The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อรัญญา โสมล, 2023-07-17 23:04:43

โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก

โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก

E-book รายวิชา ชีวะวิทยา จัด จั ทำ โดย นางสาวอรัญญา โสมลเลขที่ 25 เสนอ คุณครูสุภาวดี ผลมูล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 โรงเรียน ควนกาหลงวิทยาคม "นิคมวัฒนา" เรื่ื่อ รื่ื่ ง โครงสร้างและการเจริญริเติบติ โตของพืชพืดอก


รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาชีววิทยามีเนื้อหา เกี่ยวกับโครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก มี วัตถุประสงค์จัดทำ ขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษา ได้ศึกษาในเรื่อง โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก ซึ่งผู้จัดทำ ได้จัดทำ เนื้อหาไว้ในรายงานทั้งหมด ผู้จัดทำ หวัง เป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจจะ ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง หากรายงานเล่มนี้ผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำ ก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ คำ นำ จัดทำ โดย นางสาวอรัญญา โสมล


สารบัญ บั เรื่อ รื่ ง 1. เนื้อเยื่อพืช 2. โครงสร้างและการเจริญ ริ เติบโตของราก 4. โครงสร้างและการเจริญ ริ เติบโตของใบ 3. โครงสร้างและการเจริญ ริ เติบโตของลำ ต้น


เนื้อเยื่อพืช


เนื้อเยื่อพืชplant tissue พืชทุกชนิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อtissueและต้นอ่อน embryo มีลักษณะ ร่วมที่สำ คัญประการหนึ่งของเซลล์พืชคือ การมีผนังเซลล์ cell wall ที่เป็นกรอบล้อมอยู่รอบ นอกและให้ความแข็งแรงต่อโครงสร้างเซลล์พืช เซลล์พืชทุกชนิดมีผนังเซลล์ที่เรียกว่า ผนัง เซลล์ปฐมภูมิ primary cell wallอยู่ด้านนอกสุด เนื้อเยื่อพืชplant tissue เนื้อเยื่อของพืชดอก flowerplant หรือangiosperm เมื่อพิจารณาตามลักษณะการเจริญ ของเนื้อเยื่อสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.1 เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายapical meristem เมื่อแบ่งเซลล์จะทำ ให้ลำ ต้นยืดยาวออกไป ช่วยเพิ่มความยาวความสูงของพืชจัดเป็นการเจริญเติบโตปฐม ภูมิ primarygrowth เราสามารถพบได้ที่ ยอดราก จะเรียกชื่อตามตำ แหน่งที่พบนั้นๆคือ ที่รากจะเรียกว่า เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายราก apical root meristem พบที่ยอดเรียกว่า เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอดapical shoot meristem 1.เนื้อเยื่อเจริญ meristematic tissue เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์เจริญ ซึ่งเป็นกลุ่มเซลล์ที่มีผนังเซลล์ปฐมภูมิซึ่งมีลักษณะบางสม่ำ เสมอกัน มักมี nucleus ใหญ่มองเห็นได้ชัด มี vacuoleเล็ก ไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์intercellular spacesและกลุ่ม เซลล์เจริญนี้สามารถแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้ตลอดชีวิตของเซลล์จึงเป็นเหตุทำ ให้เนื้อเยื่อเจริญมีการแบ่ง ตัวแบบไมโทซิสได้ตลอดชีวิต เราสามารถจำ แนกตามตำ แหน่งที่อยู่ในส่วนต่างๆของพืชได้3 ชนิด


1.2 เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อintercalary meristem อยู่ระหว่างข้อตรงบริเวณเหนือข้อล่างหรือโคนของปล้อง มีการแบ่งเซลล์ได้ยาวนานกว่าเนื้อเยื่อบริเวณอื่นใน ปล้องเดียวกันทำ ให้ปล้องยาวขึ้น เป็นการเจริญเติบโตปฐมภูมิ พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น หญ้า ข้าว ข้าวโพด อ้อยและไผ่ เป็นต้น 1.3 เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง lateral meristem อยู่ในแนวขนานกับเส้นรอบวงมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำ นวนออกทางด้านข้าง เพื่อเพิ่มขนาดความกว้างหรือเส้น ผ่านศูนย์กลางของลำ ต้นและราก ทำ ให้ลำ ต้นและรากขยายขนาดใหญ่ขึ้น เป็นการเจริญเติบโตขั้นที่สอง secondarygrowth พบได้ในพืชใบเลี้ยงคู่ทุกชนิดและพืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิดเช่น หมากผู้หมากเมียจันทน์ ผา เป็นต้น เนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้เรียกอีกอย่างว่าแคมเบียม cambium แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ ถ้าพบอยู่ระหว่าง เนื้อเยื่อท่อลำ เลียงน้ำ และเนื้อเยื่อท่อลำ เลียงอาหารจะเรียกว่า วาสคิวลาร์แคมเบียม vascular cambium ซึ่ง เมื่อแบ่งเซลล์ทำ ให้เกิดเนื้อเยื่อท่อลำ เลียงเพิ่มมากขึ้น vascular tissueและถ้าพบอยู่ในเนื้อเยื่อชั้นผิวหรือเอ พิสเดอร์มิสepidermis หรือพบถัดเข้าไป เรียกว่าคอร์กแคมเบียม cork cambium ซึ่งเมื่อแบ่งเซลล์ทำ ให้เกิด เนื้อเยื่อคอร์ก cork เนื้อเยื่อพืชplant tissue 2.เนื้อเยื่อถาวรpermanent tissue เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีการเจริญเต็มที่แล้ว ซึ่งเกิดจากการที่เนื้อเยื่อเจริญมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อไปทำ หน้าที่เฉพาะที่แตกต่างกันออกไป มีรูปร่างคงที่ เนื้อเยื่อถาวรจะไม่มีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำ นวนอีก แล้วยกเว้นพาเรงคิมาparenchymaสามารถกลับไปแบ่งเซลล์ได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นการกลับกลาย redifferentiation เนื้อเยื่อถาวรบางชนิดอาจประกอบมาจากกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกัน ในขณะที่บางชนิดอาจ ประกอบขึ้นมาจากเซลล์หลายชนิดก็ได้


เนื้อเยื่อเจริญสามารถจำ แนกตามลักษณะของเซลล์ที่มาประกอบได้2ประเภท เนื้อเยื่อพืชplant tissue 2.1 เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว simplepermanent tissue คือเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นจากเซลล์เดียวกันทั้งหมดได้แก่ เนื้อเยื่อป้องกัน protectiveชั้นนอกสุดจะทำ หน้าที่เสริมความแข็งแรงและปกต้องอันตรายจากภายนอก รวมถึงป้องกันการสูญเสียน้ำ เอพิเดอร์มิสepidermis เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์เอพิเดอร์มอลepidermal cell ที่มีลักษณะ แบน ซึ่งกลุ่มเซลล์จะเรียงตัวกันเพยงชั้นเดียว โดยมีการเรียงตัวอัดแน่นจนไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ไม่มีคลอโร พลาสต์และมักพบคิวตินมาเคลือบทับเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ แต่จะไม่พบในราก ซึ่งเอพิ เดอร์มิสเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่รอบนอกสุดของส่วนต่างๆของพืช คอร์ก cork เกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของคอร์กแคมเบียมบริเวณใกล้ๆกับเอพิเดอร์มิสเรามักพบ บริเวณนอกสุดของลำ ต้น กิ่ง ก้าน และพบในพืชที่มีอายุมากแล้ว มีหน้าที่ป้องกันการระเหยของน้ำ และเซลล์จะ ตายเมื่อโตเต็มที่ เนื้อเยื่อพืชคือ กลุ่มของเซลล์พืชชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกันที่มาทางานร่วมกัน ภายใต้โครงสร้างหรือ อวัยวะต่างๆ ของพืช เช่น ราก ลาต้น ใบ เป็นต้น พาเรงคิมาparenchyma เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์พาเรงคิมาparenchyma cell เป็นเซลล์ที่ มีชีวิต ผนังเซลล์บางสม่ำ เสมอเป็นผนังเซลล์ปฐมภูมิ มีรูปร่างได้หลายแบบ หน้าตัดค่อนข้างกลม มีช่องว่าง ระหว่างเซลล์ ถ้ามีคอลโรพลาสต์จะเรียกว่า chlorenchyma พารเรงคิมาเป็นเนื้อเยื่อพื้นฐานของพืช มีหน้าที่ สะสมอาหารสังเคราะห์ด้วยแสง หลั่งสารพวกแทนนิน ฮอร์โมน เอนไซม์ เป็นต้น มีความสามารถแปรสภาพ กลับกลายredifferentiation มาแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้อีก คอลเลงคิมา collenchyma เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์คอลเลงคิมา collenchyma cell เป็นเซลล์ที่มีชีวิต มีลักษณะคล้ายพาเรงคิมาแต่มีผนังเซลล์หนาไม่สม่ำ เสมอกัน พบมากบริเวณใต้เอพิเดอร์ มิสของก้านใบ เส้นกลางใบ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง สเคอเรงคิมา sclerenchyma เป็นเนื้อเยื่อที่ประกอบขึ้นมาจากเซลล์สเคอเรงคิมา sclerenchyma cell เป็น เซลล์ที่ไม่มีชีวิตแล้วมีผนังเซลล์ทั้งสองขั้นที่ค่อนข้างหนาหรือหนามาก ช่วยพยุงและให้ความแข็งแรงให้กับพืช สามารถจำ แนกตามรูปร่างเซลล์ได้เป็น 2 ชนิดคือ ถ้าเป็นเส้นใยรูปร่างเรียวยาว หัวท้ายแหลม เรียกว่า ไฟเบอร์ fiber ถ้ารูปร่างไม่ยามมากนัก มีหลายแบบเช่น รูปดาว หลายเหลี่ยม เรียกว่าสเกลอรีด sclereid


2.เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน complexpermanent tissue คือประกอบขึ้นมาจากเซลล์หลายชนิดได้แก่ ไซเล็ม xylem ประกอบขึ้นมาจากเซลล์4 ชนิดเป็นเซลล์ที่มีชีวิตคือ พารเรงคิมา ช่วย สะสมอาหาร และเป็นเซลล์ที่ตายแล้วคือไฟเบอร์ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง เทรคีตรูปร่างเรียวยาวมีรูพรุน เวสเซลเมมเบอร์อ้วนสั้น หัวท้ายทะลุถึงกันเหมือนท่อประปา ซึ่งไซเล็มทำ หน้าที่ลำ เลียงน้ำ และแร่ธาตุ อาหารจากรากไปสู่ส่วนต่างๆของพืช เรียกว่าconduction โฟลเอ็ม phloem ประกอบขึ้นมาจากเซลล์4 ชนิดคือ พาเรงคิมา ช่วยสะสมอาหาร ไฟเบอร์ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง ซีฟทิวบ์เมมเบอร์ sievetube member เป็นเซลล์ที่มีชีวิตตอนเกิดใหม่มี นิวเคลียสแต่เมื่อโตได้ถูกสลายไป ซึ่งจะมาเรียงต่อกันเป็นท่อลำ เลียงอาหารและคอมพาเนียนเซลล์ companion cell เป็นเซลล์ติดกับซีฟทิวบ์เมมเบอร์ มีนิวเคลียสเพื่อช่วยซีฟทิวบ์เมมเบอร์ในการขนส่ง น้ำ ตาลไปยังส่วนต่างๆของพืช โฟลเอ็มทำ หน้าที่ลำ เลียงอาหารสารอินทรีย์จากใบไปส่วนต่างๆ การลำ เลียง ทางโฟลเอ็ม เรียกว่า ทรานสโลเคชัน translocation เนื้อเยื่อถาวรสามารถจำ แนกตามหน้าที่ ได้3 ระบบ 1.ระบบเนื้อเยื่อผิว dermal syste 2.ระบบเนื้อเยื่อพื้น ground system 3.ระบบเนื้อเยื่อลำ เลียง vascular system เนื้อเยื่อพืชplant tissue


โครงสร้างและการ เจริญ ริ เติบโตของราก


ราก (Root) เป็น อวัยวะหรือส่วนของพืชที่ไม่มี ข้อ ปล้องตาและใบ ทิศทางการเจริญเติบโตเจริญลงสู่ดินตาม แรงดึงดูดของโลก (Positivegeotropism ) มีกำ เนิดมาจาก radicleของต้นอ่อน (embryo) ซึ่งอยู่ภายในเมล็ดรากที่ เปลี่ยนแปลงมาจากเรดิเคิลจัดเป็นรากที่มีการเจริญในระยะแรก (Primarygrowth)ส่วนรากของพืชใบ เลี้ยงคู่หรือ พืชใบเลี้ยงเดี่ยวบางชนิดจะมี การเจริญเติบโตขั้นที่2 (Secondarygrowth) หน้าที่โดยทั่วไปของราก 1.ค้ำ จุนส่วนต่างๆ ของพืชให้ทรงตัวอยู่ได้(anchorage) 2.ดูดและลำ เลียงน้ำ (absorption and transportation) 3.หน้าที่อื่นๆ ขึ้นกับลักษณะของรากเช่น สะสมอาหารยึดเกาะ ใช้ใน การหายใจเป็นต้น โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของราก


การศึกษาโครงสร้างของรากในระยะที่มีการเจริญขั้นต้น (Primarygrowth) จะแบ่งศึกษา 2ลักษณะคือ 1.ศึกษาโครงสร้างตามยาวของราก 2.ศึกษาโครงสร้างในภาคตัดขวาง 1. โครงสร้างตามยาวของราก แบ่งได้4 บริเวณ คือ 1. บริเวณหมวกราก (Root cap) ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมา (Parenchyma) เรียงตัวกันอย่างหลวมๆ ผนังค่อนข้างบาง มีแวคิวโอ ลนาดใหญ่ สามารถผลิตเมือกได้ ทำ ให้หมวกรากชุ่มชื้และอ่อนตัวสะดวกค่อการชอนไชและสามารถ ป้องกันอันตรายให้กับบริเวณที่อยู่เหนือขึ้นไปได้ 2. บริเวณเซลล์กำ ลังแบ่งตัว(Regionof cell division) อยู่ถัดจากรากขึ้นมาประมาณ 1-2 mm เป็นบริเวณของเนื้อเยื่อเจริญ จึงมีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซีส เพื่อเพิ่มจำ นวน โดยส่วนหนึ่งเจริญเป็นหมวกราก อีกส่วนเจริญเป็นเนื้อเยื่อ ที่อยู่สูงถัดขึ้นไป 3. บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว (Regionof cellelongation) อยู่ถัดจากบริเวณเซลล์มีการแบ่งตัว เป็นบริเวณที่เซลล์มีการยืดยาวขึ้น 4. บริเวณเซลล์เปลี่ยนแปลงไปทำ หน้าที่เฉพาะ (Regionof cell differentiation and maturation) ประกอบด้วยเซลล์ถาวรต่างๆ ซึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญมีโครงสร้างเพื่อทำ หน้าที่ ต่างๆ บริเวณนี้จะมีเซลล์ขนราก (Root hair cell) โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของราก


2. โครงสร้างของรากตามภาคตัดขวาง แบ่งศึกษา เป็น 2 กรณี คือ - โครงสร้างตัดตามขวางของรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว - โครงสร้างตัดตามขวางของรากพืชใบเลี้ยงคู่ ***ซึ่งสามารถแยกเป็นบริเวณ หรือชั้นต่างๆตามลักษณะเซลล์ที่เห็นได้3บริเวณ ดังนี้ 1. เอพิเดอร์มิส(Epidermis) เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดมีเซลล์ที่เรียงตัวกันเพียงชั้นเดียวและผนังเซลล์บาง ไม่มีคลอโรพลาสต์ บาง บริเวณพบเซลล์ขนราก ช่วยในการดูดซึมน้ำ และแร่ธาตุ 2.คอร์เท็กซ์ (Cortex) เป็นอาณาเขตระหว่างชั้น epidermisและ stele ประกอบด้วยเนื้อเยื่อพาเรงคิมาที่ทำ หน้าที่สะสมน้ำ และ อาหารเป็นส่วนใหญ่ ชั้นในสุดของ cortex จะเห็นเป็นเซลล์เรียงแถวเดียวเรียก เอนโดเดอร์มิส (Endodermis) ซึ่งจะมีสารซูเบอรินมาสะสมเป็นแถบเรียกแถบ แคสพาเรียนสตริพ (Casparian strip) เมื่อ อายุมากขึ้นจะมีลิกนินมาสะสมเพิ่ม เห็นชัดเจนในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวแต่จะมี บางช่วงที่ เซลล์มีผนังบางแทรก อยู่ในชั้นนี้และจะเป็นบริเวณที่อยู่ตรงกับแนวของไซเลม โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของราก


3.สตีล(Stele) เป็นบริเวณที่อยู่ถัดจากชั้น endodermisเข้าไป พบว่าsteleในรากจะแคบกว่าชั้น cortex ประกอบด้วยชั้นต่างๆดังนี้ 3.1 เพอริไซเคิล(Pericycle) เป็นเซลล์ผนังบางขนาดเล็กมี 1-2แถว พบเฉพาะในรากเท่านั้น เป็นแหล่งกำ เนิด ของรากแขนง ( secondary root ) ในพืชบางชนิดเนื้อเยื่อชั้นนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเป็น คอร์ก แคมเบียม (Cork cambium) 3.2 มัดท่อลำ เลียง (Vascular bundle) ประกอบด้วยxylem อยู่ตรงใจกลางเรียงเป็นแฉกโดยมี phloem อยู่ระหว่างแฉก สำ หรับพืชใบเลี้ยงคู่ต่อมาจะเกิดเนื้อเยื่อเจริญ vascular cambium คั่นระหว่าง xylem กับ phloem ในรากของพืชใบเลี้ยงคู่มีจำ นวนแฉกน้อยประมาณ 1-6แฉก โดยมากมักมี 4แฉก ส่วนรากของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมักมีจำ นวนแฉกมากกว่า 3.3 พิธ (pith) เป็นบริเวณตรงกลางรากหรือไส้ในของรากเห็นได้ชัดเจนในรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วน ใหญ่เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมาส่วนรากพืชใบเลี้ยงคู่ตรงกลางมักเป็น xylem โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของราก


โครงสร้างและการ เจริญ ริ เติบโตของลำ ต้น


ลำ ต้น ลำ ต้นเป็นโครงสร้างของพืชที่เจริญถัดขึ้นมาจากราก ลำ ต้นมีข้อปล้อง บริเวณข้อจะมีใบ ที่ซอกใบ มีตาลำ ต้นทำ หน้าที่ชูกิ่ง ใบ ดอก ผลและทำ หน้าที่ลำ เลียงอาหาร ธาตุอาหารและน้ำ 1. เนื้อเยื่อบริเวณปลายยอด เมื่อตัดตามยาวผ่านกลางส่วนปลายยอดแล้วนำ ไปศึกษาลักษณะเนื้อเยื่อโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ กำ ลังขยายต่างๆ จะเห็นเซลล์มีลักษณะขนาดรูปร่างและการเรียงตัวเป็นบริเวณต่างๆ ดังนี้ โครงสร้างภายในลำ ต้น 1.ลำ ต้นพืชใบเลี้ยงคู่ เมื่อตัดลำ ต้นของพืชใบเลี้ยงคู่ที่ยังอ่อนอยู่ตามขวางแล้วนำ มาศึกษาจะพบลักษณะการเรียงตัว ของลำ ต้นและรากคล้ายกันและลำ ต้นมีการเรียงตัวดังนี้ 1) เอพิเดอร์มิส( Epidermis )อยู่ชั้นนอกสุด ปกติเป็นเซลล์เรียงตัวชั้นเดียว ไม่มีคลอโรฟิลล์อาจ เปลี่ยนแปลงไปเป็นขน หนาม หรือเซลล์คุม ( GuardCell ) ผิวด้านนอกของ เอพิ-ดอร์มิสมักมีสารพวกคิวทิน เคลือบอยู่เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ 2)คอร์เทกซ์ (Cortex ) มีอาณาเขตแคบกว่าในรากเซลล์ส่วนนี้ส่วนใหญ่เป็นเซลล์พาเรงคิมา เรียงตัวกันหลายชั้น เซลล์พวกนี้มักมีสีเขียวและสังเคราะห์ด้วยแสงได้ด้วย นอกจากนี้ยังช่วย สะสมน้ำ และอาหารให้แก่พืช เซลล์ชั้นคอร์เทกซ์ที่อยู่ติดกับเอพิเดอร์มิสเป็นเซลล์เล็กๆ 2-3แถว คือเซลล์พวกคอลเลงคิมาและมีเซลล์สเกลอเรงคิมาแทรกอยู่ช่วยให้ลำ ต้นแข็งแรงขึ้น การแตก กิ่งของพืชจะแตกในชั้นนี้เรียกว่า “ เอกโซจีนัสบรานชิ่ง ( Exogenous branching)” ซึ่งแตกต่าง จากรากซึ่งเป็นเอนโดจีนัสบรานชิ่ง ชั้นในของคอร์เทกซ์คือเอนโดเดอร์มิสเป็นเซลล์เรียงตัวชั้น เดียวในลำ ต้น พืชส่วนใหญ่มักเห็นชั้นเอนโดเดอร์มิสได้ไม่ชัดเจนหรือไม่เห็นเลยซึ่งแตกต่างจาก รากซึ่งมีและเห็นชัดเจน เซลล์ที่ทำ หน้าที่ในการหลั่งสาร ( SecretoryCell ) เช่น เรซิน (Resin ) น้ำ ยาง ( Latex ) ก็อยู่ในชั้นนี้ โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของลำ ต้น


โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของลำ ต้น สตีล( Stele) ในลำ ต้นฃั้นสองของสตีลจะแคบมากและแบ่งออกจากชั้นของคอร์เทกซ์ได้ไม่ ชัดเจนนัก และแตกต่างจากในราก ประกอบด้วย 3.1 มัดท่อลำ เลียงอยู่เป็นกลุ่มๆ ด้านในเป็นไซเลม ด้านนอกเป็นโฟลเอ็มเรียงตัวในแนวรัศมี เดียวกัน 3.2 วาสคิวลาร์เรย์เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมาที่อยู่ระหว่างมัดท่อลำ เลียง เชื่อมต่อระหว่างคอร์เทกซ์ และพิธ 3.3 พิธอยู่ชั้นในสุดเป็นไส้ในของลำ ต้นประกอบด้วยเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ทำ หน้าที่สะสมแป้งหรือ สารต่างๆ เช่น ผลึกแทนนิน (Tannin ) พิธที่แทรกอยู่ในมัดท่อลำ เลียงจะดูดคล้ายรัศมี เรียกว่า พิธเรย์(PithRay ) ทำ หน้าที่สะสมอาหาร ช่วยลำ เลียงน้ำ เกลือแร่และอาหารไปทางด้านข้าง ของลำ ต้น 2.ลำ ต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ลำ ต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตขั้นต้น (Primary Growth ) เท่านั้น มีชั้นต่างๆ เช่นเดียวกับพืชใบเลี้ยงคู่ต่างกันที่มัดท่อลำ เลียงรวมกันเป็นกลุ่มๆประกอบด้วยเซลล์ค่อนข้าง กลมขนาดใหญ่ 2 เซลล์ซึ่งได้แก่ไซเลมและเซลล์เล็กๆ ด้านบนคือโฟลเอ็ม ส่วนทางด้านล่างของ ไซเลมเป็นช่องกลมๆ เช่นกันคือช่องอากาศมัดท่อลำ เลียงของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีบันเดิลชีท (BundleSheath ) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อพวกพาเรงคิมาที่มีแป้งสะสมหรืออาจเป็นเนื้อเยื่อสเกลอเรงคิ มามาหุ้มล้อมรอบเอาไว้ กลุ่มของมัดท่อลำ เลียงจะกระจายทุกส่วนของลำ ต้น แต่มักอยู่รอบนอก มากว่ารอบในและมัดท่อลำ เลียงไม่มีเนื้อเยื่อเจริญด้านข้างหรือแคมเบียมคั่นอยู่ พืชพวกนี้จึง เจริญเติบโตด้านข้างจำ กัดแต่มักจะสูงขึ้นได้มาก เนื่องจากพืชใบเลี้ยเดี่ยวมีเนื้อเยื่อเจริญบริเวณ ข้อทำ ให้ปล้องยืดยาวขึ้น ในพืชบางชนิดส่วนของพืชจะสลายไปกลายเป็นช่องกลวงอยู่กลาง ลำ ต้น เรียกว่า “ ช่องพิธ (PithCavity ) ” เช่น ในลำ ต้นของไผ่ หญ้า เป็นต้น ในพืชพวกหมากผู้หมากเมียและจันทน์ผา จะมีมัดท่อลำ เลียงคล้ายพืชใบเลี้ยงคู่และมีแคมเบียม ด้วยทำ ให้เจริญเติบโดทางด้านข้างได้และยังสามารถสร้างคอร์กขึ้นได้เมื่อมีอายุมากขึ้น


การเจริญเติบโตขั้นที่สองของลำ ต้นใบเลียงคู่ พืชใบเลี้ยงคู่ที่มีเนื้อไม้เป็นการเจริญเติบโตเพื่อขยาย ขนาดทางด้านข้างจะมีวาสคิวลาร์แคมเบียมเกิด ขึ้นตรงแนวระหว่างไซเลม และโฟลเอ็มของการ เจริญเติบโตขั้นแรกวาสคิวลาร์แคมเบียม จะแบ่งเซลล์ สร้างเนื้อเยื่อไซเลมขั้นที่สองเพิ่มขึ้นทางด้านในและสร้างเนื้อเยื่อโฟลเอ็มขั้นที่สองเพิ่มขึ้นทาง ด้านนอกการแบ่งเซลล์ได้ไซเลมขั้นที่สองจะเกิดขึ้นเร็็วกว่าการเกิดโฟลเอ็มขั้นที่สอ ง ในพืชส่วนมากโฟลเอ็มขั้นแรกทางด้านนอกจะถูกโฟลเอ็มขั้นที่สองที่สร้างขึ้นใหม่เบียดจน สลายไปหมดในรอบ 1 ปี วาสคิวลาร์แคมเบียมของพืชที่มีเนื้อไม้จะมีการแบ่งเซลล์สร้างไซเลม และโฟลเอ็มขั้นที่สองจำ นวนมากน้อยต่างกันในแต่ละฤดูขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ และแร่ธาตุอาหาร ในฤดูที่สิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ดีเช่น ฤดูฝน เซลล์ชั้นไซเลมจะเจริญเร็วมีขนาดใหญ่ทำ ให้ได้ชั้น ไซเลมกว้างและมีสีจางส่วนในฤดูแล้งเซลล์ชั้นไซเลมจะเจริญช้ามีขนาดเล็กเบียดกันแน่นทำ ให้ เห็นเป็นแถบแคบๆ และมีสีเข้ม ลักษณะดังกล่าวทำ ให้เนื้อไม้มีสีจางและมีสีเข้มสลับกันมองเห็น เป็นวงเรียกว่า วงปี (annual ring) โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของลำ ต้น


โครงสร้างและการ เจริญ ริ เติบโตของใบ


โครงสร้างของใบ 1. เอพิเดอร์มีส(epidermis) เป็นเนื้อเยื่อที่เรียงกันเป็นชั้นเดียว มีอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่างของใบ บาง เซลล์ในชั้นเอพิเดอร์มีสนี้จะเปลี่ยนแปลงไปทำ หน้าที่ควบคุมการแลกเปลี่ยนก๊าซ เรียกว่า เซลล์คุม (guard cell)ตรงกลางของเซลล์คุมนี้จะมีปากใบ (stoma) ทำ หน้าที่คายน้ำ และแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน กับ คาร์บอนไดออกไซด์ 2. มีโซฟีลล์(mesophyll)คือส่วนกลางของใบ แบ่งเป็น 2 บริเวณ คือ 2.1 พาลิเซด มีโซฟีลล์เซลล์มีรูปร่างยาวเรียว เรียงตัวกันหนาแน่น 1-2 ชั้น ถัดจากเอพิเดอร์มีสด้านบน ใน เซลล์จะมีคลอโรพลาสต์อยู่เต็ม เป็นชั้นที่เกิดการสังเคราะฆ์แสงได้มากที่สุด 2.2สปันจี มีโซฟีลล์อยู่ถัดจากชั้นพาลิเซคลงมา เซลล์รูปร่างไม่แน่นนอน อยู่กันอย่างหลวมๆ ทำ ให้เกิดการ แลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างใบกับสิ่งแวดล้อมได้ดี ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสอยู่บ้าง โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของใบ ก้านใบ (petiole)คือส่วนคล้ายกิ่ง ทำ หน้าที่เชื่อม ต่อระหว่างลำ ต้นกับใบที่ไม่มีก้านใบเรียกว่า เซส ไซล์(sessileleaf)ลักษณะของก้านใบมีแตกต่าง กันไปหลายแบบ เช่น - พัลวินัส(pulvinus)คือส่วนก้านใบที่โป่งพอง ออกเล็กน้อย - ก้านใบแผ่เป็นกาบ (sheathingleaf-base) -ดีเคอร์เรนท์ (decurrent)คือ ก้านใบอาจรวมทั้ง ฐานใบแผ่ออกเป็นปีก แล้วโอบล้อมลำ ต้นลงไป จนถึงข้อด้านล่าง - ก้านใบแผ่เป็นแผ่นคล้ายปีก (wingedpetiole) - ก้านใบโป่งพอง เพื่อช่วยพยุงลำ ต้นให้ลอยน้ำ


หูใบ (stipule)คือส่วนที่เจริญออกจากฐานใบ ทำ หน้าที่ป้องกันอันตรายให้ กับ ตาอ่อนพบทั่วไปในพืชใบเลี้ยงคู่แต่ไม่ค่อยพบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ถ้ามีหู ใบเรียกว่าสติพูเลท (stipulateleaf) ถ้าไม่มีหูใบเรียก เอกสติพู เลท(exstipulateleaf)ลักษณะของหูใบ เช่น -แอดเนท (adnate หรือadherent)คือ มีหูใบ 2อัน ซึ่งเชื่อมติดกับก้านใบ ทั้งสองด้านทำ ให้ดูคล้ายปีก -อินทราเพทิโอลาร์ (intrapetiolar stipule) หูใบอยู่ที่โคนก้านใบตรง บริเวณมุมระหว่างก้านใบกับลำ ต้น -อินเทอร์เพทิโอลาร์ (interpetiolar stipule) หูใบอยู่ระหว่างก้านใบที่ติด กับลำ ต้นแบบตรงข้าม -โอเครีย(ochrea)คือ หูใบ 2อันที่เชื่อมติดกันกลายเป็นหลอดหุ้มลำ ต้นไว้ อาจเชื่อมเป็นหลอดตลอดความยาว หรืออาจมีส่วนปลายโอเครียแยกกัน บ้าง -หูใบเปลี่ยนแปลงเป็นมือเกาะ (tendrillar stipule) -หูใบเปลี่ยนแปลงเป็นหนาม -หูใบเปลี่ยนเป็นกาบหุ้มยอดอ่อนของลำ ต้น -หูใบแผ่ออกคล้ายใบ (foliaceous stipule) แผ่นใบ (lamina หรือblade)คือส่วนที่แผ่แบนออกเป็นแผ่นซึ่งอาจมีรูป ร่างแตกต่างกันไปหลายแบบดังนี้ ปลายใบ (leaf apex)คือส่วนบนหรือปลายสุดของแผ่นใบซึ่งมีลักษณะ ต่างๆ กัน ฐานใบ (leaf base)คือส่วนของแผ่นใบที่บริเวณติดกับก้านใบ ซึ่งมีการ ผันแปรแตกต่างกันไปได้หลายลักษณะ ขอบใบ (leaf margin) มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของใบ


ชนิดของใบ แบ่งออกเป็น 1. ใบเดี่ยว (simpleleaf)คือใบที่มีแผ่นใบ 1แผ่นติดอยู่บนก้านใบ 1 ก้าน 2. ใบประกอบ (compound leaf)คือใบที่มีแผ่นใบย่อย(leaflet)ตั้งแต่2 ใบขึ้นไปติดอยู่บนก้านใบ 1 ก้าน แบ่งออกเป็น - ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaf) - ใบประกอบแบบมือ(palmately compound leaf) การเรียงตัวของเส้นใบ (venation) มี 3แบบ คือ 1. เส้นใบเรียงขนาน เส้นใบเรียงขนานกัน (parallel venation)เส้นใบจะเรียงขนานกันตั้งแต่ฐานจนถึงปลายใบ พบในใบพืชใบ เลี้ยงเดี่ยว เส้นใบเรียงขนานคล้ายฝ่ามือ(palmatelyparallel venation) เป็นการเรียงของเส้นใบจากฐานใบขนาน ไปเรื่อยจนจดปลายใบ เส้นใบเรียงขนานคล้ายขนนก (pinnatelyparallel venation) เป็นการเรียงของเส้นใบที่แตกจากเส้น กลางใบแล้วขนานกันไปจนจดขอบใบ 2. เส้นใบเรียงแบบร่างแห เส้นใบเรียงแบบร่างแห (netted venation หรือreticulatevenation) มีการแตกแขนงของเส้นใบย่อย ออกไปทุกทิศทางแล้วมาประสานกันเป็นร่างแห พบในใบพืชใบเลี้ยงคู่แบ่งเป็น เส้นใบเรียงแบบร่างแหคล้ายฝ่ามือ(palmately netted venation) มีเส้นใบใหญ่มากกว่า 1 เส้น แตก เรียงขนานจากฐานไปสู่ปลายใบ แล้วมีเส้นใบย่อยแตกแขนง เส้นใบเรียงแบบร่างแหคล้ายขนนก (pinnately netted venation) มีเส้นกลางใบ 1 เส้นแตกจากฐานใบ ไปสู่ปลายใบ แล้วมีเส้นใบย่อยแตกเป็นร่างแห 3. เส้นใบเรียงแบบไดโคโตมัส เส้นใบเรียงแบบไดโคโตมัส(dichotomous venation) เส้นใบจะเรียงขนาน แต่ปลายสุดของเส้นใบแตก เป็น 2แฉก โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของใบ


หน้าที่ของใบ ใบ ของพืชมีหน้าที่ ดังนี้ 1. ปรุงอาหาร หรือกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งจะเกิดเฉพาะ ในเวลากลาง วัน และเกิดที่ใบเป็นส่วนใหญ่ ที่ลำ ต้น หรือส่วนประกอบอื่นที่มีสีเขียว ก็สามารถ ปรุงอาหารได้ 2. หายใจ พืชจำ เป็นต้องมีการหายใจตลอดเวลาเช่นเดียวกับสัตว์ ในเวลากลางวัน พืชจะหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา เมื่อเราเข้าไปในป่า หรือนั่งใต้ต้นไม้ในเวลากลางวันจึงรู้สึกสดชื่น เนื่องจากได้รับ อากาศ บริสุทธิ์จากต้นไม้ 3.คายน้ำ การคายน้ำ เป็นการปรับอุณหภูมิภายในต้นพืชไม่ให้สูงมาก ในวันที่มี อากาศร้อนพืชจะคายน้ำ มากกว่าวันที่อากาศปกติ โครงสร้างและการเจริญ เติบโตของใบ


Click to View FlipBook Version