The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วารสาร สห.ทบ. ฉบับที่ 30

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ห้องสมุด สห.ทบ., 2024-04-05 00:12:17

วารสาร สห.ทบ. ฉบับที่ 30

วารสาร สห.ทบ. ฉบับที่ 30

1 | หน้า


2 | หน ้า


3 | หน้า


4 | หน ้า


5 | หน้า


6 | หน ้า การจัดหน่วยทหารสารวัตรยามสงคราม กองทัพบก มีภารกิจในการใช้กำลังรบทางบกเข้าร่วมในการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศ เพื่อให้บรรลุภารกิจดังกล่าว กองทัพบกจึงได้วางกำลังรบหลัก พร้อมทั้งมอบความรับผิดชอบ และกำหนดพื้นที่ รับผิดชอบในการป้องกันประเทศไว้ตั้งแต่ยามปกติ โดยการจัดกำลังกองทัพบกในสนามมีกำลังรบหลักของ กองทัพบก ได้แก่ กองทัพภาค หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ กองหนุนทั่วไป หน่วยสนับสนุนการรบ และหน่วย สนับสนุนการช่วยรบ สำหรับการจัดกองทัพภาคในสนามจะประกอบด้วย กองพลทหารราบ และกองพลทหารม้า หน่วยสนับสนุนการรบ หน่วยสนับสนุนทางการช่วยรบ และหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ได้รับการแบ่งมอบ เมื่อ ประกาศสงคราม ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจะจัดที่บัญชาการทางยุทธวิธีขึ้นควบคุมการรบ เรียกว่า กองบัญชาการกองทัพบกสนาม ในส่วนของทหารสารวัตร จะมีเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก ทำหน้าที่เป็น นายทหารฝ่ายการสารวัตร ของกองบัญชาการกองทัพบกสนาม เพื่อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้หน่วยทหารสารวัตร ปฏิบัติภารกิจให้กับกองทัพบกสนามอีกด้วย การจัดหน่วยทหารสารวัตรยามสงคราม มีการจัดดังนี้ ๑. กองทัพภาค มีการจัดหน่วยทหารสารวัตร ซึ่งประกอบด้วย แผนกสารวัตร แผนกสืบสวน สอบสวน และกองพันทหารสารวัตรสนาม ที่อาจได้รับการแบ่งมอบจากกองบัญชาการกองทัพบกสนาม เพื่อให้ ปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับกิจการสารวัตรทหารให้กับกองทัพภาค (อ่านต่อจากฉบับที่แล้ว)


7 | หน้า ๒. การจัดหน่วยทหารสารวัตรมณฑลทหารบก ที่ขึ้นตรงต่อกองทัพภาค มีอัตราการจัดเช่นเดียวกับ ยามปกติ สำหรับหน่วยบัญชาการอื่น ๆ เช่น พล.ป., พล.ปตอ., พล.รพศ., พล.พัฒนา , นสศ. และ นปอ. จะมี ฝ่ายการสารวัตร บรรจุไว้ในอัตราเพียงหน่วยเดียวเท่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหลังจากที่หน่วย (เหล่าทหารสารวัตร) ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน่วยมานาน เป็นการพยายามที่จะเพิ่มอัตราหน่วย สารวัตรทหารในระดับ “กองพัน” ให้ครอบคลุมทุกกองทัพภาค หลังจากที่ได้จัดตั้ง กอง พันทหารสารวัตรที่ ๑๑ มทบ.๑๑ (ทภ.๑) และจัดตั้งกองพันทหารสารวัตรที่ ๑๒ มาเป็น ระยะเวลานาน ในยุคสมัยของ พล.อ. ธีรชัย นาควานิช (พ.ศ.๒๕๕๘ - ๒๕๕๙ ) มีดำริให้ กรมการสารวัตรทหารบก สมัยของ พล.ต. ธนะศักดิ์ ชื่นอิ่ม ไปดำเนินการพัฒนาอัตราการ จัดหน่วยทหารสารวัตรทั่วประเทศ (อจย.) เสร็จสมบูรณ์และมีคำสั่งกองทัพบกในเวลาต่อมา กองทัพภาค แผนกสารวัตร แผนกสืบสวนสอบสวน กองพันทหารสารวัตรสนาม กองร้อยทหารสารวัตร คุ้มกันเชลยศึก กองบังคับการและ กองร้อยกองบังคับ การ กองร้อยทหารสารวัตร รักษาความปลอดภัย กองร้อยทหารสารวัตร ดำเนินกรรมวิธีเชลยศึก กองร้อยทหารสารวัตร รักษาการณ์ กองร้อยทหารสารวัตรสนาม กองร้อยทหารสารวัตร สนาม


8 | หน ้า คำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ ๔๗/ ๕๙ เรื่อง จัดตั้งหน่วย พัน.สห.ทภ. ------------------------------- เพื่อให้การบริหารจัดการหน่วยทหารสารวัตรของ ทบ. มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถรองรับภารกิจของ ทบ. ทั้งในยามปกติและยามสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับภารกิจในพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละ ทภ. จึงให้ดำเนินการดังนี้ ๑. แปรสภาพและการจัดหน่วย พัน.สห.๑๒ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๒๐๕ (๒๔ มิ.ย.๓๒) พัน.สห.มทบ. เป็นจัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙ - ๔๐๕ (๖ ก.ค.๕๙) พัน.สห.ทภ. ประกอบด้วย ๑.๑ กองบังคับการและกองร้อยบังคับการกองพันทหารสารวัตร ใช้นามย่อว่า “บก.และร้อย.บก.พัน.สห.” โดยแปรสภาพ บก.และ ร้อยบก.พันสห.มทบ.๑๒ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ – ๒๐๖ (๒๔ มิ.ย.๓๒) บก.และ ร้อย.บก.พัน.สห.มทบ. เป็นจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๖ (๖ ก.ค.๕๙) บก.และ ร้อย.บก. พัน.สห.ทภ. ๑.๒ กองร้อยทหารสารวัตร จำนวน ๑ กองร้อย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.” โดยแปรสภาพ ร้อย.สห.มทบ. ๑๒ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๒๐๗ (๒๔ มิ.ย.๓๒) ร้อย.สห.มทบ. เป็นจัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙-๔๐๗ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.พัน.สห.ทภ. ๑.๓ กองร้อยทหารสารวัตรรักษาความปลอดภัย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.รปภ.” จัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙ - ๔๐๙ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.รปภ.พัน.สห.ทภ. ๑.๔ กองร้อยทหารสารวัตรสนาม จำนวน ๔ กองร้อย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.สนาม” โดยแปสภาพ ร้อย.สห.พล.ร.๒ รอ., ร้อย.สห.พล.ร.๙, ร้อย.สห.พล.๑ รอ. และ ร้อย.สห.พล.ม.๒ รอ. จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙ - ๒๗ (๑๔ ต.ค.๓๐) ร้อย.สห.พล. เป็น ร้อย.สห.สนาม ๑, ร้อย.สห.สนาม ๒, ร้อย.สห.สนาม ๓ และ ร้อย.สห.สนาม ๔ ตามลำดับ จัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙-๓๗ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.ทภ. ๑.๕ การบรรจุมอบ และการบังคับบัญชา : เป็นหน่วยของ ทบ. บรรจุมอบให้ ทภ.๑ และฝากการบังคับ บัญชากับ มทบ.๑๒ ๑.๖ เครื่องหมายสังกัด : “สห/๑๒” ๑.๗ การบรรจุกำลังพล : บรรจุกำสั่งพลตามระดับความพร้อมรบในอัตราลดระดับ ๑ ๑.๘ ที่ตั้งหน่วย : ค่ายจักรพงษ์ จว.ป.จ. ๒. จัดตั้งหน่วยกองพันทหารสารวัตรกองทัพภาค จำนวน ๓ หน่วย ให้กับ ทภ.๒, ทภ.๓ และ ทภ.๔ ดังนี้ ๒.๑ กองพันทหารสารวัตรที่ ๒๑ ใช้นามย่อว่า "พัน.สห.๒๑" จัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙ - ๔๐๕ (๖ ก.ค.๕๙) พัน.สห.ทภ. ประกอบด้วย


9 | หน้า ๒.๑.๑ กองบังคับการและกองร้อยบังคับการกองพันทหารสารวัตร ใช้นามย่อว่า “บก.และ ร้อย.บก. พัน.สห.” จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๖ (๖ ก.ค.๕๙) บก.และ ร้อย.บก.พัน.สห.ทภ. ๒.๑.๒ กองร้อยทหารสารวัตร จำนวน ๑ กองร้อย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.” โดยแปรสภาพ ร้อย.สห. มทบ.๒๑ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๓๐๗ (๒๔ มิ.ย.๓๒) ร้อย.สห.มทบ./จทบ. เป็นจัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙-๔๐๗ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.พัน.สห.ทภ. ๒.๑.๓ กองร้อยทหารสารวัตรรักษาความปลอดภัย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.รปภ.” จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๙ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.รปภ.พัน.สห.ทภ. ๒.๑.๔ กองร้อยทหารสารวัตรสนาม จำนวน ๒ กองร้อย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.สนาม” โดยแปร สภาพ ร้อย.สห.พล.ร.๓ และ ร้อย.สห.พล.ร.๖ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ – ๒๗ (๑๔ ต.ค.๓๐) ร้อย.สห. พล. เป็น ร้อย.สห.สนาม ๑ และ ร้อย.สห.สนาม ๒ ตามลำดับ จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙-๓๗ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.ทภ. ๒.๑.๕ การบรรจุมอบ และการบังคับบัญชา : เป็นหน่วยของ ทบ. บรรจุมอบให้ทภ.๒ และฝากการ บังคับบัญชากับ มทบ.๒๑ ๒.๑.๖ เครื่องหมายสังกัด : “สห/๒๑” ๒.๑.๗ การบรรจุกำลังพล : บรรจุกำลังพลตามระดับความพร้อมรบในอัตราลด ๒.๑.๘ ที่ตั้งหน่วย : ค่ายสุรนารี จว.น.ม. ๒.๒ กองพันทหารสารวัตรที่ ๓๑ ใช้นามย่อว่า “พัน.สห.๓๑” จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๕ (๖ ก.ค.๕๙) พัน.สห.ทภ. ประกอบด้วย ๒.๒.๑ กองบังคับการและกองร้อยบังคับการกองพันทหารสารวัตร ใช้นามย่อว่า “บก.และ ร้อย.บก. พัน.สห.” จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๖ (๖ ก.ค.๕๙) บก.และ ร้อย.บก.พัน.สห.ทภ. ๒.๒.๒ กองร้อยทหารสารวัตร จำนวน ๑ กองร้อย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.” โดยแปรสภาพ ร้อย.สห. มทบ.๓๙ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๓๐๗ (๒๔ มิ.ย.๓๒) ร้อย.สห.มทบ./จทบ. เป็นจัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙-๔๐๗ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.พัน.สห.ทภ. ๒.๒.๓ กองร้อยทหารสารวัตรรักษาความปลอดภัย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.รปภ.” จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๙ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.รปภ.พัน.สห.ทภ. ๒.๒.๔ กองร้อยทหารสารวัตรสนาม จำนวน ๒ กองร้อย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.สนาม” โดยแปร สภาพ ร้อย.สห.พล.ร.๔ และ ร้อย.สห.พล.ม.๑ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ – ๒๗ (๑๔ ต.ค.๓๐) ร้อย.สห.พล. เป็น ร้อย.สห.สนาม ๑ และ ร้อย.สห.สนาม ๒ ตามลำดับ จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙-๓๗ (๖ ก.ค. ๕๙) ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.ทภ. ๒.๒.๕ การบรรจุมอบ และการบังคับบัญชา : เป็นหน่วยของ ทบ. บรรจุมอบให้ทก.๓ และฝากการ บังคับบัญชากับ มทบ.๓๙


10 | หน ้า ๒.๒.๖ เครื่องหมายสังกัด : “สห/๓๑” ๒.๒.๗ การบรรจุกำลังพล : บรรจุกำลังพลตามระดับความพร้อมรบในอัตราลดระดับ ๑ ๒.๒.๘ ที่ตั้งหน่วย : ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จว.พ.ล. ๒.๓ กองพันทหารสารวัตรที่ ๔๑ ใช้นามย่อว่า “พัน.สห.๔๑” จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๕ (๖ ก.ค.๕๙) พัน.สห.ทภ. ประกอบด้วย ๒.๓.๑ กองบังคับการและกองร้อยบังคับการกองพันทหารสารวัตร ใช้นามย่อว่า “บก.และ ร้อย.บก. พัน.สห.” จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๖ (๖ ก.ค.๕๘ บก. และ ร้อย.บก.พัน.สห.ทภ. ๒.๓.๒ กองร้อยทหารสารวัตร จำนวน ๑ กองร้อย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.” โดย ร้อย.สหมทบ.๔๑ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๓๐๗ (๒๔ มิ.ย.๓๒) ร้อย.สห.มทบ./จทบ. เป็นจัดหน่วยตาม อจย. หมายเลข ๑๙-๔๐๗ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.พัน.สห.ทภ. ๒.๓.๓ กองร้อยทหารสารวัตรรักษาความปลอดภัย ใช้นามย่อว่า “ร้อย.สห.รปภ.” จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ - ๔๐๙ (๖ ก.ค.๕๙) ร้อย.สห.รปภ.พัน.สห.ทภ. ๒.๓.๔ กองร้อยทหารสารวัตรสนาม จำนวน ๒ กองร้อย ใข้นามย่อว่า “ร้อย.สห.สนาม” โดยแปร สภาพ ร้อย.สห.พล.ร.๕ และ ร้อย.สห.พล.ร.๑๕ จากเดิมจัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙ – ๒๗ (๑๔ ต.ค.๓๐) ร้อย.สห.พล. เป็น ร้อย.สห.สนาม ๑ และ ร้อย.สห.สนาม ๒ ตามลำดับ จัดหน่วยตาม อจย.หมายเลข ๑๙-๓๗ (๖ ก.ค. ๕๙) ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.ทภ. ๒.๓.๕ การบรรจุมอบ และการบังคับบัญชา : เป็นหน่วยของ ทบ. บรรจุมอบให้ทภ.๔ และฝากการ บังคับบัญชากับ มทบ.๔๑ ๒.๓.๖ เครื่องหมายสังกัด : “สห/๔๑” ๒.๓.๗ การบรรจุกำลังพล : บรรจุกำลังพลต่ามระดับความพร้อมรบในอัตราลดระดับ ๑ ๒.๓.๘ ที่ตั้งหน่วย : ค่ายวชิราวุธ จว.น.ศ. ๓. กรม ฝสธ., หน่วย/เหล่าสายวิทยาการ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้การสนับสนุนและอำนวยความ สะดวกในการดำเนินการตามคำสั่งนี้ ๔. คำสั่งใดที่มีผลบังคับใช้อยู่ก่อนหน้านี้และขัดกับคำสั่งนี้ให้ใช้คำสั่งนี้แทน ทั้งนี้ ตั้งแต่ ๑ ต.ค.๕๙ เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ( เฉลิมชัย สิทธิสาท ) ผบ.ทบ.


11 | หน้า เมื่อพิจารณาคำสั่งกองทัพบกฯดังกล่าวแล้วพบความเปลี่ยนแปลง (ในทางที่ดีขึ้น) อย่างมากคือ ๑. แปรสภาพและการจัดหน่วย พัน.สห.๑๒ (อจย.๑๙-๒๐๕) พัน.สห.มทบ.เป็น พัน.สห.ทภ. (อจย.๑๙- ๔๐๕) และองค์ประกอบภายในหน่วย ๒. จัดตั้งหน่วยกองพันทหารสารวัตรกองทัพภาคขึ้นใหม่ ๓ หน่วย ให้กับ ทภ.๒, ทภ.๓ และ ทภ.๔ คือ ๒.๑ กองพันทหารสารวัตรที่ ๒๑ (พัน.สห.๒๑) (อจย.๑๙-๔๐๕) ๒.๒ กองพันทหารสารวัตรที่ ๓๑ (พัน.สห.๓๑) (อจย.๑๙-๔๐๕) ๒.๓ กองพันทหารสารวัตรที่ ๔๑ (พัน.สห.๔๑) (อจย.๑๙-๔๐๕) ซึ่งคำสั่งกองทัพบกดังกล่าวมีผลในยุคสมัยของ พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสารท ผู้บัญชาการ ทหารบกท่านต่อมา เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ ๒ ปี หลังจากมีคำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ ๔๗/๕๙ เรื่องจัดตั้งหน่วย พัน.สห.ทภ. มีผลบังคับใช้ได้มี การปรับการบังคับบัญชา ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.ทภ. ตามคำสั่ง กองทัพบก (เฉพาะ) ที่ ๔๔/๖๑ เรื่องปรับการบังคับบัญชา ร้อย สห. สนาม พัน.สห.ทภ. ในยุคสมัยของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก คำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ ๔๔ / ๖๑ เรื่อง ปรับการบังคับบัญชา ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.ทภ. เพื่อให้การบังคับบัญชาหน่วย ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.ทภ. มีความเหมาะสม และสามารถ ปฏิบัติภารกิจตามบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ใน พื้นที่ จึงให้ปฏิบัติ ดังนี้ ๑. ปรับการบังคับบัญชา ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.๑๒ ดังนี้ ๑.๑ ร้อย.สห.สนาม ๑ พัน.สห.๑๒ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ร.๒ รอ. มีที่ตั้งปกติถาวร บริเวณค่ายพรหมโยธี จว.ป.จ. ๑.๒ ร้อย.สห.สนาม ๒ พัน.สห.๑๒ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ร.๙ มีที่ตั้งปกติถาวรบริเวณ ค่ายสุรสีห์ อ.เมือง จว.ก.จ. ๑.๓ ร้อย.สห.สนาม ๓ พัน.สห.๑๒ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.๑ รอ. มีที่ตั้งปกติถาวรบริเวณ ถ.ศรีอยุธยา เขตดุสิต ก.ท. ๑.๔ ร้อย.สห.สนาม ๔ พัน.สห.๑๒ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ม.๒ รอ. มีที่ตั้งปกติถาวร บริเวณ เขตพญาไท ก.ท.


12 | หน ้า ๒. ปรับการบังคับบัญชา ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.๒๑ ดังนี้ ๒.๑ ร้อย.สห.สนาม ๑ พัน.สห.๒๑ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ร.๓ มีที่ตั้งปกติถาวรบริเวณ ค่ายสุรนารี จว.น.ม. ๒.๒ ร้อย.สห.สนาม ๒ พัน.สห.๒๑ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ร.๖ มีที่ตั้งปกติถาวรบริเวณ ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จว.ร.อ. ๓. ปรับการบังคับบัญชา ร้อย.สห.สนาม พัน.สห.๓๑ ดังนี้ ๓.๑ ร้อย.สห.สนาม ๑ พัน.สห.๓๑ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ร.๔ มีที่ตั้งปกติถาวรบริเวณ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จว.พ.ล. ๓.๒ ร้อย.สห.สนาม ๒ พัน.สห.๓๑ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ม.2 มีที่ตั้งปกติถาวรบริเวณ ค่ายพ่อขุนผาเมือง จว.พ.ช. ๔. ปรับการบังคับบัญชา ร้อย.สห.สนาม พัน.สท.๔๑ ดังนี้ ๔.๑ ร้อย.สห.สนาม ๑ พัน.สห.๔๑ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ร.๕ มีที่ตั้งปกติถาวรบริเวณ ค่ายเทพสตรีศรีสุนทร จว.น.ศ. ๔.๒ ร้อย.สห.สนาม ๒ พันสห.๔๑ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับ พล.ร.๑๕ มีที่ตั้งปกติถาวรบริเวณ ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย จว.ป.ข. ๕. เครื่องหมายสังกัด และการบรรจุกำลังพลของหน่วยตามข้อ ๑ - ๔ : ไม่เปลี่ยนแปลง ๖. กรม ฝสธ. และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการดำเนินการตาม คำสั่ง ๗. คำสั่งใดที่มีผลบังคับใช้อยู่ก่อนหน้านี้และขัดกับคำสั่งนี้ให้ใช้คำสั่งนี้แทน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ( อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ) ผบ.ทบ.


13 | หน้า จากการที่กองทัพบกได้มีคำสั่งฯ ที่ ๔๔/๖๑ ให้มีการปรับการบังคับบัญชา ร้อย.สห.สนาม.พัน.สห.ทภ. นั้นสาเหตุหลักๆ เกิดจาก ๑. หน่วย พล.ร./ม. ยังมีความจำเป็นในการใช้หน่วยทหารสารวัตรทั้งในยามปกติและในยามสงคราม เมื่อมีการปรับโครงสร้างใหม่ให้ ร้อย.สห.สนาม (เดิมเป็นหน่วยในบังคับบัญชา) เป็นหน่วยของ ทภ.และฝากการบังคับ บัญชากับ มทบ. นั้นทำให้การปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารในพื้นที่รับผิดชอบของ พล.ร./ม. ขาดความคล่องตัว ในการสั่งใช้กำลังสารวัตรทหาร ๒. ที่ตั้งหน่วย ร้อย.สห.พล.ร./ม. ที่ปรับโอนเป็น นขต.พัน.สห.ทภ. นั้นส่วนใหญ่อยู่กันห่างไกล ทำให้ หน่วยประสบปัญหาในเรื่องการส่งกำลังบำรุง และการควบคุมวินัยกำลังพล แม้ว่าหน่วยจะมีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ พล.ร./ม. ที่เดิมก็ตามแต่ พล.ร./ม. ไม่สามารถกำกับดูแลกำลังพลและให้การสนับสนุนในด้านการส่งกำลังบำรุงแก่ หน่วย ร้อย.สห.สนาม ได้


14 | หน ้า ๓. ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเป็นที่มาในการปรับโอนหน่วย ร้อย.สห.สนาม (๑๐ แห่ง) ทั้ง ๔ กองทัพภาค ให้ ฝากการบังคับบัญชาไว้กับหน่วย พล.ร./ม. เดิม และให้กรมยุทธการทหารบกกับกรมการสารวัตรทหารบก พิจารณา ปรับปรุง อจย.พัน.สห.ทภ. ให้มีความทันสมัย และปรับโอน ร้อย.สห.สนาม. ไปเป็นหน่วยของ พล.ร./ม. เช่นเดิมต่อไป แต่เมื่อ ถึงยุคสมัยของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ได้ระงับคำสั่ง ฯ ที่ ๔๔/๖๑ เอาไว้ สำหรับการพัฒนาหลักนิยมและแปลตำราในเหล่าทหารสารวัตรนั้นได้มีการพัฒนามาโดยตลอดทุกห้วง เวลาหลังจากที่มีการจัดตั้งหน่วยทหารสารวัตร ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ หลักนิยมของเหล่าทหารสารวัตร ๑. หลักนิยมทหารสารวัตร รส. ๑๙ – ๑๐๐ ๒. การควบคุมฝูงชน รส. ๑๙ – ๑๕ ๓. การควบคุมจราจรของ ทหารสารวัตร รส. ๑๙ – ๒๕ ๔. การรักษาความปลอดภัยทางวัตถุ รส. ๑๙ – ๓๐ ๕. ทหารสารวัตรสนับสนุนกองพลและกรม รส. ๑๙ – ๑ ๖. การสนับสนุนทหารสารวัตรในเขตยุทธบริเวณ รส. ๑๙ – ๔ ๗. ทหารสารวัตร รส. ๑๙ – ๕ ๘. การธุรการและการปฏิบัติการของทหารสารวัตร รส. ๑๙ – ๑๐ ๙. การสืบสวนสอบสวนของทหารสารวัตร รส. ๑๙ – ๒๐ ๑๐. เชลยศึกและผู้ถูกกักกันพลเรือนฝ่ายข้าศึก รส. ๑๙ – ๔๐ ๑๑. นายทหารฝ่ายการสารวัตร รส. ๑๙ – ๙๐ ตำราที่แปลจากต่างประเทศ ๑. การรักษาความปลอดภัยทางวัตถุ FM ๓ – ๑๙.๓๐ ๒. การปฏิบัติการในการก่อความไม่สงบ FM ๓ – ๑๙.๑๕ ๓. คู่มือผู้นำหน่วยทหารสารวัตร FM ๓ – ๑๙.๔ ๔. การปฏิบัติการของทหารสารวัตร FM ๓ – ๑๙.๑ ๕. การสืบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย FM ๓ – ๑๙.๑๓ ๖. การปฏิบัติการกักกันและตั้งถิ่นฐานใหม่ FM ๓ – ๑๙.๔๐ ๗. การฝึกของทหารสารวัตรส่วนกำลังรบ FM ๓ – ๓๙ ๘. การปฏิบัติการของสารวัตรทหาร ATP ๓ – ๑๙.๑๐


15 | หน้า เกียรติภูมิของหน่วยและความภาคภูมิใจของเหล่าทหารสารวัตร ที่เป็นความทรงจำตั้งแต่อดีตเป็นต้น มานั้นพอที่จะนำมาสรุปได้ดังนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ เกิดเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายคบคิดกันเป็นกบฏขึ้น ในมณฑล มหาราษฎร (พระนคร) กรมยุทธนาธิการจึงมีคำสั่งให้ พ.ต. หลวงอรรคสรกิจ (อิ่ม ธรรมา นนท์) สารวัตรใหญ่ทหารบก (คนแรก) ซึ่งต่อมาภายหลังได้เลื่อนยศบรรดาศักดิ์เป็น พ.อ. พระ ยาวิเศษสัจธาดา คุมกำลังสารวัตรทหารบก จากพระนครไปปราบปรามผู้ก่อการร้าย (กบฏ) จนสงบราบคาบ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เกิดสงครามในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่ง เป็นการสู้รบระหว่างประเทศโลกเสรี(เกาหลีใต้) กับ ประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์ (เกาหลีเหนือ) โดยประเทศ ไทย (ประเทศฝ่ายโลกเสรี) ได้ส่งกำลังทหารเข้าร่วมรบ ในสมรภูมิครั้งนั้นด้วย ส่วนหนึ่งของกำลังทหารไทย ประกอบไปด้วยหนึ่งกองร้อยทหารสารวัตรที่เข้าร่วม ปฏิบัติหน้าที่ ในสงครามครั้งนั้นด้วย ซึ่งตรงกับสมัยของ พลตรี ประชุม สุวรรณ กร เป็นเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก ในขณะนั้น ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เกิดสงคราม เวียดนาม ซึ่งเป็นสงครามระหว่างค่ายโลกเสรี กับค่ายโลกคอมมิวนิสต์ จากการที่ประเทศ เวียดนามถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ประเทศ เวียดนามเหนือ กับประเทศเวียดนามใต้ เกิด การสู้รบกันเพื่อหวังชิง หรือรวบรวมดินแดน จากประเทศเวียดนามเหนือ ซึ่งเป็นโลกค่าย คอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งสนับสนุน ประเทศเวียดนามใต้(โลกเสรี) จึงได้เข้าร่วมช่วยเหลือประเทศเวียดนามใต้ ประเทศ ไทยเราซึ่งเป็นภาคีร่วมกับโลกประเทศเสรี จึงต้องเข้าร่วม สงครามในครั้งนี้ด้วย ในส่วนหนึ่งของกองทัพไทย ได้จัดให้มี สารวัตรทหารไทย เข้าร่วมในสมรภูมิครั้งนี้ด้วย การปฏิบัติใน ครั้งนั้น นำมาซึ่งเกียรติยศและชื่อเสียงอันชื่นชมที่มีต่อสารวัตร ทหารไทยเป็นอย่างมากจากชาติภาคี


16 | หน ้า สำหรับกำลังพลของเหล่าทหาร สารวัตรที่ได้ร่วมสร้างชื่อเสียงให้กับเหล่า สารวัตรในอดีตที่ผ่านมา เช่น พ.อ. อิทธิ สิมา รักษ์ (ยศในขณะนั้น) ตำแหน่ง ผบ.จทบ.ชร ได้ ร่วมอาสาเข้ามาอยู่ร่วมในกอง พตท. ๑๖๑๗ ในตำแหน่ง รอง ผอ. พตท. ๑๖๑๗ เป็นหน่วยที่ จัดตั้งขึ้นเพื่อทำการปราบปราม ผกค. ในบริเวณพื้นที่รอยต่อ ๓ จังหวัด (เพชรบูรณ์, เลย, พิษณุโลก) ใน ๑๗ เม.ย. ๒๕๒๐ ซึ่งขณะ ปฏิบัติหน้าที่ ท่านได้ปะทะกับ ผกค. ถูกกระสุนปืนยิงเสียชีวิตใน สถานที่เกิดเหตุการณ์ ต่อมาภายหลังได้เลื่อนยศเป็น พล.อ. อิทธิ สิ มารักษ์ และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์ รามาธิบดี ชั้น ๔ อัศวิน เมื่อ ๒๗ ธ.ค. ๒๕๒๐ และอีกหนึ่งท่านคือ จ.ส.อ. ยงยุทธ ทุ่งพรวน (ยศในขณะ นั้น) ตำแหน่ง หัวหน้าชุด ชป.พิเศษประจำ ขว.พตท. ๑๖๑๗ ได้เข้าปฏิบัติการแทรกซึมเข้าสู่บริเวณฐานที่มั่นของ ผกค. ใน เขต อ.นครไทย จว.พิษณุโลก ในระหว่างปี ๒๕๒๔ เป็น จำนวน ๗ ครั้ง ได้ทำการตรวจค้นคลังอาวุธ คลังเสบียงของ ผกค. หลายครั้ง ได้ปะทะกับกองกำลังของ ผกค. จนแตกพ่าย และยึดคลังอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก โดยที่กำลัง ของ ชป. พิเศษ ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ทำให้ ผู้บังคับบัญชา คือ พ.ท. สพรั่ง กัลยาณมิตร (ยศในขณะนั้น) ได้เสนอคว ามดีคว ามช อบให้ได้รับพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้น ๖ เหรียญรามาและเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้น ๒ ประเภท ๑ ประกอบกับขอพระราชทานยศเป็น ร.ต. เมื่อ ๖ พ.ค. ๒๕๒๕ นับเป็นเกียรติประวัติของเหล่าทหาร สารวัตร ที่ประกอบคุณงามความดีอีกท่านหนึ่ง


17 | หน้า การได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ กองพันสารวัตรที่ ๑ มณฑลทหารบกที่ ๑ ได้รับพระราชทาน ธงชัยเฉลิมพล ณ พระที่นั่งชุมสาย หน้าศาลาสหทัยสมาคม ใน พระบรมมหาราชวัง เมื่อ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๐ นับเป็นเกียรติ ประวัติอันสูงส่งแก่หน่วย และเหล่าทหารสารวัตร ผู้ซึ่งเข้ารับ พระราชทานธงชัยเฉลิมพลในครั้งนั้นคือ พ.อ. พละ จารุนัฏ ผู้ บังคับกองพันทหารสารวัตรที่ ๑ มณฑลทหารบกที่ ๑ และใน เวลาต่อมาเมื่อ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๙ กองพันสารวัตรที่ ๑๒ มณฑลทหารบกที่ ๑๒ ก็ได้รับพระราชทานธงชัยเฉลิมพลอีกหน่วยหนึ่งของเหล่าทหารสารวัตร การสนับสนุนกองกำลัง UNTAC ในประเทศกัมพูชา สารวัตรทหารได้รับมอบภารกิจดังกล่าวตามที่สหประชาชาติร้องขอ ต่อรัฐบาลไทย ตั้งแต่ วันที่ ๕ ส.ค. ๒๕๓๕ - ๒๙ มิ.ย.๒๕๓๖ ภารกิจ ที่สารวัตรทหารได้รับมอบคือ - การรักษาความสงบในกรุงพนมเปญ - การรักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าหน้าที่ UN ทั้งหมด - การตรวจรักษาการณ์ - ปฏิบัติการสายตรวจยานยนต์ รอบกรุงพนมเปญ - ปฏิบัติการสายตรวจเดินเท้า - การตรวจการณ์โดยใช้ยานพาหนะ - การตรวจจับผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ฯลฯ ในการเข้าร่วมปฏิบัติการสนับสนุน UNTAC ในครั้งนั้นได้มีกองกำลังต่างประเทศ ๑๓ ประเทศเข้าร่วม ปฏิบัติการคือ ฝรั่งเศส, ออสเตรีย, อุรุกวัย, โปร์แลนด์, กาน่า, ตูนีเซีย, อินโดนิเซีย, อินเดีย, บังคลาเทศ, ปากีสถาน, บังกาเรียและไทย ผลจากการปฏิบัติงานในครั้งนั้นได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานว่าปฏิบัติหน้าที่ ได้อย่างเข้มแข็ง กล้าหาญ มีความเสียสละ ให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาระเบียบวินัย ทั้งการแต่งกายและการแสดงความเคารพ อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน ที่เข้าไปทำการค้าและท่องเที่ยว ในกรุงพนมเปญ ชุดปฏิบัติการดังกล่าวได้รับคำชมเชยว่า สามารถ เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ ได้ก่อนผู้อื่นทุกครั้งและ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีเสียงสะท้อนมาจาก คณะฑูตไทยในกรุง พนมเปญ, สื่อมวลชนที่ทำข่าวในกรุงพนมเปญ พ.ท. ซายิด ซิกเตอร์ ผบ.พัน.สห. ร่วม UN ชาวบังคลาเทศ และ พ.ท. ซอฟ ฟองค์ รอง ผบ.พัน.สห. ร่วม UN ชาวฝรั่งเศส เป็นต้น


18 | หน ้า ภารกิจของทหารสารวัตรไทยในติมอร์ตะวันออก (กกล.ฉก. ร่วม ๙๗๒ ไทย/ติมอร์ตะวันออก) ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งกองทัพไทยได้จัด กำลังพลเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่รักษาสันติภาพในประเทศติมอร์ตะวันออก ร่วมกับกองกำลังนานาชาติ (International Force In East Timor Interfet) ๑๒ ประเทศ โดยการปฏิบัติการสันติภาพในครั้งนั้นกองกำลังกองทัพไทย ใน ชื่อนามว่า “กองกำลังเฉพาะกิจร่วม ๙๗๒ ไทย/ติมอร์ตะวันออก” (กกล.ฉก. ร่วม ๙๗๒ ไทย/ติมอร์ตะวันออก) ในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้มีกำลังพลสารวัตรทหารจำนวน ๓๒ นาย เป็นกำลังพล เหล่าทหารสารวัตรของกองทัพบก ๑๖ นาย และทหารสารวัตรของกองทัพอากาศกับกองทัพเรือที่เหลือ ๑๖ นาย การ ปฏิบัติภารกิจในครั้งนั้นประสบผลสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ในสงคราม มหาเอเชียบูรพา ที่กองทัพญี่ปุ่นได้เดินทัพผ่านประเทศ ไทย ในยุคสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็น นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยจำยอมต้องร่วมลงนามใน สนธิสัญญาพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น ด้วยความจำยอม เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของไทยเราเอาไว้ในขณะนั้น (ปี พ.ศ. ๒๔๘๕) จึง เกิดขบวนการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า “เสรีไทย” ขบวนการเสรีไทย นำโดย นายปรีดี พนมยงค์ เป็น หัวหน้าเสรีไทยในประเทศไทย หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช เป็นผู้นำเสรีไทยใน สหรัฐอเมริกา และหม่อม เจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ เป็นหัวหน้าเสรีไทย ในอังกฤษ ในช่วงเวลานั้นหลายฝ่ายมองว่าสงครามคงจะไม่ได้ยุติในเวลาอัน ใกล้ พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ สารวัตรใหญ่ทหารบก ในเวลานั้นได้ ร่วมมือกับนายปรีดี พนมยงค์ ในการที่จะจัดตั้งกองกำลังหน่วยลับ (ทหาร) ที่พร้อมรบแบบกองโจร โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายพันธมิตร (สหรัฐอเมริกา) เพื่อผลักดันฐานทัพญี่ปุ่นออกไปจากประเทศไทย ในการ ร่วมกันหารือในครั้งนั้น ก็ได้เห็นชอบที่จะให้นิสิตชายจากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยที่สมัครใจเขาร่วมในขบวนการนี้ (เสรีไทย) โดยต้องผ่านการฝึกวิชาทหารเสียก่อน ดังนั้นแล้วการฝึกวิชาทหารจึงเป็นหน้าที่ของ “โรงเรียนนายทหารสารวัตร” ซึ่งพลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ ดำรงตำแหน่ง สารวัตรใหญ่ทหารบก อยู่ในขณะนั้น โรงเรียนนายทหารสารวัตรได้ทำการเปิดเรียนเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘ หลักสูตร ๑ ปี มีผู้เข้ารับการอบรม ๒๙๘ นาย และในขณะเดียวกัน ยังได้จัดผู้ฝึกสอนจาก โรงเรียนนายทหารสารวัตร ไปฝึกสอนให้กับกลุ่มเสรีไทย กลุ่มอื่น ๆ ด้วย อาทิเช่น กลุ่มนายสิบ สห. ที่มาจากนักเรียน เตรียมอุดมศึกษา และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองด้วย (จำนวน ๓๙๗ นาย) ภายหลังทั้ง ๓ กลุ่มได้รวมตัวกันเป็น “สมาคมเตรียมธรรมศาสตร์ จุฬา อาสาศึก” การเปิดโรงเรียนนายทหารสารวัตรในครั้งนั้นใช่ว่า


19 | หน้า จะรอดพ้นสายตาของนายพล นากามูระ (พลโท นากามูระ อาเกโตะ) แม่ทัพญี่ปุ่นประจำ ประเทศไทย แต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบของฝ่ายเสรีไทย (พลเรือตรี สังวร สุวรรณชีพ) ที่อ้าง เหตุผลถึงความจำเป็นในการเปิดหลักสูตรของโรงเรียนทหารสารวัตร เพื่อสนับสนุนการ ปฏิบัติหน้าที่ของสารวัตรทหารในเวลานั้น ที่มีการจัดหน่วยสารวัตรทหารผสมไทย – ญี่ปุ่น อยู่หลาย ๆ ชุดเฉพาะกิจ ให้เพียงพอต่อภารกิจ และในยุคสมัยนั้นการใช้กิจการของสารวัตร ทหารในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมระเบียบวินัย แก้ปัญหาการทะเลาะวิวาท ระหว่างทหาร ไทยกับทหารต่างชาติ (ญี่ปุ่น) เกิดขึ้นบ่อยครั้งแทบทุกวัน ด้วยเหตุที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามาตั้ง ฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก สถานการณ์จึงผ่านไปได้ด้วยดี จวบจนกระ ทั้งสงครามยุติลงในกลางเดือน สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ญี่ปุ่นก็ได้ ประกาศยอมแพ้สงคราม แต่ภารกิจของนักเรียนนายทหารสารวัตรที่ เตรียมไว้รบกับญี่ปุ่น ยังคงมีภารกิจต่อไป เพราะภายหลังสงครามยุติ แต่ความวุ่นวายในประเทศไทยเรายังไม่มีทีท่าว่าจะสงบโดยเฉพาะ ทหารญี่ปุ่นบางหน่วยดื้อแพ่งไม่ยอมแพ้ตามพระราชโองการขององค์ พระจักรพรรดิ โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมทั่วประเทศ เกิดการจลาจลของชาว จีนส่วนหนึ่งในกรุงเทพฯ ก็ต้องอาศัยนักเรียนนายทหารสารวัตรที่ผ่าน การฝึกอบรมมาแล้วร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ใช้ชื่อว่า “สารวัตรทหารตำรวจผสม” (สห. – ตร. -ผสม) จนถึง เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ เหตุการณ์บ้านเมืองจึงสงบลง นักเรียนนายทหารสารวัตรกลุ่มนี้ทั้งหมดจึงกลับ เข้ากรมกองและได้รับพระราชทานยศ “ว่าที่ร้อยตรี” ทำพิธีประดับยศ ณ กรมสารวัตรทหาร เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๔๘๘ หลังจากนั้นนักเรียนสารวัตรทหารบางส่วนกลับเข้ารับ การศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บางส่วนสมัครเข้ารับ ราชการเป็นตำรวจ เข้ารับราชการกรมศุลกากร และบางคน กลับไปประกอบอาชีพส่วนตัว ภายหลังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุมัติให้จัดสร้างอนุสรณ์สถาน นร.สห. ๒๔๘๘ ภายใน มหาวิทยาลัย เหล่านี้คือ ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ทหาร สารวัตร เข้าไปมีส่วนร่วมสร้างประวัติศาสตร์ของชาติ ให้ดำรงคง อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ (เนื้อหาบทความส่วนหนึ่งเกี่ยวกับนักเรียนนายทหารสารวัตร ได้ คัดลอกมาจากบทความ “อนุสรณ์สถานกับความทรงจำ: นร.สห. ๒๔๘๘ เสรีไทยสายนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” โดย กำพล จำปาพันธ์)


20 | หน ้า เป็นข้าราชการหน่วยงานหนึ่งของส่วนราชการตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ( พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน.2534 :1-3 ) มีพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ( พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการ กระทรวงกลาโหม.2551: 1-2 ) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีอำนาจออก กฎกระทรวง ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ และคำสั่ง เพื่อ ปฏิบัติตาม โดยที่ข้าราชการทหารทุกนายจะต้องยึดถือปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 ( พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร.2476 : 4-5 ) และเมื่อข้าราชการทหารผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยถูกสั่งลงโทษหรือถูกสั่งให้ปลดออก จากราชการ ผู้นั้นไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาที่สั่งลงโทษ แต่โดยที่มิได้มีการบัญญัติขั้นตอนหรือวิธีการให้สิทธิแก่ ข้าราชการทหารที่ถูกสั่งลงโทษทางวินัยทหารในการอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้แต่อย่างใด มีเพียงแต่การกำหนดวิธีร้องทุกข์ไว้ เท่านั้นใน หมวด 4 วิธีร้องทุกข์ ตามมาตรา 21 และมาตรา 22 ได้บัญญัติไว้เพียงว่าการกระทำของผู้บังคับบัญชาที่ไม่ยุติธรรมผิดกฎหมาย และผิดแบบธรรมเนียมทหารนั้น ผู้ร้องทุกข์สามารถที่จะร้องทุกข์ได้โดยไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนถึงการกระทำในการใช้สิทธิร้อง ทุกข์ไว้ และความแตกต่างของการร้องทุกข์กับอุทธรณ์แท้จริงแล้วคือ การร้องทุกข์จะต้องเป็นการกระทำที่ทำให้ตนเดือดร้อน ไม่ใช่จากการ ถูกลงโทษทางวินัย หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการ หรือถอดจากยศทหาร ปัญหาผู้มีอำนาจพิจารณาร้องทุกข์ขาดความเป็นอิสระอันมีผลต่อ หลักประกันความเป็นธรรมของข้าราชการทหารกล่าวคือ มาตรา 26 ผู้มีอำนาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์คือ ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้ที่จะ กล่าวโทษ จะกระทำเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาก็ได้ ถ้าไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้ที่ทำให้ตนเดือนร้อนเป็นผู้ใดให้ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรง ของตน และให้ผู้บังคับบัญชาโดยตรงรายงานตามลำดับชั้นขึ้นไปจนถึงผู้ที่จะมีอำนาจแก้ไขความเดือนร้อนนั้น โดยจะต้องรีบไต่สวนและ จัดการแก้ไขความเดือดร้อนภายใน 15 วัน หากมีการเพิกเฉยผู้บังคับบัญชามีความผิดทางวินัย และเป็นการพิจารณาโดยคนเพียงคนเดียว แม้ในทางปฏิบัติการพิจารณาร้องทุกข์ผู้บังคับบัญชาจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา หากแต่ผลการพิจารณาของคณะกรรมการ อาจไม่ผูกพันดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะมีคำสั่งได้ แม้ไม่พอใจผลการพิจารณาสามารถร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปได้ก็ตาม แต่ก็คงเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาเป็นหลัก มิได้เกิดจากความเป็นอิสระในรูปแบบของคณะกรรมการอย่างแท้จริง รวมถึงผู้บังคับบัญชา ที่สูงขึ้นอาจปกป้องผู้บังคับบัญชาผู้ออกคำสั่งและรูปแบบการพิจารณานี้ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกกระทบสิทธิได้มีการโต้แย้งสิทธิอย่าง เพียงพอ และตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคสอง (1) ดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในอำนาจศาล ปกครอง (1) การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร ( พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง.2542: 4-5 ) ส่วนข้าราชการพลเรือน ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ( พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน.2551: 42-44 ) เมื่อข้าราชการพลเรือนผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยและถูกสั่งลงโทษตาม พ.ร.บ.นี้หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการ ก็มีสิทธิโต้แย้งในการอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม “ก.พ.ค.” หรือในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของ” ก.พ.ค.” ให้ฟ้องคดีต่อศาล ปกครองสูงสุดภายใน 90 วันนับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยของ “ก.พ.ค.” ( กฎ ก.พ.ค.ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณา วินิจฉัยอุทธรณ์.2551:6-8 ) และข้าราชการตำรวจตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติพ.ศ. 2547 ( พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ.2547: 34 ) เมื่อ ข้าราชการตำรวจผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยถูกสั่งลงโทษหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการตาม พ.ร.บ.นี้ ให้ผู้นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชา ของผู้บังคับบัญชาที่สั่งลงโทษ แต่ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้สั่งลงโทษ ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ” ปัญหาสิทธิความเสมอภาคในการดำเนินคดีปกครองของข้าราชการทหาร


21 | หน้า ก.ตร.”หรือกรณีถูกสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อ คณะกรรมการข้าราชการ ตำรวจ “ ก.ตร.”และในกรณีผู้อุทธรณ์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ก็มีสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้( กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการอุทธรณ์ และการพิจารณาอุทธรณ์.2547:22-32 ) การเปรียบเทียบระหว่างข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ในการลงโทษทางวินัยที่เป็นคดีพิพาทการ กระทำทางปกครองแล้วนั้น มีความแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันแก่ข้าราชการทหารที่ถูกสั่งลงโทษทางวินัยโดยไม่ชอบ ให้มีสิทธิโต้แย้งคำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัย โดยการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้เหมือนกับข้าราชการพลเรือน หรือ ตำรวจ แต่โดยที่มิได้ให้สิทธิแก่ข้าราชการทหารที่ถูกสั่งลงทัณฑ์ทางวินัยในการอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับ ความเสมอภาคทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย.2560: 8 ) มาตรา 27 วรรคแรก “ บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ”หรือเป็น หลักการว่าปัจเจกชนทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และทั้งหมดอยู่ในบังคับของกฎหมายยุติธรรมเดียวกัน ฉะนั้นกฎหมายต้องรับประกันว่าไม่มีปัจเจกหรือกลุ่มปัจเจกที่มีอภิสิทธิ์ หรือถูกเลือกปฏิบัติ ความเสมอภาคทางกฎหมายเป็นหลักการ พื้นฐานอย่างหนึ่งของเสรีนิยม 1. หลักนิติรัฐ หลักนิติรัฐประกอบไปด้วยหลักการย่อย ๆ หลายประการที่สำคัญได้แก่ หลักการแบ่งแยกอำนาจ หลักความชอบด้วยกฎหมาย ของการกระทำขององค์กรของรัฐ หลักการประกันสิทธิในกระบวนการ พิจารณาคดี ตลอดจนหลักการประกันสิทธิของปัจเจกบุคคลใน การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม หลักการแบ่งแยกอำนาจ เรียกร้องมิให้อำนาจของรัฐรวมศูนย์อยู่ที่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ให้มีการแบ่งแยกการใช้อำนาจหรือ กระจายการใช้อำนาจของรัฐให้องค์กรต่างองค์กรกันเป็นผู้ใช้ เพื่อให้เกิดการดุลและคานอำนาจกัน โดยทั่วไปรัฐธรรมนูญของนิติรัฐจะ แบ่งแยกองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐออกเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ องค์กรที่ใช้อำนาจบริหาร และองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ ส่วนหลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำขององค์กรของรัฐ เรียกร้องให้การกระทำขององค์กรนิติบัญญัติต้องผูกพันอยู่ กับรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับในรัฐนั้น องค์กรนิติบัญญัติจะตรากฎหมายล่วงกรอบที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ไม่ได้ หลักการดังกล่าวนี้ยังเรียกร้ององค์กรบริหาร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรฝ่ายปกครอง) และองค์กรตุลาการให้ต้องผูกพันต่อ กฎหมาย ซึงหมายถึงต้องผูกพันต่อรัฐธรรมนูญและบรรดากฎหมายต่าง ๆที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่ องค์กรนิติบัญญัติได้ตราขึ้น กล่าวเฉพาะฝ่ายปกครองหลักการดังกล่าวนี้เรียกร้องให้ฝ่ายปกครองต้องกระทำการโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และในกรณีที่การกระทำทางปกครองมีผลก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของราษฎร ย่อมจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจฝ่ายปกครองกระทำการ เช่นนั้นได้ หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจแล้ว การกระทำทางปกครองนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้หลักการประกันสิทธิในกระบวนการพิจารณาคดีในชั้นเจ้าหน้าที่และศาลเรียกร้องให้รัฐต้องเปิดโอกาสให้ราษฎรได้ ต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนในกระบวนการพิจารณาต่าง ๆ ของรัฐได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ระบบกฎหมายของรัฐจึงกำหนดให้องค์กรของ รัฐต้องรับฟังบุคคล เปิดโอกาสให้บุคคลนำพยานหลักฐานเข้าหักล้างข้อกล่าวหาต่าง ๆก่อนที่จะตัดสินใจกำหนดมาตรการทางกฎหมาย ที่เป็นผลร้ายแก่บุคคลนั้น ทั้งนี้กระบวนการพิจารณาที่ได้รับการออกแบบขึ้นจะต้องเป็นกระบวนพิจารณาที่เป็นธรรม (fair) ด้วย อนึ่ง ในกรณีที่ราษฎรได้ความเสียหายจากการใช้อำนาจมหาชนขององค์กรของรัฐ รัฐจะต้องเปิดโอกาสให้ราษฎรสามารถฟ้ององค์กรของรัฐ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนต่อศาลได้ ด้านหลักการประกันสิทธิของปัจเจกบุคคลในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เรียกร้องให้รัฐกำหนดกระบวนการวินิจฉัยชี้ขาด ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ เอกชนที่พิพาทกันเองต้องมีหนทางในการนำข้อพิพาทนั้นไปสู่ ศาล และกฎหมายวิธีพิจารณาคดีในชั้นศาลจะต้องได้รับการออกแบบให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรอบด้านตลอดจนกำหนดผล ผูกพันเด็ดขาดของคำพิพากษาไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงแน่นอนในระบบกฎหมาย (วรเจตน์ ภาคีรัตน์.2553:2-7)


22 | หน ้า รากฐานแนวความคิดเรื่องหลักความเสมอภาคนั้นปรากฏตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน ซึ่งในยุคนั้นยังมิได้มีการยอมรับหลักเรื่อง ความเสมอภาคมากนัก เพราะสังคม วัฒนธรรม และกฎหมายยุคนั้นเป็นระบบศักดินา ชนชั้น และทาส อย่างไรก็ดีได้มีนักคิดในยุคนั้น เรียกร้องให้มีการปฏิบัติต่อบุคคลอย่างเท่าเทียม อาทิ อริสโตเติ้ล ได้กล่าวถึงความยุติธรรมไว้ว่าการให้สิ่งที่เท่ากันแก่ผู้ที่มีความสามารถ หรือคุณธรรมต่างกันและการให้สิ่งที่ไม่เท่ากันแก่ผู้มีความสามารถหรือคุณสมบัติเท่ากันย่อมไม่เป็นธรรมต่อมาในศตวรรษที่ 18 ซึ่งเป็น ยุคแห่งการอาศัยหลักเหตุผลตามธรรมชาติวิพากษ์ วิจารณ์การกระทำที่ไม่ชอบของผู้ปกครองรัฐมิให้อำนาจตามอำเภอใจ หลักกฎหมาย ธรรมชาติจึงได้กลายมาเป็นหลักการที่นักกฎหมายยกขึ้นปกป้องสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ และความรับรู้ในเรื่องความเสมอภาคนั้นก็แสดง ให้เห็นว่าการให้หรือ รับรองสิทธิพิเศษแก่บุคคลในกรณีใด ๆ ในระบบกฎหมายนั้นจะทำได้ต่อเมื่อมีเหตุผลอันสมควรเพื่อประโยชน์ ส่วนรวมเท่านั้น (ภาคภูมิ โกทะอินทร์.2549:6-8) แนวความคิดเรื่องความเสมอภาคในสมัยดั้งเดิมนั้น เกิดจากคำสอนของศาสนาคริสต์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบโครงสร้างทาง เศรษฐกิจและระบบทาสที่มีอยู่ในยุคโรมัน และต่อมาในสมัยกลางระบบศักดินาได้ยกเลิกแนวคิดเรื่องความเสมอภาค โดยสร้างลำดับชั้น ของสังคมขึ้น ซึ่งแปรผันตามที่ดินและเจ้าของที่ดินเจ้าศักดินา แต่อย่างไรก็ตาม ความไม่เสมอภาคกันในสมัยกลางค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ไป เมื่อเกิดชนชั้นกลางที่เข้มแข็งขึ้น จนนำไปสู่การเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงความไม่เสมอภาค ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่ง ต่อมาได้มีเอกสารที่แสดงออกถึงหลักความเสมอภาคที่ดีที่สุด เช่น ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมืองฝรั่งเศส ลงวันที่ 26 สิงหาคม ปีคริสต์ศักราช 1789 โดยบัญญัติรับรองไว้ถึง 3 มาตรา ได้แก่ มาตรา 116 มาตรา 617 ,มาตรา 1318 มีสาระสำคัญ คือ มนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองหรือลงโทษ และการจำกัดสิทธิจะกระทำได้เพียงเพื่อส่วนรวมเท่านั้น (สมคิด เลิศ ไพฑูรย์.2543:161–163) หลักความเสมอภาคเป็นหลักการพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งได้รับรองและ คุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ในฐานะที่เป็นมนุษย์ โดยมิต้องคำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และถิ่นกำเนิด เป็นต้น และขณะเดียวกันก็ควบคุมการใช้อำนาจของรัฐ ตามอำเภอใจ โดยการใช้อำนาจรัฐที่ให้อำนาจแก่บุคคลใดต้องอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดจึงให้อำนาจแก่บุคคลนั้น โดยเฉพาะ หลักความ เสมอภาคนี้ก็ได้มีการนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหลายๆ ประเทศด้วย อาทิเช่น ได้บัญญัติไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ พลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 26 รวมถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นต้น ดังนั้นจึงได้นำบทบัญญัติตามกฎหมายที่ได้บัญญัติเรื่องความเสมอภาคประกอบกับ ความเห็นของนักวิชาการต่าง ๆ มาอธิบาย ความหมายของหลักความเสมอภาคเพื่อให้เข้าใจ หลักเกณฑ์พื้นฐานมากยิ่งขึ้น เช่น บทบัญญัติในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 26 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 27 ซึ่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักความเสมอภาคตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 27 ไว้ว่า องค์กรต่าง ๆ ของรัฐ ซึ่งรวมถึงฝ่ายปกครองต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่เหมือนกันในสาระสำคัญอย่างเดียวกันและปฏิบัติต่อบุคคลที่แตกต่าง กันใน สาระสำคัญที่แตกต่างกัน การปฏิบัติต่อบุคคลที่แตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างเดียวกันก็ดี ย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาคคำ พิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่เป็นบรรทัดฐานเรื่องการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลระบุไว้ว่า การตัดสิทธิผู้เข้าสอบตำแหน่งอัยการผู้ช่วย เพราะเหตุที่ร่างกายพิการการตัดสิทธิ ดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติ กรณีที่ยกตัวอย่างคำพิพากษาของศาลปกครองมานี้ก็เพื่ออธิบายถึง ความหมายและลักษณะของหลักความเสมอภาคโดยทั่วไป (ภาคภูมิ โกทะอินทร์.2549:6-8) ทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะความเที่ยงธรรม (Justice as a Fairness) Rawls ได้สร้างทฤษฎีความยุติธรรมที่เรียกว่าความ ยุติธรรมในฐานะความเที่ยงธรรม (Justice as Fairness ) เป็นการผสมผสานเรื่องคุณค่าเสรีภาพและความเสมอภาคเข้าด้วยกันเป็น แนวคิดที่มีการผสมผสานแนวคิดพื้นฐานของวัฒนธรรมสาธารณะ (Public Culture) ของสังคมประชาธิปไตย (A Democratic Societies)โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างทฤษฎีความยุติธรรมขึ้นมาคือเพื่ออธิบายการจัดการที่ยุติธรรมของระบบการเมือง และสถาบัน ทางสังคมของสังคม โดยทั้งสองระบบมีลักษณะเป็นสังคมเสรีนิยม (Liberal) ที่มีรัฐธรรมนูญ (The Political Constitution) ระบบ กฎหมาย (The Legal System) ระบบเศรษฐกิจ (The Economy) เป็นต้น (Stanford Encyclopedia of Philosophy) เป็นการ


23 | หน้า สร้างแนวคิดที่มีจุดประสงค์ในการจัดหาปรัชญาและศีลธรรมพื้นฐานของสถาบันทางประชาธิปไตยที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปให้ ความสำคัญว่าจะทำให้ข้ออ้างเกี่ยวกับเสรีภาพและความเสมอภาคเข้าใจได้อย่างไร หลักการความยุติธรรม (The Principle of Justice) ได้วางหลักการเพื่อความยุติธรรมไว้ว่า ทุกคนต้องมีสิทธิที่จะมีสิทธิเท่า เทียมกันตามระบบของเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เท่าเทียมกันที่กว้างขวางมากที่สุดซึ่งสอดคล้องกับระบบของเสรีภาพที่คล้ายคลึงกัน สำหรับ ทุกคน (Each Person is to Have an Equal Right to the Most Extensive Basic Liberty Compatible with a Similar Liberty for Others) หรือหลักการเสรีภาพที่เท่าเทียมกันมากที่สุด (The Principle of Greatest Equal Liberty) คือ บุคคลแต่ละ บุคคลมีสิทธิที่เสมอภาคกันตามเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เท่าเทียมและสามารถเข้ากับระบบเสรีภาพขั้นพื้นฐานอื่น ๆ ได้โดยที่ระบบเสรีภาพ ขั้นพื้นฐานนั้น ๆ จะต้องขยายให้กว้างขวางมากที่สุด เพราะการที่บุคคลมีเสรีภาพขั้นพื้นฐานมากเท่าไร ยิ่งทำให้บุคคลมีสิทธิขั้นพื้นฐาน มากขึ้นเช่นกัน เป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลสามารถดำเนินชีวิตตามความต้องการได้หลากหลาย ในหลักการนี้ใช้ในการออกแบบ รัฐธรรมนูญ และเป็นข้อแรกที่ Rawls บอกว่า ตองทำให้สำเร็จก่อน ซึ่งเป็นไปตามกฎลำดับก่อนหลัง (The Priority Rule) ของ Rawls นั่นเอง (สุจินตนา ภาวสิทธิ์.2555: 110 – 113) 4. วินัยของข้าราชการ 4.1 วินัยข้าราชการทหาร พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 มาตรา 4 ได้ให้คำจำกัดความหมายของวินัยทหารว่า คือ “การ ที่ทหารต้องประพฤติตามแบบธรรมเนียมของทหาร” ซึ่งมิได้มีคำอธิบายให้ชัดเจนว่าแบบธรรมเนียมของทหารได้แก่อะไรบ้าง แต่ อย่างไรก็ตามอาจจะอนุมานว่าหมายถึงบรรดา กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง คำแนะนำ คำชี้แจง ประกาศและสรรพ หนังสือต่าง ๆ ที่ผู้บังคับบัญชาได้ออก หรือได้วางไว้เป็นหลักฐานให้ทหารถือปฏิบัติ ซึ่งต้องรวมทั้งขนมธรรมเนียมและประเพณีอันดีของทหารทั้งที่เป็น และไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ส่วนใหญ่แล้วแบบธรรมเนียมของทหารจะออกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นเครื่องเตือนตาเตือนใจ ทั้ง อ้างอิง นำสืบการฝ่าฝืนได้ง่าย อันมีอยู่มากหมาย ตัวอย่าง เช่น 1. พ.ร.บ.เครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2521 2. ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการสั่งการและประชาสัมพันธ์ พ.ศ. 2527 ซึ่งแนวความคิดทางทหาร (Military Concept) แบบธรรมเนียม หมายถึง กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง คำแนะนำ คำชี้แจง ประกาศ ตลอดจนบันทึกสั่งการต่าง ๆ ของผู้บังคับบัญชา ดังนั้น หากทหารผู้ใดฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมของทหารไม่ว่า จะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม ย่อมถือว่าทหารผู้นั้นกระทำผิดวินัยทหาร ทั้งนี้ตาม มาตรา 5 “วินัยเป็นหลักสำคัญที่สุดสำหรับ ทหาร เพราะฉะนั้นทหารทุกคนจักต้องรักษาโดยเคร่งครัดอยู่เสมอ ผู้ใดฝ่าฝืนท่านให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิด” แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัย ทหาร พ.ศ. 2476 (นิติน ออรุ่งโรจน์.2540:10-12) 4.2 วินัยข้าราชการตำรวจ คือการที่ตำรวจต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีมรรยาทอันดีงามตามแบบอย่างธรรมเนียมของตำรวจ และการกระทำผิดวินัยตำรวจนั้น ท่านให้หมายความรวมถึง การกระทำดังจะกล่าวต่อไปนี้ ดื้อ ขัดขืน หลีกเลี่ยง หรือละเลยไม่ ปฏิบัติการตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหนือตนที่ชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 :ซึ่งวินัยและการรักษาวินัย คือ การกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ได้แก่ การไม่รักษาวินัยตามที่บัญญัติเป็นข้อปฏิบัติและข้อห้ามในเรื่องดังต่อไปนี้ 1. ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และเที่ยงธรรม เป็นไปตาม กฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติ คณะรัฐมนตรี จรรยาบรรณของตำรวจ และนโยบายของ รัฐบาลโดยไม่ให้เสียหายแก่ราชการ 2. ต้องรักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ ผู้น้อย (พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ.2547:มาตรา 77 - 78) 4.3 วินัยข้าราชการพลเรือน คือระเบียบแบบแผนความประพฤติที่บัญญัติไว้ให้ ข้าราชการปฏิบัติและห้ามมิให้ข้าราชการ ปฏิบัติ เพื่อข้าราชการใช้ควบคุมตนเอง ผู้บังคับบัญชาใช้ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ข้าราชการมีความประพฤติดี ละเว้นความ ประพฤติมิชอบ และผู้บังคับบัญชาจะต้องส่งเสริมและดูแลระมัดระวัง ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามวินัย และดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ ที่กระทำ ผิดวินัยด้วยตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ตามระเบียบสำนักคณะรัฐมนตรีว่าด้วยมารยาททางการเมือง ของข้าราชการพลเรือนลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2499 ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องกระทำการอันเป็นข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม


24 | หน ้า 2. ต้องอุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ จะละทิ้งหรือ ทอดทิ้งหน้าที่ราชการมิได้ (พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน.2551: มาตรา 80 – 82) การวิจัยครั้งนี้ศึกษาแนวคิดเรื่อง หลักนิติรัฐ หลักความเสมอภาค และทฤษฎีความยุติธรรม เป็นห ลักการว่า ปัจเจกชนทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และทั้งหมดอยู่ในบังคับของกฎหมายยุติธรรมเดียวกัน ฉะนั้น กฎหมายต้องรับประกันว่าไม่มีปัจเจกหรือกลุ่มปัจเจกที่มีอภิสิทธิ์ หรือถูกเลือกปฏิบัติ ความเสมอภาคทางกฎหมายเป็นหลักการพื้นฐาน อย่างหนึ่งของเสรีนิยม จะเห็นได้ว่าเมื่อมีการเปรียบเทียบระหว่างข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ในการ ลงโทษทางวินัยที่เป็นคดีพิพาทการกระทำทางปกครองแล้วนั้น มีความแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันแก่ข้าราชการ ทหารที่ถูกสั่งลงโทษทางวินัยโดยไม่ชอบให้มีสิทธิโต้แย้งคำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัย โดยการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีต่อศาล ปกครองได้เหมือนกับข้าราชการตำรวจ หรือข้าราชการพลเรือน แต่โดยที่พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 มิได้ให้สิทธิแก่ข้าราชการ ทหารที่ถูกสั่งลงทัณฑ์ในการอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ดังนี้จึงเห็นควรแก้ไข พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดี ปกครอง พ.ศ. 2542 โดยตัดมาตรา 9 วรรคสอง (1) ที่บัญญัติว่า เรื่องดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง“การดำเนินการเกี่ยวกับ วินัยทหาร” ออกทั้งหมด เพื่อให้ข้าราชการทหารมีสิทธิโต้แย้งในการอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสารในแง่การวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมาย โดยวิจัยจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คำสั่ง คำ พิพากษาศาลปกครองสูงสุด วิทยานิพนธ์ สื่อข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการทหารที่มีคดีพิพาทการกระทำทางปกครอง ไม่มีสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งและฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ส่วนข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือน ที่มีคดีพิพาทการกระทำทาง ปกครองมีสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งและฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ และผู้วิจัยจึงได้ดำเนินวิธีการวิจัยที่สำคัญดังนี้1) รูปแบบการวิจัย 2) กลุ่มเป้าหมาย 3) การวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) รูปแบบการวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร ในแง่การวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมาย โดยวิจัยจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คำสั่ง คำ พิพากษาศาลปกครองสูงสุด วิทยานิพนธ์ สื่อข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการทหารที่มีคดีพิพาท การ กระทำทางปกครอง ไม่มีสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งและฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ส่วนข้าราชการพลเรือนและข้าราชการตำรวจที่มีคดี พิพาทการกระทำทางปกครองมีสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งและฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ 2) กลุ่มเป้าหมาย กล่มเอกสารเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 กฎ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2547 กฎ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ. 2551 พ.ร.บ.จัดตั้งศาล ปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 688/2547 ลง 3 พ.ย.47 8) คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ 304/2545 ลง 8 ส.ค.45 9) และคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 235/2547 ลง 29 มี.ค.47 3) การวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาค้นคว้าอิสระเล่มนี้ ใช้วิธีวิจัยเชิงเอกสารจากแหล่งข้อมูล 9 แห่งตามที่กล่าวข้างต้น และทำการ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) (ข้อกฎหมายและแนวคำพิพากษา คำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ที่วินิจฉัยลักษณะ คำสั่งลงโทษของข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ที่มีความแตกต่างกัน โดยใช้หลักการลักษณะของคำสั่ง ทางปกครอง เปรียบเทียบกันกล่าวคือ คำสั่งลงโทษทางวินัยของข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน มีลักษณะ เป็นคำสั่งทางปกครอง คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 688/2547,คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 304/2545 และคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่


25 | หน้า 235/2547) ทำให้ในระหว่างการดำเนินการทางวินัยหรือขั้นตอนก่อนออกคำสั่งทางปกครองของข้าราชการทหารที่มีคดีพิพาทการ กระทำทางปกครอง ไม่มีสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งและฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ส่วนข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือน ที่มีคดี พิพาทการกระทำทางปกครองมีสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งและฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ควรเปิดโอกาสให้ข้าราชการทหารได้ชี้แจงเหตุ ผลได้อย่างเต็มที่ หากผู้ถูกดำเนินการทางวินัยไม่พอใจคำสั่งจะนำคดีไปสู่ศาล เพื่อเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง ก็ต้องดำเนินการตาม ขั้นตอนก่อนฟ้องคดี คือการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองก่อนดำเนินการฟ้องคดี โดยข้อมูลที่ได้จะนำมาวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และการวิเคราะห์จัดระบบหมวดหมู่ข้อมูล (Typology and Taxonomy) เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับ วินัย สิทธิและการ อุทธรณ์ของข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือน รวมทั้งสามารถนำเสนอแนวในการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง ของข้าราชการทหาร เพื่อแก้ไขปัญหาให้ข้าราชการทหารได้มีสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งและฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ 1. สภาพการณ์เกี่ยวกับวินัยและสิทธิของข้าราชการทหารในการอุทธรณ์และการฟ้องต่อศาลปกครอง พบว่า การลงทัณฑ์ทาง วินัยต่อข้าราชการทหารที่ได้กระทำการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามแบบธรรมเนียมทหารซึ่งถือว่ากระทำผิดวินัยทหาร ข้าราชการทหารผู้ นั้นจะต้องได้รับทัณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในหมวด 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 มาตรา 8 ที่กำหนดไว้ 5 สถาน คือ 1. ภาคทัณฑ์ 2.ทัณฑกรรม 3.กัก 4.ขัง และ 5.จำขัง และอาจต้องถูกปลดประจำการ หรือถูกถอดจากยศทหาร เมื่อข้าราชการทหารผู้ใดได้ถูกลงทัณฑ์ทางวินัยตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 แล้วไม่มีสิทธิในการอุทธรณ์ในการ ลงทัณฑ์ทางวินัยแต่อย่างใดได้แต่เพียงมีสิทธิให้ร้องทุกข์คัดค้านในการถูกลงทัณฑ์วินัยเท่านั้น ซึ่งการร้องทุกข์มีขั้นตอนดังนี้ 1) ข้าราชการทหารที่เห็นว่าตนมิได้รับความเป็นธรรม หรือผิดกฎมาย หรือแบบธรรมเนียมทหารว่า ตนมิได้รับผลประโยชน์ หรือสิทธิตามที่ควรจะได้รับในราชการ 2) ข้าราชการทหารจะร้องทุกข์ได้แต่สำหรับตนเองเท่านั้น ห้ามมิให้ร้องทุกข์แทนผู้อื่นเป็นอันขาด 3) ข้าราชการทหารจะร้องทุกข์ ก่อนเวลาล่วงไปแล้ว 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่ที่มีเหตุจะต้องร้องทุกข์เกิดขึ้นไม่ได้ 4) ข้าราชการทหารเมื่อได้ยื่นคำร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบที่ว่ามานี้แล้วและเวลาล่วงพ้นไป 15 วัน ยังไม่ได้รับ ความชี้แจงประการใด ทั้งความเดือดร้อนก็ยังไม่ปลดเปลื้องไป 5) ข้าราชการทหารจะยื่นคำร้องทุกข์ใหม่ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นที่สูงถัดขึ้นไปเป็นลำดับอีกและในการร้องทุกข์ครั้งนี้ให้ชี้แจงด้วย ว่าได้ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นใดมาแล้วแต่เมื่อใด 6) ผู้บังคับบัญชาเมื่อได้รับการร้องทุกข์จากข้าราชการทหารผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว จะต้องรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน มิฉะนั้นผู้บังคับบัญชาผู้นั้นจะมีความผิดทางวินัยทหารได้ 7) เมื่อผู้บังคับบัญชาที่ได้รับเรื่องร้องทุกข์ได้ชี้แจงให้ข้าราชการทหารผู้ร้องทุกข์ทราบแล้ว แต่ยังไม่หมดความสงสัย ก็ให้ร้อง ทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปได้ และต้องชี้แจงด้วยว่าได้ร้องทุกข์นี้ต่อผู้ใด และได้รับคำชี้แจงอย่างไรแล้วด้วย 2 ลักษณะในการร้องทุกข์ของข้าราชการทหารมีดังนี้ 1) จะร้องทุกข์ด้วยวาจา คือ ถ้าผู้ร้องทุกข์มาร้องทุกข์ด้วยวาจา ให้ผู้รับการร้องทุกข์จดข้อความสำคัญของเรื่องที่ร้องทุกข์นั้น ให้ผู้ร้องทุกข์ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วย 2) จะเขียนเป็นหนังสือ คือ ถ้าเขียนความร้องทุกข์เป็นจดหมายแล้ว จดหมายนั้นต้องลงลายมือชื่อของผู้ร้องทุกข์ ใบร้องทุกข์ ฉบับใดไม่มีลายมือชื่อ ผู้บังคับบัญชาไม่มีหน้าที่จะต้องพิจารณา ข้าราชการทหารผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการทหารที่กำหนด จะต้องถูกลงทัณฑ์ทาง วินัยทหาร ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 แต่ปรากฏว่าข้าราชการทหารไม่มีสิทธิในการอุทธรณ์ในการลงทัณฑ์ทางวินัยแต่อย่างใด ได้แต่เพียง มีสิทธิให้ร้องทุกข์คัดค้านในการถูกลงทัณฑ์วินัยเท่านั้น และไม่มีสิทธิในการฟ้องต่อศาลปกครองได้แต่อย่างใด 2. การเปรียบเทียบสิทธิในการอุทธรณ์และฟ้องต่อศาลปกครองของข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน พบว่าในการลงโทษ ทางวินัยที่เป็นคดีพิพาทการกระทำทางปกครองแล้วนั้น มีความแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันแก่ข้าราชการทหารที่


26 | หน ้า ถูกสั่งลงโทษทางวินัยโดยไม่ชอบ ให้มีสิทธิโต้แย้งคำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัย โดยการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ เหมือนกับข้าราชการตำรวจ หรือข้าราชการพลเรือน จำแนกเป็น 2.1 ข้าราชการทหารตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 ไม่มีสิทธิในการอุทธรณ์ในการลงทัณฑ์ทางวินัยแต่ อย่างใด ได้แต่เพียงมีสิทธิให้ร้องทุกข์คัดค้านในการถูกลงทัณฑ์วินัยเท่านั้น และไม่มีสิทธิในการฟ้องต่อศาลปกครองได้ การอุทธรณ์คำสั่งทางวินัยของข้าราชการทหารมีข้อดีคือ ข้าราชการทหารผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยและถูกสั่งลง ทัณฑ์ทางวินัยทหารตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 นี้มิได้มีการบัญญัติขั้นตอนหรือวิธีการในการอุทธรณ์ไว้ ได้บัญญัติไว้ตาม หมวด 4 วิธีร้องทุกข์ มาตรา 21 - 31 กำหนดว่าการกระทำของผู้บังคับบัญชาที่ไม่ยุติธรรมผิดกฎหมาย และผิดแบบธรรมเนียมทหาร นั้น ผู้นั้นสามารถที่จะร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาได้เท่านั้น ส่วนข้อเสียนั้นพบว่า ข้าราชการทหารไม่มีสิทธิการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง และพ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 นี้มิได้มีการบัญญัติขั้นตอนหรือวิธีการให้สิทธิแก่ข้าราชการทหารที่ถูกสั่งลงทัณฑ์ทางวินัย ทหารในการฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ รวมทั้งไม่เหมือนกับข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ที่กำหนดให้มีสิทธิอุทธรณ์และ ฟ้องต่อศาลปกครองได้ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 2.2 ข้าราชการตำรวจตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยถูกสั่งลงโทษ หรือถูกสั่งให้ ออกจากราชการ ได้กำหนดให้มีสิทธิอุทธรณ์และฟ้องต่อศาลปกครองได้การอุทธรณ์คำสั่งทางวินัยของข้าราชการตำรวจมีข้อดีคือ ข้าราชการตำรวจผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยถูกสั่งลงโทษ หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 นี้ ให้ผู้ นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาที่สั่งลงโทษ แต่ในกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้สั่งลงโทษ ให้อุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือกรณีถูกสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ และ ในกรณีผู้อุทธรณ์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ก็มีสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ รวมทั้ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 หมวด 9 การร้องทุกข์ มาตรา 106 และ กฎ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ว่าด้วยการร้องทุกข์ พ.ศ. 2551 กำหนดให้ข้าราชการตำรวจผู้ใดเห็นว่าผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่ปฏิบัติต่อตนโดยไม่ถูกต้อง หรือไม่ปฏิบัติต่อตนให้ ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรือเกิดจากการปฏิบัติโดยมิชอบของผู้บังคับบัญชาต่อตน ผู้นั้นอาจร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาหรือ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ แล้วแต่กรณี เพื่อขอให้แก้ไขได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่มีสิทธิอุทธรณ์ตามหมวด 8 ให้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามที่ กำหนดไว้ในหมวดนั้น หลักเกณฑ์และวิธีการร้องทุกข์ เหตุแห่งการร้องทุกข์ และการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ให้เป็นไปตามที่กำหนดใน กฎ ก.ตร.และในกรณีผู้ร้องทุกข์ไม่พอใจคำวินิจฉัยร้องทุกข์ก็มีสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ อย่างไรก็ตามมีประเด็นที่ควร พิจารณาคือ ข้าราชการตำรวจที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ก็มีสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลปกครองชั้นต้น ไม่เหมือนกับข้าราชการพล เรือนที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ก็มีสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุด 2.3 ข้าราชการพลเรือนตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยและถูกสั่ง ลงโทษ หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการ ได้กำหนดให้มีสิทธิอุทธรณ์และฟ้องต่อศาลปกครองได้ โดยการอุทธรณ์คำสั่งทางวินัยของ ข้าราชการพลเรือนมีข้อดีคือข้าราชการพลเรือนผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยและถูกสั่งลงโทษตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 นี้หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการ ก็มีสิทธิโต้แย้งในการอุทธรณ์ต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม อีกทั้งในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ให้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 90 วันนับแต่วันที่ ทราบหรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยของ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 หมวด 10 การร้องทุกข์ มาตรา 122 – 123 และ กฎคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัย เรื่องร้องทุกข์ พ.ศ. 2551 กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนผู้ใดมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติต่อตนของ ผู้บังคับบัญชา และเป็นกรณีที่ไม่อาจอุทธรณ์ตามหมวด 9 การอุทธรณ์ แห่งพระราชบัญญัตินี้ได้ ผู้นั้นมีสิทธิร้องทุกข์ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดใน กฎ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม นี้ และในกรณีที่ผู้ร้องทุกข์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยนั้นมีสิทธิฟ้องคดี ต่อศาลปกครองชั้นต้นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองต่อไปได้แต่มีข้อควรพิจารณาคือ ข้าราชการพลเรือนผู้ใดได้กระทำผิดทางวินัยและถูกสั่งลงโทษตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 นี้หรือถูกสั่งให้ออก จากราชการ ผู้นั้นไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาที่สั่งลงโทษหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการ เหมือนกับช้าราชการ


27 | หน้า ตำรวจ รวมทั้งคำสั่งลงโทษข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือนในหน่วยงานของรัฐที่มีลักษณะเป็นคำสั่งทาง ปกครอง ส่งผลกระทบต่อข้าราชการในหน่วยงานของรัฐเหมือนกัน ไม่สอดคล้องกับแนวคิด หลักการความเสมอภาคและความยุติธรรม 3. แนวทางการดำเนินการอุทธรณ์คำสั่งทางวินัยของข้าราชการทหาร สามารถสรุปได้ดังนี้ 3.1 ในการออกคำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัยต่อข้าราชการทหาร ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 ไม่ได้บัญญัติให้มีสิทธิใน การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองได้ จึงเห็นควรให้แก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 โดยเพิ่มเติมขึ้นใหม่ว่า 3.1.1 หมวดที่ 5 การอุทธรณ์คำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัยทหาร โดยบัญญัติให้มีองค์กรพิจารณาอุทธรณ์ ในรูป คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้มีอำนาจพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัยของผู้บังคับบัญชาโดยตรง ว่า เหมาะสมหรือถูกต้องหรือไม่ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจในการพิจารณาเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิก หรือเพิ่มเติม คำสั่งลง ทัณฑ์ทางวินัยของผู้บังคับบัญชาโดยตรงได้ 3.1.2 ผู้มีสิทธิอุทธรณ์ บัญญัติให้ผู้มีสิทธิอุทธรณ์เป็นข้าราชการทหารผู้ถูกคำสั่งลงทัณฑ์ทางวินัยทหาร 3.1.3 วิธีและระยะเวลายื่นอุทธรณ์ บัญญัติให้การอุทธรณ์ต้อง 1) การยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาที่มีตำแหน่งเหนือผู้บังคับบัญชาที่สั่งลงทัณฑ์ทางวินัยทหาร 2) การยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อองค์กรพิจารณาอุทธรณ์ 3) ให้อุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบคำสั่งที่เป็นเหตุแห่งการอุทธรณ์ 3.1.4 ระยะเวลาในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ บัญญัติให้ 1) ให้พิจารณาให้แล้วเสร็จและแจ้งผู้อุทธรณ์ทราบภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ 2) เว้นแต่มีเหตุจำเป็นที่ทำให้การพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ขยายระยะเวลาได้อีก ไม่เกิน 2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้องไม่เกิน 30 วัน 3.2 ในการออกคำสั่งลงโทษทางวินัยต่อข้าราชการทหาร ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พ.ศ. 2476 ไม่ได้บัญญัติให้มีสิทธิสิทธิ ฟ้องต่อศาลปกครองได้ จึงเห็นควรให้แก้ไข พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 โดยเพิ่มเติมขึ้นใหม่ว่า 3.2.1 บัญญัติกำหนดให้ผู้อุทธรณ์ซึ่งไม่พอใจคำวินิจฉัยของ”องค์กรพิจารณาอุทธรณ์” บัญญัติให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อ ศาลปกครองได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยขององค์กรพิจารณาอุทธรณ์ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ คำวินิจฉัยขององค์กรพิจารณาอุทธรณ์” โดยองค์กรตุลาการ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระและเป็นองค์กรภายนอกฝ่ายปกครองอีกชั้นหนึ่ง อันจะ เป็นหลักประกันว่าสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกลงทัณฑ์ทางวินัยทหารโดยมิชอบ หรือไม่เหมาะสม จะได้รับคุ้มครองมากยิ่งขึ้น 3.2.2 ให้ยกเลิกบทบัญญัติ มาตรา 9 วรรคสอง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ที่กำหนดมิให้คดีการดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหารอยู่ในอำนาจศาลปกครอง โดยเสนอให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษา การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหารได้ ยกเว้นกรณี การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหารที่เป็นเรื่องเล็กน้อย และการดำเนินการเกี่ยวกับวินัย ทหารในยามสงคราม สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกเท่านั้น


28 | หน ้า


29 | หน้า “If” clause (Present Unreal) If + subject + were + complement, subject + would + infinitive (V.1 ที่ไม่ผัน) เพลอแมท = นักการทูต โพร = ปกป้อง ป้องกัน ชั่นเนิ่ล เทอเรสท์ = เป้าหมายทางการเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศชาติ/ ผลประโยชน์ของ ประเทศชาติ เนอเร่อะเบิล = มีเกียรติ, น่าเคารพนับถือ


30 | หน ้า


31 | หน้า


32 | หน ้า


33 | หน้า


34 | หน ้า


35 | หน้า


36 | หน ้า


37 | หน้า


38 | หน ้า


39 | หน้า


Click to View FlipBook Version