The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือติววิทย์ P5 2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ๋๊JUTAMAS SANGSIT, 2021-10-26 03:03:52

หนังสือติววิทย์ P5 2564

หนังสือติววิทย์ P5 2564

ขอ้ สอบเก่า 2562 - 2563

สสวท . TEDET

ชื่อ-สกลุ ...........................................
ชอ่ื เลน ..........................

รวบรวมโดย ครอู ารม์ ครูฟา ครมู ิค

1

โครงการพัฒนาอัจฉรยิ ภาพทางวิทยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์
แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6
ประจาปีการศึกษา 2562 (สอบคดั เลอื กรอบท่ี 1)
สอบวนั เสาร์ท่ี 9 พฤศจิกายน 2562 เวลา 13.30 – 15.30 น.

1. ถ้ำนกั วทิ ยำศำสตร์ทำกำรทดลองจบั เวลำกำรปล่อยวตั ถุเหมอื นกันท่ีควำมสงู ต่ำง ๆ กัน เพ่ือสังเกตคำ่ แรงโน้มถ่วง
ของดำวเครำะห์ A B C และ D คำดวำ่ จะไดผ้ ลดงั ตำรำง

ดาวเคราะห์ มวลวัตถุ (กโิ ลกรมั ) ความสงู (เมตร) เวลาทีต่ กถงึ พ้ืน (วนิ าท)ี
A 2 5 3
B 5 12 1
C 8 10 2
D 10 20 1

จำกข้อมลู ข้ำงตน้ ให้เรียงลำดับแรงโนม้ ถ่วงของดำวเครำะห์ทั้ง 4 ดวง จำกน้อยไปมำก

A C D B
C A D B
A C B D
C A B D

2. นอ้ งนัทยืนอยูร่ ะหวำ่ งตู้เส้ือผำ้ และกระจกเงำระนำบ ดงั รูป 1 จำกนนั้ เลอ่ื นกระจกเงำระนำบเขำ้ หำ
น้องนทั เปน็ ระยะทำง 3 เมตร ดังรูป 2

2 เมตร 5 เมตร 2 เมตร รปู 2

รูป 1

นอ้ งนัทจะเหน็ ภาพของตู้เสื้อผา้ หำ่ งจำกตำแหนง่ ทยี่ นื กี่เมตร

 4 เมตร  6 เมตร
 7 เมตร  10 เมตร

แบบทดสอบวชิ ำวทิ ยำศำสตร์ ชน้ั ป.6 ประจำปกี ำรศกึ ษำ 2562 สถำบนั ส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

2

3. เสียงจำกกีตำร์ไฟฟำ้ เกิดจำกกำรสั่นของแม่เหลก็ เล็ก ๆ บนสำยกตี ำรใ์ กล้กับขดลวดเหนี่ยวนำทีพ่ ันรอบแมเ่ หลก็
บรเิ วณพคิ อัพ ทำให้สนำมแม่เหล็กผำ่ นขดลวดเหน่ียวนำเปล่ยี นไป เกิดกระแสไฟฟำ้ ผำ่ นขดลวด ดังรูป
จำกน้ันวงจรในกีตำร์จงึ แปลงพลังงำนไฟฟ้ำใหเ้ ป็นพลังงำนเสยี ง

พคิ อพั
พิคอพั

สำยกตี ำร์ A

B
จุดดีด

เด็กชำยเอม็ ดดี สำยกตี ำร์ แลว้ เลือ่ นนว้ิ จำกจุด A ไปยงั จดุ B เหตุกำรณน์ ี้เทยี บได้กับกำรเปลย่ี นแปลงใดในไดนำโม

 ลดควำมยำวของขดลวดทีพ่ นั รอบแกนหมุน  หมนุ ขดลวดใหเ้ ร็วขน้ึ

 ลดขนำดเส้นผ่ำนศูนยก์ ลำงของแกนหมนุ ขดลวด  เพ่มิ ควำมแรงของแม่เหล็ก

4. บนั ทึกกำรเดินของพต่ี นู และน้องก้อย ไดผ้ ลดังตำรำง

เวลา (วินาที) ระยะห่างจากจุดเร่ิมตน้ (เมตร)
พ่ตี ูน น้องกอ้ ย
0.0 1.0 4.0
0.5 2.0 4.5
1.0 3.0 5.0
1.5 4.0 5.5
2.0 5.0 6.0

… …


19.0 39.0 23.0

19.5 40.0 23.5

20.0 41.0 24.0

ข้อใดสรปุ ถูกตอ้ ง
 เมือ่ พ่ีตูนอยหู่ ำ่ งจำกจดุ เริ่มต้น 11 เมตร พี่ตนู จะอยู่ห่ำงน้องก้อย 1.5 เมตร
 ท่เี วลำ 6 วนิ ำที นอ้ งก้อยอย่หู ำ่ งจดุ เริ่มต้น 18 เมตร
 ที่เวลำ 3.5 วินำที พีต่ ูนจะเดินนำน้องก้อย
 พ่ตี นู เดนิ ชำ้ กว่ำนอ้ งก้อยเปน็ 2 เทำ่

แบบทดสอบวิชำวทิ ยำศำสตร์ ชั้น ป.6 ประจำปกี ำรศึกษำ 2562 สถำบนั สง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

3
5. นักเรยี นทำกำรทดลองชัง่ วตั ถุชิ้นเดียวกันด้วยตำชั่งสปริงอนั เดยี วกัน ได้ผลกำรทดลอง ดังรปู

รปู 1 ช่งั ในอำกำศ นำ้ แผ่นโลหะ

รูป 2 ชั่งในถงั พลำสตกิ ท่ีบรรจุนำ้ รูป 3 ชงั่ ในถงั พลำสตกิ ที่
กน้ มแี ผน่ โลหะ

ถ้ำเตมิ น้ำลงในถังพลำสติกท่ีกน้ มีแผ่นโลหะใหว้ ตั ถจุ ม ตำชัง่ สปริงจะอ่ำนไดต้ ำมข้อใด


น้ำ แผ่นโลหะ แผ่นโลหะ
นำ้



แผ่นโลหะ นำ้ แผน่ โลหะ
นำ้
สถำบนั สง่ เสรมิ กำรสอนวทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
แบบทดสอบวิชำวิทยำศำสตร์ ชน้ั ป.6 ประจำปกี ำรศกึ ษำ 2562

4

6. กาหนดให้ วตั ถุ A B และ C มีปริมำตรเท่ำกนั เมื่อนำวัตถุไปแขวนและวำง ณ ตำแหน่งท่ีกำหนด จะได้ผล ดงั รปู

100 เซนติเมตร 50 เซนตเิ มตร 50 เซนติเมตร 100 เซนตเิ มตร 50 เซนตเิ มตร 50 เซนติเมตร

A BC A CB

ถำ้ นำวตั ถทุ ง้ั สำมชิ้นไปใส่ลงในภำชนะทบ่ี รรจุน้ำ จะได้ผลดงั รปู ใด

 
AB C C

B

A

 
BC A
BC
A

7. วตั ถุกอ้ นหนึ่งวำงอยูบ่ นแผ่นกระดำษ ดังรูป

F

เมอ่ื ดึงแผ่นกระดำษดว้ ยแรง F ใหเ้ คล่อื นท่ีไปทำงขวำ พบว่ำก้อนวตั ถเุ คลอื่ นทีไ่ ปกบั แผน่ กระดำษโดยไม่ไถล
ขอ้ ใดอธิบำยแรงเสยี ดทำนระหวำ่ งก้อนวตั ถุกบั แผ่นกระดำษไดถ้ ูกต้อง

 แรงเสียดทำนท่ีกระทำตอ่ กอ้ นวัตถุมีทศิ ไปทำงขวำ
 แรงเสียดทำนทีก่ ระทำตอ่ ก้อนวตั ถุมีทิศไปทำงซ้ำย
 แรงดงึ F มีค่ำมำกกวำ่ แรงเสียดทำนระหว่ำงกอ้ นวัตถุและแผน่ กระดำษ
 แรงดึง F มีคำ่ นอ้ ยกว่ำแรงเสยี ดทำนระหวำ่ งก้อนวตั ถุและแผ่นกระดำษ

แบบทดสอบวิชำวทิ ยำศำสตร์ ชน้ั ป.6 ประจำปกี ำรศกึ ษำ 2562 สถำบนั ส่งเสริมกำรสอนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี

5

8. นักเรียนคนหนงึ่ ทดลองชัง่ น้ำหนักในลิฟต์ ดังรูป

000

รูป 1 ลฟิ ตอ์ ยนู่ ิง่ รปู 2 ลฟิ ต์เคลือ่ นทข่ี ึ้นดว้ ย รปู 3 ลฟิ ต์เคล่อื นที่ลงด้วย
ควำมเร็วเพ่ิมขนึ้ ควำมเร็วคงท่ี

ถ้ำลฟิ ต์เคลือ่ นท่ีลงดว้ ยควำมเร็วเพมิ่ ข้ึนและลฟิ ต์เคลื่อนทีข่ ้ึนดว้ ยควำมเร็วคงที่
น้ำหนักของนักเรียนทช่ี ่งั ไดจ้ ะเปลีย่ นแปลงไปเป็นอยำ่ งไร

ตัวเลือก ลฟิ ต์เคล่ือนทลี่ งด้วยความเร็วเพิม่ ขนึ้ ลิฟตเ์ คล่อื นท่ีข้นึ ด้วยความเรว็ คงท่ี
 น้ำหนกั เพ่ิมขึน้ น้ำหนักเพ่ิมข้นึ
 น้ำหนักเพิ่มข้นึ น้ำหนกั เท่ำเดิม
 น้ำหนักลดลง นำ้ หนักเทำ่ เดิม
 นำ้ หนกั ลดลง นำ้ หนกั เพิ่มขึน้

9. เจ้ำของร้ำนกำแฟออกแบบวงจรไฟฟ้ำเพื่อจำ่ ยกระแสไฟฟ้ำไปยังกำต้มน้ำ 4 ใบทเี่ หมือนกนั ทกุ ประกำร ดังรูป

ใบท่ี 1

แหลง่ กำเนดิ ใบที่ 2
ไฟฟ้ำ

สวิตช์ ใบท่ี 3 ใบท่ี 4

เมอ่ื เตมิ น้ำที่อุณหภูมิห้องลงในกำตม้ นำ้ ทงั้ 4 ใบ ในปริมำตรทเี่ ทำ่ กัน แล้วกดสวิตช์ลง ผ่ำนไป 1 นำที

น้ำในกำตม้ นำ้ ท้ัง 4 ใบ ยังไมเ่ ดือด

ขอ้ ใดถกู ต้อง

 นำ้ ในกำตม้ นำ้ ทกุ ใบมีอุณหภมู ิเพิ่มขึน้ เท่ำกนั
 นำ้ ในกำตม้ น้ำใบท่ี 1 มีอุณหภูมมิ ำกกว่ำน้ำในกำต้มนำ้ ใบท่ี 2
 น้ำในกำตม้ นำ้ ใบที่ 1 มีอุณหภูมเิ ท่ำกับน้ำในกำต้มนำ้ ใบท่ี 3
 นำ้ ในกำตม้ น้ำใบที่ 2 มีอุณหภมู นิ อ้ ยกวำ่ นำ้ ในกำต้มนำ้ ใบที่ 4

แบบทดสอบวชิ ำวทิ ยำศำสตร์ ชั้น ป.6 ประจำปกี ำรศกึ ษำ 2562 สถำบนั สง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

6

10. ขณะทก่ี องลูกเสือสำรองซอ้ มเดนิ สวนสนำมผ่ำนรอยต่อระหว่ำงพนื้ คอนกรตี และพื้นโคลน ทำใหค้ วำมเรว็
ในกำรเดนิ ในพ้ืนโคลนช้ำลง ส่งผลให้ขบวนมลี ักษณะ ดังรปู

พืน้ คอนกรีต

พื้นโคลน
ในทำนองเดยี วกนั เนตรนำรีปลอ่ ยฝงู เปด็ ยำงในน้ำท่มี ีคล่นื เมือ่ เวลำผ่ำนไป สงั เกตเห็นระยะระหว่ำงเปด็
เปล่ียนแปลงไป ดังรูป

AB

ข้อใดถูกต้อง
 ควำมหนำแนน่ ของนำ้ บริเวณ A มำกกว่ำบริเวณ B

 คล่ืนในบริเวณ A เคล่ือนท่ชี ้ำกวำ่ ในบริเวณ B

 ควำมหนำแน่นของนำ้ บริเวณ A น้อยกว่ำบริเวณ B

 คลน่ื ในบรเิ วณ A เคลื่อนท่ีเรว็ กวำ่ ในบริเวณ B

11. ออกแรงขนำด 8 นวิ ตัน ผลักวตั ถุ A มวล 2 กิโลกรัม บนพืน้ ผวิ ที่มีแรงเสียดทำน ทำใหว้ ัตถุ A เริม่ เคลื่อนที่ได้
แต่เมื่อผลกั วัตถุ B ซง่ึ มีมวลเป็น 4 เท่ำของวตั ถุ A บนพ้ืนผวิ เดยี วกัน แรงเสยี ดทำนท่ีเกดิ ขน้ึ จะมีค่ำเป็น
คร่งึ หนึง่ ของแรงเสียดทำนที่เกิดกับวัตถุ A
แรงผลกั ท่ที ำให้วตั ถุ B เริ่มเคล่อื นที่มขี นำดเทำ่ ใด

 2 นวิ ตนั
 4 นวิ ตนั
 8 นิวตัน
 16 นิวตัน

แบบทดสอบวิชำวิทยำศำสตร์ ชนั้ ป.6 ประจำปกี ำรศึกษำ 2562 สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

7

12. เม่อื นำแท่งแมเ่ หล็กแท่งเดียวกันเคลอื่ นท่ีเขำ้ ในขดลวดทีต่ ่อกับเครื่องวัดกระแสไฟฟ้ำอย่ำงรวดเรว็ ไดผ้ ลดงั ตำรำง

เส้นผ่านศนู ย์กลางของ ความหนาของ จานวนรอบของ การเบนของเข็มเครื่องวัด
แกนขดลวด ขดลวด ขดลวด กระแสไฟฟา้
(รอบ)

1 มิลลิเมตร 50 12 3
4

05

1 เซนติเมตร

1 มลิ ลิเมตร 100 12 3
4

1 เซนตเิ มตร 05

1 มิลลิเมตร 50 12 3
4

05

2 เซนตเิ มตร

1 มิลลเิ มตร 100 23
14
05

2 เซนติเมตร

2 มลิ ลเิ มตร 50 1 2 34
05

2 เซนตเิ มตร

1 2 3
4
2 มลิ ลเิ มตร 100
05

2 เซนติเมตร

กำรทดลองข้ำงต้นไม่สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ข้อใด
 เพอ่ื ศึกษำวธิ ีกำรเพมิ่ ปริมำณกระแสไฟฟำ้
 เพ่ือศึกษำลักษณะของขดลวดกบั กำรใชเ้ คร่ืองวดั กระแสไฟฟ้ำ
 เพื่อศึกษำขนำดของแกนขดลวดกับกำรเบนเขม็ ของเคร่อื งวัดกระแสไฟฟ้ำ
 เพอื่ ศึกษำควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งจำนวนรอบของขดลวดกบั ปริมำณกระแสไฟฟำ้

แบบทดสอบวิชำวทิ ยำศำสตร์ ช้ัน ป.6 ประจำปกี ำรศกึ ษำ 2562 สถำบนั สง่ เสรมิ กำรสอนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี

8

13. พิจำรณำตำรำงต่อไปนี้
ตำรำงแสดงควำมแขง็ ของวสั ดตุ ่ำง ๆ

วัสดุ ความแข็ง
ยิปซมั 2
เหรยี ญทองแดง 3.2
ฟัน 5
แก้ว 5.5
เฟลดส์ ปำร์ 6

ตำรำงแสดงสมบัติของแร่

แร่ ความแขง็ ความวาว สี

A 6 ไมว่ ำวแบบโลหะ ดำ

B 2.5 - 3 วำวแบบโลหะ เหลืองทอง

C 1 - 2 วำวแบบโลหะ ดำ, เทำ

D 6 วำวแบบโลหะ ดำ

E 2 - 2.5 ไมว่ ำวแบบโลหะ เหลืองทอง

F 6 - 6.5 วำวแบบโลหะ เหลืองทอง

นักเรยี นศึกษำแร่ 2 ชนดิ ได้ผลดังต่อไปนี้

แร่ ก มสี ดี ำ มีควำมวำวแบบโลหะ เหรยี ญทองแดงขดู แล้วแร่ไมเ่ ป็นรอย

แร่ ข มสี ที อง มคี วำมวำวแบบโลหะ กัดแล้วแร่เป็นรอย

นักเรียนคดิ ว่ำแร่ทั้งสองเปน็ แร่ใดตำมตำรำงแสดงสมบัติของแร่

 ก = แร่ C ข = แร่ B  ก = แร่ D ข = แร่ B

 ก = แร่ D ข = แร่ E  ก = แร่ A ข = แร่ F

14. บรเิ วณใดของโลกท่หี นิ มโี อกำสเกิดกำรผุพังไดม้ ำกท่สี ุด

A 60o
B 30o

 บริเวณ A C 0o
 บรเิ วณ C
D 30o
60o

 บรเิ วณ B
 บรเิ วณ D

แบบทดสอบวิชำวิทยำศำสตร์ ชัน้ ป.6 ประจำปกี ำรศกึ ษำ 2562 สถำบันส่งเสรมิ กำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

9

15. ภูมิลกั ษณแ์ บบใด เกิดจำกกระบวนกำรทแี่ ตกตำ่ งกบั ข้ออน่ื




16. นักเรยี นคนหนึ่งมดี นิ อยู่ 3 ถุง ซง่ึ มนี ้ำหนักเทำ่ กนั แตม่ ีสว่ นผสมต่ำงกัน ดงั นี้
ถุงที่ 1 เป็นดนิ ผสมของดิน A B และ C อยำ่ งละเท่ำ ๆ กัน
ถงุ ที่ 2 เปน็ ดนิ ผสมของดนิ A และ C อยำ่ งละเทำ่ ๆ กนั
ถุงที่ 3 เป็นดนิ A ทั้งหมด

นักเรยี นตอ้ งกำรทรำบชนดิ ของดิน A B และ C จงึ จดั ชุดกำรทดลองดงั รูป

จำกนน้ั เริ่มทดลองโดยกำรนำดินในถุงทตี่ ้องกำรศึกษำ บรรจลุ งในกรวยสงู ก่งึ หนงึ่ ของกรวย แล้วเทนำ้ 120
ลกู บำศกเ์ ซนตเิ มตรลงในกรวย จำกนั้นจบั เวลำ 2 นำที แล้ววดั ปรมิ ำณน้ำในโถแกว้ และทำกำรทดลองซำ้ เช่นเดมิ
กับดนิ อกี 2 ถุง เม่ือทดลองดนิ ครบทงั้ 3 ถุง ไดผ้ ลดงั ตำรำง

ถงุ ดินทศ่ี ึกษา ดินในถงุ ปรมิ าณนา้ ในโถแก้ว (ลกู บาศก์เซนติเมตร)
1 A B และ C 30
2 A และ C 10
3 25
A

ดิน A B และ C เป็นดินชนดิ ใดตำมลำดบั  ดนิ ทรำย ดนิ ร่วน ดินเหนยี ว
 ดินทรำย ดนิ เหนยี ว ดินรว่ น  ดนิ ร่วน ดินทรำย ดนิ เหนยี ว
 ดนิ ร่วน ดนิ เหนียว ดินทรำย

แบบทดสอบวิชำวทิ ยำศำสตร์ ชนั้ ป.6 ประจำปกี ำรศึกษำ 2562 สถำบันส่งเสรมิ กำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

10 พดั ลมดดู อำกำศ

17. พิจำรณำห้องหน่ึงซ่ึงมแี สงแดดสอ่ งถงึ แตป่ ิดประตูและหนำ้ ต่ำงไว้ ดังรูป 1
พัดลม

รูป 1 รูป 2

ถ้ำต้องกำรลดควำมร้อนภำยในห้อง โดยใช้พดั ลมหรือพัดลมดดู อำกำศดังรปู 2 นักเรียนควรเลือกพัดลมใดและ
ตดิ ตง้ั ทต่ี ำแหน่งใดจงึ จะลดควำมร้อนได้ดที ส่ี ดุ กาหนดให้ พัดลมแตล่ ะชนิดทำให้อำกำศเคล่ือนที่ได้เท่ำกนั





18. ในวันหนึง่ นักเรียนสงั เกตเหน็ ว่ำ ธงบนยอดเสำสะบดั ปลำยธงชท้ี ศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ หวั ลกู ศรของศรลม
ที่อยบู่ ริเวณนน้ั จะชที้ ิศใด และวนั น้นั นำ่ จะอยใู่ นเดือนใด

ปลำยธง

ตัวเลอื ก ทศิ ที่หัวศรลมชี้ เดอื น

 ตะวันตกเฉียงใต้ มกรำคม
 ตะวนั ออกเฉียงเหนือ มกรำคม
 ตะวันตกเฉยี งใต้ กรกฎำคม
 ตะวันออกเฉยี งเหนอื กรกฎำคม

แบบทดสอบวิชำวทิ ยำศำสตร์ ช้นั ป.6 ประจำปกี ำรศกึ ษำ 2562 สถำบนั ส่งเสริมกำรสอนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี

11

19. นกั เรียนมองดูท้องฟ้ำทำงทิศเหนอื แล้วเห็นกลมุ่ ดำว ดังรปู

N

ถ้ำนักเรียนวัดมุมห่ำงระหว่ำงดำว A และดำว B ได้ควำมกว้ำงเท่ำกับ ดำวเหนือจะอยู่สงู จำก

ขอบฟ้ำก่ีองศำ

 3 องศำ  5 องศำ

 9 องศำ  15 องศำ

20. พิจำรณำรูปทรงกลมฟำ้ แสดงตำแหนง่ และเส้นทำงกำรเคล่ือนท่ีของวัตถุบนท้องฟ้ำ ณ ตำแหน่งหนึง่ บนโลก

ในวันเดียวกนั ตอ่ ไปนี้ 2
3

1 ตะวันออก

เหนือ ใต้

ดวงอำทิตย์ 4
ตะวันตก

พิจำรณำขอ้ ควำมตอ่ ไปน้ี

ก. ดำว 3 ขึน้ ตอนเท่ยี งวัน

ข. ดำว 1 เปน็ ดำวค้ำงฟ้ำ (ไม่เคยตก)

ค. ดำว 4 ขึ้นและตกพร้อมกบั ดวงอำทติ ย์

ง. ถ้ำในวันนด้ี วงจันทร์อยูต่ ำแหนง่ เดียวกันกับดำว 2 จะเหน็ ดวงจันทร์เตม็ ดวง

ขอ้ ใดถูกตอ้ ง

 ก ข และ ค  ข ค และ ง

 ก ค และ ง  ถูกทุกขอ้

แบบทดสอบวชิ ำวทิ ยำศำสตร์ ช้นั ป.6 ประจำปกี ำรศึกษำ 2562 สถำบนั สง่ เสริมกำรสอนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี

12

21. พิจำรณำแผนทแี่ สดงตำแหน่งของดำวบนทอ้ งฟำ้ ในวันท่ี 30 สงิ หำคม เวลำ 18.00 น.
ดำว A

แผนทด่ี ำวนี้แสดงท้องฟำ้
ของวนั ที่ 30 สิงหำคม เวลำ 18.00 น.

ก. ทอ้ งฟ้ำในแผนท่ีเหมือนกับท้องฟ้ำเวลำเท่ยี งคืนของวันใด
ข. ดำว A มีมุมทิศและมุมเงยประมำณเทำ่ ใด

ตวั เลือก คาตอบข้อ ก คาตอบขอ้ ข
 30 พฤษภำคม มุมทิศ 40 องศำ มมุ เงย 90 องศำ
 30 พฤษภำคม มมุ ทศิ 90 องศำ มมุ เงย 40 องศำ
 29 พฤศจกิ ำยน มุมทศิ 40 องศำ มมุ เงย 90 องศำ
 29 พฤศจิกำยน มมุ ทิศ 90 องศำ มุมเงย 40 องศำ

แบบทดสอบวิชำวทิ ยำศำสตร์ ชน้ั ป.6 ประจำปกี ำรศึกษำ 2562 สถำบันส่งเสรมิ กำรสอนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี

13

22. ดำว X มีกำรหมุนรอบตวั เองตำมเข็มนำฬกิ ำ ดังรปู

ดวงอำทิตย์ ดำว X

A

กำหนดให้ 1 วันบนดำว X เท่ำกบั 24 ชว่ั โมงเช่นเดยี วกบั โลก เวลำทีต่ ำแหนง่ A เป็นเทำ่ ใด

 03.00 น.  06.00 น.

 18.00 น.  21.00 น.

23. นักเดินเรือเดินทำงไปในมหำสมุทรแปซิฟิก เขำเดนิ ทำงเปน็ เส้นตรงโดยไม่เปล่ียนทิศทำง

ในวนั ท่ี 1 ของกำรเดนิ ทำง เขำสังเกตเหน็ ดวงจันทรม์ ืดสนทิ ท้ังดวง ดังรปู ที่ 1

ในวนั ท่ี 3 ของกำรเดนิ ทำง เขำสังเกตเห็นดวงจันทร์ ดังรูปที่ 2

ในวนั ที่ 5 ของกำรเดนิ ทำง เขำสงั เกตเห็นดวงจันทร์ ดังรูปท่ี 3

ในวนั ที่ 7 ของกำรเดินทำง เขำสงั เกตเห็นดวงจันทร์ ดังรปู ที่ 4

12 34

เสน้ ขอบฟำ้ เสน้ ขอบฟำ้ เส้นขอบฟ้ำ เสน้ ขอบฟำ้

นกั เดินเรอื กำลงั เดนิ ทำงไปทำงทศิ ใด  ทศิ ใต้
 ทศิ เหนือ  ทศิ ตะวันตก
 ทศิ ตะวนั ออก

24. วนั หนง่ึ ในเวลำ 18.00 น. ดวงจันทร์อย่ทู ขี่ อบฟ้ำทำงทิศตะวันตก อีก 7 วันต่อมำ ในเวลำ 21.00 น.
นกั เรยี นจะมองเหน็ ดวงจันทร์ปรำกฏอยู่ทำงทิศและมมุ เงยประมำณเทำ่ ใด

ตวั เลือก ทศิ มุมเงย (องศา)
 ตะวนั ออก 45
 ตะวนั ออก 0
 ตะวนั ตก 45
 ตะวันตก 0

แบบทดสอบวชิ ำวิทยำศำสตร์ ชน้ั ป.6 ประจำปกี ำรศึกษำ 2562 สถำบนั ส่งเสริมกำรสอนวทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

14

25. พิจารณาลักษณะปากและโครงสรา้ งพิเศษของปลาทะเล 2 ชนิด ดงั รปู
โครงสร้างพเิ ศษ

โครงสรา้ งพเิ ศษ

ปลาชนดิ A ปลาชนดิ B

ปลา 2 ชนิดนอี้ าศยั อยู่ในทะเลลกึ และปราศจากแสง ปากมกี ระดูกขากรรไกรทย่ี ดึ กันอยา่ งหลวม ๆ
ทาใหอ้ า้ ปากไดก้ ว้างจนสามารถกินเหย่ือท่ีมีขนาดใหญไ่ ด้ สว่ นโครงสร้างพเิ ศษจะเรอื งแสงได้
เพอ่ื ล่อเหยอ่ื และจับค่ผู สมพันธุ์
ปัจจยั ใดมีผลตอ่ วิวฒั นาการของปากและโครงสรา้ งพเิ ศษของปลาท้ัง 2 ชนิด

 จานวนเหย่อื ความเขม้ แสง
 ปริมาณออกซิเจน ขนาดผู้ลา่
 อณุ หภมู ิของน้าทะเล ทิศทางของกระแสนา้
 ขนาดคผู่ สมพนั ธ์ุ ระดบั ความลกึ ของทะเล

26. พจิ ารณารูปต่อไปนี้

ก. กบและแมลง ข. ปลาฉลามวาฬ ค. ปลาปริ นั ยา ง. กวางกนิ หญ้า
และปลาเหาฉลาม

รูปใดมีความสอดคลอ้ งกบั ประชากร กลุ่มสง่ิ มชี ีวิต และผลู้ า่ – เหยอ่ื ได้ถกู ต้อง

ตัวเลอื ก ประชากร กลุ่มส่ิงมีชีวิต ผลู้ า่ – เหยื่อ
 ก ค ง
ก ง ข
 ค ง ข
ค ก ง




แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562 สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

15

27. นกั เรยี นศกึ ษาความสัมพันธ์ของสง่ิ มชี วี ติ A B C และ D โดยสรา้ งระบบนิเวศบนบกจาลอง ซง่ึ สามารถควบคุมการ
เข้าออกของสัตว์ที่อาศัยอยใู่ นตกู้ ระจกแบบปิด เป็นเวลา 20 สปั ดาห์ และส่งิ มชี ีวติ A B C และ D มีอัตราการ
เจริญเติบโตเท่ากนั ตามชว่ งเวลา ดงั น้ี
เร่มิ การทดลอง ใส่สัตว์ A และ B ลงในตกู้ ระจกที่ปลูกพชื ชนิดหน่งึ ไว้
สัปดาห์ท่ี 5 ใส่สัตว์ C
สปั ดาหท์ ่ี 10 นาสตั ว์ C ออก แล้วใส่สัตว์ D ซ่ึงเปน็ สตั วก์ นิ พืชและกนิ สตั ว์
สปั ดาหท์ ี่ 15 นาสัตว์ A และ B ออก แลว้ ใส่สตั ว์ C
บันทึกการเปล่ยี นแปลงจานวนของสตั ว์ A B C และ D และนามาเขียนเปน็ กราฟได้ผลดังนี้

จานวนสิง่ มีชวี ติ (ตวั )

AA A

B BB
C DD
C

05 10 15 20 เวลา (สัปดาห์)
 AD
สายใยอาหารในขอ้ ใดสอดคลอ้ งกบั กราฟ

D

พชื A C พืช
B C

B

 B  A D
D พืช B

พชื A C
C

แบบทดสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ ช้นั ป.6 ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

16

28. นกั เรียนคนหนึ่งศึกษาปจั จัยทมี่ ผี ลต่อการเจริญเติบโตของพชื ทปี่ ลูกแบบไม่ใช้ดนิ (hydroponics)
โดยจดั ชดุ ทดลอง ดังรูป

กลอ่ งดำ้ วำลว์ B
วำลว์ A
แปลงที่ 1

วำลว์ C วำล์ว D
แปลงที่ 2
วำล์ว E
วำลว์ G วำล์ว F
ป๊มั น้ำ แปลงที่ 3

วำล์ว H
ถังน้ำ

กาหนดให้
1. เครอ่ื งหมาย แสดงทศิ ทางการไหลของนา้
2. แปลงท่ี 1 – 3 วางเอียงทามุม 30 องศากับพนื้ ระดับ
3. วาลว์ นา้ เปน็ อุปกรณ์ควบคมุ การไหลของนา้ เม่ือปิดวาลว์ นา้ จะไม่มีน้าไหลผา่ น
4. มนี า้ ในถงั นา้ ตลอดเวลา
เปดิ ปัม๊ น้าและวาล์วทั้งหมด (A – H) พร้อมทั้งให้ธาตุอาหารอย่างเพียงพอ หลังจากเปิดป๊ัมน้าและวาลว์ เป็นเวลา 3 วนั
ถา้ ปิดวาลว์ น้าในแต่ละชดุ แตกต่างกัน เป็นเวลาผ่านไป 1 เดอื น ข้อใดถูกต้อง

ตัวเลอื ก การปิดวาล์ว แปลงท่ี 1 แปลงที่ 2 แปลงที่ 3
 A และ B ตาย ปกติ ตาย
B และ D ตาย ตาย ปกติ
 B และ E ปกติ ปกติ ตาย
 E และ H ปกติ ตาย ปกติ



แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ช้นั ป.6 ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

17

29. พจิ ารณากรณกี ารเกดิ แฝด 3 คน ดงั รูป

จากกรณีการเกิดแฝด 3 คน ข้อใดไมถ่ กู ต้อง
 ตามกรณีที่ 1 ไดล้ กู สาว 1 คน ลูกชาย 2 คน

 ตามกรณีที่ 1 ได้ลูกสาว 3 คน

 ตามกรณที ่ี 2 ได้ลกู สาว 3 คน

 ตามกรณที ี่ 2 ได้ลกู สาว 1 คน ลูกชาย 2 คน

แบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ัน ป.6 ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

18

30. พิจารณาข้อมูลต่อไปน้ี

ไมโครพลาสตกิ เป็นพลาสตกิ ที่พบได้ท้ังในอากาศและในนา้ ถา้ มนุษย์สดู อากาศที่มไี มโครพลาสติกขนาดเลก็ กวา่

2.5 ไมโครเมตร จะพบไมโครพลาสติกในถงุ ลมและกระแสเลอื ด แต่ถ้าสูดอากาศท่ีมีไมโครพลาสติกขนาด

2.5 – 10 ไมโครเมตร จะพบไมโครพลาสตกิ สะสมในหลอดลมเทา่ นั้น

ขอ้ มูลผลการสุม่ ตรวจการปนเป้อื นไมโครพลาสติกในร่างกายของคนในจงั หวดั หนง่ึ เป็นดงั นี้

สถานที่ กิจกรรม แหล่งที่พบไมโครพลาสติก

ทะเล A เล่นกฬี าทางนา้ กระแสเลือด

สวนสาธารณะ B ออกกาลังกายกลางแจง้ สม่าเสมอ ถงุ ลม

นคิ มอตุ สาหกรรม C ทางานในโรงงานผลิตยางรถยนต์ หลอดลม

ข้อใดถูกต้อง
 นิคมอตุ สำหกรรม C พบกำรปนเปอื้ นของไมโครพลำสติกขนำดเล็กกวำ่ 2.5 ไมโครเมตร
 ทะเล A มกี ำรปนเป้อื นของไมโครพลำสติกขนำดใหญ่กว่ำ 2.5 ไมโครเมตร
 ทะเล A และสวนสำธำรณะ B สำมำรถพบไมโครพลำสติกขนำดเดียวกนั
 สถำนทท่ี งั 3 แห่ง พบไมโครพลำสตกิ ขนำดเดยี วกัน

31. การปลกู พืชในบรเิ วณบา้ น จะช่วยเพ่มิ ปริมาณแก๊สออกซเิ จนและลดอณุ หภูมิของส่ิงแวดลอ้ มได้
พืชแต่ละชนิดมคี วามต้องการปจั จยั ในการดารงชีวติ ตา่ งกัน ถ้าจะเลอื กปลกู พชื 4 ชนดิ คือ A B C และ D
ในตาแหน่งท่ีเหมาะสมของบริเวณบ้าน จาเป็นตอ้ งศึกษาปจั จยั ตา่ ง ๆ ดงั ตาราง

ความต้องการของพืช พชื A พืช B พชื C พืช D

ความถี่ของการรดน้า (ครั้ง/สัปดาห)์ 1 32 2

ความสอ่ งสวา่ ง (ลักซ)์ 5,000 – 9,500 200 – 800 900 – 1,800 6,000 – 10,000

กาหนดใหว้ ันทแ่ี ดดจา้ มีค่าความส่องสวา่ งประมาณ 8,000 – 10,000 ลักซ์ และต้นไม้ใหญส่ ามารถ
ลดความส่องสว่างได้เหลอื รอ้ ยละ 20 สว่ นในอาคารมีค่าความส่องสว่างประมาณ 100 – 1,000 ลกั ซ์
ตาแหน่ง 1 – 3 คือ ตาแหน่งทีต่ ้องการปลกู พืช

ตาแหน่ง 1

ตาแหน่ง 2 ตาแหน่ง 3

จากข้อความข้างตน้ ข้อใดสรปุ ไม่ถูกต้อง
 พืชทีท่ นแลง้ ได้ดีทส่ี ุด คือ พชื A
 เฉพาะพชื B ท่ปี ลกู ในอาคารได้
 พชื C เจริญเติบโตใต้ต้นไม้ใหญไ่ ด้ดีที่สดุ
 พชื D เจรญิ เตบิ โตในตาแหนง่ ท่ี 1 ได้ดีกวา่ ตาแหน่งที่ 3

แบบทดสอบวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้น ป.6 ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

19

32. พิจารณาการทดลองปลกู พชื ชนิดหนงึ่ ทีม่ ีสมบัติพิเศษในการสรา้ งและปล่อยสารเคมีบางชนิดออกมาในอากาศ
เมอื่ ใบถูกแมลงกดั กิน โดยจัดการทดลองดังรูป

โถแก้ว แผ่นกระจกกัน้
ทอ่ นาแกส๊

ด้าน A ดา้ น B หนอน

ตัวกรอง

ปั๊มอากาศ พืชทไ่ี ม่มหี นอนกัด ต้น 1 ตน้ 2 ต้น 3 ตน้ 4 พืชท่ีมหี นอนกดั
เข้า ตกู้ ระจกระบบปดิ

จากนนั้ ปล่อยผเี สือ้ เพศเมยี ที่พร้อมวางไข่ลงในตกู้ ระจกด้าน A และ B ดา้ นละ 5 ตวั นบั จานวนไขท่ ่ีวางบน
ใบพชื แล้วนามาเขียนแผนภูมิแทง่ ไดด้ ังรปู

จานวนไ ่ขบนใบ (ฟอง) 200 180 170
150

100
70

50 30

0

ต้น 1 ต้น 2 ตน้ 3 ต้น 4

จากข้อมูลขา้ งต้น ข้อใดถูกต้อง
 สารเคมีทพี่ ชื ผลติ ออกมาจะทาใหผ้ เี สอ้ื เพศเมยี เป็นหมัน
 จานวนไขเ่ ฉล่ียบนใบพชื ดา้ น A เปน็ 3 เทา่ ของพชื ดา้ น B
 สารเคมีทีพ่ ชื ผลิตออกมาจะทาใหผ้ ีเสื้อลดการวางไข่บนใบ
 ถา้ นาแผน่ กระจกกนั้ ระหวา่ งด้าน A และด้าน B ออก ผลการทดลองจะเหมือนเดมิ

แบบทดสอบวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้น ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

20

33. จากแผนภาพการจาแนก สัตว์ 5 ชนดิ คอื A B C D และ E B C
A C D E เกณฑ์ 3 เกณฑ์ 4

สัตว์ A B C D E เกณฑ์ 1 DE

B C D E เกณฑ์ 2

D

E

ข้อใดไม่สอดคล้องกบั แผนภาพ

ตวั เลอื ก เกณฑ์ AB สัตว์ E
 CD 
 1 
 2  
 3   
 4
  



34. พชื ตน้ A มดี อกสีแดงพนั ธุ์แท้ เกิดจากการผสมพันธรุ์ ะหวา่ งตน้ ทมี่ ีดอกสแี ดงแลว้ ได้ดอกสีแดงมาหลายรุ่น
พืชตน้ B มดี อกสขี าวพนั ธุแ์ ท้ เกดิ จากการผสมพันธุร์ ะหว่างตน้ ทม่ี ดี อกสีขาวแล้วได้ดอกสขี าวมาหลายรุน่
เมื่อผสมพนั ธ์รุ ะหว่างตน้ A และต้น B จะได้ตน้ ทม่ี ดี อกสแี ดงทุกต้น
จากรูปการถ่ายเรณหู มายเลขใด ทาให้ไดเ้ มล็ดซึ่งนาไปเพาะแล้วไดต้ ้นที่ออกดอกสีแดง

ตัวเลอื ก การถ่ายเรณู
 1 2 และ 3
1 2 และ 5
 1 2 3 และ 4
1 3 5 และ 6




พชื ตน้ A พืชต้น B

คอื ทิศทางการถา่ ยเรณู

แบบทดสอบวชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ ป.6 ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

21

35. หมู่เลือดของคนแตกต่างกนั ข้ึนกบั ชนิดของแอนติเจนที่อยบู่ นผิวของเซลล์เม็ดเลอื ดแดง เช่น คนทม่ี แี อนตเิ จน A
อยู่บนผวิ ของเซลล์เมด็ เลือดแดง จะมเี ลือดหมู่ A จึงทาให้สามารถถา่ ยเลอื ดไดป้ ลอดภยั ท่สี ุดในคนทมี่ ีหมู่เลอื ด
เดยี วกนั เทา่ นัน้ แตส่ าหรบั คนทม่ี ีเลือดหมู่ O จะไม่มีแอนติเจนอยบู่ นผิวของเซลล์เม็ดเลอื ดแดง จงึ สามารถถ่าย
เลอื ดให้กบั ทกุ คนได้

นักวทิ ยาศาสตรค์ ้นพบว่าแบคทีเรยี ชนดิ หนึ่งสามารถสร้างเอนไซมย์ ่อยแอนติเจนบนผิวของเซลล์เมด็ เลือดแดงไดด้ ังรูป
AO

ถา้ ในอนาคตงานวิจัยดงั กล่าวประสบความสาเร็จและทาไดจ้ รงิ และไม่มขี ้อจากัดในการถา่ ยเลือดด้านอ่นื ๆ
จะทาให้การถา่ ยเลือดระหวา่ งผ้ใู ห้และผู้รับในข้อใดน่าจะมคี วามปลอดภัย

แบบท่ี เลือดหมู่ของผู้ให้ เลอื ดหมู่ของผูร้ บั
O
1 AB B
A A
2 AB
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
3

 แบบที่ 1
 แบบที่ 1 และแบบท่ี 2
 แบบท่ี 2 และแบบที่ 3
 แบบท่ี 1 แบบท่ี 2 และแบบท่ี 3

แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ช้ัน ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562

22

36. พจิ ารณาธงโภชนาการในเดก็ ของกรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข

ธงโภชนาการ

ขา้ วหรอื แปง้ คาร์โบไฮเดรต

ผัก ผลไม้ วิตามิน แรธ่ าตแุ ละใยอาหาร

วิตามิน แรธ่ าตแุ ละใยอาหาร เนอ้ื สตั วแ์ ละเมล็ดถัว่

นม โปรตนี และแรธ่ าตสุ าคัญ

วิตามิน แคลเซียมและฟอสฟอรสั

น้ามัน นา้ ตาลและเกลือ น้า

ไขมนั คารโ์ บไฮเดรตและไอโอดนี

รายการอาหารในแตล่ ะมอ้ื ต่อ 1 วนั ขอ้ ใดสอดคล้องกับธงโภชนาการ

ตัวเลอื ก มอื้ เชา้ มือ้ กลางวนั มื้อเยน็
ข้าวผดั ทะเล ผัดผักรวม กล้วยหอม สลัดผกั เกาเหลาหมู ขา้ วเปล่า
 ขนมปัง แฮม นมสดรสจดื ขา้ วขาหมู กลว้ ยทอด ข้าวหมกู ระเทียม ชานมไขม่ ุก
ข้าวผดั กะเพราหมู ไขเ่ จียว ไก่ทอด มนั ฝรัง่ ทอด มะม่วงดิบ
 ขนมปงั นมข้นหวาน โกโกเ้ ยน็ ขา้ วมนั ไก่ ขา้ วเหนียวสงั ขยา ขา้ วเหนยี วหมปู ้ิง ไอศกรมี

 ปาทอ่ งโก๋ น้าเตา้ หู้

 โจก๊ หมู นมสดรสหวาน

37. ทดลองเล้ียงแหนในสารละลาย 4 ชนิด คือ น้าเกลือ สารละลายกลูโคส สารละลายผงชรู ส และนา้ ส้มสายชู โดย
สารละลายแต่ละชนดิ มี 5 ระดับความเข้มข้น คือ 0.1% 0.2% 0.3% 0.4% และ 0.5% เปรยี บเทียบการ
เลีย้ งแหนในนา้ กล่นั และศึกษาการแตกหนอ่ ของแหน ดังรูป

การแตกหน่อของแหน
นับจานวนต้นแหนที่แตกหน่อทกุ วนั เป็นเวลา 10 วนั ข้อใดถกู ต้อง

ตัวเลือก ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม ตวั แปรควบคุม

 จานวนวันท่ีทดลอง จานวนหน่อทแ่ี ตกจากตน้ แหน ชนิดของสารที่ใชเ้ ล้ยี ง

 จานวนต้นแหนเม่ือเรม่ิ ทดลอง ขนาดของหนอ่ ท่แี ตกจากต้นแหน ชนดิ ของแหน

 ขนาดของตน้ แหนเมื่อเริ่มทดลอง การเจริญเตบิ โตของต้นแหน ขนาดภาชนะทใ่ี ช้

 ความเขม้ ขน้ ของสารทใี่ ช้เลย้ี ง จานวนต้นแหนทแ่ี ตกหน่อ ปริมาตรสารละลายที่ใช้เลย้ี ง

แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชั้น ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562 สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

23

38. ขน้ั ตอนการทาทองหยอดเปน็ ดงั นี้
ขน้ั 1 แชด่ อกมะลิในน้า จนน้ามีกล่ินมะลิ แลว้ นาดอกมะลิออก
ขน้ั 2 ผสมของเหลวจากขั้น 1 กบั น้าตาลทรายในกระทะทองเหลอื ง นาไปใหค้ วามร้อนจน
กลายเปน็ ของเหลวใส
ขัน้ 3 เคยี่ วของเหลวจากขนั้ 2 ด้วยไฟออ่ นจนของเหลวขน้ ข้นึ
ข้นั 4 นาไข่แดงไปตจี นขน้ึ ฟู แล้วผสมกับแปง้ คนให้เป็นเน้ือเดยี วกนั
ข้นั 5 หยอดส่วนผสมในขนั้ 4 ลงในของเหลวจากขนั้ 3 แล้วตกั ทองหยอดสุกที่ลอยขึ้นมา

ข้อใดไม่ถูกต้อง
 การยา่ งไก่เกิดการเปล่ยี นแปลงในลกั ษณะเดียวกบั ขน้ั 5
 การตากผา้ เกิดการเปลย่ี นแปลงในลักษณะเดยี วกบั ขั้น 3
 การทาน้าเกลือเกิดการเปลย่ี นแปลงในลักษณะเดยี วกับข้นั 1
 การหลอ่ พระพุทธรปู ทองคาแท้เกดิ การเปล่ียนแปลงในลักษณะเดียวกบั ข้ัน 2

39. A และ B เป็นของเหลวใส ไมม่ สี ี ส่วน C เป็นของเหลวใส สีเหลือง
เม่อื นา A B C และ นา้ ซ่ึงมีความหนาแน่นไม่เท่ากนั และไม่ทาปฏิกิรยิ ากัน ชนิดละ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร
มาผสมกนั ในภาชนะใบหน่ึง เขย่าให้เข้ากนั แล้วตั้งท้ิงไว้ พบว่า ของเหลวแยกเป็น 2 ชั้น ดงั รูป

400 cm3

ของเหลวชนั้ บน ใส สเี หลอื งอ่อน

200 cm3

ของเหลวช้นั ลา่ ง ใส ไม่มสี ี

จากนั้นแยกของเหลวทั้ง 2 ชัน้ ออกจากกัน แล้วนาลูกโป่งเบาทีบ่ รรจขุ องเหลว A B C และน้า ในปรมิ าตรเท่ากัน
มาใสใ่ นของเหลวแต่ละชั้น ไดผ้ ลการทดลองดังรปู

A A C นา้

B C นา้ B
ของเหลวจากชนั้ บน ของเหลวจากชัน้ ลา่ ง

ขอ้ ใดต่อไปนกี้ ล่าวไมถ่ กู ต้อง

 สามารถแยกของผสมระหวา่ ง A และ C ไดด้ ว้ ยกรวยแยก
 ถ้านาลกู โป่ง B ใส่ในน้ามัน ลกู โป่ง B จะจม
 สามารถเตรยี มสารละลายของ B ในน้าได้
 ของเหลวชน้ั บนไม่ใช่สารบริสุทธิ์

แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562 สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

24

40. นากระบอกฉดี ยาที่ตรงึ ก้านไว้ไม่ให้กา้ นเคล่ือนท่ี และมอี ากาศอยู่ภายใน มาทาการทดลอง ดังรปู

การทดลองที่ 1 กำ้ นกระบอกฉีดยา

อำกำศ นำ้

การทดลองที่ 2 แช่น้ำทอี่ ุณหภมู หิ ้อง แช่น้ำเยน็

ฟองอำกำศ

แช่นำ้ ทอี่ ณุ หภมู ิห้อง แช่นำ้ ร้อน แชน่ ้ำเยน็

ปรากฏการณ์ดังกล่าวสามารถนามาใชป้ ระดษิ ฐข์ องเลน่ พน่ นา้ ซึ่งทาจากวัสดุทีน่ าความรอ้ นไดด้ ี โดยภายใน
ของเล่นกลวง และมรี ูเล็ก ๆ เพียง 1 รูด้านลา่ งของเล่นท่ีให้นา้ เขา้ และออกได้ ดงั รูป

อำกำศ
น้ำ

รู

หากนาของเลน่ ที่ยังไม่เติมน้ามาวางไว้ท่ีอุณหภมู ิหอ้ ง การกระทาในข้อใดท่จี ะทาให้ของเล่นพ่นนา้ ออกมาใน
ปริมาตรมากทีส่ ุด

 นาของเลน่ แช่นา้ รอ้ น 2 นาที นาข้ึนมาวาง แลว้ เทนา้ เยน็ ใสข่ องเล่นทนั ที
 นาของเลน่ แชน่ ้าเยน็ 2 นาที นาขนึ้ มาวาง แลว้ เทนา้ รอ้ นใสข่ องเลน่ ทันที
 นาของเลน่ แช่นา้ เยน็ 2 นาที จากนนั้ นามาแช่นา้ ร้อน 2 นาที นาข้นึ มาวาง แล้วเทน้าเยน็ ใส่ของเล่นทันที
 นาของเล่นแช่น้าร้อน 2 นาที จากน้นั นามาแช่นา้ เยน็ 2 นาที นาขน้ึ มาวาง แลว้ เทน้ารอ้ นใสข่ องเลน่ ทันที

แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชั้น ป.6 ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

25

41 สารละลายใส ไม่มีสี 4 ชนิด บรรจุในขวด ขวดละ 1 ชนิด ไดแ้ ก่ ขวด A B C และ D เมอื่ นาสารละลายทงั้ 4 ขวด
ไปทาการทดสอบ ได้ผลดงั น้ี
1) ผลการทดสอบกับกระดาษลิตมัส

สารละลายในขวด A B C D
แดงเป็นนา้ เงิน นา้ เงินเป็นแดง แดงเปน็ นา้ เงนิ
การเปลย่ี นสขี อง แดงเป็นนา้ เงิน
กระดาษลติ มัส

2) ผลการทดสอบการผสมสาร

การผสมสาร ส่งิ ทส่ี ังเกตได้
สารละลายใส ไม่มีสี
A กบั B ฟองอากาศผดุ ออกมา

A กบั C ตะกอนสีขาว
สารละลายใส ไม่มสี ี
A กบั D สารละลายใส ไม่มสี ี
สารละลายใส ไมม่ ีสี
B กบั C

B กับ D

C กับ D

สารละลายท่อี ยูใ่ นขวด A B C และ D คือสารละลายของสารใด

ตัวเลอื ก ขวด A ขวด B ขวด C ขวด D
 ผงฟู แอมโมเนยี น้าสม้ สายชู ปูนขาว
 ผงฟู ปนู ขาว นา้ ส้มสายชู แอมโนเนยี
 แอมโนเนีย น้าสม้ สายชู ปูนขาว
 แอมโมเนยี ปูนขาว ผงฟู น้าส้มสายชู
ผงฟู

42. พจิ ารณาแผนภาพต่อไปน้ี

ของเหลว A
ขนุ่ สแี ดง

กรองด้วยกระดาษกรอง

ของแขง็ B ของเหลว C ตม้ จนแหง้ ของแขง็ D
ผงสีแดงและสสี ม้ ปนกนั ใส ไม่มีสี
สขี าว อยทู่ ีก่ น้ ภาชนะ

ขอ้ ใดสรปุ ไม่ถูกตอ้ ง สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
 สาร A เป็นสารแขวนลอย
 สาร B เปน็ สารเน้อื ผสม
 สาร C เปน็ สารละลาย
 สาร D เปน็ สารบรสิ ุทธ์ิ

แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ช้ัน ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562

26

43. ขอ้ มูลการละลายของสาร A ทสี่ ภาวะตา่ ง ๆ ในนา้ และ ในตัวทาละลาย X ซงึ่ ไม่ละลายน้า และมีความหนาแนน่

1.59 กรมั ต่อลกู บาศกเ์ ซนติเมตร เปน็ ดงั ตาราง

สภาวะ การละลายของสาร A
ในนา้ ในตัวทาละลาย X

กรด ไมล่ ะลาย ละลาย

กลาง ละลาย ละลาย

เบส ละลาย ไม่ละลาย

พิจารณาข้ันตอนการทดลองต่อไปน้ี

ขน้ั 1 นาสารที่มสี าร A ผสมอยู่ มาละลายในตวั ทาละลาย X ในสภาวะท่เี ปน็ กลาง

ขัน้ 2 ผสมสารละลายโซดาไฟในน้ากับสารละลายในข้นั 1 แล้วเขยา่ จากนน้ั ตั้งทิง้ ไวจ้ นแยกเปน็ 2 ชัน้

ขั้น 3 แยกสารละลายชั้นบน (ส่วนท่ี 1) ออกจากสารละลายช้ันลา่ ง (ส่วนท่ี 2)

ขน้ั 4 ผสมสารละลายกรดเกลอื ในน้ากบั สารละลายชนั้ บน (สว่ นที่ 1) จนมี pH เท่ากบั 3

ข้ัน 5 เตมิ ตัวทาละลาย X ลงในสารจากขน้ั 4 แล้วเขย่า จากนนั้ ต้ังทงิ้ ไวจ้ นแยกเปน็ 2 ชัน้

ขัน้ 6 แยกสารละลายช้ันบน (สว่ นท่ี 3) ออกจากสารละลายชน้ั ลา่ ง (สว่ นที่ 4)

สามารถพบสาร A ในสารสว่ นใดบา้ ง

 สว่ นที่ 1 3 และ 4  สว่ นท่ี 1 และ 3

 สว่ นท่ี 1 และ 4  ส่วนท่ี 2

44. พาราควอต เปน็ สารกาจัดวชั พืช ซง่ึ มโี อกาสปนเป้ือนในส่งิ แวดล้อมได้ การตรวจวัดพาราควอตทาได้โดยใชส้ าร A
และสารเรืองแสง B โดยมีหลักการดงั น้ี
1. เม่อื ผสมสาร A กบั สาร B แล้วสาร B จะเขา้ ไปอยภู่ ายในสาร A ทาให้สาร B ไม่เรืองแสง
2. พาราควอตสามารถแทนที่สาร B ท่ีเข้าไปอย่ภู ายในสาร A ได้ จะทาให้สาร B หลุดออกมาแล้วเรืองแสงได้อีกครั้ง
3. เมอื่ ปริมาณพาราควอตเพิ่มขึน้ จะทาให้ปรมิ าณแสงที่ตรวจพบเพิม่ ข้ึน

สาร B สาร B
พาราควอต

สาร B

สาร A

ถ้าสถานการณต์ ่อไปนีเ้ ป็นจรงิ ข้อใดส่งผลดตี ่อการตรวจวัดพาราควอตในน้า
 สาร B สามารถเขา้ ไปอยู่ในสาร A ไดด้ ีกวา่ การที่พาราควอตเขา้ ไปอยู่ในสาร A
 พาราควอตสามารถทาปฏิกริ ยิ ากับสาร B แลว้ ไดส้ ารใหมท่ ไ่ี ม่เรืองแสง
 สามารถตรวจวัดการเรอื งแสงได้ แม้ในน้ามปี ริมาณพาราควอตนอ้ ย
 สาร B ไมส่ ามารถเรืองแสงไดใ้ นนา้

แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ช้ัน ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562 สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

27

45. ข้ันตอนการทาลูกปัดพลาสตกิ ที่มีรูกลวงภายใน เปน็ ดังนี้
พลาสติก

ขัน้ 1 ขน้ั 2 ขัน้ 3 ข้ัน 4 ลกู ปดั พลาสติก

ขั้น 1 ผสมเมด็ พลาสตกิ กับตวั ทาละลายระเหยงา่ ย แลว้ คนจนกลายเป็นของเหลวข้น
ขน้ั 2 ผกู ดา้ ยกับหนิ ปนู ทรงกลม แล้วหย่อนลงในของเหลวจากข้ันตอนท่ี 1
ขั้น 3 ดงึ กอ้ นหนิ ปนู ข้นึ ท้งิ ไวจ้ นเห็นพลาสติกแขง็ เกาะดา้ นนอก
ขนั้ 4 หย่อนก้อนหินปูนจากขั้นตอนท่ี 3 ลงในน้าส้มสายชู ทงิ้ ไวจ้ นเหลอื แต่พลาสติกท่ีเคลือบด้านนอก

ข้นั ตอนในการทาลูกปดั พลาสตกิ มีการเปล่ยี นแปลงของสารเชน่ เดยี วกับข้อใด

ตัวเลือก ข้นั 1 ข้ัน 3 ข้ัน 4

 การกลายเป็นของเหลวของ การแข็งตวั ของช็อกโกแลต การเล็กลงของกอ้ นสบเู่ ม่ือแช่นา้
ไอศกรมี ท่เี คลอื บกลว้ ย

 การล้างผกั ดว้ ยน้าเพ่ือเอา การเปา่ ผมใหแ้ ห้ง การกร่อนของรูปสลักหนิ อ่อน
สารกาจัดศัตรูพืชออก จากฝนกรด

 การอ่อนตวั ของเนยท่ตี ้ังทงิ้ ไว้ การเกิดตะกรันในกาต้มน้า การขดั ห้องนา้ ด้วยนา้ ยาลา้ ง
หอ้ งนา้

 การทาน้าเชือ่ มจากน้าตาล การหล่อเทยี นพรรษา การกร่อนของหนิ โดยกระแสนา้
และนา้

แบบทดสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ ชั้น ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562 สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

28

46. การทา “สเฟยี ร์” คือ การทาให้ของเหลว แผน่ ฟลิ ม์
คงรปู เป็นลกั ษณะคล้ายไขป่ ลา มีลักษณะดังรปู

ของเหลว

วธิ ีการทาสเฟยี ร์จากน้าหวานมขี นั้ ตอนดังนี้ สเฟยี ร์

ข้ัน 1 นาผงโซเดียมอลั จิเนตมาละลายในนา้ หวาน

ข้ัน 2 หยดสารละลายในข้นั ท่ี 1 ลงในสารละลายของแคลเซยี ม ซ่ึงแคลเซียมจะไปจับตวั กบั โซเดยี มอลั จเิ นต

ทาให้แข็งตวั เปน็ แผ่นฟิล์มบาง ๆ ห้มุ หยดสารละลายในขั้นท่ี 1 ไว้ เกิดเปน็ สเฟียร์ แตถ่ ้าของเหลวมคี ่า pH ตา่

จะไม่เกิดฟลิ ม์

สำรละลำยของ

แคลเซยี ม สำรละลำยในขัน 1

จากวธิ ีทาข้างต้น ข้อใดไม่สามารถทาให้เกดิ สเฟยี ร์ได้
 เปลีย่ นจากนา้ หวานเปน็ ซอสถั่วเหลอื ง

 เปล่ยี นจากนา้ หวานเป็นนมสดเสริมแคลเซยี ม
 เปลยี่ นจากน้าหวานเปน็ นา้ มะนาวที่เติมผงฟจู นไม่เกดิ ฟองแกส๊
 หยดสารละลายแคลเซียมลงในสารละลายโซเดยี มอัลจิเนต

47. ของแข็ง 6 ชนดิ มีสมบัติดงั ตาราง การละลายในนา้ มัน จดุ เดอื ด (°C)
ไมล่ ะลาย 452
ของแข็ง การดูดตดิ กบั แม่เหล็ก ไม่ละลาย 199
A ดดู ละลาย 494
B ไมด่ ูด ไม่ละลาย 396
C ไม่ดูด ละลาย 178
D ไมด่ ดู ไมล่ ะลาย 349
E ดดู
F ไมด่ ดู

นาของผสมทป่ี ระกอบด้วยของแข็ง A B C D E และ F มาทดลองดังนี้

ขั้น 1 นาของผสมใสล่ งในบกี เกอร์ แลว้ ดูดแยกด้วยแมเ่ หล็ก

ขน้ั 2 ละลายของผสมทเี่ หลือในบกี เกอร์จากข้ัน 1 ดว้ ยนา้ มัน แลว้ กรองเก็บตะกอน

ขน้ั 3 นาตะกอนที่กรองได้ในข้ัน 2 ไปใส่ในบีกเกอร์แล้วอบท่ีอุณหภูมิ 260 °C ชง่ั มวลของบีกเกอรท์ ี่มีสาร

ทุก 1 ชว่ั โมง จนมวลคงที่

สารท่เี หลือในบกี เกอร์คือสารในข้อใด

 A และ E  C และ D  B และ F  D และ F

แบบทดสอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ป.6 ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

29

48. สารละลายของโลหะแต่ละชนิดเกดิ ตะกอนกบั สารละลายซลั ไฟด์และคลอไรด์ ดงั น้ี

สารละลาย ผลการทดสอบกับสารละลายซลั ไฟด์ ผลการทดสอบกับ
ของโลหะ สารละลายคลอไรด์
pH = 2 pH = 7 pH = 14
(ทุกค่า pH)

P ตกตะกอน ตกตะกอน ตกตะกอน ไมต่ กตะกอน

Q ไมต่ กตะกอน ไม่ตกตะกอน ไม่ตกตะกอน ไมต่ กตะกอน

R ไม่ตกตะกอน ไมต่ กตะกอน ตกตะกอน ไม่ตกตะกอน

S ตกตะกอน ตกตะกอน ตกตะกอน ตกตะกอน

สารละลายตวั อย่างท่เี ป็นกลาง ประกอบด้วยโลหะ P Q R และ S นามาทดลองตามขัน้ ตอนต่อไปนี้

ขัน้ A เตมิ สารละลายซัลไฟด์ทีเ่ ป็นกลางลงในสารละลาย แล้วนาสารมากรอง

ขัน้ B เติมสารละลายคลอไรด์ทเี่ ปน็ กลางลงในสารละลาย แล้วนาสารมากรอง

ขน้ั C เตมิ กรดลงในสารละลาย แล้วนาสารมากรอง

ขน้ั D เติมเบสลงในสารละลาย แล้วนาสารมากรอง

ขอ้ ใดเรยี งลาดบั ข้นั ตอนการแยกโลหะทัง้ 4 ชนิดออกจากกันไดถ้ ูกต้อง

 A→C→B  B→A→C

 A→D→B  B→A→D

49. พิจารณาสมบตั ิของหนา้ กากกรองอากาศต่อไปนี้

ชนิดของ ขนาดรูของวสั ดกุ รอง ความแนบกระชบั กบั ความสามารถในการ

หนา้ กาก อากาศ (ไมครอน*) ใบหน้า กรองไอระเหยสารเคมี

A 0.3  

B3  

C 0.3  

D 3  

*ไมครอน เท่ากับ หนึ่งในหนึ่งลา้ นเท่าของเมตร

หมายเหตุ  คอื ความแนบกระชับนอ้ ยทีส่ ุด  คอื ความแนบกระชบั มากทสี่ ดุ

 คือ กรองไอระเหยไดน้ อ้ ยทส่ี ุด  คือ กรองไอระเหยไดม้ ากทสี่ ดุ

ขอ้ ใดต่อไปน้ีกลา่ วไม่ถูกต้อง

 หนา้ กาก A เหมาะสมสาหรับใส่เขา้ โรงเลื่อยไมม้ ากกว่าหนา้ กาก D

 หนา้ กาก B ไม่สามารถกันฝนุ่ ละออง PM 2.5 (ฝุ่นท่มี ีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน) ในอากาศได้

 หนา้ กาก C เหมาะสมสาหรบั ใส่ในขณะทาสีกาแพง

 หนา้ กาก D มีประสทิ ธภิ าพในการกันควนั บหุ รี่น้อยกวา่ หนา้ กาก B

แบบทดสอบวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ัน ป.6 ประจาปกี ารศกึ ษา 2562 สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

30

50. นาวสั ดุใสและไม่มีสี 4 ชนิดไดแ้ ก่ A B C และ D มาทดสอบดงั น้ี
การทดสอบท่ี 1 หยดนา้ ลงบนวัสดุขนาดเทา่ กนั ท่วี างเป็นทางลาด ไดผ้ ลดงั รูป
หยดนา้
เอียงวสั ดเุ ป็นทางลาด

วัสดุ A วสั ดุ B

วัสดุ C วสั ดุ D

การทดสอบท่ี 2 นาวสั ดุแต่ละชนดิ ทรงสเี่ หล่ียมท่ีมีความกว้างและความยาวดา้ นละ 2 เซนตเิ มตร ซึ่งหนาเทา่ กัน
มาอบเป็นเวลา 1 คนื แลว้ นาวัสดอุ อกมาวางบนกระดาษลายตารางท่ีแต่ละช่องกว้าง 1 เซนติเมตร ได้ผลดังรูป

วัสดุ A วัสดุ B วสั ดุ C วสั ดุ D

1 ซม.
1 ซม.

วสั ดุชนิดใดเหมาะสมทสี่ ุดสาหรบั ทากระบอกตวงสาร
 วสั ดุ A
 วสั ดุ B
 วัสดุ C

 วัสดุ D

แบบทดสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ป.6 ประจาปกี ารศึกษา 2562 สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี






































Click to View FlipBook Version