The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kph.wanwisa, 2020-11-22 21:27:04

อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง

อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง

รายงานการสาํ รวจทรพั ยากรป่ าไม้

อทุ ยานแห่งชาตนิ าํ้ ตกหว้ ยยาง

กล่มุ งานวิชาการสาํ นักบริหาร
พื้นที่อนุรกั ษ์ที่ 3 (สาขาเพชรบุรี) ส่วนสาํ รวจและวิเคราะหท์ รพั ยากรป่ าไม้
สาํ นักฟื้ นฟแู ละพฒั นาพื้นที่อนุรกั ษ์ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ ่ า และพนั ธพ์ุ ืช พ.ศ. 2557

บบททสสรรุุปปสสําําหหรรัับบผผ้บููบรรหิิหาารร

จากสถานการณปาไมในปจจุบันพบวา พื้นที่ปาไมในประเทศเหลืออยูเพียงประมาณรอยละ 31.57 ของ
พ้ืนที่ประเทศ การดําเนินการสํารวจทรัพยากรปาไมจึงเปนอีกทางหนึ่งที่ทําใหทราบถึงสถานภาพและศักยภาพของ
ทรัพยากร ตลอดจนปจ จยั ทางเศรษฐกิจและสังคมทมี่ ผี ลตอ การบุกรุกทาํ ลายปา เพอื่ นํามาใชใ นการดาํ เนินการ
ตามภาระรับผดิ ชอบตอ ไป ซึ่งกรมอทุ ยานแหงชาติ สตั วปา และพนั ธพุ ืช ไดดําเนินการมาอยา งตอ เนือ่ ง

ในปงบประมาณ พ.ศ. 2556 กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดจัดสรรงบประมาณการ
ดําเนินงาน และกําหนดจุดสํารวจเปาหมายในพ้ืนท่ีอุทยานแหงชาตินํ้าตกหวยยาง ซ่ึงมีเนื้อท่ีประมาณ
100,625.00 ไร หรือ 161 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมอยูในเขตอําเภอเมือง อําเภอทับสะแก และอําเภอ บาง
สะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธซึ่งอยูในความดูแลรับผิดชอบของสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษที่ 3 (สาขาเพชรบุรี)
จํานวน 22 แปลง สาํ หรับการวางแปลงตวั อยางถาวร (Permanent Sample Plot) ทีม่ ขี นาดคงท่ี รูปวงกลม 3 วง
ซอนกัน คือ วงกลมรัศมี 3.99, 12.62, 17.84 เมตร ตามลําดับ และมีวงกลมขนาดรัศมี 0.631 เมตร อยูตามทิศ
หลักทงั้ 4 ทิศ

ผลการสํารวจและวิเคราะหขอมูล พบวา มีชนิดปาหรือลักษณะการใชประโยชนที่ดินท่ีสํารวจ 4
ประเภท ไดแ ก ปาดิบชน้ื ปาดิบแลง ปาเบญจพรรณและพ้ืนที่เกษตรกรรม โดยปาดบิ แลง พบมากสดุ คิดเปนรอย
ละ 54.55 ของพื้นท่ีสํารวจ รองลงมา คือ ปาดิบชื้น พื้นที่เกษตรกรรม และปาเบญจพรรณ คิดเปนรอยละ
31.82, 9.09 และ 4.55 ของพื้นที่สาํ รวจตามลําดับ สําหรับพรรณไมร วมทุกชนิดปาพบท้ังส้ิน 39 วงศ 191 ชนิด
จํานวน 11,109,000 ตน โดยมีตนไมที่ยังไมทราบชนิด (Unknown) จํานวน 65,864 ตน และมีปริมาตรไมรวม
ทัง้ หมด 3,131,781.03 ลกู บาศกเ มตร ปริมาตรไมเ ฉล่ีย 39.41 ลกู บาศกเ มตรตอไร มคี วามหนาแนนของตนไม
เฉลี่ย 110.40 ตนตอไร ซ่ึงเมื่อเรียงลําดับชนิดไมที่มีปริมาณไมมากท่ีสุด 10 อันดับแรก ไดแก กระบกกรัง (Hopea
helferi) ไขเขียว (Parashorea stellate) กระทุมหูกวาง (Neonauclea sessilifolia) ตะเคียนหนู (Anogeissus
acuminate) แกวลาว (Walsura pinnata) ตาเสือ (Aphanamixis polystachya) ดําดง (Diospyros pubicalyx)
ยางยูง (Dipterocarpus grandifloras) เค่ียมคะนอง (Shorea henryana) และทองโหลง (Erythrina fusca)
ตามลาํ ดับ โดยปริมาณไมยืนตนท่ีพบมากทสี่ ุดพบในปา ดบิ แลง รองลงมา คือ ปาดบิ ชื้น ปริมาณกลาไม (Seeding)
ท่ีพบในแปลงสํารวจมี 47 ชนิด 30 วงศ 655,709,091 ตน โดยมีตนไมที่ยังไมทราบชนิด (Unknown) จํานวน
87,818,182 ตน ซึ่งเมื่อเรียงลําดับชนิดไมที่มีปริมาณมากที่สุด 10 อันดับแรก ไดแก แขงแคะ (Cleistanthus
papyraceus) เปลาใหญ (Croton roxburghii) คงคาเดอื ด (Arfeuillea arborescens) พลองกนิ ลูก (Memecylon
ovatum) กระแจะ (Naringi crenulata) แกวน้ํา (Cleistanthus hirsutulus) เสลาเปลือกบาง (Lagerstroemia
venusta) สะเตา (Pterospermum grandiflorum) ตะเคียนหนู (Anogeissus acuminata) และปอขนุน (Sterculia
parviflora) ตามลาํ ดับ โดยสํารวจพบปริมาณกลา ไมมากท่สี ดุ ในพนื้ ทเี่ กษตรกรรม รองลงมาพบในพื้นท่ีปาดิบแลง
สวนลูกไม (Sapling) ท่ีพบในแปลงสาํ รวจมี 66 ชนิด 34 วงศ จํานวนทั้งหมด 210,324,545 ตน ไมทราบชนิด
(Unknown) จํานวน 5,122,727 ตน ซึ่งเมอื่ เรียงลําดับชนิดไมทม่ี ีปริมาณมากที่สุด 10 อันดับแรก ไดแ ก ตะเคียนหนู

(Anogeissus acuminata) ปอข้ีไก (Trema tomentosa) เปลาใหญ (Croton roxburghii) ยู (Pterospermum
pecteniforme) ตะแบกกราย (Terminalia pierrei) แกว (Murraya paniculata) คงคาเดือด (Arfeuillea
arborescens) เม็ก (Macaranga tanarius) แขง แคะ (Cleistanthus papyraceus) และกระเบากลัก (Hydnocarpus
ilicifolia) ตามลําดับ โดยสํารวจพบปริมาณลูกไมมากท่ีสุดในปาดิบแลง รองลงมาคือปาดิบช้ืน และจากการสํารวจ
ชนิดไมไผ พบวามีไผ 3 ชนิด ไดแก ไผไร (Gigantochloa albociliata) ไผรวก (Thyrsostachys siamensis)
และไผกะแสนดาํ (Schizostachyum mekongensis) ซึง่ สํารวจพบเฉพาะในปา ดบิ แลงและปา เบญจพรรณ

สวนผลการวิเคราะหขอมูลสังคมพืช พบวาชนิดไมท่ีมีคาความสําคัญทางนิเวศวิทยา (Importance
Value Index: IVI) มากท่ีสุด คือ ตะเคียนหนู (Anogeissus acuminata) รองลงมา คือ คงคาเดือด
(Arfeuillea arborescens) สวนการวิเคราะหขอมูลเกี่ยวกับความหลากหลายทางชวี ภาพ พบวา ชนิดปาหรือ
ลักษณะการใชป ระโยชนทด่ี นิ ทีม่ ีความหลากหลายของชนิดพันธไุ ม (Species Diversity) มากทีส่ ดุ คอื ปา ดิบชื้น
รองลงมา คอื ปา ดิบแลง ชนดิ ปา หรอื ลกั ษณะการใชประโยชนท ี่ดนิ ท่มี ีความมากมายของชนิดพันธไุ ม (Species
Richness) มากท่สี ดุ คือ ปาดิบชื้น รองลงมา คอื ปา ดิบแลง และชนดิ ปาหรือลักษณะการใชประโยชนที่ดินที่มี
ความสมํ่าเสมอของชนิดพันธุไม (Species Evenness) มากที่สุด คือ ปาเบญจพรรณ รองลงมา คือ ปาดิบช้ืน
และปาดิบแลงตามลาํ ดบั

ผลการวิเคราะหขอมูลโครงสรา งปาในทุกชนดิ ปาหรือทุกลักษณะการใชป ระโยชนท่ีดิน พบวา มีไมยืน
ตนขนาดเสนรอบวงเพียงอก (GBH) ระหวาง 15-45 เซนติเมตร จํานวน 7,947,545 ตน ขนาดเสนรอบวงเพียง
อก (GBH) อยูระหวาง >45-100 เซนติเมตร จํานวน 2,524,773 ตน และขนาดเสนรอบวงเพียงอก (GBH)
มากกวา 100 เซนติเมตรขน้ึ ไป จํานวน 636,682 ตน

จากผลการดําเนนิ งานดงั กลาว ทาํ ใหทราบขอ มูลพืน้ ฐานเกีย่ วกับทรัพยากรปา ไม โดยเฉพาะดา นกําลัง
ผลติ และความหลากหลายของพนั ธุพชื ในพ้ืนท่ีตาง ๆ ของอุทยานแหงชาตินํ้าตกหวยยาง อกี ทั้งยงั เปนแนวทาง
ในการสํารวจทรัพยากรปาไมเก่ียวกับรูปแบบ วิธีการสํารวจ และการวิเคราะหขอมูลอยางเปนระบบและแบบ
แผน เพ่ือเปนแนวทางในการติดตามการเปล่ียนแปลงของทรัพยากรปาไมในพื้นท่ีอุทยานแหงชาติน้ําตกหวย
ยางตอไป

สสาารรบบัญัญ i

เรอื่ ง หนา

สารบญั i
สารบญั ตาราง iii
สารบัญภาพ iv
คํานํา 1
วตั ถปุ ระสงค 2
เปาหมายการดาํ เนนิ งาน 2
ขอ มูลทั่วไปอุทยานแหงชาติน้าํ ตกหวยยาง 3
3
ประวตั คิ วามเปนมา 3
ทตี่ ง้ั และลักษณะภูมิประเทศ 4
การเดินทางและเสน ทางคมนาคม 4
ลักษณะภูมอิ ากาศ 5
จดุ เดนที่นาสนใจ 9
รปู แบบและวิธกี ารสํารวจทรัพยากรปาไม 9
การสุมตัวอยา ง (Sampling Design) 10
รปู รา งและขนาดของแปลงตัวอยา ง (Plot Design) 10
ขนาดของแปลงตวั อยางและขอมลู ที่ทําการสํารวจ 11
การวเิ คราะหข อ มูลการสํารวจทรพั ยากรปา ไม 11
1. การคํานวณเน้ือทป่ี า และปรมิ าณไมท้งั หมดของแตล ะพื้นท่ีอนุรกั ษ 11
2. การคํานวณปรมิ าตรไม 13
3. ขอ มลู ทั่วไป 13
4. การวเิ คราะหข อมลู องคป ระกอบของหมูไม 13
5. การวเิ คราะหขอมูลชนิดและปริมาณของลูกไม (Sapling) และกลาไม (Seedling) 13
6. การวเิ คราะหข อมลู ชนิดและปริมาณของไมไผ หวาย 13
7. การวเิ คราะหข อมลู สังคมพืช 14
8. วเิ คราะหขอมูลความหลากหลายชวี ภาพ 16
ผลการสาํ รวจทรัพยากรปาไม 16
1. แปลงตัวอยาง 17
2. พนื้ ทป่ี า ไม 19
3. ปริมาณไม 27
4. ชนดิ พนั ธุไม 41
5. สังคมพืช

สสาารรบบญััญ ((ตตออ)) ii

เรอ่ื ง หนา

6. ความหลากหลายทางชวี ภาพ 42
สรปุ ผลการสํารวจและวิเคราะหข อมลู ทรัพยากรปา ไม 43
43
1. ลกั ษณะการใชป ระโยชนท ี่ดนิ 43
2. ชนดิ พนั ธุและปรมิ าณไมต น (Trees) 44
3. ชนิดพันธแุ ละปรมิ าณลูกไม (Sapling) และกลา ไม (Seedling) 44
4. ชนิดพนั ธุและปรมิ าณของไมไผ หวายและไมก อ 44
5. คา ดชั นคี วามสําคญั ทางนเิ วศวทิ ยา 45
6. ความหลากหลายทางชีวภาพ 45
7. ขนาดความโตของตนไมในปา 45
วิจารณผ ลการศึกษา 46
ปญหาและอุปสรรค 47
ขอ เสนอแนะ 48
เอกสารอางอิง 49
ภาคผนวก

iii

สสาารรบบัญัญตตาารราางง

ตารางท่ี หนา

1 ขนาดของแปลงตัวอยา งและขอมลู ทด่ี าํ เนนิ การสาํ รวจ 11

2 พ้ืนท่ีปา ไมจ ําแนกตามลักษณะการใชป ระโยชนท ีด่ นิ ในอุทยานแหง ชาตนิ าํ้ ตกหวยยาง (Area

by Landuse Type) 18

3 ปรมิ าณไมท้งั หมดจําแนกตามลักษณะการใชป ระโยชนทีด่ นิ ในอุทยานแหงชาตนิ ้ําตกหว ยยาง

(Volume by Landuse Type) 19

4 ความหนาแนนและปรมิ าณไมตอหนวยพน้ื ทีจ่ าํ แนกตามลักษณะการใชประโยชนท ่ีดินใน

อุทยานแหงชาตนิ ํ้าตกหว ยยาง (Density and Volume per Area by Landuse Type) 25

5 การกระจายขนาดความโตของไมทั้งหมดในอุทยานแหงชาตินํา้ ตกหว ยยาง 26

6 ปรมิ าณไมท้งั หมดของอทุ ยานแหง ชาติน้ําตกหวยยาง (30 ชนดิ แรกที่มีปรมิ าตรไมส งู สุด) 29

7 ปรมิ าณไมในปา ดิบชืน้ ของอุทยานแหง ชาตนิ ํา้ ตกหวยยาง (30 ชนดิ แรกท่มี ีปรมิ าตรไมส ูงสุด) 30

8 ปรมิ าณไมใ นปา ดิบแลง ของอุทยานแหง ชาตนิ ้ําตกหว ยยาง (30 ชนดิ แรกท่ีมีปรมิ าตรไมสูงสุด) 31

9 ปริมาณไมในปาเบญจพรรณของอุทยานแหง ชาตนิ ํ้าตกหวยยาง 32

10 ปรมิ าณไมในพืน้ ทเี่ กษตรกรรมของอุทยานแหง ชาตนิ ้ําตกหวยยาง 32

11 ปรมิ าณลกู ไม (Sapling) ของอทุ ยานแหงชาติน้ําตกหว ยยาง (30 ชนิดแรกท่ีมีปริมาณไมสูงสดุ ) 33

12 ปรมิ าณกลาไม (Seedling) ของอุทยานแหง ชาตนิ าํ้ ตกหว ยยาง (30 ชนดิ แรกท่ีมปี ริมาณไม

สูงสดุ ) 34

13 ชนิดและปริมาณไมไผ หวาย และไมก อ ทพ่ี บในอุทยานแหงชาตนิ ํา้ ตกหว ยยาง 35

14 ดชั นีความสาํ คญั ของชนิดไม (Importance Value Index: IVI) ของปาในอุทยานแหงชาติ

นาํ้ ตกหวยยาง (20 อันดับแรก) 36

15 ดชั นีความสําคัญของชนิดไม (Importance Value Index: IVI) ของปาดิบช้ืนในอุทยาน

แหงชาตนิ า้ํ ตกหวยยาง (20 อันดับแรก) 37

16 ดชั นคี วามสาํ คัญของชนดิ ไม (Importance Value Index: IVI) ของปาดิบแลงในอทุ ยาน

แหง ชาตนิ าํ้ ตกหว ยยาง (20 อันดับแรก) 38

17 ดชั นคี วามสําคญั ของชนดิ ไม (Importance Value Index: IVI) ของปา เบญจพรรณในอุทยาน

แหง ชาติน้าํ ตกหว ยยาง (20 อันดบั แรก) 39

18 ดชั นีความสําคัญของชนิดไม (Importance Value Index: IVI) ของพืน้ ท่ีเกษตรกรรมใน

อทุ ยานแหง ชาตนิ ้ําตกหวยยาง 40

19 ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ในอทุ ยานแหงชาติน้าํ ตกหวยยาง 42

สสาารรบบัญัญภภาาพพ iv

ภาพท่ี หนา

1 ทตี่ งั้ และลักษณะภมู ิประเทศของอุทยานแหง ชาตนิ ํา้ ตกหว ยยาง 4
2 น้ําตกหวยยาง 5
3 นาํ้ ตกเขาลวน 6
4 น้าํ ตกขาออน (ทับมอญ) 6
5 นา้ํ ตกหนิ ดาด 7
6 นํา้ ตกบวั สวรรค 7
7 ยอดเขาหลวง 8
8 จดุ ชมวิว 9
9 ลกั ษณะและขนาดของแปลงตัวอยาง 10
10 แผนทแี่ สดงขอบเขตและลักษณะภูมปิ ระเทศของอุทยานแหงชาตนิ ้ําตกหวยยาง 16
11 แปลงตัวอยางที่ไดดาํ เนนิ การสาํ รวจภาคสนามในอทุ ยานแหง ชาตนิ ้ําตกหวยยาง 17
12 พืน้ ท่ปี า ไมจําแนกตามลักษณะการใชประโยชนท ่ีดินในอุทยานแหง ชาตนิ ้ําตกหว ยยาง 18
13 ลักษณะทวั่ ไปของปาดบิ ชืน้ ในอุทยานแหง ชาตนิ ้ําตกหวยยาง 20
14 ลกั ษณะทั่วไปของปาดบิ แลง ในอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง 21
15 ลกั ษณะท่วั ไปของปา เบญจพรรณในอุทยานแหงชาติน้าํ ตกหวยยาง 22
16 ลกั ษณะทวั่ ไปของพน้ื ท่ีเกษตรกรรมในอทุ ยานแหง ชาติน้ําตกหวยยาง 23
17 ปริมาณไมทั้งหมดท่ีพบในอทุ ยานแหงชาตนิ าํ้ ตกหวยยาง 24
18 ปริมาตรไมทั้งหมดทีพ่ บในอุทยานแหง ชาตินํ้าตกหว ยยาง 24
19 ความหนาแนน ของไมทั้งหมดในอุทยานแหง ชาตนิ ้าํ ตกหว ยยาง 25
20 ปริมาตรไม (ลบ.ม./ไร) ของพื้นทแี่ ตล ะประเภทในอุทยานแหง ชาตินา้ํ ตกหว ยยาง 26
21 การกระจายขนาดความโตของปริมาณไมทงั้ หมดในทัง้ หมดในอทุ ยานแหง ชาตนิ ้ําตก
26
หว ยยาง

1

คคําาํ นนําาํ

ปจจุบันประเทศไทยมีพื้นท่ีปาไมเหลืออยูประมาณรอยละ 31.57 หรือคิดเปนพ้ืนท่ี 102,119,539.55 ไร
จากพื้นท่ีรวมทั้งประเทศ 323,518,861.06 ไร ดําเนินการโดยสํานักจัดการท่ีดินปาไม กรมปาไม อยางไรก็ตามใน
สวนของกรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช มีเปาหมายเก่ียวกับการสํารวจทรัพยากรปาไมเพื่อประเมิน
สถานภาพและศักยภาพของทรัพยากรปาไม และเพ่ือติดต้ังระบบติดตามความเปล่ียนแปลงของทรัพยากรปาไม
รวมท้ังทรพั ยากรทเ่ี กย่ี วของ โดยดาํ เนินการในพ้ืนที่อนุรกั ษทว่ั ประเทศ ทงั้ น้ีขอมูลดงั กลา วจะใชในการวางแผนการ
จัดการทรัพยากรปาไมอยางถูกตอง โดยการวางแปลงตัวอยาง ระยะ 2.5 x 2.5 กิโลเมตร ท่ัวท้ังพ้ืนท่ีอนุรักษ
และทาํ การสมุ ตัวอยา งอยา งเปนระบบ (Systematic Sampling)

ในปงบประมาณ พ.ศ. 2556 กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดจัดสรรงบประมาณ ในการ
ดําเนินการในพื้นท่ีอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง ทั้งนี้เพื่อใหทราบถึงขอมูลพื้นฐานเก่ียวกับทรัพยากรปาไม
รวมทั้งขอมูลเกี่ยวกับชนิดไม ปริมาณไม และความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนั้นยังศึกษาเกี่ยวกับระบบ
นิเวศของผืนปา ทั้งนี้เพ่ือหาแนวทางในการฟนฟูสภาพปาไมใหมีความสมบูรณ และมีความย่ังยืน ประกอบกับ
อุทยานแหงชาติน้าํ ตกหว ยยางมีพนั ธุไมรวมมากกวา 190 ชนิด ซงึ่ มพี นั ธุไมทม่ี ีมลู คาทางเศรษฐกิจ พันธุไมห ายาก
รวมทั้งพันธุไมที่สงผลกระทบตอระบบนิเวศโดยรวม ซึ่งจะไดกลาวในรายงานตอไป รวมท้ังสภาพการบุกรุก
ทําลายปาเพื่อใชในการเกษตรก็มีผลตอพื้นที่อนุรักษ ดังน้ัน การวางแผนในการฟนฟูสภาพปา การแกไขปญหา
โดยรวมจําเปนอยางยิ่งท่ีจะตองมีขอมูลพ้ืนฐานท่ีถูกตองและเปนขอเท็จจริง จึงจะสามารถแกปญหาไดตรงจุด
และเปน ประโยชนต อ การจัดการพน้ื ท่นี น้ั ๆ ไดในภาพรวมตอ ไป

ขววตั ตั ถถุปุปรระะสสงงคค  2

1. เพ่ือใหทราบขอมูลพื้นฐานเกี่ยวกับทรัพยากรปาไม โดยเฉพาะดานกําลังผลิต และความหลากหลายของ
พชื พันธใุ นพื้นทอ่ี นุรักษต า ง ๆ ของประเทศไทย

2. เพ่ือใชเปนแนวทางในการสํารวจทรัพยากรปาไม เกี่ยวกับรูปแบบ วิธีการสํารวจ และการวิเคราะหขอมูล
อยา งเปน ระบบและแบบแผน

3. เพ่ือเปน แนวทางในการวางระบบติดตามการเปลีย่ นแปลงของทรัพยากรปาไมในพ้นื ท่ี

4. เพื่อใหไดขอมูลพื้นฐานเกี่ยวกับพรรณไมเดนและชนิดไมมาใชในการวางแผนเพาะชํากลาไมเพื่อปลูก
เสรมิ ปา ในแตละพื้นท่ี

เเปปาา หหมมาายยกกาารรดดาํําเเนนินินงงาานน

ในปงบประมาณ พ.ศ. 2556 สวนสํารวจและวิเคราะหทรัพยากรปาไม สํานักฟนฟูและพัฒนา พ้ืนที่
อนุรักษ กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และพันธุพืช ไดจัดสรรงบประมาณการดําเนินงานและกําหนดพ้ืนที่สํารวจ
เปาหมายในพื้นท่ีอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง ในทองที่ อําเภอเมือง อําเภอทับสะแก และอําเภอ บางสะพาน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ ซึ่งอยูในความดูแลรับผิดชอบของสํานักบริหารพ้ืนท่ีอนุรักษที่ 3 (สาขาเพชรบุรี) จํานวน
22 แปลง

การสํารวจใชการวางแปลงตัวอยางถาวร (Permanent Sample Plot) ท่ีมีขนาดคงท่ี รูปวงกลม 3 วง
ซอนกัน คือ วงกลมรัศมี 3.99, 12.62, 17.84 เมตร ตามลําดับ และมีวงกลมขนาดรัศมี 0.631 เมตร อยูตามทิศ
หลักทั้ง 4 ทิศ โดยจุดศูนยกลางของวงกลมทั้ง 4 ทิศ จะอยูบนเสนรอบวงกลมของวงกลมรัศมี 3.99 เมตร จํานวน
ทง้ั สนิ้ 22 แปลง และทาํ การเก็บขอมลู การสาํ รวจทรัพยากรปาไมตาง ๆ อาทิ เชน ชนดิ ไม ขนาดความโต ความสูง
จาํ นวนกลาไมและลูกไม ชนดิ ปา ลกั ษณะตาง ๆ ของพ้ืนท่ีท่ีตนไมข้ึนอยู ขอ มูลลักษณะภูมิประเทศ เชน ระดบั ความ
สูง ความลาดชัน เปนตน ตลอดจนการเก็บขอมูลองคประกอบรวมของปา เชน ไมไผ หวาย ไมพุม เถาวัลย และ
พืชช้ันลาง แลวนํามาวิเคราะหและประมวลผล เพื่อใหทราบเนื้อท่ีปาไม ชนิดปา ชนิดไม ปริมาณ และความ
หนาแนน ของหมูไม กําลงั ผลิตของปา ตลอดจนการสบื พันธตุ ามธรรมชาติของหมูไมใ นปา นน้ั

3

ขขออ มมูลูลททวั่ั่วไไปปออทุทุ ยยาานนแแหหงงชชาาตตินิน้ํา้ําตตกกหหววยยยยาางง

ประวตั ิความเปนมา

เดิมพ้ืนที่นํ้าตกหวยยางมีสภาพธรรมชาติสวยงามเหมาะเปนแหลงที่ทองเที่ยวทางธรรมชาติและเปน
แหลง อนรุ ักษทรัพยากรธรรมชาติ อนั ไดแก ปา ไม สตั วปา และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ดงั นน้ั บริเวณดงั กลาวจึง
ไดรับการจัดต้ังเปนเขตวนอุทยานนํ้าตกหวยยาง ตอมาจากการสํารวจของสํานักงานปาไมอําเภอ ทับสะแก
จังหวัดประจวบคีรีขันธ พบวาในเขตปาสงวนแหงชาติทับสะแกมีน้ําตกท่ีสวยงามอีก 2 แหง ไดแก นํ้าตกขาออน
(ทับมอญ) และนํ้าตกหินดาด อยูในบริเวณใกลเคียงกับน้ําตกหวยยาง ซึ่งมีความเหมาะสมท่ีจะจัดต้ังเปนวน
อุทยานเพ่ือรักษาสภาพปาไมและตนนํ้าลําธารอันสวยงามน้ีไว นอกจากน้ีจากการสํารวจพ้ืนท่ีใกลเคียงยังพบปา
วังดวนและปาหวยยาง (หาดวนกร) ซึ่งเปนพ้ืนท่ีควรคาแกการอนุรักษเพราะมีสภาพปาไม ที่สมบูรณ จึงเห็นควร
ผนวกปาวังดวนกับปาหวยยาง (หาดวนกร) เขากับพ้ืนที่ทั้งหมดดังกลาวขางตน ใหจัดตั้งเปนอุทยานแหงชาติ
น้ําตกหว ยยาง

ดังนั้น กรมปาไม โดยกองอุทยานแหงชาติ (เดิม) จึงไดพิจารณาใหผนวกบริเวณพื้นที่ปาน้ําตก ขาออน
น้ําตกหินดาด และวนอุทยานน้ําตกหวยยาง ในปาทับสะแก ทองที่ตําบลชัยเกษม อําเภอบางสะพานตําบล
อางทอง อําเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ และปาวังดวนปาหว ยยาง ทองท่ีตําบลหวยยางและตําบลหว ย
ยาง อําเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ จัดตั้งเปนอุทยานแหงชาตินํ้าตกหวยยาง แตตอมากองอุทยาน
แหงชาติ มีความเห็นวาพื้นท่ีอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยางสวนบริเวณปาวังดวนและปาหวยยาง (หาดวนกร) มี
พื้นที่ไมติดตอกันกับสวนอ่ืน ๆ ดังนั้น เพื่อความสะดวกแกเจาหนาที่ในการรักษาและควบคุมจึงใหแยกพ้ืนท่ี
ทัง้ หมด 2 พ้ืนที่ คือ อุทยานแหง ชาติน้าํ ตกหว ยยาง อทุ ยานแหง ชาติหาดวนกร เพ่ือคุม ครองรักษาตนน้ําลําธารไว
และอนุรักษทรัพยากรใหยืนนานตอไป อุทยานแหงชาตินํ้าตกหวยยางจึงไดประกาศเปนอุทยานแหงชาติตาม
พระราชบัญญตั ิอุทยานแหงชาติ พ.ศ. 2504 โดยไดป ระกาศในราชกิจจานุเบกษาเลม 108 ตอนที่ 215 ลงวันท่ี 8
ธนั วาคม 2534 เปน อุทยานแหงชาติลาํ ดับที่ 70 ของประเทศไทย

ทตี่ ้งั และลกั ษณะภมู ิประเทศ

อุทยานแหงชาตินํ้าตกหวยยางมีพ้ืนที่ครอบคลุมอยูในเขตอําเภอเมือง อําเภอทับสะแก และอําเภอบาง
สะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ ซ่ึงอยูในความดูแลรับผิดชอบของสํานักบรหิ ารพื้นที่อนุรักษที่ 3 (สาขาเพชรบุร)ี
มีพ้ืนท่ี 100,625 ไร หรือ 161 ตารางกิโลเมตร และประกอบดวยเทือกเขาสูงติดตอกัน มีพ้ืนท่ีอยูบนเทือกเขา
ตะนาวศรี สวนใหญจะเปนเนินเขาสูงจากระดับนํ้าทะเลประมาณ 100-1,200 เมตร โดยมียอดเขาหลวงเปนยอด
เขาท่ีสูงท่ีสุด เปนแหลงกําเนิดตนนํ้าท่ีเกิดจากสันเขากั้นเขตแดนระหวางประเทศไทยกับประเทศสหภาพพมา
ไดแก คลองอางทอง คลองแกง คลองทับสะแก คลองจะกระ คลองไขเนา คลองตาเกล็ด คลองหวยยาง คลอง
หวยมา และคลองหินจวง ลักษณะดินเปนดินรวนปนทราย และหินเปนหินแกรนิตและหินลูกรัง สวนดานทิศ
ตะวนั ออกติดกบั พื้นท่ีราบและชายทะเลอาวไทย

4

ภาพที่ 1 ท่ีต้ังและลักษณะภูมิประเทศของอทุ ยานแหง ชาตนิ า้ํ ตกหวยยาง
การเดินทางและเสน ทางคมนาคม

จากกรุงเทพฯ โดยทางหลวงแผน ดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 350-351 บรเิ วณ
ตลาดหวยยาง (กอนถึงอําเภอทับสะแกประมาณ 20 กิโลเมตร) แลวเล้ียวขวาไปตามถนนสายเพชรเกษม - น้ําตกหวย
ยาง ประมาณ 7 กโิ ลเมตร ก็จะถึงนํา้ ตกหว ยยาง ใชเ วลาเดินทางประมาณ 6 ชว่ั โมง
ลักษณะภูมิอากาศ

พื้นท่ีอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง ตั้งอยูในเขตภาคใตของประเทศไทย และมีพื้นท่ีอยูใกลทะเล
ลกั ษณะในแตละฤดกู าลจึงไมแตกตา งกนั มากนัก สภาพภูมอิ ากาศแบงออกเปน 3 ฤดูกาล คอื

ฤดูฝน เริ่มตนเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม เปนชวงท่ีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใตพัด ปกคลุม
ประเทศไทย และยังมีรองความกดอากาศต่ําพัดผานภาคใตเปนระยะ ๆ ตอจากน้ันถึงเดือนพฤศจิกายนซึ่งเปน
ระยะแรกที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทย ทําใหยังคงมีฝนตกชุกตอเนื่องจนถึงเดือน
ธนั วาคม ปรมิ าณน้ําฝนเฉลี่ยตลอดปม ากกวา 1,100 มิลลเิ มตร

ฤดูหนาว เริ่มต้ังแตเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ ซึ่งเปนชวงท่ีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดปก
คลุมประเทศไทย ทําใหอุณหภูมิลดลงทั่วไป และมีอากาศหนาวเย็นเปนครั้งคราว โดยอุณหภูมิจะลดลงตํ่าสุดใน
เดือนธันวาคมและมกราคม แตเน่ืองจากพ้ืนท่ีอุทยานแหงชาติอยูดานซายฝงตะวันออกของภาคใต อุณหภูมิจึง
ลดลงเพียงเล็กนอ ย อุณหภมู ิเฉลี่ยตา่ํ สุดในเดือนมกราคม 20 องศาเซลเซียส

5

ฤดูรอน เริ่มตนตั้งแตเดือนกุมภาพันธถึงเดอื นพฤษภาคม เปนชวงเปลี่ยนฤดู ระยะนี้เปนชองวางของลม
มรสุมหลังจากส้ินฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิจะเร่ิมสูงขึ้น อากาศจะเร่ิมรอนโดยเฉพาะ ในเดือน
มีนาคมถึงเดอื นพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลีย่ สูงสดุ ในเดอื นเมษายนประมาณ 29 องศาเซลเซยี ส อุณหภมู ิเฉลีย่ ตลอด
ป 27 องศาเซลเซียส
จดุ เดนทน่ี า สนใจ

อทุ ยานแหง ชาตนิ า้ํ ตกหว ยยางมีจดุ เดนท่ีนาสนใจในพื้นทแ่ี ละพ้ืนทใี่ กลเคยี ง ดงั น้ี
1. น้ําตกหวยยาง มีทั้งหมด 7 ชั้น น้ําตกช้ันลาง ๆ เปนนํ้าตกขนาดเล็กธารนํ้าไหลมาตามโขดหิน สูงต้ังแต
2–5 เมตร บริเวณน้ําตกช้ันท่ี 5 จะมองเห็นสายน้ําตกจากผาสูงประมาณ 15 เมตร งดงามมากแตตองปนและไต
โขดหินข้ึนไปจึงเปนอันตรายในชว งฤดูฝนทนี่ ํ้าหลาก บรเิ วณชั้น 4 ยังมที างแยกข้นึ สูจุดชมดวงอาทิตยข้ึนที่งดงามมาก
สามารถมองเห็นทัศนียภาพไปไดไกลถึงชายทะเล นอกจากนี้ช้ัน 3 และชั้น 5 เปนบริเวณที่เหมาะสําหรับการลง
เลนน้ําและชั้น 7 ยังเปนแหลงน้ําท่ีบริสุทธิ์เพราะเปนแหลงนํ้าที่เกิดมาจากปาโบราณบนยอดเขาหลวงท่ียังไมมี
การบุกรกุ ทาํ ลาย

ภาพท่ี 2 นาํ้ ตกหวยยาง
2. นํ้าตกเขาลาน เปนนํ้าตกที่สวยงาม ที่ไหลลดหลั่นจากชั้นหนาผาลงมา ผานลานหินกวางอันเปน
เอกลกั ษณของนํ้าตกแหงนีม้ ีท้ังหมด 7 ชั้น อยูหา งจากท่ที ําการอุทยานฯ ไปทางทิศใตป ระมาณ 40 กิโลเมตร จากทาง
หลวงหมายเลข 4 จะพบทางเขาน้ําตกอยูตรงอําเภอทับสะแก จากทางเขาไปประมาณ 14 กิโลเมตร ถึงหนวย
พทิ ักษอทุ ยานแหงชาติ จากน้ันเดินเลยี บลาํ ธารไปอีกประมาณ 1 กโิ ลเมตร จะถึงน้ําตก ซ่งึ ระหวา งทางจะมีน้ําตก
เล็ก ๆ ท่ีสามารถลงเลนน้ําได หรือหากเลือกเดินตอไปจนถึงสันเขา ก็จะมองเห็นนํ้าตกเขาลานไหลตกลงมาจากผา

6

สูงกวา 50 เมตร เหนอื หนาผาทเ่ี หน็ คือบริเวณนํ้าตกชนั้ บนสดุ สายนํา้ ไหลจากลานหนิ กวาง สงู ประมาณ 10 เมตร
กอนจะไหลลงหนาผา แองน้ําตกชน้ั บนสดุ สามารถลงเลน นา้ํ ได

ภาพท่ี 3 นาํ้ ตกเขาลาน
3. น้ําตกขาออน (ทับมอญ) มีขนาดลําธารตอนลางกวางประมาณ 6 เมตร ประกอบดวยน้ําตก 9 ชั้น จะมี
ธารนํ้าตกสูงประมาณ 2–5 เมตร สลับกับแนวโขดหิน ชั้นที่ 5 เปนช้ันท่ีมีผาน้ําตก มีความสูงประมาณ 15 เมตร อยู
ใกลชายแดนพมาในทองท่ีอําเภอบางสะพาน หางจากท่ีทําการอุทยานฯ ไปทางทิศใตประมาณ 60 กิโลเมตร
สามารถเดินทางจากถนนเพชรเกษม ไปตามเสน ทางสายหนองหอย-บานตะแบกโพรงหรือ สายหนองหญา ปลอ ง -
บา นหนองบอน

ภาพที่ 4 น้าํ ตกขาออน (ทบั มอญ)

7

4. น้ําตกหินดาด มีขนาดลําธารตอนลางกวางประมาณ 6 เมตร ประกอบดวยช้ันน้ําตก 5 ชั้น ในแตละ
ชน้ั อยูใกล ๆ กัน เพราะเปนนํ้าตกที่อยูในซอกเขาที่คอนขางสูงชันสายนาํ้ ตกจึงแรง ชนั้ นํา้ ตกมคี วามสูง ประมาณ
2–5 เมตร อยูหางจากที่ทําการอุทยานฯ ไปทางทิศใตประมาณ 50 กิโลเมตร สามารถเดินทางตามถนนเพชร
เกษม เสนทางสายบา นอา งทอง – บานหนองมะคา

ภาพท่ี 5 นํา้ ตกหินดาด
5. นํ้าตกบัวสวรรค มีช้ันน้ําตกท่ีสวยงามอยู 6 ช้ัน ทามกลางสภาพธรรมชาติโดยรอบที่เขียวชอุมดู
สวยงามแปลกตา อันเปนเสนหของนํ้าตกแหงน้ี อยูหางจากท่ีทําการอุทยานฯ ไปทางทิศเหนือประมาณ 20
กโิ ลเมตร สามารถเดนิ ทางตามถนนเพชรเกษม เสน ทางสายบา นสองกะลอน

ภาพที่ 6 น้าํ ตกบัวสวรรค

8

6. ยอดเขาหลวง มีความสูง 1,251 เมตรจากระดับน้ําทะเล นอกจากจะเปนจุดสูงสุดของอุทยาน
แหงชาติน้าํ ตกหว ยยางแลว ยังเปน ตนนํ้าของนาํ้ ตกหวยยางดว ย บนยอดเขาปกคลมุ ดว ยปาดิบเขา มอี ากาศหนาว
เย็น ตนไมสวนใหญมีมอสขึ้นปกคลุมลําตน พ้ืนท่ีบางสวนเปนทุงหญาซึ่งจะมีดอกกระเจียวบานในชวงตนฤดูฝน
จากบริเวณทุงกระเจียวจะมองเห็นเทือกเขาตะนาวศรีทอดตัวยาวเปนแนวพรมแดนประเทศไทยกับพมา เปนท่ีอยู
อาศัยของปเู จา ฟา อยูหางจากท่ีทําการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร ตองใชเวลาเดนิ เทา ประมาณ 5 ชว่ั โมง

ภาพที่ 7 ยอดเขาหลวง
7. จุดชมวิว อยูทางดานหลังศูนยบริการนักทองเท่ียว เดินข้ึนไปบนเขาเปนระยะทาง 250 เมตร สามารถ
ชมเรอื นยอดของตน ไมแ ละแนวชายฝงทะเลของอําเภอทบั สะแก และชมพระอาทติ ยข้ึนในยามเชา

9

ภาพที่ 8 จดุ ชมวิว

รูปแบบและวธิ ีการสาํ รวจทรพั ยากรปา ไม

การสาํ รวจทรัพยากรปาไมในแตล ะพ้นื ที่อนุรักษทว่ั ประเทศไทย ดาํ เนินการโดยกลุมสาํ รวจทรัพยากรปา
ไม สวนสํารวจและวิเคราะหทรัพยากรปาไม สํานักฟนฟูและพัฒนาพื้นที่อนุรักษ และสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ
ตา ง ๆ ในสังกัดกรมอทุ ยานแหงชาติ สัตวป า และพนั ธพุ ืช
การสุมตวั อยา ง (Sampling Design)

การสาํ รวจทรัพยากรปาไม ใชวธิ ีสุมตวั อยา งแบบสมาํ่ เสมอ (Systematic Sampling) ในพืน้ ทที่ ่ีภาพถาย
ดาวเทียมแปลวามีสภาพเปนปาโดยใหแตละแปลงตัวอยาง (Sample plot) มีระยะหางเทา ๆ กันโดยกําหนดให
แตล ะแปลงหางกัน 2.5 x 2.5 กิโลเมตร เร่มิ จากการสุมกาํ หนดแปลงตวั อยางแรกบนเสน กริดแผนท่ี (Grid) ลงบน
ขอบเขตแผนท่ปี ระเทศไทยมาตราสวน 1:50,000 ใหม รี ะยะหา งระหวางเสน กรดิ ทง้ั แนวตง้ั และแนวนอน เทา กับ
2.5 x 2.5 กิโลเมตร คือ ระยะชองกริดในแผนที่เทากับ 2.5 ชองจุดตัดของเสน กริด ทั้งสองแนว ก็จะเปน
ตําแหนงที่ต้ังของแปลงตัวอยางแตละแปลง เมื่อดําเนินการเสร็จสิ้นแลว จะทราบจํานวนหนวยตัวอยาง และ
ตําแหนงท่ีต้ังของหนวยตัวอยางโดยลักษณะของแปลงตัวอยาง รูปแบบของการวางแปลงตัวอยางดังภาพท่ี 9
ตามลาํ ดับ

10

ภาพที่ 9 ลักษณะและขนาดของแปลงตวั อยา ง
รูปรา งและขนาดของแปลงตัวอยา ง (Plot Design)

แปลงตัวอยาง (Sample Plot) ท่ีใชในการสํารวจ มีทั้งแปลงตัวอยางถาวรและแปลงตัวอยางช่ัวคราว เปน
แปลงท่ีมีขนาดคงที่ (Fixed–Area Plot) และมีรปู รา ง 2 ลกั ษณะดวยกนั คือ

1. ลกั ษณะรปู วงกลม (Circular Plot)
1.1 รูปวงกลมทมี่ ีจดุ ศนู ยกลางรวมกัน รศั มแี ตกตางกัน จาํ นวน 3 วง คือ วงกลมรัศมี 3. 99, 12.62 และ
17.84 เมตร ตามลาํ ดับ
1.2 รูปวงกลมท่ีมีรัศมีเทากันจุดศูนยกลางตางกัน จํานวน 4 วง รัศมี 0.631 เมตรเทากัน โดยจุด
ศูนยก ลางของวงกลมอยบู นเสนรอบวงของวงกลมรัศมี 3.99 เมตร ตามทิศหลกั ทั้ง 4 ทศิ
2. ลักษณะแบบแนวเสนตรง (Intersect Line) จํานวน 2 เสน ความยาวเสนละ 17.84 เมตรโดยมี
จุดเรมิ่ ตนรว มกัน ณ จุดศนู ยกลางแปลงตัวอยางทํามมุ ฉากซึง่ กันและกัน ซึ่งตวั มุม Azimuth ของเสนที่ 1 ไดจาก
การสมุ ตวั อยา ง
ขนาดของแปลงตัวอยา งและขอมูลที่ทาํ การสาํ รวจ
ขนาดของแปลงตัวอยา ง และขอ มลู ท่ีทาํ การสํารวจแสดงรายละเอียดไวใ นตารางที่ 1

11

ตารางที่ 1 ขนาดของแปลงตวั อยางและขอมูลท่ดี ําเนนิ การสํารวจ

รศั มีของวงกลม หรอื จาํ นวน พืน้ ท่หี รือความยาว ขอ มูลทส่ี ํารวจ
ความยาว (เมตร)

0.631 4 วง 0.0005 เฮกตาร กลา ไม

3.99 1 วง 0.0050 เฮกตาร ลูกไมแ ละการปกคลุมพ้ืนที่ของกลา ไม และลูกไม

12.62 1 วง 0.0500 เฮกตาร ไมไผ หวายทย่ี ังไมเ ลอื้ ย และตอไม

17.84 1 วง 0.1000 เฮกตาร ตนไม และตรวจสอบปจ จัยทรี่ บกวนพ้ืนทปี่ า

17.84 (เสน ตรง) 2 เสน 17.84 เมตร Coarse Woody Debris (CWD) หวายเล้อื ย

และไมเ ถา ทพี่ าดผา น

กกาารรววิเิเคครราาะะหหขขออ มมลูลู กกาารรสสาํํารรววจจททรรัพัพยยาากกรรปปาาไไมม

1. การคํานวณเนอ้ื ทป่ี า และปรมิ าณไมทั้งหมดของแตล ะพนื้ ที่อนุรกั ษ

1.1 ใชขอมลู พน้ื ที่อนุรักษจ ากแผนที่แนบทายกฤษฎีกาของแตละพนื้ ที่อนรุ ักษ

1.2 ใชสัดสวนจํานวนแปลงตัวอยางท่ีพบในแตละชนิดปา เปรียบเทียบกับจํานวนแปลงตัวอยางที่วาง
แปลงทั้งหมดในแตละพ้ืนที่อนุรักษ ท่ีอาจจะไดขอมูลจากภาคสนาม หรือการดูจากภาพถายดาวเทียมหรือ
ภาพถายทางอากาศ มาคํานวณเปน เนอื้ ท่ปี าแตละชนิดโดยนําแปลงตัวอยางท่วี างแผนไวม าคาํ นวณทกุ แปล

1.3 แปลงตัวอยางที่ไมสามารถดําเนินการได ก็ตองนํามาคํานวณดวย โดยทําการประเมินลักษณะพื้นที่วา
เปน หนา ผา น้าํ ตก หรอื พืน้ ทีอ่ ่นื ๆ เพื่อประกอบลักษณะการใชป ระโยชนทดี่ ิน

1.4 ปริมาณไมทั้งหมดของพื้นที่อนุรักษ เปนการคํานวณโดยใชขอมูลเนื้อที่อนุรักษจากแผนที่แนบ
ทายกฤษฎีกาของแตละพื้นท่ีอนุรักษ ซึ่งบางพื้นที่อนุรักษมีขอมูลเน้ือท่ีคลาดเคลื่อนจากขอเท็จจริงและสงผลตอ
การคํานวณปรมิ าณไมท งั้ หมด ทาํ ใหก ารคํานวณปริมาณไมเปน การประมาณเบื้องตน

2. การคํานวณปรมิ าตรไม

สมการปริมาตรไมที่ใชในการประเมินการกักเก็บธาตุคารบอนในพ้ืนท่ีปาไม แบบวิธี Volume based
approach โดยแบงกลุม ของชนดิ ไมเปนจํานวน 7 กลมุ ดังน้ี

2.1 กลุมที่ 1 ไดแ ก ยาง เตง็ รัง เหียง พลวง กระบาก เคย่ี ม ตะเคียน สยา ไขเ ขยี ว พะยอม จนั ทนก ะพอ
สนสองใบ

สมการทไ่ี ด ln V = 2.372083 + 2.443847 ln (DBH/100)
R2 = 0.94, sample size = 188

2.2 กลมุ ท่ี 2 ไดแ ก กระพจ้ี นั่ กระพ้ีเขาควาย เกด็ ดํา เก็ดแดง เก็ดขาว เถาวลั ยเ ปรียง พะยงู ชงิ ชัน กระพ้ี
ถอ น แดง ขะเจา ะ แคทราย แคฝอย และสกลุ มะเกลือ

12

สมการทไ่ี ด ln V = 2.134494 + 2.363034 ln (DBH/100)
R2 = 0.91, sample size = 135

2.3 กลมุ ที่ 3 ไดแก รกฟา สมอพเิ ภก สมอไทย หูกวาง หูกระจง ตีนนก ขอ้ี า ย กระบก ตะครํ้า ตะครอ
ตาเสอื คางคาว สะเดา ยมหอม ยมหิน กระทอน เล่ยี น มะฮอกกานี ขอ้ี าย ตะบูน ตะบัน รัก ตว้ิ สะแกแสง ปูเจา
และไมสกลุ สา น เสลา อินทนิล ตะแบก ชะมวง สารภี บุนนาค

สมการท่ีได ln V = 1.880578 + 2.053321 ln (DBH/100)
R2 = 0.89, sample size = 186

2.4 กลุมท่ี 4 ไดแก กางข้ีมอด คนู พฤกษ มะคา โมง นนทรี กระถินพมิ าน มะขามปา หลุมพอ และสกุล
ข้เี หล็ก

สมการที่ได ln V = 1.789563 + 2.025666 ln (DBH/100)
R2 = 0.90, sample size = 36

2.5 กลมุ ที่ 5 ไดแก สกุลประดู เตมิ

สมการทไ่ี ด ln V = 2.037096 + 2.299618 ln (DBH/100)
R2 = 0.94, sample size = 99

2.6 กลมุ ที่ 6 ไดแก สัก ตนี นก ผาเสย้ี น หมากเลก็ หมากนอย ไขเนา กระจบั เขา กาสามปก สวอง

สมการที่ได ln V = 2.119907 + 2.296511 ln (DBH/100)
R2 = 0.94, sample size = 186

2.7 กลุมที่ 7 ไดแ ก ไมช นดิ อื่น ๆ เชน กกุ ขวาว งิว้ ปา ทองหลางปา มะมวงปา ซอ โมกมัน แสมสาร และ
ไมในสกลุ ปอ กอ เปลา เปนตน

สมการท่ไี ด ln V = 2.250111 + 2.414209 ln (DBH/100)
R2 = 0.93, sample size = 138

โดยท่ี V คอื ปรมิ าตรสวนลาํ ตน เม่ือตดั โคนท่คี วามสงู เหนือดิน (โคน) 10 เซนติเมตร
ถึงกิง่ แรกที่ทําเปน สนิ คา ได มีหนวยเปน ลูกบาศกเมตร

DBH มีหนวยเปน เซนตเิ มตร
Ln = natural logarithm

13

3. ขอ มลู ท่ัวไป

ขอมลู ท่ัวไปท่นี ําไปใชใ นการวิเคราะห ไดแ ก ทต่ี ้ัง ตําแหนง ชว งเวลาที่เก็บขอมูล ผูทท่ี ําการเก็บขอมูล ความ
สูงจากระดบั นาํ้ ทะเล และลักษณะการใชประโยชนที่ดิน เปนตน โดยขอมลู เหลานี้ จะใชประกอบในการวิเคราะห
ประเมินผลรวมกับขอ มลู ดา นอ่ืน ๆ เพ่อื ติดตามความเปลีย่ นแปลงของพนื้ ท่ใี นการสาํ รวจทรัพยากรปา ไมครั้งตอ ไป

4. การวิเคราะหขอมูลองคประกอบของหมูไม

4.1 ความหนาแนน

4.2 ปรมิ าตร

5. การวิเคราะหข อมูลชนดิ และปริมาณของลกู ไม (Sapling) และกลาไม (Seedling)

6. การวิเคราะหข อมลู ชนดิ และปริมาณของไมไ ผ หวาย

6.1 ความหนาแนนของไมไ ผ (จํานวนกอ และ จํานวนลาํ )

6.2 ความหนาแนนของหวายเสน ต้งั (จาํ นวนตน)

7. การวิเคราะหข อมูลสงั คมพืช

โดยมีรายละเอียดการวเิ คราะหขอ มูลดังนี้

7.1 ความหนาแนนของพรรณพชื (Density: D) คือ จํานวนตน ไมทง้ั หมดของชนิดพันธุท ี่ศึกษาทป่ี รากฏใน
แปลงตัวอยางตอหนว ยพ้ืนท่ที ี่ทาํ การสาํ รวจ

D= จํานวนตนของไมช นิดนนั้ ทัง้ หมด .

พนื้ ทแี่ ปลงตวั อยา งท้งั หมดทท่ี าํ การสาํ รวจ

7.2 ความถี่ (Frequency: F) คอื อัตรารอยละของจํานวนแปลงตวั อยาง ทีป่ รากฏพันธุไมชนิดนั้น ตอ จาํ นวน
แปลงท่ที ําการสํารวจ

F = จาํ นวนแปลงตวั อยางท่พี บไมช นิดทีก่ ําหนด X 100
จาํ นวนแปลงตวั อยางทัง้ หมดท่ที าํ การสํารวจ

7.3 ความเดน (Dominance: Do) ใชความเดนดานพื้นที่หนาตัด (Basal Area: BA) หมายถึง
พน้ื ที่หนา ตดั ของลาํ ตนของตนไมท ีว่ ัดระดับอก (1.30 เมตร) ตอ พน้ื ทท่ี ี่ทาํ การสํารวจ

Do = พื้นทหี่ นา ตดั ทง้ั หมดของไมช นดิ ที่กําหนด X 100
พืน้ ทแ่ี ปลงตัวอยา งท่ที าํ การสาํ รวจ

14

7.4 คาความหนาแนนสัมพัทธ (Relative Density: RD) คือ คาความสัมพัทธของความหนาแนน ของไมท่ี
ตองการตอ คาความหนาแนนของไมท ุกชนิดในแปลงตวั อยา ง คดิ เปน รอ ยละ

RD = ความหนาแนนของไมชนิดนน้ั X 100
ความหนาแนนรวมของไมท ุกชนดิ

7.5 คาความถ่ีสัมพัทธ (Relative Frequency: RF) คือ คาความสัมพัทธของความถี่ของชนิดไม ท่ี
ตองการตอคา ความถท่ี ัง้ หมดของไมทกุ ชนดิ ในแปลงตัวอยาง คดิ เปน รอ ยละ

RF = ความถ่ขี องไมช นดิ นัน้ X 100
ความถ่รี วมของไมทกุ ชนดิ

7.6 คาความเดนสัมพัทธ (Relative Dominance: RDo) คือ คาความสัมพันธของความเดนในรูป
พื้นทห่ี นาตัดของไมช นดิ ทกี่ ําหนดตอ ความเดนรวมของไมทกุ ชนิดในแปลงตวั อยาง คิดเปน รอ ยละ

RDo = ความเดน ของไมชนดิ นั้น X 100
ความเดน รวมของไมทกุ ชนิด

7.7 คาดัชนีความสําคัญของชนิดไม (Importance Value Index: IVI) คือ ผลรวมของคาความ
สมั พัทธต าง ๆ ของชนดิ ไมในสังคม ไดแก คา ความสมั พัทธด านความหนาแนน คา ความสมั พทั ธ ดา นความถ่ี และ
คา ความสัมพทั ธดา นความเดน

IVI = RD + RF + RDo

8. วเิ คราะหข อมลู ความหลากหลายทางชวี ภาพ
โดยทําการวเิ คราะหค า ตาง ๆ ดงั นี้
8.1 ความหลากหลายของชนิดพันธุ (Species Diversity) วัดจากจํานวนชนิดพันธุท่ีปรากฏในสังคมและ

จํานวนตนที่มีในแตละชนิดพันธุ โดยใชดัชนีความหลากหลายของ Shannon-Wiener Index of diversity ตาม
วิธีการของ Kreb (1972) ซ่ึงมีสูตรการคํานวณดงั ตอ ไปน้ี

s

H = ∑ (pi)(ln pi)

i=1

โดย H คือ คา ดชั นคี วามหลากชนดิ ของชนดิ พันธุไม
pi คอื สดั สว นระหวางจาํ นวนตนไมชนดิ ท่ี i ตอ จํานวนตนไมทง้ั หมด
S คือ จํานวนชนดิ พนั ธุไมท ้งั หมด

15

8.2 ความรํ่ารวยของชนิดพันธุ (Richness Indices) อาศัยความสัมพันธระหวางจํานวนชนิดกับจํานวน
ตนท้ังหมดที่ทําการสํารวจ ซึ่งจะเพ่ิมขึ้นเมื่อเพ่ิมพื้นท่ีแปลงตัวอยาง และดัชนีความร่ํารวย ท่ีนิยมใชกัน คือ วิธี
ของ Margalef Index และ Menhinick Index (Margalef 1958, Menhinick 1964) โดยมีสูตรการคํานวณดงั นี้

1) Margalef Index (R1)

R1 = (S-1)/ln(n)

2) Menhinick Index (R2)

R2 = S/√n

เม่ือ S คือ จํานวนชนดิ ทง้ั หมดในสงั คม
n คอื จาํ นวนตน ท้งั หมดทส่ี ํารวจพบ

8.3 ความสมํ่าเสมอของชนิดพันธุ (Evenness Indices) เปนดัชนีท่ีตั้งอยูบนสมมติฐานท่ีวา ดัชนีความ
สม่ําเสมอจะมีคามากที่สุดเม่ือทุกชนิดในสังคมมีจํานวนตนเทากันท้ังหมด ซ่ึงวิธีการที่นิยมใชกันมากในหมูนัก
นเิ วศวทิ ยา คือ วิธขี อง Pielou (1975) ซง่ึ มีสตู รการคาํ นวณดงั นี้

E = H/ ln(S) = ln (N1)/ln (N0)

เม่ือ H คือ คาดชั นคี วามหลากหลายของ Shannon-Wiener
S คือ จาํ นวนชนิดท้งั หมด (N0)
N1 คือ eH

16

ผลการสํารวจทรัพยากรปา ไม

1. การวางแปลงตัวอยา ง

จากผลการดําเนินการสํารวจทรัพยากรปาไม ในพ้ืนท่ีอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง ดําเนินการ วาง
แปลงสํารวจ ตามพ้ืนท่ีรับผิดชอบของสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษท่ี 3 (สาขาเพชรบรุ ี) จํานวน 22 แปลง ดังภาพท่ี
10–11 และรายละเอยี ดแสดงในตารางภาคผนวกที่ 10

ภาพท่ี 10 แผนทแ่ี สดงขอบเขตและลกั ษณะภูมิประเทศของอุทยานแหง ชาตินาํ้ ตกหวยยาง

17

ภาพท่ี 11 แปลงตัวอยางทไ่ี ดด ําเนนิ การสํารวจภาคสนามในอุทยานแหง ชาตินํ้าตกหวยยาง
2. พนื้ ที่ปา ไม

จากการสาํ รวจ พบวา มพี ้ืนทปี่ าไมจาํ แนกตามลักษณะการใชประโยชนทด่ี ินได 4 ประเภท ไดแก ปา ดบิ
ช้ืน ปาดิบแลง ปาเบญจพรรณ และพื้นท่ีเกษตรกรรม โดยปาดิบแลงพบมากสุด มีพ้ืนท่ี 87.82 ตารางกิโลเมตร
(54,886.36 ไร) คิดเปนรอยละ 54.55 ของพ้ืนที่ท้ังหมด รองลงมา คือ ปาดิบช้ืน มีพ้ืนที่ 51.23 ตารางกิโลเมตร
(32,017.05 ไร) คิดเปนรอยละ 31.82 ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่เกษตรกรรมมีพื้นที่ 14.64 ตารางกิโลเมตร
(9,147.73 ไร) คิดเปนรอยละ 9.09 ของพื้นที่ทั้งหมด และปาเบญจพรรณ มีพื้นที่ 7.32 ตารางกิโลเมตร
(4,573.86 ไร) คิดเปน รอยละ 4.55 ของพนื้ ที่ท้งั หมด รายละเอียดดงั ตารางท่ี 2 และภาพที่ 12

18

ตารางที่ 2 พนื้ ที่ปาไมจ ําแนกตามลกั ษณะการใชประโยชนท่ีดินในอุทยานแหง ชาติน้ําตกหวยยาง

(Area by Landuse Type)

ลักษณะการใชป ระโยชนท ด่ี นิ พืน้ ท่ี รอ ยละ

(Landuse Type) ตร.กม. ไร เฮกตาร ของพ้ืนทที่ ัง้ หมด

ปาดบิ ชน้ื 51.23 32,017.05 5,122.73 31.82

(Tropical Evergreen Forest)

ปา ดิบแลง 87.82 54,886.36 8,781.82 54.55

(Dry Evergreen Forest)

ปา เบญจพรรณ 7.32 4,573.86 731.82 4.55

(Mixed Deciduous Forest)

พน้ื ที่เกษตรกรรม 14.64 9,147.73 1,463.64 9.09

(Agriculture land)

รวม 161.00 100,625.00 16,100.00 100.00

หมายเหตุ : - การคาํ นวณพนื้ ทปี่ า ไมข องลักษณะการใชประโยชนทด่ี ินแตละลกั ษณะใชสดั สว นของขอ มลู ทีพ่ บจากการ

สํารวจภาคสนาม

- รอ ยละของพ้นื ทสี่ ํารวจคํานวณจากขอมลู แปลงทส่ี าํ รวจพบ ซ่ึงมพี ้นื ท่ีดงั ตารางท่ี 1

- รอยละของพนื้ ที่ทั้งหมดคาํ นวณจากพ้นื ที่แนบทายกฤษฎีกาของอุทยานแหงชาตนิ ํา้ ตกหว ยยางซ่งึ มพี ื้นที่

เทากบั 161.00 ตารางกโิ ลเมตร หรือ 100,625.00 ไร

ภาพท่ี 12 พืน้ ที่ปา ไมจาํ แนกตามลกั ษณะการใชป ระโยชนท่ีดินในอทุ ยานแหง ชาตนิ า้ํ ตกหวยยาง

19

3. ปริมาณไม

จากการวิเคราะหเก่ียวกับชนิดไม ปริมาณ ปริมาตร และความหนาแนนของตนไมในปา โดยการสํารวจ

ทรัพยากรปาไมในแปลงตัวอยางถาวร ในพ้ืนที่อุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง จํานวนทั้งสิ้น 22 แปลง พบวามี

ชนดิ ปาหรือลกั ษณะการใชประโยชนทดี่ ินท่ีสาํ รวจพบ 4 ประเภท ไดแ ก ปาดบิ ชนื้ ปาดิบแลง ปา เบญจพรรณ และพื้นที่

เกษตรกรรม พบไมตนท่ีมีความสูงมากกวา 1.30 เมตร และมีขนาดเสนรอบวงเพียงอก (GBH) มากกวาหรือเทากับ

15 เซนติเมตรขึ้นไป มีมากกวา 191 ชนิด รวมท้ังหมด 11,109,000 ตน ปริมาตรไมรวมท้ังหมด 3,131,781.03

ลูกบาศกเมตร ปริมาตรไมเฉลี่ย 39.41 ลูกบาศกเมตรตอไร และมีความหนาแนนของตนไมเฉลี่ย 110.40 ตนตอไร

พบปริมาณไมมากสุดในปาดิบแลง จํานวน 5,971,636 ตน รองลงมา ในปาดิบชื้น พบจํานวน 4,742,182 ตน

สําหรับปริมาตรไมพบมากสดุ ในปา ดิบชนื้ จํานวน 2,100,373.02 ลกู บาศกเ มตร รองลงมา คือ ปาดบิ แลง จํานวน

942,724.26 ลูกบาศกเ มตร รายละเอยี ดดังตารางท่ี 3 และ 4 ภาพท่ี 13, 14, 15 และ 16 ตามลาํ ดบั

ตารางที่ 3 ปรมิ าณไมท ัง้ หมดจาํ แนกตามลักษณะการใชประโยชนท ่ีดินในอทุ ยานแหง ชาตนิ ้าํ ตกหวยยาง

(Volume by Landuse Type)

ลักษณะการใชป ระโยชนท ดี่ นิ ปรมิ าณไมท ง้ั หมด

(Landuse Type) จาํ นวน (ตน ) ปริมาตร (ลบ.ม.)

ปาดิบชื้น 4,742,182 2,100,373.02

(Tropical Evergreen Forest)

ปาดบิ แลง 5,971,636 942,724.26

(Dry Evergreen Forest)

ปา เบญจพรรณ 124,409 25,776.76

(Mixed Deciduous Forest)

พนื้ ท่เี กษตรกรรม 270,773 62,906.96

(Agriculture land)

รวม 11,109,000 3,131,781.03

20

ภาพที่ 13 ลักษณะทวั่ ไปของปาดิบชนื้ ในอุทยานแหง ชาตินาํ้ ตกหวยยาง

21

ภาพที่ 14 ลักษณะทวั่ ไปของปาดิบแลง ในอุทยานแหง ชาตินา้ํ ตกหวยยาง

22

ภาพที่ 15 ลักษณะทวั่ ไปของปาเบญจพรรณในอุทยานแหง ชาตินา้ํ ตกหวยยาง

23

ภาพที่ 16 ลักษณะทวั่ ไปของพนื้ ท่เี กษตรกรรมในอทุ ยานแหง ชาตินา้ํ ตกหวยยาง

24

ปริมาณตน้ ไม้ทัง� หมดจําแนกตามลักษณะการใช้ประโยชน์ทีด� นิ
ในอทุ ยานแหง่ ชาตนิ �ําตกหว้ ยยาง

7,000,000

6,000,000 5,971,636

5,000,000 4,742,182 ปา่ ดบิ ชน�ื
ป่าดิบแลง้
ํจานวน ( ้ตน) 4,000,000 ปา่ เบญจพรรณ
พืน� ที�เกษตร
3,000,000

2,000,000

1,000,000 124,409 270,773
0

ลกั ษณะการใชป้ ระโยชน์ทีด� นิ (Landuse Type)

ภาพที่ 17 ปริมาณไมท้ังหมดทพี่ บในอุทยานแหงชาตนิ าํ้ ตกหวยยาง

ปรมิ าตรไม้ท�ังหมดจาํ แนกตามลักษณะการใชป้ ระโยชน์ท�ดี ิน
ในอทุ ยานแห่งชาตินํา� ตกห้วยยาง

2,500,000.00 2,100,373.02
2,000,000.00

ป ิรมาตร (ลบ.ม.) 1,500,000.00 942,724.27 ป่าดบิ ช�นื
1,000,000.00 ป่าดิบแล้ง
ป่าเบญจพรรณ
พน�ื ท�เี กษตร

500,000.00 25,776.76 62,906.98
0.00 ลกั ษณะการใช้ประโยชน์ท�ีดิน (Landuse Type)

ภาพที่ 18 ปริมาตรไมท ้ังหมดท่ีพบในอุทยานแหงชาตนิ ํา้ ตกหวยยาง

25

ตารางที่ 4 ความหนาแนน และปรมิ าตรไมตอหนวยพื้นที่จาํ แนกตามลกั ษณะการใชประโยชนท ่ีดินในอุทยาน

แหง ชาตนิ าํ้ ตกหวยยาง (Density and Volume per Area by Landuse Type)

ลักษณะการใชประโยชนทด่ี นิ ความหนาแนน ปริมาตร

(Landuse Type) ตน/ไร ตน /เฮกตาร ลบ.ม./ไร ลบ.ม./เฮกตาร

ปา ดบิ ชน้ื 148.11 925.71 65.60 572.84

(Tropical Evergreen Forest)

ปาดบิ แลง 108.80 680.00 17.18 107.35

(Dry Evergreen Forest)

ปา เบญจพรรณ 27.20 170.00 5.63 35.20

(Mixed Deciduous Forest)

พ้นื ทเี่ กษตรกรรม 29.60 185.00 6.88 43.00

(Agriculture land)

เฉลย่ี 110.40 690.00 31.12 246.33

160.00 ความหนาแนน่ ต้นไมจ้ ําแนกตามลกั ษณะการใช้ประโยชน์ที�ดิน
140.00 ในอทุ ยานแห่งชาตนิ �ําตกห้วยยาง
120.00
100.00 148.11

ความหนาแ ่นน ( ้ตน/ไ ่ร) 80.00 108.80 ปา่ ดบิ ชื�น
60.00 ปา่ ดิบแลง้
40.00 ปา่ เบญจพรรณ
20.00 พ�นื ทเี� กษตร

0.00 27.20 29.60

ลักษณะการใช้ประโยชนท์ ด�ี ิน (Landuse Type)

ภาพที่ 19 ความหนาแนนของไมท้ังหมดในอุทยานแหงชาตินาํ้ ตกหวยยาง

26

ปริมาตรไม้ตอ่ หน่วยพนื� ท�ีจําแนกตามลักษณะการใชป้ ระโยชน์ทดี� ิน
ในอุทยานแห่งชาตนิ ํ�าตกห้วยยาง

70.00 65.60

60.00

ปริมาตร (ลบ.ม./ไร่) 50.00 ป่าดิบชน�ื
ป่าดิบแล้ง
40.00 ป่าเบญจพรรณ
พื�นท�ีเกษตร
30.00

20.00 17.18
10.00
5.63 6.88

0.00

ลกั ษณะการใชป้ ระโยชน์ทด�ี ิน (Landuse Type)

ภาพที่ 20 ปริมาตรไม (ลบ.ม./ไร) ของพื้นท่แี ตละประเภทในอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง

ตารางท่ี 5 การกระจายขนาดความโตของไมท ั้งหมดในอุทยานแหงชาตนิ ้าํ ตกหวยยาง

ขนาดความโต (GBH) ปรมิ าณไมทัง้ หมด (ตน ) รอยละ (%)

15 - 45 ซม. 7,947,545 71.54
22.73
>45 - 100 ซม. 2,524,773 5.73

>100 ซม. 636,682 100.00

รวม 11,109,000

การกระจายขนาดความโตของปรมิ าณไมท้ �งั หมด
ในอทุ ยานแหง่ ชาตินา�ํ ตกห้วยยาง

636,682

2,524,773

15 - 45 ซม.
>45 - 100 ซม.
>100 ซม.

7,947,545

ภาพที่ 21 การกระจายขนาดความโตของปรมิ าณไมทง้ั หมดในอุทยานแหง ชาตินาํ้ ตกหว ยยาง

27

4. ชนิดพนั ธไุ ม

ชนิดพันธุไมที่สํารวจพบในพ้ืนท่ีอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง มีมากกวา 191 ชนิด รวมจํานวน
11,109,000 ตน คิดเปนปริมาตรไมรวม 3,131,781.03 ลูกบาศกเมตร มีคาความหนาแนนเฉล่ีย 110.40 ตนตอไร มี
ปริมาตรไมเฉล่ีย 31.12 ลูกบาศกเมตรตอไร ชนิดไมที่มีปริมาณไมมากที่สุด 10 อันดับแรก ไดแก กระบกกรัง
(Hopea helferi) ไขเขียว (Parashorea stellate) กระทุมหูกวาง (Neonauclea sessilifolia) ตะเคียนหนู
(Anogeissus acuminate) แ ก ว ล า ว (Walsura pinnata) ต า เ สื อ (Aphanamixis polystachya) ดําดง
(Diospyros pubicalyx) ยางยูง (Dipterocarpus grandifloras) เคี่ยมคะนอง (Shorea henryana) และทองโหลง
(Erythrina fusca) รายละเอียดดงั ตารางที่ 6

ในปาดิบชื้น มีปริมาณไมรวม 4,742,182 ตน คิดเปนปริมาตรไมรวม 2,100,737.02 ลูกบาศกเมตร มีคา
ความหนาแนนเฉล่ีย 148.11 ตนตอไร มีปริมาตรไมเฉล่ีย 65.60 ลกู บาศกเมตรตอไร ชนดิ ไมท ่ีมปี ริมาณไมม ากท่ีสุด
10 อันดับแรก ไดแก กระบกกรัง (Hopea helferi) ไขเขียว (Parashorea stellata) แกวลาว (Walsura
pinnata) ดําดง (Diospyros pubicalyx) ยางยูง (Dipterocar pusgrandiflorus) เคี่ยมคะนอง (Shorea
henryana) ยมหอม (Toona ciliata) ไขเนา (Vitex glabrata) พระเจาหาพระองค (Dracontomelon dao)
และสงั เครยี ดลงั สาด (Aglaia tomentosa) รายละเอยี ดดงั ตารางท่ี 7

ในปาดิบแลงมีปริมาณไมรวม 5,971,636 ตน คิดเปนปริมาตรไมรวม 942,724.26 ลูกบาศกเมตร มีคา
ความหนาแนนเฉล่ีย 108.80 ตนตอไร มีปริมาตรไมเฉล่ีย 17.18 ลูกบาศกเมตรตอไร ชนิดไมที่มีปริมาณไมมาก
ที่สุด 10 อันดับแรก ไดแก ตะเคียนหนู (Anogeissus acuminata) กระทุมหูกวาง (Neonauclea
sessilifolia) ตาเสือ (Aphanamixis polystachya) ทองโหลง (Erythrina fusca) สมอพิเภก (Terminalia
bellirica) สมพง (Tetrameles nudiflora) ตะแบกกราย (Terminalia pierrei) งิ้วปา (Bombax anceps)
ปอตบู หูชาง (Sterculia villosa) และตีนนก (Vitex pinnata) รายละเอยี ดดังตารางท่ี 8

ในปาเบญจพรรณมีปริมาณไมรวม 124,409 ตน คิดเปนปริมาตรไมรวม 25,776.76 ลูกบาศกเมตร มีคา
ความหนาแนน เฉลย่ี 27.20 ตนตอไร มีปรมิ าตรไมเฉลี่ย 5.64 ลูกบาศกเ มตรตอไร ชนิดไมทมี่ ีปริมาณไมมากท่สี ุด คือ งิ้ว
(Bombax ceiba) รองลงมาไดแก ทองโหลง (Erythrina fusca) ตีนนก (Vitex pinnata) ตะเคียนหนู
(Anogeissus acuminata) ตะแบกกราย (Terminalia pierrei) ปอขาว (Sterculia pexa) และเพกา (Oroxylum
indicum) รายละเอียดดงั ตารางที่ 9

ในพื้นที่เกษตรกรรมมีปริมาณไมรวม 270,773 ตน คิดเปนปริมาตรไมรวม 62,906.96 ลูกบาศกเมตร มีคา
ความหนาแนนเฉลี่ย 29.60 ตนตอไร มีปริมาตรไมเฉล่ีย 6.88 ลูกบาศกเมตรตอไร ชนิดไมท่ีมีปริมาณไมมากท่ีสุด 10
อันดับแรก คือ มะพราว (Cocos nucifera) รองลงมา ไดแก สะตอ (Parkia speciosa) นุน (Ceiba pentandra) แค
ทราย (Stereospermum neuranthum) ฝร่ัง (Psidium guajava) ปอขี้ไก (Trema tomentosa) หมีเหม็น

28

(Litsea glutinosa) นอยหนา (Annona squamosa) มะเดื่ออุทุมพร (Ficus racemosa) และกระถิน (Leucaena
leucocephala) ดงั รายละเอยี ดในตารางท่ี 10

ชนิดและปริมาณของลูกไมที่พบในอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง มีมากกวา 67 ชนิด รวมท้ังสิ้น
210,324,545 ตน มีความหนาแนนของลูกไม 2,090.18 ตนตอไร โดยชนิดไมท่ีมีปริมาณมากที่สุด 10 อันดับแรก
ไดแก ตะเคียนหนู (Anogeissus acuminata) ปอขี้ไก (Trema tomentosa) เปลาใหญ (Croton roxburghii) ยู
( Pterospermum pecteniforme) ต ะ แ บ ก ก ร า ย ( Terminalia pierrei) แ ก ว ( Murraya paniculata)
คงคาเดือด (Arfeuillea arborescens) เมก็ (Macaranga tanarius) แขง แคะ (Cleistanthus papyraceus) และ
กระเบากลัก (Hydnocarpus ilicifolia) รายละเอียดดงั ตารางที่ 11

ชนิดและปริมาณของกลาไมที่พบในอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง มีมากกวา 47 ชนิด รวมทั้งส้ิน
655,709,091 ตน มีความหนาแนนของกลาไม 6,516.36 ตนตอไร โดยชนิดไมที่มีปริมาณมากที่สุด 10 อันดับแรก
ไดแก แขงแคะ (Cleistanthus papyraceus) เปลาใหญ (Croton roxburghii) คงคาเดือด (Arfeuillea arborescens)
พลองกินลูก (Memecylon ovatum) กระแจะ (Naringi crenulata) แกวน้ํา (Cleistanthus hirsutulus) เสลา
เปลือกบาง (Lagerstroemia venusta) สะเตา (Pterospermum grandiflorum) ตะเคียนหนู (Anogeissus
acuminata) และปอขนนุ (Sterculia parviflora) รายละเอียดดังตารางที่ 12

สําหรับชนิดไมไผที่พบในพื้นท่ีอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง มี 3 ชนิด ไดแก ไผไร (Gigantochloa
albociliata) ไผรวก (Thyrsostachys siamensis) และไผกะแสนดํา (Schizostachyum mekongensis) โดย
มีปริมาณไมไผจํานวน 5,620,364 กอ รวมท้ังส้นิ 67,049,182 ลาํ ดงั รายละเอยี ดในตารางท่ี 13

29

ตารางท่ี 6 ปรมิ าณไมท ัง้ หมดของอทุ ยานแหง ชาตินาํ้ ตกหวยยาง (30 ชนดิ แรกทม่ี ีปรมิ าตรไมสูงสุด)

ลาํ ดับ ชนดิ พนั ธไุ ม ชื่อวิทยาศาสตร ปรมิ าณไม ปริมาตรไม ความหนาแนน ปรมิ าตร
(ตน)
(ลบ.ม.) (ตน /ไร) (ลบ.ม./ไร)

1 กระบกกรงั Hopea helferi 58,545 367,190.21 0.58 3.65

2 ไขเ ขียว Parashorea stellata 43,909 257,164.53 0.44 2.56

3 กระทุมหูกวาง Neonauclea sessilifolia 336,636 122,975.23 3.35 1.22

4 ตะเคียนหนู Anogeissus acuminata 724,500 108,276.61 7.20 1.08

5 แกว ลาว Walsura pinnata 14,636 95,289.28 0.15 0.95

6 ตาเสือ Aphanamixis polystachya 21,955 90,545.76 0.22 0.90

7 ดาํ ดง Diospyros pubicalyx 51,227 76,653.88 0.51 0.76

8 ยางยูง Dipterocarpus grandiflorus 139,045 73,407.65 1.38 0.73

9 เค่ยี มคะนอง Shorea henryana 43,909 69,853.82 0.44 0.69

10 ทองโหลง Erythrina fusca 124,409 68,184.36 1.24 0.68

11 ยมหอม Toona ciliata 87,818 65,069.90 0.87 0.65

12 ไขเนา Vitex glabrata 14,636 64,006.33 0.15 0.64

13 พระเจา หาพระองค Dracontomelon dao 21,955 62,457.94 0.22 0.62

14 คงคาเดือด Arfeuillea arborescens 629,364 61,522.41 6.25 0.61

15 มะพรา ว Cocos nucifera 117,091 56,906.10 1.16 0.57

16 มะแฟน Protium serratum 365,909 55,281.27 3.64 0.55

17 สังเครียดลงั สาด Aglaia tomentosa 161,000 53,030.54 1.60 0.53

18 สมอพิเภก Terminalia bellirica 285,409 41,964.25 2.84 0.42

19 สังกะโตง Aglaia lawii 190,273 39,726.54 1.89 0.39

20 มะคังดง Ostodes paniculata 58,545 37,225.57 0.58 0.37

21 ตะแบกกราย Terminalia pierrei 248,818 36,229.04 2.47 0.36

22 ตนี นก Vitex pinnata 146,364 35,755.54 1.45 0.36

23 สมพง Tetrameles nudiflora 21,955 35,367.19 0.22 0.35

24 รกั ปา Semecarpus curtisii 29,273 34,875.50 0.29 0.35

25 งว้ิ ปา Bombax anceps 102,455 33,440.47 1.02 0.33

26 ปอตูบ หชู า ง Sterculia villosa 226,864 31,664.19 2.25 0.31

27 ยู Pterospermum pecteniforme 80,500 29,016.52 0.80 0.29

28 นวลเส้ยี น Aporosa octandra 7,318 26,867.87 0.07 0.27

29 มะคําดีควาย Sapindus rarak 29,273 24,439.23 0.29 0.24

30 สังเครียดกลอง Aglaia argentea 190,273 23,971.14 1.89 0.24

31 อ่นื ๆ Others 6,535,136 953,422.16 64.95 9.48

รวม 11,109,000 3,131,781.03 110.40 31.12

หมายเหตุ : มีชนดิ พันธุไมท ่สี ํารวจพบทั้งหมด 191 ชนิด

30

ตารางที่ 7 ปริมาณไมใ นปาดบิ ชืน้ ของอทุ ยานแหงชาติน้ําตกหว ยยาง (30 ชนดิ แรกท่มี ปี รมิ าตรไมสูงสุด)

ลําดบั ชนดิ พันธไุ ม ชื่อวทิ ยาศาสตร ปรมิ าณไม ปรมิ าตรไม ความหนาแนน ปรมิ าตร
(ตน)
(ลบ.ม.) (ตน /ไร) (ลบ.ม./ไร)

1 กระบกกรงั Hopea helferi 51,227 367,145.30 1.60 11.47

2 ไขเ ขยี ว Parashorea stellata 43,909 257,164.52 1.37 8.03

3 แกวลาว Walsura pinnata 14,636 95,289.28 0.46 2.98

4 ดําดง Diospyros pubicalyx 51,227 76,653.88 1.60 2.39

5 ยางยูง Dipterocarpus grandiflorus 139,045 73,407.65 4.34 2.29

6 เคี่ยมคะนอง Shorea henryana 29,273 67,766.68 0.91 2.12

7 ยมหอม Toona ciliata 87,818 65,069.90 2.74 2.03

8 ไขเ นา Vitex glabrata 7,318 63,634.61 0.23 1.99

9 พระเจาหา พระองค Dracontomelon dao 21,955 62,457.94 0.69 1.95

10 สังเครียดลงั สาด Aglaia tomentosa 161,000 53,030.54 5.03 1.66

11 มะแฟน Protium serratum 351,273 50,705.71 10.97 1.58

12 สงั กะโตง Aglaia lawii 190,273 39,726.54 5.94 1.24

13 คงคาเดอื ด Arfeuillea arborescens 417,136 38,607.00 13.03 1.21

14 มะคงั ดง Ostodes paniculata 58,545 37,225.57 1.83 1.16

15 รกั ปา Semecarpus curtisii 14,636 33,760.40 0.46 1.05

16 มะคาํ ดคี วาย Sapindus rarak 29,273 24,439.23 0.91 0.76

17 ยางบง Persea kurzii 21,955 19,527.88 0.69 0.61

18 กระทุม หูกวาง Neonauclea sessilifolia 73,182 18,803.03 2.29 0.59

19 ยมหิน Chukrasia tabularis 21,955 14,986.84 0.69 0.47

20 จกั หัน Orophea polycarpa 343,955 14,419.73 10.74 0.45

21 ดีหมี Cleidion spiciflorum 153,682 12,506.29 4.80 0.39

22 กระทมุ Anthocephalus chinensis 51,227 11,854.44 1.60 0.37

23 เม็ก Macaranga tanarius 51,227 10,426.39 1.60 0.33

24 เสม็ดทุง Lophopetalum wallichii 65,864 9,237.66 2.06 0.29

25 ตาเสอื Aphanamixis polystachya 7,318 7,798.20 0.23 0.24

26 คางคาว Aglaia edulis 131,727 6,307.70 4.11 0.20

27 กะอวม Acronychia pedunculata 7,318 6,136.60 0.23 0.19

28 ทลายเขา Antheroporum glaucum 58,545 5,904.52 1.83 0.18

29 ขหี้ นอนควาย Gironniera nervosa 7,318 5,391.95 0.23 0.17

30 พะวา Garcinia speciosa 29,273 4,617.48 0.91 0.14

31 อื่น ๆ Others 2,049,091 546,369.59 64.00 17.06

รวม 4,742,182 2,100,373.02 148.11 65.60

หมายเหตุ : มีชนิดพันธุไมท ่สี ํารวจพบทง้ั หมด 120 ชนดิ

31

ตารางท่ี 8 ปริมาณไมใ นปา ดบิ แลงของอุทยานแหง ชาตนิ ํ้าตกหวยยาง (30 ชนดิ แรกทม่ี ปี รมิ าตรไมสงู สดุ )

ลําดบั ชนิดพันธุไม ชื่อวทิ ยาศาสตร ปริมาณไม ปริมาตรไม ความหนาแนน ปริมาตร
(ตน)
709,864 (ลบ.ม.) (ตน/ไร) (ลบ.ม./ไร)
263,455
1 ตะเคยี นหนู Anogeissus acuminata 14,636 106,636.84 12.93 1.94
117,091
2 กระทมุ หูกวาง Neonauclea sessilifolia 285,409 104,172.20 4.80 1.90
21,955
3 ตาเสือ Aphanamixis polystachya 219,545 82,747.56 0.27 1.51
102,455
4 ทองโหลง Erythrina fusca 226,864 61,918.15 2.13 1.13
109,773
5 สมอพเิ ภก Terminalia bellirica 7,318 41,964.25 5.20 0.76
29,273
6 สมพง Tetrameles nudiflora 212,227 35,367.19 0.40 0.64
153,682
7 ตะแบกกราย Terminalia pierrei 117,091 35,081.10 4.00 0.64

8 งวิ้ ปา Bombax anceps 33,440.47 1.87 0.61

9 ปอตบู หชู าง Sterculia villosa 31,664.19 4.13 0.58

10 ตีนนก Vitex pinnata 31,005.12 2.00 0.56

11 นวลเส้ียน Aporosa octandra 26,867.87 0.13 0.49

12 ยู Pterospermum pecteniforme 25,039.11 0.53 0.46

13 คงคาเดือด Arfeuillea arborescens 22,915.41 3.87 0.42

14 สังเครียดกลอง Aglaia argentea 21,112.45 2.80 0.38

15 ตะแบก Lagerstroemia duperreana 14,728.14 2.13 0.27

เปลอื กบาง

16 ตะคร้ํา Garuga pinnata 36,591 14,344.95 0.67 0.26
95,136 13,215.79 1.73 0.24
17 สะแกแสง Cananga latifolia 95,136 10,881.03 1.73 0.20
146,364 10,701.66 2.67 0.19
18 แคหางคาง Fernandoa adenophylla 102,455 10,381.81 1.87 0.19
80,500 9,725.22 1.47 0.18
19 ดหี มี Cleidion spiciflorum 248,818 8,642.62 4.53 0.16
29,273 8,565.91 0.53 0.16
20 ปอแกน เทา Grewia eriocarpa 51,227 8,231.00 0.93 0.15
226,864 7,193.89 4.13 0.13
21 ยางโอน Polyalthia viridis 7,318 6,800.65 0.13 0.12
117,091 6,507.14 2.13 0.12
22 อีแปะ Vitex quinata 43,909 6,480.28 0.80 0.12
153,682 5,264.04 2.80 0.10
23 เครือเขาหนงั Bauhinia bassacensis 14,636 4,575.56 0.27 0.08
1,932,000 136,552.68 35.20 2.49
24 สาํ โรง Sterculia foetida
5,971,636 942,724.26 108.80 17.18
25 ปอขนุน Sterculia parviflora

26 ปอแดง Sterculia guttata

27 ขอ ยน้ํา Streblus taxoides

28 สวอง Vitex limonifolia

29 พลับพลา Microcos tomentosa

30 มะแฟน Protium serratum

31 อืน่ ๆ Others

รวม

หมายเหตุ : มีชนดิ พันธุไมท ส่ี ํารวจพบทัง้ หมด 110 ชนิด

ตารางที่ 9 ปริมาณไมใ นปา เบญจพรรณของอุทยานแหงชาตินํ้าตกหวยยาง 32

ลาํ ดบั ชนดิ พนั ธไุ ม ชอื่ วิทยาศาสตร ปริมาณไม ปรมิ าตรไม ความหนาแนน ปรมิ าตร
(ตน) (ลบ.ม./ไร)
(ลบ.ม.) (ตน /ไร)
2.55
1 ง้วิ Bombax ceiba 7,318 11,654.98 1.60 1.37
1.04
2 ทองโหลง Erythrina fusca 7,318 6,266.22 1.60 0.34
0.25
3 ตีนนก Vitex pinnata 36,591 4,750.42 8.00 0.06
0.03
4 ตะเคยี นหนู Anogeissus acuminata 7,318 1,546.13 1.60 5.64

5 ตะแบกกราย Terminalia pierrei 29,273 1,147.94 6.40

6 ปอขาว Sterculia pexa 21,955 261.88 4.80

7 เพกา Oroxylum indicum 14,636 149.20 3.20

รวม 124,409 25,776.76 27.20

ตารางที่ 10 ปริมาณไมใ นพนื้ ที่เกษตรกรรมของอุทยานแหงชาตนิ าํ้ ตกหวยยาง

ลําดับ ชนดิ พนั ธุไ ม ชื่อวทิ ยาศาสตร ปริมาณไม ปริมาตรไม ความหนาแนน ปริมาตร
(ตน )
(ลบ.ม.) (ตน /ไร) (ลบ.ม./ไร)

1 มะพราว Cocos nucifera 117,091 56,906.10 12.80 6.22

2 สะตอ Parkia speciosa 21,955 2,545.10 2.40 0.28

3 นนุ Ceiba pentandra 7,318 564.44 0.80 0.06

4 แคทราย Stereospermum 7,318 532.53 0.80 0.06
Neuranthum

5 ฝรงั่ Psidium guajava 14,636 530.42 1.60 0.06

6 ปอขไ้ี ก Trema tomentosa 21,955 522.84 2.40 0.06

7 หมเี หม็น Litsea glutinosa 7,318 479.38 0.80 0.05

8 นอยหนา Annona squamosa 29,273 289.84 3.20 0.03

9 มะเดอ่ื อทุ ุมพร Ficus racemosa 14,636 202.36 1.60 0.02

10 กระถิน Leucaena leucocephala 14,636 122.21 1.60 0.01

11 เตารา งแดง Caryota mitis 7,318 118.10 0.80 0.01

12 ตะเคียนหนู Anogeissus acuminata 7,318 93.64 0.80 0.01

รวม 270,773 62,906.96 29.60 6.88

33

ตารางที่ 11 ปรมิ าณลูกไม (Sapling) ของอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง (30 ชนดิ แรกทม่ี ีปริมาณไมสูงสดุ )

ลําดับ ชนดิ พันธุไม ช่อื วิทยาศาสตร ปรมิ าณไม ความหนาแนน
(ตน) (ตน /ไร)
1 ตะเคียนหนู Anogeissus acuminata 16,831,818 167.27
13,904,545 138.18
2 ปอข้ไี ก Trema tomentosa 13,172,727 130.91
12,440,909 123.64
3 เปลาใหญ Croton roxburghii 10,245,455 101.82
9,074,545 90.18
4 ยู Pterospermum pecteniforme 8,489,091 84.36
8,196,364 81.45
5 ตะแบกกราย Terminalia pierrei 7,025,455 69.82
5,854,545 58.18
6 แกว Murraya paniculata 5,122,727 50.91
4,683,636 46.55
7 คงคาเดือด Arfeuillea arborescens 4,537,273 45.09
4,390,909 43.64
8 เม็ก Macaranga tanarius 4,390,909 43.64
4,390,909 43.64
9 แขง แคะ Cleistanthus papyraceus 3,951,818 39.27
3,659,091 36.36
10 กระเบากลัก Hydnocarpus ilicifolia 3,220,000 32.00
3,220,000 32.00
11 ขอยนํา้ Streblus taxoides 3,073,636 30.55
2,927,273 29.09
12 กระแจะ Naringi crenulata 2,488,182 24.73
2,341,818 23.27
13 ปอแกน เทา Grewia eriocarpa 2,195,455 21.82
2,195,455 21.82
14 มะนาวผี Atalantia monophylla 2,049,091 20.36
1,610,000 16.00
15 พลับพลา Microcos tomentosa 1,463,636 14.55
1,463,636 14.55
16 ทองโหลง Erythrina fusca 41,713,636 414.55

17 จักหนั Orophea polycarpa 210,324,545 2,090.18

18 กระทุมหูกวาง Neonauclea sessilifolia

19 ยางยงู Dipterocarpus grandiflorus

20 ทลายเขา Antheroporum glaucum

21 มะปราง Bouea macrophylla

22 ตนี นก Vitex pinnata

23 ดหี มี Cleidion spiciflorum

24 คางคาว Aglaia edulis

25 พิลังสา Ardisia collinsae

26 เคยี่ มคะนอง Shorea henryana

27 สังกะโตง Aglaia lawii

28 สตั บรรณ Alstonia scholaris

29 อแี ปะ Vitex scabra

30 ละมุดปา Manilkara littoralis

31 อ่ืนๆ Others

รวม

หมายเหตุ: มีชนิดพันธุลกู ไมท ่ีสํารวจพบท้งั หมด 66 ชนิด

34

ตารางท่ี 12 ปริมาณกลาไม (Seedling) ของอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง (30 ชนดิ แรกท่ีมปี ริมาณไมส ูงสุด)

ลาํ ดบั ชนดิ พันธุไม ช่ือวิทยาศาสตร ปริมาณไม ความหนาแนน
(ตน ) (ตน/ไร)
1 แขงแคะ Cleistanthus papyraceus 49,763,636 494.55
23,418,182 232.73
2 เปลาใหญ Croton roxburghii 19,027,273 189.09
17,563,636 174.55
3 คงคาเดอื ด Arfeuillea arborescens 16,100,000 160.00
13,172,727 130.91
4 พลองกนิ ลกู Memecylon ovatum 13,172,727 130.91
13,172,727 130.91
5 กระแจะ Naringi crenulata 11,709,091 116.36
8,781,818 87.27
6 แกว นํ้า Cleistanthus hirsutulus 7,318,182 72.73
5,854,545 58.18
7 เสลาเปลอื กบาง Lagerstroemia venusta 5,854,545 58.18
4,390,909 43.64
8 สะเตา Pterospermum grandiflorum 4,390,909 43.64
2,927,273 29.09
9 ตะเคยี นหนู Anogeissus acuminata 2,927,273 29.09
2,927,273 29.09
10 ปอขนนุ Sterculia parviflora 2,927,273 29.09
2,927,273 29.09
11 ยู Pterospermum pecteniforme 2,927,273 29.09
2,927,273 29.09
12 ปอแกนเทา Grewia eriocarpa 2,927,273 29.09
1,463,636 14.55
13 แกวลาว Walsura pinnata 1,463,636 14.55
1,463,636 14.55
14 ไมห อม Aquilaria malaccensis 1,463,636 14.55
1,463,636 14.55
15 หสั คณุ Micromelum minutum 1,463,636 14.55
1,463,636 14.55
16 เครือเขาหนงั Bauhinia bassacensis 408,354,545 4,058.18

17 มะปราง Bouea macrophylla 655,709,091 6,516.36

18 มหาพรหม Mitrephora winitii

19 แคทราย Stereospermum neuranthum

20 พลิ ังสา Ardisia collinsae

21 หมเี หม็น Litsea glutinosa

22 จักหนั Orophea polycarpa

23 ขอยน้ํา Streblus taxoides

24 ทงุ ฟา Alstonia macrophylla

25 มะไฟ Baccaurea ramiflora

26 เฉียงพรา นางแอ Carallia brachiata

27 กระเบากลัก Hydnocarpus ilicifolia

28 เสลาเปลือกหนา Lagerstroemia villosa

29 เสมด็ ทงุ Lophopetalum wallichii

30 กระทมุ หกู วาง Neonauclea sessilifolia

31 อ่นื ๆ Others

รวม

หมายเหตุ : มีชนิดพันธกุ ลา ไมที่สํารวจพบทัง้ หมด 47 ชนดิ

35

ตารางท่ี 13 ชนิดและปรมิ าณไมไผ หวาย และไมกอ ทพี่ บในอุทยานแหงชาติน้ําตกหวยยาง

ลาํ ดบั ชนิดพันธไุ ผ หวาย และไมก อ ชื่อวทิ ยาศาสตร ปริมาณไมไผทั้งหมด

จํานวนกอ จาํ นวนลาํ

ไผ

1 ไผไร Gigantochloa albociliata 3,995,727 48,285,364

2 ไผรวก Thyrsostachys siamensis 1,083,091 10,757,727

3 ไผกะแสนดํา Schizostachyum mekongensis 541,545 8,006,091
รวมไผ 5,620,364 67,049,182

36

37

38

39

40

41

5. สังคมพืช

จากผลการสํารวจเก็บและวิเคราะหขอมูลสังคมพืชในอุทยานแหงชาตินํ้าตกหวยยาง พบวามีสังคมพืช 4
ประเภท คือ ปา ดบิ ชื้น ปา ดบิ แลง ปาเบญจพรรณ และพ้นื ท่เี กษตรกรรม และจากวเิ คราะหข อมลู สังคมพืช ความ
หนาแนนของพรรณพืช (Density) ความถ่ี (Frequency) ความเดน (Dominance) และดัชนีความสําคัญของพรรณ
ไม (IVI) ดังนี้

ในอุทยานแหงชาตินาํ้ ตกหวยยาง มีชนิดไมที่มีคาดัชนีความสําคัญของชนิดไม (IVI) สูงสุด 10 อันดบั
แรก ไดแก ตะเคียนหนู (Anogeissus acuminata) คงคาเดือด (Arfeuillea arborescens) กระบกกรัง (Hopea
helferi) กระทุมหูกวาง (Neonauclea sessilifolia) มะแฟน (Protium serratum) ดีหมี (Cleidion spiciflorum)
จักหนั (Orophea polycarpa) ไขเขยี ว (Parashorea stellata) ทองโหลง (Erythrina fusca) และปอตูบ หูชาง
(Sterculia villosa) ดงั รายละเอียดในตารางที่ 14

ในพืน้ ทป่ี า ดิบช้ืนมีชนิดไมทม่ี ีคา ดัชนคี วามสาํ คัญของชนดิ ไม (IVI) สูงสดุ 10 อันดบั แรก ไดแก คงคาเดือด
(Arfeuillea arborescens) กระบกกรัง (Hopea helferi) มะแฟน (Protium serratum) จักหัน (Orophea
polycarpa) ไขเขยี ว (Parashorea stellata) สงั เครยี ดลังสาด (Aglaia tomentosa) สังกะโตง (Aglaia lawii) ยางยูง
(Dipterocarpus grandiflorus) ดีหมี (Cleidion speciflorum) และยมหอม (Toona ciliata) ดังรายละเอียด
ในตารางท่ี 15

ในพ้ืนท่ีปาดิบแลง มีชนิดไมที่มีคาดัชนีความสําคัญของชนดิ ไม (IVI) สูงสุด 10 อันดับแรก ไดแกตะเคียน

หนู (Anogeissus acuminata) กระทุมหูกวาง (Neonauclea sessilifolia) ปอตูบหูชาง (Sterculia villosa)
ทองโหลง (Erythrina fusca) สมอพิเภก (Terminalia bellirica) ตะแบกกราย (Terminalia pierrei) ตีนนก
(Vitex pinnata) คงคาเดือด (Arfeuilleaarb orescens) อีแปะ (Vitex quinata) และ ตาเสือ (Aphanamixis
polystachya) ดังรายละเอยี ดในตารางที่ 16

ในพื้นที่ปาเบญจพรรณ มีชนิดไมท่ีมีคาดัชนีความสําคัญของชนิดไม (IVI) สูงสุด คือ ตีนนก (Vitex
pinnata) รองลงมา ไดแก ตะแบกกราย (Terminalia pierrei) ทองโหลง (Erythrina fusca) ง้ิว (Bombax
ceiba) ปอขาว (Sterculia pexa) เพกา (Oroxylum indicum) และตะเคียนหนู (Anogeissus acuminata)
ดังรายละเอียดในตารางที่ 17

ในพ้ืนท่ีเกษตรกรรม มีชนิดไมท่ีมีคาดัชนีความสําคัญของชนิดไม (IVI) สูงสุด 10 อันดับแรก ไดแก

มะพราว (Cocos nucifera) สะตอ (Parkia speciosa) นอยหนา (Annona squamosa) ปอขี้ไก (Trema
tomentosa) ฝร่ัง (Psidium guajava) มะเดื่ออุทุมพร (Ficus racemosa) กระถิน (Leucaena leucocephala) นุน
(Ceiba pentandra) แคทราย (Stereospermum neuranthum) และหมีเหม็น (Litsea glutinosa) ดัง
รายละเอียดในตารางท่ี 18

42

6. ความหลากหลายทางชวี ภาพ

ขอมูลเกย่ี วกับความหลากหลายทางชวี ภาพ พบวา ชนดิ ปาหรือลักษณะการใชประโยชนท่ีดนิ ท่ีมีความ
หลากหลายของชนิดพันธุไม (Species Diversity) มากท่ีสุด คือ ปาดิบช้ืน รองลงมา คือ ปาดิบแลง ชนิดปาหรือ
ลักษณะการใชประโยชนท่ีดินที่มีความมากมายของชนิดพันธุไม (Species Richness) มากท่ีสุด คือ ปาดิบชื้น
รองลงมา คือ ปาดิบแลง และชนิดปาหรือลักษณะการใชประโยชนท่ีดินท่ีมีความสม่ําเสมอของชนิดพันธุไม
(Species Evenness) มากที่สุด คือ ปาเบญจพรรณ รองลงมา คือ ปาดิบชื้นและปาดิบแลง รายละเอียด ดัง
ตารางท่ี 19

ตารางที่ 19 ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ในอทุ ยานแหง ชาตนิ ํ้าตกหวยยาง

ลกั ษณะการใชป ระโยชนท ด่ี ิน ความหลากหลายทางชีวภาพ ( Biodiversity)

(Landuse Type) ความหลากหลาย ความสมาํ่ เสมอ ความมากมาย

(Diversity) (Evenness) (Richness)

ปาดิบชน้ื 4.01 0.84 18.47

(Tropical Evergreen Forest)

ปาดบิ แลง 3.96 0.84 16.22

(Dry Evergreen Forest)

ปา เบญจพรรณ 1.80 0.92 2.08

(Mixed Deciduous Forest)

พ้นื ทีเ่ กษตรกรรม 1.97 0.79 3.05

(Agriculture land)

อทุ ยานแหงชาตนิ ้ําตกหว ยยาง 4.49 0.85 26.01

43

สรสปุ รผุปลผกลากรสาราํ สรวําจรวแจลแะลวะเิ ควรเิ คาะรหาะข หอ ขมอลู มทลู รทัพรยัพายการกปราปไมาไม

จากการวางแปลงตัวอยางถาวรเพื่อเก็บขอมูลและสํารวจทรัพยากรปาไมในพื้นที่อุทยานแหงชาติ
น้ําตกหวยยาง โดยการวางแปลงตวั อยางถาวร จํานวน 22 แปลง ทําการเก็บขอมูลการสํารวจทรัพยากรปา ไม
ตาง ๆ อาทิเชน ชนิดไม ขนาดความโต ความสูง จํานวนกลาไมและลูกไม ชนิดปา ลักษณะตาง ๆ ของพ้ืนท่ีที่
ตนไมข้ึนอยู ขอมูลลักษณะ ภูมิประเทศ เชน ระดับความสูง ความลาดชัน เปนตน ตลอดจนการเก็บขอมูล
องคป ระกอบรวมของปา เชน ไมไ ผ หวาย ไมพ มุ ไมเ ถา เถาวลั ย และพชื ชนั้ ลาง แลวนาํ ขอมูลมาวิเคราะหเพ่ือ
ประเมินสถานภาพทรัพยากรปาไม โดยใชโปรแกรมประมวลผลขอมูลระบบสารสนเทศการสํารวจทรัพยากรปา
ไม ของสวนสํารวจและวิเคราะหทรัพยากรปาไม สํานักฟนฟูและพัฒนาพื้นท่ีอนุรักษ กรมอุทยานแหงชาติ
สัตวปา และพนั ธพุ ชื สรปุ ผลไดด ังนี้

1. ลักษณะการใชประโยชนที่ดิน

พื้นท่ีดําเนินการสํารวจทรัพยากรปาไมในพื้นท่ีอุทยานแหงชาตินํ้าตกหวยยาง พบชนิดปาหรือลักษณะ
การใชประโยชนท่ีดินอยู 4 ประเภท ไดแก ปาดิบชื้น ปาดิบแลง ปาเบญจพรรณ และพ้ืนที่เกษตรกรรม โดยปาดิบ
แลงพบมากท่ีสุด มีเนื้อท่ี 87.82 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเปนรอยละ 54.55 ของพื้นที่ทั้งหมด รองลงมา คือ
ปา ดบิ ชนื้ มีเน้อื ท่ี 51.23 ตารางกโิ ลเมตร คดิ เปนรอ ยละ 31.82 ของพื้นทท่ี งั้ หมด และพ้นื ที่เกษตรกรรม มีเนอื้
ท่ี 14.64 ตารางกโิ ลเมตร คิดเปนรอ ยละ 9.09 ของพน้ื ที่ท้งั หมด และอันดบั สุดทาย คือ ปา เบญจพรรณ มเี น้ือ
ที่ 7.32 ตารางกิโลเมตร คดิ เปนรอยละ 4.55 ของพนื้ ทท่ี ั้งหมด

2. ชนดิ พนั ธุและปริมาณไมต น (Trees)

จากการวิเคราะหขอมูลเก่ียวกับชนิดไม ปริมาณ ปริมาตร และความหนาแนนของตนไม ในแปลง
ตวั อยางถาวร พื้นทอี่ ทุ ยานแหงชาตินาํ้ ตกหว ยยาง พบไมยนื ตนทม่ี ีความสูงมากกวา 1.30 เมตร และมีขนาดเสน
รอบวงเพียงอก (GBH) มากกวาหรือเทากับ 15 เซนติเมตรข้ึนไป รวมท้ังหมด 11,109,000 ตน ปริมาตรไมรวม
ท้ังหมด 3,131,781.03 ลกู บาศกเ มตร ปรมิ าตรไมเฉลี่ย 31.12 ลูกบาศกเ มตรตอไร มีความหนาแนน ของตนไม
เฉลี่ย 110.40 ตนตอไร พบปริมาณไมมากสุดในปาดิบแลง จํานวน 5,971,636 ตน รองลงมา ในปาดิบชื้น พบ
จํานวน 4,742,182 ตน สําหรับปริมาตรไมพบมากสุดในปาดิบชื้น จํานวน 2,100,737.02 ลูกบาศกเมตร
รองลงมา คือ ปาดบิ แลง จํานวน 942,724.26 ลูกบาศกเมตร

สําหรับชนิดพันธุไมท่ีพบในแปลงสํารวจ มี 39 วงศ มากกวา 191 ชนิด โดยเรียงลําดับชนิดไมท่ีมีปริมาณ
ไมมากที่สุด 10 อันดับแรก ไดแก กระบกกรัง (Hopea helferi) ไขเขียว (Parashorea stellate) กระทุมหูกวาง
(Neonauclea sessilifolia) ตะเคียนหนู (Anogeissus acuminate) แกวลาว (Walsura pinnata) ตาเสือ
(Aphanamixis polystachya) ดําดง (Diospyros pubicalyx) ยางยูง (Dipterocarpus grandifloras) เคี่ยมคะนอง
(Shorea henryana) และทองโหลง (Erythrina fusca) ตามลําดบั


Click to View FlipBook Version