรือรากของแม่ไม้ที่ตองการขนาดเส้นผ่านศนยกลางตงแต 2-8 เซนตเมตร ยาวท่อนละ 50


ั้


เซนตเมตร นาไปปักชาในแปลงเพาะ รดนาให้ชมประมาณ 1 เดือน กิ่งหรอรากนนจะแตกหนอ


ุ่

ใหม่ออกมาจ านวนมากจากตาข้างๆ กิ่ง และพฒนาเป็นหนออ่อนๆ สามารถเก็บหน่ออ่อนเหล่าน ี้



5










ี้

ไปปักชาได้ดี ท่อนกิ่งพนธุ์หรอรากที่ปักชานเรยกว่า Reservior จะแตกรากหรอไม่ก็ได้ แตจะ
สามารถเลี้ยงดูหน่ออ่อนได้ 6-8 เดือน ซึ่งเพียงพอที่จะเก็บหน่ออ่อนไปปักช าได้ (Kijkar, 1992)
การผลิตหนออ่อนของไม้สะเดาควรท าในชวงเดือนมิถุนายนจะให้ผลดีที่สุด โดยกิ่ง





ขนาดกลางเส้นผ่านศนย์กลาง 2-3 เซนตเมตร จะให้เปอร์เซ็นตการแตกหนออ่อนสูงที่สุดและมี

ปรมาณหนอเฉลียตอกิ่งมากที่สุด กิ่งขนาดใหญ่เส้นผ่านศนยกลาง 3.6-8 เซนตเมตร จะแตก












ู่
หนอชากว่าและมีจ านวนหนอตอกิ่งนอยกว่ากิ่งขนาดกลาง แตจะให้หนอที่คงทนอยนานที่สุด




ส่วนกิ่งขนาดเล็กเส้นผ่านศนย์กลางตากว่า 2 เซนตเมตร แตกหน่อไดดีเชนกันและมีจ านวนหนอ





ต่อกิ่งพอควร แต่หนออ่อนจะเหี่ยวเร็วไม่สามารถน าไปทาบกิ่งหรือปักช าได้ ดังนั้น การขยายพันธุ์


สะเดาโดยใชท่อนกิ่งพนธุ์จากแม่ไม้สะเดาไม่ควรใช้ท่อนกิ่งพนธุ์ที่มีขนาดเล็ก หนออ่อนจากการ


Reservoir ท่อนกิ่งพันธุ์น าไปใช้ได้ทั้งการทาบกิ่งและปักช าในคราวเดียวกัน (ประพาย, 2544)

1.2 การทาบกิ่ง (Grafting) ไม้สะเดา โดยใชหนอที่มีอายอ่อนที่ได้จากการท า


Reservoir ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร มาท าการทาบ



กิ่งแบบ Side veneer grafting โดยเสียบตอเข้าทางด้านข้างของตนตออาย 1½-2 ปี ขนาดเส้น



ผ่านศนยกลาง 0.5–1 เซนตเมตร เป็นมุมเฉียงประมาณ 45 ผลส าเรจในการทาบกิ่งโดยเฉลีย


ประมาณ 75% (ประพาย, 2544)

การทดลองทาบกิ่งในไม้สะเดาและไม้สะเดาเทียม โดยใชยอดจากสะเดาเทียมทาบบน
ต้นตอสะเดา และในทางกลับกันใช้ยอดสะเดาทาบบนตนตอสะเดาเทียม พบว่า การทาบกิ่งที่ใช ้


ยอดสะเดาเทียมและตนตอเป็นสะเดามีอัตราการรอดตาย 90% ส่วนการทาบกิ่งที่ใชยอดจาก



สะเดาแตตนตอเป็นสะเดาเทียมมีอัตรารอดตายของตามากเพยง 20% เท่านน อีกทั้งยงเกิด
ั้





รอยตอที่ไม่สามารถเชือมกันได้สมบูรณ์ของต้นตอและกิ่งพันธุ์ (Incompatibility) มากด้วย (Kijkar,
1992)

1.3 การปักชา (Cutting) ไม้สะเดาด้วยวิธีปักชาล าตนจากกล้าไม้พนธุ์ดีอาย 1 ปี





ยาวประมาณ 10-12 เซนตเมตร ในชวงเดือนมีนาคม–พฤษภาคม ให้ผลส าเรจในการออกราก


เดือนมีนาคม เท่ากับ 80.4% เดือนเมษายน 59.5% และในเดือนพฤษภาคม 88.4% (ประพาย,



2544) และ ณรงค์ (2540) ได้ท าการทดลองขยายพนธุ์ไม้สะเดาโดยการปักชากล้าไม้อาย 1 ปี


โดยใชสารเรงราก 2 ชนดคือ IBA และ NAA ที่มีความเข้มข้นระดับตางๆ กันคือ 0, 300, 500,




700 และ 1,000 ppm พบว่า การใชสารเรงรากทั้ง IBA และ NAA มีผลท าให้เปอร์เซ็นตการแตก







รากและจ านวนรากเฉลียตอกิ่งปักชาแตกตางอยางไม่มีนยส าคัญทางสถิต แตมีผลท าให้รากที่


เกิดขึ้นมานั้นมีการพัฒนาที่ดีทั้งในด้านขนาดความยาว ความโตและความสมบูรณ์ของราก ความ



เข้มข้นของสารเรงราก NAA ที่ 700 ppm ให้ผลดีที่สุดในด้านจ านวนรากเฉลียตอกิ่งปักชาและ



ความยาวของราก แตสารเรงราก IBA ที่ความเข้มข้น 300 ppm นนมีผลท าให้เปอรเซ็นตการ
ั้


แตกรากมีมากที่สุด

6




1.4 การตอนกิ่ง (Marcotting หรอ Air-Layering) ไม้สะเดา โดยวิธีควั่นกิ่งจะ




ไดผลดี การตอนกิ่งจากแม่ไม้สะเดาอายประมาณ 15 ปี ที่มีขนาดเส้นผ่านศนย์กลางประมาณ 1
ิ้
นว ยาวประมาณ 1 เมตร ในช่วงเดือนมีนาคม กิ่งตอนสามารถออกรากได้มากถึง 90% ผลดีของ
การตอนกิ่งคือสามารถรกษาความแก่ของแม่ไม้ไว้ได้ ท าให้สวนที่ปลูกด้วยไม้จากกิ่งตอนออก




ั้
ดอกออกผลเรวขึ้น ส่วนปัญหาที่กิ่งตอนไม่ตานทานลมแรง สาเหตจากการไม่มีรากแก้วนน

สามารถแก้ไขได้ด้วยการต่อกิ่งแบบเสรมราก (ประพาย, 2544)
2. การขยายพันธแบบอาศัยเพศ เป็นการจัดเตรยมกล้าไม้จากการเพาะเมล็ด ไม้
ุ์

สะเดาจะให้เมล็ดเมื่ออายประมาณ 5 ปี ผลแก่ประมาณปลายเดือนมีนาคมถึงตนเดือน


พฤษภาคม แล้วแต่สภาพท้องที่ เมล็ดสะเดามีข้อจ ากัดอยอย่างหนงคือไม่สามารถเก็บไว้ไดนาน
ึ่

ู่

เพราะเมล็ดจะสูญเสียความมีชวิตเร็วมาก เมล็ดที่เก็บจากต้นควรเพาะทันทีภายในสัปดาห์นนจะ
ั้
มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงถึง 90% แต่หากเก็บไว้นานเกินกว่า 20-30 วัน ในสภาพการเก็บปกติจะ
สูญเสียเปอร์เซ็นต์การงอกไปหมด
2.1 การเก็บผลและเมล็ด มี 2 วิธ ี






1) เก็บจากตนโดยใชตะขอตดชอ



ผลหรอตดจากกิ่งลงมาในขณะที่ผลยงไม่แก่จัด
ื่


ถึงกับรวงหล่น เมล็ดจะยงมีเนื้อเยอหุ้มอย ซึ่งก่อน
ู่
เพาะจะต้องเอาเนื้อเยื่อออกก่อน
2) เก็บตามโคนตนที่รวงหล่นตาม




โคนตนแม่หรอโคนตนไม้อื่นที่อยใกล้เคียง เพราะ

ู่

ตามปกติเมื่อผลสกแก่ นก ค้างคาว จะชอบกินเนื้อนอกของผลและคายเมล็ดทิงไว้ หากเมล็ดไม่

เก่านักก็สามารถเก็บเพาะได ้

2.2 วิธปฏิบัติต่อผลและเมล็ด ผลที่เก็บมาและยงมีเนื้อเยอหุ้มเมล็ดอยนน ถ้า
ั้
ื่

ู่
เพาะทั้งผลเปอร์เซ็นตการงอกจะต่ าประมาณ 40–50% เนื่องจากก่อนเมล็ดจะงอกเนื้อของผลจะ



ึ้

เกิดการหมักเนามีเชื้อราเกิดขนเข้ามาท าลายการงอกของเมล็ดให้น้อยลง วิธีปฏิบัติที่ดที่สดกอน

ื่
ื่


เพาะควรนาผลขยาเนื้อเยอหุ้มเมล็ดออกเสียก่อน โดยขยากับทรายและล้างนาเพอให้เนื้อเยอ


ื่

หลุดออกไปแล้วนาไปเพาะหรอจะนาเมล็ดไปผึ่งในที่




รมให้แห้งเสียก่อน จากนนภายในหนงอาทิตยนาไป

ั้
ึ่
เพาะเมล็ดก็จะงอกดีเช่นเดียวกันมีเปอร์เซ็นตการงอก

สูงประมาณ 90% ขึ้นไป ในกรณีที่ตองเก็บเมล็ดไว้


บ้างในชวงไม่เกิน 1 เดือน วิธีการผึ่งในรมให้แห้ง



เสียก่อนเป็นวิธีปฏิบัติที่ดีที่สด แตเปอร์เซ็นตการงอก


7




ของเมล็ดจะลดลงเหลือประมาณ 50%

2.3 การเพาะเมล็ด เมล็ดสะเดาน้ าหนัก 1 กิโลกรัม จะมีเมล็ดประมาณ 3,800–
4,000 เมล็ด การเพาะอาจจะเพาะลงในถุงพลาสติกหรือลงแปลงเพาะ การเพาะในแปลงเพาะท า


ื้

โดยเตรยมแปลงเพาะขนาดกว้าง 0.75–1 เมตร ขนาดความยาวแล้วแตสภาพของพนที่ที่ใช้


ั้
ั้
จากนนหว่านเมล็ดให้กระจายทั่วแปลง กลบดินหนาประมาณ 0.5 เซนตเมตร ชนบนใชฟางคลุม
เป็นชั้นบางอีกชนหนง ปกติหลังจากหว่านเมล็ดจะรดน้ าเช้าและเย็น เมล็ดจะเรมงอกภายใน 5–7
ิ่
ึ่
ั้

วัน การเพาะโดยวิธีหว่านในแปลงเพาะมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ในกรณีที่ยายช ากล้าไม้ไม่ทันสามารถ


ปล่อยให้โตค้างปีในแปลงเพาะได้ และในปีตอไปก็ถอนกล้ามาตบแต่งให้มีลักษณะคล้ายเหง้าชา




ื้
ในถุงพลาสตก หรอในบริเวณพนที่ใดที่มีฝนตกดก็สามารถถอนยายปลูกแบบไม่มีดนติดรากก็ได้

โดยเปอร์เซ็นต์การรอดตายไม่แตกต่างกับการปลูกด้วยกล้าไม้ที่จัดเตรียมในถุงพลาสติกมากนก




2.4 การยายช ากล้าไม้ ในระยะที่เป็นกล้าไม้ สะเดาเตบโตค่อนข้างชา กล้าไม้ที่

เพาะในดินทั่วๆ ไป การยายชาลงถุงพลาสตกสามารถยายชาตั้งแต่รากเริ่มปรและแทงยอดอ่อน








จนถึงกล้าใหญ่ ส าหรบกล้าขนาดเล็กควรยายชาเมื่อมีใบ



จรงไม่ตากว่า 2 คู่ ขนาดของกล้าไม้ที่เหมาะสมในการยาย
ปลูกควรอยประมาณ 20-30 เซนตเมตร อายประมาณ 5


ู่
เดือน แต่ถ้าใช้ขุยมะพร้าวผสมหน้าดินและปุ๋ยเคมีจะใช้เวลา


ประมาณ 3½ เดือน บางแห่งนยมใชกล้าไม้ค้างปีส าหรบ

ั้

ย้ายปลูกเพราะจะแข็งแรงทนทานต่อสิ่งแวดล้อม และตงตว

เจรญเตบโตได้ดีในปีที่สองหลังจากยายปลูกทันที ปัญหา


เรื่องโรคและแมลงมีน้อยอาจมีหนอนกัดกินใบของยอดอ่อน


บ้าง เท่าที่พบในระยะจัดเตรยมกล้าในเรอนเพาะชา จะมี






แมลงเพลียหอยดูดนาเลียงซึ่งจะพบในชวงฤดูหนาว การแก้ไขโดยฉีดยาฆาแมลงที่มีฤทธิ์ดูดซึม
เช่น ไดเมทโอเอต หรืออะโซดริน เป็นต้น หรือตัดยอดทิ้ง

การเตรียมพื้นที่สาหรับปลูก
1. การปลูกแบบ Extensive

ั้

ท าการแผ้วถางวัชพช จากนนทิ้งไว้จนแห้งแล้วจึงเผาทันที ควรเผาในเวลาตอนเยน
ขนาดที่ลมสงบเพอไฟจะได้ไม่ลุกลามไปยงบรเวณใกล้เคียง เมื่อเผาไหม้ทั่วพนที่แล้วจึงจัดรวม
ื่
ื้


กองและเผาอีกครั้ง โดยทั่วไปจะด าเนินการในเดือนมีนาคมของปี ส าหรับตอไม้ที่เหลือควรเหลือ

ไว้ไม่เกิน 1 ฟต โดยทั่วไปการปลูกป่าแบบ Extensive มักจะไม่ขุดตอเพราะเสียค่าใชจ่ายสูง และ

ไม่ต้องใช้รถแทรกเตอร์ไถ

8




2. การปลูกแบบ Intensive


ื้

ู่
2.1 ปลูกเชิงพาณิชย การเตรยมพนที่ปลูกขึ้นอยกับสภาพพนที่ สภาพดิน ซึ่ง
ื้
จะต้องพิจารณาในแต่ละสภาพ ดังน
ี้

ื้
ื้

1) ในสภาพพนที่แห้งแล้ง เชน พนที่เป็นดินลูกรง การเตรยมพนที่ปลูก
ื้



ื้


ื้
จ าเป็นตองท าอยางละเอียด เพราะตามธรรมชาตพนที่แห้งแล้งที่เป็นดินลูกรงในฤดูแล้งพน
ผิวหน้าดินจะแข็ง เมื่อน้ าฝนตกลงมาไม่สามารถที่จะซึมลงสู่ดนชั้นล่างได้ น้ าฝนจะไหลบ่าไปตาม



ผิวหนาดินหมดถึงแม้จะซึมลงไปได้บ้างก็เพยงระดับตื้น เป็นผลให้ดินระดับลึกมีความชื้นตา

ี้
ื้
นอกจากนที่ระดับพนผิวดินจะมีพวกไม้แคระแกร็นขึ้นอยู่กระจัดกระจายทั่วไป ซึ่งจะกีดขวางการ
ั้
ื้




เตบโตของไม้สะเดาที่จะปลูก ดังนนวิธีการเตรยมพนที่ที่ดีที่สุดคือ การใชรถแทรกเตอรไถปาด
ู่




พวกไม้เดิมที่มีอยออก และเก็บรบสุมเผาในชวงฤดูรอนเดือนกุมภาพนธ์ถึงเมษายนให้หมด


ั้
จากนนก่อนเข้าฤดูฝนประมาณปลายเดือนเมษายนใชรถแทรกเตอรเข้าไถพรวน 2 ครง การไถ
ั้
ครั้งแรกแม้รถไถจะไถพรวนได้ไม่ลึก แต่การไถครั้งแรกมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พนที่รองรับน้ าฝนที่
ื้

ตกลงมาและซึมสู่ข้างล่าง หลังจากฝนตก 2–3 ครั้ง ใชรถไถพรวนแปรกลับดินอีกครั้ง การไถครั้ง
ที่สองรถไถจะไถพรวนได้ลึก การเตรยมพนที่อย่างละเอียดน ค่าใช้จ่ายในการลงทุนระยะแรกจะ

ี้
ื้


สูงแต่ไม้สะเดาจะเติบโตดี อีกทั้งเป็นการก าจัดวัชพืชไดเป็นอย่างดี ซึ่งจะทุ่นค่าใช้จ่ายในการบ ารง
ดูแลรักษาระยะหลังๆ


ื้
2) ในสภาพพนที่ที่เป็นไรรางเก่า หรือพนที่กสิกรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์ตา

ื้
ี้

ื้


ื้
หรอพนที่ป่าที่ถูกแผ้วถางมาเป็นเวลานาน พนที่เหล่านมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับวัชพช การเตรยม
ื้
พนที่ปลูกไม่จ าเป็นจะตองให้ละเอียดอยางสภาพพนที่ที่กล่าวในข้อแรก ตอนตนฤดูฝนก่อน
ื้



ั้

ื่



ด าเนนการปักระยะปลูกและปลูกควรใชรถแทรกเตอรเข้าไถพรวนครงหนึ่ง เพอลดการแก่งแยง




ของวัชพชในระยะแรกของการปลูก อีกทั้งจะชวยให้กล้าสะเดาตงตวอยางรวดเรวและสามารถ
ั้

ต่อสู้กับรากของพวกวัชพืชได ้
ื้
หลังจากการไถพรวนพนที่ปลูก ขั้นตอนต่อไปของการเตรียมพื้นที่คือ การปักหลักระยะ
ปลูกและขุดหลุมปลูก ส าหรบการปักหลักระยะปลูกมีวัตถุประสงค์เพอใชหมายที่ปลูกและ

ื่

ตรวจสอบการรอดตายของไม้ที่ปลูก การปลูกซ่อมในภายหลัง และความสวยงามเป็นระเบียบใน

การปลูก หลักที่ใช้ปลกควรมีขนาดพอสังเกตได้ดี ท าจากวัสดุที่หาง่ายในท้องที่และราคาถูก ส่วน


การขุดหลุมปลูกหากสามารถจัดเตรยมหลุมได้กว้างและลึกจะยิ่งเป็นการดีแต่จะสินเปลืองและ
ื้

เสียค่าใชจ่ายสูง พนที่ที่มีการจัดเตรยมอยางดีโดยมีการไถพรวนไม่จ าเป็นตองขุดหลุมกว้างและ



ลึก ขนาดของหลุมที่พอเหมาะในการปลูกคือขนาด กว้าง x ยาว x ลึก เท่ากับ 25 x 25 x 25
เซนตเมตร ก็เป็นการเพยงพอ ซึ่งพนที่ที่ผ่านการไถพรวนแล้วการขุดหลุมสามารถกระท าได้ง่าย

ื้

และรวดเร็ว

9




ื้



2.2 ปลูกเชิงวนเกษตร การเตรยมพนที่ละเอียดเชนเดียวกับการปลูกเชงพาณิชย์


ู่
แตการปักหลักวางแนวปลูกตนไม้ควรให้แนวปลูกขนานกับแนวแสงอาทิตย คือ อยในแนว

ทิศตะวันออก-ตะวันตก โดยก าหนดระยะห่างระหว่างตน 2-4 เมตร ระยะห่างระหว่างแถว 4-8


ื้
ู่
ื้

เมตร (4 x 4 หรอ 2 x 8 เมตร) พนที่ที่จะปลูกควรเป็นที่ราบและควรปรบระดับพนที่ให้อยใน
แนวราบ
วิธีการปลูกและระยะปลูกที่เหมาะสม
วิธีการปลูก




ควรปลูกโดยยายกล้าปลูก ปกติการปลูกจะใชวิธีจัดเตรยมกล้าไม้ในเรอนเพาะชาแล้ว

ยายไปปลูก ขนาดของกล้าไม้ที่เหมาะในการยายปลูกอายประมาณ 4-5 เดือน สูงประมาณ




20–30 เซนตเมตร กล้าสะเดาซึ่งเตรยมอยในถุงพลาสตกที่มีอายค้างปียงมีความเหมาะสมใน

ิ่

ู่



การปลูก ก่อนที่จะเข้าฤดูฝนประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ให้ท าการตดรากและตดยอดแล้ว
ุ่
ุ่
ื่
รดน้ าให้ชมเพอให้แตกรากขึ้นมาใหม่ เมื่อฝนตกลงมาก็ย้ายไปปลูก กล้าสะเดาจะพงเจริญเติบโต



อยางรวดเรวดีกว่ากลาที่จัดเตรียมปลูกในปีนั้น ควรเลือกปลูกหลังจากวันที่ฝนตกหนก ประการ



ส าคัญถุงพลาสตกตองฉีกออกและควรนาทิ้งภายนอกหลุม กลบและกดดนรอบๆ ตนไม้ให้แนน




ระดับดินที่กลบลงในหลุมควรให้เป็นแอ่งลึกกว่าระดับดินโดยรอบประมาณ 1 ฝ่ามือ หรอ

ประมาณ 8-10 เซนติเมตร เพื่อให้เป็นแอ่งรับน้ าฝนเลี้ยงต้นไม้ต่อไป
ระยะปลูก
การใชระยะปลูกถี่หรอห่างเท่าใดขึ้นอยกับวัตถุประสงค์ของการปลูก ในอดีตที่ผ่านมา


ู่

ที่สวนป่าห้วยยาง จังหวัดประจวบคีรขันธ์ ใชระยะปลูก 2 x 2 เมตร และ 4 x 4 เมตร อยางไรก็




ตาม การจะใช้ระยะปลูกเท่าใดควรค านึงถงการใช้ไม้ของผู้ปลูกและความตองการใช้ไม้ในท้องถิ่น
ี้
เป็นหลัก โดยมีข้อคิดเห็นดังน คือ
1) ในแง่ของการปลูกเพอตองการขายไม้ฟนหรอเผาถ่าน ควรใชรอบหมุนเวียนสั้น



ื่



ไม่เกิน 5 ปี โดยใชระยะปลูก 2 x 2 เมตร ซึ่งระยะปลูกขนาดนจะปลูก 400 ตน/ไร ในชวง 2 ปี


ี้
แรก อาจจะตัดต้นไม้ออกขายใช้ท าไม้ฟืนหรือเผาถ่านหรือไม้ค้ ายันขนาดเล็กได้ โดยตัดต้นเว้นต้น
ื่

2) ในแง่การปลูกเพอตองการไม้ใหญ่ส าหรบใชในการก่อสรางและท าเฟอรนเจอร์





ควรใช้รอบหมุนเวียน 15-20 ปี ระยะปลูกที่เหมาะในการปลูกคือ 2 x 4 และ 4 x 4 เมตร ซึ่งจะ

ปลูกได้ 100-200 ตน/ไร ในชวงปีที่ 5 และ 10 อาจจะท าการตดสางโดยตดตนเว้นตน เพอ




ื่


น ามาใช้ในการเผาถ่านและท าไม้เสาเข็ม

การศกษาขนาดถุงกล้าไม้และระยะปลูกที่เหมาะสมที่มีตอการเตบโตทางเส้นผ่าน





ศูนยกลางและความสูงของไม้สะเดาอาย 2, 3 และ 4 ปี ที่จังหวัดสรินทร์ โดยใช้ถุงเพาะช าขนาด
ิ้
4 x 6, 5 x 8 และ 6 x 8 นว ปลูกด้วยระยะ 2 x 2, 2 x 4 และ 4 x 4 เมตร พบว่า ขนาดถุงและ

10




ระยะปลูกไม่มีผลต่อการเติบโตของไม้สะเดาทางด้านความสูง แต่มีแนวโน้มว่าค่าความสูงน่าจะมี





ความแตกตางกันเมื่อต้นไม้อายมากขึ้น ในขณะที่ขนาดถงก็ไม่มีผลตอขนาดความโตทางเส้นผ่าน

ศูนยกลางเชนเดียวกันด้วย ส าหรบระยะปลูกแม้ว่าจะไม่มีผลทางด้านความโตของไม้ที่อาย 2 ปี









แตเมื่อไม้มีอายมากขึ้น ระยะปลูกกลับแสดงผลตอความโตของไม้อยางมีนยส าคัญทั้งที่อาย 3



และ 4 ปี กล่าวคือ ที่ระยะปลูก 2 x 2 เมตร ตนไม้มีขนาดความโตทางเส้นผ่านศูนยกลางตาสุด
(5.74 และ 7.63 เซนตเมตร) และระยะปลูก 4 x 4 เมตร มีค่าความโตสูงสุด (8.09 และ 11.51

เซนตเมตร) ซึ่งเมื่อค านงถึงด้านเศรษฐกิจและความส าเรจของการปลูกสรางสวนป่าไม้สะเดา




แล้ว ควรใชถุงเพาะชากล้าไม้ขนาด 4 x 6 นว และ ก าหนดระยะปลูก 4 x 4 เมตร (ณรงค์ และ
ิ้


พิทยา, 2548)
การบ ารุงรักษา
1. การก าจัดวัชพืช ไม้สะเดาเป็นไม้ที่ต้องการแสงมาก แม้ว่ากล้าไม้จะมีความสามารถ

แก่งแย่งกับพวกวัชพืชไดดีก็ตาม แต่ในปีแรกจ าเป็นจะต้องเอาใจใส่ดายวัชพืชให้ ในกรณีที่มีพวก



วัชพชมาแก่งแยงเบียดบัง ดังนน การปลูกระยะแรกๆ จ าเป็นตองก าจัดวัชพชไม่ให้สูงคลุมตน


ั้





เบียดแยงแสงและอาหารจากตนไม้ได้ อาจกระท าโดยการดายวัชพช โดยใชแรงคนหรออาจใช ้
สารเคมีฉีดพ่นก็ได้
2. สัตว์เลียง ส าหรับอันตรายจากพวกสัตว์เลียงเช่น วัว แพะ มีน้อยมากเนื่องจากสัตว์



ี้
พวกนไม่นยมกินใบและยอดสะเดา แตอาจมีอันตรายจากการเหยยบยาหรอใชล าตวเสียดสีกับ






ล าต้นในระยะที่ต้นไม้ยังเล็กจนท าให้เสียหาย ล าต้นหัก ควรจะห้ามน าสัตว์เข้าไปเลี้ยงในช่วงระยะ
3-4 ปีแรกของการปลูกจะท าให้เกิดความเสียหายได้ นอกจากน อาจจะพบพวกเม่นท าอันตราย
ี้
แก่ต้นสะเดา โดยกัดแทะเปลือกนอกที่โคนต้นและรากซึ่งจะท าให้ตายได้

3. โรคและแมลง ในประเทศไนจีเรียตนสะเดาที่ปลูกไว้ในบางโอกาสมีปัญหากับแมลง
พวกปลวกขนาดเล็ก (microteraness) เข้าท าอันตราย และอาจพบหนอนกินใบบ้างเล็กนอยใน

บางพนที่ แตมักไม่ขยายออกไปจนเป็นอันตรายตอการเตบโตของตนสะเดา สามารถป้องกันได้




ื้






โดยใชยาฆาแมลงฉีดพนหรอจับตวมาท าลาย สาเหตที่การปลูกตนสะเดาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี

ปัญหาเกี่ยวกับแมลง อาจจะเนองจากในตนสะเดามีสารยาฆาแมลงอย ส่วนปัญหาที่พบอีก
ื่


ู่



ประการหนงคือตนสะเดาไม่ชอบดินที่มีการระบายนาไม่ดีหรอนาท่วมขัง หากมีนาท่วมขังแล้ว
ึ่


รากแก้วอาจจะถูกพวกราเข้าท าลายและต้นสะเดาจะค่อยๆ ตายในที่สุด
4. การใส่ปุ๋ย ส าหรบสภาพพนที่ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ตาเมื่อกล้าไม้ที่ปลูกตงตวได้

ั้

ื้




แล้ว ควรเรงการเตบโตให้เรวขึ้น โดยการใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรอ 20-20-20 ประมาณ





1 ชอนกาแฟตอตน โดยการพรวนดินรอบๆ โคนตน แล้วโรยปุ๋ยตามรอย ในชวงตนของฤดูกาล


เติบโต

11




ิ่


5. การลิดกิ่ง ปกตตนสะเดาเมื่อสูงประมาณ 1 เมตรขึ้นไป จะเรมแตกกิ่งก้านเป็นพม
ุ่



หากตองการให้สะเดามีล าต้นเปลาตรงสามารถใช้ประโยชน์ในการแปรรปไดมากขึ้น ควรหมั่นลิด
กิ่งอย่างสม่ าเสมอและอาจน ากิ่งมาใช้ประโยชน์ในรูปของเชื้อเพลิงได ้
6. การตัดขยายระยะ สามารถท าการตดสางได้เมื่อตนไม้มีเรือนยอดเบียดชิดตดกน มี










การแก่งแยงกัน ท าให้อัตราการเตบโตลดลง โดยการตดสางออกมาใชประโยชนในรปไม้ขนาด

เล็กได้ก่อนอาจตดออกแถวเว้นแถวหรอเลือกตดเฉพาะที่สามารถใชประโยชนไดออกมาใชก่อน






ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้เจริญเติบโตต่อไป ตอที่ตัดออกแล้วก็จะแตกหน่อใหม่ได้ภายหลัง

7. การป้องกันไฟ ในสภาพธรรมชาตสะเดาเป็นไม้ทนไฟ หากไฟไหม้เล็กนอยหรอไม่






รุนแรงมากนกตนสะเดาแทบจะไม่ไดรับอันตรายเลย แตหากไฟไหม้รนแรงตนเดิมอาจจะตายแต ่




ั้
จะแตกหนอใหม่ได้ภายหลัง ดังนน ไฟจึงเป็นสาเหตหนงที่ท าให้การเตบโตชะงักงันในชวงระยะ
ึ่



ั้

ึ่
หนง และอาจท าให้เกิดแผลตามล าตน ดังนน ในชวงระยะปีแรกและปีที่สองของการปลูกควร

ป้องกันไฟ โดยท าแนวกันไฟกว้างประมาณ 6-8 เมตร รอบๆ แปลงปลูก หลังจากตนสะเดา
ิ่


ื้


ื่



เตบโตเรอนยอดเรมชดตดกันหรอแผ่ออกปกคลุมพนที่ ปัญหาเรองไฟจะหมดไปหรอนอยลง
เพราะปริมาณวัชพืชน้อยลง
การเติบโตและผลผลิต
ไม้สะเดาจะเจรญเตบโตได้ดีมาก เมื่อสามารถผ่านฤดูกาลปลูกในปีแรกไปแล้ว หรอ






หลังจากการพฒนาระบบราก สะเดาในแตละท้องที่มีอัตราการเตบโตที่แตกตางกัน สะเดาที่




จังหวัดราชบุร ซึ่งมีปรมาณนาฝน 600-800
มิลลิเมตรตอปี ระยะปลูก 1 x 2 เมตร ในชวง



อาย 1 และ 2 ปี มีการเตบโตทางด้าน



เส้นผ่าศนยกลางเฉลีย 2.05 และ 4.83


เซนตเมตร และความสูงเฉลีย 2.10 และ 4.54


เมตร มีอัตราการเพมพนทางความโตและความ
ิ่

สูงถึง 2.78 เซนตเมตรตอปี และ 2.44 เมตรตอ





ส่วนที่จังหวัดจันทบุร ซึ่งมีปรมาณนาฝนเฉลีย


ถึง 1,200-1,300 มิลลิเมตรตอปี ไม้สะเดาจะเตบโตชามากกล่าวคืออาย 1.5 ปี ในระยะปลูก



1 x 2 เมตร มีความสูงเฉลียเพยง 0.14 เมตร และที่จังหวัดก าแพงเพชร ซึ่งมีปรมาณนาฝน





1,300-1,600 มิลลิเมตรตอปี ไม้สะเดาอาย 1 ปี 10 เดือน ในระยะปลูก 1 x 2 เมตร มีความสูง






เฉลีย 1.24 เมตร (บุญฤทธิ์, 2526) สาเหตที่ไม้สะเดาในแตละท้องที่มีการเตบโตแตกตางกัน

ื้


อาจเนื่องมาจากปัจจัยสิงแวดล้อม เชน ปรมาณนาฝน สภาพพนที่ และดิน เป็นตน หรออาจจะ




12




ั้





เป็นเพราะการบ ารงดูแลรกษาที่แตกตางกัน ดังนน การปลูกสะเดาตองค านงถึงปัจจัยตางๆ

เหล่านี้ด้วย โดยธรรมชาติแล้วไม้สะเดาไม่ชอบพื้นที่ชื้นแฉะหรือที่มีน้ าขัง
ึ่


ปัจจัยอีกประการหนงที่มีผลตอการเตบโตของไม้สะเดาคือ ระยะปลูก หรอความ




หนาแนน ซึ่งจะมีผลตอการเตบโตอยางเด่นชด การเตบโตของไม้สะเดาอาย 3 ปี ในจังหวัด







ราชบุร ที่มีระยะปลูกตางๆ กัน คือ <1, 1-2 และ 4-8 เมตร มีการเตบโตทางเส้นผ่านศนย์กลาง


เพยงอกเฉลย 2.5, 4.7 และ 7.5 เซนตเมตร ความสูงเฉลี่ย 3.2, 4.3 และ 4.6 เมตร ตามล าดับ

ี่
ซึ่งในระยะปลูกนอยๆ หรอมีความหนาแนนสูงมากจะมีอัตราการเตบโตทางเส้นผ่านศนยกลาง










ิ่
นอยมาก แตเมื่อระยะปลูกเพมมากขึ้นหรอลดความหนาแนนลง อัตราการเตบโตทางเส้นผ่าน

ศูนยกลางจะเพมมากขึ้นตามล าดับ ส าหรับการเติบโตทางความสูงนั้นไม่มีความแตกต่างกันมาก
ิ่

นัก (ทักขินัย, 2530 อ้างโดย บุญฤทธิ์ และคณะ, 2536)
การทดลองปลูกไม้สะเดาที่จังหวัดราชบุรี โดยใช้ความหนาแน่น 8 ระดับ คือ 40,000,
17,778, 10,000, 4,445, 2,500, 625, 278 และ 157 ตนตอเฮกแตร ท าการเก็บข้อมูลทุกๆ ปี






ตั้งแตอาย 1-13 ปี พบว่า การเติบโตของไม้สะเดาทางด้านขนาดเส้นผ่านศูนยกลางที่ระดับชิดดิน

(Do) ที่ระดับความสูง 1.30 เมตร (DBH) และความสูงทั้งหมด (H) และเปอร์เซ็นตการรอดตาย มี




แนวโนมเพมมากขึ้นเมื่อระดับความหนาแนนลดนอยลง ส าหรบมวลชวภาพส่วนตางๆ และ

ิ่





ปรมาตรเฉลียตอตน มีค่าลดลงเมื่อหมู่ไม้มีความหนาแนนเพมขึ้น โดยเรมมีความสัมพนธ์ในรป


ิ่
ิ่

Competition-Density effect ในหมู่ไม้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี และจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุของหมู่ไม้
และเมื่ออาย 13 ปี หมู่ไม้ที่ปลูกด้วยระดับความหนาแน่น 157 และ 40,000 ต้นต่อเฮกแตร จะให้


มวลชีวภาพของส่วนต่างๆ และปริมาณล าต้นเฉลี่ยต่อต้นสูงสุดและต่ าสุดตามล าดับ ส่วนผลผลต


ิ่
ิ่





ื้
มวลชวภาพส่วนตางๆ และปรมาตรล าตนตอพนที่มีค่าเพมตามความหนาแนนที่เพมขึ้น โดยมี
ั้

ความสัมพันธ์ในรูปของ Yield-Density effect ตงแต่อาย 1 ปีขึ้นไป ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามอาย ุ


เชนเดียวกัน และเมื่อมีอาย 13 ปี หมู่ไม้ที่ปลูกด้วยความหนาแนน 10,000 และ 278

ต้นต่อเฮกแตร์ จะให้ผลผลิตต่อหน่วยพนที่สูงสุดและต่ าสุดตามล าดับ (บุญฤทธิ์, 2548)
ื้

การทดลองระยะปลูกไม้สะเดาอาย 10 ปี ที่จังหวัดกาญจนบุร พบว่า ที่ระยะปลูก



4 x 8 เมตร และ 4 x 4 เมตร มีการเตบโตดีที่สุด โดยมีความสูงเฉลีย 7.34 และ 6.84 เมตร

ขนาดเส้นผ่านศนยกลางเพยงอกเฉลีย 11.20 และ 10.08 เซนตเมตร ตามล าดับ รองลงมาคือ




ระยะปลูก 2 x 4 เมตร และ 2 x 2 เมตร มีความสูงเฉลีย 5.96 และ 5.16 เมตร ขนาดเส้นผ่าน

ศนยกลางเพยงอกเฉลีย 7.16 และ 6.18 เซนตเมตร ตามล าดับ และการเตบโตตาสุดที่ระยะ







ปลูก 1 x 2 เมตร และ 1 x 1 เมตร มีความสูงเฉลีย 5.37 และ 4.43 เมตร ขนาดเส้นผ่าน

ศูนย์กลางเพียงอกเฉลี่ย 5.98 และ 4.41 เซนติเมตร ตามล าดับ (สุทัศน์, 2543)

13




ื้


การศกษามวลชวภาพเหนือพนดินของไม้สะเดาอาย 5 ปี ระยะปลูก 2 x 2 เมตร (400









ตนตอไร) ที่จังหวัดเชยงใหม่ ขอนแก่น จันทบุร และราชบุร มีมวลชวภาพล าตน 1.2, 1.6, 2.4
และ 8.4 กิโลกรัมต่อต้น หรือ 0.48, 0.63, 0.97 และ 3.36 ตันต่อไร่ (บุญชุบ และคณะ, 2532)
การปรับปรุงพันธุ์



การทดลองถิ่นก าเนดไม้สะเดา ที่จังหวัดสุราษฎรธาน โดยใชเมล็ดไม้สะเดาจากป่า





ธรรมชาต 25 แหล่งก าเนด พบว่า เมื่ออาย 4 ปี การเตบโตของไม้สะเดาทางความสูงและขนาด






เส้นผ่านศนยกลางเพยงอกมีความแตกตางอยางมีนยส าคัญทางสถิตระหว่างถิ่นก าเนดและ


ื้
ระหว่างพื้นที่ปลูก แสดงว่าถิ่นก าเนิดและพนที่ปลูกมีผลตอการเติบโตของไม้สะเดา โดยไม้สะเดา


จากถิ่นก าเนดไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ มีขนาด


เส้นผ่านศนยกลางเพยงอกเฉลียสูงที่สุด 6.73




เซนตเมตร รองลงไปได้แก่จากถิ่นก าเนด อ าเภอ
สวี จังหวัดชมพร เขาหลวง จังหวัดนครสวรรค์

อ าเภอรองกวาง จังหวัดแพร่ และคลองห้วยทราย



จังหวัดก าแพงเพชร มีขนาดเส้นผ่านศนยกลาง

เพยงอกเฉลีย 6.59, 6.45, 6.39 และ 6.06 เซนตเมตร ตามล าดับ และไม้สะเดาจากแหล่งดอย


ี่





เต่า จังหวัดเชยงใหม่ มีขนาดเส้นผ่านศนยกลางเพยงอกเฉลยตาที่สด 3.23 เซนติเมตร ส่วนการ

เติบโตทางความสูงพบว่าไม้สะเดาจากถิ่นก าเนิดเขาหลวง จังหวัดนครสวรรค์ มีค่าเฉลี่ยความสูง
มากที่สุด 5.73 เมตร รองลงไปได้แก่ ถิ่นก าเนิดคลองห้วยทราย จังหวัดก าแพงเพชร อ าเภอร้อง
กวาง จังหวัดแพร อ าเภอสวี จังหวัดชมพร และไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ มีค่าเฉลีย 5.31,







5.25, 5.21 และ 4.98 เมตร ตามล าดับ โดยไม้สะเดาจากถินก าเนด ดอยเตา จังหวัด เชยงใหม่

มีค่าเฉลียความสูงนอยที่สุด 3.29 เมตร



ส่วนค่ามวลชวภาพของล าตนไม้สะเดา


จากถิ่นก าเนด อ าเภอสวี จังหวัดชมพร มี


ค่าเฉลียมากที่สุด 3.59 กิโลกรมตอตน



รองลงไปได้แก่ถิ่นก าเนดไพศาลี จังหวัด
นครสวรรค์ เขาหลวง จังหวัดนครสวรรค์

รองกวาง จังหวัดแพร และเด่นสะเลียม


จังหวัดตาก มีค่ามวลชวภาพของล าตน



เฉ ลี ย 3.52, 3.31. 3.20 แ ล ะ 2.68
กิโลกรัมต่อต้น ตามล าดบ โดยไม้สะเดาจากถิ่นก าเนิดดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ มีค่ามวลชีวภาพ

ของล าต้นน้อยที่สุดเฉลี่ย 0.48 กิโลกรัมต่อต้น (บรรดิษฐ์, 2543)

14




ไม้สะเดาไทย (Azadirachta indica var. siamensis) และสะเดาเทียม (Azadirachta

excelsa) เป็นพันธุ์ไม้โตเร็วที่มีลักษณะทางสัณฐานวิทยาคล้ายคลึงกัน ไม้สะเดาไทยสามารถผสม






ข้ามพนธุ์กบไม้สะเดาเทียม แตมีอัตราการตดผลค่อนข้างต่ า ในกรณีใชไม้สะเดาไทยเป็นตนแม่มี

อัตราการสุกแก่ของผลโดยเฉลีย 10.29% ในขณะที่ใชไม้สะเดาเทียมเป็นตนแม่ การผสมข้าม



พันธุ์มีความเป็นไปได้น้อยมาก (0.49%) ช่วงระยะการพฒนาและการสุกแก่ของผลที่เกิดจากการ
ผสมข้ามมีลักษณะคล้ายคลึงกับพันธุ์ไม้สะเดาไทยและสะเดาเทียม ซึ่งขึ้นอยู่กับไม้สะเดาที่ใช้เป็น

ต้นแม่ กล้าไม้ลูกผสมสะเดามีสวนของใบและเปลือกก้ากึ่งระหว่างไม้สะเดาไทยและสะเดาเทียม


การเติบโตของกลาไม้ลูกผสมในช่วง 6 เดือนแรก มีแนวโนมดีกว่าต้นสะเดาไทยและสะเดาเทียม

(ประเสริฐ และคณะ, 2545)
ลักษณะทางกายวิภาค (Wood anatomy)




ไม้สะเดามีพอรเป็นแบบพอรเดียว (Soltary

pore) และพอรแฝด (Multiple pore) แบบของการ
เรยงตวไม่เด่นชด การกระจายเป็นแบบกึ่งวง(semi-






ring porous) พอรขนาดปานกลาง เส้นเรยเห็นชด
พาเรงคิม่าเป็นแบบ พาเรงคิมาแบบรอบพอร์
(vasicentric parenchyma)และ พาเรงคิมาปลายฤดู
(terminal parenchyma) (วรชาติ, 2546)



คุณสมบัติของไมสะเดา

1. กลสมบัติและสกายสมบัติ

ไม้สะเดา เป็นไม้เนื้อแข็งตามมาตรฐานกรมป่าไม้ ไม้สะเดาอายประมาณ 16 ปี มีค่า

กลสมบัตค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับไม้ทั่วไป จัดเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงสูง (ค่ามอดูลัสแตกราว




1,186 กิโลกรม/ตารางเซนตเมตร หรอ 116 เมกะปาสคาล) สะเดามีเนื้อไม้สีแดงเข้มปนนาตาล




เสียนค่อนข้างสนเป็นรวแคบๆ เนื้อค่อนข้างหยาบ แข็ง คุณสมบัตการใชงาน คือ การเลือย การ

ิ้

ไส การเจาะ การกลึง การยึดเหนี่ยวตะปู และการขัดเงาปานกลาง มีความทนทานตามธรรมชาต ิ
สูงคือ 6 ปี (สุชาติ และคณะ,
2547) ส่วนค่ากลสมบัติอื่นๆ
คือค่าแรงอัด แรงเฉือน แรง
ดึง มอดุลัสยดหยน ความ

ุ่

เหนยวจากการดัดกระแทก
และความแข็ง จัดอยใน
ู่

15





เกณฑใกล้เคียงกับไม้เนื้อแข็งทั่วไปเช่นกัน ค่าสกายสมบัติต่างๆ คือ ค่าความถ่วงจ าเพาะเท่ากับ


0.811 และความแน่นในสภาวะแห้ง มีค่าเท่ากับ 847 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เซนตเมตร สะเดาเป็นไม้



ที่ค่อนข้างหนก ค่าความชื้นที่จุดหมาดเท่ากับ 22% ตากว่าไม้ทั่วไปเล็กนอย ค่าการหดตวด้าน



สัมผัสอยในระดับใกล้เคียงกับไม้ทั่วไป ส่วนค่าการหดตวด้านรศมีมีค่าสูงกว่าไม้ทั่วไปเล็กนอย
ู่


ดังนั้น ควรใช้ประโยชน์ไม้สะเดาในสภาพแห้ง เพอลดผลกระทบจากการหดตว สามารถใช้ในงาน
ื่


ที่ต้องรับแรงมากๆ เชน การก่อสร้าง เครื่องมือต่างๆ และถ้าท าการอาบนายาไม้แล้ว จะท าให้ไม้
มีค่าความทนทานมากขึ้น (บุญส่ง และคณะ, 2557)
ื่
เนองจากประเทศไทยมีปริมาณความชื้นสมดุล

ในไม้กับบรรยากาศประมาณ 8-16% (ศรณธร, 2539)
เมื่อนาไม้สะเดามาแปรรปแล้วท าการอบให้ได้ไม้ที่แห้ง






และไม่เกิดตาหน เชน รอยปรแตกตามผิวไม้ หรอการ


แตกแบบรงผึ้ง (คือแตกตามแนวเสียนภายในเนื้อไม้



มักจะเกิดตามแนวรศมี) และการยบตวของแผ่นไม้ การ

อบไม้สะเดาจากน้ าหนกสดเมื่อแรกชงจนถึงความชื้น 1%

ั่
ใชเวลาในการอบนาน 39 ชวโมง หากตองการอบไม้จาก


ั่
ความชื้นในไม้เมื่อเริ่มแรกที่ 49.47% ท าการอบที่อุณหภูมิ
0
103+2 C จนถึงความชื้น 15% ตามสภาพภูมิอากาศของ
ประเทศไทย จะใช้เวลาในการอบนาน 9½ วัน เพื่อให้ได้ไม้
ที่แห้งและไม่เกิดต าหนิ (วัลยุทธ และคณะ, 2557)

เนื้อไม้สะเดาตามธรรมชาตมีสีนวลแกมเหลืองถึงนาตาลอ่อน มีค่าความแนน 0.86


กรม/ลูกบาศก์เซนตเมตร ค่าความสามารถในการตานทานการแตกหัก (modulus of rupture:



MOR) 147 MPa และค่าความสามารถในการด้านทานการโก่ง (modulus of elasticity: MOE)
ิ่

12240 MPa การนาไม้สะเดาจากสวนป่าอาย 16 ปี มาเพมมูลค่าเนื้อไม้โดยการแช่ในน้ าส้มควัน

0



ไม้นาน 15 นาที แล้วนาไปอัดรอนที่อุณหภูมิ 180-200 C ด้วยความดันที่ 100-120 กิโลกรม/
ตารางเซนติเมตร เวลาที่ใช้อัดร้อนนาน 15 นาที จะให้ผลทางกลสมบัติใกล้เคียงไม้สะเดาที่เติบโต



ตามธรรมชาต คือ มีค่าความแนน 0.78-0.88 กรม/ลูกบาศก์เซนตเมตร ค่า MOR 35.86-



151.78 MPa และค่า MOE 15061-16011 MPa ความรอนท าให้สีผิวหนาเป็นสีนาตาลเข้มและมี

ิ้
ื่
ความมันวาวกว่าสะเดาตามธรรมชาต นอกจากนยงท าให้นาหนกชนไม้เพมขึ้นเนองจากความ
ิ่
ี้




ื้
ื้
ื้


แน่นเพิ่มขึ้นจากเดิม ลักษณะเช่นนเหมาะที่จะท าเป็นพนรองรับน้าหนัก เช่น พนบ้าน หรือ พนโตะ
ี้



เป็นการพฒนาคุณภาพเนื้อไม้ให้ใชประโยชนได้กว้างขวางขึ้น ในอนาคตสามารถนาไปตอยอด


ิ่
ิ่
ื่

การใชไม้อยางมีประสิทธิภาพเพมขึ้นโดยการอัดผิวหนาไม้ให้เป็นลวดลายตามตองการเพอเพม



ความสวยงาม (ศรัณธร และคณะ, 2557)

16




2. องค์ประกอบทางเคมี


การวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของเนื้อไม้ เปลือกไม้ และใบของตนสะเดาอาย 16

ปี พบว่าสะเดามีค่าความชื้น 6-10% โดยค่าการละลายในนารอนและค่าการละลายใน


แอลกอฮอล์-เบนซีนของใบมีค่า 15.66% และ 12.69% ซึ่งมากกว่าเปลือกไม้ (8.20-8.50%,
8.48-10.19%) และเนื้อไม้ (2.36-2.50%, 6.25-6.72%) ดังนั้น ใบสะเดาจึงมีปริมาณสารแทรก

มากสุด และเปลือกมีปริมาณสารแทรกมากกว่าเนื้อไม้ หากต้องการน าสารแทรกมาใชประโยชน ์

ควรเลือกจากใบสะเดา อย่างไรก็ตาม ใบจะเสื่อมสลายได้เร็วมากกว่าและให้ผลผลิตน้อยกว่าเนื้อ


ไม้ เนื้อไม้มีความทนทานตอเชื้อเห็ดรามากสุด ปรมาณลิกนนในใบสะเดามีค่าสูง (38.92%)




ส าหรับในเปลือกและเนื้อไม้สะเดามีค่าใกลเคียงกัน (30-32%) ลิกนนจะท าหน้าที่เชื่อมสารต่างๆ

ิ่
ในไม้ เพมความหนาแนนและความทนทานของไม้ สะเดาจึงมีความแข็งแรงสูง เนื้อไม้จะใชรบ




นาหนกได้ดี เนื้อไม้สะเดามีปรมาณเซลลูโลสสูงมาก (64-66%) จึงมีปรมาณเส้นใยมาก ใชท า



กระดาษได้ดีเพราะให้ผลผลิตเยื่อสูง
ในเนื้อไม้ เปลือกไม้ และใบของสะเดา ตรวจพบกลุ่มสารฟลาโวนอยด์ กลัยโคไซด์
(flavonoid glycosides) คูมาริน กลัยโคไซด แบบไม่ระเหย (coumarin glycosides) และโพลีฟนอล


(polyphenol) พบเป็นชนด condensed tannin แสดงว่าสะเดามีกลุ่มสารออกฤทธิ์ทางเภสัช





สามารถใชเป็นยารกษาโรคได้ (สดารตน และคณะ, 2557) โดยกลุ่มสารฟลาโวนอยด์ กลัยโค

ไซด ใช้รักษาโรค เช่น เส้นเลือดฝอยเปราะ เป็นยาขับปัสสาวะ ยาฆ่าแมลง ต้านเชื้อรา แก้อักเสบ


ต้านเซลมะเรง เป็นตน ส าหรับคูมาริน กลัยโคไซด์ ใชแต่งกลิ่น เป็นยาเบื่อปลา สารป้องกันการ






แข็งตวของเลือด รบประทานป้องกันแสงแดดไหม้เกรยมผิวหนง ส าหรบแทนนนสามารถยบยง


ั้

การเจริญของจุลินทรีย์ได้

การสกดสารอาซาดิแรคติน (Azadirachtin) จากใบและเมล็ดสะเดา สามารถน าไปใช้ใน
การป้องกันและก าจัดศตรพช (ขวัญชย, 2540) เมล็ดสะเดามีสารประกอบ azadirachtin,




salannim, nimbin แ ละ 6-desacetylnimbin ซึ่ งมี


ฤทธิ์ฆาแมลงศตรูพืช สารสกัดจากเปลือกต้นมีฤทธิ์
ั้

ยบยงการหลั่งกรดและป้องกันการเกิดแผลใน
กระเพาะอาหาร สารสกัดจากใบมีฤทธิ์ตอตานเชื้อ





รา ป้องกันการเกิดพษที่ตบ ป้องกันการเกิดมะเรง

ฆ่าตัวอสุจิ (นนทวัน และ อรนุช, 2542) นอกจากนมี
ี้
รายงานการพบสาร Beta-sitosterol, 24-Methylenelophenol และ Nimatone ในแก่นของไม้

ี้

สะเดา สารเหล่านมีคุณสมบัตในการก าจัดแมลง นอกเหนอจากสารในกลุ่ม Limonoids เชน


Azadirachtin, Meliantrol และ Nimocinolide ที่พบในเมล็ดและใบของสะเดา ซึ่งตางก็มี

ประสิทธิภาพในการตานทานแมลงและเชื้อรา (Adebowale and Adedire, 2006; Eaton and

17





Hale, 1993) เชนเดียวกับการศึกษาของ Asamoah et al. (2011) ได้ทดลองนาสารสกัดด้วยน้ ายา



ของแก่นไม้สะเดามาอาบนายาไม้ Alstonia พบว่าสามารถตานทานการเข้าท าลายเนื้อไม้ของ
ปลวกได ้




เบ็ญจวรรณ (2542) ไดศกษาเปรียบเทียบปรมาณนามันสะเดาและอาซาดิแรคตนใน


ไม้สะเดา 3 ชนด คือ สะเดาไทย สะเดาอินเดีย และสะเดาเทียม พบว่า ปริมาณน้ ามันสะเดาทั้ง 3



ชนดมีค่าใกล้เคียงกัน แตสะเดาอินเดียจะให้นามันสูงสุด 45.45% รองลงมาคือ สะเดาไทย

38.20% และสะเดาเทียม 31.80% เชนเดียวกับปริมาณสารอาซาดิแรคตินซึ่งพบในสะเดาอินเดีย


สูงที่สุด 0.49% รองลงมาคือ สะเดาไทย 0.41% ส่วนในสะเดาเทียมพบว่ามีปรมาณนอยที่สุด
0.24%
ผลการวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดด้วยวิธี High Pressure Liquid
Chromatography ในเมล็ดสะเดาไทยมีปรมาณสารอาซาดิแรคตน (az A) 35%, 1-tigloyl


azadirachtol (az B) 18%, และ 1-tigloyl-3-acetyl azadirachtol 25% nimbin 10% และ salannin

12% ในเมล็ดสะเดาอินเดียประกอบด้วย ปรมาณสารอาซาดิแรคตน (az A) 37%, 1-tigloyl

azadirachtol (az B) 10%, และ nimbin 15% และ salannin 38% ในสะเดาเทียมมีปริมาณสารอา
ซ า ดิ แ รค ต น (az A) 15%, 1-tigloyl azadirachtol (az B) 29%, แ ล ะ 1-tigloyl-3-acetyl




azadirachtol 48% nimbin 3% และ salannin 5% เมื่อเปรยบเทียบปรมาณสารอาซาดิแรคตน
และน้ ามันสะเดาที่พบ แสดงว่าสะเดาอินเดียมีคุณสมบัติในการก าจัดแมลงตลอดจนศัตรูพืชอื่นๆ
ได้ดีที่สุด รองลงมาคือ สะเดาไทย และสะเดาเทียม


อาซาดิแรคตน เป็นสารเตดตระนอรไตรเทอปีนอยด์ (Tetranortriterpinoids) เป็นสาร

ยับยั้งการสรางฮอรโมนเอ๊คไดโซน (ecdysone blocker) ท าให้แมลงไม่สามารถลอกคราบได้และ


ตายไปในที่สุด ซึ่งพอสรุปได้ว่า สารอาซาดิแรคตินมีผลต่อแมลงดังน ี้
1. ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่ หนอน และดักแด้

2. ท าให้หนอนหรือตัวอ่อนไม่ลอกคราบ

3. เป็นสารไล่ตัวหนอนและตัวเต็มวัย
4. ยับยั้งการกินอาหาร

5. ยับยั้งการวางไข ่

6. ท าให้การผลิตไข่ลดน้อยลง
7. ยับยั้งการสร้างสารไคติน

8. รบกวนการผสมพนธุ์และการสื่อสารเพื่อการผสมพันธุ์ของแมลง

9. ท าให้หนอนไม่กลืนอาหาร (ลดการเคลื่อนตัวของกระเพาะอาหาร)

สรุปข้อเปรียบเทียบของสะเดาไทยและสะเดาเทียม



ข้อเปรียบเทียบ สะเดาไทย สะเดาอินเดีย สะเดาเทียม


1. ชื่อวิทยาศาสตร์ Azadirachta indica var. siamesis Azadirachta indica A. Juss. Azadirachta excelsa (Jack) Jacobs.


Valeton.


2. การเจริญ เติบโตและสภาพ ปานกลางและทนความแห้งแล้ง โตช้าและทนความแห้งแล้ง โตเร็วและต้องการความชุ่มชื้น


ภูมิอากาศ




3. แหล่งปลูกที่ส าคัญ พบทั่วทุกภาคของไทย (ยกเว้นภาคใต พบในบางจังหวัด (เชน ชลบุ รี พบมากในภาคใต้ (ตั้งแต่ชุมพรลงไป)



ั้

บรเวณตงแตสุราษฎรธานลงไปมีการ สกลนคร)
ปลูกน้อย)

4. ฤดูออกดอก ติดผล ช่วงกลางเดือนธันวาคม เมษายน ของปี หมุนเวียนตลอดปี ชวงเดือนธันวาคม เมษายน ของปี

ถัดไป ถัดไป


5. ขนาดเมล็ด และปริมาณติดผล เมล็ดขนาดปานกลาง ผลดก เมล็ดขนาดเล็ก ผลปานกลาง เมล็ดโต แต่ติดผลน้อย


6. ลักษณะของใบ หยักเป็นฟันเลื่อย หยักเป็นฟันเลื่อย เรียบไม่หยัก


7. ส่วนที่น ามาใช้เป็นยารักษาโรค ใบ ดอก ราก และกิ่ง ใบ ดอก ราก และกิ่ง ใบ ดอก ราก และกิ่ง


8. ส่วนที่น ามาใช้ประโยชน์ป้องกัน เมล็ดและใบ เมล็ดและใบ เมล็ดและใบ


ก าจัดศัตรูพืช



7. ส่วนที่น ามาบริโภค ใบอ่อนและดอก รสขมน้อย ใบอ่อนและดอก รสขมมาก ใบอ่อนและดอก รสขมมาก


8. การใช้สอยเนื้อไม้ ล าต้นขนาดปานกลางและตั้งตรงพอใช ล าต้นแตกกิ่งเป็นพุ่ม ล าต้นโตและตั้งตรงดีมาก


ที่มา: เบ็ญจวรรณ (2542)

สรุปข้อเปรียบเทียบของสะเดาไทยและสะเดาเทียม



ข้อเปรียบเทียบ สะเดาไทย สะเดาอินเดีย สะเดาเทียม


1. ชื่อวิทยาศาสตร์ Azadirachta indica var. siamesis Azadirachta indica A. Juss. Azadirachta excelsa (Jack) Jacobs.


Valeton.


2. การเจริญ เติบโตและสภาพ ปานกลางและทนความแห้งแล้ง โตช้าและทนความแห้งแล้ง โตเร็วและต้องการความชุ่มชื้น


ภูมิอากาศ




3. แหล่งปลูกที่ส าคัญ พบทั่วทุกภาคของไทย (ยกเว้นภาคใต พบในบางจังหวัด (เชน ชลบุ รี พบมากในภาคใต้ (ตั้งแต่ชุมพรลงไป)



ั้

บรเวณตงแตสุราษฎรธานลงไปมีการ สกลนคร)
ปลูกน้อย)

4. ฤดูออกดอก ติดผล ช่วงกลางเดือนธันวาคม เมษายน ของปี หมุนเวียนตลอดปี ชวงเดือนธันวาคม เมษายน ของปี

ถัดไป ถัดไป


5. ขนาดเมล็ด และปริมาณติดผล เมล็ดขนาดปานกลาง ผลดก เมล็ดขนาดเล็ก ผลปานกลาง เมล็ดโต แต่ติดผลน้อย


6. ลักษณะของใบ หยักเป็นฟันเลื่อย หยักเป็นฟันเลื่อย เรียบไม่หยัก


7. ส่วนที่น ามาใช้เป็นยารักษาโรค ใบ ดอก ราก และกิ่ง ใบ ดอก ราก และกิ่ง ใบ ดอก ราก และกิ่ง


8. ส่วนที่น ามาใช้ประโยชน์ป้องกัน เมล็ดและใบ เมล็ดและใบ เมล็ดและใบ


ก าจัดศัตรูพืช



7. ส่วนที่น ามาบริโภค ใบอ่อนและดอก รสขมน้อย ใบอ่อนและดอก รสขมมาก ใบอ่อนและดอก รสขมมาก


8. การใช้สอยเนื้อไม้ ล าต้นขนาดปานกลางและตั้งตรงพอใช ล าต้นแตกกิ่งเป็นพุ่ม ล าต้นโตและตั้งตรงดีมาก


ที่มา: เบ็ญจวรรณ (2542)

19




ปริมาณน้ ามันสะเดาและอาซาดิแรคตินจากสะเดาชนิดต่างๆ



ชนิดของสะเดา น้ ามันสะเดา(%) อาซาดิแรคติน(%)

สะเดาไทย 38.20 0.41

สะเดาอินเดีย 45.45 0.49

สะเดาเทียม 31.80 0.24


ที่มา: เบ็ญจวรรณ (2542)



องค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดเมล็ดสะเดา



สารเคมีที่พบ สะเดาไทย (%) สะเดาอินเดีย (%) สะเดาเทียม (%)

Azadiractin (az A) 35 37 15

1-tigloyl azadirachtol (az A) 18 10 29

1-tigloyl-3-aectyl azadirachtol 25 - 48

nimbin 10 15 3


salannin 12 38 5


ที่มา: เบ็ญจวรรณ (2542)



การใช้ประโยชน์


1. การใช้ประโยชน์ของเนื้อไม้



เนื้อไม้สะเดามีสีแดงเข้มปนนาตาล เสียนค่อนข้างสน

ิ้
เป็นรวแคบๆ เนื้อค่อนข้างหยาบ เป็นมันเลือม แข็งทนทาน ตบ
แต่งค่อนข้างยาก แต่ขัดชักเงาได้ดี มีความถ่วงจ าเพาะประมาณ

ั้

0.56-0.85 มีความทนทานตามธรรมชาตตงแต 3.3-11.2 ปี
เฉลี่ยประมาณ 6.7 ปี และอาบน้ ายาได้ยาก เนื้อไม้สะเดามองดู
คล้ายๆ กับเนื้อไม้มะฮอกกาน เหมาะส าหรบใชในการก่อสราง







และท าเฟอรนเจอรเป็นอยางยง ไม้เสาที่ท าจากไม้สะเดา

ิ่
ค่อนข้างตรงแข็งแรงและพวกปลวกไม่ค่อยท าลาย ในประเทศ
ไทยจากการสอบถามชาวบ้านนยมใชประโยชนในการก่อสราง





20






ี้
บ้านเรอน เช่น ท าเสาบ้าน ท าฝาบ้าน เครื่องบนรับน้ าหนกจากพวกคาน ตง นอกจากนยังนิยมใช ้
ท าเครื่องมือเครื่องใช เพราะไม้สะเดามีความทนทาน ขัดชักเงาได้ดี

โดยทั่วไปแล้วส่วนในของไม้ที่เป็นแก่นจะมีความแข็งแรงทนทานมากกว่าส่วนนอกที่เป็น

กระพ เมื่อพิจารณาถึงโครงสรางไม้ทั้งทางด้านฟสิกส์และด้านเคมี พบว่า ไม้ที่มีสารแทรกในเนื้อ
ี้


ไม้มากจะมีความหนาแนนมาก และมักจะเป็นไม้ที่มีความทนทานด้วย ไม้ที่มีความทนทานตาม
ั้



ธรรมชาตสูงจะมีสีเข้มกว่าไม้ที่มีความทนทานตามธรรมชาตตา ดังนน ลักษณะความเข้มของสี


ื้
ี้
เนื้อไม้จึงเป็นตวบ่งชพนฐานที่ดีของความทนทานตามธรรมชาต ซึ่งสีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตใน

ส่วนของแก่นก็คือผลของสารแทรกที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสร้างแก่น (ยศนันท์, 2541)
2. การใช้ประโยชน์ทางด้านพลังงาน
ในด้านเชื้อเพลิงไม้สะเดาจัดเป็นไม้ชนดหนงที่เหมาะส าหรบปลูกเป็นไม้ฟน ใน



ึ่
ตางประเทศตามเมืองใหญ่ๆ ตอนภาคเหนอของประเทศไนจีเรยนยมปลูกไม้สะเดาเป็นไม้




เชื้อเพลิง เนื้อไม้สะเดามีปรมาณเถ้าตามาก (0.49-0.55%) ท าเป็นไม้เชื้อเพลิงได้ดี เพราะ


ปริมาณขี้เถ้าต่ าจะให้ค่าพลังงานความร้อนสูง (สดารัตน์ และคณะ, 2557) ล าต้นและกิ่งสะเดาใช ้

เป็นเชื้อเพลิงให้ค่าความร้อน 4,244-5,043 แคลอรี่ต่อกิโลกรัม (บุญฤทธิ์, 2544)



การใชประโยชนทางด้านพลังงานของสะเดา โดยนาส่วนของไม้สะเดา ได้แก่ เศษไม้
สะเดาขนาดเล็ก กิ่งขนาดเล็ก และปีกไม้ มาท าถ่านอัดแท่ง พบว่า การท าถ่านอัดแท่งจากเศษไม้
สะเดา โดยใชถ่านเศษไม้สะเดาบด 4,000 กรม ผสมกับแป้งมันส าปะหลัง ในอัตราส่วน 100,


200, 300 และ 400 กรม สามารถผลิตถ่านอัดแท่งไดทุกส่วนผสม ส่วนผสมที่สามารถผลิตถ่าน


อัดแท่งมีความยาวมากที่สุดและมีอัตราการผลิตสูงที่สุด คือ ส่วนผสมที่มีถ่านเศษไม้สะเดา

4,000 กรม กับแป้งมันส าปะหลัง 100 กรม โดยมีความยาวของแท่งถ่านทั้งหมดเท่ากับ 330


เซนตเมตร และมีอัตราการผลิตสูงสุดเท่ากับ 0.97 เซนตเมตรตอวินาที ส่วนผสมที่เหมาะสม


ที่สุด คือ ถ่านอัดแท่งที่มีส่วนผสมระหว่างถ่านเศษไม้สะเดาบด 4,000 กรัม กับแป้งมันส าปะหลัง

ี่
200 กรัม ซึ่งมีค่างานที่ได้เฉลยสูงที่สุด เท่ากับ 1.36 อัตราการเผาไหม้เฉลี่ยต่ าที่สดเท่ากับ 4.09
กรมตอนาที ประสิทธิภาพการใชงานเฉลียสูง






ที่สุด เท่ากับ 26.63 เปอรเซ็นต และมีค่า
พลังงานความรอนเฉลียเท่ากับ 5,748.85


แคลอรีต่อกรัม (ลักษมี และคณะ, 2557)
การท าถ่านอัดแท่งจากเศษไม้สะเดา

โดยใชถ่านเศษไม้สะเดาบด 4,000 กรม ผสมกับ

กาวแป้งมันส าปะหลังที่ระดับความเข้มข้น 5, 8,


10 และ 15 เปอรเซ็นต สามารถผลิตถ่านอัดแท่ง

21







ไดทุกสวนผสมเชนกัน ส่วนผสมที่สามารถผลิตถ่านอัดแท่งมีความยาวมากที่สุดและมีอัตราการ
ผลิตสูงที่สุดคือ ส่วนผสมที่มีถ่านเศษไม้สะเดาบด 4,000 กรม กับกาวแป้งมันส าปะหลัง 5



เปอรเซ็นต โดยมีความยาวของแท่งถ่านเท่ากับ 335 เซนตเมตร และมีอัตราการผลิตสูงสุด

เท่ากับ 0.97 เซนติเมตรต่อวินาที ส่วนผสมที่เหมาะสมที่สุด คือ ถ่านอัดแท่งที่มีส่วนผสมระหว่าง


ถ่านเศษไม้สะเดาบด 4,000 กรม กับกาวแป้งมันส าปะหลัง 5% ซึ่งมีค่างานที่ได้เฉลียสูงที่สุด

เท่ากับ 2.06 อัตราการเผาไหม้เฉลี่ยเท่ากับ 5.65 กรัมต่อนาที ประสิทธิภาพการใชงานเฉลี่ยสูง
ี่
ที่สุด เท่ากับ 33.87 เปอร์เซ็นต์ และค่าพลังงานความร้อนเฉลยสูงที่สุดเท่ากับ 5,710.71 แคลอร ี
ตอกรม (ลักษมี และคณะ, 2557) ถ่านที่มีอัตราการเผาไหม้สูงแม้จะท าให้นาเดือดเรวจรง แต ่







ถ่านจะเผาไหม้หมดไปเร็ว และจะสินเปลืองถ่านมากกว่าถ่านที่มีอัตราการเผาไหม้ต่ า (สิรลักษณ์
ั้
และคณะ, 2538) ดังนน ถ่านที่มีอัตราการเผาไหม้ต่ ากว่าจะถือว่ามีลักษณะที่ดีกว่าถ่านที่มีอัตรา
ื่
การเผาไหม้สูง และเนองจากถ่านที่มีอัตราการเผาไหม้สูงจะสินเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า



ี้

เชื้อเพลิงจะหมดเร็วกว่า นนหมายถึงประสิทธิภาพการใชงานตากว่าด้วย นอกจากนยงพบว่าค่า
ั่




พลังงานความรอนเฉลียของถ่านอัดแท่งที่ได้จะลดลงตามปรมาณแป้งมันส าปะหลังหรอระดับ
ความเข้มข้นของกาวแป้งมันส าปะหลังที่เพิ่มขึ้นด้วย (ลักษมี และคณะ, 2557)
3. การพัฒนาอุตสาหกรรมไม้
แผ่นใยไม้อัดซีเมนต์ (Wood cement board) เป็นผลตภัณฑกลุ่มหนึ่งในแผ่นไม้อัดสารแร่


ู่
(Wood mineral-bonds panels) และรวมอยในพวกผลิตภัณฑแผ่นไม้ประกอบ (Wood-based



ึ่

panels) ซึ่งเป็นวิทยาศาสตรและเทคโนโลยทางไม้ (Wood science and technology) ชนดหนงที่
ไดรับความสนใจมาก ประกอบกับแผ่นไม้ประกอบอื่นๆ ที่ใชกาวมีราคาสูงขึ้น และอันตรายจาก


ฝุ่นผงใยหิน (Asbestos fiber) จากแผ่นกระเบื้องซีเมนต์ใยหิน (Asbestos-cement board) และสาร


ื่

ระเหยฟอรมัลดีไฮด์ (Formaldehyde) จากแผ่นไม้อัดประกอบที่ใชกาวเป็นตวเชอม จาก
สภาวะการณ์ดังกลาวประกอบกับการรวมคุณสมบัติที่ดีของไม้และสารแร่ ซึ่งซีเมนต์ถูกนามาใช ้





มากที่สด จึงท าให้แผ่นไม้อัดซีเมนต์มีความเหมาะสมในการประยกตเป็นวัสดุเพื่อการก่อสร้างได้



อยางกว้างขวาง เนองจากสมบัตในการดูดซึมนาได้นอยกว่าไม้จรง เป็นฉนวนป้องกันเสียงและ


ื่
ความร้อน ทนทานตอการท าลายของแมลงและเห็ดรา และทนทานต่อการเผาไหม้ได้เป็นอยางดี







จึงท าให้แผ่นไม้อัดซีเมนตไดรบความสนใจน ามาใชในการก่อสร้างจนสามารถพฒนาเป็นอาคาร
ได้ทั้งหลัง เรยกว่า อาคารสิงก่อสรางส าเรจรป (Prefab buildings) เชน บ้าน ส านกงาน







โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น (วัลยุทธ และคณะ, 2557ก)
ิ้
การใช้เศษไม้ปลายไม้สะเดาจากการตัดฟันและแปรรูปมาผลิตเป็นแผ่นชนไม้อัดซีเมนต์




โดยนาชิ้นเกลดไม้สะเดาที่ไม่ผ่านการปรบสภาพ อัตราส่วนของชนเกลดไม้สะเดาต่อปูนซีเมนตที่

ิ้







30:70 หรอ 35:65 โดยใชแคลเซียมคลอไรด์เป็นสารเรงการแข็งตวของปูนซีเมนต แตตอง

22





ปรับปรุงสมบัติในด้านการพองตัวตามความหนาของแผ่นให้ตาลง และต้องเพิ่มค่าความต้านแรง




ิ่



ดัด และค่ามอดุลัสยดหยุ่นของแผ่นโดยเพมปรมาณสารเรงการแข็งตวของปูนซีเมนต หรอปรบ







ิ้

สภาพชนเกล็ดไม้ด้วยกรรมวิธีอื่น เชน แชในนารอน หรอแชในสารเคมี เป็นตน (วัลยทธ และ
คณะ, 2557ข)
ไม้สะเดามีศกยภาพในการนามาผลิตแผ่นใยไม้อัดความหนาแนนปานกลาง ที่ความ




หนาแนน 750 กก./ลบ.ม. โดยใชกาวยูเรียฟอรมาลดไฮด์ที่มีการปลดปล่อยสารระเหยฟอรมัลดี











ไฮด์ไม่เกิน 5.0 มก./ล. แผ่นที่ไดมีสมบัตที่ดี มีค่าการดูดซึมนาตา แตตองปรบปรงสมบัตในด้าน





การพองตวตามความหนาของแผ่นให้นอยลง หากตองการแผ่นที่ไม่มีสารระเหยฟอรมัลดีไฮด์


ิ่

ควรใช modify starch เป็นสารเชอมแทนกาวยูเรยฟอรมัลดีไฮด์แตตองเพมปริมาณสารที่ใชมาก




ื่
ขึ้น เพอเป็นการเพมค่าความต้านแรงดด ความต้านแรงดึงตั้งฉากกับผิวหนา และลดค่าการพอง
ื่
ิ่


ตัวตามความหนา (ปิยะวดี และคณะ, 2557ก)
ไม้สะเดาอายุ 16 ปี ท าเป็นไม้บางและแผ่นไม้อัด 3 ชน มีความหนาแน่นของไม้บางอย ู่
ั้
ในระดับ 0.76 กรมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร สูงกว่าความหนาแน่นของไม้บางสะเดาเทียม แต่มีค่า

ใกล้เคียงกับไม้บางยางนา เนื้อไม้บางสะเดาที่ได้ค่อนข้างหยาบ มีสีแดงปนนาตาล มีลักษณะ

ี้


เสียนสน ไม้บางสะเดาจากแก่นมีการหดตวด้านสัมผัสสูงกว่าไม้บางสะเดาจากกระพ (ปิยะวดี
ี้



และคณะ, 2557ข) ซึ่งการหดตวของไม้บางนเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเกิดตาหนระหว่างการ

อบไม้บาง ไม้บางที่มีการหดตวสูงมักมีแนวโนมที่จะเกิดรอยแตกแยกบนผิวไม้ รอยฉีกขาดบนผิว



ไม้บาง เกิดการโค้งงอ ท าให้ผิวและขอบไม้บางมักเป็นลูกคลืน เป็นผลให้คุณภาพในการตดกาว
ของไม้อัดตาลง (มนตรี, 2537) แผ่นไม้อัดสะเดาประเภทการใช้งานภายนอกที่ใช้กาว methylene

ุ่

diphenyl diisocyanate (MDI) มีค่าความตานแรงดัด ค่ามอดุลัสยดหยน และค่าความตานแรง


เฉือนเฉลี่ยผ่านตามเกณฑ์มาตรฐาน (ปิยะวดี และคณะ, 2557ข)
4. ประโยชน์ด้านอื่น

4.1 สกัดท าน้ ามัน เมล็ดของไม้สะเดาจะให้นามันประมาณ 45% ของนาหนก ซึ่ง


น้ ามันที่ได้รับจะใช้ประโยชน์ในการท าน้ ามันเชื้อเพลิงจุดตะเกียง น้ ามันหล่อลื่นเครื่องยนต

4.2 ท าปุ๋ย เนื้อหุ้มเมล็ดในช่วงขณะที่เนาเปื่อยจะให้พวกก๊าซมีเทนสูง ส่วนใบและ








กิ่งจะชวยปรบปรงดิน ในประเทศศรลังกา อินเดีย และพม่า นยมใชเป็นปุ๋ยหมักและปุ๋ยอินทรย์




เศษเหลือของเมล็ดหลังจากคั้นเอานามันไปแล้วใชเป็นปุ๋ยได้เป็นอยางดี เพราะมีธาตอาหาร

ี้
มากกว่าปุ๋ยหมัก จากคุณสมบัตในข้อนประเทศอินเดียได้มีการนาตนสะเดาเข้าไปปลูกในแถบ


ื้
แห้งแล้ง เพื่อช่วยปรับปรุงดินในพนที่แห้งแล้งหลายแห่ง ปรากฏว่าประสบผลส าเร็จเป็นอย่างด ี
4.3 อตสาหกรรมเคมี เปลือกของตนสะเดามีสารจ าพวกนาฝาด (tannin)




ประมาณ 12-14% จากการศึกษาในประเทศอินเดียพบว่าน้ าฝาดที่ไดจากการสกัดจากต้นสะเดา

23






ใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าน้ าฝาดที่ได้จากพืชชนดอื่น นามันที่ได้จากสะเดานิยมใช้ในการท าสบู่ ผสมยา
ี้
รักษาโรคและเครื่องส าอาง นอกจากน เปลือกสะเดาให้สีแดงใช้ในการย้อมผ้า



การทดลองใชสารสกัดทางชีวภาพ (สะเดา) ในการป้องกันรกษาเนื้อไม้ยคาลิปตัส อายุ


5 ปี และไม้สะเดา อาย 7 ปี ในท้องที่จังหวัดยโสธร พบว่า ไม้ยคาลิปตสและสะเดา หลังการแช ่


ด้วยสารสกัดทางชวภาพ มีลวดลายสวยงาม เด่นชดขึ้น ไม่เกิดการเสียดสี มีกลินของสารสะเดา




เล็กนอย ความสามารถในการดูดซับสารสกัดทางชวภาพในสภาวะสดและหลังการอบแห้ง
ิ่

ิ่
เพมขึ้นตามระยะเวลาที่เพมขึ้น ปรมาณการดูดซับสารสกัดทางชวภาพในแตละชวงเวลามีความ





แตกตางอยางมีนยส าคัญยงทางสถิต การดูดซับสารสกัดทางชวภาพในสภาวะหลังการอบแห้ง



ิ่




ดีกว่าในสภาวะสดทั้งของไม้ยคาลิปตสและไม้สะเดา แตการดูดซับของไม้สะเดาสูงกว่าไม้ยคา


ลิปตสทั้งในสภาวะสดและสภาวะหลังการอบแห้ง ส่วนความสามารถในการรกษาเนื้อไม้พบว่า


ในระยะเวลา 4 เดือน ไม้สะเดายังไม่พบการท าลายของเชื้อราและศตรูไม้ชนดอื่นทั้งไม้ที่ผ่านและ
ไม่ผ่านการแช่สารสกัดทางชีวภาพ ส่วนไม้สะเดาที่มีเปลือกพบว่า ไม้ที่ฝังดินครึ่งท่อน เมื่อเวลา

ผ่านไป 1 สัปดาห์ จะมีปลวกท ารงขึ้นปกคลุมไม้ทั้งหมด 67 เปอรเซ็นตของไม้ทดลองทั้งหมด


ส่วนไม้ที่มีเปลือกวางสัมผัสดิน จะมีปลวกท ารงขึ้นปกคลุมไม้ทั้งหมด 50 เปอรเซ็นตของไม้





ทดลองทั้งหมด ส าหรบไม้ที่วางบนผิวปูนจะมีราที่ท าให้เกิดการเสียดสีขึ้นตรงชวงกลางที่เป็น
ี้
กระพทั้งหมดของไม้ทดลอง หลังเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ ปลวกและเชื้อราน้อยลง (สุรัต, 2548)

4.4 เป็นสารป้องกันก าจัดศัตรูพืช เรมศกษาค้นคว้าในเรองนในประเทศอินเดีย
ิ่

ี้
ื่

ั้
เมื่อปี 1982 หลังจากนนเป็นตนมาก็มีการศกษาในด้านเคมี โดยการสกัดและวิเคราะห์และ

ทดสอบสารจากส่วนต่างๆ ของต้นสะเดากับแมลงชนิดต่างๆ จนถึงปัจจุบันได้แพร่หลายไปทั่วโลก

ั้

ู่
จากการศกษารวบรวมของฉวีวรรณ (2530) พบว่าสารพษที่ผสมกันอยในสะเดานนมี
หลายชนด เช่น azadirachtin, nimbidin, nimbin ฯลฯ และในปี ค.ศ. 1984 Kubo และคณะได้สกัด

ั้

สาร deacetylazadirachtiuol จากเมล็ดสะเดา เป็นสารที่ยบยงการกินและการลอกคราบของ

ี้

แมลง วิธีการใชสารพษนที่ง่ายที่สุดคือ ใชเมล็ดสะเดาตาในครกให้แหลก ห่อผ้าขาวบางไว้แล้ว






น าไปแช่นา 1 คืน รอให้ส่วนของเมล็ดทีผ่านผ้าขาวบางออกมานอนก้นแล้วเทเอาแตน้ าไปใช กาก





เมล็ดที่ไดนาไปใสดิน ใชไล่แมลงในดินและเป็นปุ๋ยกับพชได้ อัตราส่วนที่กรมส่งเสรมการเกษตร

แนะน าคือ เมล็ดสะเดาสด 1 กิโลกรัม ต่อน้ า 1 ปีบ วิธีนเป็นวิธีที่สะดวกกับเกษตรกรมาก
ี้


ส่วนพษจากสะเดาสามารถใชกับแมลงได้หลายชนด ตามที่นกวิจัยตางๆ ได้ค้นคว้าไว้



ี้
ดังน เพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดดสีเขียวข้าว แมลงหวี่ขาวยาสูบ มอดแป้ง มอดข้าวโพด ด้วงถั่วเขียว

ด้วงหมัดหนอน ผีเสื้อกินใบส้ม ด้วงเตา จิ้งหรีด ตั๊กแตน หนอนม้วนใบข้าว หนอนเจาะสมอฝ้าย

แมลงวันผลไม้ และอื่นๆ อีกเป็นจ านวนมาก นอกจากใชจ ากัดแมลงแล้วยังใชก าจัดไสเดือนฝอย


ในดินได้อีกด้วย

24







โทษของสารสะเดา ซึ่งไดรวบรวมผลงานของนกวิจัยหลายท่านสรุปไดว่า สารสะเดาไม่







เป็นภัยตอคน หน และกระตาย แตจะเป็นภัยตอปลาชนด Gambusia sp. และลูกอ๊อด ถ้าใชใน
อัตราความเข้มข้นที่สูงกว่า 0.4%

ผลกระทบตอแมลงที่เป็นประโยชน จากรายงานประจ าปี IRRI (Anonymous, 1979) มี



รายงานว่า สารสกัดจากสะเดามีพษต่อมวนปีกแก้ว Cyrtorhinus lividganis แต่ไม่เป็นพษตอมวน


ทั้งชนด Microvelia atrotineenta และจากรายงานของ Srivastava and Parmari (1995) ที่ใชนา



สกัดจากสะเดาทดลองก าจัดเพลียอ่อนชนด Rhopnloaiglm maidis (Fitch) และ Mefanaghis



ี้

sacchari (Zehutuer) ในแปลงข้าวฟาง แล้วพบว่าสารสะเดาที่ใชนไม่เป็นภัยตอด้วงเตาและ

แมลงวันดอกไม้ ซึ่งเป็นตัวห้ าของเพลี้ยอ่อนแต่อย่างใด
สารสะเดาจะสลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกแสงแดดและจะถูกชะล้างจากฝนได้ง่าย ในการใช้จึง
ต้องผสมสารที่ป้องกันแสงแดดไว้ดวย เช่น ใช้ผงถ่านผสมในน้ ามันสะเดาในอัตราส่วน 1% จะช่วย





ยดประสิทธิภาพของนามันสะเดา (Saxena) Stoke and Redfern (1982) รายงานว่าถ้าใชนามัน





พช เชน นามันละหุ่งหรอนามันสะเดาผสมกับสารที่ได้จากสะเดาในอัตราส่วน 1 : 5 จะชวยลด

การสลายตัวของ azadirachtin จากแสงแดดได ้
R


ขวัญชย (2530) ได้ลองใชสารละลายสกัดจากเมล็ดสะเดาผสมกับ Foil เพอป้องกัน
ื่

การสลายตวจากแสงแดด ในการป้องกันก าจัดเพลียจักจั่นฝ้าย ซึ่งปรากฏว่าให้ผลดีกว่าการไม่

R

ี้
ผสมด้วย Foil นอกจากน Schmutterer et al. (1983) ได้ใชสารสกัดจากสะเดาผสมกับยาจับใบ
Citowett พ่นบนใบข้าวเพื่อให้ติดทนนานยิ่งขึ้น
การศกษาเปรยบเทียบสารสกัดสะเดาไทย (Azadirachta siamensis) ได้แก่ นามัน สาร








สกดจากเมล็ด และสารสกัดจากใบ ตอการตายของลกนายงลายบ้านระยะที่ 4 โดยวิธีจุ่มในสาร


ทดสอบ ความเข้มข้นในการทดสอบเป็นแบบเจือจางเป็นล าดับ ทดสอบกับลูกนา 25 ตว การ

ั้

ทดลองทั้งหมดท าซ ้า 4 ครง ใชนากลั่นเป็นตวควบคุม การทดสอบพบว่าความเข้มข้น 0.16 %


ของน ้ามัน และความเข้มข้น 0.8 % ของสารสกัดเมล็ดท าให้ลกน ้ายุงลายบ้านระยะที่ 4 ตาย 100
% ในระยะเวลา 48 ชวโมง ไม่มีการตายเกิดขึ้นในกลุ่มควบคุม สารสกัด สะเดาไทยที่มีผลต่อการ
ั่



ตายของลูกนาดีที่สุดคือนามันสะเดาไทยมีค่าความเข้มข้นตอการตายของลูกนา LC50 และ

LC90 ที่เวลา 48 ชั่วโมงเท่ากับ 0.0139 % และ 0.1277 % รองลงมาคือสารสกัดเมล็ดสะเดาไทย
ซึ่งมีค่าดังกล่าวเท่ากับ 0.2000 % และ 0.5087 % ส่วนสารสกัดใบสะเดาไทยมีค่าดังกล่าว

ี้

เท่ากับ 1.5147 % และ 6.3547 % นอกจากนยังพบว่าสะเดาไทยสามารถยบยั้งการเจรญเติบโต
ท าให้ระยะการเป็นลูกนาและตวโม่งยาวนานขึ้น อีกทั้งท าให้เกิดความพการในแตละระยะที่






ั้



พฒนาจากลูกนาไปเป็นตัวโม่ง และยงเป็นสารยบยงการกินอาหารของลูกนาอีกด้วย (รมยนลิน

และคณะ, 2555)

25






สารสกัดสะเดาไทย (Azadirachta siamensis) ทั้งในรปแบบของนามัน สารสกัดเมล็ด
ั้



และสารสกัดจากใบ ล้วนมีผลต่อลูกนายงลายบ้าน ทั้งในแง่ของการเป็นสารฆาแมลง สารยับยง
ึ้
การเจริญเติบโต ท าให้ระยะของลูกน ้าและตัวโม่งยาวนานขน อีกทั้งท าให้เกิดความพิการในแต่ละ
ระยะที่พฒนาจากลูกนาไปเป็นตวโม่ง และยงเป็นสารยบยงการกินอาหารของลูกนาอีกด้วย





ั้

ความเข้มข้น 0.16 % ของนามันสะเดาไทย และความเข้มข้น 0.8 % ของสารสกัดเมล็ดสะเดา

ไทย ท าให้ลกนายงลายบ้านระยะที่ 4 ตาย 100 % ในระยะเวลา 48 ชวโมง ในขณะที่สารสกดใบ
ั่





สะเดาไทยที่ความเข้มข้น 4.00% ไม่ท าให้ลูกนายงลายบ้านตาย 100 % ในระยะเวลาที่ทดสอบ



แต่สามารถท าให้ลูกนาตายมากกว่า 90 % ที่เวลา 36 ชั่วโมง สารสกัดสะเดาไทยที่มีผลตอการ



ตายของลูกน ้าดที่สดคือน ้ามันสะเดาไทย ซึ่งมีค่าความเข้มข้นต่อการตายของลกน ้า LC50 และ
LC90 ที่เวลา 48 ชวโมง เท่ากับ 0.0139 % และ 0.1277 % รองลงมาคือสารสกัดเมล็ดสะเดา
ั่
ไทย ซึ่งมีค่าดังกล่าวตอการตายของลูกนาเท่ากับ 0.2000 % และ 0.5087 % ส่วนสารสกัดใบ


สะเดาไทยมีค่าดังกล่าวเท่ากับ 1.5147 % และ 6.3547 % ดังนน อาจมีความเป็นไปได้ที่จะนา
ั้


สะเดาไทยซึ่งเป็นสมุนไพรท้องถิ่นที่สามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทยมาพฒนาเป็นทางเลือก
หนงในการควบคุมยุงในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (รมย์นลิน
ึ่
และคณะ, 2555) มานิตย (2543) กล่าวว่าสารสกัดสะเดาในความเข้มข้นต ่าสามารถฆาลูกน ้าได้



ึ้
มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนานขน โดยน ้ามันสะเดาไทยมีประสิทธิภาพดีที่สุดในการฆ่าลูกนายงลาย



บ้าน อาจเนื่องมาจากสารอิมัลซฟายเออร์ท าให้สารออกฤทธิ์ในน ้ามันกระจายตวในนาไดดีท าให้


ลูกน ้าสัมผัสสารได้เต็มที่


การศกษาปฏิกิรยาการตอบสนองของปลวกท าลายไม้ชนด Coptotermes gestroi



Wasmann ตอสารสกัดจากสะเดา โดยวิธี Feeding test โดยใชกระดาษกรองเป็นแหล่งอาหาร
และความชื้น ในลักษณะการทดสอบแบบ treated สารสกัดแล้วทดสอบทันทีกับ treated สาร

สกดแล้วทิ้งไว้ 1 เดือนจึงนามาทดสอบเพอดูฤทธิ์ตกค้าง และประเมินความเป็นพษโดยใชค่า LT



ื่


(Lethal time) เป็นการบอกความเป็นพษจะใชระยะเวลาในการท าให้สัตว์ทดลองตาย สารสกัด

จากสะเดาสามารถท าให้ปลวกตายได้ 100% ภายในเวลา 7 วัน (Lt 100= 7วัน) เชนเดียวกับการ

ทดสอบด้วยวิธี contact test ทั้งในลักษณะการทดสอบทันทีและในลักษณะพษตกค้าง สามารถ

ท าให้ปลวกตายได้ 100% ภายในเวลา 14 วัน (Lt = 14วัน) สารสกัดจากสะเดามีผลตอ
100
พฤตกรรมการเคลือนไหว และยบยงการกินอาหารของปลวก ซึ่งมีผลกระทบตออัตราการตาย

ั้



ของปลวก (ขวัญชัย และคณะ, 2557ข)



การศกษาความสัมพนธ์ของการเกิดโรคและความแข็งแรงของไม้สะเดาอาย 16 ปี
ภายหลังถูกเชื้อรา 6 ชนิด (Loweporus medullae-panis, Fomitopsis feei, Irpex sp., Pycnoporus

sanguineus, Gloeophyllum sepiarium และ G. stiatum) เข้าท าลายเนื้อไม้บรเวณส่วนโคนตน



ส่วนกลางต้น และส่วนปลายต้น พบว่า ไม้สะเดามีสัดสวนของการสูญเสียนาหนักของไม้ส่วนโคน

26










ตน : ส่วนกลางตน : ส่วนปลายตน เท่ากับ 1 : 2 : 5 ไม้มีการสูญเสียนาหนกเฉลีย 4.48% มี


สภาพการถูกท าลายไม่รนแรง จึงมีความทนทานตามธรรมชาตตอเชื้อรา และมีอายการใชงาน



เฉลียประมาณ 10-15 ปี ในด้านความแข็งแรงจากการดัดซึ่งวัดจากค่าความสามารถในการ

ต้านทานการแตกหัก (modulus of rupture: MOR) และค่าความสามารถในการด้านทานการโก่ง

(modulus of elasticity: MOE) พบว่า เนื้อไม้ส่วนโคนตน และส่วนกลางตน มีความแข็งแรง จาก


การดัดมากกว่าส่วนปลายตน เนื่องจากสภาพธรรมชาติของเนื้อไม้สะเดาเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความ

ทนทานตามธรรมชาต และความแข็งแรงจากการดัดตามมาตรฐานกรมป่าไม้ แม้ว่าไม่ผ่าน


กระบวนการป้องกันรกษาเนื้อไม้ จึงเหมาะสมตอการใชงานได้อยางมีประสิทธิภาพ (ยศนนท์





และคณะ, 2557) อยางไรก็ตาม หากมีการพฒนาคุณภาพเนื้อไม้โดยผ่านการอาบนายาป้องกัน

รักษาเนื้อไม้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ จะช่วยให้ไม้มีอายการใชงานสูงขึ้นกว่าอายความทนทาน



ตามธรรมชาติ 3-5 เท่า (ธีระ และคณะ, 2531)


จากการศกษาความทนทานตามธรรมชาตแบบฝังดินในระยะเวลา 6 เดือน ของไม้


สะเดาจากสวนป่าอาย 16 ปี พบว่า ไม้สะเดามีความทนทานตามธรรมชาตในระดับ “ทนทาน”



เนื้อไม้ถูกปลวกใตดินเข้าท าลายเสียหายเล็กนอย โดยมีค่าความเสียหายเฉลีย 16.29% ซึ่งค่า
ความเสียหายนลดลงอยางเห็นได้ชดเมื่อไม้สะเดาผ่านการอาบนายาป้องกันรกษาเนื้อไม้ด้วย


ี้


สารเคมีป้องกันรกษาเนื้อไม้ประเภทละลายน้ า 3 ชนด คือ Chromated Copper Arsenate (CCA),


Chromated Copper Boron (CCB) และ Ammonical Copper Quaternary (ACQ) ที่ระดับความ
เข้มข้น 1% 3% และ 6% โดยมีค่าความเสียหายของไม้ลดลงเหลือ 5.71%-9.14% นอกจากน ยง

ี้
พบว่า การอาบนายาป้องกันรกษาเนื้อไม้โดย


ั่

วิธีการแชเป็นเวลา 3 ชวโมง สามารถเพมความ
ิ่
ทนทานให้แก่ไม้สะเดาไดดีกว่าวิธีการจมเป็นเวลา

ุ่
5 นาที (สุวรรณา และคณะ, 2557)

การศกษาและทดสอบประสิทธิภาพ

ความทนทานของไม้สะเดาตอการเข้าท าลายของ

ปลวกใตดินที่มีความส าคัญทางเศรษฐกิจใน
ประเทศไทยชนด Coptotermes gestroi Wasmann


โดยใช้วิธีการทดสอบแบบบังคับเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ในห้องปฏิบัตการ และในภาคสนามใช ้
วิธีการทดสอบแบบเลือกอิสระเป็นระยะเวลา 6 เดือน ใช้ตัวอย่างไม้สะเดาจากสวนป่า พบว่า ไม้

สะเดาที่ท าการทดสอบทั้งในห้องปฏิบัตการและในภาคสนาม มีระดับความเสียหายที่เกิดจาก

ู่
การเข้าท าลายของปลวกอยในระดับที่ยอมรบได้ มีความเสียหายนอย สามารถทนทานตอการ


เข้าท าลายของปลวกได้ เป็นไม้ที่ควรส่งเสริมให้ใช้ประโยชนในทางเศรษฐกิจตอไป (ขวัญชย และ



คณะ, 2557ก)

27




4.5 เป็นพืชสมุนไพรรักษาโรค




ในประเทศไทย สมาคมสมุนไพรแห่งประเทศไทยไดจัดตนสะเดาเป็นสมุนไพรชนด
หนึ่ง จากข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กลาวว่า สะเดา เป็นผักสมุนไพรพนบ้านที่

ื้

อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการเตมเปี่ยม ประกอบด้วยสารอาหารโปรตน แร่ธาตุ และวิตามิน



ี้




ที่จ าเป็นตอรางกาย นอกจากน ยงมีสารตานอนมูลอิสระ ชวยชะลอความเสือมของเซลล์ตางๆ






ในรางกายที่จะท าให้เกิดปัญหาทางสุขภาพตามมาได เชน ภาวะความจ าเสือมหรออัลไซเมอร์

ระบบภูมิคุ้มกันลดลง และโรคมะเรง เป็นตน ยอดสะเดาตอ 100 กรม ให้คุณค่าทางโภชนาการ




ดังน ี้
- พลังงาน 76 กิโลแคลอร

- คาร์โบไฮเดรต 12.5 กรัม

- โปรตน 5.4 กรัม
- ไขมัน 0.5 กรัม
- เส้นใยอาหาร 2.2 กรัม
- น้ า 77.9 กรัม
- เบต้าแคโรทีน 3,611 ไมโครกรัม
- วิตามินบี1 0.06 มิลลิกรัม
- วิตามินบี2 0.07 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 194 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 354 มิลลิกรัม

- เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม

- ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม

สะเดาไทยมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ สะเดายอดเขียวและสะเดายอดแดง ซึ่งสะเดายอดเขียว



จะมีความขมนอยกว่าหรอบางตนอาจจะขมนอยจนได ้ชอว่า สะเดาหวานหรอ สะเดามัน แต ่



ื่

ส าหรับสะเดายอดแดงจะมีความขมมากกว่าและเกือบทุกสวนของต้นสะเดาล้วนมีสรรพคุณทาง
ยา ดังน
ี้
1) เปลือกราก เปลือกต้น และผลอ่อน เป็นยาเจริญอาหาร แก้ไข้มาลาเรีย
2) เปลือกราก เป็นยาสมานแผล แก้บิด แก้โรคผิวหนัง ใช้แก้ไข้ ท าให้อาเจียน
3) ก้านใบ ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น แก้ไข้

4) ใบ เป็นยาพอกฝี

5) ใบ เมล็ด เป็นยาฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อ
6) ใบอ่อนและดอก เป็นยาช่วยเจริญอาหารและช่วยย่อยอาหาร

7) ดอก แก้พิษเลือดก าเดา บ ารุงธาต ุ

28





8) ผล บ ารุงหัวใจ เป็นยาระบาย แก้อาการหัวใจเต้นผิดปกต
ี้
9) กระพ แก้น้ าดีพิการ

10) แก่น แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไข้จับสั่น บ ารงโลหิต บ ารุงธาตุไฟ
11) ราก แก้เสมหะในล าคอ แก้เสมหะที่เกาะแน่นในทรวงอก


12) ยาง ดับพิษร้อน ถอนพิษไข
13) เปลือกรากแก้ว แก้ไข้ ท าให้อาเจียน แก้โรคผิวหนัง

14) ผลอ่อน ใช้ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง และปัสสาวะพิการ


ื่
4.6 ปลูกเพื่อเป็นแนวกันลมและเป็นไม้ให้ร่ม เนองจากมีใบหนาทึบ รากลึก ทน
แล้ง ทนดินเค็ม ผลัดหรือทิ้งใบในเวลาสั้น มีดอกด มีลูกมีใบ ในระหว่างฤดูร้อน


29




เอกสารอ้างอิง








ขวัญชย เจรญกรง, วรรษชล เพงแยม, ธิดาวรรณ ชมเดช และนฤชา จากปล้อง. 2557ก.
ประสิทธิภาพของไม้สะเดาตอการเข้าท าลายของปลวกท าลายไม้และแนวทางเพม

ิ่
มูลค่าทางเศรษฐกิจ, น. 55-67. ใน วิจัยการใชประโยชนไม้สะเดาเพอเพมมูลค่าทาง

ื่

ิ่
เศรษฐกิจ. ส านักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.

ขวัญชย เจรญกรุง, วรรษชล เพงแย้ม, ธิดาวรรณ ชมเดช และนฤชา จากปล้อง. 2557ข. การ



ใชสารสกัดจากสะเดาในการป้องกันก าจัดปลวกใตดิน, น. 135-146. ใน วิจัยการใช ้

ประโยชนไม้สะเดาเพอเพมมูลค่าทางเศรษฐกิจ. ส านกวิจัยและพฒนาการป่าไม้ กรม

ื่


ิ่
ป่าไม้, กรุงเทพฯ.





ขวัญชย สมบัตศร. 2530. การใชสารสกัดจากเมล็ดสะเดาในการป้องกันก าจัดเพลียอ่อน


Myzus persicae (Sulzer) และเพลียจักจั่นฝ้าย Amrasca biguttula (Ishida), น. 44-51.
ใน รายงานการประชมทางวิชาการ เรอง “ปัญหาแมลงปากดูดและไรที่ส าคัญของพช

ื่

เศรษฐกิจในประเทศไทย” สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย, 16-17 กรกฎาคม
2530. กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.
. 2540. สะเดา: มิติใหม่ของการป้องกันและก าจัดแมลง. ภาควิชากีฏวิทยา
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. 215 น.
ื่
ฉวีวรรณ หุตะเจรญ. 2530. สะเดา-ข้อมูลเรองการใชเป็นสารก าจัดแมลง. วนสาร 45(3):


201-214.

ไซมอน การดเนอร, พนดา สิทธิสุนทร และวิไลวรรณ อนุสารสุนทร. 2543. คู่มือศกษาพรรณ



ไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย. หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 545 น.


ณรงค์ ชจิตร และพทยา เพชรมาก. 2548. ผลของขนาดถุงกล้าไม้และระยะปลูกที่มีตอการ



เจรญเตบโตของไม้สะเดาในการปลูกสรางสวนป่าเชงประณีต, น. 204. ใน เอกสาร


ผลงานทางวิชาการ (บทคัดย่อ) ผลงานการประเมินบุคคลเพอแต่งตั้งให้ด ารงต าแหน่งใน
ื่

ระดับ 6, 7 และ 8 ปีงบประมาณ 2544-2545. กลุ่มงานวนวัฒนวิจัย ส านกวิจัยการ
จัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.




ธีระ วีณิน, ศภศร อภินนท์ธรรม, ประสิทธิ์ นมนวลฉวี และอรโณทัย วงค์ศร. 2531. รายงาน


ิ่
ผลการทดลองของไม้อาบน้ ายา. เอกสารวิชาการกรมป่าไม้ เลขที่ ร. 295. 31 น.
ื้
นันทวัน บุญยะประภัสสร และอรนุช โชคชัยเจริญพร. 2542. สมุนไพรพนบ้าน. กรุงเทพฯ.

30






บรรดิษฐ์ หงษ์ทอง. 2543. การทดลองถิ่นก าเนดไม้สะเดาที่จังหวัดสุราษฎรธาน.

วารสารวิชาการป่าไม้ 2(2): 103-116.








บุญชบ บุญทวี, เกียรตก้อง พตรปรชา, ธิต วิสารตน และสมบูรณ์ กีรตประยร. 2532. มวล





ื้
ชีวภาพเหนอพนดินของไม้โตเร็ว 5 ชนด อาย 5 ปี ในสวนป่าระยะปลูกตางกัน. เอกสาร


เผยแพรทางวิชาการป่าไม้ เล่มที่ 25. งานนเวศวิทยา ฝ่ายวนวัฒนวิจัย กองบ ารุง กรม
ป่าไม้, กรุงเทพฯ.



บุญชบ บุญทวี, สุขสนต สายวา และพรศักดิ มีแก้ว. 2540. การศึกษาเรื่องไม้สะเดาไทย. ส่วน

วนวัฒนวิจัยส านักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. กรุงเทพฯ. 28 หน้า.

บุญฤทธิ์ ภูรยากร. 2526. ไม้สะเดา. เอกสารเผยแพร่ทางวิชาการป่าไม้ เล่มที่ 7. ฝ่ายวนวัฒน
วิจัย กองบ ารุง กรมป่าไม้. 21 น.

. 2548. การเจริญเติบโตและผลผลิตของไม้สะเดาไทยในชวงอายุและความ
หนาแน่นที่ปลูกต่างกัน, น. 204. ใน เอกสารผลงานทางวิชาการ (บทคัดย่อ) ผลงานการ
ั้

ื่


ประเมินบุคคลเพอแตงตงให้ด ารงตาแหนงในระดับ 6, 7 และ 8 ปีงบประมาณ 2544-
2545. กลุ่มงานวนวัฒนวิจัย ส านกวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้,

กรุงเทพฯ.
บุญฤทธิ์ ภูริยากร, ทศพร วัชรางกูร และสิรินทร์ ติยานนท์. 2536. ไม้สะเดา, น. 184-197. ใน
เอกสารส่งเสริมการปลูกไม้ป่า. ฝ่ายวนวัฒนวิจัย กองบ ารุง กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.



บุญส่ง สมเพาะ, วิเชยร ปิยาจารประเสรฐ, อนงคณี เรอนทิพย, เชาวลิตร วงศศรแก้ว, เทพ







ประสิทธิ์ เทียวประสงค์, วรศลป์ แอ๊วสกุลทอง และภัทรสิน วงศศรแก้ว. 2557.

ื่
คุณสมบัตของไม้สะเดา, น. 3-12. ใน วิจัยการใช้ประโยชนไม้สะเดาเพอเพมมูลค่าทาง


ิ่
เศรษฐกิจ. ส านักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.

เบ็ญจวรรณ คฤหพฒนา. 2542. องค์ประกอบทางสารสกัดจากเมล็ดสะเดาและการใช ้



ประโยชน. กลุ่มพฒนาเคมีผลิตผลป่าไม้. ส่วนวิจัยและพฒนาผลิตผลป่าไม้ ส านก

วิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
ประพาย แก่นนาค. 2544. การขยายพนธุ์โดยไม่อาศยเพศของไม้ตระกูล Meliaceae. ส่วน


วนวัฒนวิจัย ส านักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ. 164 น.
ประสาท สถาพรพงศ. 2522. ความเจรญเตบโตของไม้สะเดา. ใน การสัมมนาทางวนวัฒนวิจัย



ื่
ั้
ค รงที่ 2 เรอ งไม้ โตเรว. วั นที่ 9-11 ม กราค ม 2522 ค ณ ะวนศาสต ร์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพ.

31





ประเสรฐ สอนสถาพรกุล, จ านงค์ กาญจนบุรางกูร, สุทัศน เล้าสกุล และสุจิตรา จางตระกูล.

2545. การผสมข้ามพนธุ์ระหว่างไม้สะเดาไทยและสะเดาเทียม, น. 24-36. ใน

ื่
ั้

รายงานการสัมมนาทางวนวัฒนวิทยา ครงที่ 7 "วนวัฒนวิทยาเพอพฒนาสวนป่า
เศรษฐกิจ". ระหว่างวันที่ 12-14 ธันวาคม 2544 ณ คณ ะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. ภาควิชาวนวัฒ นวิทยา คณ ะวนศาสตร์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ฝ่ายวนวัฒนวิจัย ส านักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้.



ประเสรฐ สอนสถาพรกุล, สุทัศน เล้าสกุล, จ านงค์ กาญจนบุรางกูร และวิเชยร สุมันตกุล.

2543. ระบบผสมพันธุ์ของไม้สะเดาไทย. วารสารวิชาการป่าไม้ 2 (2): 66-83.
ื่

ปิยะวดี บัวจงกล, วัลยทธ เฟองวิวัฒน และวีรญา ธรรมขันธ์. 2557ก. แผ่นใยไม้อัดความ

หนาแนนปานกลางจากไม้สะเดา, น. 104-113. ใน วิจัยการใชประโยชนไม้สะเดาเพอ
ื่



เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ. ส านักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.

. 2557ข. ไม้บางไม้อัดจากไม้สะเดา, น. 114-123. ใน วิจัยการใชประโยชน ์
ื่

ิ่

ไม้สะเดาเพอเพมมูลค่าทางเศรษฐกิจ. ส านกวิจัยและพฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้,
กรุงเทพฯ.






พงษ์ศกดิ สหุนาฬ, ปรชา ธรรมานนท์, บุญฤทธิ์ ภูรยากร, บัวเรศ ประไชโย และประเสรฐ ตยา

นนท์. 2534. การศกษาเบื้องตนเกี่ยวกับผลของความหนาแนนตอผลผลิตของสวนป่า




ไม้สะเดา. ใน การสัมมนาทางวนวัฒนวิทยา ครั้งที่ 4 เล่มที่ 1. 18-22 มกราคม 34 ณ
โรงแรมรีเจนท์มารีนา พัทยา อ าเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี.


พณ เกือกูล, วิโรจน ครองกิจศร และบุญชบ บุญทวี. 2540. การทดลองถิ่นก าเนดไม้สะเดา.





ส่วนวนวัฒนวิจัย, ส านักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. กรุงเทพฯ. 18 หน้า.


มนตรี พรหมโชติกุล, วินย โสมณวัตร และศรัณธร สุขวัฒนนิจกูล. 2537. การท าไม้บางไม้อัด

จากไม้สะเดาเทียม. ส่วนวิจัยและพฒนาผลิตผลป่าไม้ ส านกวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้,


กรุงเทพฯ. 36 น.
มานตย นาคสุวรรณ. 2543. ประสิทธิภาพของสารสกัดสะเดาและนามันสะเดาตอยงลาย





Aedes aegypti (L.). วิทยานิพนธ์ปริญญาโท มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.



ยศนันท์ พรหมโชตกุล, อรุณี วีณิน, อินทิรา พันธาสุ, กิตติพฒน์ ลิขิตวรโชติ, ปรียากรณ์ กลาใจ
ื่

และน้าตาล คุ้มตะโก. 2557. ความแข็งแรงและการเกิดโรคของไม้สะเดา เพอพัฒนา
ื่
ิ่

คุณภาพชวิต, น. 21-32. ใน วิจัยการใชประโยชนไม้สะเดาเพอเพมมูลค่าทาง


เศรษฐกิจ. ส านักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
ยศนันท์ พรหมโชติกุล. 2541. เชื้อราท าลายไม้. ร. 531 กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ. 260 น.

32











ื่
รมยนลิน เขียนจูม, วงเดือน ปั้นดี, สุภาวดี บุญชน สุเทพ ศิลปานนทกุล และขวัญชย สมบัตศร.

2555. ผลของสารสกัดจากเมล็ดและใบสะเดาไทยต่อการตายของลูกนายุงลายบ้าน, น.
1350-1357. ใน การประชมวิชาการแห่งชาต ครงที่ 9. ระหว่างวันที่ 6-7 ธันวาคม
ั้


2555 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตก าแพงแสน จังหวัดนครปฐม.
ลักษมี สุทธิวิไลรตน, ประภัสสร ภาคอรรถ, ขวัญรพ สิทตรสอาด และวัชรนทร แซ่ฟง. 2557.



ุ้





ื่
ิ่
พลังงานจากไม้สะเดา, น. 124-134. ใน วิจัยการใชประโยชนไม้สะเดาเพอเพมมูลค่า
ทางเศรษฐกิจ. ส านักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.






วรชาต ศรบุญแสน. 2546. ไม้ป่าบางชนดของไทย: ลักษณะ คุณสมบัต และการใชประโยชน.


กลุ่มงานวิชาการ ส านกบรหารจัดการในพนที่ป่าอนรกษ์ 1 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์
ื้


ป่า และพันธุ์พืช, กรุงเทพฯ.
วัลยทธ เฟองวิวัฒน์, ปิยะวดี บัวจงกล และวีรญา ธรรมขันธ์. 2557ก. ตารางอบไม้สะเดา, น.

ื่
68-80. ใน วิจัยการใช้ประโยชน์ไม้สะเดาเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ. ส านักวิจัยและ
พัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
. 2557ข. ผลกระทบของอัตราส่วนเกล็ดชนไม้กับซีเมนตตอสมบัตของแผ่น


ิ้

ื่

ิ้

ชนไม้อัดซีเมนตจากไม้สะเดา, น. 90-103. ใน วิจัยการใช้ประโยชนไม้สะเดาเพอเพม
ิ่
มูลค่าทางเศรษฐกิจ. ส านักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.






ศรณธร สุขวัฒนนจกูล, ทินกร พรยโยธา และกัญธิชา ปัสวาส. 2557. คุณสมบัตของไม้

เศรษฐกิจโตเรว (ไม้สะเดา) หลังจากแช่นาส้มควันไม้และอัดแนน, น. 81-89. ใน วิจัย



ิ่
การใช้ประโยชน์ไม้สะเดาเพอเพมมูลค่าทางเศรษฐกิจ. ส านักวิจัยและพฒนาการป่าไม้
ื่
กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
ศรณธร สุขวัฒนนจกูล. 2539. ความรเบื้องตนเกี่ยวกับการผึ่งไม้และอบไม้. เลขที่ ร. 476.


ู้


ส่วนวิจัยและพัฒนาผลิตผลป่าไม้ ส านักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ. 12 น.
สมยศ กิจค้า. 2536. ชนิดไม้ที่น่าสนใจในการส่งเสรมปลูกป่าภาคเอกชน. ศูนย์เมล็ดพันธุ์ไม้ป่า

อาเซียน–แคนาดา ส านักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ. 94 น.
สมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทย. 2526. ไม้และของป่าบางชนิดในประเทศไทย. กรมป่าไม้.



สิรลักษณ์ ตาตะยานนท์, มาลี ภานนาภา, วิจิตร อ๋องสมหวัง, ลักษมี เสชนะ และวินย ปัญญา



ธัญญะ. 2538. การศกษาคุณภาพและประสิทธิภาพการใชงานของถ่านไม้ Acacia
จ านวน 17 ชนด, น. 55-65. ใน รายงานประชมวิชาการป่าไม้ ประจ าปี 2537. กรม


ป่าไม้, กรุงเทพฯ
สุขสันต สายวา. 2540. การจัดการเมล็ดพนธุ์ไม้ป่าและวิธีปฏิบัตในเรอนเพาะชา. เอกสาร






เผยแพร. ส่วนวนวัฒนวิจัย ส านักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้.

33





ื่


ิ์

สุชาติ ไทยเพ็ชร์, เกรียงศกด เสพย์ธรรม, ศักดิ์พชิต จุลฤกษ์, อุฑารัตน ภู่ไพบูลย์, วัลยทธ เฟอง

วิวัฒน, บุญส่ง สมเพาะ, วิเชยร ปิยจารประเสรฐ และบางรกษ์ เชษฐสิงห์. 2547.



คุณลักษณะไม้ไทย. กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ. 306 น.






สุดารตน เกาลวณิชย, ปทุมวัน บุรตน และอุมาพร จงศร. 2557. องค์ประกอบทางเคมีของ



สะเดา, น. 13-20. ใน วิจัยการใชประโยชนไม้สะเดาเพอเพมมูลค่าทางเศรษฐกิจ.
ิ่
ื่
ส านักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.

สุทัศน์ เล้าสกล. 2543. การทดลองระยะปลูกไม้สะเดา, น. 126-136. ใน รายงานวนวัฒนวิจัย
ประจ าปี พ.ศ. 2543. ส่วนวนวัฒนวิจัย ส านักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้.

สุรชัย ชลดารงค์กุล และพรทิพย์ ผลวิชา. 2530. สารสกัดจากเมล็ดสะเดาใช้ก าจัดหนอนกินใบ
ขี้เหล็กและกินใบคูนได้. วนสาร 45 (3) 2530. 2 น.
สุรัติ กาญจนกุญชร. 2548. การศึกษาการใช้สารสกัดทางชวภาพ (สะเดา) ในการป้องกันรักษา




เนื้อไม้ยคาลิปตสและสะเดาไทย, น. 300. ใน เอกสารผลงานทางวิชาการ (บทคัดยอ)
ผลงานการประเมินบุคคลเพอแตงตงให้ด ารงตาแหนงในระดับ 6, 7 และ 8
ื่



ั้
ปีงบประมาณ 2544-2545. กลุ่มงานวนวัฒนวิจัย ส านกวิจัยการจัดการป่าไม้และ

ผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.

สุวรรณา อ่ าเผือก, ยวดี แก้วมณี และราเชนย เพชรประสงค์. 2557. ความทนทานของไม้


สะเดาจากสวนป่าปลูกและการป้องกันรกษาเนื้อไม้, น. 46-54. ใน วิจัยการใช ้


ิ่
ื่

ประโยชนไม้สะเดาเพอเพมมูลค่าทางเศรษฐกิจ. ส านกวิจัยและพฒนาการป่าไม้ กรม
ป่าไม้, กรุงเทพฯ.
Adebowale, K.O. and C.O. Adedire. 2006. Chemical composition and insecticidal properties
of the underutilized Jatropha curcas seed oil. African Journal of Biotechnology.
Vol. 5(10): 901-906.
Anonymous. 1979. Control and Management of Rice Pests. IRRI Anual Report for 1979.
213 p.
Asamoah, A and et al. 2011. Efficacy of extractives from parts of Ghanian pawpaw,
avocado and neem on the durability of alstonia. African Journal of Environmental

Science and Technology. Vol. 5(2): 131-135.
Chowdhry, T. and C.J.S.K. Emmanual. 1995. Provenance trial of Azadirachta indica at

AFRI, JODHPUR. Neem Newsletter, International Neem Network 2(3): 27-28

Eaton, R.A. and M.D.C. Hale. 1993. Wood: decay, pests and protection. Chapman & Hall,

London. 546 p.

34




Jotwani. M.G. and K.P. Srivastava. 1981. Neem insecticide of the future lll – Chemistry

toxicology and future strategy. Pesticides 15 (12): 12-15, 19.
Kijkar, S. 1992. Handbook: Planting stock production of Azadirachta spp. at the ASEAN –

Canada Forest Tree Seed Centre. ASEAN – Canada Forest Tree Seed Centre

Project, Muak–Lek, Saraburi, Thailand.
Schmutterer, H., R.C. Saxena and J. von der Heyde. 1983. Morphogenic effects of some

partially purified fractions and methanolic extracts of neem seeds on Mythimna

separata (Walker) and Gnaphalocrocis medinalis (Guenee). Z. ang. Ent. 95: 230-
238.

Srivastava, K.P. and B.S. Parmari. 1985. Evaluation of need oil emulsifiable concentrate

against sorghum aphids. IARI Neem Newsletter 2 (1): 7.
Stokes, J.B. and R.E. Sedfern. 1982. Effect of sunlight on Azadirachtin: antifeeding

potency. J. Environ. Sci. Health. A 17 (1): 57-65.

Troup, R.S. 1921. The Silviculture of Indian Trees Volume 1. London: Oxford University
Press. 178-183.

35


Click to View FlipBook Version