สืบสานตำนานเจ้าแม่อยู่หัว
วัดท่าคุระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
ตำนานเจ้าแม่อยู่หัว
เจ้าแม่อยู่หัวหมายถึง พระพุทธรูปทองคำที่สร้างแทนตัวบุคคลที่ชาว
บ้านท่าคุระบุคคลทั่วไปให้ความเคารพนับถือและเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์
ที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้เมื่อหลายร้อยปีมาแล้วจึงเป็นมรดกตกทอดมา
ให้คนรุ่นหลังได้เคารพสักการบูชาสืบต่อกันมา รวมทั้งเป็นเครื่องยึด
เหนี่ยวจิตใจ ที่รวมจิตใจเป็นหนึ่งทำให้ลูกหลานเกิดความรักความ
สามัคคีสืบมา
วัดท่าคุระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
เจ้าแม่อยู่หัว ประดิษฐานอยู่ที่วัดท่าคุระ หมู่ 9 ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ
จังหวัดสงขลา ขนาดหน้าตักกว้าง 2 นิ้ว สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยสุโขทัย
ตอนปลายหรืออยุธยาตอนต้น ประมาณ พ.ศ. 1900
ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่า เชื่อว่า เมื่อหลายร้อยปีมาแล้วมีเมืองหนึ่ง ในช่วงสมัยสุโขทัยตอน
ปลาย อยุธยาตอนต้นเจริญด้วยศิลปวัฒนธรรมอย่างยิ่ง (น่าจะเป็นเมืองนครศรีธรรมราชใน
ปัจจุบัน). เจ้าเมืองมีโอรสหนึ่งพระองค์ เรียกขานโดยทั่วไปว่าพระหน่อ (พระนามที่แท้จริงนั้นไม่
สามารถจำได้เพราะกษัตริย์เป็นสมมุติเทพมีพระนามยาว ๆ หลายพยางค์) พระหน่อเป็นที่รักใคร่
ของบิดามารดาและเหล่าอาณาราษฎร เพราะพระองค์ เป็นคนฉลาดเฉลียว พูดจาไพเราะอ่อน
หวาน
พระหน่อมักจะลงสรงน้ำที่ท่าน้ำอยู่เป็นประจำ และมีนางสนมดูแลเป็นอย่างดี อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พระ
หน่อสรงน้ำก็หายไป ค้นหาอย่างไรก็ไม่พบร่องรอย นางสนมจึงกราบบังคมทูลให้พระเจ้าอยู่หัวและพระ
ราชินีทรงทราบ พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วเป็นที่สุดและพระราชินีถึงกับเป็นลมหมดสติไป พอตั้งสติได้
พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงรับสั่งให้ทหารมหาดเล็ก เสนาบดีน้อยใหญ่ค้นหาอีกครั้งหนึ่งอย่างละเอียดแม้ได้
แต่ร่างกายที่ไร้วิญญาณก็ทรงพอพระทัยแล้ว แต่ค้นหาอย่างไรก็ไม่พบ
เพระรูปจำลองเจ้าแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ พระรูปจำลองเจ้าแม่อยู่หัว วัดท่าคุระ
พระองค์ทั้งสอง รับสั่งให้โหราธิบดีทำนายตรวจดูชะตาราศีของพระราชโอรส เมื่อโหราธิบดี
ได้ตรวจดู ก็พบว่าดวงชะตาของพระหน่อยังไม่ถึงชีวิต เพียงตกอยู่ในพระเคราะห์เล็กน้อย
ด้วยผลบุญกรรมที่เคยทำไว้แต่ปางก่อนที่เสวยอายุจึงทำให้ต้องพลัดพรากจากเมืองหลวง
ไป แต่ก็ไปในทางที่ดี จะพบผู้อุปการะอย่างดีและด้วยบุญบารมีต่อไปข้างหน้า จะมี
เกียรติคุณเกียรติศัพท์ เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป แล้วจะกลับสู้พระราชฐานในไม่ช้า
ขอให้ติดตามไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นที่ทุรกันดาร
เมื่อทราบดังนั้นพระองค์ก็สั่งให้เหล่าทหารตามหาพระหน่อ และในที่สุดก็สามารถตามหาพระหน่อเจอที่บ้านตา
พรหม ยายจัน ชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บผักเก็บฟืน ซึ่งก่อนที่ทหารจะเจอพระหน่อ ชาวบ้านในหมู่บ้านก็มักจะเข้าไป
พูดคุย ขอพรจากพระหน่อ เนื่องจากพระหน่อเป็นคนที่พูดจาอ่อนหวาน ผิวพรรณดี จึงทำให้เกิดความเคารพ
นับถือ ยำเกรง และเชื่อว่าเด็กคนนี้มีบุญญญาบารมี บางคนเจ็บไข้ได้ป่วย มีความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจ ได้มี
โอกาสพูดคุยกับพระหน่อตามอัธยาศัยก็สามารถหายไข้ คลายทุกข์บางคนปรารถนาสิ่งใด ได้อธิฐานบนบานก็ได้
รับผลสำเร็จ
เมื่อเกิดเหตุอัศจรรย์และมีปฏิหาริย์เช่นนี้ประชาชนทั่วไปต่างให้ความเคารพนับถือพระหน่อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่างก็
มากราบไว้และนำสิ่งของมาฝาก ทำให้ตายายเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปเช่นกัน
เมื่อทหารเจอพระหน่อจึงจะนำพระหน่อกลับเมืองหลวง และมีการสมโภชพระหน่อขึ้นในวันพุธแรมหนึ่งค่ำ เดือนหก
ก่อนพระหน่อกลับเมืองหลวง พระราชินีรับสั่งให้นายช่างทำทองตีทองให้แผ่นกว้างแล้วสลักรูปของพระหน่อลงใน
แผ่นทองนั้นมอบให้ตาพรหมและยายจัน ด้วยความซาบซึ้งน้ำพระทัยพระราชินี ตายายเรียกแผ่นทองคำสลักพระ
หน่อว่าเจ้าแม่อยู่หัว เหตุผลเพราะพระราชินีหรือเจ้าแม่อยู่หัวเป็นผู้มอบให้
ตาพรหมกับยายจันยังอยู่ที่หมู่บ้านพราหมณ์จันเหมือนเดิม เก็บรักษารูปสลักของพระหน่อในแผ่นทองคำ
ไว้อย่างดี แม้ไม่มีพระหน่อตัวจริงแล้วก็ตามแต่ประชาชนทั่วไปยังให้ความเคารพนับถือบนบานตามที่เคย
กระทำมาเหมือนตอนที่พระหน่อยังอยู่และได้รับผลสำเร็จทุกประการ ตา ยาย และชาวบ้านจึงพร้อมใจกัน
ยึดถือเอาวันพุธแรกข้างแรม เดือนหก ตามที่พระเจ้าอยู่หัวจัดพิธีสมโภชรับขวัญพระหน่อ กลางคืนมี
มโนราห์แสดงให้ชม รุ่งเช้าวันพฤหัส ใครบนบานศาลกล่าวว่าไว้อย่างไรก็แก้บนเสีย เช่น บางคนบนไว้รำ
มโนราห์
บ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
ต่อมาด้วยความโลภเห็นแก่ส่วนตน ผู้ที่เคารพศรัทธาบางคนที่ใกล้ชิดขอตัดแผ่น
ทองคำคนละนิดละหน่อย เพื่อนำไปบูชาที่บ้านตนเองหรือบางคนขโมยไปขาย ทำสร้อย
คอ ทำกำไล ใช้ประโยชน์ส่วนตนทำให้แผ่นทองคำนั้นสึกกร่อนลงไปทุกที คนที่นำไปทำ
สร้อยทำกำไล ทำต่างหู ก็เกิดแผลพุพอง เน่าเปื่ อยตามคอ หู ข้อมือ หรือมีเหตุเป็นไป
ต่าง ๆ นานา เลยทำให้บุคลเหล่านั้นเกิดความกลัว นำกลับมาไว้ที่เดิม
เมื่อความเรื่องการขโมยตัดแผ่นทองคำทราบถึงพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี และพระหน่อ พระองค์
จึงตรัสให้เอาทองคำที่เหลือเหล่านั้น หล่อเป็นพระพุทธรูปเก็บไว้ในผอบอย่างดี ในปีหนึ่งลูกหลาน
สามารถเห็นพระพุทธรูปแม่เจ้าอยู่หัวได้ครั้งเดียวตอนสรงน้ำ นั่นก็คือวันพุธแรกข้างแรมเดือน
หกเท่านั้น ซึ่งทำติต่อกันมานับร้อยปีมาแล้วและลูกหลานเจ้าแม่อยู่หัวเราต้องรักษาประเพณีสืบไป
ตำนานเจ้าแม่อยู่หัวทำให้เกิดประเพณีตายายย่านขึ้นมา
ประเพณีตายายย่าน เป็นประเพณีส่วนชุมชนที่สืบต่อกันมายาวนานกว่าหลายร้อยปี โดยชาวบ้านส่วนใหญ่จะ
เรียกประเพณีนี้ว่า ประเพณีทำบุญเดือนหก หรือประเพณีสมโภชเจ้าแม่อยู่หัววัดท่าคุระ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีใน
วันพุธ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ (หากปีใดแรม ๑ ค่ำไม่ตรงกับวันพุธจะต้องเลื่อนออกไป) ณ ดท่าคุระ หมู่ที่ ๙ บ้านท่าคุ
ระ ตำบลคลองรี อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
ภายในพิธีจะมีการอัญเชิญพระพุทธรูปเจ้าแม่อยู่หัว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่
เมืองของชาวท่าคุระ ออกมาจากภายในห้องมณฑป เพื่อให้ชาวบ้านที่เคารพศรัทธาได้มี
โอกาสสรงน้ำและกราบไหว้
โดยโอกาสสำคัญ ๆ เช่นนี้จะจัดขึ้นแค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น จึงทำให้ลูกหลานของชาว
บ้านท่าคุระ ตลอดจนคนที่ไปอาศัยอยู่ที่อื่นจะต้องกลับมาสักการะด้วยกันอย่างพร้อม
เพรียง ซึ่งพุทธรูปเจ้าแม่อยู่หัว เป็นพระพุทธรูปทองคำ ปางสมาธิ มีขนาดหน้าตักเล็ก
เพียง 2 เซนติเมตร และความสูงประมาณ 2.5 เซนติเมตร มีการสันนิษฐานว่าเป็น
พระราชินีในสมัยสุโขทัยตอนปลาย
ซึ่งในตำนานได้มีการเล่าขานกันมาต่าง ๆ นานา แต่ตำนานที่หลาย ๆ คนพูดถึง คือตำนานเกี่ยว
กับบุตรชายของเจ้าแม่อยู่หัวที่ได้ลงไปเล่นในท่าน้ำ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าแม่อยู่หัว
จึงทรงรับสั่งให้ทหารออกค้นหาบุตรชาย จนสุดท้ายได้ไปพบบุตรชายที่บริเวณหมู่บ้านท่าคุระ ที่มี
2 ตายายช่วยกันดูแลบุตรชายอย่างดี เมื่อเจ้าแม่อยู่หัวทราบข่าวจึงได้มีการมอบทองคำให้กับ
สองตายาย จากนั้นสองตายายจึงนำทองคำไปหล่อเป็นพระพุทธรูป จากนั้นพระพุทธรูปเจ้าแม่อยู่
หัวจึงได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่ชาวบ้านท่าคุระมาจนปัจจุบัน
นอกจากนี้ภายในงานประจำปี ยังได้มีการแสดงที่แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์
ความเป็นภาคใต้ นั่นคือ ‘โนราโรงครู’ ที่ชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่เจ้า
แม่โปรดปรานเป็นพิเศษ ประกอบกับการที่ชาวบ้านมักจะมาบนบานศาลกล่าว
ด้วยการนำโนรามาแก้บนก็มักจะสำเร็จทุกครั้งไป ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้โนรา
โรงครูกับประเพณีตายายย่านเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาตั้งแต่ในอดีต
ประตูไชยมงคล
โดยโนราโรงครูเป็นการร่ายรำโนราอย่างเต็มรูปแบบเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน คืนแรกจะเป็นการรำ
เพื่อไหว้ครู ประกาสเชิญราชครู รำแม่บท ออกพราน และปิดท้ายด้วยการแสดงแบบชาวบ้าน ต่อ
มาในคืนที่ 2 และ 3 จะเปิดโอกาสให้ชาวบ้านที่ได้บนบานเอาไว้ได้มารำแก้บน ซึ่งทางคณะก็จะมีชุด
โนราไว้ให้ชาวบ้านได้สวมใส่
ถือเป็นอีกหนึ่งประเพณีที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง แต่สำหรับชาวบ้าน ณ บริเวณ
นั้นก็ให้ความเคารพ และความศรัทธามาตลอดหลายร้อยปี