The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E_book_แนวทางปฏิบัติ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อุษณีย์ หลอดเณร, 2024-05-28 22:37:34

E_book_แนวทางปฏิบัติ

E_book_แนวทางปฏิบัติ

1 แนวทางปฏิบัติการพยาบาล เพื่อป้องกันภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร นางภาสินีนุช พงษ์ไพบูลย์ พยาบาลวิชาชีพช้านาญการ กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลสกลนคร จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2566


2 แนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ที่ปรึกษาคณะท้างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาล พญ.นัยนา ธนฐิติวงศ์ นายแพทย์ช านาญการพิเศษ คณะท้างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาล 1. พญ.ขวัญฉัตร ไกรรวีงามวิจิตร นายแพทย์ช านาญการ ประธาน 2. พญ.ปวีณ์นุช เหล่าจินดาพันธ์ นายแพทย์ช านาญการ คณะท างาน 3. นางสาวจรัสพร นวานุช เภสัชกรช านาญการ คณะท างาน 4. นางสาวเพชรดาว ทัศนคร นักโภชนกรช านาญการ คณะท างาน 5. นางสาวปริยากร เประกันยา นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ คณะท างาน 6. นางวาสนา แสนมหาชัย พยาบาลวิชาชีพช านาญการ คณะท างาน 7. นางภาสินีนุช พงษ์ไพบูลย์ พยาบาลวิชาชีพช านาญการ คณะท างานและเลขานุการ ผู้ใช้แนวทางปฏิบัติการพยาบาล 1. กลุ่มผู้ใช้แนทางปฏิบัติ คือพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในคลินิกโรคเบาหวาน แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสกลนคร 2. กลุ่มผู้ได้รับบริการตามแนวทางปฏิบัติ คือผู้ป่วยเบาหวานทั้งชายและหญิงที่มีอายุ 35 ปี ขึ้นไป ที่ ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าขณะมารับบริการที่ คลินิกโรคเบาหวาน แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสกลนคร ระดับน้ าตาลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มก./ดล. ที่ไม่ อยู่ในภาวะวิกฤตและไม่อยู่ในภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต วัน เดือน ปีที่จัดท้า / เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ 1 กันยายน 2566 เบอร์โทรศัพท์ 098 097 9017


3 ความเป็นมา ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า (Hypoglycemia) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ส าคัญและพบได้บ่อยๆ ในผู้ป่วย โรคเบาหวาน ซึ่งเกิดจากร่างกายมีระดับน้ าตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ส่งผลให้มีอาการแสดง ต่าง ๆ ได้แก่ เหงื่อแตก ตัวเย็น มือสั่น ตาพร่า คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน มึนเวียนศีรษะ ใจสั่น ใจเต้นเร็ว หรืออาจมีภาวะรุนแรงจนหมดสติ ชัก หรือเสียชีวิตได้ถ้าได้รับการวินิจฉัยและรักษาทันท่วงที จะท าให้การท างานของสมองที่บกพร่อง จากการขาดน้ าตาลกูลโคสกลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าภาวะนี้ ได้รับการวินิจฉัยและรักษาล่าช้าจะท าให้เซลล์สมองตาย และการท างานของเซลล์สมองบกพร่องอย่างถาวร หรือเกิดพยาธิสภาพที่หัวใจ มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นผลให้ผู้ป่วยทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าและภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าระดับรุนแรง ยังเป็นอุปสรรคส าคัญในการควบคุมระดับ น้ าตาลในเลือดให้เป็นปกติ ท าให้ประสิทธิภาพในการป้องกันและควบคุมภาวะ แทรกซ้อนระยะยาวที่เกิดจาก ภาวะหลอดเลือดเสื่อมลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังต่าง ๆ ตามมา ที่เกิดจากภาวะ หลอดเลือดเสื่อม ได้แก่ โรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (retinopathy) โรคไตจากเบาหวาน (diabetic nephropathy) และโรคระบบประสาทจากเบาหวาน (neuropathy) ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วย เบาหวานที่มีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าค่อนข้างสูง ในประเทศวีเดน คาดประมาณว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยที่ มีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าประมาณ 211,182,500 บาทต่อปี กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะระดับน้ าตาลในเลือด ต่ าระดับปานกลางเป็นกลุ่มที่เสียค่าใช้จ่ายมากที่สุด (เสาวภา บุญมั่ง. 2566) ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ ามักพบได้ บ่อยในผู้ป่วยสูงอายุที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังร่วม เช่น หัวใจหรือโรคไต ฯลฯ หรือผู้ป่วย เบาหวานที่เคยมีน้ าตาลในเลือดต่ าอยู่บ่อยๆ (Tight control or intensive therapy) (มะลิ สว่าง และคณะ. 2564) การจัดการเมื่อเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 แนวทางปฏิบัติสมาคม โรคเบาหวาน แนะน าว่า เมื่อเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าไม่รุนแรง ผู้ป่วยที่สามารถรับประทานได้ให้รับประทาน อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม โดยให้เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวเป็นล าดับแรก ซึ่งร่างกายสามารถย่อยเป็น กลูโคสและดูดซึมได้เร็ว ได้แก่ กลูโคสเม็ด 3 เม็ด หรือกลูโคสชนิดผล 15 กรัม น้ าส้มคั้น 180 มล. น้ าอัดลม 180 มล. หรือน้ าผึ้ง 3 ช้อนชา ส่วนในกรณีไม่รู้สึกตัวหรือรับประทานไม่ได้ให้ฉีดกลูโคสเข้าทางหลอดเลือดด า 25 กรัม และให้มีการติดตามระดับน้ าตาลในเลือดหลังให้รับประทานหรือฉีดกลูโคส 15 – 30 นาที (สมาคม โรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่ประเทศไทย และส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. 2560) ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ ารุนแรงในผู้ป่วยเบาหวาน เป็นสาเหตุน าของการเกิดโรคหลอดเลือด เช่น อัมพาต โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และการเกิดภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ าซ้ ายังสัมพันธ์อย่างนัยส าคัญกับภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่น าไปสู่ ความบกพร่องของการท า หน้าที่ทางด้านร่างกาย หกล้ม กระดูกหัก เกิดความกลัววิตกกังวล พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง หวาดระแวง แยกตัว ออกจากสังคม และความบกพร่องด้านการรับรู้ สติปัญญา เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม ท าให้ ผู้ป่วยอยู่ในภาวะพึ่งพา ติดเตียง พิการ และเพิ่มอัตรการตาย (Abdelhafiz AH, et al. 2015) รวมทั้งภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ าท าให้ขาดความร่วมมือในการรักษาเบาหวาน (poor adherence) เนื่องจากกลัวภาวะน้ าตาล ในเลือดต่ าและส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานมีคุณภาพชีวิตต่ า ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่ ว่าผู้ป่วยจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรืออยู่ที่บ้าน แต่ภาวะดังกล่าวสามารถป้องกันได้ หรือเมื่อเกิด ภาวะดังกล่าวแล้วสามารถประเมินเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และจัดการให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที บุคลากร


4 ทางการแพทย์หรือผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถประเมินภาวะดังกล่าวได้เร็ว และให้การจัดการช่วยเหลืออย่างถูกต้อง ก็ จะท าให้ผู้ป่วยปลอดภัย และลดอัตราตายจากความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ (บ าเหน็จ แสงรัตน์. 2559) ส าหรับข้อมูลสถิติของโรงพยาบาลสกลนคร แผนกผู้ป่วยนอก คลินิกโรคเบาหวาน พบว่า ในปี พ.ศ. 2564 – 2566 ผู้ป่วยเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี จ านวน 15,054 ราย, 19,880 ราย, 19,926 ราย ตามล าดับ โดยร้อยละ 92 เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในปี พ.ศ. 2564 - 2566 พบผู้ป่วยเบาหวานมี ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน คือภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ร้อยละ 25.8, 27.1, และ 28.3 ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ปัญหาของผู้ป่วยส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การใช้ยาไม่ถูกต้อง และไม่รู้จักอาการเตือนของ ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ส าหรับการปฏิบัติการพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า พบประเด็นดังนี้ 1) ผู้ป่วยมัก ได้รับการรักษาเพียงเฉพาะหน้า โดยไม่ได้หาสาเหตุของภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ท าให้ผู้ป่วยต้องกลับมารับการ รักษาซ้ า 2) ภาระงานมาก ท าให้พยาบาลขาดความตระหนักในการให้การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะน้ าตาลใน เลือดต่ า ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าต่อแผนการดูแลรักษา ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ระบบการ เฝ้าระวังภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในคลินิกโรคเบาหวานยังมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งภายใต้บริบทการ ท างานของคลินิกโรคเบาหวานนั้นยังไม่มีแนวทางปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาหรือค้นหาสาเหตุของการเกิดภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ าที่ชัดเจน เป็นแนวปฏิบัติไปในทางเดียวกัน จากการทบทวนวรรณกรรมประโยชน์ของการพัฒนาแนวปฏิบัติฯ ท าให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ตัดสินใจทางคลินิกได้ง่ายขึ้น ลดความหลากหลายของวิธีการปฏิบัติในเรื่องเดียวกัน ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนองค์ ความรู้ด้านสุขภาพ ความร่วมมือรวมทั้งการประสานงานในทีมสหสาขาวิชาชีพ ช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาด ในการปฏิบัติ และเป็นเครื่องมือการประเมินคุณภาพจากหน่วยงานภายนอก ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจ พัฒนาแนวทาง ปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาล สกลนคร โดยผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้แนวคิดการพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางคลินิกของสภาวิจัยด้านการแพทย์และสุขภาพ แห่งชาติประเทศออสเตรเลีย (NHMRC, 1999) มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกัน ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ทั้งนี้เพื่อให้พยาบาล และบุคลากรทางสุขภาพในโรงพยาบาล ได้มีแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 อย่างเป็นระบบมีมาตรฐาน ช่วยให้สามารถป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าได้อย่างรวดเร็วทันต่อ ภาวะความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวต่อระบบประสาทส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของ ผู้ป่วยเบาหวานต่อไป วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้พยาบาล บุคลากรทางสุขภาพในโรงพยาบาล ได้มีแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกัน ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างเป็นระบบมีมาตรฐาน 2. เพื่อให้สามารถป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าได้อย่างรวดเร็วทันต่อภาวะความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวต่อระบบประสาทส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเบาหวาน 3. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า สามารถควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดได้


5 ขอบเขตของแนวทางปฏิบัติ การพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ได้ประยุกต์ใช้แนวคิดการพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางคลินิกของสภา วิจัยด้านการแพทย์และสุขภาพแห่งชาติประเทศออสเตรเลีย (NHMRC, 1999) 12 ขั้นตอน โดยการด าเนิน งานวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เตรียมการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ระยะที่ 2 การพัฒนา แนวทางปฏิบัติ ระยะที่ 3 การประเมินผลของแนวทางปฏิบัติ ประกอบด้วย 4 หมวด ดังนี้ 1) การประเมินระดับ ความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2) การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือด ต่ า 3) การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน และการจัดการ ตนเองเมื่อมีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4) การติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาคุณภาพ การก้าหนดผลลัพธ์ด้านสุขภาพ การก าหนดผลลัพธ์ด้านสุขภาพโดยทีมพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ได้มีการก าหนดผลลัพธ์ด้านสุขภาพ (Health outcome) ดังนี้ 1. ความพึงพอใจของผู้ใช้แนวทางปฏิบัติ 2. ความพึงพอใจของผู้รับบริการ 3. ค่าเฉลี่ยค่าน้ าตาลในเลือด (FBS) 4. ค่าเฉลี่ยน้ าตาลในเลือดสะสม (HbA1C) 5. ร้อยละการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ขณะมารับบริการ กระบวนการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ การพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ที่ได้ประยุกต์ใช้แนวคิดการพัฒนาแนวทางปฏิบัติทางคลินิกของสภาวิจัย ด้านการแพทย์และสุขภาพแห่งชาติประเทศออสเตรเลีย (NHMRC, 1999) ประกอบด้วย 12 ขั้นตอน โดยการ ด าเนินงานวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3ระยะ คือ ระยะที่ 1 เตรียมการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ระยะที่ 2 การพัฒนา แนวทางปฏิบัติ ระยะที่ 3 การประเมินผลของแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ ระยะที่ 1 การเตรียมพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ขั นตอนที่ 1: ก้าหนดความต้องการและขอบเขตของแนวทางปฏิบัติ ก าหนดความต้องการและขอบเขตของการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาล ในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ซึ่งพบได้จากการปฏิบัติงาน 2 แหล่ง คือ 1) ปัญหาที่พบจากการปฏิบัติงาน 2) ปัญหาจากแหล่งความรู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจากการ ปฏิบัติงาน


6 ขั นตอนที่ 2: ก้าหนดทีมพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ผู้วิจัย ได้เชิญทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในการให้บริการในคลินิกโรคเบาหวาน เข้าร่วมเป็นคณะท างาน พัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิก โรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ประกอบด้วย แพทย์ จ านวน 2 คน เภสัชกร จ านวน 1 คน นักโภชนาการ 1 คน นักวิชาการสุขศึกษา 1 คน พยาบาลวิชาชีพ จ านวน 1 คน และผู้วิจัย รวมจ านวน 7 คน จากนั้นเชิญ ประชุมคณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแจ้งบทบาทหน้าที่ แผนการด าเนินงานของ คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ขั นตอนที่ 3: ก้าหนดวัตถุประสงค์กลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นผู้ใช้แนวทางปฏิบัติ การก าหนดวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายของแนวทางปฏิบัติ คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติได้ ร่วมกันก าหนดวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายของแนวทางปฏิบัติดังนี้ วัตถุประสงค์การพัฒนาแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้พยาบาล บุคลากรทางสุขภาพในโรงพยาบาล ได้มีแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาล ในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างเป็นระบบมีมาตรฐาน ช่วยให้สามารถป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือด ต่ าได้อย่างรวดเร็วทันต่อภาวะความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวต่อระบบ ประสาทส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเบาหวาน ส าหรับกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย 2 กลุ่มคือ 1) กลุ่มผู้ใช้ แนวทางปฏิบัติ คือพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ในปี 2566 2) กลุ่มผู้ได้รับบริการตามแนวทางปฏิบัติ คือผู้ป่วยเบาหวานทั้งชายและหญิงที่มีอายุ 35 ปี ขึ้นไป ที่ได้รับการ วินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าขณะมารับบริการที่ คลินิก โรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ระดับน้ าตาลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 70 มก./ดล. ที่ไม่อยู่ในภาวะวิกฤตและ ไม่อยู่ในภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ในระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 12 พฤษภาคม 2567 ขั นตอนที่ 4: ก้าหนดผลลัพธ์ด้านสุขภาพ การก าหนดผลลัพธ์ด้านสุขภาพโดยคณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ได้ทบทวนตัวชี้วัดคุณภาพ โรคเบาหวาน ของคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ได้มีการก าหนด ผลลัพธ์ด้านสุขภาพ (Health outcome) ดังนี้ 1. ความพึงพอใจของผู้ใช้แนวทางปฏิบัติ 2. ความพึงพอใจของผู้รับบริการ 3. ค่าเฉลี่ยค่าน้ าตาลในเลือด (FBS) 4. ค่าเฉลี่ยน้ าตาลในเลือดสะสม (HbA1C) 5. ร้อยละการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ขณะมารับบริการ ขั นตอนที่ 5: ทบทวนหลักฐานเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์ การทบทวนหลักฐานเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์ มีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ เพื่อ พิจารณาถึงประโยชน์และผลเสียที่เกิดขึ้นในการให้การพยาบาล โดยคณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ได้ ร่วมกันก าหนดการสืบค้นเพื่อหาหลักฐานเชิงประจักษ์เกี่ยวกับการดูแลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 ได้ก าหนดขอบเขตการสืบค้น ดังนี้


7 1. การก าหนดเกณฑ์ในการคัดเลือก คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติได้ก าหนดกรอบในการสืบค้น โดยใช้รูปแบบการก าหนดแบบตัวย่อ PICO (PICO frame work) (Sackett, et al., 1997 cited in Craig, Smyth, & Mullally, 2002: 23-24) ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 การใช้หลักการ PICO (PICO frame work) ในการคัดเลือกหลักฐานเชิงประจักษ์ PICO frame work การน้ามาใช้เป็นเกณฑ์คัดเลือกหลักฐานเชิงประจักษ์ P คือ Population ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 I คือ Intervention - ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า - การรับประทานอาหาร - การออกก าลังกาย - การใช้ยา C คือ Comparison Intervention ไม่มีการเปรียบเทียบ O คือ Outcome (ผลลัพธ์) ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2. การก าหนดค าส าคัญในการสืบค้น (Keyword หรือ Word หรือ Phrase) ค าส าคัญที่ใช้ในการ สืบค้น ประกอบด้วย ค าที่เป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยใช้กรอบของ PICO (PICO frame work) ก าหนดเกณฑ์ในการสืบค้น ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 ค าส าคัญที่ใช้ในการสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ หลักฐานเชิงประจักษ์ ค้าส้าคัญที่ใช้ในการสืบค้น (Keyword หรือ Word หรือ Phrase) ภาษาไทย - แนวทางปฏิบัติ / การรักษา / การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 - พฤติกรรมการรับประทานอาหาร, พฤติกรรมการออกก าลังกาย, พฤติกรรมการใช้ ยา เพื่อควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด ภาษาอังกฤษ - Glycemic control / glycated hemoglobin concentration - Hypoglycemia in Diabetes Mellitus type 2 - Behavior management of diet, Exercise, drug for Glycemic control - Prevent hypoglycemia in patients with type 2 diabetes 3. การก าหนดแหล่งสืบค้น คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติได้ก าหนดแหล่งสืบค้นการวิจัยครั้งนี้ เป็นการสืบค้นบทความวิจัยและบทความวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากระบบข้อมูลสารสนเทศ ของศูนย์บรรณสาร และสื่อการศึกษาฐานข้อมูล Online Databases และการใช้โปรแกรมในการค้นหา (Search engine) และวารสารออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือคือ Diabetes care ดังตารางที่ 3


8 ตารางที่ 3 แหล่งในการสืบค้นและชื่อฐานข้อมูล แหล่งในการสืบค้น ชื่อฐานข้อมูล / เว็บไซต์ ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษาฐานข้อมูล - Thai Library Integrated System (ThaiLIS) - Science Direct - Springer Link Search engine - Google advanced scholar Internet Online - http://care.diabetesjournals.org - http://hr.ptho.moph.go.th - http://www.banphuehospital.com - www.guideline.gov, - www.joannbringgs.edu.au - www.cochrange.com 4. การคัดเลือกหลักฐานเชิงประจักษ์ในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร คณะท างานพัฒนา แนวทางปฏิบัติ ได้ใช้บทบาทสมรรถนะการปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูง ในการคัดเลือกหลักฐานความรู้เชิง ประจักษ์ เพื่อน าผลการวิจัยมาใช้ในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ โดยค านึงถึงความเป็นไปได้ และความเหมาะสม กับบริบทของหน่วยงาน ผลการสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งหมด 156 เรื่อง ได้คัดเลือกมาใช้ในการพัฒนา แนวทางปฏิบัติ จ านวน 33 เรื่อง 5. การประเมินคุณภาพจัดระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐานเชิงประจักษ์ โดยการจัดระดับคุณภาพ ความน่าเชื่อถือของหลักฐานเชิงประจักษ์เป็นสิ่งส าคัญที่ช่วยให้มีความมั่นใจในการพิจารณา และตัดสินใจใน การดูแลผู้ป่วย โดยใช้เกณฑ์ในการประเมินระดับหลักฐานของสเตตเลอร์ (Stetler, et al., 1998: 202) แบ่งเป็น 6 ระดับ และการประเมินข้อเสนอแนะของการน าหลักฐานเชิงประจักษ์ไปใช้ (Grade of Recommendations) ของสถาบันโจแอนนาบริส์ ในการประเมินคุณภาพจัดระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐาน เชิงประจักษ์ จ านวน 33 เรื่อง จ าแนกเป็น Level 1 A จ านวน 10 เรื่อง Level 3 A จ านวน 11 เรื่อง Level 4 A จ านวน 7 เรื่อง Level 5 A จ านวน 2 เรื่อง และLevel 6 A จ านวน 2 เรื่อง


9 ระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ขั นตอนที่ 6: ก้าหนดร่างแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า ในผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร การก าหนดร่างแนวทางปฏิบัติ คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ได้จัดท าร่างสาระของแนวทาง ปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร จากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดีที่สุด โดยสาระของแนวทางปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นเป็นแนวทาง ปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นการพัฒนาขึ้นอย่างเป็น ระบบจากหลักฐานเชิงประจักษ์ เพื่อใช้ในการตัดสินใจของพยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบด้วย 4 หมวด ดังนี้ 1) การประเมินระดับความเสี่ยงของ การเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2) การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 3) การให้ ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมี ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4) การติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาคุณภาพ ขั นตอนที่ 7: จัดท้าแผนการเผยแพร่และการน้าแนวทางปฏิบัติไปใช้ คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ได้ก าหนดกรอบการประเมินน าแนวทางปฏิบัติไปน าร่องทดลอง โดยใช้แบบประเมินความเป็นไปได้ในการน าแนวทางปฏิบัติไปใช้ ประกอบด้วย ความยากง่ายของแนวทาง ปฏิบัติ และความสามารถในการน าไปใช้ โดยครอบคลุม 4 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1) การประเมินระดับความ เสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2) การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 3) การให้ความรู้เกี่ยวกับบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อ มีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4) การติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาคุณภาพ และค าถามปลายเปิด ในการให้ความคิดเห็นอื่น ๆ เกี่ยวกับการใช้แนวทางปฏิบัติ และประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้แนวทางปฏิบัติ ส าหรับการประเมินผลลัพธ์ของแนวทางปฏิบัติ มีดังนี้ 1) ความพึงพอใจของผู้ใช้แนวทางปฏิบัติ2) ความพึง พอใจของผู้รับบริการ 3) ค่าเฉลี่ยค่าน้ าตาลในเลือด (FBS) 4) ค่าเฉลี่ยน้ าตาลในเลือดสะสม (HbA1C) 5) ร้อยละการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ขณะมารับบริการ ขั นตอนที่ 8: จัดท้าแผนการน้าแนวทางปฏิบัติไปใช้ แผนการเผยแพร่แนวทางปฏิบัติ โดยเน้นวิธีการเผยแพร่ที่มีประสิทธิภาพ เข้าใจง่าย กลุ่มเป้าหมาย ได้รับข้อมูลและใช้ประโยชน์ได้ โดยการประชุมพยาบาลวิชาชีพในคลินิกโรคเบาหวาน ซึ่งวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจง เกี่ยวกับสาระส าคัญของ แนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิด ที่ 2 เพื่อให้เกิดการยอมรับ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และพัฒนาให้เกิดความเหมาะสมในคลินิกโรคเบาหวาน หลังจากนั้น ได้จัดท าคู่มือแนวทางปฏิบัติเป็นรูปเล่ม จ านวน 4 เล่ม โดยจัดวางไว้ในคลินิกโรคเบาหวาน จัดท า แนวทางปฏิบัติเป็นเอกสาร E-booke วางไว้ใน Google drive และส่งลิงค์ในไลน์ส่วนตัวของพยาบาลวิชาชีพ ในคลินิกโรคเบาหวานทุกคน ตลอดจนด าเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เช่น การจัดป้ายนิเทศ ประชาสัมพันธ์ เพื่อเข้าถึงง่าย สะดวกต่อการน าไปใช้ และเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กร เป็นการ เตรียมความพร้อมของพยาบาลวิชาชีพ ผู้ทดลองน าแนวทางปฏิบัติไปทดลองใช้ก่อนน าไปปฏิบัติจริง เพื่อให้ พยาบาลผู้ใช้แนวทางปฏิบัติการเกิดความเข้าใจและสามารถน าแนวปฏิบัติไปทดลองใช้ได้ถูกต้อง


10 ขั นตอนที่ 9: การจัดท้ารายงานกระบวนการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ การจัดท ารายงานกระบวนการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ซึ่งประกอบไปด้วย รายชื่อคณะท างานพัฒนา ก าหนดร่างแนวทางปฏิบัติ วัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย ผลลัพธ์ ค าจ ากัดความ กระบวนการพัฒนาแนวทาง ปฏิบัติ สาระส าคัญและขั้นตอนของแนวทางปฏิบัติเป็นหมวดหมู่พร้อมทั้งระบุ ระดับความน่าเชื่อถือของ หลักฐานความรู้เชิงประจักษ์ ระดับของข้อเสนอแนะ ขั้นตอนของแนวทางปฏิบัติ เอกสารอ้างอิง และภาคผนวก ประกอบด้วย การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตัดสินความพอเพียงและคุณภาพงานวิจัยที่สืบค้นได้ค ารับรองในการ เปิดเผยการมีผลประโยชน์ทับซ้อน และรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ ขั นตอนที่ 10: จัดท้ารายงานรูปเล่มของแนวทางปฏิบัติ คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ได้จัดท ารายงานรูปเล่มแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกัน ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร เนื้อหา ประกอบด้วย 4 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1) การประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าใน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2) การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 3) การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4) การติดตาม การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาคุณภาพ ซึ่งแนวทางปฏิบัตินี้ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ และสามารถระบุข้อจ ากัดความเสี่ยงที่น าไปใช้ในแต่ละสถานการณ์และความแตกต่างของผลลัพธ์ ระยะที่ 3 การประเมินผลการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ขั นตอนที่ 11: การตรวจสอบคุณภาพของแนวทางปฏิบัติ การตรวจสอบคุณภาพของแนวทางปฏิบัติโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ประกอบด้วย อายุรแพทย์แพทย์ 1 ท่าน พยาบาลผู้จัดการรายกรณีโรคเบาหวาน 2 ท่าน และอาจารย์พยาบาลผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนา แนวทางปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ 1 ท่าน การตรวจสอบคุณภาพได้ใช้เครื่องมือ AGREE II (AGREE, 2013) ผลการประเมินคุณภาพมวด ได้คะแนนคุณภาพ ร้อยละ 91.52 และผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 4 คน ได้ให้ข้อสรุปตรงกันว่า สามารถน าแนวทางปฏิบัติการพยาบาลนี้ไปใช้ได้ ณ แผนกผู้ป่วยนอก คลินิก โรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ขั นตอนที่ 12: ตรวจสอบแนวทางปฏิบัติ โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ไม่ใช่ทีมพัฒนา ผู้วิจัย ประสานความร่วมมือระหว่างสหวิชาชีพผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ไม่ใช่คณะท างานพัฒนาแนวทาง ปฏิบัติ ประกอบด้วย แพทย์ นักกายภาพบ าบัด แพทย์แผนไทย พยาบาลวิชาชีพ และผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เพื่อร่วมกันพิจารณาให้ข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติที่ก าหนดไว้ หลังจากนั้นผู้วิจัยร่วมกับ คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ได้น าข้อเสนอแนะไปพัฒนาปรับปรุงแนวทางปฏิบัติเพื่อให้แนวทางปฏิบัติมี ความถูกต้องด้านการใช้ภาษา ความครอบคลุมของเนื้อหา มีความชัดเจน และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และจะมีการ ปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอทุก 3 ปี ค้าจ้ากัดความ 1. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หมายถึง ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้รับการ ขึ้นทะเบียน และมารับบริการรักษาโรคเบาหวาน คลินิกโรคเบาหวาน แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสกลนคร 2. คลินิกโรคเบาหวาน (Diabetes Clinic) หมายถึง คลินิกโรคเบาหวาน แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาล สกลนคร จังหวัดสกลนคร


11 3. ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า หมายถึง ภาวะที่ระดับน้ าตาลในเลือดต่ ากว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือ 3.9 มิลลิโมลต่อลิตรในผู้ป่วยเบาหวาน 4. ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หมายถึง ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้รับการขึ้นทะเบียน และมารับบริการรักษาโรคเบาหวาน คลินิกโรคเบาหวาน แผนก ผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสกลนคร มีภาวะระดับน้ าตาลในเลือดต่ ากว่า 70 มก./ดล. หรือ 3.9 มิลลิโมลต่อลิตรใน ผู้ป่วยเบาหวาน 5. แนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หมายถึง ข้อก าหนดเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบจากหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อใช้ในการตัดสินใจของพยาบาลในการ ปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบด้วยสาระ 4 หมวด คือ 1) การประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2) การ พยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 3) การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษา เบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4) การติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และการ พัฒนาคุณภาพ สาระส้าคัญของแนวทางปฏิบัติ สาระของแนวทางปฏิบัติที่พัฒนาขึ้น เป็นแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลใน เลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้พัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบจากหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อใช้ในการ ตัดสินใจของพยาบาลและบุคลากรทางการพยาบาล ในการให้การพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบด้วย 4 หมวด ดังนี้ 1) การประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิดภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 2) การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 3) การให้ความรู้เกี่ยวกับ การบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะน้ าตาลในเลือด ต่ า 4) การติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาคุณภาพ ดังแผนภาพที่ 1 และ 3 ภาพที่ 1 แนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร หมวดที่ 1 การประเมินระดับความ เสี่ยงของการเกิดภาวะน ้าตาลในเลือด ต่้าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เกณฑ์การประเมินฯ ประกอบด้วย อายุ, ระยะเวลาการเป็นโรคเบาหวาน, ยารักษาเบาหวาน, อาการภาวะน้ าตาล ในเลือดต่ า, โรคร่วม, ค่าระดับน้ าตาล ในเลือด (BS) ความเสี่ยงแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับ 1 ความเสี่ยงต่ า คะแนน 0 – 4 ระดับ 2 ความเสี่ยงปาน กลาง คะแนน 5 – 12 และระดับ 3 ความเสี่ยงสูง คะแนน ≥ 13 หมวดที่2 การพยาบาล ภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า 1. การพยาบาลภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ าระดับ ไม่รุนแรง/ปานกลาง/ รุนแรง 2. การติดตามเฝ้าระวัง 3. การป้องกันภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ า หมวดที่ 3 การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การออกก้าลังกาย การใช้ยาเบาหวาน และการจัดการ ตนเองเมื่อมีภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า 1) การสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยและญาติ2) ประเมิน ภาวะโภชนาการด้วยค่าดัชนีมวลกาย และการวางเป้า หมายร่วมกัน 3) การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภค อาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยาเบาหวาน และการ จัดการตนเองเมื่อมีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4) การ ประเมินผลลัพธ์ การบรรลุเป้าหมายของผู้ป่วย โดยการ ใช้เครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อประเมินประสิทธิภาพของ การให้ความรู้ หมวดที่ 4 การติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาคุณภาพ: 1) มีทีมงานติดตามการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติการพยาบาล อย่างต่อเนื่อง และนิเทศ ก ากับการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักฐานเชิงประจักษ์ 2) มีการจัดกิจกรรมเพื่อประเมินการปฏิบัติ และหาแนว ทางแก้ไขเพื่อให้การปฏิบัติถูกต้อง 3) มีการสรุปผลลัพธ์ของการปฏิบัติงานอย่างสม่ าเสมอ ทุก 3 เดือน 4) มีการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติ ทุก 3 ปี หรือปรับปรุงแก้ไขเมื่อมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เหมาะสมใหม่ 5) จัดท าแผนการพัฒนาคุณภาพต่อเนื่อง


12 หมวดที่ 1 การประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิดภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า ในผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 การประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (Level 1 A, Level 3 A) รายละเอียดดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 แบบประเมินระดับความเสี่ยงผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ปัจจัยเสี่ยง เกณฑการให้คะแนน คะแนน 0 1 2 3 1. อายุ < 45 ปี 45 – 54 ปี 55 – 64 ปี ≥ 65 ปี 2. ระยะเวลาเป็น เบาหวาน …….ปี < 5 ปี 5 – 9 ปี 10 – 15 ปี > 15 ปี 3. ยา (Drug) (จ านวน/ชนิด) ไม่กินยา ยากิน 1 ชนิด ยากินกลุ่ม Sulfonylureas/ Glinide/ ใช้ยามากกว่า 1 ชนิด ยาฉีดอินซูลิน 4. อาการภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ า ไม่เคยเป็น ไม่มีอาการ/ มี Autonomic บ้างช่วยเหลือ ตัวเองได้ มี Autonomic + แล้วตามด้วย Neurogenic ช่วยเหลือ ตัวเองได้ ไม่มี Autonomic เตือนก่อน Neurogenic รุนแรงช่วยเหลือ ตัวเองได้ 5. โรคร่วม ไม่มี HT/Stroke/Anemia Infection/Electrolyte ผิดปกติ AKI/Hepatic impairment/ Sepsis/Adrenal Insufficiency/ Alcoholism/ Diarrhea 6. Blood sugar > 80 mg% ≤ 70 mg% < 54 mg% < 50 mg% ผลรวมคะแนน ระดับความเสี่ยง ที่มา: ประยุกต์จาก “ผลของโปรแกรมเฝ้าระวังและป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าต่อระดับน้ าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง โรงพยาบาลชัยภูมิ”วารสารพยาบาลทหารบก ปีที่ 22 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2564. (Level 3 A) หมายเหตุ 1. อาการ Autonomic: BP ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว Systolic BP สูง มือสั่น กังวล กระสับกระส่าย คลื่นไส้ รู้สึกร้อน เหงื่อออก ชา และ รู้สึกหิว 2. อาการ Neurogenic: อ่อนเพลีย ผิวหนังเย็นชื้น T ต่ า มึนงง ปวดศรีษะ สับสน พูดช้า ง่วงซึม อัมพฤกษ์ครึ่งซีก หมดสติ ชัก (อาการ Autonomic ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขผู้ป่วยจะเข้าสู่อาการสมองขาดกลูโคสที่รุนแรงขึ้น) 3. ระดับความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีดังนี้ ระดับ 1 ต่ า : คะแนน 0 – 4 / ระดับ 2 ปานกลาง : คะแนน 5 – 12 / ระดับ 3 สูง : คะแนน ≥ 13


13 หมวดที่ 2 การพยาบาลภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า การพยาบาลภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า 1. การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต้่าระดับไม่รุนแรง / ปานกลาง 1.1 ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม ซึ่งปริมาณอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม ได้แก่ กลูโคสเม็ดหรือทอฟฟี่ 3 เม็ด น ้าส้มคั้นหรือน ้าอัดลม 180 มล. น ้าผึ้ง 3 ช้อนชา ขนมปัง 1 แผ่น นมสด 240 มล. ไอศกรีม 2 สคูป ข้าวต้มหรือโจ๊ก ½ ถ้วย กล้วย 1 ผล อาการมักดีขึ้นภายใน 15-20 นาทีหลัง ได้รับอาหารในปริมาณดังกล่าว เนื่องจากการให้ผู้ป่วยรับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม จะช่วยให้ระดับ กลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้นประมาณ 38 มก./ดล. ภายในเวลา 20 นาที (Level 1 A, Level 6 A) 1.2 ติดตามระดับกลูโคสในเลือด BS ทุก 15-20 นาที หลังรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตครั้ง แรก (Level 1 A, Level 6 A) 1.3 ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมซ ้า ถ้าระดับกลูโคสในเลือดยังคง ≤ 70 มก./ดล. (Level 1 A, Level 6 A) 1.4 เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นและผลการตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือด BS > 80 มก./ดล. ให้ รับประทานอาหารต่อเนื่องทันทีเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อหลัก หรือถ้าต้องรอเวลาอาหารมื้อหลักนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง ให้รับประทานอาหารว่างที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมและโปรตีน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะน ้าตาลในเลือด ต ่าซ ้า โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยอินซูลิน ชนิดของอาหารมีความส าคัญในการแก้ไขภาวะน ้าตาลใน เลือดต ่าและการป้องกันการเกิดซ ้า คืออาหารที่มีการย่อยเป็นกลูโคสและดูดซึมเร็ว ได้แก่ กลูโคสเม็ดหรือ ทอฟฟี่ น ้าหวาน น ้าผลไม้ จะท าให้ระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้นเร็ว แต่จะท าให้ระดับกลูโคสในเลือดลดลงเร็ว เช่นกัน และเกิดภาวะน ้าตาลในเลือดต ่าซ ้าอีกได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้แก่ ขนมปัง ข้าว เส้นหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว และอาหารที่มีโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ นม เนยแข็ง จะถูกย่อยเป็น กลูโคสและดูดซึมช้ากว่า จะช่วยคงระดับกลูโคสในเลือดให้สูงขึ้นได้นานและลดการเกิดภาวะน ้าตาลในเลือดต ่า ซ ้า (Level 1 A, Level 6 A) 1.5 ติดตามระดับกลูโคสในเลือดซ ้าเป็นระยะ ความถี่ในการตรวจขึ้นกับสาเหตุและปัจจัยที่ท าให้ เกิดภาวะน ้าตาลในเลือดต ่า และโอกาสที่จะเกิดภาวะน ้าตาลในเลือดต ่าซ ้า (Level 1 A, Level 6 A) 1.6 ประเมินสาเหตุและปัจจัยที่ท าให้เกิดภาวะน ้าตาลในเลือดต ่าและท าการแก้ไข (Level 1 A, Level 6 A) 2. การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต้่าระดับรุนแรง ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก ได้แก่ ชักหรือหมด สติซึ่งไม่สามารถแก้ไขอาการได้ด้วยตนเอง ส่งต่อแผนกงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน (Level 6 A) การติดตามเฝ้าระวัง 1. บันทึกเบอรโทรศัพทผูปวย ให้ผู้ป่วยเพิ่มเพื่อนในแอพพลิเคชั่นไลน์เพื่อการติดตามและกระตุ้นการ ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกก าลังกาย และการใช้ยาทุกวัน และเพื่อเตือนการนัดหมาย (Level 1 A, Level 3 A, Level 4 A) 2. ส่งต่อและประสานงานเครือข่ายเพื่อการติดตามดูแลต่อเนื่องที่บ้าน (Level 3 A, Level 4 A)


14 3. การติดตามระดับน้ าตาลในเลือด โดยการวัดระดับน้ าตาลปลายนิ้ว CBG (Level 1 A, Level 3 A) 3.1 ความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ระดับ 1 นัดติดตามระดับน้ าตาลในเลือด FBS ในสัปดาห์ที่ 4, 8, และ 12 เมื่อครบ 3 เดือน ตรวจน้ าตาลในเลือดสะสม (HbA1C) 3.2 ความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ระดับ 2 นัดติดตามระดับน้ าตาลในเลือด FBS ในสัปดาห์ที่ 2, 4, 8, และ 12 เมื่อครบ 3 เดือน ตรวจน้ าตาลในเลือดสะสม (HbA1C) 3.3 ความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ระดับ 3 นัดติดตามระดับน้ าตาลในเลือด FBS ในสัปดาห์ที่ 1, 2, 4, 8, และ 12 เมื่อครบ 3 เดือน ตรวจน้ าตาลในเลือดสะสม (HbA1C) การป้องกันภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า 1. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ทุกรายที่ได้รับการรักษาด้วยอินซูลินและยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่ง อินซูลิน ควรได้รับการเน้นย้ าให้ตระหนักถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กรณีที่พบว่าระดับกลูโคสในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว หรืออยู่ในระดับ ≤ 70 มก./ดล. และในผู้ป่วยเบาหวาน สูงอายุ (Level 1 A, Level 6 A) 2. การควบคุมระดับกลูโคสในลือดอย่างเข้มงวดมาก มีประโยชน์ในการป้องกันการเกิดและชะลอการ ลุกลามของภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังจากโรคเบาหวานที่หลอดเลือดขนาดเล็ก แต่ต้องระวังไม่ให้เกิดภาวะน้ าตาล ในเลือดต่ า หากเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าบ่อยครั้งหรือรุนแรงต้องลดความเข้มงวดลง (Level 1 A, Level 6 A) 3. ในการป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ควรประเมินว่าผู้ป่วยเบาหวานแต่ ละรายมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า มีอันตรายจากภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า และมีปัญหาที่ เกี่ยวข้องกับภาวะน้ าตาลในเลือดต่ ามากน้อยอย่างไร (Level 1 A, Level 6 A) 4. ข้อควรปฏิบัติกับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีปัญหาภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4.1 ประเมินสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า การปรับเปลี่ยนชนิดยา ขนาดยา และรูปแบบการรักษาให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอินซูลิน และยากินลดน้ าตาลที่มีฤทธิ์ กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ได้แก่ ยากลุ่ม sulfonylurea และยากลุ่ม glinide (Level 1 A, Level 6 A) 4.2 ปรับเป้าหมายการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดให้เหมาะสมกับผู้ป่วย ไม่ให้เข้มงวดมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุเป็นเบาหวานมานาน มีโรคแทรกซ้อนมากทางหลอดเลือดและหัวใจ (Level 1 A, Level 6 A) 4.3 ส่งเสริมการตรวจวัดระดับน้ าตาลในเลือดด้วยตนเอง (self – monitoring of blood glucose) (Level 1 A, Level 3 A, Level 4 A, Level 6 A) 4.4 ให้ค าแนะน าแก่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เกี่ยวกับการดูแลตนเองเมื่อภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า เกิดขึ้น (diabetes self – management) (Level 1 A, Level 3 A, Level 4 A, Level 6 A) 4.5 ให้ค าแนะน าญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เกี่ยวกับอาการของภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า การแก้ไขเบื้องต้นในระดับรุนแรง ในระหว่างน าส่งโรงพยาบาล(Level 1 A, Level 3 A, Level 4 A, Level 6 A)


15 แผนภาพที่ 2 แนวทางปฏิบัติการพยาบาลภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า (Hypoglycemia) คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า BS ≤ 70 มก./ดล. ประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิด ภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า อายุ / ระยะเวลาเป็นเบาหงาน / ยา (Drug) / อาการ / โรคร่วม / ระดับน ้าตาลในเลือด CBG มี3 ระดับ ระดับ 1 เล็กน้อย : ≤ 6 คะแนน ระดับ 2 ปานกลาง: 7 – 12 คะแนน ระดับ 3 รุนแรง: ≥ 13 คะแนน การพยาบาลภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า ภาวะน้ าตาลในเลือดต้่าระดับไม่รุนแรง / ปานกลาง 1. ให้ผู้ป่วยรับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม: กลูโคสเม็ดหรือทอฟฟี่ 3 เม็ด น ้าส้มคั้นหรือน ้าอัดลม 180 มล. น ้าผึ้ง 3 ช้อนชา ขนมปัง 1 แผ่น นมสด 240 มล. ไอศกรีม 2 สคูป ข้าวต้มหรือโจ๊ก ½ ถ้วย กล้วย 1 ผล 2. ติดตามระดับกลูโคสในเลือดBS ทุก 15-20 นาที 3. ให้ผู้ป่วยรับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัมซ ้า ถ้าระดับกลูโคสในเลือดยังคง ≤ 70 มก./ดล. 4. เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นและผลการตรวจวัดระดับกลูโคสในเลือด BS > 80 มก./ดล. ให้รับประทาน อาหารต่อเนื่องทันทีเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อหลัก หรือถ้าต้องรอเวลาอาหารมื้อหลักนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง ให้รับประทานอาหารว่างที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม และโปรตีน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะน ้า ตาลในเลือดต ่าซ ้า ภาวะน้ าตาลในเลือดต้่าระดับรุนแรง ส่งต่อแผนกงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน การติดตามเฝ้าระวัง 1. บันทึกเบอรโทรศัพทผูปวย ให้ผู้ป่วยเพิ่มเพื่อนในแอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อการติดตามและกระตุ้นให้ ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกก าลังกาย และการใช้ยาทุกวัน และเพื่อเตือนการนัด หมาย 2. ส่งต่อและประสานงานเครือข่ายเพื่อการติดตามดูแลต่อเนื่องที่บ้าน 3. การติดตามระดับน้ าตาลในเลือด FBSตามระดับความเสียงของการภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ระดับ 1: สัปดาห์ที่ 4, 8, และ 12 เมื่อครบ 3 เดือน ตรวจ HbA1C ระดับ 2: สัปดาห์ที่ 2, 4, 8, และ 12 เมื่อครบ 3 เดือน ตรวจ HbA1C ระดับ -: สัปดาห์ที่ 1, 2, 4, 8, และ 12 เมื่อครบ 3 เดือน ตรวจ HbA1C การป้องกันภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า 1. ผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับการรักษาด้วยอินซูลินและยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ควรได้รับการ เน้นย้ าให้ตระหนักถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าเสมอ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานสูงอายุ 2. การควบคุมระดับกลูโคสในลือดอย่างเข้มงวด หากเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าบ่อยครั้งหรือรุนแรง ต้องลดความเข้มงวดลง 3. การป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าแต่ละราย ควรมีการประเมินความเสี่ยง 4. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีปัญหาภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ควรได้รับการปฏิบัติดังนี้ 4.1 ประเมินสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4.2 ปรับเป้าหมายการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดให้เหมาะสมกับ 4.3 ส่งเสริมการตรวจวัดระดับน้ าตาลในเลือดด้วยตนเอง 4.4 ให้ค าแนะน าแก่ผู้ป่วย เกี่ยวกับการดูแลตนเองเมื่อภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 4.5 ให้ค าแนะน าญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วย เกี่ยวกับอาการของภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า การแก้ไข เบื้องต้นในระดับรุนแรง ในระหว่างน าส่งโรงพยาบาล


16 หมวดที่ 3 การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การออกก้าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า 1. การบริโภคอาหาร 1.1 การสร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยและญาติ(Level 1 A) 1.2 ประเมินภาวะโภชนาการด้วยค่าดัชนีมวลกาย และการวางเป้าหมายร่วมกัน (Level 1 A) 1.3 ให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารแก่ผู้ป่วยและญาติ หลังให้ความรู้ ต้องท าการ ประเมินผลลัพธ์ การบรรลุเป้าหมายของผู้ป่วย โดยการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อประเมินประสิทธิภาพของ การให้ความรู้ (Level 1 A) การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารมีดังนี้ 1.3.1 การบริโภคอาหาร แนะน าให้ลดปริมาณพลังงาน น้ าตาล และไขมันที่รับประทาน แต่ ยังคงไว้ซึ่งรูปแบบการกินอาหารที่ครบหมวดหมู่และสมดุล (Level 1 A) 1.3.2 การลดน้ าหนักโดยอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ าหรืออาหารไขมันต่ า พลังงานต่ า ได้ผล เท่า ๆ กันในระยะ 1 ปี ถ้าลดน้ าหนักด้วยอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ า ควรติดตามระดับไขมันในเลือด การท างาน ของไต และปริมาณโปรตีนจากอาหาร (Level 1 A) 1.3.3 ผู้ป่วยเบาหวานที่อ้วนให้ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตและพลังงานรวมเป็นหลัก ให้ ลดน้ าหนักลงพอประมาณ (ร้อยละ 7 ของน้ าหนักตัว) เพื่อช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Level 1 A) 1.3.4 ผู้ป่วยเบาหวานและมีการตั้งครรภ์ ควรทานอาหารให้ได้พลังงานเพียงพอ เพื่อให้ น้ าหนักตัวตลอดการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ ส่วนผู้ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ต้องปรับปรุงพฤติกรรมหลังคลอด โดยการลดน้ าหนักตัว และเพิ่มกิจกรรมทางกาย เพื่อลดโอกาสเกิด โรคเบาหวานในอนาคต (Level 1 A, Level 3 A) 1.3.5 รูปแบบการบริโภคที่หลากหลายพบว่าสามารถช่วยควบคุมโรคเบาหวานได้ เช่น อาหารที่เน้นพืชผัก (มังสวิรัติ) อาหารไขมันต่ า อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ า อาหารเน้นผลไม้ทั้งผล (ไม่ใช่น้ าผลไม้) ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อก าหนดที่แน่นอนว่า สัดส่วนของพลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนควรจะเป็นเท่าใด การจัดอาหารอาจแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ ภาวะโรค ความชอบ และการตั้งเป้าหมายร่วมกัน (Level 4 A) 1.3.6 ผู้ป่วยเบาหวานให้บริโภคไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า ร้อยละ 7 ของความต้องการพลังงาน ทั้งหมด และลดการบริโภคไขมันทรานส์ เพื่อช่วยลด LDL โคเลสเตอรอล และช่วยเพิ่ม HDL โคเลสเตอรอล (Level 4 A) 1.3.7 ผู้ป่วยเบาหวานให้บริโภคไขมันทรานส์น้อยที่สุด (Level 4 A) 1.3.8 การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ป่วยเบาหวาน ให้ดื่มได้ในขนาดปานกลางคือไม่ เกิน 1 ดริ้งค์ในผู้หญิง และไม่เกิน 2 ดริ้งค์ในผู้ชาย ซึ่งเครื่องแอลกอฮอล์ขนาด 1 ดริ้งค์เท่ากับเบียร์ 360 ซีซี หรือไวน์ 150 ซีซี หรือ เหล้า 45 ซีซี(Level 4 A) 1.3.9 การรับประทานอาหารเสริมพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ เช่น วิตามินอี วิตามินซี และแคโรทีน ยังไม่แนะน าให้ใช้เพราะยังขาดหลักฐานที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในระยะยาว (Level 1 A)


17 ตารางที่ 5 ตัวอย่างรายการอาหารส าหรับผู้ป่วยเบาหวานใน 1 วัน (ระดับ 6 A) มื ออาหาร ตัวอย่างรายการอาหาร 3 มื้อหลัก + 2 มื้อว่าง = อาหาร 5 มื้อ * เลือกรายการอาหารแบบใดแบบหนึ่งในแต่ละมื้อ หรือจัดสรรเมนูที่มีสารอาหารและปริมาณที่ใกล้เคียงแทนได้ 1. อาหารเช้า - ข้าวต้มกุ้งหรือโจ๊กหมูสับ 1 ถ้วย, แคนตาลูป 1 จานเล็ก/ส้มเขียวหวาน 1 ผล - แซนด์วิชผักโขม ไข่ และชีส, แคนตาลูป 1 จานเล็ก, กาแฟด า/กาแฟใส่นมไขมันต่ า + น้ าตาล 1 ช้อนชา - กาแฟใส่นมไขมันต่ า + น้ าตาล 1 ช้อนชา ขนมปังโฮลวีท 1 แผ่น, ไข่ดาว - ไข่ต้ม 1 ฟอง, ผักสลัด 1 จาน, กาแฟด า/กาแฟใส่นมไขมันต่ า + น้ าตาล 1 ช้อนชา 2. อาหาร ว่างมื้อสาย ผลไม้ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง, แคนตาลูป, แอปเปิล, ชมพู่ 1 จานเล็ก หรือกล้วยหอม 1 ผล **อาหารทดแทนชงดื่ม 1 แก้ว หรือนมพร่องมันเนย/นมไขมันต่ า 1 แก้ว โยเกิร์ตรสจืดไขมันต่ า, สตรอว์เบอร์รี่ 3-4 ลูก 3. อาหาร กลางวัน - ก๋วยเตี๋ยวน้ าหรือแห้ง 1 ชาม, ผลไม้ไม่หวานจัด 1 จานเล็ก (1 ถ้วย) - ส้มต าไทย 1 จาน, ไก่ย่างไม่ติดหนัง 1 ชิ้น, ข้าวเหนียว 1 จานเล็ก (1/2 ถ้วย) - ข้าวผัด 1 จาน, ผักสลัด 1 จาน 4. อาหาร ว่างมื้อบ่าย - อาหารทดแทนชงดื่ม 1 แก้ว, สตรอว์เบอร์รี่ 4-5 ผล - แครกเกอร์โฮลวีท 3-4 ชิ้น, น้ าผักผลไม้ปั่นไม่แยกกาก 1 แก้ว - ขนมจีบ 3 ลูก หรือซาลาเปา 1 ลูก, เก๊กฮวยร้อน/ชาร้อนแบบไม่หวาน 1 แก้ว 5. อาหารเย็น - ข้าวกล้อง/ข้าวสวย 1 ทัพพี, แกงส้มผักรวม/ผัดผักรวมกุ้ง/แกงจืดต าลึงเต้าหู้หมูสับ, ปลานึ่ง หรือปลาเผา 1 ชิ้น - ข้าวกล้อง/ข้าวสวย 1 ทัพพี, ปลาทูทอด 1 ตัว, น้ าพริก+ผักสดและผักลวก 1 จาน - สเต็กปลาหรือไก่ย่างไม่ติดมัน, สลัดผักน้ าใสหรือผักลวก 1 จาน 2. การออกก้าลังกาย การออกก าลังกาย ผู้ป่วยเบาหวานควรออกก าลังกายสม่ าเสมอเพื่อสุขภาพที่ดี และยังได้ ประโยชน์ในการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด ความดันโลหิต รวมทั้งน้ าหนักตัว นอกจากนี้ ยังท าให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด ความกังวลได้ การมีกิจกรรมทางกาย เช่น ท างานบ้าน ขุดดิน ท าสวน เดิน อย่างต่อเนื่องไม่ต่ ากว่า 10 นาที เท่ากับการออกก าลังกายระดับเบาถึงระดับหนักปานกลางได้ ขึ้นกับการใช้แรง ในแต่ละกิจกรรม ผู้ป่วยเบาหวานควรเพิ่มการมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ าเสมอ และติดตามอย่างต่อเนื่อง จน สามารถลดน้ าหนักได้อย่างน้อยร้อยละ 7 ของน้ าหนักตั้งต้น ส าหรับกลุ่มเสี่ยงลดน้ าหนักอย่างน้อยร้อยละ 5 ของน้ าหนักตั้งต้น ส าหรับผู้ป่วยเบาหวานและตั้งเป้าหมายลดลงต่อเนื่องร้อยละ 5 ของน้ าหนักใหม่ จนน้ าหนัก ใกล้เคียงหรืออยู่ในเกณฑ์ปกติ การออกก าลังกายและมีกลไกสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง จะช่วยในการควบคุมน้ าหนักที่ลดลงแล้วให้คงที่ (Maintenance of weight loss) หรือลดลงต่อเนื่องได้ ( Level 5 A) ค าแนะน าในการออกก าลังกาย มีดังนี้ 1. ออกก าลังกายในระดับหนักปานกลางใช้ระยะ เวลา 150 นาที/ สัปดาห์ โดยออกก าลังกายวัน ละ 30-50 นาที 3-5 วัน/สัปดาห์ ในแต่ละวันอาจแบ่งเป็น 2-3 ครั้งได้ หรือออกก าลังกายระดับหนักมาก 75 นาที/ สัปดาห์ ควรกระจายอย่างน้อย 3 วัน/ สัปดาห์ และงดออกก าลังกายติดต่อกันเกิน 2 วัน (Level 3 A)


18 2. การออกก าลังกายเพื่อคงน้ าหนักที่ลดลงไว้ตลอดไป แนะน าให้ออกก าลังกายระดับหนักปาน กลางถึงหนักมาก 7 ชั่วโมง/ สัปดาห์ ซึ่งการเดินนับเป็นการออกก าลังกายระดับหนักปานกลางที่มีข้อจ ากัดน้อย ท าได้ทุกวัย และการเดิน 10 นาทีหลังอาหาร สามารถลดระดับน้ าตาลในเลือดหลังอาหารได้ นอกจากนี้ การ ออกก าลังแบบชีกง โยคะ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและการทรงตัวของร่างกายและช่วยลดระดับน้ าตาลในเลือดได้ เช่นกัน (Level 3 A) 3. ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่มีข้อห้าม ให้ออกก าลังกายชนิดเพิ่มแรงต้านทานของกล้ามเนื้อ 3 ครั้ง/สัปดาห์ (Level 3 A) 4. ผู้ป่วยเบาหวานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ให้เริ่มออกก าลังกายในช่วง สั้น ๆ ด้วยความหนักในระดับต่ าและเพิ่มความหนักและระยะเวลาในการออกก าลังกายขึ้นช้า ๆ (Level 4 A) 5. ผู้ป่วยเบาหวานที่มีข้อห้ามในการออกก าลังกาย ได้แก่ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถ ควบคุมได้ มีระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อมอย่างรุนแรง ระบบประสาทส่วนปลายเสื่อมอย่างรุนแรง หรือมีแผลที่ เท้า และภาวะแทรกซ้อนทางตาที่มีการสร้างหลอดดลือดขึ้นใหม่ในจอรับภาพที่ไม่คงที่ (Level 4 A) 6. การให้ค าแนะน าเกี่ยวกับโปรแกรมการออกก าลังกายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน ให้ค านึงถึงอายุของ ผู้ป่วย และประวัติการออกก าลังกายด้วย (Level 5 A) 7. รับประทานคาร์โบไฮเดตเพิ่มก่อนออกก าลังกาย ถ้าระดับน้ าตาลในเลือดต่ ากว่า 100 มก./ดล. (Level 4 A) 8. ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนทางตาชนิดมีการสร้างหลอดดลือดขึ้นใหม่ในจอรับภาพ (proliferative diabetic retinopathy) [PDR] หรือมีการโปร่งพองของหลอดเลือด (non – proliferative diabetic retinopathy [NPDR]) ให้งดออกก าลังกายอย่างหนักหรือออกก าลังกายชนิดออกแรงต้านของกล้ามเนื้อ เพราะ จะท าให้เกิดเลือดออกในน้ าวุ้นตาหรือเกิดการหลุดลอกของจอรับภาพในตา (Level 4 A) 3. การใช้ยารักษาเบาหวาน 3.1 ยากิน 3.1.1 ยากินก่อนอาหาร: ยากลุ่มนี้ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายพร้อมที่จะใช้พลังงานจากแป้งและ น้ าตาล โดยกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา ณ เวลาที่ระดับน้ าตาลในเลือดสูงหลังจากกินอาหาร โดยทั่วไปแล้วยารุ่นเก่ามักแนะน าให้กินก่อนอาหารประมาณ 30 นาที ส่วนยารุ่นใหม่สามารถกินก่อนอาหาร ทันทีได้ขึ้นกับความเร็วในการกระตุ้นตับอ่อนของยาแต่ละตัว ข้อควรระวัง เมื่อกินยาก่อนอาหารแล้ว จ าเป็น ต้องรับประทานทานอาหารหลังกินยาเสมอ เพราะถ้าไม่กินอาหาร ฮอร์โมนอินซูลินที่ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมา จะท าให้ระดับน้ าตาลในเลือดต่ ากว่าระดับปกติ จนอาจเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่นเดียวกับกรณีลืมกิน ยา ไม่ควรกินยาหลังอาหารแทน เพราะยาจะออกฤทธิ์ในช่วงที่ระดับน้ าตาลในเลือดลดต่ าลงไปแล้ว จึงท าให้ ระดับน้ าตาลลดต่ าลงไปมากกว่าเดิม โอกาสเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดจะต่ ากว่าระดับปกติจะมากขึ้น ควรเว้นยา ที่ลืมกินไปโดยไม่ต้องทานเพิ่มเป็นสองเท่า ส าหรับผู้ที่ไม่มีเวลารับประทานอาหารที่แน่นอน เช่น บางวันไม่ทาน มื้อเช้า บางวันไม่ทานมื้อเย็น การกินยากลุ่มนี้นอกจากจะไม่ได้ผลดีแล้ว ยังมีโอกาสเกิดน้ าตาลในเลือดต่ ากว่า ปกติได้ง่ายอีกด้วย จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเป็นกรณีพิเศษ (Level 1 A)


19 3.1.2 ยากินพร้อมอาหาร: ยาลดน้ าตาลในเลือดกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมน้ าตาลจาก ล าไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด จึงควรกินพร้อมกับมื้ออาหาร โดยทั่วไปแนะน าให้กินพร้อมกับอาหารค าแรก ข้อควร ระวัง การกินยากลุ่มนี้ก่อนอาหารหรือหลังอาหารเป็นเวลานาน ๆ ยาจะไม่เจอกับน้ าตาลที่ย่อยและพร้อมจะดูด ซึมอยู่ในล าไส้เล็ก ถ้าลืมกินยานี้พร้อมอาหาร อาจสามารถกินยาหลังอาหารทันทีได้ แต่ประสิทธิผลของยาจะ น้อยกว่าการกินยาพร้อมอาหาร ส าหรับมื้อที่ไม่ได้ทานอาหาร ไม่จ าเป็นต้องกินยากลุ่มนี้(Level 1 A) 3.1.3 ยากินหลังอาหาร: ยาเบาหวานหลายกลุ่ม ออกฤทธิ์ช่วยท าให้อวัยวะต่างๆ ใช้น้ าตาลใน กระแสเลือดที่ดูดซึมหลังรับประทานอาหารเพื่อไปเก็บสะสมหรือเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ดีขึ้น จึงสามารถกินยา เหล่านี้หลังอาหารได้ทันที ยาหลังอาหารมีหลายกลุ่มด้วยกัน ผู้ป่วยหลายคนอาจต้องกินยาหลังอาหารมากกว่า 1 ชนิด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการรักษามากขึ้น ข้อควรระวัง ยากลุ่มนี้ส่วนมากสามารถกินก่อนหรือหลัง อาหารก็ได้ แต่โดยทั่วไปจะแนะน าให้กินหลังอาหาร ส าหรับ metformin ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้มาก มีผลข้างเคียง ที่พบได้บ่อย คือ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร บ่อยครั้ง จึงแนะน าให้ทานพร้อมอาหารค าแรก ซึ่งอาจช่วยลดอาการ ข้างเคียงนี้ได้ กรณีลืมกินยากลุ่มนี้หลังอาหารไม่นานมาก (ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง) สามารถทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้านึกได้ใกล้อาหารมื้อถัดไปแล้ว ไม่ต้องกินยาที่ลืมควรเก็บยาไว้กินหลังอาหารมื้อถัดไปแทน (Level 1 A) 3.2 ยาฉีด ยาฉีด “อินซูลิน” (Insulin) เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ออกฤทธิ์โดยการน าน้ าตาลจาก เลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน ยาฉีดอินซูลิน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1. ยาฉีดอินซูลินชนิดน้ าใส ได้แก่ ยาฉีดที่ออกฤทธิ์เร็วและสั้น ออกฤทธิ์ภายใน 15-30 นาที มี ฤทธิ์นาน 5-7 ชั่วโมง ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ าใส ใช้ส าหรับควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดที่สูงขึ้นหลังรับประทาน อาหาร โดยก่อนใช้ไม่ต้องคลึงขวดยา (Level 1 A) 2. ยาฉีดอินซูลินชนิดน้ าขุ่น ได้แก่ ยาฉีดชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง ซึ่งเป็นชนิดที่ผสมระหว่างออก ฤทธิ์สั้นและปานกลาง และชนิดออกฤทธิ์นาน โดยออกฤทธิ์ภายใน 2-4 ชั่วโมง มีฤทธิ์นาน 20-36 ชั่วโมง มี ลักษณะเป็นน้ าขาวขุ่น อินซูลินชนิดนี้จะออกฤทธิ์เป็นอินซูลินพื้นฐาน เพื่อควบคุมระดับน้ าตาลระหว่างมื้อ อาหาร ซึ่งก่อนจะใช้ต้องคลึงขวดยาเพื่อให้น้ ายาผสมกันดีก่อนฉีดยา โดยน าขวดอินซูลินวางบนฝ่ามือแล้วคลึงไป มาเบาๆ ห้ามเขย่าขวด เพราะจะท าให้เกิดฟองอากาศ (Level 1 A) เก็บรักษายาฉีดอินซูลิน 1. อินซูลินที่เก็บไว้ใช้นานๆ ควรเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 4-8 องศาเซลเซียส โดยวางในตู้เย็น ยกเว้นช่องแข็ง (Level 1 A) 2. อินซูลินที่เป็นปากกาฉีด เมื่อเปิดใช้แล้ว หากเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง (ไม่เกิน 30 องศา เซลเซียส) จะอยู่ได้นาน 1 เดือน (Level 1 A) 3. เมื่อเดินทางไกล อาจไม่ต้องแช่ขวดอินซูลินในกระติกน้ าแข็ง แต่ต้องระวังไม่ให้ถูกแสงแดด หรือความร้อนอบอ้าว หรือทิ้งไว้ในรถที่มีอุณหภูมิสูง (Level 1 A) 4. ก่อนใช้ควรตรวจสอบป้ายแสดงวันเวลายาหมดอายุข้างขวด และสังเกตลักษณะของอินซูลิน หากมีตะกอนตกค้างที่ก้นขวด แขวนลอยอยู่ในขวด หรือเกาะอยู่ข้างขวด แสดงว่าอินซูลินเสื่อมสภาพ ห้าม น าไปใช้(Level 1 A)


20 การเลือกต้าแหน่งฉีดอินซูลิน การฉีดอินซูลินสามารถฉีดเข้าใต้ผิวหนังตามบริเวณต าแหน่งต่างๆ คือ หน้าท้อง ต้นแขน หน้าขา และสะโพก โดยต าแหน่งที่ดีที่สุด คือ หน้าท้อง เนื่องจากการดูดซึมของยาคงที่ แต่ควรฉีดห่างจากรอบ สะดือ 1-2 นิ้ว และควรหมุนเวียนเปลี่ยนจุดที่ฉีด ไม่ควรฉีดซ้ าต าแหน่งเดิมทุกวัน และต าแหน่งที่ฉีดใหม่ควรมี ระยะห่างจากครั้งหลังสุดประมาณ 1 นิ้ว รวมทั้งไม่ควรนวดหรือประคบน้ าร้อนบริเวณที่ฉีดยา เพราะท าให้ยา ถูกดูดซึมเร็วขึ้น ท าให้มีโอกาสเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าได้ง่าย และที่ส าคัญไม่ควรใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพราะ อาจท าให้ติดเชื้อโรคจากผู้อื่นได้(Level 1 A) ระยะเวลาในการฉีดอินซูลิน การฉีดยาอินซูลินมีความสัมพันธ์กับมื้ออาหารและชนิดของยา โดยควรฉีดยาก่อนมื้ออาหาร 15 นาที (ถ้าฉีดอินซูลินออกฤทธิ์สั้นมาก) และฉีดยาก่อนมื้ออาหาร 30 นาที (ถ้าฉีดอินซูลินชนิดออกฤทธิ์สั้น) ส่วนอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลางหรือออกฤทธิ์ยาว อาจฉีดก่อนอาหารหรือก่อนนอน รวมทั้งการฉีดยาควร ฉีดเวลาใกล้เคียงกันในแต่ละวันเพื่อให้ระดับน้ าตาลมีความสม่ าเสมอ (Level 1 A) ผลข้างเคียงของการฉีดอินซูลิน ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดการแพ้และมีผดผื่นคัน และผิวหนังบริเวณที่ฉีดอินซูลินอาจเกิดรอยบุ๋ม หรือรอยนูนขึ้นได้ รวมทั้งอาจเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าได้ ซึ่งอาจมีอาการใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก หน้าซีด และหมดสติ ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีอาการน้ าตาลต่ า แต่ยังรู้สึกตัวดี ให้ผู้ป่วยดื่มน้ าหวาน อมลูกอม รับประทานผลไม้ เช่น ส้มหรือกล้วยน้ าว้า แล้วตามด้วยการรับประทานขนมปังหรือข้าวในมื้อถัดไปเลย แต่หากมีอาการมาก ไม่ รู้สึกตัว ให้รีบน าส่งโรงพยาบาลทันที(Level 1 A) 4. การดูแลตนเองเมื่อมีภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า การดูแลตนเองเมื่อมีภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า ที่บ้าน 1. ประเมินผู้ป่วยโดยให้ญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วยประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย และสังเกต อาการเช่น ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น อ่อนเพลีย มึนงงศีรษะ (Level 1A) 2. กรณีมีอาการไม่รุนแรง (Level 1A) 2.1 เจาะ DTX ในกรณีที่บ้านมีเครื่องตรวจระดับน้ าตาล 2.1.1 ถ้า DTX < 70 มก./ดล. ให้รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม เช่นน้ าหวาน 3 ชช. นม 1 แก้ว ,ข้าวต้ม หรือโจ๊ก ½ ถ้วย , ขนมปัง 1 แผ่น 2.1.2 DTX ซ้ า 15 นาที 2.1.3 ถ้า DTX < 70 มก./ดล. ให้รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม ซ้ า และรีบส่ง โรงพยาบาล 2.1.4 ถ้า DTX > 70 มก./ดล. และอาการดีขึ้น ให้รับประทานอาหารต่อเนื่องทันที 2.2. กรณีไม่มีเครื่องเจาะน้ าตาล ให้รับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม 2.3. ประเมินอาการซ้ า 15 นาที หากไม่ดีขึ้นให้น าส่ง รพ.สต. หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน หาก อาการดีขึ้นให้รับประทานอาหารต่อเนื่องทันที 2.4. มาตรวจต่อเนื่องตามนัด


21 3. กรณีมีอาการรุนแรงตัวเย็น เหงื่ออกมาก ซึม สับสน ชัก หมดสติ(Level 1A) 3.1 หากผู้ป่วยรู้สึกตัวให้ดื่มน้ าหวาน 3 ชช. และรีบน าส่ง รพ.สต. หรือโรงพยาบาลใกล้บ้านทันที 3.2 หากไม่รู้สึกตัว ห้ามรับประทานอาหารและรีบน าส่ง โรงพยาบาล หรือ รพ.สต.ใกล้บ้านทันที การป้องกัน 1. พกบัตรประจ าตัวผู้ป่วยเบาหวานติดตัวตลอดเวลา เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินผู้พบเห็นจะได้ให้การ ช่วยเหลือได้ทันที(Level 5A) 2. ควบคุมอาหารตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ าเสมอ รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและจ ากัดอาหารแต่ ละมื้อให้พอเหมาะไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป (Level 5A) 3. รับประทานยาหรือฉีดยาตามที่แพทย์สั่ง (Level 5A) 4. หากออกก าลังกายมากกว่าครึ่งชั่วโมงต้องได้รับอาหารว่างเสริม เช่น นมหนึ่งแก้ว หรือขนมแครก เกอร์ 1 แผ่นก่อนการออก าลังกาย (Level 5A) 5. ตรวจระดับน้ าตาลในเลือดอย่างสม่ าเสมอ (Level 5A) 6. หากต้องรับยาอื่นต้องปรึกษาแพทย์(Level 5A) 7. แจ้งเพื่อนร่วมงานและครอบครัวว่าเป็นเบาหวานพร้อมบอกวิธีช่วยเหลือเมื่อเกิดอาการบ่งชี้ของ ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า (Level 5A) 8. ควรมีลูกอมพกติดตัว (Level 5A) หมวดที่ 4 การติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาคุณภาพ 1. มีทีมงานติดตามการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าใน ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างต่อเนื่อง และนิเทศ ก ากับการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักฐานเชิงประจักษ์ (Level 1 A) 2. มีการจัดกิจกรรมเพื่อประเมินการปฏิบัติ และหาแนวทางแก้ไขเพื่อให้การปฏิบัติถูกต้อง (Level 1 A) 3. มีการสรุปผลลัพธ์ของการปฏิบัติงานอย่างสม่ าเสมอ ทุก 3 เดือน (Level 1 A) 4. มีการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติทุก 3 ปี หรือปรับปรุงแก้ไขเมื่อมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เหมาะสมใหม่ (Level 1 A) 5. จัดท าแผนการพัฒนาคุณภาพต่อเนื่อง โดยการทบทวนกระบวนการ และข้อมูลผลลัพธ์ของการ ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อย่างเป็น ระบบ (Level 1 A)


22 เอกสารอ้างอิง กนกพร ไพศาลสุจารีกุล, ประทุม สร้อยวงค์ และพิกุล นันทชัยพันธ์. ประสิทธิผลของการใช้แนว ปฏิบัติการจัดการทางการพยาบาลส าาหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2. พยาบาลสารปีที่ 41 ฉบับ พิเศษ พฤศจิกายนพ.ศ. 2557. กฤตกร หมั่นสระเกษ, ทัศนีย์ รวิวรกุล และสุนีย์ ละก าปั่น. ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อการ ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครราสีมา ปีที่ 25 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – พฤศจิกายน 2562. กานต์ชนก สุทธิผล. ปัจจัยที่มีผลต่อการคุมระดับน้ าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์ สุขภาพชุมชนประชานุเคราะห์โรงพยาบาลราชบุรี. มหาราชนครศรีธรรมราชเวชสาร ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 มกราคม – มิถุนายน 2565. กิจจานี บุญราษฎร์. คุณภาพชีวิตผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีแผลเบาหวานเรื้อรัง ที่เข้ารับการรักษา ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมโรงพยาบาลทุ่งสง. Website วิชาการโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ปีที่ 3 เมษายน 2566 - มีนาคม 2567. กเริ่น โซนี่, นลวันท์ เชื้อเมืองพาน, ภัทรี มณีรัตน์ และอรทัย มหาวงศนันท์. ผลของการให้ความรู้ โรคเบาหวานแก่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นรายกลุ่มเทียบกับรายบุคคล ณ หน่วยบริการปฐมภูมิและ คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์. เชียงรายเวชสารปีที่ 9 ฉบับที่ 2/2560. เครือข่ายบริการ คป.สอ. เมืองตาก. คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยกระบวนการ Motivation Interview (MI). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก https://www.tsm.go.th/pcc/wp-content/uploads/2018/06/EB-2-1.pdf (วันที่ 12 กันยายน 2566). เครือข่ายบริการ คป.สอ. บ้านผือ. แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.banphuehospital.com/group/pct/uploads/Download1496204795.pdf (วันที่ 12 กันายน 2566). จิรวัฒน์ บุญรักษ์. การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานในพื้นที่เกาะ. วารสารโรงพยาบาล สระบุรี ปีที่ 31 ฉบับที่ 3 มกราคม –เมษายน 2566. ชนากานต์ ชัยธนกุล และ นฤชา โกมลสุรเดช. ความถี่และปัจจัยที่เกี่ยวข้องของอาการน้ าตาลต่ าใน เลือด และความกลัวภาวะน้ าตาลต่ าในเลือด. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข สถาบันวิจัยระบบ สาธารณสุข ปีที่ 13 ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน 2562. ณฐอร จาตุสว่างพร. ความปกติใหม่ : การพัฒนารูปแบบจัดการบริการดูแลผู้ป่วยเบาหวานเพื่อป้องกัน การอุบัติซ้ าของโรคระบาดโควิด-19. ดุษฎีนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญา พุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย พุทธศักราช 2565. ณิชกานต์ เต็มราม. ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ าตาลใน เลือดไม่ได้. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://hr.ptho.moph.go.th/fileupload/dep_10_ 202209121851904734.pdf (17 ตุลาคม 2566). บ าเหน็จ แสงรัตน์. การจัดการภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน. วารสารสารการ ปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์ไทย ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2559.


23 พรเทพ วงศ์เมธาวี. วิเคราะห์กิจกรรมการดูแลรักษาผู้เป็นเบาหวานที่มารับบริการรักษาที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพประจ าต าบลท่ากว้าง อ าเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.chiangmaihealth.go.th/document/220725165873498573.pdf. (วันที่ 12 กันยายน 2566). มยุรี เที่ยงสกุล และสมคิด ปานประเสริฐ. การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานโรงพยาบาล สมเด็จพระพุทธเลิศหล้า. วารสารวิชาการสาธารณสุข ปีที่ 28 ฉบับที่ 4 กรกฎาคม - สิงหาคม 2562. มะลิ สว่าง, ยุวดี บุญเนาว์ และปาริชาต ญาตินิยม. ผลของโปรแกรมเฝ้าระวังและป้องกันภาวะน้ าตาล ในเลือดต่ าต่อระดับน้ าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในหอผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง โรงพยาบาลชัยภูมิ. วารสารพยาบาลทหารบก ปีที่ 22 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2564. พิรุณี สัพโส. การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน อ าเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร. วารสาร ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2566. ราชวิทยาลัยอายรแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์, สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระ ราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่ง ประเทศไทย, กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ส านักงานหลักประกันแห่งสุขภาพแห่งชาติ. แนวทางเวชปฏิบัติส าหรับโรคเบาหวาน พ.ศ. 2566. กรุงเทพฯ: บริษัท ศรีเมืองการพิมพ์ จ ากัด. รุจิเลขา บัวค าภู. ผลลัพธ์ทางคลินิกในการควบคุมเบาหวานของผู้ป่วยเบาหวานในสถานการณ์ป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โรงพยาบาลร่องค า จังหวัดกาฬสินธุ์. วารสารวิชาการส านักงาน สาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม. ปีที่ 7 ฉบับที่ 13 : ตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566. โรงพยาบาลบ่อพลอย กาญจนบุรี. การพยาบาลผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://bophloihospital.com/index.php?content=news_ etail&id=258 (วันที่ 12 กันยายน 2566). วิทยา เลิกสายเพ็ง. ปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในเขต รับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลหนองปิ้งไก่ ต าบลนาบ่อค า อ าเภอเมืองก าแพงเพชร จังหวัดก าแพงเพชร. วารสารวิจัยและวิชาการสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2564. วิรยุทธ สนธิเมือง. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในกลุ่ม ชาวเลอูรักลาโว้ย อ าเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่. มหาราชนครศรีธรรมราชเวชสาร ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 มกราคม – มิถุนายน 2565. ลัดดา ฐานียการ. การพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดไม่ได้ : กรณีศึกษา. วารสารวิจัยเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต. ปีที่ 2 ฉบับที่ 3 : กันยายน – ธันวาคม 2565. ศิริมา มณีโรจน์, ธนัชพร ลาภจุติ และกัญจนา ปุกค า. การพัฒนารูปแบบการจัดการภาวะน้ าตาลใน เลือดต่ าส าหรับผู้ป่วยเบาหวาน โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช. วารสารพยาบาลกระทรวง สาธารณสุข ปีที่ 27 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2560. สถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. . พัฒนารูปแบบการให้บริการวิถีใหม่ส าหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เบาหวานและความดันโลหิตสูง). บริษัท สินทวีการพิมพ์ จ ากัด จังหวัดนนทบุรี.


24 สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่ประเทศไทย และส านักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ. แนวทางเวชปฏิบัติส าหับโรคเบาหวาน 2566 (Clinical Practice Guideline for diabetes 2023). บริษัท ศรีเมืองการพิมพ์ จ ากัด กรุงเทพฯ. สลิดา รันนันท์ และพาพร เหล่าสีนาท. การพัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการจัดการ ตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดไม่ได้ โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม ปีที่ 16 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม) พ.ศ. 2562. สาวิตรี นามพะธาย. ผลของโปรแกรมการจดัการโรคเบาหวานด้วยตนเองต่อพฤตกิรรมการควบคุม ระดับน้ าตาลในเลือดและค่าน้ าตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลกัสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ พยาบาลผู้ใหญ่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน. สุดา ข านุรักษ์. ผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการควบคุมอาหารต่อพฤติกรรมการ ควบคุมอาหารและระดับน้ าตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด. ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://hr.ptho.moph.go.th (วันที่ 12 กันยายน 2566). เสาวภา บุญมั่ง. ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าระดับรุนแรงในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2. วารสารโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2556. อณัญญา ลาลุน และบษพร วิรุณพันธ 2564). ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองตอระดับน้ าตาลสะสมใน เลือดและคุณภาพชีวิตผูปวยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลแกงครอ จังหวัด ชัยภูมิ. ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร ปที่ 11 ฉบับที่ 1 (มกราคม –มิถุนายน 2564). อนุชา วรหาญ. การพัฒนารูปแบบการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลเลาขวัญ. วารสารศูนย์อนามัยที่ 9 วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม. ปีที่ 12 ฉบับที่ 27 เดือน มกราคม - เมษายน 2561. อริสรา สุขวัจนี. การจัดการภาวะน ้าตาลในเลือดต ่าในผู้ป่วยเบาหวาน: บทบาทพยาบาลเวชปฏิบัติ. วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ ปีที่ 33 ฉบับที่ 1 มกราคม – มีนาคม 2558. อัจฉราภรณ์ จ ารัส และทวีลักษณ์ วรรณฤทธิ์. (2563) ประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการจัดการทางการ พยาบาลส าหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลปง จังหวัดพะเยา. พยาบาลสาร ปีที่ 47 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม พ.ศ. 2563. ฮามีด๊ะ แวและ. ผลของการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการควบคุมอาหารต่อพฤติกรรมการ ควบคุมอาหารและระดับน้ าตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานมุสลิมที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ าตาลใน เลือด. วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต (การ พยาบาลผู้ใหญ่) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. Abdelhafiz AH, Manas LR, Morley JE, Sinclair AJ. Hypogycemia in older people – A less well recognized risk factor for frailty. Aging and Disease 2015; 6 (2) : 156-67.


25 National Health and Medical Research Council. A guide to the development, implementation and evaluation of clinical practice guidelines. [Intrenet] 1999 [cited 2023 September] Availabel from: https:// www.nhmrc.gov.au/about-us/publications/guide- development-evaluation-and-implementation-clinical-practice-guidelines.


26 ภาคผนวก


27 การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตัดสินความพอเพียงและคุณภาพงานวิจัยที่สืบค้นได้ ตารางที่ 6 การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตัดสินความพอเพียงและคุณภาพงานวิจัยที่สืบค้นได้ ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย 1 เครือข่ายบริการ คป.สอ. บ้าน ผือ. (2560). แนวทางการดูแล ผู้ป่วยโรคเบาหวาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.banphuehospit al.com/group/pct/uploads/ Download1496204795.pdf (วันที่ 12 กันายน 2566). แนวทางปฏิบัติ Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย 1. การดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่ภาวะน้ าตาลใน เลือดต่ า 2. การให้ความรู้โรคเบาหวานและสร้างทักษะ เพื่อการดูแลตนเอง ประกอบด้วย โรคเบาหวาน, โภชนบ าบัด, การออกก าลัง กาย, ยารักษาเบาหวาน, ภาวะน้ าตาลในต่ า หรือสูงและวิธีป้องกันแก้ไข และโรคแทรก ซ้อนจากเบาหวาน การน้าไปใช้ 1. การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 2. การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะน้ าตาลใน เลือดต่ า 3. การติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และ การพัฒนาคุณภาพ 2 ศิริมา มณีโรจน์, ธนัชพร ลาภจุติ และกัญจนา ปุกค า (2560). การ พัฒนารูปแบบการจัดการภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ าส าหรับผู้ป่วย เบาหวาน โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช. วารสาร พยาบาลกระทรวงสาธารณสุข ปี ที่ 27 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2560 Research and Development Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย รูปแบบการจัดการภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ส าหรับผู้ป่วยเบาหวาน ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ 1) การประเมินอาการ อาการแสดงและระดับความรู้สึกตัว 2) แนว ทางการจัดการภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 3) การติดตามและ ประเมินผล ในเวลา 15 นาที และ 4) การ ประเมินปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันการกลับ เป็นซ้ า การน้าไปใช้ เป็นแนวคิดให้เกิดรูปแบบแนวทางปฏิบัติฯ และการประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิด ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า


28 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย 3 เครือข่ายบริการ คป.สอ. เมือง ตาก. (2561). คู่มือการดูแล ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดัน โลหิตสูง และการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมด้วยกระบวนการ Motivation Interview (MI). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.tsm.go.th/pcc/ wp-content/uploads/ 2018/06/EB-2-1.pdf (วันที่ 12 กันยายน 2566) แนวทางปฏิบัติ Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย การให้ความรู้โรคเบาหวานและสร้างทักษะ เพื่อการดูแลตนเอง ประกอบด้วย โรคเบาหวาน, โภชนบ าบัด, การออกก าลัง กาย, ยารักษาเบาหวาน, ภาวะน้ าตาลในต่ า หรือสูงและวิธีป้องกันแก้ไข และโรคแทรก ซ้อนจากเบาหวาน การน้าไปใช้ รูปแบบการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภค อาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษา เบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ า 4 โรงพยาบาลบ่อพลอย กาญจนบุรี. (2561). การ พยาบาลผู้ป่วยเบาหวาน ที่มี ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://bophloihospital.com /index.php?content=news_ detail&id=258 (วันที่ 12 กันยายน 2566). แนวทางปฏิบัติ Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย 1. การดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่ภาวะน้ าตาลใน เลือดต่ า 2. การให้ความรู้โรคเบาหวานและสร้างทักษะ เพื่อการดูแลตนเอง ประกอบด้วย โรคเบาหวาน, โภชนบ าบัด, การออกก าลัง กาย, ยารักษาเบาหวาน, ภาวะน้ าตาลในต่ า หรือสูงและวิธีป้องกันแก้ไข และโรคแทรก ซ้อนจากเบาหวาน การน้าไปใช้ น าไปปรับใช้ในการการพยาบาลภาวะน้ าตาล ในเลือดต่ า และการให้ความรู้เกี่ยวกับการ บริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยา รักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมี ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 5 อนุชา วรหาญ. (2561). การ พัฒนารูปแบบการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรงพยาบาลเลาขวัญ. วารสาร ศูนย์อนามัยที่ 9 วารสารส่งเสริม สุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม. ปีที่ 12 ฉบับที่ 27 เดือนมกราคม - เมษายน 2561 Research and Development Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย รูปแบบการดูแลตนเองที่พัฒนาขึ้น คือ ให้ ความรู้และประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเอง ให้ค าแนะน าในการปฏิบัติในการดูแลตนเอง ให้ยา และมีการติดตามทางโทรศัพท์โดย เจ้าหน้าที่ หลังจากการมารักษาแต่ละครั้ง ในช่วง 2 เดือนแรก หากพบว่าในเดือนที่ 3 ผู้ป่วยยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ าตาลใน เลือดได้ ก็จะส่งพบแพทย์เพื่อพิจารณาปรับยา


29 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ให้เหมาะสม และท าการเยี่ยมบ้านเพื่อหา สาเหตุและส่งเสริมให้ญาติช่วยดูแล การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าด้านการ ติดตามเฝ้าระวัง 6 สลิดา รันนันท์ และพาพร เหล่า สีนาท. (2562). การพัฒนาแนว ปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อ ส่งเสริมการจัดการตนเองของ ผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่ ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด ไม่ได้ โรงพยาบาลกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม. วารสาร โรงพยาบาลมหาสารคาม ปีที่ 16 ฉบับที่ 3 (กันยายน - ธันวาคม) พ.ศ. 2562. Research and Development Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย แนวปฏิบัติทางการพยาบาล ประกอบด้วย 1) การประเมินผู้ป่วย ด้านความรู้ พฤติกรรม และภาวะสุขภาพ 2) การให้ความรู้ที่จ าเป็น เพียงพอต่อการจัดการตนเองเพื่อควบคุม ระดับน้ าตาลในเลือด ได้แก่ ความรู้เรื่อง โรคเบาหวาน โภชนาบ าบัด การออกก าลัง กาย การใช้ยารักษาเบาหวาน การตรวจวัด ระดับน้ าตาลในเลือดด้วยตนเองและการแปล ผลและวิธีป้องกันแก้ไขภาวะน้ าตาลต่ าหรือสูง ในเลือด 3) การวางเป้าหมายร่วมกันกับผู้ป่วย โรคเบาหวานเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 4) การให้ความช่วยเหลือสนับสนุนด้านความรู้ ทักษะการจัดการตนเอง และ 5) การติดตาม ระดับน้ าตาลในเลือด การน้าไปใช้ เป็นแนวคิดให้เกิดรูปแบบแนวทางปฏิบัติฯ และการติดตามการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง 7 สถาบันเวชศาสตร์สมเด็จ พระสังฆราชญาณสังวรเพื่อ ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2565). พัฒนารูปแบบการให้บริการวิถี ใหม่ส าหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ เรื้อรัง (เบาหวานและความดัน โลหิตสูง).บริษัท สินทวีการพิมพ์ จ ากัด จังหวัดนนทบุรี. Research and Development Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย การปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการวิถีใหม่ คือ มี การนัดผู้ป่วยมาที่หน่วยบริการทุก 4 เดือน ใน เดือนที่ไม่ได้นัดมาที่หน่วยบริการจะให้ผู้ป่วย ท าการบันทึกผลภาวะสุขภาพด้วยตนเองมา ส่งให้พยาบาลที่เป็น Case manager หรือผู้ที่ มีหน้าที่ Triage ทุกครั้งที่มีการนัดหมาย เพื่อ รับยาตามปกติ ในกรณีที่ผลผิดปกติสามารถ เข้าช่องทาง Fast tract มาพบแพทย์ได้เพื่อ พิจารณาปัญหาหรือปัจจัยที่ท าให้เกิดความ ผิดปกติ โดยจะมีการนัดและจัดบริการให้ ผู้ป่วยอย่างเหมาะสม


30 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย การน้าไปใช้ เป็นแนวทางการพยาบาลภาวะน้ าตาลใน เลือดต่ าด้านการติดตามเฝ้าระวัง 8 จิรวัฒน์ บุญรักษ์. (2566). การ พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วย โรคเบาหวานในพื้นที่เกาะ. วารสารโรงพยาบาลสระบุรี ปีที่ 31 ฉบับที่ 3 มกราคม –เมษายน 2566. Research and Development Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ระบบการดูแลผู้ป่วยที่พัฒนาขึ้น ประกอบ ด้วย การแจ้งเตือนให้มารักษาตามนัด การ รักษาพยาบาลและให้ความรู้ การติดตามและ ให้ก าลังใจผู้ป่วยด้วยระบบการแพทย์ทางไกล และการสนับสนุนของโรงพยาบาลกับ รพ.สต. เครือข่าย การน้าไปใช้ แนวทางการพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ด้านการติดตามเฝ้าระวัง 9 พิรุณี สัพโส. (2566). การพัฒนา รูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน อ าเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร. วารสารส านักงานสาธารณสุข จังหวัดขอนแก่น ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2566. Research and Development Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย รูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในคลินิก โรคเบาหวาน การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า และ การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การ ออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน และ การจัดการตนเองเมื่อมีภาวะน้ าตาลในเลือด ต่ า 10 ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่ง ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์, สมาคมโรคเบาหวานแห่ง ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมาคม ต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย, กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข, ส านักงาน หลักประกันแห่งสุขภาพ แห่งชาติ. (2566). แนวทางเวช ปฏิบัติส าหรับโรคเบาหวาน พ.ศ. 2566. กรุงเทพฯ: บริษัท ศรี เมืองการพิมพ์ จ ากัด. แนวทางปฏิบัติ Level 1 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย หมวดที่ 3 ภาวะแทรกซ้อน บทที่ 11 การ วินิจฉัย ประเมิน รักษา และป้องกันภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานผู้ใหญ่ การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า


31 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย 11 เสาวภา บุญมั่ง. (2556). ปัจจัย เสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ าตาลใน เลือดต่ าระดับรุนแรงในผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2. วารสาร โรงพยาบาลเจริญกรุงประชา รักษ์ ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2556. case-control study Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ระดับรุนแรงในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ปัจจัยที่ศึกษาประกอบด้วย ระดับการศึกษา ระยะการป่วย การรักษาด้วยอินซูลิน การ รักษาด้วย การใช้ยาร่วม ความเจ็บป่วยร่วม ระดับ HbA1C เวลารับประทานอาหารกับ การได้รับอินซูลินหรือยาเม็ด ปริมาณการ รับประทานอาหารก่อนมาโรงพยาบาล 1 วัน และความรู้เกี่ยวกับการป้องการเกิดภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ า การน้าไปใช้ การประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิด ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 12 ฮามีด๊ะ แวและ. (2560). ผลของ การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล เพื่อส่งเสริมการควบคุมอาหาร ต่อพฤติกรรมการควบคุมอาหาร และระดับน้ า ตาลในเลือดใน ผู้ป่วยเบาหวานมุสลิมที่ไม่ สามารถควบคุมระดับน้ าตาลใน เลือด. วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วน หนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาพยาบาลศาสตรมหา บัณฑิต (การพยาบาลผู้ใหญ่) มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์. Quasi experimental Studies Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการ ควบคุมอาหาร การน้าไปใช้ การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร 13 สาวิตรี นามพะธาย. (2561). ผล ของโปรแกรมการจดัการ โรคเบาหวานด้วยตนเองต่อพฤต กิรรมการควบคุมระดับน้ าตาลใน เลือดและค่าน้ าตาลเฉลี่ยสะสม ในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษาตามหลกัสูตร Quasi experimental Studies Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย โปรแกรมการจัดการเบาหวานด้วยตนเองต่อ พฤติกรรมการควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมไม่ได้ ประกอบด้วย 1) การตั้งเป้าหมาย 2)การเก็บ รวบรวมข้อมูล 3)การประมวลและการ ประเมินข้อมูล 4) การตัดสินใจ 5)การลงมือ ปฏิบัติ 6) การสะท้อนตนเอง 7) การติดตาม ตนเอง 8) การประเมินตนเอง 9) การ


32 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน. เสริมแรงตนเอง การน้าไปใช้ รูปแบบการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภค อาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษา เบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ า 14 กฤตกร หมั่นสระเกษ, ทัศนีย์ รวิวรกุล และสุนีย์ ละก าปั่น. (2562). ผลของโปรแกรมการ จัดการตนเองต่อการควบคุม ระดับน้ าตาลในเลือด. วารสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราสีมา ปีที่ 25 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – พฤศจิกายน 2562. Quasi experimental Studies Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย โปรแกรมการจัดการตนเองต่อการควบคุม ระดับน ้าตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิด ที่ 2 ที่ใช้อินซูลิน ประกอบด้วย 1) การตั้ง เป้าหมายการจัดการตนเอง 2) การติดตาม ตนเอง 3) การประเมินตนเอง 4) การเสริม แรงตนเอง การน้าไปใช้ รูปแบบการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภค อาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษา เบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ า 15 ชนากานต์ ชัยธนกุล และ นฤชา โกมลสุรเดช. (2562). ความถี่ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องของอาการ น้ าตาลต่ าในเลือด และความกลัว ภาวะน้ าตาลต่ าในเลือด. วารสาร วิจัยระบบสาธารณสุข สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ปี ที่ 13 ฉบับที่ 3 กรกฎาคมกันยายน 2562. Crosssectional study Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย การศึกษาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยที่เกี่ยวข้องและอาการน้ าตาลต่ าในเลือด ผลการศึกษา: การเกิดอาการน้ าตาลต่ าใน เลือดเป็นสิ่งที่พบได้ในผู้สูงอายุโรคเบาหวาน ชนิดที่สอง ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการ น้ าตาลต่ าในเลือด ได้แก่ การมีภาวะแทรก ซ้อนของโรคเบาหวาน และการใช้ยา glipizide นอกจากนี้ความถี่ของอาการ น้ าตาลต่ าในเลือดที่มากขึ้นส่งผลต่อความกลัว ภาวะน้ าตาลต่ าในเลือด ดังนั้น การดูแลและ ป้องกันภาวะน้ าตาลต่ าในเลือดในผู้สูงอายุ โรคเบาหวานจึงเป็นสิ่งส าคัญ การน้าไปใช้ การประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิด ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า และการให้ความรู้ เกี่ยวกับการ การใช้ยารักษาเบาหวาน


33 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย 16 มยุรี เที่ยงสกุล และสมคิด ปาน ประเสริฐ (2562). การพัฒนา รูปแบบการดูแลผู้ป่วย โรคเบาหวานโรงพยาบาลสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้า. วารสารวิชาการสาธารณสุข ปีที่ 28 ฉบับที่ 4 กรกฎาคม - สิงหาคม 2562. quasiexperimental research Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย รูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้น คือ การตรวจ รักษาโดยแพทย์ แล้วให้ความรู้ ประเมิน พฤติกรรมการดูแลตนเอง ให้ค าแนะน าในการ ปฏิบัติในการดูแลตนเอง และมีการติดตาม ทางโทรศัพท์โดยเจ้าหน้าที่ หลังจากการมา รักษาแต่ละครั้งในช่วง 2 เดือนแรก หาก พบว่า ในเดือนที่ 3 ผู้ป่ วยยังไม่สามารถ ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดได้ ก็จะส่งพบ แพทย์ เพื่อพิจารณาปรับยาให้เหมาะสม และ ท าการเยี่ยมบ้าน เพื่อหาสาเหตุและส่งเสริม ให้ญาติช่วยดูแล การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ด้านการ ติดตามเฝ้าระวัง 17 ณิชกานต์ เต็มราม. (2564). ผล ของโปรแกรมการจัดการตนเอง ของผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุม ระดับน้ าตาลในเลือดไม่ได้. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://hr.ptho.moph.go.th/fi leupload/dep_10_ 202209121851904734.pdf (17 ตุลาคม 2566). Quasi experimental Studies Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย โปรแกรมการจัดการตนเองของผู้ป่วย เบาหวานที่ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือดไม่ได้ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ แบ่งกลุ่มท า กิจกรรม ในโปรแกรมที่ก าหนด โดยแบ่งเป็น ฐานในการท ากิจกรรมกลุ่ม โดยใช้แนวคิดใน โปรแกรม คือ 1) Action and SelfMonitoring 2) Education 3) Goal Setting 4) Evaluation and Reinforcement 5) Meal Planning แบ่งเป็นฐานดังนี้ ฐานที่ 1 ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและ ยา ฐานที่ 2 ให้ความรู้เรื่องอาหารเบาหวาน และอาหารแลกเปลี่ยน ฐานที่ 3 ให้ความรู้ เรื่องการออกก าลังกายและการฝึกปฏิบัติฐาน ที่ 4 Self-management การน้าไปใช้ การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การ ออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน


34 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย 18 พรเทพ วงศ์เมธาวี. (2564). วิเคราะห์กิจกรรมการดูแลรักษา ผู้เป็นเบาหวานที่มารับบริการ รักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพประจ าต าบลท่ากว้าง อ าเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.chiangmaiheal th.go.th/document/ 220725165873498573.pdf. (วันที่ 12 กันยายน 2566). Quasi experimental Studies Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย โปรแกรมการให้ความรู้เพื่อจัดการดูแล โรคเบาหวานด้วยตนเอง (Diabetes selfmanagement education หรือ DSME) ร่วมกับการให้ความรอบรู้ทางด้านสุขภาพ (Health Literacy หรือ HL) โดยทีมสห วิชาชีพ การน้าไปใช้ รูปแบบการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภค อาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยารักษา เบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมีภาวะ น้ าตาลในเลือดต่ า 19 มะลิ สว่าง, ยุวดี บุญเนาว์ และ ปาริชาต ญาตินิยม. (2564). ผล ของโปรแกรมเฝ้าระวังและ ป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ต่อระดับน้ าตาลในเลือดของ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในหอ ผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง โรงพยาบาลชัยภูมิ. วารสาร พยาบาลทหารบก ปีที่ 22 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน 2564. Quasi experimental Studies Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมเฝ้าระวังและป้องกันภาวะ น้ าตาลต่ าในเลือดส าหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิด ที่ 2 ในหอผู้ป่วยศัลยกรรม ประกอบด้วย 1.1) แบบประเมินปัจจัยเสี่ยง/อาการส าคัญต่อ ภาวะน้ าตาลต่ าในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน 1.2) คู่มือการใช้โปรแกรมเฝ้าระวังและ ป้องกันภาวะน้ าตาลต่ าในเลือดในผู้ป่วย เบาหวาน ชนิดที่ 2 1.3) คู่มือการให้ความรู้เกี่ยวกับ ภาวะน้ าตาลต่ าในเลือด 1.4) แบบบันทึกระดับน้ าตาลในเลือด 1.5) เครื่องตรวจน้ าตาลในเลือดจากปลายนิ้ว (glucose meter) 1.6) คู่มือปฏิบัติการดูแล ผู้ป่วยโรคเบาหวาน การน้าไปใช้ การประเมินระดับความเสี่ยงของการเกิด ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า และ การพยาบาล ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 20 อณัญญา ลาลุน และบษพร วิรุณ พันธ ผลของโปรแกรม การจัดการตนเองตอระดับ น้ าตาลสะสมในเลือดและ Quasi experimental Studies Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ติดตามทางโทรศัพท์ เพื่อประเมินผลการ ปฏิบัติ ให้ค าแนะน าและให้ก าลังใจแก่ผู้ป่วย และญาติคงไว้ซึ่งการปฏิบัติการจัดการตนเอง


35 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย คุณภาพชีวิตผูปวยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ในเขตรับผิดชอบ โรงพยาบาลแกงครอ จังหวัด ชัยภูมิ. ราชาวดีสาร วิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร ป ที่ 11 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2564). อย่างต่อเนื่อง ครั้งละประมาณ 10-15 นาที การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ในด้าน ของการติดตามเฝ้าระวัง 21 สุดา ข านุรักษ์. (2566). ผลของ การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล เพื่อส่งเสริมการควบคุมอาหาร ต่อพฤติกรรมการควบคุมอาหาร และระดับน้ าตาลในเลือดใน ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถ ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด. ส านักงานสาธารณสุขจังหวัด พัทลุง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://hr.ptho.moph.go.th (วันที่ 12 กันยายน 2566). Quasi experimental Studies Level 3 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย แนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการ ควบคุมอาหารต่อพฤติกรรมการควบคุม อาหารและระดับน้ าตาลในเลือดในผู้ป่วย เบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ าตาลใน เลือด การน้าไปใช้ การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร 22 วิทยา เลิกสายเพ็ง. (2564). ปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมระดับ น้ าตาลในเลือดของผู้ป่วย โรคเบาหวาน ในเขตรับผิดชอบ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต าบลหนองปิ้งไก่ ต าบลนาบ่อค า อ าเภอเมืองก าแพงเพชร จังหวัด ก าแพงเพชร. วารสารวิจัยและ วิชาการสาธารณสุขจังหวัดพิจิตร ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2564. Descriptive Research Level 4 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางสถิติกับการ ควบคุมระดับน ้าตาลในเลือด ได้แก่ น ้าหนัก สถานภาพ การมีผู้ดูแล มีญาติสายตรงป่วย ด้วยโรเบาหวานและการรับรู้แบบแผนความ เชื่อด้านสุขภาพปัจจัยท านายการควบคุม ระดับน ้าตาลในเลือดของผู้ป่วย การน้าไปใช้ การก าหนดประเด็นการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย และญาติ 23 กานต์ชนก สุทธิผล. (2565). ปัจจัยที่มีผลต่อการคุมระดับ น้ าตาลในเลือดของผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 ศูนย์สุขภาพ ชุมชนประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลราชบุรี. มหาราช นครศรีธรรมราชเวชสาร ปีที่ 5 Cross sectional analytic research Level 4 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ปัจจัยที่มีผลต่อการคุมระดับน้ าตาลในเลือด คือ อายุ ระดับน้ าตาลในเลือดขณะอดอาหาร ระยะเวลาการเกิดโรค การมีโรคความดัน โลหิตสูง และโรคจอประสาทตาเสื่อมจาก เบาหวาน จึงควรพัฒนาแนวทางการดูแล ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางตามปัจจัยดังกล่าวและ


36 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ฉบับที่2 มกราคม – มิถุนายน 2565. ศึกษาปัจจัยด้านการรักษาเพิ่มเติม การน้าไปใช้ การก าหนดประเด็นการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย และญาติ 24 ณฐอร จาตุสว่างพร. (2565). ความปกติใหม่ : การพัฒนา รูปแบบจัดการบริการดูแลผู้ป่วย เบาหวานเพื่อป้องกันการอุบัติซ้ า ของโรคระบาดโควิด-19. ดุษฎี นิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษาตามหลักสูตรปริญญา พุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช 2565. Qualitative Research Level 4 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย รูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานเพื่อป้องกัน การอุบัติซ้ าของโรคระบาดโควิด-19 โดยต้อง ปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT ในป้องกันโค วิดดังกล่าวและควบคู่กับการก าหนดแนว ปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน NATHAON MODEL ดังนี้1) New Normal Guideline of DM Care คือ การสร้างแนวปฏิบัติใหม่ 2) Attitude & Mindset & Behavior Change การปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเน้น การดูแลตนเอง 3) Technology & Telemedicine การน าเทคโนโลยีมาใช้ใน การดูแลผู้ป่วย เช่น Telemedicine หรือ เทคนิคการตรวจน้ าตาลกลูโคสด้วยตัวเอง 4) Health Support Team การได้รับการ สนับสนุนจาก ครอบครัวและอาสาสมัคร สาธารณสุขและชุมชนในการดูแลผู้ป่วย เบาหวานอย่างยั่งยืน 5) Annual Screening of DM การสร้างประสิทธิภาพในการคัดกรอง เบาหวานประจ าปีในกลุ่มเสี่ยง 6) Organization Collaboration การสร้าง ความร่วมมือในองค์กรการแพทย์และ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 6) Net working การสร้างภาคีเครือข่าย และการ ท างานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในการดูแล ผู้ป่วยเบาหวานในสถานการณ์การระบาดโค วิด-19 การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ด้านการ ติดตามเฝ้ารัวัง และการให้ความรู้เกี่ยวกับการ บริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยา รักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมี


37 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า เน้นการปรับเปลี่ยน ทัศนคติในการเน้นการดูแลตนเอง 25 ลัดดา ฐานียการ. (2565). การ พยาบาลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ าตาลในเลือด ไม่ได้ : กรณีศึกษา. วารสารวิจัย เพื่อการส่งเสริมสุขภาพและ คุณภาพชีวิต. ปีที่ 2 ฉบับที่ 3 : กันยายน – ธันวาคม 2565. Case Study Level 4 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยและญาติที่เป็น ผู้ดูแลยังขาดความรู้ในการจัดการตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมการส่งเสริม สุขภาพ ได้แก่ การรับประทานอาหาร การใช้ ยา การออกก าลังกาย และการมาตรวจตาม นัด จากปัญหาดังกล่าว พยาบาลจึงต้อง สามารถประเมินภาวะสุขภาพผู้ป่วยได้อย่าง ถูกต้อง และวางแผนให้การดูแลที่เหมาะสม ร่วมกับทีมสหวิชาชีพจนกระทั่งผู้ป่วยและ ญาติที่เป็นผู้ดูแลสามารถจัดการสุขภาพ กันเองเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อันจะ ช่วยส่งผลท าให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีได้ การน้าไปใช้ การก าหนดประเด็นการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย และญาติ 26 วิรยุทธ สนธิเมือง. (2565). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการดูแลตนเองของ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในกลุ่ม ชาวเลอูรักลาโว้ย อ าเภอเกาะลัน ตา จังหวัดกระบี่. มหาราช นครศรีธรรมราชเวชสาร ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 มกราคม – มิถุนายน 2565. Cross sectional analytic research Level 4 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพ ประกอบด้วย ระดับการศึกษา อายุ โรค ประจ าตัว การรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรม สุขภาพ การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติ การ รับรู้สมรรถนะของตนเอง และการสนับสนุน ทางสังคม จึงควรมีการให้ความรอบรู้ในการ ควบคุมระดับน้ าตาลให้มีการประเมินการรับรู้ สมรรถนะและการปฏิบัติการควบคุมระดับ น้ าตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง การน้าไปใช้ การก าหนดประเด็นการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย และญาติ 27 กิจจานี บุญราษฎร์. (2566). คุณภาพชีวิตผู้ป่วยเบาหวานชนิด ที่ 2 ที่มีแผลเบาหวานเรื้อรัง ที่ เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วย ศัลยกรรมโรงพยาบาลทุ่งสง. Descriptive Research Level 4 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย ระดับคะแนนคุณภาพชีวิตในทุกด้านและ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางความแตกต่าง ระหว่างลักษณะส่วนบุคคลรายข้อ พบว่า เพศ และระยะเวลาในการเป็นเบาหวานเป็นปัจจัย


38 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย Website วิชาการโรงพยาบาล มหาราชนครศรีธรรมราช ปีที่ 3 เมษายน 2566 - มีนาคม 2567. ที่มีความแตกต่างซึ่งควรมีการพัฒนาในแต่ละ ด้านให้มีระดับคะแนนที่สูงขึ้น การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ด้านการ ติดตามเฝ้ารัวัง และการให้ความรู้เกี่ยวกับการ บริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยา รักษาเบาหวาน และการจัดการตนเองเมื่อมี ภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า เน้นการปรับเปลี่ยน ทัศนคติในการเน้นการดูแลตนเอง เพื่อให้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น 28 รุจิเลขา บัวค าภู. (2566). ผลลัพธ์ทางคลินิกในการควบคุม เบาหวานของผู้ป่วยเบาหวานใน สถานการณ์ป้องกันการแพร่ ระบาดของโรคโควิด-19 โรงพยาบาลร่องค า จังหวัด กาฬสินธุ์. วารสารวิชาการ ส านักงานสาธารณสุขจังหวัด มหาสารคาม. ปีที่ 7 ฉบับที่ 13 : ตุลาคม 2565 - มีนาคม 2566. Retrospective cohort study Level 4 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลลัพธ์ทางคลินิกใน การควบคุมเบาหวานระหว่างช่วงที่ผู้ป่วย เบาหวานรับยาที่โรงพยาบาลในปี 2563 และ ช่วงที่ผู้ป่วยเบาหวานรับยาที่บ้านในปี 2564 พบว่า ค่าเฉลี่ยของระดับ HbA1C, LDL และ eGFR มีความแตกต่างกัน เป็นโอกาสพัฒนา ระบบบริการส่งยาถึงบ้านลดความแออัดใน โรงพยาบาลลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของ ผู้ป่วย ซึ่งควรติดตามการดูแลต่อในอนาคต ต่อไป การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า ด้านการ ติดตามเฝ้าระวัง 29 กนกพร ไพศาลสุจารีกุล, ประทุม สร้อยวงค์ และพิกุล นันทชัย พันธ์. (2557). ประสิทธิผลของ การใช้แนวปฏิบัติการจัดการ ทางการพยาบาลส าาหรับผู้ที่เป็น โรคเบาหวานชนิดที่ 2. พยาบาล สารปีที่ 41 ฉบับ พิเศษ พฤศจิกายนพ.ศ. 2557. การศึกษา ปฏิบัติการ (operational) Level 5 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย แนวปฏิบัตินี้ประกอบด้วยข้อเสนอแนะการ จัดการทางการพยาบาล 6 หมวด ได้แก่ 1) การพิทักษ์สิทธิผู้ป่วยและจริยธรรม 2) การ คัดเลือกและประเมินผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน 3) การให้ความรู้และพัฒนาทักษะ 4) การ ควบคุมโรคเบาหวาน 5) การติดตามดูแล ต่อเนื่อง และ 6) การประเมินผลลัพธ์ การน้าไปใช้ เป็นแนวคิดให้เกิดรูปแบบแนวทางปฏิบัติ ปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาล ในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2


39 ล้าดับ ชื่อผู้แต่ง/ ชื่อเรื่อง/ แหล่งที่มา ระดับของ หลักฐาน การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย 30 กิเริ่น โซนี่, นลวันท์ เชื้อเมือง พาน, ภัทรี มณีรัตน์ และอรทัย มหาวงศนันท์. (2560). ผลของ การให้ความรู้โรคเบาหวานแก่ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นราย กลุ่มเทียบกับรายบุคคล ณ หน่วยบริการปฐมภูมิและคลินิก โรคเบาหวาน โรงพยาบาล เชียงรายประชานุเคราะห์. เชียงรายเวชสารปีที่ 9 ฉบับที่ 2/2560. Retrospective cohort study Level 5 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย รูปแบบการให้ความรู้โรคเบาหวานแก่ผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นรายกลุ่มเทียบกับ รายบุคคล การน้าไปใช้ ได้แนวคิดรูปแบบการให้ความรู้เกี่ยวกับการ บริโภคอาหาร การออกก าลังกาย การใช้ยา รักษาเบาหวาน เป็นรายบุคคล 31 อัจฉราภรณ์ จ ารัส และทวี ลักษณ์ วรรณฤทธิ์. (2563) ประสิทธิผลของการใช้แนว ปฏิบัติการจัดการทางการ พยาบาลส าหรับผู้ที่เป็น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลปง จังหวัดพะเยา. พยาบาลสาร ปีที่ 47 ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม พ.ศ. 2563. ศึกษา ปฏิบัติการ (operations study) Level 5 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย การประเมินผลลัพธ์ที่เกิดจากการน าแนว ปฏิบัติไปใช้คือ ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง และระดับน้ าตาล ในเลือดของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน การน้าไปใช้ การให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร การ ออกก าลังกาย การใช้ยารักษาเบาหวาน 32 อริสรา สุขวัจนี. (2558). การ จัดการภาวะน ้าตาลในเลือดต ่าใน ผู้ป่วยเบาหวาน: บทบาท พยาบาลเวชปฏิบัติ. วารสารการ พยาบาลและการดูแลสุขภาพ ปี ที่ 33 ฉบับที่ 1 มกราคม – มีนาคม 2558. บทความ วิชาการโดย ผู้เชี่ยวชาญ Level 6 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย จัดการภาวะน ้าตาลในเลือดต ่าในผู้ป่วย เบาหวาน: บทบาทพยาบาลเวชปฏิบัติ การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า 33 บ าเหน็จ แสงรัตน์. (2559). การ จัดการภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าใน ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน. วารสารสารการปฏิบัติการ พยาบาลและการผดุงครรภ์ไทย ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2559. บทความ วิชาการโดย ผู้เชี่ยวชาญ Level 6 A การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานวิจัย การจัดการภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้สูงอายุ ที่เป็นโรคเบาหวาน การน้าไปใช้ การพยาบาลภาวะน้ าตาลในเลือดต่ า


40 ค้ารับรองในการเปิดเผยการมีผลประโยชน์ทับซ้อน ทีมพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน ้าตาลในเลือดต่้าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร เป็นที่ทราบดีว่าโอกาสที่จะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นไปได้เสมอ จึงต้องมีค ารับรองในคณะท างาน พัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิก โรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ที่ต้องเปิดเผยและต้องมีการจัดการเพื่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายสามารถให้การ ปกป้องผู้ได้รับการดูแลตามแนวทางปฏิบัติ และเป็นนโยบายของประธานคณะท างานที่ไม ่ ให้คณะท างานพัฒนา แนวทางปฏิบัติที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ เข้าร่วมในการเป็นคณะท างานพัฒนา แนวทางปฏิบัติ คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ตกลงให้ค ารับรองต่อประธานคณะท างานว่า “ไม่มีผลประโยชน์ทับ ซ้อนในการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน้ าตาลในเลือดต่ าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนครแต่อย่างใด และพร้อมท าหน้าที่ในการเป็นคณะท างานพัฒนาแนวทาง ปฏิบัติอย่างเต็มประสิทธิภาพ” คณะท างานพัฒนาแนวทางปฏิบัติได้อ่านและเข้าใจข้อความตามค ารับรองที่กล่าวมาข้างต้นเป็นอย่าง ดีแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามความประสงค์ จึงได้ลงนามไว้เป็นหลักฐาน ณ วัน เดือน ปี ที่ระบุข้างต้น 1. พญ.ขวัญฉัตร ไกรรวีงามวิจิตร วันที่ 1 กันยายน 2566 2. พญ.ปวีณ์นุช เหล่าจินดาพันธ์ วันที่ 1 กันยายน 2566 3. นางสาวจรัสพร นวานุช วันที่ 1 กันยายน 2566 4. นางสาวเพชรดาว ทัศนคร วันที่ 1 กันยายน 2566 5. นางสาวปริยากร เประกันยา วันที่ 1 กันยายน 2566 6. นางวาสนา แสนมหาชัย วันที่ 1 กันยายน 2566 7. นางภาสินีนุช พงษ์ไพบูลย์ วันที่ 1 กันยายน 2566


41 รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ ตรวจสอบคุณภาพแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะน ้าตาลในเลือดต่้า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่2 คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสกลนคร ล้าดับ ชื่อ – สกุล ต้าแหน่ง/หน่วยงาน Mobile / E-mail 1 พญ.นริศรา สุนนท์ นายแพทย์ ช านาญการพิเศษ รพ.สกลนคร [email protected] 2 นางทรงกลด เจริญศรี พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการพิเศษ รพ.สกลนคร 080-009 4236 [email protected] 3 นางฝนส่ง เมตตาวิมล พยาบาลวิชาชีพ ช านาญการ รพ.สกลนคร [email protected] 4 นางรุ่งนภาประยูร ศิริศักดิ์ อาจารย์พยาบาล วพบ.อุดรธานี 081- 871 4225 [email protected]


Click to View FlipBook Version