Iการสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ
IIการสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ คุยกันก่อน มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์แด่อัลลอฮฺ องค์อภิบาลแห่งโลกทั้งผอง ขอประสาทพรแด่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้น�ำพาผู้คนออกจากความ หลงผิด เนื่องจากปัจจุบันนี้ มีแนวความคิดที่ชี้น�ำผู้คนให้ตามอุลามาอฺ โดยไม่ค�ำนึงถึง หลักฐานที่บรรดาอุลามาอฺแต่ละท่านได้น�ำเสนอ ซึ่งการเรียกร้องเช่นนี้ คือแนวความคิด ที่ไม่ถูกต้อง ก�ำลังแทรกแซง สอดแทรกอยู่ ณ ปัจจุบัน เพราะไม่ใช่แนวทางของบรรพชน ชาวสะลัฟ ไม่ใช่แนวทางของอะฮฺลิซซุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ แต่เป็นเพียงการสร้างวาทะ กรรมบนพื้นฐานของตรรกะที่เป็นเท็จ เพื่อให้ผู้คนคล้อยตาม เช่น ให้ข้อหาผู้ที่ไม่ยึดตาม แนวทางนี้ว่าเป็นฝ่าย “ไม่เอาปราชญ์” หรือ “ไม่ให้เกียรติปราชญ์” หรือ “ดูหมิ่นปราชญ์” หรือ “กระโดดข้ามหัวปราชญ์” อย่างนี้เป็นต้น เป็นแนวความคิดที่ว่า ปราชญ์ อุลามาอ์ เขาเรียนรู้ เข้าใจหลักการ หลักฐานของศาสนามากกว่าเรา เขาจะพาเราไปหาหลักฐานที่ ถูกต้องและตรงประเด็น อันเนื่องจากเขามีความเข้าใจที่มากกว่าเรา วิธีการเหล่านี้ ท�ำให้เรานึกถึงแวดวงการเมืองที่มีการสร้างวาทกรรมขึ้นมา เพื่อ สร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง และเพื่อท�ำลายฝ่ายตรงข้าม และเพื่อแยกขั้วแยกค่าย เช่น ฝ่ายธรรมะ กับฝ่ายอธรรม ฝ่ายประชาธิปไตย กับ ฝ่ายเผด็จการ แต่ประชาชน ก็ทราบดีว่า นั่นคือเรื่องการเมือง แต่ทว่าเรื่องของศาสนา กลับใช้วิธีการเฉกเช่นนักการ เมือง แล้วอ้างศาสนาทั้งๆ ที่ศาสนาเป็นเรื่องสะอาดและบริสุทธิ์
IIIการสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ด้วยเหตุนี้ จึงจ�ำเป็นที่เราจะต้องเตือนให้บรรดาผู้คนได้รับทราบถึงแนวทางที่ไม่ ถูกต้อง ซึ่งเป็นแนวความคิดที่จะน�ำพาผู้คนออกจากแนวทางของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ และ มันฮัจสะลัฟ และเพื่อผู้คนจะได้ระแวดระวังไม่พลัดหลงไปกับแนวทาง ตรรกะ เช่นนี้ ขออัลลอฮฺทรงปกป้องเราให้พ้นจากแนวทางแห่งความหลงผิดทั้งหลายด้วยเถิด ฟารีด เฟ็นดี้
IVการสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ เรื่องในเล่ม หน้า การตักลีด 1 คุณคือใคร 5 บรรดาอุลามาอฺได้จ�ำแนกคนออกเป็น 3 ประเภท 6 คนไม่รู้จะท�ำอย่างไร 10 ค�ำตอบของอุลามาอฺ 13 หนังสือกิตาบุตเตาฮีด 15 ตอน..ยึดอุลามาอฺเทียบเคียงอัลลอฮฺ 16 ค�ำอธิบายจากหนังสือฟัตฮุลมะญีด ตอน..ความหายนะจะเกิดแก่ผู้ที่ผินหลังให้ค�ำสอนของท่านนบี 18 ตอน..ค�ำพูดของผู้อื่นจะรับหรือปฏิเสธก็ได้นอกจากค�ำของท่านนบี 22 ตอน..ชิรฺกุฏฏออะฮฺ ตั้งภาคีด้วยการสวามิภักดิ์ต่ออุลามาอฺ 24 ให้เกียรติอุลามาอฺตามสถานะที่เขาด�ำรงอยู่ 29 เรื่องท้ายเล่ม 35
1การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ การตักลีด การตักลีด (ليد ٌ ْ ق َ ت (�คือการตามแบบไม่รู้หลักฐาน ไม่สนใจหลักฐาน หรือการยึด ติดผูกขาดอยู่กับอุลามาอฺท่านหนึ่งท่านใด หรือผูกขาดอยู่กับมัสฮับหนึ่งมัสฮับใดที่ตนชื่น ชอบ โดยไม่ค�ำนึงว่าจะมีหลักฐานใดมาอ้างอิงหรือไม่ จะตรงหรือค้านขัดกับค�ำสอนของ ศาสนาหรือไม่ 1 ซึ่งคนโบราณมักจะใช้ค�ำพูดเปรียบเปรยด้วยค�ำว่า “หลับหูหลับตาตาม” ผู้ที่ตามอุลามาอฺในลักษณะที่กล่าวข้างต้นนี้เรียกว่า “มุก็อลลิด” (دّ ِ َل ق ُ และ) م อุลามาอฺผู้ถูกตามเรียกว่า “มุก็อลลัด” (د َّ َل ق ُ (م เนื่องจากไม่มีผู้ใดเลยในบรรดาปวงปราชญ์ ไม่ว่าในยุคสะลัฟ(บรรพชนในยุค 300ปีแรก) หรือในยุคเคาะลัฟ(ยุคหลังจาก300ปีแรก) ก็ตาม โดยเฉพาะบรรดาอิม่ามทั้งสี่ (อิม่ามฮะนะฟียฺ,อิม่ามมาลิกียฺ,อิม่ามชาฟิอียฺ,และอิม่ามอะหฺมัด) รวมถึงบรรดาอุลามาอฺ ผู้ทรงธรรมตั้งแต่ในยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่พวกเขาจะเรียกร้องให้ผู้คนยึดติดผูกขาดอยู่ กับตัวเขาหรือทัศนะของเขา นอกจากพวกเขาเหล่านั้นจะสั่งสอนผู้คน และเชิญชวนผู้คน ให้กลับไปยึดหลักฐานจากอัลกุรอานและฮะดีษของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม หรือร่องรอยการปฏิบัติของเหล่าบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ตัวอย่างเช่น อิบนุก็อยยิม กล่าวว่า وقد هنى األئمة األربعة عن تقليدهم، وذموا من أخذ أقواهلم بغري حجة “บรรดาอิม่ามทั้งสี่ได้ห้ามในการตักลีดพวกเขา และได้ต�ำหนิผู้ที่ยึดทัศนะของ พวกเขาโดยไม่อ้างอิงหลักฐาน” (อิอฺลามุลมุวักกิอีน 2 / 200) 1 อัลกุรอ่าน และ อัลฮะดีษ และแนวทางความเข้าใจของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ
2การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ท่านอิม่ามฮะนะฟียฺ กล่าวว่า ال حيل ألحد أن أيخذ بقولنا ما مل يعلم من أين أخذانه “ไม่อนุญาตให้ผู้ใดยึดถ้อยค�ำของเรา โดยที่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเอามาจากไหน” (อัลบะฮฺรุรฺรออิก ของอิบนุอาบีดีน 6/293) ท่านอิม่ามมาลิกียฺ กล่าวว่า إمنا أان بشر أخطئ وأصيب فانظروا يف رأيي فكل ما وافق الكتاب والسنة فخذوه وكل ما مل يوافق الكتاب والسنة فاتركوه “แท้จริงแล้วฉันก็เป็นปุถุชน ย่อมมีถูกและผิด ดังนั้นพวกท่านจงพิจารณาทัศนะ ของฉัน โดยทุกสิ่งที่สอดคล้องกับอัลกุรอานและซุนนะฮฺ ก็จงรับเอาไว้ และทุกสิ่งที่ไม่ตรง ตามอัลกุรอานและซุนนะฮฺ ก็จงทิ้งมันไป” (อัลญามิอฺ อิบนิอับดิลบัรฺ 2/32) ท่านอิม่ามชาฟิอียฺ กล่าวว่า وقال الشافعي: إذا وجدمت يف كتايب خالف سنة رسول هللا -صلى هللا عليه وسلم فقولوا بسنة رسول هللا -صلى هللا عليه وسلم- ودعوا ما قلته. وقال: إذا صح اًل، فأان راجع عن قويل احلديث عن النيب -صلى هللا عليه وسلم- وقلت أان قو وقائل بذلك احلديث “เมื่อพวกท่านพบว่าในหนังสือของฉันนั้น ค้านขัดกับซุนนะฮฺของท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกท่านก็จงยึดตามซุนนะฮฺของ ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และทิ้งสิ่งที่ฉันกล่าวไว้” และท่านยังได้กล่าวอีกว่า “เมื่อฮะดีษ นั้นมีความถูกต้องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และฉันได้เคยพูดถ้อยค�ำใดๆ ไว้ ฉันขอกลับค�ำด้วยการกล่าวตามฮะดีษ 1 ” (อัลมัจญ์มูอฺ / อิม่ามนะวาวียฺ 1/63) 1 เมื่อพบหลักฐานที่ถูกต้อง ท่านทิ้งค�ำพูด ทิ้งทัศนะของท่าน และเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง
3การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ท่านอิม่ามอะหฺมัด กล่าวว่า ال تقلدين وال تقلد مالكا وال الشافعي وال األوزاعي وال الثوري وخذ من حيث أخذوا “อย่าได้ตักลีดฉัน และอย่าได้ตักลีดมาลิกียฺ หรือชาฟิอียฺ หรือเอาซาอียฺ หรือ อัษเษารียฺ แต่จงเอาสิ่งที่พวกเขาได้น�ำมา 1 ” (อิอฺลามุลมุวักกิอีน ของอิบนิกอยยิม 2/302) จะเห็นได้ว่าบรรดาอิม่ามแต่ละท่านไม่ได้สั่งสอนผู้ใดให้ยึดติดผูกขาดอยู่กับตัว ท่านหรือทัศนะของท่าน แต่กลับเรียกร้องและสนับสนุนผู้คนให้ยึดถือตามหลักฐานของศาสนา มีเรื่องที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งว่า บรรดาบรรพบุรุษของเราในอดีตนั้น แม้พวกเขา จะไม่ได้อยู่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า แต่การถือศาสนาของพวกเขาก็ยังสามารถย้อนกลับ ไปอ้างอิงถึงอิม่ามชาฟิอียฺ หรือต�ำราของอิม่ามชาฟิอียฺได้ ทั้งๆ ที่ตัวของอิม่ามชาฟิอียฺนั้น เป็นคนยุคสะลัฟ คือท่านเกิดในปีที่ 150 และตายในปีที่ 204 ฮิจเราะฮฺศักราช แต่คนในยุคเราที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีขั้นสูง และรายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ และเครื่องมือในการสืบค้นอย่างมากมาย แต่การอ้างอิงข้อมูลในเรื่องศาสนาของบางคน กลับไปได้แค่อุลามาอฺร่วมสมัยเท่านั้นเอง และบางคนก็มีข้ออ้างว่า เรากลับไปถึงนบีเองไม่ได้ ต้องอาศัยอุลามาอฺพาไป แต่ เอาเข้าจริงๆ แล้วบางคนกลับผูกติดอยู่แค่อุลามาอฺ โดยไม่ได้อาศัยพวกเขาพาไปหาหลักฐาน อย่างที่อ้างกัน ประหนึ่งผู้ที่ท�ำนั่งร้านเพื่อก่อสร้างบ้าน แล้วไม่ยอมอาศัยอยู่ในบ้าน แต่ กลับใช้ชีวิตกินนอนอยู่บนนั่งร้าน ฉันใดก็ฉันนั้น 1 จงตามในหลักฐานที่พวกเขาได้น�ำมา ไม่ใช่ตามที่ตัวบุคคล
4การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ และบางคนก็อ้างว่า พวกเขาเป็นคนอะวาม ไม่มีความรู้ใดๆ และเข้าไม่ถึงหลัก ฐาน เพราะฉะนั้นเรื่องการพิจารณาหลักฐานหรือวิเคราะห์ถูกผิด จึงเป็นเรื่องของอุลามาอฺ และในประเด็นนี้เคยมีผู้รู้บางคนได้ตั้งค�ำถามว่า “คนไม่รู้จะท�ำอย่างไร” ซึ่งเราจะได้ แจกแจงให้ท่านทราบตามหลักการและหลักฐานในล�ำดับถัดไป แต่สิ่งส�ำคัญ ณ เวลานี้ ท่านต้องทราบก่อนว่า คุณคือใคร ?
5การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ คุณคือใคร ? ส่วนหนึ่งที่ท�ำให้สังคมวุ่นวายอยู่ ณ เวลานี้ก็เนื่องจาก บรรดาผู้คนในสังคม ต่างไม่รู้สถานภาพของตัวเอง บางคนพยายามแสดงบทบาทในเวทีสาธารณะ เพื่อให้เป็น ที่ยอมรับของคนในสังคม บางคนไม่ได้เรียนรู้ แต่ท�ำตนประหนึ่งดังเป็นผู้เรียนรู้ที่แก่กล้า วิชาการ จนเกิดสภาพอุลามาอฺวิจารณ์เกลื่อนเฟส ดั่งที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ ส่วนคนเรียนรู้(บางคน) ก็ท�ำตนบื่อใบ้ ท�ำตนเหมือนดั่งคนที่ไม่เคยเรียนรู้อะไรมา ก่อนเลย ไม่กล้าที่จะพูดจาบอกกล่าวตามความรู้ที่ได้ร�่ำเรียนมา เพราะกลัวเปลืองตัว และ กลัวตกเป็นจ�ำเลยของสังคม(หรือห่วงตัวเองมากกว่าห่วงศาสนาของอัลลอฮฺ) บางคนรอดูท่าทีก่อนว่ากระแสสังคมจะเอนไปทางไหน ค่อยชี้น�ำไปทางนั้น และ คนเรียนรู้บางคนที่น�ำเสนอหลักฐานและวิชาการ กลับไม่ได้รับการยอมรับ เนื่องจากผู้คน เข้าใจว่า “ความจริงต้องอิงอุลามาอฺ” คนรู้ไม่ชี้ และคนชี้ไม่รู้ นี่คือปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ จนท�ำให้เกิด ความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบสิ้น หากแต่ละคนด�ำรงตนอยู่ในสถานภาพที่เป็นจริงของตนเอง สังคมก็คงไม่วุ่นวาย ถึงเพียงนี้.......แล้วคุณละคือใคร ?
6การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ บรรดาอุลามาอฺได้จ�ำแนกคนออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) มุจญ์ตะฮิด หรือปราชญ์ที่มีความรอบรู้ สามารถที่จะวินิจฉัยปัญหาและชี้แจง ข้อฮุก่มต่างๆ ของศาสนาตามตัวบทหลักฐาน ซึ่งเขาสามารถปฏิบัติตามการวินิจฉัยของ ตนเองได้ โดยไม่อนุญาตให้ตักลีด หรือ ปฏิบัติตามผู้อื่นโดยไม่รู้หลักฐาน 2) ฏอลิบุลอิลมฺ คือ บรรดาผู้ที่เรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าจนสามารถจ�ำแนกแยกแยะ และให้น�้ำหนักทัศนะต่างๆ ของบรรดาอุลามาอฺได้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถวินิจฉัยปัญหา ต่างๆ ด้วยตัวเองได้ก็ตาม ส�ำหรับคนกลุ่มนี้ ไม่จ�ำเป็นที่เขาจะต้องไปผูกขาดความรู้หรือ ผูกขาดอยู่กับฟัตวาของอุลามาอฺคนใด แต่จะต้องเอาทัศนะต่างๆ ของอุลามาอฺมากลั่น กรอง แล้วเลือกปฏิบัติที่ชัดเจนมากที่สุด 3) อะวาม คือคนที่ไม่รู้บทบัญญัติของศาสนา ไม่สามารถวินิจฉัยหรือกลั่นกรอง ทัศนะต่างๆ ของบรรดาอุลามาอฺได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิบัติตามค�ำวินิจฉัยของ อุลามาอฺคนใดคนหนึ่งที่เขามั่นใจที่สุดตามความสามารถที่เขามี แล้วคุณคือใครในสามข้อข้างต้นนี้ ระหว่าง ปราชญ์ที่สามารถวินิจฉัยปัญหาเอง ได้ หรือ คนเรียนรู้ ที่สามารถสืบค้นและแจกแจงได้ หรือ คนที่ไม่ได้เรียนรู้ หากจะมีผู้กล่าวว่า ในบ้านเมืองเราไม่มีอุลามาอฺระดับมุจญ์ตะฮิดที่สามารถ วินิจฉัยปัญหาเองได้ แต่ก็ใช่ว่าในบ้านในเมืองนี้จะไม่มีคนเรียนรู้เอาเสียเลย หากแต่ยังมี คนที่เรียนรู้ผ่านต�ำรา ผ่านอุลามาอฺอีกจ�ำนวนไม่น้อย ไม่ว่าเขาจะศึกษาจากต่างประเทศ หรือในประเทศก็ตาม แล้วคนเรียนรู้ในกลุ่มนี้ไปอยู่ที่ไหน?
7การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ภาพที่ปรากฏให้เห็นก็คือ ในสังคมของเรามีกลุ่มคนที่พยายามจะลดคุณค่าของ คนเรียนรู้ ท�ำลายสถานภาพของผู้รู้ โดยการท�ำให้คนเรียนกับคนไม่เรียนมีค่าเท่ากัน สร้าง ภาพให้ผู้คนเข้าใจว่า ในบ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนระดับอะวามไปเสียทั้งหมด ไม่มีใครสามารถจะ พิจารณาหรือชี้แจงให้ผู้คนได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด นี่คือภาพความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อทุกคนถูกท�ำให้อยู่ในระดับเท่ากัน คือไม่มีคนเรียนรู้(ตามข้อที่ 2) อยู่ในบ้านนี้ เมืองนี้ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น จึงต้องยึดตามอุลามาอฺ หรือตามฟัตวาของอุลามาอฺ โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่า ฟัตวานั้นถูกต้องหรือไม่ หรือตรงกับบริบทหรือเปล่า ผู้คนก็ต้องรอ การแปลฟัตวาของอุลามาอฺกันอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ยินค�ำว่า “กิบารฺเขาว่า..” หรือ “อุลามาอฺเขาฟัตวาไว้” โดยไม่ สามารถแจกแจงได้ว่า ที่อุลามาอฺเขาว่านั้นถูกผิดอย่างไร หรือฟัตวาไหนมีน�้ำหนักมากกว่า กัน มิเช่นนั้นจะโดนข้อหา “ฮุก่มอุลามาอฺ” หรือ “เปรตฮุก่มปราชญ์” อย่างนี้เป็นต้น เพราะสังคมถูกท�ำให้เข้าใจว่าในบ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนอะวาม(ตามข้อที่ 3) ดังนั้น จึงเกิดขบวนการต่อต้านคนเรียนรู้ด้วยการสร้างวาทะกรรมแผงๆ เสนอต่อผู้คน เช่นค�ำว่า “ไม่เอาอุลามาอฺ” หรือ “ตั้งตัวเป็นอุลามาอฺ” หรือ “กระโดดข้ามหัวอุลามาอฺ” และ ฯลฯ แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่มีเพียงขบวนการท�ำลายสถานภาพคนเรียนรู้เท่านั้น แต่ บางครั้งคนที่เรียนรู้(บางคน) ก็ลดคุณค่าด้วยตัวเองเหมือนกัน อย ่างที่เราได้เคยกล ่าว ไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อกระแสเรียกร้องให้ตามอุลามาอฺ และให้ตามฟัตวามาแรง คนเรียน รู้(บางคน) ก็ปิดปากเงียบ ไม่กล้าที่จะน�ำความรู้ที่ร�่ำเรียนมาออกมาใช้ได้ตามความจริง บางคนก็เลยผันตัวเองไปเป็นนักแปลฟัตวา หรือนักสร้างวาทะกรรมตามหน้าเฟส จึงท�ำให้ คนเรียนรู้กับคนไม่ได้เรียนรู้มีค่าเท่ากัน คือ คนไม่ได้เรียนแต่รู้ภาษาก็แปลฟัตวา คนเรียน รู้ก็เป็นนักแปลฟัตวา คนไม่ได้เรียนก็สร้างวาทกรรมชี้น�ำชาวบ้าน คนเรียนรู้ก็สร้างวาท กรรมชี้น�ำชาวบ้านเช่นเดียวกัน ท�ำตัวตามกระแส กลมกลืนกันไป
8การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ การที่คนเรียนรู้ถ่อมตนนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าคนเรียนรู้ ไม่รู้สถานะของตนเอง และไม่รู้หน้าที่ หรือไม่มีอะมานะฮฺที่ตนเองได้ร�่ำเรียนมา ถ้าเช่นนั้น จะต้องไปร�่ำเรียนหลัเกณฑ์ หลักการทางวิชาการให้เสียเงินทอง เสียเวลากันท�ำไม แค่เรียนภาษาให้แปลฟัตวาได้ก็พอ บรรดาผู้ที่เรียนรู้ทั้งหลาย ท่านไม่ใช่คนอะวาม ท่านไม่ได้เป็นดั่งไอ้โล๊ะ ไอ้ควัด ไอ้เป๋อ ไอ้ป๋อง อย่าพูดเหมือนคนที่ไม่ได้เรียนรู้เขาพูดว่า “กิบารฺเขาว่า” หรือ “อุลามาอฺ เขาฟัตวาไว้” ท่านทั้งหลายจะต้องไม่หลับหูหลับตาตาม โดยไม่รู้ที่มาที่ไป เพราะท่านคือ คนเรียนรู้ เราเคยเตือนสติและสะกิดเตือนกันในบทความครั้งที่แล้วว่า “ตอนที่เราเรียนกันนั้น ต้องเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติควบคู่กันไป คือนอกจากการเรียนในต�ำรากับ อาจารย์แล้ว ยังต้องเข้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อค้นคว้า หรือต้องท�ำวิจัยทั้งแบบตัว ใครตัวมัน และแบบกลุ่ม บางครั้งก็ต้องซื้อต�ำราเพิ่มเติมตามที่อาจารย์แนะน�ำ เพื่อท�ำการ ค้นคว้าและท�ำวิจัยในประเด็นหรือปัญหาต่างๆ ที่อาจารย์ให้ตัวอย่างมา เช่น การสืบค้นและวิเคราะห์หลักฐาน(ตัวบทฮะดีษ,สายรายงาน,ผู้รายงาน) ที่อุลามาอฺ แต่ละฝ่ายน�ำมาอ้าง เพื่อจะได้ทราบว่า ตัวบทไหนมีที่มาอย่างไร มีสถานะเช่นไร เนื้อหามี ความถูกต้องชัดเจนไหม และผลสรุปที่ได้จากการค้นคว้าและวิจัยนั้นก็ไม่ได้เกิดจากทัศนะของตนเอง แต่ จากการอ้างอิงต�ำราของอุลามาอฺในศาสตร์และแขนงต่างๆ เพราะฉะนั้นเวลากลับมาเมือง ไทย จึงต้องแบกต�ำราที่ใช้ค้นคว้าและท�ำวิจัยเหล่านั้นกลับมาด้วย เพื่อว่าจะได้ใช้ค้นคว้า ท�ำวิจัยและเผยแพร่ความรู้ที่ชัดเจนและถูกต้องสืบต่อไป(กระบวนการศึกษาที่พวกเราเคย ผ่านเป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ แต่ถ้าใครได้เรียนแล้วไม่เคยเรียนกระบวนการสืบค้นและพิสูจน์ หลักฐานตามที่กล่าวมานี้ก็ต้องขอมะอัฟ)
9การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติที่เคยร�่ำเรียนกันมา กลับน�ำมาใช้ไม่ได้เลย ต้องเก็บใส่ลิ้นชัก เพราะกระแสสังคมเวลานี้ได้ชี้น�ำผู้คนให้หวนกลับ ไปยึดฟัตวาของอุลามาอฺเป็นที่ตั้ง แม้คนที่เคยเรียนรู้กระบวนการตรวจสอบหลักฐานทั้ง ทฤษฏีและภาคปฏิบัติมาแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะกล่าวได้ว่า หลักฐานที่บรรดาอุลามาอฺ แต่ละฝ่ายน�ำเสนอนั้นถูกผิดอย่างไร แม้จะอ้างการค้นคว้า หรืออ้างอิงจากต�ำราเล่มใด ก็ตาม มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะถูกพิพากษาว่าเป็น “เปรตฮุก่มปราญช์” น่าเศร้ายิ่งนัก เราเขียนเรื่องนี้เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้ทราบถึงการจ�ำแนกประเภทบุคคลตามกฎ เกณฑ์ทางวิชาการ เพื่อให้แต่ละคนได้รู้สภาพที่เป็นจริงของตนเอง และเพื่อเตือนสติคนที่ เรียนรู้ให้รักษาอะมานะฮฺทางวิชาการตามที่ได้เรียนรู้กันมา ช่วยถามตนเองกันหน่อยว่า สภาพที่แท้จริงของคุณคือใคร ระหว่างปราชญ์ ที่ สามารถวินิจฉัยปัญหาเองได้ หรือ คนเรียนรู้ ที่สามารถสืบค้นและแจกแจงได้ หรือ คน ที่ไม่ได้เรียนรู้ แต่จะว่าในเมืองไทยไม่ปราชญ์มุจญ์ตะฮิดก็คงพูดได้ไม่เต็มปากเต็มค�ำนัก เพราะ เห็นมีค�ำประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่า “ให้ยืนห่างกันในแถวละหมาด” ซึ่งเราก็ไม่รู้ ว่าใครบ้างเป็นปราชญ์มุจญ์ตะฮิดที่วินิจฉัยเรื่องนี้ หรือ เพียงแค่ก๊อปปี้ฟัตวาจากที่อื่นมา “วัลลอฮุอะอฺลัม” แต่ถ้าใครจะถามเราว่า เอ็งเป็นใคร ? เราก็จะตอบว่า “ข้าเป็นคนเรียนรู้” แล้วถ้าเราจะถามกลับบ้างว่า เอ็งเป็นใคร ? เอ็งจะตอบยังไง...? ถ้าตอบว่า เป็นคนเรียนรู้ ถ้าเช่นนั้น เอาหลักฐานและวิชาการมาคุยกัน...
10การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ คนไม่รู้จะท�ำอย่างไร ? มีผู้รู้ท่านหนึ่งได้ตั้งค�ำถามตามหัวข้อนี้ว่า “คนไม่รู้จะท�ำอย่างไร” ซึ่งการที่เขาตั้ง ค�ำถามเช่นนี้เพื่อโน้มน้าวผู้คนให้ยึดติดผูกขาดอยู่กับอุลามาอฺ แล้วใครเล่าที่จะเป็นผู้ตอบ ค�ำถามนี้ หากเราพูดกันบนพื้นฐานของตรรกะ ทัศนะ และเหตุผล แน่นอนว่าคงหาบทสรุป ไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล และเหตุผลย่อมถูกลบล้างด้วยเหตุผลที่ดีกว่าเสมอ ดัง นั้นเราจะไม่ตอบค�ำถามนี้ด้วย ตรรกะ ทัศนะ และเหตุผลของผู้ใด แต่เราจะให้ค�ำตอบของ เรื่องนี้ด้วยตัวบทหลักฐานของศาสนาและค�ำอธิบายของอุลามาอฺดังนี้ หลักการ คือ : คนไม่รู้ต้องถามคนรู้ แล้วใช้ดุลพินิจจนสุดความสามารถ เพื่อ เลือกทัศนะที่มั่นใจที่สุด หลักฐาน คือ : ซูเราะฮฺอันนะฮฺลุ อายะฮฺที่ 43 และอัลอัมบิยาอฺ อายะฮฺที่ 7 ค�ำอธิบายของอุลามาอฺ : โดย ชัยคฺซอและฮฺ อิบนุ อุษัยมีน และ ชัยคฺ บินบาซ กล่าวว่า คนไม่รู้ไม่อนุญาตให้ตักลีด แต่ให้ถามผู้ที่รู้แล้วใคร่ครวญพิจารณาก่อน อย่างนี้แหละคือจุดยืนของเรา คือ : คนไม่รู้จะตักลีด(ยึดติดผูกขาด) กับผู้รู้คน หนึ่งคนใดเลยไม่ได้ แต่จะต้องถามบรรดาผู้รู้เสียก่อน และใช้ดุลพินิจของตนเองสุดความ สามารถ จนมั่นใจแล้วจึงเลือกน�ำมาปฏิบัติ อย่างนี้ถือว่าเขาได้ท�ำตามหลักการและหลัก ฐานของศาสนาแล้ว พระองค์อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า َ ُون مَ ۡ ل ع َ اَ ت ۡ ل مُ ُ ن� ت ِن ك ِ إ ر ۡ ك ِّ َ ٱلذ ۡ ل ه َ ْ أ ٓا و ُ ل َٔ ۡ ـ س َ ف “ดังนั้นพวกเจ้าจงถามผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้” (ซูเราะฮฺอันนะฮฺลุ อายะฮฺที่ 43)
11การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ศาสนาใช้ให้ถาม ไม่ใช่หลับหูหลับตาตามฟัตวาและตามอุลามาอฺ เมื่อคนไม่รู้ สอบถามบรรดาผู้รู้ แล้วใคร่ครวญ พิจารณาด้วยดุลพินิจจนมั่นใจ ตามศักยภาพที่ตนเอง มีแล้ว ก็ถือว่าได้ท�ำตามที่อัลลอฮฺสั่งแล้ว พระองค์อัลลอฮฺ ทรงกล่าวว่า ۡ مُ ۡ � ت ع َ َ ط ۡ ت َ ا ٱس َ م هَّ ْ ٱلل ُوا ق َّ َٱت ف “พวกเจ้าจงย�ำเกรงต่ออัลลอฮฺ เท่าที่พวกเจ้ามีความสามารถ” (ซูเราะฮฺอัตตะฆอบุน อายะฮฺที่ 16) ในหลักการและวิธีการที่เราเสนอนี้ คือสิ่งที่บรรดาอุลามาอฺได้อธิบายไว้ เช่น ชัยคฺซอและฮฺ อิบนุอุษัยมีน ถูกถามว่า : ”ما الواجب عىل العام ، ومن ليس هل قدرة عىل طلب العمل؟ وسئل رمحه الهل ي อะไรคือความจ�ำเป็นส�ำหรับคนทั่วไปและคนที่ไม่สามารถในการแสวงหาความรู้? ท่านตอบว่า ي ج فأجاب فضيلته بقوهل: �ب عىل من ال عمل عنده ، وال قدرة هل عىل االج�هت اد : َ أن يسأل أهل العمل ُون مَ ْ ل ع َ اَ ت ْ ل مُ ْ � ت ن ُ ْ ك ِن ِ إ ر ْ ك ِّ َ الذ ْ ل ه َ ُوا أ ل َ ْ أ َاس لقوهل تعاىل: ف أ نبياء: 7 [ [ال จ�ำเป็นต่อผู้ที่ไม่มีความรู้ และไม่มีความสามารถในการวินิจฉัย(อิจญ์ติฮาด) จะ ต้องถามผู้ที่รู้ ด้วยค�ำของอัลลอฮฺที่ว่า “พวกเจ้าจงถามผู้รู้ หากพวกเจ้าไม่รู้” (ซูเราะฮฺอัลอัมบิยาอฺ อายะฮฺที่ 7)
12การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ และเมื่อ ชัยคฺ บินบาซ ถูกถามในเรื่องนี้ ท่านตอบว่า ً ا، بل عليك أن تسأل أهل العمل معا ً ا مطلق لة ج الواب: ليس لك أن تقلد واحد د أ ي ال ف أشلك عليك، والتقليد ال ي ج � ي ج وز بل �ب عىل طالب العمل أن ينظر � أربعة أو مل يواف� هق م، وإذا مئ ة ال � أ لة سواء وافق ال د أ خ تار ما تقتضيه ال رش ال� ي عية و� ي زمانه، أهل العمل ف ً ا من هؤالء، بل يسأل أهل العمل � ً ا فإنه ال يقلد أحد اكن عامي أن مثهل ال يعرف اب� ري لسنة أهل البص� مب ة يسأهلم معا أشلك عليه ويعمل � ىت ا يف� به؛ ل ن مي الصحيح والسق� من أقوال العملاء، ال يعرف احل ي ق من الباطل، فالعام ز ي ب� مي�ي� حي�تاج إىل من يقوده إىل احلق ويدهل عليه من عملاء السنة ค�ำตอบคือ “ไม่ต้องไปตักลีด(ยึดติด,ผูกขาด) กับคนหนึ่งคนใดเลย ทว่าท่านจะ ต้องถามคนที่มีความรู้ในสิ่งที่ท่านยังคลุมเครืออยู่ และการตักลีดนั้นไม่อนุญาต แต่ว่า จ�ำเป็นต่อผู้ที่แสวงหาความรู้ในการพิจารณาหลักฐานทางศาสนา และเลือกตามในสิ่งที่หลัก ฐานได้ชี้ชัดไว้ ไม่ว่าจะสอดคล้องกับทัศนะของปวงปราชญ์ทั้งสี่หรือไม่ก็ตาม(อิม่ามฮะนะฟียฺ, อิม่ามมาลิกียฺ,อิม่ามชาฟิอียฺ และอิม่ามอะหฺมัด) และหากว่าเขาเป็นคนทั่วไปที่ไม่มีความรู้ ก็ไม่ต้องตักลีด(ยึดติด,ผูกขาด) กับคนหนึ่งคนใดจากบรรดาอิม่ามเหล่านี้ ทว่าเขาจะต้อง ถามผู้รู้ในยุคของเขา คือคนที่รู้ซุนนะฮฺคนที่รู้และเข้าใจในศาสนาอย่างถ่องแท้ ถามพวก เขาในสิ่งที่ยังคลุมเครืออยู่ และปฏิบัติตามที่เขาได้ให้ค�ำตอบในเรื่องนั้น ก็เพราะว่าเขาเข้า ไม่ถึงการแยกแยะระหว่างความถูกต้องกับความผิดพลาดจากทัศนะต่างๆ ของอุลามาอฺ เขาไม่รู้การคัดกรองสัจธรรมกับความเท็จ ดังนั้นส�ำหรับคนไม่มีความรู้โดยทั่วไปแล้ว ยัง ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ที่ช่วยน�ำพาเขาไปสู่สัจธรรม และแนะน�ำเขาจากบรรดาอุลามาอฺซุนนะฮฺ” เพราะฉะนั้น จุดยืนของเราในเรื่องนี้ไม่ใช่คิดเองเออเอง แต่ยืนยันด้วยหลักการและหลักฐานที่มาจากตัวบทอัลกุรอานและค�ำอธิบายของอุลามาอฺ
13การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ค�ำตอบของอุลามาอฺ คนที่บริสุทธิ์ใจต่อศาสนา โดยเฉพาะอุลามาอฺผู้ทรงธรรม เขาจะสอนคนให้มี ความรู้ ไม่ใช่สอนคนให้ยึดติดผูกโยงอยู่กับตัวเอง หรือยึดติดผูกขาดอยู่กับอุลามาอฺคนหนึ่ง คนใดเป็นการเฉพาะ เวลาเราพูดอย่างนี้ก็จะมีคนหัวใจสกปรกสร้างวาทกรรมเท็จว่า “ไม่ให้ตามอุลามาอฺแต่ให้มาตามตัวเอง” ช่างเบื่อหน่ายกับค�ำมุสาของพวกเขาเหลือเกิน !! เรามาดูตัวอย่างของอุลามาอฺผู้ทรงธรรม ที่สอนไม่ให้คนยึดติดผูกขาดอยู่กับอุลามาอฺคน หนึ่งคนใด หรือมัสฮับหนึ่งมัสฮับใดเป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น เมื่อชัยคฺ บินบาซ ถูกถามเรื่องการตามอุลามาอฺคนหนึ่งคนใด หรือมัสฮับหนึ่ง มัสฮับใดเป็นการเฉพาะ ท่านได้ตอบค�ำถามภายใต้หัวข้อเรื่อง “จ�ำเป็นต้องยึดตามหลัก ฐานแม้จะค้านกับมัสฮับต่างๆ” أربعة ليست الزمة للناس، والقول أنه يلزم لك طالب عمل ج الواب: املذاهب ال ً م� هن ري ا قول فاسد، قول غ� حصيح، الواجب االل� ت ز ام أو لك مسمل أن يعتنق واحدا شخ ص مب� رش ا �عه الهل، عىل لسان رسوهل حممد عليه الصالة والسالم، وليس هناك � أربعة وال ري غ� بي مه، فالواجب اتباع الن� صىل مئ ة ال � أ أخذ بقوهل، ال ال ن يلزم ال يمع� أ رش حاكم والت�يع، والي ج �وز أن يقلد أحد ي ال ف الهل ري عليه وسمل والس� عىل م� هن اجه � أ مب خذ � رش ا �ع الهل عىل يده ي بي ذلك، بل الواجب هو اتباع الن� صلى الله عليه وسلم، وال ف بعينه � أربعة أو خال� هف م، هذا هو احلق مئ ة ال � أ عليه الصالة والسالم سواء وافق ال ค�ำตอบคือ : “มัซฮับทั้งสี่นั้นไม่จ�ำเป็นต่อผู้คน และถ้อยค�ำที่ว่าจ�ำเป็นต่อผู้ แสวงหาความรู้และจ�ำเป็นต่อมุสลิมทุกคนจะต้องยึดติดกับคนหนึ่งคนใดนั้นเป็นค�ำพูดที่ เหลวไหล เป็นค�ำพูดที่ไม่ถูกต้อง วาญิบที่ต้องตามสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงบัญญัติไว้ ตามที่ท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มาสั่งสอน ไม่มีใครเฉพาะที่จ�ำเป็นต้องยึดตาม
14การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ค�ำพูดของเขา แม้แต่บรรดาอิม่ามทั้งสี่ หรือคนอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนี้ แต่ที่จ�ำเป็นนั้น คือการตามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และการด�ำเนินตามแนวทางของท่านใน ข้อบัญญัติต่างๆ และไม่อนุญาตให้ตักลีด(ยึดติด,ผูกขาด) กับคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ ทว่าที่จ�ำเป็นนั้นคือการตามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และยึดถือสิ่งที่อัลลอฮฺ ได้ทรงบัญญัติไว้โดยผ่านท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ว่าจะตรงกับบรรดาปวง ปราชญ์ทั้งสี่หรือไม่ก็ตาม นี่คือสัจธรรม” อุลามาอฺเขาสอนให้คนเรียนรู้ ไขว่คว้าหาความรู้ ไม่ได้สอนผู้คนให้ปิดหูปิดตาตามอุลามาอฺ หรือตามที่ตัวของเขา
15การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ หนังสือกิตาบุตเตาฮีด หนังสือ “กิตาบุตเตาฮีด” เป็นหนังสือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสถาบันสอนศาสนาต่างๆ ในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้ใช้ต�ำราเล่มนี้เป็น หลักสูตรในวิชา “เตาฮีด” ผู้ประพันธ์ต�ำราเล่มนี้คือ ชัยคฺมุฮัมมัด อิบนุ อับดิลวะฮฺฮาบ อัตตะมีมียฺ ท่านได้ รับการยกย่องว่าเป็น “มุญัดดิด” หรือผู้ฟื้นฟูอิสลามแห่งยุค และถูกขนานนามว่า “ชัยคุล อิสลาม” ท่านเกิดที่ต�ำบลอุยัยนะฮฺ ในเมืองนัจญ์ดฺ ปีที่1115 ฮิจเราะฮฺศักราช และเสียชีวิต ที่ต�ำบลอุยัยนะฮฺ ในปีที่1206 ฮิจเราะฮฺศักราช(ขออัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่านด้วยเถิด) ในบรรดาผู้ที่เฉไฉออกจากสัจธรรม มักจะกล่าวหาและกล่าวร้ายต่อท่าน เช่น กล่าวว่าท่านเป็นหัวหน้าวะฮาบียฺ หรือผู้น�ำพาลัทธิใหม่มาเผยแพร่กับประชาชน แต่ผู้ที่ยืน หยัดและยึดมั่นในสัจธรรม จะเชื่อว่าท่านคือ “มุญัดดิด” หรือผู้ที่มาฟื้นฟูค�ำสอนของศาสนา โดยเรียกร้องผู้คนไปสู ่ตัวบทหลักฐานของศาสนาตามแนวทางของบรรพชนชาวสะลัฟ ส่วนในด้านฟิกฮฺนั้น ท่านอยู่ในแนวทางของมัสฮับอิม่ามอะหฺมัด อิบนิฮัมบัล(ฮัมบาลี) หนังสือ “กิตาบุตเตาฮีด” นี้ถูกตีพิมพ์ซ�้ำแล้วซ�้ำเล่า และมีอุลามาอฺหลายท่านได้น�ำ ต�ำราของท่านนี้ไปอธิบายกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นอุลามาอฺที่เป็นลูกหลาน เป็นเชื้อสาย วงศ์วานของท่านโดยตรง เช่น ชัยคฺอับดุรเราะฮฺมาน บินฮะซัน บินมุฮัมมัด บินอับดิลวะฮฺฮาบ ซึ่งเป็นรุ่นหลานของชัยคุลอิสลาม หรือในรุ่นถัดมาเช่น ชัยคฺซอลิฮฺ บินอับดิลอะซีซ บิน มุฮัมมัด อาลิชัยคฺ เป็นต้น และอุลามาอฺท่านอื่นๆ เราได้น�ำข้อความจากหนังสือ “กิตาบุตเตาฮีด” ในบทที่ว่าด้วยเรื่องการตามผู้รู้ และผู้น�ำเอามาแสดงไว้ที่นี้ พร้อมค�ำอธิบายจากหนังสือ “ฟัตฮุลมะญีด” ซึ่งอธิบายโดย ชัยคฺอับดุรเราะฮฺมาน บินฮะซัน บินมุฮัมมัด บินอับดิลวะฮฺฮาบ โดยเราจะจ�ำแนกเป็น ตอนๆ เพื่อให้ง่ายแก่การอ่านดังนี้
16การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ตอน..ยึดอุลามาอฺเทียบเคียงอัลลอฮฺ ชัยคุลอิสลาม มุฮัมมัด อิบนุ อับดิลวะฮฺฮาบ ได้ตั้งชื่อบทว่า حت مير� ما أحل الهل ي � ف أمراء � اب�ب من أطاع العملاء وال ت خ اب ذمه أر�اب� من دون الهل حت ليل ما حرمه فقد ا� أو � “บทที่ว่าด้วยเรื่อง ผู้ใดภักดีต่อบรรดาอุลามาอฺและบรรดาผู้ปกครอง ในการห้าม สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงอนุมัติ และอนุมัติในสิ่งที่พระองค์ได้ห้ามไว้ แน่นอนว่าเขาได้ยึดเอา บรรดาอุลามาอฺและบรรดาผู้ปรกครองเป็นพระเจ้านอกเหนือจากอัลลอฮฺ” ْ ز ج ل عليمك حارة من الامسء بن وقال ا�بن عباس: ”يوشك أن ت� ن أقول: قال رسول الهل صلى الله عليه وسلم، وتقولون: قال أبو بكر ومعر؟ “อิบนุ อับบาซ ได้กล่าวว่า “เกือบแล้วที่หินจากฟากฟ้าจะหล่นลงมายังพวกเจ้า ฉันกล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้อย่างนี้ พวกเจ้า ยังจะพูดว่า อบูบักรฺ และอุมัร ได้กล่าวว่าอย่างนั้นอย่างนี้อีกหรือ? وقال بن أمحد �بن ج حنبل : ع إ بت لقوم عرفوا السناد وحصته ِ ِه ْ ر م َ ْ أ َ ن َ ع ُون ِالف َ ُ خ َ ي � ي�ن ِذ َّ ِ ال ر َ ْ ذ َح ي ْ ل َ يذهبون إىل رأي سفيان، والهل تعاىل يقول: ف ٌ ]النور:63 ]أتدري ما الفتنة؟ الفتنة: مي� ِل َ َ ٌ اب أ َذ ْ ع ِص بهَي� بهَُم ُ ْ ي و َ ٌ أ ة َ ن ْ ْ ِ فت ِص بهَي� بهَُم ُ ْ ت ن َ أ ي هي ء من الزيغ ف�لك ي ش قلبه � ف رش ال�ك؛ لعهل إذا رد بعض قوهل أن يقع � อิม่ามอะหฺมัด อิบนุ ฮัมบัล ได้กล่าวว่า : ฉันแปลกใจกับคนกลุ่มหนึ่งเหลือเกิน พวกเขาทั้งรู้ถึงสายรายงานและความถูกต้องของหลักฐาน แต่พวกเขาก็ยังไปยึดเอาทัศนะ ของซุฟยาน ทั้งๆ อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งได้กล่าวว่า : ระวังไว้ให้ดีเถิด บรรดาผู้ที่คัดค้านค�ำ สั่งของเราะซูล ว่าฟิตนะฮฺจะต้องประสบกับเขา(ในดุนยา) และการลงโทษอันเจ็บปวดจะต้อง
17การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ประสบกับเขา(ในอาคิเราะฮฺ) (ซูเราะฮฺอันนูร อายะฮฺที่ 63) รู้ไหมว่าฟิตนะฮฺคืออะไร? ฟิตนะฮฺคือ : การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ เกรงว่าเมื่อเขาได้โต้แย้งค�ำพูดของท่านเราะซูล แล้ว มันจะท�ำให้ในหัวใจของเขาเอนเอียงออกจากสัจธรรม มันจึงได้หายนะ ْ َ همُ َ ار ْ ب ح َ ُ وا أ َذ ت َّخ آية: ا� مت بي : »أنه مسع الن� صلى الله عليه وسلم يقرأ هذه ال وعن عدي بن �بن حا� ان لسنا نعبدمه. قال: آية فقلت هل: إ� ِ ]التوبة:31 ]ال هَّ ُ ِون الل ْ د باً ِ من باَ باً� ْ باَ� ر َ ْ أ نهَُم َ ا� ب ْ ُه َ ر و حي أليس �رمون ما أحل الهل حي فتحرمونه؟ و�لون ما حرم الهل فتحلونه؟ فقلت: بىل. قال: فتلك عباد�هت م رواه أمحد، وال� رت مذي، وحسنه รายงานจากอะดียฺ บินฮาติม ว่า “เขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่านข้อความของอายะฮฺนี้ว่า : พวกเขายึดเอานักพรตและบาทหลวงของเขาเป็นพระเจ้า อื่นจากอัลลอฮฺ (ซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 31) ฉันจึงได้กล่าวแก่ท่านว่า : พวกเราไม่ได้สักการะต่อบรรดานักพรตและบาทหลวง ท่านนบีกล่าวว่า : พวกเขาไม่ได้ห้ามในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติแล้วพวกเจ้าก็ถือตามการ ห้ามพวกเขาดอกหรือ? หรือว่าพวกเขาได้อนุมัติในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ห้ามไว้แล้วพวกเจ้าก็ถือ ตามการอนุมัติของพวกเขาหรือ? ฉันตอบว่า : ใช่ครับ ท่านกล่าวว่า : นี่แหละคือการอิบาดะฮฺต่อพวกเขา” (บันทึกโดยอิม่ามอะหฺมัด และอัตติรมีซียฺ ได้ให้สถานะฮะซันแก่ฮะดีษบทนี้)
18การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ค�ำอธิบายจากหนังสือฟัตฮุลมะญีด ตอน..ความหายนะจะเกิดแก่ผู้ที่ผินหลังให้กับค�ำสอนของท่านนบี หมายเหตุ : ท่านสามารถอ่านข้อความต้นฉบับจากไฟล์ภาพที่แนบมานี้ ส่วน ค�ำแปลภาษาไทยที่เสนอไว้ข้างต้นนั้น เราไม่ได้แปลภาษาอาหรับเป็นภาษาไทยด้วย ส�ำนวนอาหรับ เพราะท�ำให้เข้าใจยาก หรือไม่ต้องใช้วิธีไทยแปลไทยอีกทอดหนึ่ง ดังนั้น เราจึงเลือกที่จะแปลอาหรับด้วยส�ำนวนไทย เพื่อที่ผู้อ่านจะได้เข้าใจง่ายๆ แต่ก็พยายาม รักษาเป้าหมายของภาษาเดิมให้มากที่สุด ตัวบทหลักจากหนังสือกิตาบุตเตาฮีด ْ ز ج ل عليمك حارة من الامسء بن وقال ا�بن عباس: ”يوشك أن ت� ن أقول: قال رسول الهل صلى الله عليه وسلم، وتقولون: قال أبو بكر ومعر؟ “อิบนุ อับบาซ ได้กล่าวว่า “เกือบแล้วที่หินจากฟากฟ้าจะหล่นลงมายังพวกเจ้า ฉันกล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้อย่างนี้ พวกเจ้า ยังจะพูดว่า อบูบักรฺ และอุมัร ได้กล่าวว่าอย่างนั้นอย่างนี้อีกหรือ? ค�ำอธิบายจากหนังสือฟัตฮุลมะญีด ค�ำพูดของท่านอิบนิ อับบาซ นี้เป็นค�ำตอบแก่ผู้ที่กล่าวว่า ท่านอบูบักรฺและ ท่านอุมัร ไม่เห็นด้วยกับการท�ำฮัจญ์แบบ “ตะมัตตุอฺ” โดยทั้งสองท่านนี้มีทัศนะว่าการ ท�ำฮัจญ์แบบ “อิฟรอด” นั้นประเสริฐกว่า หรือในท�ำนองนี้ แต่ท่านอิบนิ อับบาซ มีทัศนะว่า การท�ำฮัจญ์ในรูปแบบตะมัตตุอฺนั้นเป็น “วาญิบ” โดยกล่าวว่า เมื่อได้ท�ำการเฏาะวาฟรอบกะอฺบะฮฺ และสะแอระหว่างเนินเขาเศาะฟากับมัรวะฮฺ เจ็ดเที่ยวแล้ว ก็สามารถปลดชุดอิฮฺรอมได้ตามแต่ประสงค์
19การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ดั่งฮะดีษที่รายงานโดย ซุรอเกาะฮฺ อิบนุมาลิก ว่า “ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ได้ใช้ พวกเขาให้ปฏิบัติมันในการท�ำอุมเราะฮฺ และอนุญาตให้เปลื้องชุดอิฮฺรอมเมื่อพวกเขาได้ท�ำ การเฏาะวาฟรอบกะอฺบะฮฺ และสะแอระหว่างเนินเขาเศาะฟากับมัรวะฮฺเรียบร้อยแล้ว” ซุรอเกาะฮฺได้ถามว่า โอ้ท่านเราะซูลของอัลลอฮฺ เฉพาะปีของเรานี้หรือว่าตลอดไป? ท่านตอบว่า ตลอดไป” (ฮะดีษบทนี้อยู่ในบันทึกของบุคอรียฺและมุสลิม) ขณะเดียวกัน มันก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ในการที่ใครจะแสวงหาค�ำชี้ขาดใน เรื่องนั้นๆ โดยพิจารณามัสฮับต่างๆ ของบรรดาอุลามาอฺ และสิ่งที่แต่ละอิม่ามได้อ้างอิง มันไว้ ด้วยการยึดเอาทัศนะของพวกเขาที่ได้อ้างอิงหลักฐาน หากเขามีความสามารถที่จะ พิจารณาในเรื่องดังกล่าว ดั่งที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า “เมื่อพวกเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องใดก็ให้น�ำมันกลับไปหาอัลลอฮฺและเราะซูล หากพวก เจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเชื่อมั่นต่อวันอาคิเราะฮฺ ดั่งกล่าวนี้คือการกลับไปที่ดีงาม” (ซูเราะฮฺอันนิซาอฺ อายะฮฺที่ 59) และในบันทึกของอิม่ามบุคอรียฺ อิม่ามมุสลิม และท่านอื่นๆ ระบุว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันรู้ล่าไปหน่อย หากฉันรู้ไวกว่านี้สักนิด ฉันก็ จะไม่เชือดสัตว์พลีหากฉันไม่มีสัตว์เชือดพลีมาด้วย แล้วฉันก็จะเปลื้องชุดอิฮฺรอม” นี่คือ ถ้อยค�ำที่ถูกระบุอยู่ในเศาะฮิฮฺบุคอรียฺ ซึ่งเป็นฮะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮฺ ส่วนถ้อยค�ำตาม ค�ำรายงานของท่านญาบิร นั้นระบุว่า “พวกท่านทั้งหลายจงท�ำตามสิ่งที่ฉันใช้เถิด หากว่า ฉันไม่มีสัตว์เชือดพลี ฉันก็จะท�ำเช่นเดียวกับที่ใช้ให้พวกท่านท�ำนี้แหละ” และยังมีอีกหลายๆ ฮะดีษที่สนับสนุนถ้อยค�ำของท่านอิบนิ อับบาซ
20การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ โดยสรุปแล้วก็คือ ตามที่ท่านอิบนุ อับบาซ ได้กล่าวว่า “เกือบแล้วที่หินจาก ฟากฟ้าจะหล่นลงมายังพวกเจ้า” ด้วยเหตุที่มีผู้เสนอทัศนะของท่านอบูบักรฺ และท่านอุมัร มาโต้แย้งค�ำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อิม่ามชาฟิอียฺ กล่าวว่า : “บรรดาอุลามาอฺได้อิจมาอฺ(มีมติเอกฉันท์) ว่า ผู้ใดที่ ซุนนะฮฺของท่านเราะซูลุลลอฮฺ เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่เขาแล้ว ก็ไม่มีทางที่เขาจะทิ้งซุนนะฮฺ เนื่องจากค�ำของผู้อื่น” อิม่ามมาลิก กล่าวว่า : ไม่มีถ้อยค�ำของใครในหมู่พวกเราที่จะถูกยึดถือ นอกจากจะถูกตอบโต้และถูกปฏิเสธ เว้นแต่ถ้อยค�ำของเจ้าของหลุมศพนี้ คือ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” และถ้อยค�ำของปวงปราชญ์ในความหมายเช่นนี้มีอยู่มากมาย บรรดาอุลามาอฺ(ขออัลลอฮฺทรงเมตตาพวกเขา) ต่างก็ยังคงวินิจฉัยในแต่ละ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหากค�ำวินิจฉัยของผู้ใดถูกต้อง เขาก็ได้รับภาคผลสองเท่า ส่วน การวินิจฉัยของผู้ใดผิดพลาด เขาก็ได้รับภาคผลหนึ่งเท่า ดังที่ระบุอยู่ในฮะดีษ ทว่าเมื่อ หลักฐานได้ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาแล้ว พวกเขาก็จะต้องยึดตามหลักฐานและทิ้งการ วินิจฉัยของพวกเขาเสีย ส่วนกรณีที่ฮะดีษยังไปไม่ถึงพวกเขา หรือไม่มีฮะดีษใดๆ จากท่านเราะซูลุลลอฮฺ ที่จะยืนยันให้แก่พวกเขา หรือมีฮะดีษที่มายืนยันแต่มันค้านกัน หรือมีข้อจ�ำกัดอื่นๆ ใน ท�ำนองนี้ ก็เป็นที่อนุญาตแก่อิม่ามที่จะท�ำการวินิจฉัย และในยุคสมัยของปราชญ์ทั้งสี่ (อิม่ามฮะนะฟียฺ,อิม่ามมาลิกียฺ,อิม่ามชาฟิอียฺ,และอิม่ามอะหฺมัด) ขออัลลอฮฺทรงเมตตาพวก เขา การแสวงหาฮะดีษต่างๆ ด้วยการพบปะ ด้วยการฟังจากผู้ที่รู้ฮะดีษนั้น ด้วยการที่ คนๆ หนึ่งจะต้องเดินทางไปยังแว่นแคว้นต่างๆ เป็นเวลาหลายปี
21การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ต่อมาบรรดาปวงปราชญ์ได้ให้ความใส่ใจในการรวบรวม เรียบเรียง โดยพวกเขา ได้บันทึกฮะดีษต่าง พร้อมกับสายรายงานของมัน อีกทั้งแจกแจงสถานะของมันว่า เศาะฮิฮฺ , ฮะซัน หรือเฎาะอีฟ อีกทั้งบรรดานักนิติศาสตร์อิสลามในแต่ละมัสฮับก็ได้ ประพันธ์ต�ำราขึ้นมา โดยพวกเขาได้ระบุถึงหลักฐานต่างๆ ของบรรดาปวงปราชญ์ที่ท�ำการ วินิจฉัย จึงท�ำให้เกิดความง่ายดายแก่บรรดาผู้แสวงหาความรู้ และอิม่ามแต่ละคนนั้นต่าง ก็ได้กล่าวถึงข้อฮุก่มด้วยหลักฐานที่มีอยู่ ณ ที่เขา และในถ้อยค�ำของอิบนุ อับบาซ นี้คือสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่รับรู้ถึงหลักฐานแล้วไม่ ยึดตามหลักฐาน แต่กลับไปตักลีด(หลับหูหลับตาตาม) อิม่ามของเขา ดังนั้นจึงจ�ำเป็นต้อง อิงการ(ปฏิเสธ,คัดค้าน,ต่อต้าน) เขาอย่างเข้มข้น เนื่องจากการค้านหลักฐาน
22การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ค�ำอธิบายจากหนังสือฟัตฮุลมะญีด ตอน..ค�ำพูดของผู้อื่นจะรับหรือปฏิเสธก็ได้นอกจากค�ำของท่านนบี بز اي ار، حدثنا ز� بند �بن أيوب، حدثنا إ وقال المام أمحد : حدثنا بن أمحد �بن بز معر ال� َ بن ة عن ا�بن عباس قال : ليس منا ِم أبو عبيدة احل بن داد عن مالك �بن ِ دينار عن عكر الن� صىل الهل عليه وسمل أحد إال ري يؤخذ من قوهل ويدع غ� بي “อิม่ามอะหฺมัด กล่าวว่า : อะหฺมัด อิบนุ อุมัร อัลบัซซาร เล่าให้เราฟังว่า ซิยาด บิน อัยยูบ เล่าให้เราฟังว่า อบูอุบัยดะฮฺ อัลฮัดดาด เล่าให้เราฟังจากมาลิก บิน ดีนาร จาก อิกริมะฮฺ จาก อิบนิอับบาซ กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเรา เว้นแต่ถ้อยค�ำของเขา จะถูกรับหรือถูกปฏิเสธก็ได้นอกจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” ً من إ وعىل هذا فيجب الناكر عىل من � رت ك الدليل لقول أحد من العملاء اكئنا ي ي مسائل االج�هت ت اد ال� ف مئ ة عىل هذا، وأنه ال يسوغ التقليد إال � � أ اكن، ونصوص ال هف ذا هو الذي عناه بعض العملاء ال هي دليل ف� ريا �جع إليه من كتاب وال سنة � ي مسائل االج�هت اد، وأما من خالف الكتاب والسنة فيجب الرد ف بقوهل: ال إناكر � ي ف عباس و الشافع و مالك و أمحد وذلك جممع عليه امك تقدم � بن عليه امك قال ا�بن ي ي الكم الشافع رمحه الهل تعاىل “ด้วยเหตุนี้จึงจ�ำเป็นต้องอิงการ(ปฏิเสธ,ต่อต้าน,คัดค้าน) ผู้ที่ทิ้งหลักฐานเนื่องจาก ถ้อยค�ำของคนใดก็ตามในหมู่อุลามาอฺ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม และตัวบทของบรรดา ปวงปราชญ์ในเรื่องนี้ว่า แท้จริงแล้วไม่อนุญาตให้ตักลีด(ตามแบบไม่รู้หลักฐาน) นอกจาก ปัญหาที่ต้องอาศัยการวินิจฉัย ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺที่ สามารถอ้างอิงได้ อย่างนี้ที่อุลามาอฺบางท่านได้หมายถึงโดยกล่าวกันว่า : ไม่มีการอิงการใน ปัญหาที่ต้องอาศัยการวินิจฉัย ส่วนผู้ที่ค้านกับอัลกุรอานและซุนนะฮฺนั้นจ�ำเป็นต้องตอบโต้เขา
23การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ดั่งที่ท่าน อิบนิ อับบาซ อิม่ามชาฟีอียฺ อิม่ามมาลิกียฺ และอิม่ามอะหฺมัด ได้ กล่าวไว้ และนี่คือสิ่งที่พวกเขาได้เห็นพ้องต้องกันดั่งถ้อยค�ำของอิม่ามชาฟิอียฺ เราะฮิมะฮุลลอฮฺ ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้” (ฟัตฮุลมะญีด เล่มที่ 2 หน้าที่ 580) หมายเหตุ : ถ้อยค�ำของอิม่ามชาฟิอียฺที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้คือ أمجع العملاء عىل أن من استبانت هل سنة رسول الهل صىل الهل عليه وسمل مل يكن هل أن يدهعا لقول أحد “บรรดาอุลามาอฺได้มีมติเอกฉันท์ว่า ผู้ใดที่ซุนนะฮฺของท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุ- อะลัยฮิวะซัลลัม เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่เขาแล้ว เขาจะต้องไม่ทิ้งมันเนื่องจากค�ำพูดของคน อื่น”
24การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ค�ำอธิบายจากหนังสือฟัตฮุลมะญีด ตอน..ชิรกุฏฏออะฮฺ ตั้งภาคีด้วยการสวามิภักดิ์ต่ออุลามาอฺ การยึดติดผูกขาดอยู่กับอุลามาอฺคนหนึ่งคนใดหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด คือความหลง ผิด ไม่ใช่แนวทางของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ และไม่ใช่ มันฮัจญ์สะลัฟ ซึ่งเราได้เตือนพี่น้องให้ ระมัดระวังแนวทางอุตริที่ก�ำลังแพร่ระบาดในสังคมซุนนะฮฺ อยู่ ณ เวลานี้ พวกเขาได้สร้างวาทกรรมเท็จ หลอกลวงผู้คนให้คล้อยตามความหลงผิดของ พวกเขา เช่น “อุลามาอฺพาไปหานบี” หรือ “อย่ากระโดดข้ามหัวอุลามาอฺ” หรือ “ตั้งตน เป็นอุลามาอฺ” หรือ “อุลามาอฺเขาอะเหล่มกว่าเรา” และ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นวาทกรรมที่เป็นกับดักให้ผู้คนหยุดอยู่ที่อุลามาอฺ โดยไม่ต้องคิด พิจารณาว่าสิ่งที่อุลามาอฺน�ำเสนอนั้นตรงกับตัวบทหลักฐานหรือไม่ และพวกเขาก็จะมีค�ำ พูดที่เป็นกับดักอีกว่า “หลักฐานเป็นเรื่องของอุลามาอฺ ความรู้เราไม่ถึงพิจารณาเองไม่ได้” ซึ่งค�ำพูดของผู้คลั่งไคล้อุลามาอฺเกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นเราจึงพบวาทกรรมพาคน หลงผิดเหล่านี้ ได้ถูกแฉและถูกตอบโต้ไว้ในต�ำราของอุลามาอฺในอดีตแล้วทั้งสิ้น ซึ่งเราจะ น�ำมาแสดงให้เห็นเป็นล�ำดับไป
25การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ตัวบทหลักจากหนังสือกิตาบุตเตาฮีด ْ َ همُ َ ار ْ ب ح َ ُ وا أ َذ ت َّخ آية: ا� مت بي : »أنه مسع الن� صلى الله عليه وسلم يقرأ هذه ال وعن عدي بن �بن حا� ان لسنا نعبدمه. قال: آية فقلت هل: إ� ِ ]التوبة:31 ]ال هَّ ُ ِون الل ْ د باً ِ من باَ باً� ْ باَ� ر َ ْ أ نهَُم َ ا� ب ْ ُه َ ر و حي أليس �رمون ما أحل الهل حي فتحرمونه؟ و�لون ما حرم الهل فتحلونه؟ فقلت: بىل. قال: فتلك عباد�هت م رواه أمحد، وال� رت مذي، وحسنه รายงานจากอะดียฺ บินฮาติม ว่า “เขาได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อ่านข้อความของอายะฮฺนี้ว่า : พวกเขายึดเอานักพรตและบาทหลวงของเขาเป็นพระเจ้า อื่นจากอัลลอฮฺ (ซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 31) ฉันจึงได้กล่าวแก่ท่านว่า : พวกเราไม่ได้สักการะต่อบรรดานักพรตและบาทหลวง ท่านนบีกล่าวว่า : พวกเขาไม่ได้ห้ามในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติแล้วพวกเจ้าก็ถือตามการ ห้ามพวกเขาดอกหรือ? หรือว่าพวกเขาได้อนุมัติในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ห้ามไว้แล้วพวกเจ้าก็ถือ ตามการอนุมัติของพวกเขาหรือ? ฉันตอบว่า : ใช่ครับ ท่านกล่าวว่า : นี่แหละคือการอิบาดะฮฺต่อพวกเขา” (บันทึกโดยอิม่ามอะหฺมัด และอัตติรมีซียฺ ได้ให้สถานะฮะซันแก่ฮะดีษบทนี้) ค�ำอธิบายจากหนังสือฟัตฮุลมะญีด ي معصية الهل عبادة هلم من ف أحبار والرهبان � ي احلديث دليل عىل أن طاعة ال ف و� آية : } وما ي آخر ال ف ربك� الذي ال يغفره الهل لقوهل تعاىل � أ دون الهل رش ومن ال�ك ال ي ف أمروا إال ليعبدوا إهلا واحدا ال إهل إال رش هو سبحانه معا ي� ري كون { ونظ� ذلك � ن ليوحون ألكوا امم مل يذكر امس الهل ي عليه وإنه لفسق وإن الشياط� ت قوهل تعاىل } وال � . : { إىل أوليا� هئ رش م ليجادلومك وإن أطعتمومه إنمك مل�كون
26การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ และในฮะดีษบทนี้เป็นหลักฐานว่า การภักดีต่อบาทหลวงและนักพรตในการ ฝ่าฝืนอัลลอฮฺนั้น คือการอิบาดะฮฺต่อพวกเขานอกเหนือจากอัลลอฮฺ มันเป็นส่วนหนึ่งของ “ชิรกุลอักบัร”(ชิริกใหญ่) ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงให้อภัยแก่พวกเขา ดั่งถ้อยค�ำของ พระองค์ในท้ายอายะฮฺหนึ่งที่ว่า “และพวกเขาไม่ได้ถูกใช้ให้สักการะต่อสิ่งอื่นใด นอกจากพวกเขาจะต้องสักการะ ต่อพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ มหาบริสุทธิ์ต่อพระองค์ ใน สิ่งที่พวกเขาเอามาเป็นภาคี” (ซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ อายะฮฺที่ 31) พิจารณาตัวบทที่สนับสนุนในเรื่องนี้ด้วยถ้อยค�ำของพระองค์ที่ว่า “และพวกเจ้า อย่าได้บริโภคสิ่งที่นามของอัลลอฮฺไม่ได้ถูกกล่าวบนมัน เพราะแท้จริงมันเป็นการละเมิด แท้จริงบรรดามารร้ายนั้นจะกระซิบกระซาบต่อสหายของมัน เพื่อที่จะให้พวกเขาโต้เถียง กับพวกเจ้า และหากพวกเจ้าภักดีต่อพวกเขา แน่นอนว่าพวกเจ้าก็เป็นผู้ที่ท�ำให้มีภาคีต่อ อัลลอฮฺ” (ซูเราะฮฺอัลอันอาม อายะฮฺที่ 121) ري وهذا قد وقع فيه كث� من الناس مع من قلدومه لعدم إعتبارمه الدليل إذا خالف أ اب خذ �لدليل ي ذلك ويعتقد أن ال ف رش املقلد وهو من هذا ال�ك وم� هن م من يغلو � أخذ لة وال ي � د أ لة حي هذه يكره أو � اب رم فعظمت الفتنة ويقول : مه أعمل منا �ل واحلا اب�لدليل إال ج امل�هت مب د ور� اب ا تفوهوا بذم من يعمل �لدليل สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นแก่ผู้คนจ�ำนวนมาก ที่ไปตักลีดพวกเขาโดยไม่พิจารณาถึง หลักฐาน ขณะที่หลักฐานนั้นไปค้านกับผู้ที่เขายึดตาม มันเป็นการตั้งภาคี ส่วนหนึ่งในหมู่ พวกเขาเลยเถิดในเรื่องนี้ โดยเชื่อมั่นว่าการยึดหลักฐานในสภาพนี้มันน่ารังเกียจหรือเป็นที่ ต้องห้าม ดังนั้นมันจึงท�ำให้ฟิตนะฮฺโหมกระพือ พวกเขาจะกล่าวว่า : บรรดาอุลามาอฺนั้นรู้ หลักฐานดีกว่าพวกเรา และไม่ต้องไปยุ่งกับหลักฐาน เพราะเป็นรื่องของผู้ที่เป็นมุจญ์ตะฮิด (ปราชญ์ระดับที่วินิจฉัยได้) เท่านั้น และบางครั้งพวกเขาก็โพทนาด้วยการต�ำหนิติติงผู้ที่ ปฏิบัติตามตัวบทหลักฐาน....
27การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ خ رش الف ما �عه الهل هب ورسوهل فقد معت �ا البلوى أمراء ومتابع�هت اميم ف�ي � وأما طاعة ال خ ي لفاء الراشد�ن وهمل جرا وقد ي أك� رث الوالة بعد ال ف مي قد�ا وحديثا � من ا يتبعون أهواءمه ومن أضل ممن اتبع قال تعاىل : } فإن مل يستجيبوا لك فاعمل أ� ن { ري هواه بغ� هدى من الهل إن الهل الهي � ي دي القوم الظامل� ส ่วนการภักดีต ่อบรรดาผู้ปกครองและการปฏิบัติตามพวกเขาในสิ่งที่ค้านกับ บทบัญญัติของอัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ แน่นอนว่าบททดสอบนี้ได้แผ่ปกคลุมทั้ง อดีตและปัจจุบัน ตั้งแต่ในช่วงผู้ปกครองหลังจากบรรดาเคาะลีฟะฮฺทั้งสี่เป็นต้นมา ทั้งๆ ที่ พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า “หากพวกเขาไม่ยอมตอบรับต่อเจ้า ก็จงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงพวกเขาได้ปฏิบัติตาม อารมณ์ของพวกเขาเอง และผู้ใดเล่าที่จะหลงไปยิ่งกว่าผู้ที่ปฏิบัติตามอารมณ์ของตนเอง โดยปราศจากแนวทางที่ถูกต้องจากอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงชี้แนะทางน�ำที่ถูกต้อง แก่ชนผู้อธรรม” (ซูเราะฮฺอัลเกาะศอศ อายะฮฺที่ 50) وعن ايز�دبن �بن ري حد� قال : قال يل ىض معر ر� الهل هي عنه : هل تعرف ما � إ دم السالم مئ ة � أ لة اب العامل، وجدال املنافق �لكتاب، وحمك ال ؟ قال : قلت : ال هي ، قال : �دمه ز . رواه الدارم ن ي ي املضل� และจากท่านซิยารฺ บิน ฮุดัยรฺ รายงานว่า ท่านอุมัร อิบนุลค๊อฏฏอบ ได้กล่าว กับฉันว่า เจ้ารู้ไหมว่าอะไรที่ท�ำลายอิสลาม? ฉันตอบว่า ไม่ทราบครับ ท่านกล่าวว่า : สิ่งที่ท�ำลายอิสลาม คือ ความพลาดพลั้งของผู้รู้ การโต้แย้งของบรรดา ผู้กลับกลอกต่อคัมภีร์ของอัลลอฮฺ การตัดสินของบรรดาผู้น�ำที่นอกจากตัวเองหลงแล้วยัง ท�ำให้ผู้คนหลงทาง (บันทึกโดยอัดดาริมีย์, สุนันอัตดาริมีย์ ฮะดีษเลขที่ 214)
28การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ หมายเหตุ : การคลั่งไคล้ต่อบรรดาอุลามาอฺ และบรรดาผู้ปกครองนั้น มีมาทุก ยุคทุกสมัย และหากเลยเถิดจนกระทั่งหลับหูหลับตาตามจนไม่รู้ผิดรู้ถูก อย่างนี้มีผลร้าย ต่อหลักเตาฮีด และน�ำพาไปสู่ชิริกใหญ่(การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ) ซึ่งปราญช์ผู้ทรงธรรมใน แต่ละยุค ต่างก็ตักเตือนผู้คนด้วยการเขียนต�ำราอธิบายข้อเท็จจริงและโต้แย้งด้วยหลักฐาน เมื่อมาถึงยุคเราในเวลานี้ สังคมได้ถูกน�ำพาเข้าสู่วังวนของการคลั่งไคล้ ยึดติด และผูกขาดกับอุลามาอฺเหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต อีกทั้งวาทกรรมที่จะน�ำพาผู้คน ออกจากแนวทางของอะฮฺลิซซุนนะฮฺก็ไม่แตกต่างกันมากนัก เราจึงได้น�ำเอาค�ำตักเตือน จากต�ำราของปวงปราชญ์ผู้ทรงธรรมมาชี้แจงบอกกล่าวกัน อย่างน้อยเพื่อให้ผู้ที่มีใจ บริสุทธิ์ได้คิดและทบทวนกัน เพราะแนวทางของชาวสะลัฟ(มันฮัจญ์สะลัฟ) ที่แท้จริงนั้น คือการเรียกร้องผู้คนไปสู่ตัวบทหลักฐาน ไม่ใช่การยึดติดผูกขาดอยู่กับอุลามาอฺ
29การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ให้เกียรติต่ออุลามาอฺตามสถานะที่เขาด�ำรงอยู่ ในห้วงเวลานี้มีค�ำวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการตามอุลามาอฺ และการให้เกียรติต่อ อุลามาอฺกันอย่างแพร่หลาย ตามเจตนาที่แต่ละคนยึดถืออยู่ แต่บรรดาอุลามาอฺเอง เขามี กฎเกณฑ์ที่เรียกว่า “กออิดะฮฺ” ที่ทุกคนยอมรับและยึดถือตรงกัน ขอให้ท่านลองอ่านและ ท�ำความเข้าใจ และพิจารณาตัวเองว่า ท่านอยู่ในกฎหรือละเมิดกฎดังต่อไปนี้ قاعدة : لك يؤخذ ري من قوهل و�د إال رسول الهل صىل الهل عليه وسمل กฎที่ว่าด้วยเรื่อง : ค�ำพูดของทุกคนจะรับหรือจะปฏิเสธก็ได้นอกจากท่าน เราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หลักฐานของกฎนี้คือ 1) อะหฺมัด อิบนุ อัมรฺ อัลบัซซารฺ เล่าให้เราฟังว่า ซิยาด บิน อัยยูบ เล่าให้เราฟังว่า อบูอุบัยดะฮฺ อัลฮัดดาด เล่าให้เราฟังจาก มาลิก บินดีนาร จาก อิกริมะฮฺ จาก อิบนิอับบาซ กล่าวว่า َ َ لمَّ َ س ِه و ْ ي َ ل َ ُ ع َ لىَّ الهل ِّ ص ب� ِي َّ ي� رَْ الن َ ُ غ َ ع َد َ ي لهِِلهِ و ْ و َ ْ ق ِ من ُ َ ذ ْخ ُؤ اَّ ي ِل ٌ إ َد ح َ ْ َس أ ي َ ل “ไม่มีผู้ใดหรอกนอกจากค�ำพูดของเขาจะถูกตอบรับหรือทิ้งก็ได้ นอกจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” (บันทึกโดยอัฏฏ็อบรอนียฺ ในอัลมุอฺญัม อัลกะบีร ฮะดีษล�ำดับที่ 11941)
30การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ 2) ซุฟยาน อิบนุ อุยัยนะฮฺ รายงานจาก อับดุลการีม จาก มุญาฮิด กล่าวว่า َ َ لمَّ َ س ِه و ْ ي َ ل َ ُ ع َ لىَّ الهل ِّ ص ب� ِي َّ َ الن ْد َع ب ٌ َد ح َ ْ َس أ ي َ ل َ َ لمَّ َ س ِه و ْ ي َ ل َ ُ ع َ لىَّ الهل َّ ص ب� ِي َّ اَّ الن ِل ُ ، إ رَْك ُ� ت َ ي لهِِلهِ و ْ و َ ْ ق ِ من ُ َ ذ ْخ ُؤ اَّ ي ِل إ “ไม่มีผู้ใดหลังจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นอกจากค�ำพูดของเขา จะถูกตอบรับหรือถูกทิ้งก็ได้นอกจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” (บันทึกโดยอบูนาอีม ในญุซที่ 3 ล�ำดับที่ 300 และ อิบนุอับดิลบัร ในอัตตัมฮีด ล�ำดับที่ 118) 3) อับดุลวาริส อิบนุ ซุฟยาน เล่าให้เราฟังว่า กอซิม บิน อัศบัฆ เล่าให้เราฟังว่า อะหฺมัด อิบนุ ซุฮัยรฺ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า พ่อของฉันเล่าให้ฟังว่า สะอีด บินอามิร เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า ชุอฺบะฮฺ เล่าให้เราฟังจาก อัลฮะกัม บินอุตบะฮฺ กล่าวว่า الن� صىل الهل عليه وسمل ليس أحد من خلق الهل إال يؤخذ من قوهل وي� رت ك إال بي “ไม่มีผู้ใดจากมนุษย์นอกจากค�ำพูดของเขาจะถูกยอมรับหรือถูกปฏิเสธ นอกจาก ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” (บันทึกโดย อิบนุอับดิลบัร ในญามิอุลบะยาน เล่มที่ 2 หน้าที่ 91) 4) ท่านอิม่ามมาลิก บินอะนัส ได้รายงานเช่นเดียวกับที่กล่าวข้างต้น แต่เนื้อหาท่อนท้าย มีส�ำนวนที่แตกต่างกันคือ َ سمل ِه و ْ ي َ ل َ ب� ِي صىل الهل ع َّ لىَ رب ق� الن ِ َ إ َ ار ش َ َ أ برْ� برْ و َ ق ْ َ ا ال َذ َ احب ه اَّ ص ِل إ “นอกจากเจ้าของหลุมศพนี้ แล้วท่านก็ชี้ไปที่หลุมศพของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ- อะลัยฮิวะซัลลัม” (อบูซามะฮฺ อัลมักดิซียฺ ในมุคตะศ็อร หน้าที่ 66) ค�ำพูดนี้ของท่านอิม่ามมาลิก บินอะนัส เป็นที่แพร่หลายและรับรู้กันโดยทั่วไป
31การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของกฎนี้ ُؤخذ من قوهل ً ا من اكن، ي َّ ٍ أحد من الناس اكئن ا هب ملراد �ذه القاعدة عند السلف: أن لك أ نه غ� ُّ ما خالف احلق؛ ل ُ� رت يك و� رُ د ُقبل ما وافق احلق، وي ُؤخذ منه وي ُ� رت ك، أي: ي وي أ نه و يحٌ يوىح ُقبل ل ُؤخذ بلك ما قاهل وي معصوم، إال رسول الهل صىل الهل عليه وسمل، في “เป้าหมายของกฎนี้ ณ ที่สะลัฟก็คือ : ทุกๆ คนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ค�ำพูด ของเขาจะถูกรับหรือถูกปฏิเสธ หมายถึง ถูกเอาหรือถูกตอบรับในสิ่งที่ตรงกับสัจธรรม และถูกทิ้งหรือปฏิเสธในสิ่งที่ค้านกับสัจธรรม เพราะเขาไม่ใช่มะอฺศูม(ผู้ที่ได้รับการปกป้อง ให้ปราศจากความผิด) นอกจากท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่จะถูก ยึดถือและถูกตอบรับทุกสิ่งที่ท่านกล่าว เพราะเป็นวะฮียฺที่มีมายังท่าน” َّ مي ة تعظ� رش أهل السنة للنصوص ال�عية، ُّ ِ عىل شد من ا يدل ي ٍء إ� َّ ش عىل � وهذا إن دل ي كتاب الهل تعاىل وسنة رسوهل صىل الهل مي عليه وسمل، وتقد�ها عىل أقوال ف ة � املتمثل ة رش النصوص ال�عية من ِم معامل هف م ال يعاملون أقوال أ� ئمِ �هت الرجال واج�هت ادا�هت م، � ي نزلة ت النصوص ال� مي حيث القبول والتسل� املطلق، وال ي ج �علون أقوال عملا� هئ مبم �� لة ، وي� رت كون ما د أ أخذون م� هن ا ما وافق احلق وال حت رم مخ الف�هت ا ومعارض�هت ي ا؛ بل � � ً ا عن معصوم ً صادر ً ا م�نزَّال � هن ا ليست وحي أ خالف ذلك؛ ل “มันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงการให้ความส�ำคัญอย่างยิ่งยวดของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ต่อตัวบท ทางด้านนิติบัญญัติ ที่จะต้องยึดเอาไว้คู่กัน ทั้งในคัมภีร์ของอัลลอฮฺและซุนนะฮฺของเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยเอาทั้งสองนี้ก่อนถ้อยค�ำใดๆ ของบรรดาอุลามาอฺ และในการวินิจฉัยของพวกเขา โดยพวกเขานั้นจะไม่เอาถ้อยค�ำของบรรดาผู้น�ำแห่งปวง ปราชญ์ของพวกเขากับตัวบทศาสนาเขามาคละเคล้ากัน โดยให้การยอมรับและยึดถือแบบ ดุษฎี และพวกเขาจะไม่ท�ำให้ถ้อยค�ำใดๆ ของอุลามาอฺอยู่ในสถานะเดียวกับตัวบทซึ่งห้าม ละเมิดและคัดค้าน แต่ทว่าพวกเขาจะยึดเอาในสิ่งที่สอดคล้องกับสัจธรรมและหลักฐาน ต่างๆ และพวกเขาจะทิ้งสิ่งที่มันขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว เพราะว่าสิ่งนั้นไม่ใช่วะฮียฺที่ถูก ประทานมายังผู้ที่เป็นมะอฺศูม (ผู้ที่ได้รับการปกป้องให้ปราศจากความผิด) ”
32การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ค�ำอธิบายของปราชญ์ ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า ُ ُ ول َس اَّ ر ُ إل رَْك ُ� ت َ ي لهِِلهِ و ْ و َ ْ ق ِ من ُ َ ذ ْخ ُؤ ٍد ي َ ح َ َّ كلَُّ أ ن َ َ لىَ أ هَُا ع ئمَِّ �ت � َ َ أ َّ ِة و م ُ ْ أ َف ُ ال َ ل َ س َق ف َّ ْ ات د َ َ ق َ و َ اء ِي ب ْ ن َ ْ أ َّ ال ِ ن إ َ ْ، ف ِهمِ ي� رْ َ َغ َ ِاء و ِي ب ْ ن َ ْ أ َ ال ي� ْ ن َ رُ ِوق ب ُ ف ْ ْ ال َ ِ ا من َذ َه َ، و َ لمَّ َ س ِه و ْ ي َ ل َ ُ ع هَّ َ لىَّ الل ِ ص هَّ َّ الل َز ِ ع هَّ ْ الل َ ن ِ ِه ع َ ب ُون برِ� برِ ْ ُ خ َ ي ا � ِ م ِميع َ ُ ب � ِ ج َ ان ِمي� إ ْ ْ ال ُم هَ ِ ُب ل ج َ ُ ي � ُ ه َ لاَ م َ س ْ و ِم ي� هْ َ ل َ ِ ع هَّ ُ الل َ ات و َ َ ل ص ِي ف � ْ هُُم َ �ت َاع ِ ب ط ج َ ت اَ � ْ ل ِ � نهَُّم إ َ َ ِاء ف ِلي ْ و َ ْ أ ِف ال لاَ ِ خ ِ ِه ب؛ � ِ َ ب ُ رُ ون م ْ أ َ َ ي ا � ْ ِ في�م هُُم َ �ت َاع ِ ُب ط ج َ ت �َ َّ ، و َ ل َج و َل ْ ع همُ برَ� برَُ َ َخ ْ و همُ ْ رُ م َ ْ رَض ُ أ ُع ْ ي َل ِ ِه؛ ب َ ب ُون برِ� برِ ْ ُ خ َ يا � ِ م ِميع َ ب � ِ ج ُ َ ان ِمي� إ ْ اَ ال َل ِ ِه و َ ب ُ رُ ون م ْ أ َ َ ي ا � كلُِّ م َ ة َّ ُّ ن َ الس َ َ اب و ِكت ْ َف َ ال َ ال َ ا خ َم ُ و لهُ ُو ب َ َ َب ق َج َ و ة َّ ُّ ن َ الس َ اب و ِكت ْ َ ال ق َ َ اف َ ا و مَ ف ِة � َّ ُّ ن َ الس َ ِ اب و ِكت ْ ال ا ً ُود َ رْ د َ م كاَ ن “บรรดาสะลัฟและบรรดาผู้น�ำของพวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าทุกๆ คนนั้น ค�ำพูด ของเขาจะถูกรับหรือถูกปฏิเสธก็ได้นอกจากท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และนี่คือการจ�ำแนกระหว่างบรรดานบีกับคนอื่นๆ เพราะบรรดานบีนั้น จ�ำเป็นต้องศรัทธา ต่อพวกเขาในทุกเรื่องที่เขาน�ำมาบอกจากอัลลอฮฺ และจ�ำเป็นต้องภักดีต่อพวกเขาในสิ่ง ที่พวกเขาใช้ ซึ่งแตกต่างจากบรรดาผู้น�ำ เนื่องจากไม่จ�ำเป็นต้องภักดีต่อพวกเขาในทุกๆ เรื่องที่พวกเขาใช้ และไม่จ�ำเป็นต้องตามในทุกเรื่องที่เขาบอก แต่จะต้องน�ำเอาสิ่งที่พวก เขาใช้และบอกนั้นไปตรวจสอบกับอัลกุรอานและซุนนะฮฺ และสิ่งใดที่สอดคล้องกับอัลกุรอาน และซุนนะฮฺก็จ�ำเป็นต้องน้อมรับ แต่สิ่งที่ค้านคัดกับอัลกุรอานและซุนนะฮฺนั้นก็ต้องปฏิเสธ” (ฟะตาวาอัลกุบรอ 11/208)
33การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า خلق طاعته اب قد ثبت � إ لكتاب والسنة والمجاع أن الهل سبحانه وتعاىل فرض عىل ال أمة طاعة أحد بعينه ، وطاعة رسوهل صىل الهل عليه وسمل ، ومل يوجب عىل هذه ال أ ىهن مر به وي� عنه إال رسول الهل صىل الهل عليه وسمل ، واتفقوا لكهم عىل ىف ي لك ما � � أ ىهن مر به وي� عنه إال رسول الهل صىل الهل عليه ىف ي لك ما � � ً أنه ليس أحد معصوما مئ ة : لك أحد من الناس يؤخذ من قوهل وي� رت ك � أ ري وسمل ، وهلذا قال غ� واحد من ال إال رسول الهل صىل الهل عليه وسمل “มีค�ำยืนยันด้วยอัลกุรอาน อัซซุนนะฮฺ และอิจมาอฺ ว่าพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงก�ำหนดให้บ่าวภักดีต่อพระองค์ และภักดีต่อเราะซูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยไม่เป็นความจ�ำเป็นใดๆ ต่อประชาชาตินี้ที่จะต้องภักดี ต่อตัวตนของคนหนึ่งคนใด ในสิ่งที่ใช้หรือห้ามในเรื่องนั้น นอกจากท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกเขาทุกคนได้เห็นพ้องต้องกันว่า ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินใดๆ ในทุกสิ่ง ที่ใช้และห้ามในเรื่องนั้น นอกจากท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเท่านั้น และนี้ที่บรรดาปราชญ์ต่างพูดถึงกันว่า : มนุษย์ทุกคนนั้นค�ำพูดของเขาถูกยึดถือ และถูกทิ้งก็ได้ นอกจากท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” (มัจมูอุลฟะตาวา ญุซอฺที่ 20 หน้าที่ 210)
34การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า ي ري لك ما يقوهل من غ� ذكر دليل يدل عىل حصة ما يقول ف أما وجوب اتباع القائل � ي ال تصلح إال هل ي فليس بصحيح ’ بل هذه املرتبة ه ت مرتبة الرسول ال� “ส่วนความจ�ำเป็นในการตามผู้กล่าวในทุกๆ เรื่องที่เขากล่าว โดยไม่อ้างถึง หลักฐานที่แสดงถึงความถูกต้องในสิ่งที่เขากล่าวนั้น ถือว่าไม่ถูกต้อง แต่ทว่าสถานะนี้คือ สถานะของท่านเราะซูล ซึ่งไม่มีผู้ใดคู่ควรต่อสถานะนี้นอกจากท่านเท่านั้น” (มัจมูอุลฟะตาวา ญุชอฺที่ 35 หน้าที่ 121) กฎเกณฑ์ตามที่กล่าวข้างต้นนี้ เป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติของอุลามาอฺซุนนะฮฺ ตั้งแต่ในยุคสะลัฟเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่การลดเกียรติ และมิใช่เป็นการเทิดเกียรติ อุลามาอฺจนเลยเถิด แต่เป็นกฏเกณพ์ที่แจ้งสถานะของพวกเขาตามความเป็นจริงที่พวก เขาด�ำรงอยู่
35การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ เรื่องท้ายเล่ม การจัดท�ำหนังสือนี้ มิได้มีเจตนาสร้างความเสื่อมเสีย โจมตีบุคคล กลุ่ม หรือ องค์กรใดๆ แต่มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อ เป็นประโยชน์แก่สังคม การตามและการยึดติดผูกขาด มิสามารถกระท�ำได้แม้ว่าจะเป็นเศาะฮาบะฮฺท่าน หนึ่งท่านใด และหากท่านอ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงเข้าใจถึงค�ำสั่งค�ำสอนของอัลอิสลาม ที่ท่าน นั้นไม่สามารถยึดติดอยู่กับใครได้ รวมถึงยึดติดอยู่กับตัวของผู้เขียนเอง แต่ท่านนั้นจะต้อง ตาม ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เท่านั้น ً ا ملا جئت به ال ىت يؤمن احدمك ح� يكون هواه تبع คนหนึ่งคนใด จะยังไม่ใช่ผู้ที่ศรัทธา จนกว่าอารมณ์ความรู้สึกของเขาจะตามในสิ่งที่ฉันนั้นได้น�ำมา ขอให้ทุกท่านได้รับทางน�ำ และ มั่นคงอยู่ในหนทางที่เที่ยงตรง ابو�لهل التوفيق واهلداية
36การสังกัดมัสฮับ และ การยึดติดกับอุลามาอฺ