The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วารสาร สห.ทบ. ฉบับที่ 25

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ห้องสมุด สห.ทบ., 2023-01-24 03:40:01

วารสาร สห.ทบ. ฉบับที่ 25

วารสาร สห.ทบ. ฉบับที่ 25

1 | หน้า


2 | หน้า


3 | หน้า


4 | หน้า


5 | หน้า ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการ และกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ กองทัพบก กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๐๐ เมื่อ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งกรมการสารวัตรทหารบก เป็นหน่วยขึ้น ตรงต่อกองทัพบก มีหน้าที่ วางแผนประสานงานและกำกับการ อันเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย การจับกุมทหารที่ กระทำผิด การเรือนจำ การจราจรในกิจการทหาร การรักษาความปลอดภัย การฝึกและศึกษาวิชาการเหล่าทหาร สารวัตร การสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร การป้องกันและวิจัยอาชญากรรมในกองทัพบก ใน ยามสงครามมีหน้าที่พิจารณา อำนวยการเกี่ยวกับทหารพลัดหน่วย เชลยศึก ชนชาติศัตรูและผู้ลี้ภัย ซึ่งหลักการส่วน ใหญ่จะเป็นไปในแนวเดียวกันกับกองทัพสหรัฐอเมริกา หลังจากที่สหรัฐ เข้ามามีบทบาทในกองทัพบกไทยมากขึ้น กรมการสารวัตรทหารบก ในยุคนั้นได้แบ่งส่วนราชการดังต่อไปนี้ ๑. กองกลาง ๒. กองวางแผนและการฝึก ๓. กองสืบสวนสอบสวน ๔. กองพิสูจน์หลักฐาน ๕. กองเครื่องช่วยฝึก ๖. กองพยาบาล ๗. โรงเรียนสารวัตรทหารบก ในปีพ.ศ. ๒๕๐๑ ได้มีคำสั่งกระทรวงกลาโหมให้ย้าย พล.ต. สวัสดิ์ สวัสดิ์รณ ภักดิ์ สารวัตรใหญ่ทหารบกไปประจำ กพ.ทบ. ย้าย พล.จ. ประชุม สุวรรณกร รองสารวัตรใหญ่ ทหารบกเป็นเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก และย้าย พ.อ. สมบูรณ์ วิจิตรานุช ผู้ช่วยผู้บัญชาการ โรงเรียนสารวัตรทหารบก เป็นรองเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก ตามคำสั่ง กห ที่ ๔๑/๑๘๕๓ ลง ๒๘ ม.ค. ๐๑ และที่ กห ๔๒/๑๘๕๕ ลง ๒๘ ม.ค. ๐๑ ในการโยกย้ายตำแหน่งระดับเจ้ากรม ในครั้งนี้ จะสังเกตเห็นว่าก่อนหน้านั้นได้มีพระราชกฤษฎีกา เปลี่ยนชื่อนามหน่วยจาก “กรม สารวัตรทหารบก” เป็น “กรมการสารวัตรทหารบก” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ และชื่อนามหน่วย “กรมการสารวัตร ทหารบก” ก็ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๖๕) ฉะนั้นแล้วตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาของทหารสารวัตรจึงเปลี่ยน จาก “สารวัตรใหญ่ทหารบก ” มาเป็น “เจ้ากรมการสารวัตรทหารบก” ตามพระราชกฤษฎีกาฯ ในครั้งนั้น (อ่านต่อจากฉบับที่แล้ว)


6 | หน้า ปี พ.ศ.๒๕๐๓ ได้เกิดสงครามในแถบบริเวณคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นการสู้รบกันระหว่างประเทศเกาหลีเหนือกับประเทศเกาหลีใต้ เป็นยุคสมัย ของสงครามแบ่งค่ายกันระหว่างโลก เสรีกับประเทศค่ายของคอมมิวนิสต์ ซึ่ง ประเทศไทยหนึ่งในของประเทศโลกเสรี ก็ได้ส่งทหารเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ ด้วย ในการส่งกำลังพลของกองทัพไทยในครั้งนี้ ได้จัดให้มีหนึ่งกองร้อยสารวัตร ทหารเข้าร่วมปฏิบัติการด้วย เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมระเบียบวินัย นายทหารติดต่อ การจราจรในการเคลื่อนย้าย การควบคุมเชลยศึก ซึ่งการได้รับ มอบพื้นที่รับผิดชอบในสมรภูมิเกาหลีของทหารไทย นับว่าเป็นบทบาทแรกที่สารวัตรทหาร (เหล่าทหารสารวัตร) ของ กองทัพบกไทย ได้มีส่วนร่วมในการยุทธภายนอกประเทศ ในการ ปฏิบัติการในครั้งนั้น สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหลัก ที่เข้าไปดำเนินการในสมรภูมิเกาหลี ทำให้ทหารสารวัตรที่เข้าร่วมสมรภูมิในครั้งนี้ได้ประสบการณ์ ใหม่ๆ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เหล่าทหารสารวัตรก็ได้พัฒนาปรับปรุงวิธีการทำงาน การจัด หน่วย และหลักธรรมเนียมปฏิบัติตามแบบอย่างของสารวัตรทหารสหรัฐอเมริกา และ สหรัฐอเมริกาก็ได้ให้การสนับสนุนทหารสารวัตรไทยเป็นอย่างดีตลอดมา นั้นเป็นยุคการ เปลี่ยนแปลงของเหล่าทหารสารวัตรที่สอดคล้องกับหลักสากลตามแบบนานาชาติ โดยเฉพาะ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในยุคนั้นตรงกับสมัยของ พลตรี สมบูรณ์ วิจิตรานุช เป็นเจ้ากรมการ สารวัตรทหารบก และ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็น นายกรัฐมนตรี ในยุคสารวัตรทหารเป็นที่เชื่อมั่นในตัวของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ของรัฐบาลและกองทัพ ได้มีคำสั่งให้สารวัตรทหารมาปฏิบัติการรักษาความสงบ ภายในพระนครเป็นส่วนใหญ่ นับว่าเป็นยุคสมัยที่รุ่งเรืองและพัฒนาการที่ก้าวหน้า มากที่สุดยุคหนึ่งของทหารสารวัตร การแต่งเครื่องแบบของสารวัตรทหารนั้น ไม่มีการบันทึกไว้ใน ประวัติศาสตร์แต่พอที่จะอนุมานได้จากรูปภาพถ่ายในอดีต (ไม่มาก) กับการบันทึกเป็น ข้อบังคับของกระทรวงกลาโหม สันนิษฐานได้ว่าเครื่องแบบสารวัตรทหารเริ่มแรกที่มีการ กำหนดอัตลักษณ์ของสารวัตรทหารนั้น น่าจะเริ่มต้นในสมัยที่เริ่มจัดตั้งกระทรวงกลาโหม ใหม่ๆ (ยุบเลิกกรมยุทธนาธิการเปลี่ยนไปเป็นกระทรวงกลาโหม) ปี พ.ศ. ๒๔๕๔ ที่สารวัตร ทหารแต่งเครื่องแบบตามแบบประเทศตะวันตก คือ สวมหมวกหม้อตาลสีเขียวขี้ม้าหน้า หมวกมีสายรัด เสื้อแขนยาวปล่อยชาย คอตั้ง มีกระดุม ๕ เม็ด มีกระเป๋าหน้า ๔ กระเป๋า (บน-ล่าง) มีบั้งติดที่ไหล่ทั้ง ๒ (เสื้อเหมือนกับชุดปกติ ข. ในปัจจุบัน) มีสายเข็มขัดรัดบริเวณ เอวทับเสื้อ มีหัวเข็มขัดสี่เหลี่ยมสีทอง มีปลอกแขนผ้าสักหลาดสีแดง มีวงจักรสีเงินทับบน (ปลอกแขนซ้าย) สวมกางเกงขี่ม้า รองเท้าหนังสีดำ มีกระบี่สั้น (นายทหารสัญญาบัตร) น่าจะเป็นชุดเริ่มแรกของการจัดให้มีเครื่องแบบทหารของกองทัพไทยเรา ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ให้ใช้วงจักรสีทองกลัดติดเสื้อเครื่องแบบที่กึ่งกลางกระเป๋าบนข้างขวา ซึ่งในยุคนั้น มี พ.ร.ท. พระยาราชวังสัน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหลังจากนั้นอีกหนึ่งปีถัดมา ได้ออกข้อบังคับทหารว่าด้วยสารวัตรทหาร ให้ สารวัตรทหารมีเครื่องหมายเป็นผ้าสักหลาดกว้าง ๑๐ ซม. พันรอบแขนขวา เหนือข้อศอก และมีวงจักรทำด้วยโลหะสี


7 | หน้า ทองติดทับบนผ้าพันแขน ในสมัยที่ พระยาประเสริฐสงคราม รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม พระนคร ( ๑๙ ก.พ. ๒๔๗๖) พัฒนาการเรื่อยมาหลังการเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง (พ.ศ.๒๔๗๕) จนถึงยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม เกิดการประท้วงของประชาชน โดยทั่วไป ก่อนที่จะถูก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการ รัฐประหาร (พ.ศ. ๒๕๐๐) ซึ่งในช่วง พ.ศ. ๒๔๗๖ - พ.ศ. ๒๕๐๐ จากภาพประวัติศาสตร์พบว่า เครื่องแบบของสารวัตรทหารจะเป็น ชุดแขนยาวสีเขียวขี้ม้า มีปลอกแขนสักหลาดสีแดงและมีตัวอักษร สห. สีขาวบนสักหลาดสีแดงพันรอบแขนขวา แขนซ้ายมีสายนกหวีดสีขาว (เหมือนใน ปัจจุบัน) ทำจากด้ายถัก สวมหมวก (รองใน) สีขาวแถบแดงรอบหมวก (หน้าหมวกเขียน อักษร สห. สีขาว) คาดสายเข็มขัดขนาด ๓ นิ้ว สีขาวรอบเอว กางเกงทรงกระบอก รองเท้า หนังสีดำ มีเครื่องหนังสีขาวต่อจากปลายขากางเกงลงมาทับรองเท้าด้านบน ต่อจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาการ เปลี่ยนแปลง หมวกเป็นสีดำคาดด้วยแถบสีแดง (๓ นิ้ว) รอบหมวกมีอักษร สห. สีแดง ตรงบริเวณหน้าหมวก สายเข็ม ขัดเปลี่ยนเป็นสีดำ (๓ นิ้ว) หัวเข็มขัดสีทอง (ลอกเลียนแบบทหารสารวัตรสหรัฐ) ไม่มีหนังหุ้มรองเท้าสีขาว ใส่รองเท้า สนาม (combat) สีดำ เหมือนในปัจจุบันนี้ มีกระบองสีดำติดอยู่ บริเวณเอวด้านซ้าย สายนกหวีดยังเป็นสีขาวอยู่บริเวณไหล่ซ้าย เหมือนเดิม มีข้อที่น่าสังเกตกับเครื่องแบบสารวัตรทหาร หลังจากที่ สหรัฐเข้ามามีบทบาทในประเทศไทย (ต้นยุคสมัย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์) ในยุคสมัยการปราบปรามคอมมิวนิสต์นั้น สหรัฐได้ สนับสนุน สารวัตรทหารของไทยเราไม่ว่าจะเป็นการให้นายทหาร ของไทยเราเข้ารับการศึกษา ณ ฟอร์ต กอร์ดอน (Ft.Gordon) รัฐ จอร์เจีย การเข้ามาแนะนำโรงเรียนทหารสารวัตร (หลักสูตรการ สอบสวน) ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ทำให้ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการ เรื่องเครื่องแบบสารวัตรทหาร จะเดินตามแนวทางของสหรัฐอเมริกา นั้นเอง สังเกตได้ง่าย ๆ ที่ปลอกแขนและหมวกของสารวัตรทหารสหรัฐใช้ อักษรย่อ MP จึงน่าจะเป็นที่มาของสารวัตรทหารไทยเรา ที่เปลี่ยนจากวง จักรเป็น สห. สำหรับสารวัตรทหารเท่านั้น ตลอดจนชุดที่เป็นชุดปฏิบัติงาน ก็ได้เอาแบบอย่างของสหรัฐมาแทบทุกอย่าง มีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้วแต่ ยุคสมัยของผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่โดยรวม ๆ แล้วก็ยังคง เป็นรูปแบบเดิม ๆ ใช้ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๖๕) เพราะหาก ย้อนกลับไปดูสมัยที่ไทยส่งกำลังสารวัตรทหารไปร่วมต่อสู้ในสงครามเวียดนาม (พ.ศ.๒๕๑๐) การแต่งกายของสารวัตรทหารก็จะเหมือนกับชุดสารวัตรทหาร ในส่วนกำลังรบในปัจจุบันนี้ทุกประการ


8 | หน้า ครั้นถึงสมัยของ พลตรี ประวิตร งามอุโฆษ เป็นเจ้ากรมการสารวัตรทหารบก ได้มี การปรับปรุงพัฒนาการของเหล่าทหารสารวัตรสืบต่อจาก พลตรี สมบูรณ์ วิจิตรานุช โดยการ พัฒนาในด้านวิชาการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การพัฒนาด้าน กำลังพล การพัฒนาด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ของเหล่าทหารสารวัตร ซึ่งใน สมัยนั้นสหรัฐอเมริกา และประเทศออสเตรเลียให้การสนับสนุน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเหล่าทหารสารวัตรของกองทัพไทยจึงเป็นหน่วยที่ มีการจัดหน่วยที่สมบูรณ์ในรูปแบบเดียวกับการจัดเหล่าทหารสารวัตรของกองทัพสหรัฐอเมริกา และรูปแบบการจัดดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ยังคงมาถึงการจัดหน่วยทหารสารวัตรในปัจจุบัน เกิดสงครามในประเทศเวียดนามในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ระหว่างค่ายโลกเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ ประเทศ เวียดนามได้ถูกแบ่งออกเป็นประเทศเวียดนามเหนือกับประเทศเวียดนามใต้ ประเทศเวียดนามเหนือต้องการยึดครอง เวียดนามใต้ให้มาอยู่ใต้การปกครองของตนจึงเกิดการสู้รบกันเพื่อแย่งชิงดินแดน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศในโลกค่าย เสรีจึงมีบทบาทสำคัญในการเข้าไปสนับสนุนเวียดนามใต้ทำให้ประเทศไทยเรา ซึ่งในขณะนั้นฝักใฝ่อยู่ทางสหรัฐอเมริกา และเป็นประเทศภาคีจึงเข้าร่วมกับ สหรัฐอเมริกาทำการรบในประเทศเวียดนามด้วย ทำให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้ง ฐานทัพในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการรบในเวียดนามครั้งนั้นด้วย การรบใน สมรภูมิเวียดนามในครั้งนั้น กองทัพไทยได้จัดกองร้อยทหารสารวัตร เพื่อทำ หน้าที่นายทหารติดต่อ ปกครอง กำกับดูแลระเบียบวินัย การควบคุมเชลยศึก การจราจรในค่ายของทหารไทยใน สงครามเวียดนาม และทหารสารวัตรยังมีบทบาทในการปฏิบัติหน้าที่เป็นนายทหารฝ่ายกฎหมายระหว่างสหรัฐอเมริกา กับไทยอีกด้วย การที่ทหารสารวัตรได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ในสงครามระหว่าง ประเทศตั้งแต่สงครามบนคาบสมุทรเกาหลีจนถึงสงครามเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในบทบาทและหน้าที่ของสารวัตรทหารไทย ว่ามีประสิทธิภาพใน สายตาของมหาอำนาจโลกในเวลานั้น ได้รับความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่นในผลการปฏิบัติงาน ก็ คงเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่กองทัพไทยเราได้ให้กำลังพลนายทหารเหล่าทหารสารวัตรเข้า ร่วมศึกษาในสหรัฐอเมริกา และในระยะหลัง (พ.ศ. ๒๔๙๙) สมัยจอมพล สฤษดิ์ธนะรัชต์เป็น ผู้บัญชาการทหารบก กองทัพสหรัฐก็เริ่มเข้ามามีความสัมพันธ์กับทหารไทยมากขึ้นเป็นลำดับ ผลจากการที่ประเทศไทยเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนามและส่งทหารสารวัตรเข้าร่วมปฏิบัติการครั้ง นั้น ทำให้การพัฒนาการของเหล่าทหารสารวัตรในด้านวิทยาการต่าง ๆ มีการพัฒนาไปอย่างมากโดยเฉพาะการให้การ สนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาซึ่งนำไปสู่การวางระบบ และระเบียบปฏิบัติของกำลังพลในเหล่าทหารสารวัตร ให้มีความ ทันสมัย มีการปรับปรุงแก้ไขการจัดหน่วย มีการผลิตตำราเรียน มีคู่มือการฝึก (ตำราแปลมาจาก FM ของ สหรัฐอเมริกา) และที่สำคัญความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย เป็นไปได้ด้วยดี จึงเป็น ช่วงเวลาที่เหล่าทหารสารวัตร พัฒนาการได้ก้าวไกลมากยุคหนึ่ง


9 | หน้า หลังจากสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง รัฐบาลไทยได้มีพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการ กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๑๓ และ พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพบก กองบัญชาการทหารสูงสุดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๑๓ ซึ่งในส่วนของกรมการสารวัตรทหารบก ตามมาตรา ๔ ได้ กำหนดหน้าที่ไว้คือ ๑. วางแผน ประสานงาน และกำกับการเกี่ยวกับการรักษาระเบียบวินัย การจับกุมทหารที่กระทำผิด การเรือนจำ การจราจรในกิจการทหาร การรักษาความปลอดภัย การฝึกและศึกษาวิชาเหล่าทหารสารวัตร การ สืบสวนและสอบสวนคดีอาญา ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร การป้องกันและวิจัยอาชญากรรมในกองทัพบก ๒. พิจารณาอำนวยการในยามสงครามเกี่ยวกับทหารพลัดหน่วย เชลยศึก ชนชาติศัตรูและผู้ลี้ภัย ซึ่ง เหล่านี้ล้วนแล้วเราได้เรียนรู้และลอกแบบมากจากการทำงานร่วมกันกับสหรัฐอเมริกา จากความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทยในช่วงนั้นทหารสารวัตรไทยได้มีการนำหนังสือ (FM) ของกองทัพสหรัฐที่เกี่ยวกับกิจการของสารวัตรทหารมาแปลเป็นฉบับภาษาไทยแล้วนำมาเป็นตำราเรียนให้กับ กำลังพลของเหล่าทหารสารวัตรมาจวบจนทุกวันนี้เช่น ๑. รส.๑๙-๒๕ คู่มือราชการสนามว่าด้วย การควบคุมการจราจรของสารวัตร พ.ศ. ๒๕๐๘ ๒. รส. ๑๙-๒๐ คู่มือราชการสนามว่าด้วย การสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม พ.ศ. ๒๕๑๒ ๓. รส. ๑๙-๔๐ การเชลยศึกและผู้ถูกกักกันพลเรือนฝ่ายข้าศึก พ.ศ. ๒๕๑๒ และยังพัฒนาคู่มือราชการสนามในอีกหลายๆเล่มในเวลาต่อมา หลังจากพระราช กฤษฎีกาฯ จัดวางระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๔๙๑ ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และได้ ออกพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับใหม่ กรมการสารวัตรทหารบก จึงได้ทำการแก้ไขข้อบังคับว่าด้วย สารวัตรทหาร พ.ศ. ๒๔๙๒ ขึ้นในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ โดยแก้ไขข้อบังคับฯให้มีความทันสมัย และ สอดคล้องกับหลักการจัดและหน้าที่ที่กำหนดของแต่ละเหล่าทัพในขณะนั้น ซึ่งการปรับปรุงแก้ไข แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ตรงกับสมัยของ พลตรี กฤษดา ง้าวสุวรรณ เจ้ากรมการสารวัตร ทหารบกในเวลานั้น นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมาถึง ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ถือได้ว่าเป็นยุคการปรับปรุงเหล่าทหาร สารวัตรอย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดส่วนราชการใหม่ของกองทัพบก การแบ่งส่วนราชการของกรมการสารวัตร ทหารบก การจัดหน่วยทหารสารวัตรตามแบบอย่างสหรัฐอเมริกา การพัฒนาทางด้านวิทยาการของเหล่าและการ แก้ไขข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อพัฒนาให้ทันสมัยเทียบทัดกองทัพนานาชาติ(ตะวันตก) ในเวลานั้น ในปีพ.ศ. ๒๕๒๑ สมัยของ พลตรี กวี รักษ์งาน เจ้ากรมการสารวัตร ทหารบก ได้มีการแก้ไขข้อบังคับว่าด้วย สารวัตรทหาร พ.ศ. ๒๕๑๙ (ฉบับที่ ๒) แล้วเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของ พลตรี เกรียงไกร ไกรฤกษ์ เป็นเจ้ากรมการ สารวัตรทหารบก ดังมีรายละเอียดคือ


10 | หน้า (สำเนา) ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยสารวัตรทหารให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงออกข้อบังคับไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑. ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยสารวัตรทหาร พ.ศ. ๒๕๑๙” ข้อ ๒. ให้ยกเลิกข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยสารวัตรทหารบก พ.ศ. ๒๔๙๒ และบรรดาข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง คำชี้แจ้งอื่น ๆ ในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในข้อบังคับนี้ หรือที่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้ ข้อ ๓. ในข้อบังคับนี้ ๓.๑ คำว่า “ทหารสารวัตร” หมายถึงทหารเหล่าทหารสารวัตรที่บรรจุในอัตรากำลังของหน่วยต่าง ๆ ๓.๒ คำว่า “สารวัตรทหาร” หมายถึงทหารสารวัตรหรือทหารเหล่าอื่นหรือพรรคอื่น ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ สารวัตรทหารตามคำสั่งของผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหาร ๓.๓ คำว่า “ผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหาร” หมายถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารที่มีทหารสารวัตรอยู่ ในบังคับบัญชาหรือผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดสารวัตรทหารตามที่เหล่าทัพกำหนดในกรณีไม่มี ทหารสารวัตรอยู่ในบังคับบัญชาเป็นผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหารได้ภายในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ หรือตามอำนาจที่ กำหนดไว้ในกฎหมายหรือแบบธรรมเนียมของทหาร ข้อ ๔. สารวัตรทหารให้จัดจากทหารสารวัตร ในกรณีไม่มีทหารสารวัตรบรรจุอยู่ในอัตรากำลังของหน่วยหรือ ในเหล่าทัพใด ให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารซึ่งมีอำนาจหน้าที่จัดสารวัตรทหารตามที่เหล่าทัพกำหนดจัดทหารเหล่าอื่น หรือพรรคอื่นเป็นสารวัตรทหารได้ ข้อ ๕. การแต่งกายของสารวัตรทหารในขณะปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎข้อบังคับและแบบธรรม เนียมของทหารที่ว่าด้วยการนั้น ข้อ ๖. เพื่อให้การรักษาระเบียบวินัยดำเนินไปโดยเคร่งครัด รวมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม อันดี ให้สารวัตรทหารมีหน้าที่ดังนี้ ๖.๑ สอดส่องตรวจตราให้ทหาร ข้าราชการกลาโหมพลเรือนและคนงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม อยู่ในระเบียบวินัย ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ๖.๒ ว่ากล่าวตักเตือนและจับกุมทหาร ข้าราชการกลาโหมพลเรือนและคนงานในสังกัด กระทรวงกลาโหมที่กระทำความผิด ๖.๓ สืบสวนสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร ๖.๔ ควบคุมการจราจรในกิจการทหาร ๖.๕ รักษาความปลอดภัยทางวัตถุและอารักขาบุคคลสำคัญ ๖.๖ ปฏิบัติการเกี่ยวกับการเรือนจำทหาร และเชลยศึก ทหารพลัดหน่วย พลเรือนผู้ถูกกักกันในยาม สงคราม ตามที่กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร


11 | หน้า ๖.๗ กำหนดมาตรการป้องกันอาชญากรรมในวงการทหาร ๖.๘ หน้าที่อื่นตามที่กระทรวงกลาโหมหรือผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหารจะกำหนด ข้อ ๗. สารวัตรทหารมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารได้ตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งภายใต้ บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร ข้อ ๘. สารวัตรทหารมีอำนาจที่จะปฏิบัติต่อทหาร ข้าราชการกลาโหมพลเรือนและคนงานในสังกัด กระทรวงกลาโหมผู้ไม่อยู่ในระเบียบวินัย ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ซึ่งอยู่ภายนอกที่ตั้งหน่วยทหารหรือ สถานที่ทำงานตามควรแก่กรณีดังนี้ ๘.๑ ว่ากล่าวตักเตือน ๘.๒ จับกุม ๘.๓ ตรวจค้นผู้ถูกจับกุมเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีสิ่งของที่ผิดกฎหมายหรือเพื่อใช้ในการกระทำที่ ผิดกฎหมาย ถ้าผู้ถูกจับกุมเป็นหญิงให้หญิงอื่นเป็นผู้ค้น ๘.๔ ยึดสิ่งของตามข้อ ๘.๓ หรือสิ่งของที่อาจเป็นภัยอันตราย หรือที่ใช้เป็นพยานหลักฐานในการ กระทำผิดนั้นได้ ข้อ ๙. ในการจับกุม สารวัตรทหารต้องแจ้งเหตุที่จะจับกุมให้ผู้จะต้องถูกจับกุมทราบ การจับกุมให้กระทำโดย ละม่อม ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เครื่องพันธนาการหรือใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนก็ให้กระทำได้แต่ต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุ ข้อ ๑๐. เมื่อสารวัตรทหารจับกุมผู้ใดแล้วต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกจับกุมนั้นและรายงานให้ผู้มี อำนาจสั่งใช้สารวัตรทหารทราบโดยเร็ว ข้อ ๑๑. ในเขตพื้นที่ใดมีหน่วยทหารต่างเหล่าทัพตั้งอยู่ เมื่อเห็นเป็นการสมควรผู้มีอำนาจสั่งใช้สารวัตรทหาร ในเขตพื้นที่นั้นอาจจัดสารวัตรทหารร่วมขึ้นปฏิบัติภารกิจในบังคับบัญชาของนายทหารเหล่าทัพใดก็ได้ ทั้งนี้ให้ทำความ ตกลงกันเป็นหนังสือ ข้อ ๑๒. สารวัตรทหารไม่มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการใด ๆ ต่อบุคคลอื่นนอกจากทหาร ข้าราชการกลาโหมพล เรือนและคนงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมซึ่งกระทำความผิด เว้นแต่จะได้รับการร้องขอจากพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจให้ร่วมมือด้วยในเหตุผลอันสมควร หรือเป็นการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา ข้อ ๑๓. ให้กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ออกระเบียบปลีกย่อยเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตาม ข้อบังคับนี้ได้ ข้อ ๑๔. ให้ใช้ข้อบังคับนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๙ (ลงชื่อ) พลเอก ทวิช เสนีวงศ์ ณ อยุธยา (ทวิช เสนีวงศ์ ณ อยุธยา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม


12 | หน้า หมายเหตุ:- หลักการและเหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับฉบับนี้ คือ ปรับปรุงข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วย สารวัตรทหาร พ.ศ. ๒๔๙๒ โดยยกร่างขึ้นใช้ใหม่ทั้งฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขกำหนดหน้าที่ส่วนราชการ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ตาม ๑. พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพบกกองบัญชากา ทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๑๓ มาตรา (๙) ๒. พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพเรือกองบัญชาการ ทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๔ (๑๑) (๑๒) (๑๓) และ ๓. พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔ (๒๒) ซึ่งกำหนดให้ กรมการสารวัตรทหารบก สถานีทหารเรือกรุงเทพ สถานีทหารเรือสัตหีบ สถานีทหารเรือสงขลา และสำนักผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง มี หน้าที่เกี่ยวกับการสารวัตรทหาร เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และระเบียบวินัยของทหาร (อ่านต่อฉบ ับหน้า)


13 | หน้า กฎหมาย คืออะไร เชื่อได้เลยว่าทุกคนหรือแทบจะทุกคนในสังคมคงจะรู้จักคำ ๆ นี้เป็นอย่างดี แต่หากจะ ให้อธิบายความหมายของคำนี้ หลาย ๆ คนคงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วแม้แต่ในทาง วิชาการก็มีการให้นิยามความหมายแตกต่างกันออกไปมากมาย เนื่องจากเป็นการยากที่จะนิยามความหมายออกมาให้ ครอบคลุมได้ทั้งหมด แต่พอจะสรุปได้ดังนี้ กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์คำสั่ง หรือข้อบังคับที่ถูกตั้งขึ้นโดยรัฐ หรือผู้มีอำนาจสูงสุดเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ สำหรับดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดของสังคม และมีสภาพบังคับเป็นเครื่องมือในการทำให้บุคคลใน สังคมต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ คำสั่ง หรือข้อบังคับนั้น มนุษย์ถือได้ว่าเป็นสัตว์สังคมจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่เนื่องจากความคิด อุปนิสัย สภาพแวดล้อม เพศ ฯลฯ ที่แตกต่างกันไป จึงจำเป็นจะต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุมให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย กฎหมายบางอย่างก็กำหนดขึ้นเป็นขั้นตอนหรือวิธีปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อตอบสนองความ ต้องการของมนุษย์ นอกจากนี้การบัญญัติกฎหมายเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้คนในสังคมปฏิบัติตามในแนวทางเดียวกัน ก็ จะสร้างความเป็นระเบียบให้เกิดขึ้นอีกด้วย เหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายอันสำคัญของสังคม ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้เมื่อคิด ย้อนกลับไปแล้ว ก็จะมาจากคนในสังคมนั่นเอง เราสามารถแยกลักษณะของกฎหมายออกได้เป็น 5 ประการ คือ กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ ซึ่งจะแตกต่างกับการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตาม คำสั่งหรือข้อบังคับนั้นมีลักษณะให้เราต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือ เราจะปฏิบัติตาม หรือไม่ก็ได้ เช่นนี้เราก็จะไม่ถือเป็นกฎหมาย เช่น การรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ หรือช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ กฎหมายต้องมาจากรัฎฐาธิปัตย์ หรือผู้ที่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ รัฏฐาธิปัตย์คือ ผู้มีอำนาจสูงสุดของ ประเทศในระบอบเผด็จการหรือระบอบการปกครองที่อำนาจการปกครองประเทศอยู่ในมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด มีอำนาจออกกฎหมายได้ เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้มี อำนาจสูงสุด พระบรมราชโองการหรือคำสั่งของพระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นกฎหมาย ส่วนในระบอบประชาธิปไตยของ กฎหมาย


14 | หน้า เรา ถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน กฎหมายจึงต้องออกโดยประชาชน คำถามมีอยู่ว่าประชาชนออกกฎหมายได้ อย่างไร ก็ออกโดยที่ประชาชนเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ซึ่งก็คือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นั่นเอง ดังนั้นการเลือก ส.ส. ในการเลือกทั่วไปนั้นนอกจากจะเป็นการเลือกคนเข้ามา บริหารประเทศแล้ว ยังเป็นการเลือกตัวแทนของประชาชนเพื่อทำการออกกฎหมายด้วย นอกจากดังกล่าวมาข้างต้น อาจมีบางกรณีที่กฎหมายให้อำนาจเฉพาะแก่บุคคลในการออกกฎหมายไว้ เช่น พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกโดยฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ฯลฯ กฎหมายต้องใช้บังคับได้โดยทั่วไป คือเมื่อมีการประกาศใช้แล้ว บุคคลทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย โดยเสมอภาค จะมีใครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ หรือทำให้เสียประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลใดโดย เฉพาะเจาะจงไม่ได้ แต่อาจมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น กรณีของทูตต่างประเทศซึ่งเข้ามาประจำในประเทศไทยอาจ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายภาษีอากร หรือหากได้กระทำความผิดอาญา ก็อาจได้รับเอกสิทธิ์ตาม กฎหมายระหว่างประเทศไม่ต้องถูกดำเนินคดีในประเทศไทย โดยต้องให้ประเทศซึ่งส่งฑูตนั้นมาประจำการดำเนินคดี แทน ฯลฯ กฎหมายต้องใช้บังคับได้จนกว่าจะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการประกาศใช้แล้วแม้กฎหมาย นั้นจะไม่ได้ใช้มานาน ก็ถือว่ากฎหมายนั้นยังมีผลใช้บังคับได้อยู่ตลอด กฎหมายจะสิ้นผลก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกกฎหมาย นั้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเท่านั้น กฎหมายจะต้องมีสภาพบังคับ ถามว่าอะไรคือสภาพบังคับ นั่นก็คือการดำเนินการลงโทษหรือกระทำ การอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อให้เกิดความเข็ดหลาบหรือหลาบจำ ไม่กล้ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย อีก และรวมไปถึงการบังคับให้กระทำการ งดเว้นกระทำการหรือบังคับให้ส่งมอบทรัพย์สินด้วย ตามกฎหมายอาญา สภาพบังคับก็คือการลงโทษตามกฎหมาย เช่น การจำคุกหรือการประหารชีวิต ซึ่งมุ่ง หมายเพื่อจะลงโทษผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบ แต่ตามกฎหมายแพ่งฯนั้น สภาพบังคับจะมุ่งหมายไปที่การเยียวยา ให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคับให้กระทำการตาม สัญญาที่ตกลงกันไว้ ฯลฯ ซึ่งบางกรณีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งฯในคราว เดียวกันก็ได้ แต่กฎหมายบางอย่างก็อาจไม่มีสภาพบังคับก็ได้ เนื่องจากไม่ได้มุ่งหมายให้ผู้คนต้องปฏิบัติตาม แต่อาจบัญญัติ ขึ้นเพื่อรับรองสิทธิให้แก่บุคคล หรือทำให้เสียสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว สามารถทำนิติกรรมได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลที่มีอายุ 15 ปีแล้วสามารถ ทำพินัยกรรมได้ ฯลฯ หรือออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ ซึ่งกฎหมาย ประเภทนี้จะไม่มีโทษทางอาญาหรือทางแพ่งแต่อย่างใด ศีลธรรม คือกฎเกณฑ์ของความประพฤติ คำ ๆ นี้ฟังเข้าใจง่ายแต่อธิบายออกมาได้ยากมาก เพราะเป็น สิ่งที่แต่ละคนเข้าใจได้ในตัวเองและมีความหมายที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น เชื้อชาติ ศาสนา


15 | หน้า สภาพแวดล้อม ฯลฯ แต่อย่างไรก็ความหมายของศีลธรรมของแต่ละคนก็จะมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน แม้อาจจะแตกต่าง กันออกไปบ้าง แต่โดยหลักแล้วก็จะหมายถึง ความรู้สึกผิดชอบหรือความดีงามต่าง ๆ ที่ทำให้คนเราสามารถใช้ชีวิตใน สังคมได้โดยสงบสุข ดังนั้นการบัญญัติกฎหมายจึงต้องใช้ศีลธรรมเป็นรากฐาน เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่สังคมให้มาก ที่สุดนั่นเอง จารีตประเพณีคือแบบแผนที่คนในสังคมยอมรับและถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน แต่ละสังคมก็มีจารีต ประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่สภาพแวดล้อม ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ เช่นเดียวกับศีลธรรม การกระทำที่ฝ่าฝืน ต่อจารีตประเพณี คนในสังคมนั้น ๆ ก็จะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่สมควรกระทำ จึงนำมาใช้เป็นรากฐานในการ บัญญัติกฎหมาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนในสังคมนั้น ๆ ยอมรับ ตัวอย่างที่สำคัญก็คือกฎหมายในประเทศอังกฤษนั้น ผู้ พิพากษาจะใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษา ซึ่งคำพิพากษานั้นถือเป็นกฎหมาย ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็มีการนำ จารีตประเพณีมาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมายเช่นกัน เช่นกฎหมายของประเทศไทยในเรื่องของการหมั้น การ แบ่งมรดก ฯลฯ ศาสนา คือหลักการดำเนินชีวิตหรือข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาบัญญัติขึ้นเพื่อสอนให้คนทุกคน เป็นคนดี เมื่อพูดถึงศาสนาเราก็อาจนึกไปถึงศีลธรรม เพราะสองคำนี้มักจะมาคู่กัน แต่คำว่าศีลธรรมจะมีความหมาย กว้างกว่าคำว่าศาสนา เพราะศีลธรรมอาจหมายความรวมเอาหลักคำสอนของทุกศาสนามารวมไว้ และความดีงามต่าง ๆ ไว้ในคำ ๆ เดียวกัน เมื่อเรากล่าวถึงคำสอนของศาสนาอิสลาม นั่นหมายถึงศีลธรรม เมื่อเรา กล่าวถึงคำสอนของศาสนาพุทธ นั่นหมายถึงเรากล่าวถึงศีลธรรมเช่นกัน กฎหมายของแต่ละประเทศก็จะบัญญัติขึ้น โดยอาศัยศาสนาเป็นรากฐานด้วย เช่นในประเทศไทยเราในทางอาญาก็จะนำศีล 5 มาใช้ในการบัญญัติกฎหมาย เช่น ห้ามฆ่าผู้อื่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ฯลฯ คำพิพากษาของศาล มีเฉพาะบางประเทศเท่านั้นที่ถือเอาคำพิพากษาของศาลมาจัดทำเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศอังกฤษ คือใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษาคดีและเพื่อไม่ให้มีกรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกก็จะนำ คำพิพากษานั้นมาจัดทำเป็นกฎหมายเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตาม หากมีคดีที่มีข้อเท็จจริงเหมือนกัน เกิดขึ้นอีก ศาลก็จะ ตัดสินเหมือนกับคดีก่อนๆ แต่ในหลายๆประเทศคำพิพากษาเป็นเพียงแนวทางในการพิจารณาพิพากษาของศาล เท่านั้น ศาลอาจใช้ดุลพินิจพิจารณาพิพากษาต่างจากคดีก่อน ๆ ได้ จึงไม่ถือคำพิพากษาของศาลเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศไทยเราเป็นต้น หลักความยุติธรรม หลักความยุติธรรมนี้จะต้องมาควบคู่กับกฎหมายเสมอ เพียงแต่ความยุติธรรมของ แต่ละคนก็อาจไม่เท่ากัน แต่อย่างไรก็ดีผู้บัญญัติและผู้ใช้กฎหมายก็จะต้องคำนึงถึงหลักความยุติธรรมด้วยและความ ยุติธรรมนี้ควรจะอยู่ในระดับที่คนในสังคมส่วนใหญ่ยอมรับ เพราะถ้าเป็นความยุติธรรมโดยคำนึงถึงคนส่วนน้อย มากกว่า ก็จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้คนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้ไม่เกิดความยุติธรรมแก่สังคมโดยแท้จริง ตัวอย่าง ที่สำคัญคือ ในอังกฤษนั้นแต่ก่อนการฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นจะฟ้องเรียกได้เฉพาะจำนวนเงินเท่านั้น จะฟ้องให้ปฏิบัติ ตามสัญญาที่ตกลงกันไม่ได้ จึงทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย เนื่องจากในบางรายผู้เสียไม่ได้ต้องการเงิน ค่าเสียหาย แต่ต้องการให้คู่สัญญาปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำต่อกัน ดังนั้นจึงได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมมาใช้โดย อนุญาตให้มีการชำระหนี้โดยการปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ตามความมุ่งหมายของผู้ที่เสียหายได้ ทำให้เกิดความ เป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดียิ่งขึ้น


16 | หน้า ความคิดเห็นของนักปราชญ์ก็คือผู้ทรงความรู้ในทางกฎหมายนั่นเอง อาจจะเป็นนักวิชาการ หรือ อาจารย์สอนกฎหมายก็ตาม เนื่องจากนักปราชญ์เหล่านี้จะเป็นผู้ค้นคว้าหลักการและทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนหรือ โต้แย้งกฎหมายหรือคำพิพากษาของศาลอยู่เสมอ ทำให้เกิดหลักการหรือทฤษฎีใหม่ ๆ ที่เป็นแนวทางในการบัญญัติ กฎหมายได้ เช่น แนวความคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ ในประเทศรัสเซีย ฯลฯ ระบบกฎหมายหลัก ๆ ในโลกนี้มีอยู่ 4 ระบบใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์ (Civil Law) หรือก็คือระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร จุดกำเนิดอยู่ที่ อาณาจักรโรมัน ระบบกฎหมายนี้จะมีลักษณะเป็นการรวมรวมเอาจารีตประเพณีหรือกฎหมายต่าง ๆ หรือบัญญัติ กฎหมายขึ้นใหม่ โดยบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดไว้เป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งเรียกว่าประมวล กฎหมาย ซึ่งแต่เดิมนั้นไม่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ชนชั้นที่ถูกปกครองในโรมันจึงมีการเรียกร้องให้ชน ชั้นสูงทำการเขียนกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ชนชั้นที่ถูกปกครองได้รู้กฎหมายด้วย ซึ่งระบบกฎหมายนี้ก็ได้ มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในประเทศไทยก็ใช้ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์ ตัวอย่างก็เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์ (Common Law) หรือก็คือระบบกฎหมายจารีตประเพณี จุดกำเนิดอยู่ ที่อังกฤษ เนื่องจากแต่เดิมนั้นประเทศอังกฤษมีชนเผ่าอยู่มากมายหลายชนเผ่าด้วยกัน ต่อมาได้มีการจัดตั้งศาลหลวง หรือศาลพระมหากษัตริย์ขึ้น โดยคัดเลือกผู้พิพากษาที่มีความรู้จากส่วนกลางไปพิจารณาคดีในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งแต่ละ ชนเผ่าก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เกิดปัญหาในการพิจารณาคดีมากมาย แต่ในภายหลังปัญหาก็ค่อย ๆ หมดไปเพราะเริ่มมีจารีตประเพณีที่มีลักษณะเป็นสามัญขึ้นโดยศาลหลวงได้ใช้จารีตประเพณีเหล่านี้ในการพิจารณา คดี ในระบบคอมมอน ลอว์ แต่เดิมจะไม่มีการบัญญัติกฎหมายไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อศาลใช้จารีตประเพณีใน การพิพากษาตัดสินคดีแล้ว ก็จะมีการบันทึกคำพิพากษานั้นเอาไว้ เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีต่อ ๆ ไป หาข้อเท็จจริงในคดีต่อ ๆ มาเหมือนกับคดีก่อนศาลก็จะพิพากษาไปตามที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว ถือได้ว่าคำพิพากษา ของศาลก็คือกฎหมายนั่นเอง แต่ปัจจุบันนี้ในประเทศอังกฤษก็ใช้ทั้งระบบกฎหมายแบบซีวิล ลอว์และคอมมอน ลอว์ ควบคู่กันไป ระบบกฎหมายสังคมนิยม จุดกำเนิดของระบบกฎหมายนี้อยู่ที่รัสเซีย แต่เดิมรัสเซียใช้ระบบกฎหมาย ซี วิล ลอว์ แต่ในภายหลังเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ครองอำนาจ ก็ได้มีการนำหลักการและแนวความคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ และ เลนิน มาใช้โดยเชื่อว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือในการขัดระเบียบและกลไกในสังคม เพื่อให้คนในสังคมมีความเท่า เทียมกัน ปราศจากการกดขี่ข่มเหง ปราศจากชนชั้นวรรณะ ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดร่วมกัน กฎหมายมีอยู่เพื่อความเท่าเทียม เมื่อใดที่สังคมเกิดความเท่าเทียมกันแล้วกฎหมายก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ส่วน ลักษณะของกฎหมายสังคมนิยมนั้นจะมีการผสมผสานระหว่างกฎหมายลายลักษณ์อักษรกับจารีตประเพณีเข้าด้วยกัน โดยมีการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนจารีตประเพณีนั้นเป็นตัวช่วยในการตีความและอุดช่องว่างของ กฎหมายเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และที่สำคัญก็คือกฎหมายในระบบสังคมนิยมนั้นต้องแฝง หลักการหรือแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ และ เลนิน ด้วยเสมอ


17 | หน้า ระบบกฎหมายศาสนาและประเพณีนิยม ลักษณะของกฎหมายในระบบนี้ โดยเนื้อหาของกฎหมายแล้ว ก็จะอาศัยศาสนาหรือประเพณีนิยมเป็นฐานในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมา เช่น กฎหมายศาสนาอิสลามกำหนดหน้าที่ ของชาวมุสลิมที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า ในปัจจุบันประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม กฎหมายอิสลามมีส่วนสำคัญเป็นอย่าง ยิ่งในการบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก แต่ส่วนกฎหมายในเรื่องอื่น ๆ ก็จะใช้แนวทางของกฎหมาย ของทางโลกตะวันตก หรือใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่จังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ในเรื่องครอบครัว และมรดกก็จะต้องนำกฎหมายศาสนาอิสลามมาใช้บังคับ ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นเฉพาะ 4 จังหวัดดังกล่าวเท่านั้น ส่วน ในเรื่องอื่น ๆ ทุกจังหวัดก็จะใช้กฎหมายฉบับเดียวกันรวมไปถึง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เช่นประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น ส่วนประเพณีนิยมนั้น คือ สิ่งที่คนในสังคมยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่นในประเทศจีนก็มีการนำ ประเพณีนิยมของนักปราชญ์อย่างขงจื้อ มาเป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมาย หรือประเพณีโบราณของลัทธิชินโตก็ ใช้เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ฯลฯ เดิมกฎหมายของประเทศไทยนั้นมีที่มาจากจารีตประเพณี ศาสนา รวมไปถึงพระราชโองการของ พระมหากษัตริย์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีกฎหมายที่เรียกว่า “พระราชศาสตร์”ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัย หลักใน “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์” จนกระทั่งการเสียเมืองครั้งที่ 2 ให้แก่ประเทศพม่า เอกสารสำคัญทางกฎหมายได้มี การถูกทำลายและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ต่อมาในสมัยของรัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แม้จะมีการรวบรวม กฎหมายขึ้นใหม่แต่ก็เหลือเพียงหนึ่งในสิบของกฎหมายที่มีอยู่เดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งยังมีเนื้อหาที่ผิดเพี้ยนไป จากเดิม ทำให้กฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถตัดสินคดีได้อย่างยุติธรรม รัชกาลที่ 1 จึงทรงชำระสะสางกฎหมายเสียใหม่ กลายเป็น“กฎหมายตราสามดวง” ถือเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญของไทยเรา นักวิชาการทั้งหลายถือว่าแม้จริงแล้ว กฎหมายตราสามดวงนี้ก็คือกฎหมายในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง คดีสำคัญที่ก่อให้เกิดกฎหมายตราสามดวงก็คือ “คดีอำแดงป้อม” (อำแดง เป็นคำนำหน้าชื่อของผู้หญิงใน สมัยก่อน) คดีนี้มีข้อเท็จจริงคือ นายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ เนื่องจาก อำแดงป้อม ภรรยาของนายบุญศรีเป็นชู้กับ นายราชาอรรถ แต่อำแดงป้อมกลับมาฟ้องหย่านายบุญศรี นาย บุญศรีไม่ยอมหย่า แต่พระเกษมกลับพิจารณาเข้าข้างอำแดงป้อมแล้วคัดข้อความส่งให้ลูกขุน ณ ศาลหลวง มีคำตัดสิน ให้อำแดงป้อมกับนายบุญศรีขาดจากการเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย เมื่อรัชการที่ 1 ทรงทราบเรื่องจึงตรัสว่า หญิง นอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษากันแล้วให้หย่าตามคำฟ้องนั้นไม่เป็นการยุติธรรม จึงมีพระราชโองการตรัสสั่ง ให้เจ้าพระยาคลังตรวจสอบกฎหมายดังกล่าว ปรากฏได้ความว่า ชายไม่ผิด หญิงมาขอหย่า ก็สามารถหย่าได้(ตามที่ บันทึกใช้คำว่า ชายหาผิดมิได้หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชายหย่าได้) จึงทรงเห็นว่าแม้แต่พระไตรปิฎกผิดเพี้ยน ไป ก็ยังอาราธนาพระราชาคณะทั้งปวงให้ทำสังคายนาชำระพระไตรปิฎกให้ถูกต้องได้ ดังนั้นเมื่อกฎหมายผิดเพี้ยนไปก็ ควรต้องชำระสะสางให้ถูกต้อง พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรกกระหม่อมตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ประกอบด้วยอาลักษณ์ 4 ลูกขุน 3 ราชบัณฑิต 4 จัดการชำระบทกฎหมายให้ถูกต้อง โดยอาศัย “คัมภีร์พระ ธรรมศาสตร์” (เชื่อกันว่าเป็นคัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ หรือผู้มีอำนาจเหนือคนธรรมดาแต่งขึ้น เดิมนั้นเป็นของชาวฮินดู


18 | หน้า เป็นหนังสือในศาสนา พราห์ม) เป็นหลักในการบัญญัติกฎหมาย เช่นเดียวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยา เกิดเป็นกฎหมาย ตราสามดวงขึ้น ในเวลาต่อมาเกิดการล่าอาณานิคมจากประเทศซีกโลกตะวันตก เช่น ประเทศฝรั่งเศสและประเทศอังกฤษ ทำ ให้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นก็คือการเสียเอกราชทางศาล เนื่องจากต่างประเทศเห็นว่าประเทศไทยเรากฎหมายป่าเถื่อน ไม่เป็นธรรม เมื่อมีปัญหาหรือคดีเกิดขึ้นก็จะไม่ยอมขึ้นศาลไทย และบีบบังคับให้รัฐบาลของไทยทำสนธิสัญญาซึ่ง เรียกว่า “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ได้มีการจัดตั้งศาลกงศุล และศาลต่างประเทศขึ้นเพื่อใช้ในการพิจารณาคดี สำหรับคนชาตินั้น ๆ โดยเฉพาะ ไม่ใช้กฎหมายของไทยและไม่ขึ้นศาลไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริที่จะ นำเอาเอกราชทางศาลกลับคืนมา โดยการแก้ไขกฎหมายให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ จึงได้มีส่งข้าราชการและพระ บรมวงศานุวงศ์ไปศึกษากฎหมายที่ต่างประเทศเพื่อนำความรู้มาพัฒนากฎหมาย รวมถึงจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย จากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษา ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการตรวจแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายขึ้นใหม่ โดยตั้งคณะกรรมการซึ่งมีพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระบิดาแห่ง กฎหมายไทย) เป็นประธาน โดยร่างประมวลกฎหมายอาญาเสร็จก่อน (สมัยนั้นคือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127) อีกทั้งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นร่างกฎหมายอื่น ๆ ด้วย ต่อมาในสมัยรัชการที่ 6 ก็ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นร่าง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2468 แรกเริ่มเดิมทีมีเพียง 2 บรรพ คือบรรพ 1 ว่าด้วย บทเบ็ดเสร็จทั่วไป และบรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ หลังจากนั้นก็มีการร่างบรรพอื่น ๆ ขึ้นจนครบ 6 บรรพในภายหลัง ในการปฏิรูประบบกฎหมายจากระบบเดิมที่ล้าสมัยมาเป็นระบบใหม่นั้น ไทยได้รับเอาระบบซีวิล ลอว์มาใช้ซึ่ง เป็นระบบเดียวกับที่ฝรั่งเศสและเยอรมันใช้กัน โดยระบบนี้มีต้นกำเนิดมาจากอาณาจักรโรมัน เริ่มแรกเดิมทีนั้น คณะกรรมการร่างกฎหมายประสงค์ที่จะนำเอาระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์ มาใช้บังคับ แต่เนื่องจากระบบกฎหมาย นี้เป็นระบบกฎหมายที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ เพราะระบบกฎหมายนี้เป็นระบบกฎหมายที่พัฒนามาเป็นเวลาช้า นานจากจารีตประเพณีและระบบสังคมโดยเฉพาะ ตัวบทกฎหมายก็ไม่มีการรวบรวมเอาไว้เป็นหมวดหมู่ทำให้ยากแก่ การศึกษา ซึ่งแตกต่างกับระบบซีวิล ลอว์ ที่มีการรวบรวมกฎหมายไว้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ ทำให้ง่ายแก่ การศึกษาและนำมาใช้เป็นแบบอย่าง อีกทั้งประเทศส่วนใหญ่นอกจากฝรั่งเศสและเยอรมันแล้ว ต่างก็ใช้ระบบ กฎหมายนี้ทั้งสิ้น การที่ประเทศไทยใช้ระบบเดียวกับนานาประเทศก็จะทำให้กฎหมายของไทยมีความเป็นสากลและ เป็นที่ยอมรับ ซึ่งก็จะมีผลทำให้ไทยอาจได้รับเอกราชทางศาลคืนได้ง่ายขึ้น ดังนั้นประเทศไทยจึงนำเอาระบบซิวิล ลอว์มาใช้ โดยนำกฎหมายของประเทศอื่น ๆ มาผสานเข้ากันกับ กฎหมายไทยดั้งเดิม และมีการปรับปรุงให้ทันสมัยเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ จนในที่สุดก็ได้รับเอกราชทางศาล คืนมา และกฎหมายไทยก็ยังมีการพัฒนาขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ เพื่อสามารถใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้ จนถึงปัจจุบัน ..................................................................... (อ่านต่อฉบ ับหน้า)


19 | หน้า COL Churairat COL Churairat


20 | หน้า What a/an + adj. + count. noun + pronoun + verb!


21 | หน้า


22 | หน้า


23 | หน้า


24 | หน้า


25 | หน้า


26 | หน้า .................................................................


27 | หน้า


28 | หน้า


29 | หน้า •


30 | หน้า แล้วคุยกันต่อในฉบับหน้า ขอบคุณคร ับ


31 | หน้า


32 | หน้า


Click to View FlipBook Version