The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรท้องถิ่น 2566

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thitinmn123, 2023-10-07 10:54:01

หลักสูตรท้องถิ่น 2566

หลักสูตรท้องถิ่น 2566

รูปที่ 5 การเตรียมดิน 2.2 การเตรียมหลุมและระยะปลูก การเตรียมหลุมและระยะปลูกชาอู่หลง หลุมปลูกชาอู่หลงควรขุดหลุมขนาด (กว้าง x ยาว x ลึก) ประมาณ 25x25x50 เซนติเมตร มีระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 30-60 เซนติเมตร ระหว่างแถว 1.25-1.5 เซนติเมตร ไร่ละประมาณ 1,700-4,200 ต้น การเตรียมหลุมและระยะปลูกชาอัสสัม หลุมปลูกชาอัสสัม ควรขุดหลุมขนาด (กว้าง x ยาว x ลึก) ประมาณ 50x50x50 เซนติเมตรหรือ 50x50x75 เซนติเมตร โดยมีระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 50-75 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถว 1.25-1.5 ไร่ละ 1,400-2,500 ต้น ต้นพันธุ์ที่ได้จากการปักชำควรปลูกระยะ ถี่ เพราะมีทรงพุ่มเตี้ยและการเจริญเติบโตช้ากว่าต้นพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเมล็ด ในทางตรงกัน ข้ามต้นพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเมล็ด ควรปลูกในระยะห่างเพราะทรงพุ่มมีขนาดใหญ่ เจริญเติบโต เร็ว สามารถแทงรากลงไปได้ลึกและรวดเร็ว


2.3 การปลูก ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกชา คือ ช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือน มิถุนายน ภายหลังจากมีฝนตก 2-3 ครั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่ดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ก่อนปลูกให้รอง ก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อหลุม คลุกเคล้าปุ๋ยกับดินให้เข้ากัน นำต้น ชาลงปลูกให้ลึกเท่ากับความยาวของรากแก้วของต้นกล้า กลบดินให้แน่น ภายหลังการปลูกเสร็จ แล้วให้รดน้ำทันที และรักษาความชื้นด้วยการคลุมดิน วัสดุที่เหมาะใช้คลุมดิน ได้แก่ ฟางข้าว หญ้า แห้ง เป็นต้น รูปที่ 6 การปลูกชา 2.4 การให้น้ำ ชาเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูง และสม่ำเสมอตลอดทั้งปีเพื่อให้มีการแตกยอด อย่างไรก็ ตามสวนชาของชาวบ้านส่วนใหญ่ยังอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติเป็นแหล่งสำคัญ ทำให้สวนชามี ผลผลิตมากน้อยแตกต่างกันไปตามปริมาณน้ำฝน ในแต่ละปี ปัจจุบันในสวนชาที่ทันสมัยนิยมให้น้ำ แบบพ่นฝอย (Sprinkle Irrigation) ควบคู่ไปกับ การอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติโดยให้น้ำแบบพ่น ฝอยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพ ภูมิอากาศและปริมาณน้ำฝน รูปที่ 7 การให้น้ำแบบพ่นฝอย (Sprinkle Irrigation


2.5 การให้ปุ๋ย ปุ๋ยที่ใช้มี 2 ชนิด คือ ปุ๋ยคอก เช่น ปุ๋ยมูลสัตว์ และปุ๋ยวิทยาศาสตร์ แต่ชาวบ้านวาวีนิยม ใช้ปุ๋ยคอกเพื่อให้ชาที่ได้ปลอดสารเคมีมากที่สุด ต้นชามีความต้องการปริมาณปุ๋ยและชนิดของปุ๋ย แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและลักษณะของดินในแต่ละพื้นที่ วิธีการใส่ปุ๋ยโดยมากทำกัน 2 วิธีคือ การใส่ปุ๋ยทางดิน และทางใบ แต่ชาวบ้านวาวีใช้วิธี เดียวคือ การใส่ปุ๋ยทางดิน ชาอู่หลง การใส่ปุ๋ยทางดินสำหรับชาอู่หลงที่ปลูกใหม่ ใส่ปุ๋ยโดยการโรยรอบโคนต้น แล้ว พรวนกลบ สำหรับต้นชาที่มีอายุมาก ให้โรยตามแนวยาวของแถวชา ห่างจากโคนต้นประมาณ 1 ฟุต การใส่ปุ๋ยทางดินใส่ปีละ 1 ครั้ง คือ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ (ปลายฤดูหนาว) ชาอัสสัม ชาวบ้านไม่นิยมใส่ปุ๋ย ส่วนมากจะใช้วิธีทางธรรมชาติ คือ ปุ๋ยที่ได้จากการย่อย สลายของวัชพืชและเศษใบไม้ต่างๆในบริเวณของต้นชา รูปที่ 8 การให้ปุ๋ยทางใบ 2.6 การกำจัดวัชพืช วิธีการกำจัดวัชพืช จะไม่ใช้สารเคมีเข้ามาช่วย แต่จะใช้วิธีอื่นโดยการใช้กรรไกรตัดหญ้า มีด เสียม จอบหรือ เครื่องตัดหญ้า ช่วยในการกำจัด รูปที่ 9 การกำจัดวัชพืช


2.7 การตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแต่งทรงพุ่มให้สะดวกและง่ายต่อการเก็บเกี่ยวยอดชา พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการแตกยอดใหม่ ช่วยสร้างรูปทรงของต้นชา ทำให้ต้นชามีการเจริญทาง กิ่งและใบอย่างต่อเนื่อง และช่วยลดการเกิดโรคหรือการระบาดของโรคและแมลงศัตรู การตัดแต่ง กิ่งของสวนชาจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การตัดแต่งกิ่งเล็ก และการตัดแต่งกิ่งใหญ่ การตัดแต่ง กิ่งเล็กจะทำทุกครั้งภายหลังเก็บยอดใบชา ซึ่ง 1 ปี จะมีการตัดแต่งกิ่งเล็กประมาณ 5-6 ครั้ง ตาม ความถี่ของการเก็บใบชา ส่วนการตัดแต่งกิ่งใหญ่จะทำปีละ 1 ครั้ง ในช่วงปลายปีของทุกปีซึ่ง เป็นช่วงที่อากาศหนาว ใบชาพักตัว อย่างไรก็ตาม การตัด แต่งกิ่งของสวนชาแต่ละที่อาจ มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ความสมบูรณ์ของต้นชา และ การจัดการสวนชาของเจ้าของ สวน การตัดแต่งกิ่งสามารถ ทำได้โดยใช้อุปกรณ์อย่างง่าย เช่น มีด กรรไกร หรือใช้เครื่อง ตัดแต่งกิ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับ สวนชาขนาดใหญ่ รูปที่ 10 การตัดแต่งกิ่ง


บทที่ 4 การดูแลและขยายพันธุ์ชา การขยายพันธุ์ชา ปัจจุบันการขยายพันธุ์ชาของไทยนิยมขยายพันธุ์2 วิธีคือ การเพาะเมล็ด และการปักชำ 1. การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เป็นวิธีที่นิยมใช้กับชาสายพันธุ์อัสสัม ผลชาที่นำมา เพาะต้องเป็นผลชาที่แก่จัด โดยสังเกตจากเปลือกของผลชาจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล ขั้นตอนการเพาะเมล็ดชา 1. เก็บผลชาที่แก่จัดจากต้นชา 2. นำผลชาไปผึ่งให้แห้งในที่ร่ม เปลือกของผลจะแตกออกในระยะ 1-2 วัน 3. คัดแยกเมล็ดออกจากเปลือก นำเมล็ดชาไปแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน เมล็ดชาที่สมบูรณ์จะจมน้ำ 4. นำเมล็ดชาที่สมบูรณ์มาเพาะในถุงพลาสติกสีดำ ขนาด 6x8 นิ้ว ใส่ดิน ผสมในถุง วางเมล็ดโดยตาเมล็ดคว่ำตรงกลางถุง กลบเมล็ดด้วยทราย หนา ประมาณ 1 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่มอย่างสม่ำเสมอใน ระหว่างเพาะเมล็ด 5. เมื่อเมล็ดงอก และต้นชามีอายุประมาณ 8-12 เดือน ต้นชาจะแข็งแรง เต็มที่ มีรากแก้วที่สมบูรณ์ สามารถนำต้นชาออกปลูกลง แปลงได้ 2. การขยายพันธุ์ชาโดยการปักชำ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ให้ลักษณะตรงตามสายพันธุ์เดิม นิยมใช้กับการขยายพันธุ์ชาจีน เช่น ชาพันธุ์อู่หลงเบอร์12 อู่หลงเบอร์17 เป็นต้น ขั้นตอนการปักชำ 1. คัดเลือกต้นพันธุ์ที่แข็งแรง ไม่พบการทำลายของโรคและแมลง เลือกกิ่ง ที่สมบูรณ์อายุของกิ่งไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป สังเกตจากสีของกิ่งควรมีสี น้ำตาล แกมเขียว 2. ตัดกิ่งชำให้มี1 ใบ 1 ข้อ แล้วจุ่มในฮอร์โมนเร่งราก เช่น IBA ความ เข้มข้น 1,500 ppm เพื่อช่วยกระตุ้นและเพิ่มอัตราการ ออกรากของกิ่ง ปักชำให้สม่ำเสมอและเร็วขึ้น 3. นำกิ่งพันธุ์ที่เตรียมไว้ปักชำในถุงพลาสติก วัสดุที่ใช้เพาะควรมีค่าความ เป็นกรดด่างไม่เกิน 5.5 และมีอินทรียวัตถุน้อย การปักชำให้ปักกิ่งส่วน โคนเอียงทำมุม45 องศากับพื้นดิน จัดใบให้หันไปทิศทางเดียวกัน แล้วใช้


ถุงพลาสติกใสคลุมทำเป็นอุโมงค์เพื่อลดการสูญเสียน้ำจากใบ และช่วย เพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ 4. การให้น้ำควรให้2 วันต่อครั้ง หลังปักชำประมาณ 3-4 เดือน ให้นำ ถุงพลาสติกคลุมแปลงออก อนุบาลต้นกล้าต่อไปจนต้นสูงประมาณ 15- 30 เซนติเมตร จึงสามารถย้ายปลูกในแปลงได้โดยช่วงก่อนย้ายลงปลูก ประมาณ 2 สัปดาห์ควรตัดยอดเพื่อ กระตุ้นให้ต้นแตกกิ่งก้าน การดูแลรักษาต้นชา 1. การให้น้ำ ชาเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูง และสม่ำเสมอตลอดทั้งปีเพื่อให้มีการแตกยอด อย่างไรก็ ตามสวนชาของชาวบ้านส่วนใหญ่ยังอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติเป็นแหล่งสำคัญ ทำให้สวนชามี ผลผลิตมากน้อยแตกต่างกันไปตามปริมาณน้ำฝนในแต่ละปี ปัจจุบันในสวนชาที่ทันสมัยนิยมให้น้ำ แบบพ่นฝอย (Sprinkle Irrigation) ควบคู่ไปกับการอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ โดยให้น้ำแบบพ่น ฝอยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศและปริมาณน้ำฝน 2. การให้ปุ๋ย ปุ๋ยที่ใช้มี 2 ชนิด คือ ปุ๋ยคอก เช่น ปุ๋ยมูลสัตว์ และปุ๋ยวิทยาศาสตร์ แต่ชาวบ้านวาวีนิยม ใช้ปุ๋ยคอกเพื่อให้ชาที่ได้ปลอดสารเคมีมากที่สุด ต้นชามีความต้องการปริมาณปุ๋ยและชนิดของปุ๋ย แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและลักษณะของดินในแต่ละพื้นที่ วิธีการใส่ปุ๋ยโดยมากทำกัน 2 วิธีคือ การใส่ปุ๋ยทางดิน และทางใบ แต่ชาวบ้านวาวีใช้วิธี เดียวคือ การใส่ปุ๋ยทางดิน ชาอู่หลง การใส่ปุ๋ยทางดินสำหรับชาอู่หลงที่ปลูกใหม่ ใส่ปุ๋ยโดยการโรยรอบโคนต้น แล้ว พรวนกลบ สำหรับต้นชาที่มีอายุมาก ให้โรยตามแนวยาวของแถวชา ห่างจากโคนต้นประมาณ 1 ฟุต การใส่ปุ๋ยทางดินใส่ปีละ 1 ครั้ง คือ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ (ปลายฤดูหนาว) ชาอัสสัม ชาวบ้านไม่นิยมใส่ปุ๋ย ส่วนมากจะใช้วิธีทางธรรมชาติ คือ ปุ๋ยที่ได้จากการย่อย สลายของวัชพืชและเศษใบไม้ต่างๆในบริเวณของต้นชา การกำจัดวัชพืช วิธีการกำจัดวัชพืช จะไม่ใช้สารเคมีเข้ามาช่วย แต่จะใช้วิธีอื่นโดยการใช้กรรไกรตัดหญ้า มีด เสียม จอบหรือ เครื่องตัดหญ้า ช่วยในการกำจัด การตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแต่งทรงพุ่มให้สะดวกและง่ายต่อการเก็บเกี่ยวยอดชา พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการแตกยอดใหม่ ช่วยสร้างรูปทรงของต้นชา ทำให้ต้นชามีการเจริญทาง


กิ่งและใบอย่างต่อเนื่อง และช่วยลดการเกิดโรคหรือการระบาดของโรคและแมลงศัตรู การตัดแต่ง กิ่งของสวนชาจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การตัดแต่งกิ่งเล็ก และการตัดแต่งกิ่งใหญ่ การตัดแต่ง กิ่งเล็กจะทำทุกครั้งภายหลังเก็บยอดใบชา ซึ่ง 1 ปี จะมีการตัดแต่งกิ่งเล็กประมาณ 5-6 ครั้ง ตาม ความถี่ของการเก็บใบชา ส่วนการตัดแต่งกิ่งใหญ่จะทำปีละ 1 ครั้ง ในช่วงปลายปีของทุกปี ซึ่ง เป็นช่วงที่อากาศหนาว ใบชาพักตัว อย่างไรก็ตามการตัดแต่งกิ่งของสวนชาแต่ละที่อาจมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความ สมบูรณ์ของต้นชา และการจัดการสวนชาของเจ้าของสวน การตัดแต่งกิ่งสามารถทำได้โดยใช้ อุปกรณ์อย่างง่าย เช่น มีด กรรไกร หรือใช้เครื่องตัดแต่งกิ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับสวนชาขนาดใหญ่ ที่มา web2.mfu.ac.th/other/teainstitute/wp-content/uploads/2017/.../การขยายพันธุ์ชา.pdf http://archive.mfu.ac.th/school/agro2012/events/299


บทที่ 5 การเก็บเกี่ยวชา เมื่อต้นชามีอายุได้ประมาณ 3-4 ปี จะเริ่มให้ผลผลิตและสามารถเก็บยอดใบชาได้การ เก็บเกี่ยวยอดชาทำได้ 2 วิธีคือ การเก็บเกี่ยวยอดชาด้วยมือ (hand plucking) และการเก็บเกี่ยว ด้วยเครื่อง (mechanical plucking) การเก็บยอดชาด้วยมือ เป็นวิธีที่ให้ผลผลิตยอดชาสดที่มีคุณภาพดีที่สุด ลักษณะที่ เหมาะสมต่อการเก็บเกี่ยว คือ ยอดชาที่มี 1 ยอดที่ยังไม่คลี่กับใบที่ต่ำลงมา 2 ใบ การเก็บยอดชา ในลักษณะ 1 ยอด 2 ใบนี้ถือได้ว่าเป็นยอดใบชาที่มีคุณภาพที่สุด เหมาะสมต่อการนำไปแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์ชาใบแห้ง การเก็บเกี่ยวด้วยเครื่อง เป็นวิธีที่ประหยัดเวลา สะดวก และรวดเร็ว อย่างไรก็ตามยอด ชาที่เก็บจะไม่มีคุณภาพเหมือนกับการเก็บด้วยมือ การเก็บเกี่ยวชาจะเริ่มตั้งแต่ที่อากาศเริ่มร้อน มีฝนตก คือตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม หรือเดือนเมษายน ซึ่งแล้วแต่ฤดูกาลในปีนั้นๆ ไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน หรือเมื่ออากาศหนาว เนื่องจากใบชาจะไม่แตกใบในช่วงที่มีอากาศหนาว ในช่วงฤดูหนาวเกษตรกรผู้ปลูกชาจะถือเป็น ช่วงพักต้นชาประมาณสามเดือน การเก็บชาจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนเช้าหลังจากที่แดดไล่น้ำค้างออกจากยอดชาแล้วไม่เช้า จนเกินไป เนื่องจากว่าความชื้นจากน้ำค้างจะทำให้ยอดชามีความชื้นสูง นำไปทำชายาก ในช่วงของการพักต้น เกษตรกรจะใช้เวลาในช่วงนี้ดูแลต้นชา เช่นกาฝาก มด เครือ เถาวัลย์ไม่ให้ขึ้นคลุมต้นชา ต้นชาหนึ่งต้นจะมีระยะรอบในการเด็ดใบชาประมาณ 45-50 วัน ในช่วงที่ฝนตกดี อาจจะแตกใบเร็วกว่านั้น รูปที่ 11 การเก็บชาด้วยมือ และเครื่อง


ข้อควรระวัง ในการเก็บยอดชาให้ได้คุณภาพดีนั้น ต้องไม่ให้ใบชาอัดแน่นในตะกร้าหรือกระสอบผ้าที่ใช้ ใส่ใบชา เพราะจะทำให้ยอดชาช้ำและคุณภาพใบชาสดลดลง เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นจาก กระบวนการหายใจของใบชา เมื่อเก็บเกี่ยวยอดชาแล้วควรรีบนำส่งโรงงานผลิตให้เร็วที่สุด


บทที่ 6 การนำชามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ชาอู่หลงและชาอัสสัมสามารถนำมาทำเป็นชาแดง ชาจีน ชาเขียว ชาดำ ชามะลิ ชาเหล่านี้ ต่างกันเพียงแค่กรรมวิธีการผลิต แต่ในหมู่บ้านวาวีของเรานิยมปลูกและจำหน่ายเฉพาะชาอู่หลง และชาอัสสัม โดยไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการแปรรูปใดๆ มักจะนำชาแห้งมาชงดื่มเพื่อความสดชื่น อีก ทั้งยังนำใบชาดิบมาประกอบอาหารได้หลากหลาย เช่น ยำปลากระป๋องใบชา ปลานึ่งซีอิ๊วใบชา ยำ ยอดชาสด ยำใบชาทอดกรอบ และเมนูอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ใบชายังช่วยในเรื่องของการดับ กลิ่น เช่น ดับกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า ดูดกลิ่นคาวจากอาหารในตู้เย็น และยังสามารถนำใบชาแห้งมาใส่ ในโลงศพเพื่อดับกลิ่นได้อีกด้วย ผลิตภัณฑ์จากชาที่นิยมจำหน่ายและได้ราคาดี หมอนสมุนไพรใบชา เป็นหมอนที่ได้จากใบชาแก่ที่ผ่านการอบแห้งมีสรรพคุณช่วยในการ ผ่อนคลายความเครียดแล้วยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นๆอีก หมอนใบชาจึงได้รับความ สนใจจากลูกค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีหลายราคาแตกต่างกันแล้วแต่ขนาด ชาอู่หลงที่ผ่านการอบแห้งที่เป็นที่นิยมของลูกค้าส่วนใหญ่คือ ชาเบอร์12 และ เบอร์ 17 ชาอัสสัมที่ผ่านการอบแห้งที่เป็นที่นิยมของลูกค้าส่วนใหญ่คือชาเกรดเอ คุณลุงอินสอน ประหยัดยอด ผู้ให้ข้อมูล


บทที่ 7 วัฒนธรรมการนำชาไปใช้ประโยชน์ของกลุ่มชาติพันธุ์ ด้านวัฒนธรรมการนำชาไปใช้ประโยชน์ของกลุ่มชาติพันธ์ ชุมชนบ้านวาวีมีชนเผ่าที่ หลากหลายมาอยู่ร่วมกัน ได้แก่ กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงหรือปากากญอ มูเชอหรือลาหลู่เป็นชาติ ติพันธุ์กลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านวาวี เย้าหรือเมี่ยน ไทยใหญ่ พื้นเมือง ลีซอหรือลีซู จีน และอาข่าหรืออีก้อ ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกันไป แต่มีสิ่งที่เหมือนกันของทุกๆชาติ พันธุ์ คือ การประกอบอาชีพประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการปลูกชาเป็นหลักและอาชีพการ ปลูกชาจึงเป็นศูนย์กลางของการอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาติพันธุ์และบางกลุ่มชาติพันธุ์มีการนำชาที่ เป็นอาชีพหลักมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา กลุ่มชาติพันธ์ไทยใหญ่และกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมือง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์แรกที่ได้ประกอบ อาชีพปลูกชาเป็นอาชีพหลักและได้นำชาไปใช้ประกอบในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การนำชาแห้ง ไปใส่ในหลุมศพเพื่อใช้ประโยชน์ของชาในการดับกลิ่น เฉยชาในการไหว้ผีบรรพบุรุษหรือไหว้เจ้า ใช้ในการประกอบอาหารหลังจากนั้นอาชีพการปลูกชาได้ขยายวงกว้างออกไปตามชนเผ่าต่างๆ ที่ ได้เข้ามาใสอยู่ในชุมชนวาวี คือกลุ่มชาติพันธุ์เย้าหรือเมี่ยน ลีซอหรือลีซู จีน และอาข่าหรืออีก้อ ตามลำดับ อีกทั้งยังได้นำอาชีพการปลูกชามาประยุกต์ให้เกิดเป็นการละเล่นของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น การแสดงระบำชาของกลุ่มชาติพันธุ์จีน ในปัจจุบันทุกกลุ่มชาติพันธุ์จะใช้ชาเป็นเครื่องดื่มในการต้อนรับแขกผู้มาเยือนเพื่อบ่งบอก ถึงวิถีชีวิตของชุมชนและอนุรักษ์อาชีพการปลูกชาให้ลูกหลานได้สืบทอดต่อไป


Click to View FlipBook Version