รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสัมมนาทางรัฐประศาสนศาสตร์เชิงพุทธ ตามหลักสูตรปริญญารัฐประศาสนศาสนบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสศาสตร์ วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๖ รายงาน เรื่อง ปัญหาการบริหารการพัฒนาของประเทศ จัดทำโดย พงษ$พิพัฒน$ เตชะนันท$
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสัมมนาทางรัฐประศาสนศาสตร์เชิงพุทธ ตามหลักสูตรปริญญารัฐประศาสนศาสนบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสศาสตร์ วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๖ รายงาน เรื่อง ปัญหาการบริหารการพัฒนาของประเทศ จัดทำโดย พงษ$พิพัฒน$ เตชะนันท$
ค คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาสัมมนาทางรัฐประศาสนศาสตร์เชิงพุทธ รหัสวิชา ๔๐๒ ๓๒๐ ชั้นปีที่ ๓ เทียบโอน (คฤหัสถ์) โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่อง ปัญหาการบริหารการพัฒนาของประเทศ ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จากผลงานทางวิชาการ ของนักวิชาการหลาย ๆ ท่าน ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำรายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจและ ต้อง ขอขอบคุณ ผศ.ดร. ฤทธิชัย แกมนาค อาจารย์ผู้สอนประจำวิชา ผู้ให้ความรู้และแนวทางการศึกษา เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็น ประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน พงษ์พิพัฒน์ เตชะนันท์ ผู้จัดทำ สิงหาคม ๒๕๖๖
ง สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ค บทที่ ๑ แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารพัฒนาประเทศ ๑ บทที่ ๒ ประเทศไทยกับการบริหารการพัฒนา ๘ บรรณานุกรม ๑๘
บทที่ ๑ แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารการพัฒนาประเทศ ขอบข่ายเนื้อหา ๑.๑ บทนำ ๑.๒ การบริหารการพัฒนาประเทศ ๑.๓ สรุป ๑.๑ บทนำ ในการพัฒนาประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ยอมรับกันว่าองค์ประกอบที่สำคัญของการบริหาร การพัฒนา คือ การมุ่งเน้นถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้มีความเจริญเติบโต (economic growth) เป็นหลักใหญ่ดังจะเห็นได้ในประเทศที่กำลังพัฒนาที่เปลี่ยนประเทศให้มีความทันสมัยและกลายเป็น ประเทศอุตสาหกรรม (modernization, and industrialization) การบริหารการพัฒนาโดยทั่วไป แล้วเป็นการวางแผนเพื่อให้เกิดความเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจของประเทศ มีการกำหนดการใช้ ทรัพยากรเพื่อเพิ่มรายได้ประชาชาติพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ปรับปรุงระบบขนส่ง และการสื่อสารคมนาคม ปฏิรูประบบการศึกษา ระบบราชการ และหน้าที่อื่น ๆ เพื ่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ของการพัฒนาที่กำหนดไว้ซึ่งต่างกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่เห็นว่าเศรษฐกิจเป็นเพียง ปัจจัยหนึ่งที่จะต้องบริหารเพื่อให้เกิดการพัฒนา เพราะการพัฒนานั้นจะแบ่งออกเป็นการพัฒนาปัจจัย สี่ประการ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการบริหาร ดังเช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ (economic development) หมายถึง การเพิ่มผลผลิตประชาชาติมวลรวม การทำให้รายได้เฉลี่ยต่อ หัวของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น การทำให้การกระจายรายได้เท่าเทียมกันให้มากขึ้น ส่วนการพัฒนาสังคม (social development) หมายถึง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ตั้งแต่ทำให้ประเทศมีลักษณะ เป็นชุมชนเมือง ไปจนถึงการพัฒนาการเมืองที่หมายถึง การเพิ่มความเท่าเทียมกันในระหว่าง ประชาชน ให้โอกาสแก่ประชาชนในการเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในการปกครอง ตลอดจนมีความเป็น น้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติให้มากกว่าเดิม สำหรับการพัฒนาการบริหาร (administration development) หมายถึง การนำเอาระบบคุณธรรมมาใช้แทนระบบอุปถัมภ์มีการตรวจสอบการ ทำงานของภาครัฐ มีการจัดระบบงบประมาณของทางราชการให้มีความยืดหยุ่น มีการบริหาร จัดการ บ้านเมืองที่ดีซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเรียกว่า เป็นการพัฒนาประเทศ และพัฒนาในด้านต่าง ๆ ดังกล่าวจะต้องจัดทำพร้อมกันไปทุกด้าน แบ่งแยกมิได้เพราะว่าระบบเศรษฐกิจมีหลักเกณฑ์และ เหตุผล เศรษฐกิจจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าสังคมไม่เคารพมนุษยชาติถ้าฝ่ายการเมืองไม่มีความรับผิดชอบ และฝ่ายบริหารไม่ทำตามกฎหมาย ดังนั้น การพัฒนาจึงจำเป็นต้องพัฒนาพร้อมกันทุกด้าน ดังเช่น ดร.ยูยีน สแตลลีย์๑ ได้ กล่าวว่า กระบวนการพัฒนาที่ดีนั้นไม่ควรจะย้ำเฉพาะด้านเศรษฐกิจ แต่ควรให้ได้ผลดีทั้งทางการเมือง ๑ ดร.ยูยีน สแตลลีย์, อ้างใน ธวัช มกรพงศ์, “อนาคตของประเทศกำลังพัฒนา : ทฤษฎีและ แนวความคิดในการพัฒนาประเทศ”, กรุงเทพฯ, ๒๕๑๕.
๒ และสังคมด้วย โดยชี้ให้เห็นว่า ประเทศที่ได้รับความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เป็นความสำเร็จ ในวงแคบ คือเป็นเพียงการเพิ่มความสามารถในการผลิตของประเทศให้สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยยังมีระบบการครองชีพต่ำอยู่ เช่นเดิม ในขณะเดียวกันกระบวนการพัฒนาดังกล ่าวนี้ไม่ได้ส่งเสริม อุดมการณ์ประชาธิปไตย ประชาชนยังอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการอยู่ ดังนั้น ดร.สแตลลีย์จึงสรุปว่า วัตถุประสงค์ของ กระบวนการพัฒนาที่ดีนั้นควรมุ่งพัฒนาทุกด้านไปพร้อมกัน ทั้งด้านสังคมและการเมือง มิใช่เฉพาะ ด้านเศรษฐกิจ เพราะความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์มีหลายอย่าง เช่น ค่าครองชีพที่สูงพอควร ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต มีเสรีภาพและอำนาจในการปกครองตนเอง ได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วน หนึ่งของสังคม โดยไม่ถูกกีดกันหรือได้รับความเสมอภาคเท่าเทียมกันในสังคม สามารถดำเนินชีวิตไป ได้อย่างมีความหมาย ความหวังและมีความเชื่อในทัศนคติในสิ่งที่ตนยึดถืออยู่ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและมี คุณค่า ดังนั้นการพัฒนา (development) ซึ่งเป็นที่รับรู้และเข้าใจกันอยู่ในปัจจุบันนี้ว่าเป็นสิ่งที่ถูก สร้างขึ้นมาโดยประเทศมหาอำนาจตะวันตกภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี้เอง ฉะนั้นการพัฒนาจึง เป็นสิ่งที่ยอมรับและแพร่หลายในเวลารวดเร็วมิได้หยุดนิ่งตายตัว แต่มีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด เช่นกัน ๑.๒ การบริหารการพัฒนาประเทศ การบริหารการพัฒนาตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Development Administration ใน ฐานะที่เป็นศาสตร์หรือสาขาวิชา และ development administration ในฐานะที่เป็นกิจกรรม หรือ กระบวนการ ซึ่งความหมายทั้ง 2 ลักษณะ มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ การบริหารการพัฒนา ใน ฐานะที่เป็นศาสตร์หรือสาขาวิชานั้น เป็นความรู้ที่ได้มาจากการสังเกต การศึกษาและการวิจัยจาก กิจกรรมหรือการปฏิบัติในโลกที ่เป็นจริง เป็นความรู้หรือวิชาต่าง ๆ ที ่มีลักษณะเป็นระเบียบเป็น ระบบนำไปปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาหน่วยงาน องค์การหรือสังคมตามสถานการณ์จนได้รับ การยอมรับว่าเป็นสาขาหนึ่งของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ในช่วง ค.ศ. 1960 จนถึงปัจจุบัน ๑.๒.๑ ความหมายของการพัฒนาประเทศ มีผู้ให้ความหมายของการพัฒนาประเทศไว้แตกต่างกันตามทัศนะและความสนใจของแต่ ละคน ดังนี้ ติน ปรัชญาพฤทธิ์๒ ได้ให้ความเห็นว่า การพัฒนาประเทศ หมายถึง “การแก้ไข เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมให้เอื้อต่อระบบราชการเพื่อให้ระบบ ราชการมีสมรรถนะความสามารถหรือผลงานในการยกระดับความเป็นอยู่หรือแก้ไขปัญหาความทุกข์ ยากของคนทั้งที่อยู่ในและนอกระบบราชการ ๒ ติน ปรัชญพฤทธิ์, อ้างใน เลาหวิเชียร (บรรณาธิการ) การบริหารการพัฒนา, “การพัฒนาการบริหาร และการบริหารการพัฒนา”, คณะรัฐประศาสนศาสตร์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์และมูลนิธิอาเซีย, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สามเจริญพานิช), 2528.
๓ อุทัย เล่าหวิเชียร๓ กล่าวว่า การพัฒนาประเทศ คือ การเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น เพื่อ บรรลุเป้าหมายตามที่กําหนด และเป้าหมายเหล่านี้จะกําหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศ วิทยากร เชียงกูล๔ อธิบายว)า การพัฒนาประเทศเป5นการพัฒนาทั้งทางด9านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม กล)าวคือ การพัฒนาทางด9านเศรษฐกิจนั้น หมายถึง การรู9จักนำทรัพยากรที่มีอยู) มาใช9ให9เกิดประโยชนM มีประสิทธิภาพและมีความหมายต)อการพัฒนาความเป5นอยู)ให9ดีขึ้น การพัฒนา ทางการเมือง หมายถึง การมีประเทศมีการจัดองคMกรปกครองที่เป5นระเบียบ มีเหตุผลให9ความเสมอ ภาค เสรีภาพและความร)มเย็นแก)สมาชิกส)วนใหญ) ส)วนการพัฒนาสังคมนั้น หมายถึง การเปUดโอกาส ให9คนได9พัฒนาความเป5นอยู)อย)างเสมอภาคและกว9างขวาง เช)น การให9บริการทางการแพทยM การ อนามัย การศึกษา การส)งเสริมศิลปวัฒนธรรมและกิจกรรมเพื่อสังคมอื่น ๆ ปรัชญา เวสารัช และวิสุทธิ์ กาญจนสุข๕ ได9กล)าวว)า การพัฒนาประเทศ หมายถึง การ ทำให9ประเทศชาติเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เจริญก9าวหน9ายิ่งขึ้น ประชาชนในชาติอยู)ดีกินดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยMสิน ภานุวัฒน= วิภาตะกลัศ๖ ให9ความหมายว)า การพัฒนาประเทศ คือการทำสิ่งต)าง ๆ ที่ กำลังเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู)นั้น ได9รับการปรับปรุงแก9ไขและผลักดันให9ดำเนินไปสู)เปXาหมายที่ กำหนดไว9 ทั้งให9เป5นโดยสอดคล9องต9องกันและให9เกิดภาวะที่สมดุลกันอย)างมีสัดส)วนทั้งในด9าน เศรษฐกิจและสังคม ๑.๒.๒ ความเป็นมาของการพัฒนาประเทศ ๑) ระยะก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นระยะที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรป เช่น สเปน โปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ต้องการจะขยายขอบเขตของความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ โดยการค้าขายเผยแผ่ ศาสนา และการขยายอาณาเขตด้วย กลุ่มประเทศที่ชาวยุโรปไปติดต่อด้วยในระยะนี้แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีความเจริญด้านต่าง ๆ มากแล้ว ได้แก่ ประเทศและหมู่เกาะทางตะวันตก เช่น อินเดีย ชวา สุมาตรา อิหร่าน และพวกอินคาในเม็กซิโก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นพวกที่ยังไม่มีความเจริญ มากนัก เช่น ในแถบแอฟริกา และหมู่เกาะแคริบเบียน เป็นต้น หลังจากนั้นทั้งสองกลุ ่มนี้ก็ได้รับ ๓ อุทัย เลาหวิเชียร, การบริหารการพัฒนา, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิอาเซีย), 2529. ๔ วิทยากร เชียงกูล, อ4างใน กรรณิการ์กาญจนวัฏศรี, เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาการบริหารการ พัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์, 2552, ๑๙๑.๕ เรื่องเดียวกัน, ๑๙๑. ๖ เรื่องเดียวกัน, ๑๙๑.
๔ ผลกระทบจากการติดต่อกับชาวยุโรป ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการปกครอง ทั้งนี้ เพราะมีความเสียเปรียบทางด้านการค้าขาย หลายประเทศตกเป็นอาณานิคมทำให้เกิดความ เปลี่ยนแปลงทางด้านศาสนา วัฒนธรรม และการปกครอง อย่างไรก็ตามชาวยุโรปก็ได้นำวิทยาการ ใหม่ๆ โดยเฉพาะการศึกษาไปเผยแพร่ให้ชาวพื้นเมืองเหล่านั้นด้วยเช่นกัน 2) ระยะหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นระยะที่อิทธิพลด้านต่าง ๆ ของยุโรป เช่น อิทธิพลด้านการปกครอง วัฒนธรรมได้แผ่ขยาย ไม่ครอบคลุมประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลก ตลอดจนการปฏิวัติอุตสาหกรรมของ ยุโรปมีผลกระทบต่อประเทศด้อยพัฒนาด้วย กล่าวคือ ประเทศด้อยพัฒนากลายเป็นแหล่งป้อน วัตถุดิบและเป็นตลาดสินค้าหลังของยุโรป นอกจากนี้การแข่งขันระหว่างประเทศในยุโรปทำให้เกิด ลัทธิล่าอาณานิคมขึ้น เมื่อประเทศยุโรปเข้าครองประเทศด้อยพัฒนา ก็พยายามให้ประเทศเหล่านี้มี การพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของตน เช่น พัฒนาเฉพาะเมืองที่สำคัญ ๆ ส่งเสริมการ คมนาคมและการขนส่ง ส่งเสริมการไปรษณีย์โทรเลข การสาธารณสุข และการจัดการศึกษาตามแบบ ยุโรปเพื่อให้มีค่านิยมตามแบบตะวันตก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศอาณานิคมจะเสียเปรียบหลาย อย่างแต่ก็ได้ประโยชน์เช่นกัน เช่น การได้เรียนรู้วิทยาการต่าง ๆ ได้ติดต่อกับประเทศต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ประเทศพัฒนามากขึ้น แต่ก็มีปัญหาอื่นตามมา ทําให้เกิดการเรียกร้องความเป็นอิสระ 3) ระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนสิ้นทศวรรษแรกแห่งการพัฒนา เป็นระยะที่ประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งทางยุโรปและอเมริการวมทั้งรัสเซีย ช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนา ทั้งในด้านการทหาร เศรษฐกิจ การเงิน และด้านวิชาการ การช่วยเหลือ นี้เริ่มจากสหรัฐอเมริกาได้ทุ่มทุนอย่างมหาศาลแก่ประเทศต่าง ๆ โดยการให้ทุนนักการทหารไปฝึก ยุทธและการใช้อาวุธต่าง ๆ ตามแบบอย่างของสหรัฐฯ ส่วนทางด้านเศรษฐกิจนั้น สหรัฐอเมริกาใต้ให้ ความช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ในยุโรปได้ฟื้นตัวของสภาพของสงครามและพัฒนาประเทศโดยใช้ แผนการมาร์แชลล์ (Marshall Plan) และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Mutual Help) ทำให้เกิดความ เข้าใจในกระบวนการที่ว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมย่อมเกิดขึ้นได้โดยอาศัยหลักแห่ง ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันของประชาชนทั้งหมด แผนการมาร์แชลล์เป็นส่วนสำคัญทำให้เกิด แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เมื่อประเทศในยุโรปมีเศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว ทั้งยุโรปและ สหรัฐอเมริกาก็ร่วมกันให้ความช่วยเหลือ ประเทศด้อยพัฒนา เริ่มต้นด้วยการให้ประเทศที่ได้รับความ ช่วยเหลือเหล่านั้นลอกแบบความคิด เทคนิค วิธีการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ จากประเทศของตน เป็นการ ช่วยเหลือแบบ Foreign Aids (ระหว่างปีค.ศ. 1951-1957) ต้นปีค.ศ. 1958 แนวคิดของความช่วยเหลือเปลี่ยนไปเป็นความช่วยเหลือ แบบร่วมมือกันพัฒนา (Development Assistance) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ประเทศที่กำลังพัฒนา ได้พัฒนาทรัพยากรและบุคลากรที่ตนเองมีอยู่ไปสู่เป้าหมายที่เรียกกันว่าสมัยใหม่ (Modomization) หรือสมัยพัฒนา (Development)
๕ อนึ่ง ในปีค.ศ. 19๖0 ประธานาธิบดีเคเนดี (John F. Kenedy) ได้เสนอ ยูเนสโกประกาศ ให้ปี1960-1969 เป็นทศวรรษแรกพัฒนา (Development Decade) โดย เรียกร้องให้ประเทศพัฒนาแล้วบริจาคเงินและให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่ประเทศที่กำลังพัฒนา พร้อมกับส่งเสริมให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ๑.๒.๓ วัตถุประสงค์ของการพัฒนาประเทศ การพัฒนาประเทศนั้นเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง การกำหนด วัตถุประสงค์การพัฒนาจึงควรให้ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการสร้างชาติให้มีความ มั่นคง แข็งแรง และยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาประเทศควรกำหนดวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อเพิ่มและกระจายสิ่งที่สนองความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัยให้ทั่วถึงและเพียงพอ 2. เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ให้สูงขึ้นด้วยการเพิ่มรายได้การสร้างงาน จัดการศึกษาให้ สูงขึ้น และเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ต้องเน้นที่การสร้างค่านิยมในการคารพนับถือทั้งในตนเองและ ประเทศชาติ 3. เพื่อขยายพิสัยทางเศรษฐกิจและสังคมให้บุคคลและประเทศชาติมีอิสระเสรีหลุดพ้น จากความเป็นทาส และการต้องพึ่งพิงผู้อื่นหรือประเทศอื่น รวมถึงความมีอิสระในการเลือกที่จะขจัด ความไม่รู้ทั้งของตนเองและของมวลมนุษย์ ๑.๒.๔ ปัจจัยสําคัญในการพัฒนาประเทศ นักวิชาการบางคนมีความเห็นว่าปัจจัยสำคัญของการพัฒนาประเทศอยู่ 6 ประการ คือ 1. ความมีเสถียรภาพทางการเมือง 3. มีความคิดริเริ่มในการประดิษฐ์คิดค้น 3. มีประชากรที่มีทักษะ 4. ทรัพยากร 5. มีต้นทุน 6. ได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากแหล่งต่างๆ โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์๗ ได้ประมวลปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศไว้8 ประการ คือ 1. การพึ่งตนเองในทางการเงิน กล่าวคือ หากประเทศใดต้องการผลสำเร็จในอัตราความ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว จำต้องสร้างเงินออมภายในประเทศให้เพียงพอแก่การ ลงทุน หากไม่จำเป็นไม่ควรพึ่งพิงเงินทุนจากต่างประเทศ เพราะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เช่น ใน กรณีที่มีเงินทุนไหลเข้าประเทศมากเกินขอบเขตก็ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ ๗ โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฏร์, “โครงสร้างการผลิตกับการกระจายผลการพัฒนา”, (กรุงเทพฯ : สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ), ๒๕๓๒.
๖ 2. ปัญหาความยากจน ปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญของการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้เพราะว่า ไม่ว่า ประเทศจะประสบความสำเร็จในอัตราความเจริญเติบโต โดยส่วนรวมเพียงใดก็ตามหาก ประเทศนั้นยังมีคนยากจนอยู่เป็นจำนวนมาก ประเทศดังกล่าวก็นับได้ว่ามีความอ่อนแอโดยพื้นฐาน เนื ่องจากประชาชนจํานวนมากไม ่สามารถเข้ามามีส ่วนในการเพิ ่มกำลังทางเศรษฐกิจให้แก่ ประเทศชาติโดยส่วนรวม และยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านี้ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เท่าที่ควร การ ปล่อยปัญหาความยากจนให้เรื้อรังและลุกลามต่อไปแล้ว จะก่อให้เกิดปัญหาสังคมและการเมืองได้ และในที่สุดปัญหานี้จะกลายเป็นอุปสรรคอันสำคัญในการพัฒนาประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงจําเป็นต้องมี วิธีการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาความยากจน แต่เรื่องสำคัญประการหนึ่งได้แก่ การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์เพื่อช่วยคนยากจนให้สามารถช่วยตนเองได้มากขึ้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นแนวทางที่ สำคัญที่สุดประการหนึ่งในการพัฒนาประเทศ 3. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในประเด็นนี้ต้องคำนึงว่าทรัพยากรธรรมชาติ และสิ ่งแวดล้อมเป็นเรื ่องสำคัญต ่อการอยู ่รอดของมนุษยชาติทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ ประเด็นที่เกี่ยวข้องทรัพยากรชาติเป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับ ประเทศที่เคยได้อาศัยทรัพยากรธรรมชาติเป็นฐานสำคัญในการจ้างงานและรายได้ของประชาชน ความเสื่อมโทรมเสื่อมสภาพหรือสูญสิ้นของทรัพยากรธรรมชาติจึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการจ้างงาน และรายได้ของประชาชนจํานวนมากพร้อม ๆ ไปกับการขาดความสมดุลของระบบนิเวศวิทยา การป้องกันไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติต้องเสื่อมโทรมลง จนถึงจุดที่ทำให้เป็นอุปสรรค ต่อความเจริญทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน จึงนับได้ว่าเป็นแนวทางสำคัญในการ พัฒนาประเทศ นอกจากนั้นในระดับย่อยลงไปถึงระดับชุมชน การดูแลทรัพยากรเป็นเรื ่องที ่มี ความสำคัญต่อความอยู่รอดของชุมชนนั้น ๆ ทั้งในด้านอาชีพ รายได้และวิถีชีวิตของประชาชน 4. เทคโนโลยีที่เหมาะสม การแข่งขันทางเศรษฐกิจสมัยใหม่นี้ต้องอาศัยเทคโนโลยีอย่าง มากสำคัญอยู่ที่การบริหารและการจัดเทคโนโลยีที่เหมาะสม ทั้งนี้เพราะแนวทางเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ ไม่เหมาะสม นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาแล้ว ยังอาจมีโทษต่อการพัฒนาในระยะยาวได้ เช่น อาจกระทบถึงอัตราการมีงานทำของประชาชนซึ่งต้องสูญเสียไปให้กับเครื่องจักรในปริมาณที่มาก เกินสมควร หรือการใช้เทคโนโลยีที่ระดับสูงเกินความสามารถของกำลังแรงงานในชาติก็อาจประสบ ความล้มเหลวได้หลายกรณีดังนั้นเทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงไม่ได้หมายถึง การสรรค์สร้างเทคโนโลยี เพื่อให้ประเทศมีความพึ่งพาตัวเองทางเทคโนโลยีได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการคัดเลือกและ การสรรหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพพื้นฐานภายในประเทศอีกด้วย จึงกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีที่ เหมาะสมมีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง 5. บทบาทของรัฐ ในกรณีกล่าวเฉพาะบทบาทของรัฐต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐต้องเข้าไปมีบทบาทในการสนับสนุนภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปในทางเศรษฐกิจ ได้แก่การ ดูแลให้ตลาดมีความเป็นเสรีโดยมีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม บทบาทในด้านการลดผลกระทบใน การเสียหายจากความเจริญทางเศรษฐกิจ บทบาทในการสนับสนุนให้ประชาชนสามารถช่วยเหลือ ตนเองในทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยเฉพาะคนยากจน ซึ่งมักจะช่วยตนเองไม่ได้และบทบาทในการ สร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายต่าง ๆ ของประเทศ เช่น เป้าหมายในด้านความเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
๗ 6. พัฒนาทางการเมืองในกระบวนการพัฒนาประเทศ เพื่อหวังผลระยะยาวนั้นระบบ การเมือง ต้องเปิดโอกาสให้สังคมเข้ามีส่วนร่วมในการตัดสินใจสาธารณะ (Public Hearing) เพราะ การตัดสินใจสาธารณะจะช่วยให้สังคมมีเหตุผลมากขึ้น ความมีเหตุผลดังกล่าวนอกจากจะมีส่วนทำให้ เกิดการตัดสินใจที่เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว ยังเป็นวิธีการที่จะคลี่คลายความขัดแย้งโดยสันติและ รักษาผลประโยชน์ของประชาชนกลุ่มที่มีฐานะแตกต่างกันอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย การตัดสินใจสาธารณะเป็นเรื่องทางการเมือง ระบบการเมืองจึงควรพัฒนาไปใน แนวทางดังกล่าว ดังนั้น พัฒนาการทางการเมืองจึงไม ่ได้หมายถึงเพียงการเลือกตั้ง การมีพรรค การเมืองและรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังหมายถึง ระบบความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายทางการเมืองกับฝ่าย ข้าราชการประจำ ฝ่ายวิชาการ และกลุ่มผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนั้น กระบวนการพัฒนาระบบข้อมูล ข่าวสารสาธารณะก็เป็นรากฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาการทาง การเมืองในแนวทางดังกล่าวด้วย 7. การมีส่วนร่วมในการพัฒนา การพัฒนาประเทศจะยืนยาวก็ต่อเมื่อประชาชนได้มีส่วน สร้างความเจริญและได้รับผลจากความเจริญนั้นสมแก่บทบาทของตน การพัฒนาที่เกิดจากชนชั้นแต่ เพียงฝ่ายเดียว ประสบความล้มเหลวมาแล้วหลายประเทศ ปัญหาสำคัญของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาก็คือ ประชาชนไม่สามารถเข้าไปร่วมใน การพัฒนาได้แนวทางในการขจัดอุปสรรคเหล่านี้สามารถกระทำได้หลายวิธีเช่น การแก้ไขปัญหา ความยากจน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์การพัฒนาทางการเมือง รวมทั้งต้องส่งเสริมบทบาทของ กลุ่มต่าง ๆ เป็นต้น การมีส่วนร่วมในการพัฒนาถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาประเทศในระดับที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่ง 8. การกระจายอำนาจ เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งของการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากความสลับซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจสังคมและการเมือง ซึ่งมีผลให้การดำเนินงานจาก ศูนย์กลางมีปัญหา ทั้งในด้านความไม่ทั่วถึงและความไม่มีประสิทธิภาพ การกระจายอำนาจจึงเป็น เครื่องมือสำคัญในการจัดการกับสภาพการพัฒนาที่หลากหลาย อันเป็นสถานการณ์ปกติของประเทศ ที ่มีการพัฒนาในระดับสูง ดังนั้น การมุ่งหวังให้การพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่องตลอดเวลา จึงจําเป็นที่จะต้องค่อย ๆ ปรับระบบการบริหารและการตัดสินใจให้เข้าสู่ระบบการกระจายอำนาจ มากขึ้น ๑.๓ สรุป การบริหารการพัฒนาตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Development Administration ใน ฐานะที่เป็นศาสตร์หรือสาขาวิชา และ development administration ในฐานะที่เป็นกิจกรรม หรือ กระบวนการ การพัฒนาประเทศ คือ การทำให้ประเทศมีความเจริญขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้การพัฒนาประเทศแบ่งออกได้๓ ระยะ คือ ระยะก่อนปฏิวัติ อุตสาหกรรม (ค.ศ.๑๕๐๐-๑๘๐๐) ระยะหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ค.ศ.๑๘๓๐-๑๙๕๐) และระยะ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จนสิ้นสุดทศวรรษแรกแห่งการพัฒนา (First Development Decade) (ค.ศ.๑๙๕๑-๑๙๖๙) วัตถุประสงค์ของการพัฒนาประเทศ ๑.เพื่อเพิ่มและกระจายสิ่งที่สนองความ ต้องการพื้นฐานของมนุษย์๒.เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ให้สูงขึ้นด้วยการเพิ่มรายได้สร้างงาน จัด
๘ การศึกษาให้สูงขึ้นและเป็นธรรมมากขึ้น ๓.เพื่อขยายพิสัยทางเศรษฐกิจและสังคมให้บุคคลและ ประเทศชาติมีอิสรเสรีหลุดพ้นจากความเป็นทาสและการต้องพึ่งพิงผู้อื่นหรือประเทศอื่น ๆ ทั้ง 3 ข้อ นี้ถือว่ามีความสำคัญเท่า ๆ กัน การที่ประเทศใดประเทศหนึ ่งจะได้รับการยอมรับว ่าพัฒนาแล้ว จําเป็นต้องบรรลุวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ข้อ การดำเนินงานพัฒนาประเทศตามแนวคิดต่าง ๆ นอกจาก จะต้องกระทำอย่างมีขั้นตอน มีการวางแผน และมีการประสานงานกันเป็นระบบแล้ว ยังต้องกำหนด นโยบายการดำเนินงานและการประเมินผลอีกด้วย การดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต้องคำนึงถึงหลัก วิชา ความต้องการ อุปสรรค ทรัพยากร ศักยภาพของผู้กระทำการรวมทั้งสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งถือ เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ
๙ บทที่ ๒ ประเทศไทยกับการบริหารการพัฒนา ขอบข่ายเนื้อหา ๒.๑ บทนำ ๒.๒ การบริหารการพัฒนาประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ๒.๓ สรุป ๒.๑ บทนำ ประเทศไทยของเราไม่สามารถหนีโลกาภิวัฒน์ได้เพราะเอาประเทศไปผูกกับ โลกาภิวัฒน์มานานแล้ว และระบบเศรษฐกิจไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่เราทำ ได้ก็คือใช้โอกาสที่เรามีอยู่ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์การเป็นสังคมเอื้ออาทรใช้ในการ พัฒนาชนบทที่ยังผูกติดกับโลกาภิวัฒน์น้อย โดยทำให้สังคมชนบทเข้มแข็ง โดยนำแนวคิดในการ พัฒนาแบบทางเลือกมาใช้กับชนบท คนชนบทจะต้องมีการจัดการรูปแบบสังคมขึ้นมาใหม่ เช่นผลิต อาหารให้เพียงพอกับการบริโภคก่อนแล้วค่อยส่งออกไปขาย หรือเร่งผลิตพลังงานของตนเอง โดยใช้ พืชทางการเกษตร (เป็นพลังงานขนาดเล็ก) ให้การศึกษากับเด็กและเยาวชนในรูปแบบที่มีประโยชน์ กับท้องถิ่น หากชุมชนในชนบทเข้มแข็งถ้าโลกาภิวัฒน์มีปัญหาเราก็ไม่ได้รับผลกระทบ การพัฒนา เศรษฐกิจตามกระแสทางเลือก ปัจจุบันโลกของเราตกอยู ่ภายใต้อิทธิพลของการพัฒนาเศรษฐกิจ กระแสหลัก จนทำให้เกิดภาวการณ์พึ่งพา ทั้งพึ่งพาทุน พึ่งพาเทคโนโลยีพึ่งพาตลาดส่งออกจนทำให้ ระบบเศรษฐกิจโลกทั้งโลกกลายเป็นระบบเศรษฐกิจเดียวกัน เช่นเมื่อสหรัฐเกิดปัญหาทางด้าน เศรษฐกิจจะส่งผลกระเทือนไปทั่วโลก ขณะเดียวกันการพัฒนาเศรษฐกิจตามกระแสหลักยังก่อให้เกิดปัญญาทางสังคมตามมา มากมาย เนื่องจากการพัฒนาตามกระแสหลักอยู่ภายใต้ทุนนิยมที่เน้นการแข่งขันและสร้างค่านิยม บริโภคนิยมทำให้คนต้องทำงานหนักเพื่อแข่งขันกับคนอื่น ๆ ปัจจุบันทั่วโลกจึงหันมาสนใจการพัฒนา ทางเลือกมากขึ้น เมื่อสถานะแห่งชาติหรือคนทั้งหมดได้เขยิบขึ้นสูงแล้วย่อมมีกำลังที่จะต่อสู้กับชาติ อื่น ๆ ได้ทุกวิถีอาชีพ๘ ๒.๒ การบริหารการพัฒนาประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ประเทศไทยเราเลือกที่จะเดินตามแนวทางการพัฒนาของสหรัฐอเมริกาโดยสิ่งที่สหรัฐใช้ เป็นเครื่องมือเพื่อให้ประเทศไทยรับแนวคิดการพัฒนาจากสหรัฐ รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ที่เลือกเดินตาม แนวทางโลกตะวันตก ในประเทศไทยโดยเริ่มนับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทยมาจนถึงปัจจุบัน การบริหารการพัฒนาไม่ค่อยประสบ ๘ กิตตุคุณ ด้วงสงค์พระเอกรัตน์ มหามงคฺโล และพระมหาสมพงษ์ ฐิตจิตฺโต, “การวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาจิตใจและสังคมอย่างยั่งยืนในยุค Thailand ๔.๐”, รายงานการประชุมวิชาการระดับชาติครั้งที่ ๒ : วิทยาเขตสุรินทร์, 25๖๕.
๑๐ ความสำเร็จเพราะมักจะเกิดความขัดแย้งและความไม่สมดุลระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหาร กล่าวคือ ในบางยุคการบริหารจะครอบงำการเมือง ๒.๒.๑ การบริหารการพัฒนาราชการไทย การบริหารการพัฒนาราชการไทย การบริหารเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่ นำมาซึ่ง ความสำเร็จโดยเฉพาะการพัฒนากระบวนการหรือวิธีการต่างในสมัย เพราะโลกมีการ เปลี่ยนแปลง โลกไร้พรมแดนที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์การติดต่อสื่อสารไปมาได้เร็ว ความต้องการ คุณภาพของสินค้า และบริการของลูกค้า ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการ บริหารองค์การ อย่างมากทั้งภาคธุรกิจและระบบราชการ ซึ่งเรียกว่าการบริหาร โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์๙ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ การบริหารมุ่งสัมฤทธิ์ผลเป็นเทคนิควิธีการบริหารจัดการสมัยใหม่ที่นำมา ประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และวิธีการบริหารงานให้เปลี่ยนไปจากเดิมให้ ความสำคัญต่อ ทรัพยากรหรือปัจจัยนำเข้า (input) เป็นเครื่องมือในการดำเนินงาน โดยหันมาเน้นถึง วัตถุประสงค์และสัมฤทธิ์ผลของการดำเนินงานทั้งในแง่ของผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) และ ความคุ้มค่าของเงิน (Value for money) รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพและสร้าง ความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าและผู้บริการ การบริหารราชการแบบเดิมให้ความสําคัญกับปริมาณทรัพยากรนำเข้า ได้แก่ จำนวน งบประมาณอัตรากำลัง อาคารสถานที ่และวัสดุครุภัณฑ์ต่างๆมีการใช้กฎระเบียบที ่วัดกุม ควบคุมการ ปฏิบัติราชการมิให้ราชการใช้ดุลยพินิจมากเกินไป รวมถึงมีกระบวนการทำงานที่สุดหลัง ตามสายการ บังคับบัญชาทำให้บริการที่เป็นผลผลิตของระบบราชการมีต้นทุนสูง และประชาชน ผู้รับบริการไม่ พอใจบริการที่ล่าช้าไม่สะดวก การมุ่งสัมฤทธิ์ผล (Results Based Management RBM) เป็นเครื่อง การบริหารที่มาพร้อมกับแนวคิดการบริหารภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ซึ่งมีการนำมาใช้กับภาครัฐและภาคเอกชนในหลายประเทศทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และประเทศในแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น สิงค์โปร์และฮ่องกง พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 3/1 “การบริหารราชการตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเกิดผล สัมฤทธิ์ต่อภารกิจภาครัฐ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการ ปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จําเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ ท้องถิ่น การกระจายอำนาจตัดสินใจ การอำนวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของ ประชาชน ทั้งนี้โดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลงาน ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้การบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คำนึงถึงความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของ ประชาชน การเปิดเผยข้อมูลการติดตาม การตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ตามความ เหมาะสมของแต่ละภารกิจ” ๙ สัญญา เคณาภูมิ, “เทคนิคการบริหารและภาวะผู3นำ”, (กรุงเทพฯ : หจก.โรงพิมพQคลังนานา วิทยา), ๒๕๕๕.
๑๑ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 3/1 ที่กล่าวมาแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 254๒ เห็นชอบตาม แผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐซึ่งกำหนดให้มีการกำหนดปฏิรูปราชการด้วยแผนงานหลัก 5 แผน คือ 1) แผนการปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจและการบริหารงานภาครัฐ 2) แผนการปรับเปลี่ยนงบประมาณการเงินและการพัสดุ 3) แผนการปรับเปลี่ยนระบบการบริหารบุคคล 4) แผนการปรับเปลี่ยนกฎหมาย 5) แผนการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและค่านิยม การบริหารมุ่งผลลัมฤทธิ์เป็นกิจกรรมสำคัญของแผนการปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจและการบริหารงานของภาครัฐ กำหนดว่ารัฐจะต้องเปลี่ยนแนวทางการบริหารไปสู่การบริหาร ที่มุ่งผลสัมฤทธิ์โดยยึดประชาชนเป็นเป้าหมายหลักในการทำงาน การบริหารมุ ่งผลสัมฤทธิ์เป็น เครื่องมือการบริหารที่มาพร้อมกับแนวคิดการบริหารภาครัฐแนวใหม่ (New public management) ที่ต้องคำนึงถึงประชาชนและผลสัมฤทธิ์ของงาน เพื่อให้การทํางานของภาครัฐมุ่งเน้นผลลัพธ์ของงาน มากกว่าเน้นปัจจัยนำเข้ากระบวนการทำงานและกฎระเบียบที่เคร่งครัด โดยจะมีการวัดผลอย่างมี รูปธรรม การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ให้ความสำคัญกับการกำหนดวิสัยทัศน์พันธกิจ วัตถุประสงค์ เป้าหมายที่ชัดเจน และการกำหนดผลผลิต ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน รวมถึงการกำหนดตัวชี้วัดผลการ ดำเนินงานที่ชัดเจนในการวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีความรับผิดชอบต่อประชาชน และเกิดความคุ้มค่าในการใช้ภาษีของประชาชนและ งบประมาณแผ่นดิน ๒.๒.๒ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่สิบสาม พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐ ในยุคแรก ๆ ของการวางแผนพัฒนาประเทศสภาพแวดล้อม ในขณะนั้นเป็นช่วงเปิด ศักราชใหม่แห่งการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ภายใต้การเมืองการปกครองแบบรวม ศูนย์อำนาจอยู่ส่วนกลาง ปัญหาทางสังคมยังมีไม่มาก คนไทยส่วนใหญ่มีฐานะยากจน การเมืองยังไม่มี การปฏิรูปเหมือนทุกวันนี้องค์ความรู้ส่วนใหญ่ ทางด้านการพัฒนายังอยู่ในกลุ่มนักวิชาการข้าราชการ (Technocrats) ด้วยสภาพแวดล้อมดังกล่าว กระบวนการพัฒนาประเทศจึงเป็นการพัฒนา “โดย ราชการเพื่อประชาชน” ซึ่งเป็นการวางแผนโดยนักวิชาการข้าราชการมุ่งเน้นการ “เร่งรัดอัตราการ เจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ” และนำเสนอแผนรวมทั้งโครงการและมาตรการต่าง ๆ ต่อผู้มีอำนาจทาง การเมืองให้สั่งการ ซึ่งเป็นกระบวนการวางแผนจากข้างบนมาข้างล่าง (Top down) ในลักษณะการ บริหารแบบควบคุม และสั่งการ (Command and Control) ต ่อมาเมื ่อเข้าสู ่ยุคโลกาภิวัตน์ สภาพแวดล้อมทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสลับซับซ้อน มากขึ้น การคาดการณ์ล่วงหน้าทำได้ยากลำบากมากกว่าในอดีต จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน กระบวนการวางแผนจาก “โดยราชการเพื่อประชาชน” เป็น “ประชาชนมีส่วนร่วม” มากขึ้น สภาพัฒน์เองก็ปรับบทบาทและวิธีการจัดทำแผนพัฒนาฯ ให้เอื้อกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป จุด เปลี่ยนในกระบวนการวางแผนดังกล่าว ได้เริ่มอย่างชัดเจนเมื่อต้น พ.ศ. 2538 ในกระบวนการ
๑๒ วางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 จุดมุ่งหมายของการพัฒนามุ่งเน้น “คนเป็นศูนย์กลาง การพัฒนา” และ เปลี่ยนกระบวนการพัฒนาแบบ “แยกส่วน” เป็น “การพัฒนาแบบองค์รวม”๑๐ การดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศก่อนที่จะมีการ ประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑ – ๒๕๘๐) ได้อาศัยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเป็นแผนหลัก เพื่อเป็นกรอบในการวางแผนปฏิบัติราชการและแผนในระดับปฏิบัติต่าง ๆ รวมถึงการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกัน แผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ผ่านมา จึงกำหนดประเด็นการพัฒนาประเทศในภาพกว้างที่ต้อง ครอบคลุมทุกมิติเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทุกระดับ สามารถเชื่อมโยงภารกิจและจัดทำแผนปฏิบัติ ราชการและคำของบประมาณให้อยู่ภายใต้กรอบการสนับสนุน เป้าหมายของแผนพัฒนาฯ ดังนั้น จุดเน้นของแต่ละยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศภายใต้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ผ่านมาจึงมุ่งเน้นการบรรลุ เป้าหมายการพัฒนาแต่ละด้านเป็นหลัก เพื่อมุ่งหมายให้ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น จากการขับเคลื่อนการ พัฒนาของแต่ละมิตินำไปสู่การบูรณาการผลรวมที่สนับสนุนการดำเนินงานซึ่งกันและกัน และส่งผลให้ ประเทศบรรลุเป้าหมายในภาพใหญ่ที่กำหนดขึ้นภายใต้แผนพัฒนาฯ ตามลำดับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคือ การกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นแม่แบบของการวางแผน ด้านเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ รวมถึงเป็นเป้าหมายร่วมที่คนในสังคมพยายามขับเคลื่อน เศรษฐกิจให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน การจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๓ อยู่บนความตั้งใจที่จะให้แผนมีจุดเน้นและเป้าหมาย ของการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม สามารถบ่งบอกทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนที่ประเทศควรมุ่งไปในระยะ ๕ ปีถัดไป โดยเป็นผลที่เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งสถานะของทุนในมิติ ต่าง ๆ บทเรียนของการพัฒนาที่ผ่านมา ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของปัจจัย และเงื ่อนไขที ่จะมี อิทธิพลต่อองคาพยพต่าง ๆ ของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนให้ภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วนเข้ามามี ส่วนร่วม ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวางตั้งแต่ในขั้นตอนการกำหนดกรอบทิศทางของ แผนไปจนถึงการยกร่างแผน นอกจากนี้การจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๓ ยังอยู่ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศ ไทยต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลากหลายประการที่เป็นผลสืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโค วิด-๑๙ ซึ่งไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชากร แต่ยังส่งผลให้เกิดเงื่อนไขทาง เศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชนทุกกลุ่ม นอกจากนี้ในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๓ ยังเป็นช่วงเวลาที่มีแนวโน้มของการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การเป็นสังคมสูงวัยของประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ดังนั้น การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ท่ามกลางกระแสแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความ ๑๐ สรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม, “การวางแผนพัฒนาประเทศ”, (กรุงเทพฯ : ศูนย์การพิมพ์เพชรรุ่ง), 2554.
๑๓ เข้มแข็งจากภายในให้สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางความผันแปรที่เกิดขึ้นรอบด้าน และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ในการกำหนดทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๓ ให้ประเทศสามารถก้าวข้ามความท้า ทายต่าง ๆ เพื่อให้“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการ พัฒนาตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง” ตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์ชาติได้อาศัย หลักการและแนวคิด ๔ ประการ ดังนี้ ๑. หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยสืบสาน รักษา ต่อยอดการพัฒนาตามหลัก ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง ผ่านการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศอย่างมีเหตุผล ความ พอประมาณ ภูมิคุ้มกัน บนฐานของความรู้คุณธรรม และความเพียร โดยค านึงถึงความสอดคล้องกับ สถานการณ์และเงื่อนไขระดับประเทศและระดับโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้และศักยภาพ ของทุนทางเศรษฐกิจ ทุนทางสังคม และทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ให้ ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสมดุลในมิติต่าง ๆ ทั้งความสมดุลระหว่างการพัฒนาความสามารถ ในการแข่งขันกับต่างประเทศกับความสามารถ ในการพึ่งตนเองได้อย่างมั่นคง ความสมดุลของการ กระจายโอกาสเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคน และพื้นที่และความสมดุลทางธรรมชาติเพื่อให้ คนอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการบริหารจัดการองคาพยพ ต่าง ๆ ของประเทศให้พร้อมรับกับความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายนอกและ ภายในประเทศ นอกจากนี้ในการวางแผนและการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติต้องอาศัย องค์ความรู้ ทางวิชาการที ่รอบด้านและพิจารณาด้วยความรอบคอบ ควบคู ่กับการยึดถือผลประโยชน์ของ ประชาชนส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และมุ่งมั่นผลักดันให้การพัฒนาบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๒. การสร้างความสามารถในการ “ล้มแล้ว ลุกไว” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาใน ๓ ระดับ ประกอบด้วย ๑) การพร้อมรับ หรือ ระดับ “อยู่รอด” ในการแก้ไขข้อจำกัดหรือจุดอ่อนที่มีอยู่ซึ่งเป็น ผลให้ประชาชน ประสบความยากลำบากในการดำรงชีวิต หรือทำให้ประเทศมีความเปราะบางต่อการ เปลี่ยนแปลงจากภายนอกและภายใน รวมถึงการสร้างความพร้อมในทุกระดับในการรับมือกับสภาวะ วิกฤติที่อาจเกิดขึ้นให้สามารถฟื้นคืนสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ๒) การปรับตัว หรือ ระดับ “พอเพียง” ในการปรับเปลี่ยน ปัจจัยที่จำเป็นเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ในระดับครอบครัว ชุมชน พื้นที่ และประเทศ รวมถึงปรับทิศทาง รูปแบบ และ แนวทางการพัฒนาให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และ ๓) การเปลี่ยนแปลง เพื่อพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน หรือ ระดับ “ยั่งยืน” ในการผลักดัน ให้เกิดการเปลี ่ยนแปลงเชิง โครงสร้างในมิติต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสามารถของบุคคลและสังคม ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพื่อสนับสนุนให้ประเทศสามารถเติบโตได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ๓. เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติโดยกำหนดทิศทางการพัฒนาที่ อยู่บนพื้นฐานของแนวคิด “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” มุ่งเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนทุก กลุ่ม ทั้งในมิติของการมีปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานที่เพียงพอ การมีสภาพแวดล้อม ที่ดีการมีปัจจัยสนับสนุนให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การมีโอกาสที่จะใช้ศักยภาพ ของตนในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและการมุ่งส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีไปยังคน รุ่นต่อไป
๑๔ ๔. การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว โดยให้ความส สำคัญกับการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และความคิด สร้างสรรค์เพื่อสร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และ การใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการปรับเปลี่ยน รูปแบบการผลิต การให้บริการ และการบริโภคเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่สิบสาม) ๒.๒.๓ ปัญหาและอุปสรรคของการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาฯ ฉบับต่าง ๆ ปัญหาและอุปสรรคของการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับต่าง ๆ นั้น อาจจะสืบเนื่องมาจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศ ปัจจัยภายนอก รวมถึงเศรษฐกิจโลกซบเซา การเพิ่มหรือลดค่าเงินสกุลต่างประเทศ (รวมทั้งอัตราดอกเบี้ย) การเพิ่ม หรือลดปริมาณความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน ปัญหาราคาผลผลิตทาง การเกษตรของไทยในตลาดโลก การกีดกันและการตั้งกำแพงภาษีการค้า การก่อการร้ายระหว่าง ประเทศ และสงครามประเทศต่าง ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาสุดวิสัยที่ประเทศ ไทยไม่สามารถจะเข้าไปควบคุมได้ ในทางตรงกันข้าม ปัจจัยภายในซึ่งรัฐบาลไทยน่าจะหรือต้องเข้าไปควบคุมให้ได้นั้น อาจ รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้คือปัญหาความขัดแย้งในเรื่องอุดมการณ์เฉพาะอย่างยิ่งความ ขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ทุนนิยม สังคมนิยม และอุดมการณ์ทฤษฎีพึ่งพาเกี่ยวกับประเด็นนี้รัฐบาล อาจจะต้องมีการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีและข้อเสียของอุดมการณ์เหล่านี้และปรับนโยบายให้ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางด้านกาละและเทศะที่เปลี่ยนแปลงไป๑๑ ๒.๓ สรุป การบริหารการพัฒนาราชการไทย มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะจะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ขยายตัวได้อย่างรวดเร็วทันกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเจริญก้าวหน้าของ สังคมโดยจะนำสังคมและโลกไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและเป็นตัวบ่งชี้ใหทราบถึงแนวโน้มทั้งด้านความ เจริญ และความเสื่อมของสังคมด้วย ประเทศไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการ กำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ ดีขึ้น เป็นแม่แบบของการวางแผนด้านเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ รวมถึงเป็นเป้าหมายร่วมที่คน ในสังคมพยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยปัจจุบันประเทศไทยใช้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) มีสถานะเป็นแผนระดับ ที่ ๒ ซึ่งเป็นกลไกที่ส าคัญในการแปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติและใช้เป็นกรอบส าหรับการ จัดท าแผนระดับที่ ๓ เพื่อให้การด าเนินงานของภาคีการพัฒนาที่เกี่ยวข้องสามารถสนับสนุนการ ๑๑ กรรณิการ์กาญจนวัฏศรี, เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาการบริหารการพัฒนา คณะรัฐ ประศาสนศาสตร์, 2552.
๑๕ บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติตามกรอบระยะเวลาที่คาดหวังไว้ได้ปัญหาและอุปสรรคของกิจ กรรมการบริหารการพัฒนาประเทศไทย อาจรวมถึงสภาพแวดล้อมภายนอกและภายในประเทศ ปัญหาความขัดแย้งในเรื่องอุดมการณ์ปัญหาโครงสร้าง กระบวนการ เทคโนโลยีและปัญหาพฤติ กรรมการบริหารการพัฒนา ซึ่งปัญหาพฤติกรรมการบริหารการพัฒนาประเด็นนี้อาจเป็นผลพวงมา จากการขาดความคิดริเริ่ม การขาดการฝึกอบรม การขาดมูลเหตุจูงใจในการทำงาน การควบคุม เข้มงวดเกินไป การขาดการทำงานเป็นหมู่คณะ การคัดเลือกบุคลากรไม่เหมาะสม การขาดระบบปูน บำเหน็จความดีความชอบที่ดีการขาดภาวะผู้นำ เป้าหมายขององค์การไม่ชัดเจน และการขาดการ เตรียมคนไว้คอยสืบทอดตำแหน่ง เป็นต้น
บรรณานุกรม กรรณิการ์กาญจนวัฏศรี.เอกสารประกอบการเรียนรายวิชาการบริหารการพัฒนา.กรุงเทพมหานคร, 2552. กิตตุคุณ ด้วงสงค์พระเอกรัตน์ มหามงคฺโล และพระมหาสมพงษ์ ฐิตจิตฺโต. การวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาจิตใจและสังคมอย่างยั่งยืนในยุค Thailand ๔.๐. รายงานการประชุม วิชาการระดับชาติครั้งที่ ๒ : วิทยาเขตสุรินทร์, 25๖๕. โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฏร์. โครงสร้างการผลิตกับการกระจายผลการพัฒนา. กรุงเทพฯ : สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ,๒๕๓๒. ติน ปรัชญพฤทธิ์.การพัฒนาการบริหารและการบริหารการพัฒนา ในอุทัย เลาหวิเชียร (บรรณาธิการ) การบริหารการพัฒนา.กรุงเทพฯ : คณะรัฐประศาสนศาสตร์สถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์และมูลนิธิอาเซีย,โรงพิมพ์สามเจริญพานิช, 2528. ธวัช มกรพงศ์. อนาคตของประเทศกำลังพัฒนา : ทฤษฎีและแนวความคิดในการพัฒนาประเทศ. กรุงเทพฯ, ๒๕๑๕. สรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม. การวางแผนพัฒนาประเทศ. กรุงเทพฯ : ศูนย์การพิมพ์เพชรรุ่ง, 2554. อุทัย เลาหวิเชียร. การบริหารการพัฒนา. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิอาเซีย, 2529.