The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานและการสืบค้นประวัติการสร้างคัมภีร์ใบลานวัดเทพสุนทรินทร์ อำเภอสอง จังหวัดแพร่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pipope2562, 2022-07-05 01:43:13

ธรรมโบราณวัดเทพสุนทรินทร์

งานอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานและการสืบค้นประวัติการสร้างคัมภีร์ใบลานวัดเทพสุนทรินทร์ อำเภอสอง จังหวัดแพร่

1

ธมโ์ฯม บราวฯณ ฯเัด ทบฯสนุ ทรฯ ินทรฯ์

ธรรมโบราณวดั เทพสนุ ทรนิ ทร์

สบื คน้ ประวตั ิวัดเทพสุนทรินทร์จากธรรมโบราณ
งานอนรุ กั ษ์คัมภีร์ใบลานวดั เทพสนุ ทรินทร์
โดย พ่อหนานขี้เหม้ียงวัดเฮา

2

ธรรมโบราณวัดเทพสุนทรินทร์
งานอนรุ กั ษ์คมั ภีร์ใบลาน
วดั เทพสนุ ทรนิ ทร์
จัดทำ� โดย
พอ่ หนานขเี้ หมีย้ งวดั เฮา

มรดกธรรมมรดกภูมิปัญญา 3

วัดเทพสุนทรินทร์ อ�ำเภอสอง จังหวดั แพรเ่ ป็นวัดเกา่ แกแ่ หง่ หน่งึ ของเมอื งสอง มปี ระวัติ
ความเป็นมาทีย่ าวนานมากกว่า ๒๐๐ ปี มีพระสงฆ์ผมู้ ปี ญั ญามาปฏบิ ตั แิ ละชว่ ยกนั สืบสาน
จรรโลงพระพุทธศาสนาไมเ่ คยขาด การศึกษาและปฏิบัตติ ามพระธรรมวนิ ยั เปน็ สง่ิ ทช่ี ว่ ยยนื ยัน
ที่ผ้เู ขยี นวเิ คราะห์ตามหลักฐานทยี่ งั คงหลงเหลือ ไดแ้ ก่ศาสนธรรมทปี่ รากฏอย่ใู นคัมภีรใ์ บลาน
รวมทง้ั หลกั ฐานอนื่ ๆ โดยเชือ่ วา่ เปน็ หลักฐานท่บี ่งบอกเรอื่ งราวทเ่ี ปน็ ข้อเท็จจรงิ และบง่ บอกถึง

กาลเวลาท่ีเกิดขน้ึ

สืบคน้ หาขอ้ เท็จจริงจากใบลาน
จากการสำ� รวจและลงทะเบียนธรรมใบลานของวดั เทพสนุ ทรินทร์พบวา่ ธรรมใบลานที่
มีอยู่ในตธู้ รรมนน้ั เป็นเพียงส่วนหนง่ึ ของธรรมท้ังหมดทเ่ี คยมีอยทู่ วี่ ดั แหง่ นี้ ผู้เฒ่าผูแ้ ก่ทเ่ี คยอยู่
ปฏิบัตเิ ม่ือคร้ังได้บวชเรยี น เป็นพระเปน็ สามเณรเลา่ ว่าเม่อื ก่อนมอี ยู่เปน็ จ�ำนวนมาก แต่การเกบ็
รกั ษาไม่ดี เพราะไม่มีตเู้ ก็บ จึงท�ำให้มฝี นุ่ จับ มนี ำ�้ ฝนตกใส่ และเสยี หายจากแมลงสาบและหนู
กดั แทะ นอกเหนอื จากน้ันบางคนเลา่ ใหฟ้ ังว่า ธรรมท่ีกองอยอู่ ยา่ งไม่มีระเบียบท�ำใหด้ รู กรุงรัง
และมีการรอ้ื พ้ืนท่ีดังกลา่ วเพื่อกอ่ สร้าง จึงย้ายธรรมดังกลา่ วไปกองสุมไว้อย่างไมร่ ะมัด ระวงั จงึ
ท�ำใหเ้ กิดความเสียหายตามมา จนกระทัง่ ต้องทำ� ลายทิ้งอย่างนา่ เสยี ดาย
ส่วนธรรมที่น�ำมาจัดระเบียบและลงทะเบียนนี้เป็นธรรมที่เก็บรักษาเอาไว้ในตู้ซ่ึงมีการ
สร้างขึน้ มาในยุคหลังๆทีค่ งเกดิ ปัญหาไม่มีทเี่ ก็บท่เี ป็นสัดสว่ น จึงมผี ้สู ร้างตู้ธรรมน้ถี วาย แต่ก็
คงไม่เพยี งพอส�ำหรบั ใช้เก็บธรรมท้งั หมด สำ� หรบั ต้ธู รรมหลังนี้ แบง่ ชัน้ เก็บเปน็ ๒ ช้ัน โดยเมื่อ
เก็บธรรมซ้อนกันหลายชั้นจะท�ำใหม้ ีปญั หาในการคน้ หาธรรมทีเ่ ก็บเอาไวก้ ่อน คือหาได้ยาก
และดึงออกจากชน้ั ไดย้ ากเพราะโดนช้นั ข้างบนกดทับ และโดยเฉพาะช้นั ข้างล่างมีลกั ษณะเปน็
ลังมากกว่าที่จะเป็นตู้เม่ือเก็บธรรมเอาไว้ในลังก็หมดโอกาสน�ำกลับออกมาใช้ประโยชน์อีกต่อ
ไป ดังน้ันธรรมทีเ่ ก็บไวใ้ นตธู้ รรมนจี้ ึงรอดจากการทำ� ลายทงิ้ ของคนทไี่ ม่รู้จกั คุณคา่ โดยไม่คาด
คิด แตก่ ็นา่ เสียดายโอกาส เพราะผเู้ ก็บธรรมไม่ไดค้ ัดแยกเอาธรรมทค่ี รบหรอื มคี วามสมบูรณ์
เข้าไปเกบ็ และเมอื่ มกี ารส�ำรวจครั้งสุดทา้ ยน้ี เราพบวา่ มธี รรมที่ไม่สมบรู ณ์ ไมค่ รบ ช�ำรดุ อยู่เป็น
จ�ำนวนมาก

ธรรมส่วนหน่ึงท่ีพบมีทั้งในยุคสมัยของครูบาล�ำซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสองค์แรกๆ
ของวัดรวมท้ังธรรมท่ีสร้างขึ้นในยุคต่อๆมามากน้อยต่างกันสะท้อนให้เห็นถึงความเอาใจใส่
ครูบาเจ้าวัดและพระภิกษุสามเณรที่มาปฏิบัติในแต่ละพรรษารวมทั้งมีพระภิกษุมากความ
สามารถได้ไปเสาะแสวงหาเพื่อคัดลอก (ฮ่าย) เป็นฉบับส�ำเนาของฉบับจริง เพื่อน�ำมา
ศึกษาเรียนรู้ในพระสัทธรรมค�ำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระศาสดาด้วยความ
เคารพนอบน้อมในพระธรรมนั้นๆการไปแสวงหาต้องใช้ความอดทนวิริยะอุตสาหะเป็น

4

อย่างย่ิงพระภิกษุเหล่านี้ต้องรอนแรมไปยังวัดต่างๆเพื่อศึกษาและขอคัดลอกเป็นส�ำเนา
ดังกล่าวข้างต้น หนึ่งในพระภิกษุจ�ำนวนน้ันคือ ครูบาอุตตมะ ตามที่ปรากฏชื่ออยู่ในหน้า
ธรรมจ�ำนวนหลายฉบับจึงขอน�ำเสนอผลงานที่ท่านได้สร้างคุณูปการเอาไว้แก่วัดเทพ
สุนทรินทร์และแก่พระพุทธศาสนา
การมํีธรรมใบลานจ�ำนวนมากด้านหน่ึงแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็น
พระภิกษุสงฆ์ท่ีต้องน้อมน�ำเอาพระธรรมค�ำล่ังสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระ
ศาสดามาเผยแผ่ให้แก่คณะศรัทธาพุทธศาสนิกชนได้เจริญในธรรมน้ันๆ แสดงถึงการเอาใจใส่
ในการสร้างพระธรรมคัมภีร์ใบลาน แต่ธรรมใบลานจ�ำนวนมากบางทีก็อาจท�ำให้เกิดปัญหา
ในด้านการเก็บ ต้องมีที่เก็บและมีตู้เก็บเพื่อให้เป็นระเบียบ สะดวกแก่การค้นคว่าหรือน�ำกลับ
มาใช้งาน ในยุคต่อมาจึงมีการด�ำริเพ่ือสร้างท่ีเก็บดังกล่าว จากการส�ำรวจพบว่ามีตู้ธรรมใบ
ลานอยู่ในวัดจ�ำนวน ๑ ตู้ และจากค�ำบอกเล่าท�ำให้ทราบว่าก่อนหน้านั้นเคยมี ๒ ตู้ แต่มีอดีต
เจ้าอาวาสท่านหน่ึงได้มอบให้พระผู้ใหญ่ตามการปกครองของคณะสงฆ์ เพ่ือเป็นส่วนหน่ึงของ
การสร้างพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา( ไม่มีรายละเอียด) ตู้ธรรมท่ีเหลือ
ยังมีปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน

ภาพตู้ธรรมท่ีกล่าวถึงมีค�ำจารึกปีที่สร้างถวายและเจ้าภาพผู้สร้างถวายปรากฏมี
ข้อความท่ฝี าดา้ นในของตู้วา่ ฯลฯ จุฬ��สกฺกราไช ด้ ๒๔๕๖ ตวั ปลี กฺล่าเปฺลา้ บถมมูล��สทั าธฺ ทงสั อฺง��
คนฺาทงพั ายไนแลฯพฯ ายนฺอก�� พายไนหมฺายมี พฺละขตั ิฺตยเ� จา้ อธิกาเน ปเน คฺลา้ ภ�ฺ้อม�ก� บั ด้ยว�สิสานุสิสเจา้ ชุตน๊
หพ๊น ายนฺอก��หฺมายมขี ูร�น� าผง ู้เถา้ ผู้หุ่มนฺ �ช� ุผู้ชุฅนค๊ ํจึพง ากนไั ด้ริราสง ้าแง ปยง งตั ู้ธ�ม� หมฺ ฺล�งั � ๑ ถวฺายเปทน นา
ไวฺ้ยกบั วรพุทสธฺ าสาฺน พรฯโคตมเจา้ ฯลฯ อ่านแลว้ ไดใ้ จความวา่ " จุฬสักกราชได้ ๒๔๕๖ ตั๋ว
ปลีกลา่ เปา้ บถมมูลลสทั ธาทงั สองคนา ทังพายไนและพายนอก พายไนหมายมี พละ

5

ขตั ติยะเจา้ อธิกานเปน๋ เคลา้ ภ้อมกบั สสิ านุสสิ เจา้ ชตุ ๋น หนพายนอกหมายมีขุนนางผู้เถ้า
ผู้หนุม่ ชุผ้ชู ุคนก็จึงพาก๋ันริรางสา้ งแปง๋ ยังตู้ธมมฺ ห์ ลัง ๑ ถวายเป๋นทานไวย้ กบั วรพุทธ
สาสนาพระโคตมเจ้า " “ และถอดความแล้วตรงกับภาษาไทยกลางว่า " จุลศักราช ๒๔๕๖
ปฉี ลู ฉ ศก มีคณะศรทั ธาท้งั ฝา่ ยสงฆ์และฝา่ ยฆราวาส ฝ่ายสงฆ์มเี จา้ อธิการขตั ติยะ
พรอ้ มด้วยพระศิษยานศุ ิษย์ทุกองค์ ฝา่ ยฆราวาสมีขนุ นางท้ังเฒ่าแกแ่ ละหนุ่มทุกคนได้
พากนั มารว่ มสร้างต้ธู รรมหลงั ๑ ถวายเปน็ ทานไว้กบั วรพทุ ธศาสนาพระโคตมเจ้า "”
หากวิเคราะห์ข้อมูลที่พบมีหลายจุดท่ีต้องขอแสดงความคิดเห็นดังนี้ ประการแรก
จุลศกั ราช ๒๔๕๖ จะตรงกบั พทุ ธศกั ราช ๓๖๓๗ จึงไมน่ ่าจะใช่ ปีที่สร้างถวายอาจตรงกับ
พ.ศ.๒๔๕๖ กไ็ ด้แต่ผดิ พลาดตรงเขียนพุทธศักราชเปน็ จลุ ศักราช ระยะเวลาหา่ งจากปปี จั จุบนั
คือ ๒๕๖๕ อยู่ ๑๐๑ ปีและหากเป็น พ.ศ.๒๔๕๖ จริงกน็ ่าจะตรงกับ จ.ศ. ๑๑๗๕ เบญจศก ซึง่
ควรจะเปน็ ปเี ต่าไจ้ คอื ปชี วดเบญจศก
สว่ นเบญจศกกบั ฉศกนั้น ปีในปฏิทินล้านนามก่ี ารเปลย่ี นศกในเดอื น ๗ ขน้ึ ๑๕ คำ่� ตาม
จนั ทรคติ ตรงกับปีใหมส่ งกรานต์ ไม่ได้นบั ตามศกั ราชที่เปลีย่ น จึงอาจเหลือ่ มกันตามเดือนที่ยัง
ไมเ่ ปล่ียนทงั้ หมดก็ได้
พละขัตติยะน่าจะเป็นพระขัตติยะวัดเชียงหมั้นซ่ึงเป็นชื่อท่ีเคยเรียกขานก่อนมีชื่อท่ี
รู้จักกันทั่วไปว่า วัดเสี้ยว และค�ำว่า เจ้าอธิการ เป็นต�ำแหน่งปกครองคณะสงฆ์แสดงว่าท่าน
คงมีต�ำแหน่งเป็นฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ หรืออาจเคยมีต�ำแหน่งรองแขวง (ยมเหนือ) ตาม
การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลในยุคน้ันหรือไม่
เพราะในธรรมฉบับหนึ่งชื่อ๕,๐๐๐วัสสาเป็นธรรมโบราณของวัดเทพสุนทรินทร์ จาก
ภาพหน้าทับปลายของธรรมมีข้อความดังน้ี
ครฯบู าเจา้ หฺลง�วฺ ข� ติฺตย�วดชั ฺยงหฺ้มนั ��พสง๊ ีสุก�ร� �งฺอ แ� ขง�วฺ �วนนั ้นกั ีมฺแลฯ จุ�ฬ ส� กฺกราไช ด้ ๑๒๗๕ วสั ฺสา อหํ
นาฯมบณฺญติตฺภม๊ เฺม ทฺบร�ส� ฺสภิ ข้าฺอ หมื้ บี ฺรยา ฯ ฯลฯ อา่ นว่า“ครูบาเจ้าหลวงขัตติยวงศาวดั เชยี ง(เจยี ง)
หม้ันพง(ปง)สสี นุกรองแขวงวันนัน้ กมีแล จุลศักราชได้ ๑๒๗๕ วสั สา อหนํ ามบญตตฺ พิ รมเทพาส
สภ.ิ .. ขา้ ขอห้มื ผี ญา๋ ...
คำ� วา่ รองแขวง ทำ� ใหน้ กึ ถงึ สมัยรัชกาลท่ี ๕ นัน้ ไดม้ ีการเปล่ยี นแปลงการปกครองมา
เปน็ แบบมณฑลเทศาภบิ าล ท�ำใหเ้ มอื งสองอยู่ในฐานะเปน็ แขวงหน่ึงของเมืองแพร่ เรียกว่า

6

แขวงยมเหนอื มีผปู้ กครองสูงสดุ เรียกวา่ นายแขวง และรองผ้ปู กครองสูงสดุ คงเรยี กว่า รองแขวง
แตค่ รบู าเจา้ หลวงขัตตยิ วงศา ท่านเปน็ พระสงฆ์ จะไปยงุ่ เกย่ี วอะไรกบั การปกครองบ้านเมอื ง จึง
กลายเป็นโจทย์ท่ีทำ� ใหผ้ ู้เขียนตอ้ งศึกษาคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ
พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงเปลยี่ นแปลงรูปแบบการปกครองส่วนภูมิภาค โดย

จัดให้มีการปกครองแบบ เทศาภิบาล แบ่งเขตการปกครองออกเป็น มณฑล จังหวัด อ�ำเภอ ต�ำบล และหมบู่ ้าน มณฑล
เทศาภบิ าลมขี า้ หลวงเทศาภบิ าลเปน็ ผสู้ �ำเรจ็ ราชการมณฑล เมอื งแพรข่ นึ้ กบั มณฑลลาวเฉยี ง ตอ่ มาไดเ้ ปลยี่ นชอ่ื เปน็ มณฑล
พายพั ที่วา่ การมณฑลอยู่ที่เมอื งเชยี งใหม่
พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั โปรดใหจ้ ัดการปกครอง หวั เมอื งฝ่ายเหนอื แบบมณฑล
เทศาภบิ าล เมอื งสองจึงถกู ลดฐานะลงเปน็ อ�ำเภอ เรยี กว่า อ�ำเภอยมเหนือ พระราชบญั ญตั กิ ารปกครองมณฑลพายัพ
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้แบ่ง เมืองแพร่ออกเป็นสองเขตการปกครองเรยี กวา่ แขวง คือ แขวงเมืองแพร่ และ แขวงยมเหนอื
โดยมขี ้าราชการคนไทยขนึ้ มาเป็นผ้ปู กครองเรยี กว่า นายแขวง แล้วน�ำบา้ นหลายๆบ้านรวมกันเรยี กว่า แคว่น หรอื แคว้น
ผู้ปกครองเรยี กว่า นายแคว่น หรือ นายแคว้น มีต�ำแหนง่ เปน็ พระยา ตามช่อื แควน้ เช่น พระยาปา่ แดงหลวง, พระยาถ่นิ
หลวง, พระยาไชยยามาตร์ เป็นต้น สว่ นบา้ นแตล่ ะบา้ นเรียกใหมว่ ่า หลกั ผ้ปู กครองเรยี กวา่ นายหลัก หรอื แกบ่ ้าน มี
ต�ำแหนง่ เปน็ ทา้ ว เหมอื นเดิม
ปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ทางราชการไดเ้ ปลีย่ นชือ่ จาก อ�ำเภอยมเหนอื เป็นอ�ำเภอเมืองสอง ตามความนยิ มของชาวบ้าน
ใกลไ้ กล
ปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ทางราชการได้เปล่ยี นชอ่ื จาก อ�ำเภอเมืองสอง เปน็ อ�ำเภอบ้านกลาง1 แตไ่ ม่มีใครเรยี กและไมเ่ ป็น
ที่ร้จู กั
ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ทางราชการจึงไดเ้ ปล่ยี นชอ่ื อ�ำเภอบ้านกลางโดยกลบั ไปใชช้ ื่อตามเมืองโบราณ คือ เมอื งสอง
และ เป็นอ�ำเภอสอง มาจนถึงปจั จบุ ัน 2

และต่อมาจากการศึกษาหน้าธรรมฉบับอื่นของท่านปรากฏข้อมูลท่ีบันทึกในธรรม
ใบลาน ทะเบยี น พร.วทส.๐๗๑๐๑๐๐ บันทึกไว้วา่ จ.ศ.๑๒๗๔ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๕๕/ มหา
เวสสนั ดรชาดก ฉบบั ไขเลม่ / จ�ำนวน ๑๐ ผกู ,ไมค่ รบ ขาดผูกท่ี ๖,๗,๑๑,๑๓, ๓๔๓ หน้า /วัด
เส้ียว /สาตุ๊เจ้าหลวงขตั ติย รองแขวงผูต้ รวจการทางศาสนาเมืองสอง หวั ดา่ นแพร่** , เจา้
อธิการ, ผ้เู ขยี น มหาวนั ภกิ ข,ุ หนานยาวิไช, ไชวุทธภิ ิกข,ุ แสนอินตะ๊ วไิ ช
จากธรรมฉบับน้ีระบุชัดเจนว่าต�ำแหน่งรองแขวงที่ปรากฏเป็นต�ำแหน่งรอง
แขวงผู้ตรวจการทางศาสนาเมอื งสอง**
“ ขุนนางน่าจะหมายถึงกลุ่มข้าราชการกลุ่มผู้ตรวจการทางศาสนาที่มาร่วมสร้างบุญกุศล
กบั เจ้าหลวงท่ีด�ำรงต�ำแหน่งเป็นรองแขวงผ้ตู รวจการทางศาสนาเมอื งสอง ช่วงเวลาเดยี วกันกับ
การสร้างตู้ธรรมถวายคอื จลุ ศกั ราช ๑๒๗๕ ซ่งึ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๖ นน่ั เอง

1 ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๓๔ หนา้ ๖๗ วันท่ี ๒๙ เมษายน ๒๔๖๐
2 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A
D%E0%B8%87

ครูบาลำ� (ลมฺมสรภกิ ขุ) 7

ครูบาลำ� , ตเุ๊ จา้ หลวงลำ� , ตุ๊เจา้ ลำ� , ลมฺมสร, ลมั มสอร,เป็นชอื่ พระภิกษรุ ูปหนึง่ ของวัด
จง้ั หมนั้ , วัดดอนชยั บา้ นเสีย้ ว, วัดเมืองสอง หวั ดา่ นแพ่ ปรากฏชื่อในคัมภรี ์ใบลานหลายช่อื คล้าย
กัน แต่หมายถึงพระภกิ ษุรปู เดียวกัน ตามหลักฐานพระคุณเจา้ มีตำ� แหนง่ เป็นเจ้าอาวาสและมกั
เรียกขานวา่ ครูบา หมายถงึ เป็นพระเถระมพี รรษามาก เปน็ ทีเ่ คารพนับถือของคณะสทั ธาท่ัวไป
ส่วนชื่อของวัด คือ ช่ือของวดั เทพสุนทรินทรใ์ นอดีต เมื่อประมาณ ๒๐๐ ปมี าแลว้ โดยอาจเรยี ก
ขานแต่ยงั ไมเ่ ป็นท่ยี อมรบั
จากธรรมใบลานทป่ี รากฏมีธรรมทจ่ี ารเอาไว้ในยุคน้นั จำ� นวนหลายฉบับ โดยมีพระคณุ
เจา้ จารดว้ ยตนเอง และ ร่วมกับศิษยานศุ ษิ ย์ รวมทัง้ สหธรรมกิ ไดแ้ ก่มิตรสหายบนเสน้ ทางธรรม
เชน่ ครบู าอตุ ตม เป็นต้น ตามทะเบยี นธรรมวัดเทพสนุ ทรนิ ทรม์ ธี รรมท่สี ร้างโดยมพี ระคณุ เจ้า
เป็นประธาน ดังน้ี
- (๐๐๒) จ.ศ. ๑๒๐๐ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๘๑ / โวหารพทุ ธนพิ พานสตู ํ / จำ� นวน ๑๒ ผูก

ขาดผกู ที่ ๕,๑๑,๑๓ , ๔๗๙ หนา้ / ตเุ๊ จ้าลำ� , ครูบาอตุ ตมะอรัญวาสี
- (๐๔๓) จ.ศ.๑๒๐๐ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๘๑ / โวหารอนิสงส์สพพฺ ทาน, จ�ำนวนทพี่ บ ๗ ผูก

ขาดผกู ที่ ๒ / วดั จัง้ หมน้ั / สาตุเ๊ จา้ ลมฺม, ครูบา้ เจ้าอุตตมะ ศิษย์โยมทกุ คน, ผจู้ าร
สทุ ธฺ ารสภิกขุ
- (๐๓๒) จ.ศ.๑๒๐๐ ตรงกับ พ.ศ.๒๓๘๑ / โวหารมชฌฺ ิมนิกาย , พบจำ� นวน ๘ ผกู ขาด
ผูกที่ ๒,๔,๕,๑๑,๑๒,๑๓,๑๔,๑๕ , ๒๕๙ หนา้ / ตหุ๊ ลวงเจ้าลำ� , ครบู าอุตตมะ สานถศิษย์
ทุกคน, ผจู้ าร ศษิ ย์โยม ธมฺมสลภิกขุ, สทุ ธภกิ ขุ
- (๐๔๙) จ.ศ.๑๒๐๐ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๘๑ / สีวิไชย, จำ� นวน ๑๕ ผูก / ตุ๊เจา้ ล�ำ, ครูบาเจา้
อุตฺตมะ, ต๊เุ จ้าหลวงอุตตฺ มะ, ผ้เู ขียน กัญจนภกิ ขุ, รสสฺ ภกิ ข,ุ มณวี นั รสภิกข,ุ นอ้ ยพรมเสน
- (๑๔๑) จ.ศ.๑๒๐๐ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๘๑ / พทุ ธนิพฺพานสตู , พทุ ธคณุ , โวหารพทุ ธ
นิพพฺ านสตู , โวการทหานิพฺพานสตู , จำ� นวนท่ี พบ ๔ ผกู ๕,๙,๑๑,๑๓ รวม ๑๑๖ หนา้
/ วัดเมืองสองแกว้ กว้าง ท่าทางหัวเมอื งแพ่ / ครบู าลำ� , ครูบาเจา้ อตุ ตฺ ม อรญั วาส,ี ครบู า
เจ้าอตุ ฺตมะและสานุศษิ ย์เจา้ ชตุ น๋ , ผจู้ าร หนานมหาวง
- (๐๐๖) จ.ศ. ๑๒๐๑ ตรงกับ พ.ศ.๒๓๘๒ / ฑฆี นิกาย / จำ� นวน ๑๔ ผกู , ๕๒๐ หนา้ / ตุ๊
เจ้าล�ำ, ครบู าอุตตมะ , ผจู้ าร ศษิ ยโ์ ยม, น้อยพรหมเสน
- (๐๐๘) จ.ศ.๑๒๐๒ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๘๓ / โวหารธรรมบาท / จำ� นวน ๑๕ ผูก, ๕๗๖
หนา้ / ครบู าล�ำ, ผจู้ าร อนนั ตสามเณร, คมฺภรี ภกิ ขุ
- (๐๑๓) จ.ศ.๑๒๐๒ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๘๓ / โวหารอภิธมมฺ า ๗ คัมภรี ์ / จำ� นวน ๗ ผกู ,
๓๕๐ หนา้ / ครบู าเจา้ ลมมฺ สร, ตุ๊เจา้ ลำ� พรอ้ มดว้ ยศษิ ยโ์ ยม, ผู้จาร ธมมฺ สรภิกขุ

8

(๐๗๐) จ.ศ.๑๒๐๒ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๘๓ / โวหารธรรมบาท, จ�ำนวนทพ่ี บ ๘ ผูก ๓๑๖
หน้า / ครบู าล�ำ,ผเู้ ขียนศิษย์โยม

(๑๐๕) จ.ศ.๑๒๐๓ ตรงกับ พ.ศ.๒๓๘๔ / ธมฺมบาท มัด ๒ , มดั ๓ จำ� นวน ๘ ผกู + ไม่
สมบรู ณ์ / สาตเุ๊ จา้ ลำ�

(๐๔๔) จ.ศ.๑๒๐๕ ตรงกบั พ.ศ. ๒๓๘๖ / โวหารจริยาปิฏก, จำ� นวนทพ่ี บ ๗ ผกู ขาด
ผกู ท่ี ๑,๒,๓,๔,๕,๖,๗,๘,๙,๑๐,๑๗(ตรวจสอบ) / เมอื งสอง เหนอื เมืองแพร่ / ครบู าเจา้
ลมฺมสอร, ครูบาเจ้าอตุ ฺตมะ, ผูจ้ าร น้อยพรหมเสน

(๐๗๓) จ.ศ.๑๒๐๕ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๘๖ / สารตฺถทีปณี, จำ� นวน ๔ ผกู , ๑๒๕ หน้า / วัด
เมืองสอง เหนือเมืองแพ่ , ครูบาตุ๊เจา้ ลมมฺ สอร, ครบู าเจ้าอตุ ตฺ มะ, ผู้จาร นอ้ ยพรมเสน

(๑๒๐) จ.ศ.๑๒๐๕ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๐๖ / โวหารจริยาปิฏก, จ�ำนวนที่พบ ๘ ผกู ขาด
ผกู ที่ ๕, ๑๐-๑๗ , ๓๔๑ หน้า /เมอื งสองหวั เมอื งแพ,่ ด่านเมืองแพก่ ำ�้ เหนอื /ตุ๊เจ้าลมฺมสร,
ผจู้ าร นอ้ ยพรมเสน

(๑๓๗) จ.ศ.๑๒๑๐ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๙๑ / ทุกกฺ นิบาต, จ�ำนวนทพ่ี บ ๓ ผูก, ขาดผกู ท่ี
๑,๓,๔,๖,๗,๘ จ�ำนวน ๑๑๒ หนา้ / วัดบา้ นคุม้ / ครบู าลมมฺ สร, ผู้จาร นอ้ ยพรมเสน

(๑๓๓) จ.ศ. ๑๒๑๒ ตรงกบั พ.ศ.๒๓๙๓ / เสฏฐที ัง ๕, จำ� นวนทีพ่ บ ๒ ผกู , ผูกที่ ๔, ๕
จ�ำนวน ๙๖ หน้า / ตเุ๊ จ้าลำ� , ตุ๊เจา้ พรมสร, ครูบาเจ้าอุตตฺ มะ, ผู้จาร ธมฺมสลภกิ ขุ, พรมเสน
ภิกขุ

(๐๒๒) จ.ศ.๑๒๓๓-๑๒๓๗ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๑๔-๑๔๑๘ / มงคฺ ลปญหฺ า จ�ำนวน ๖ ผูก
๒๕๓ หนา้ /วดั ดอนชัย บ้านเส้ยี ว / ครูบาลมมฺ สอร,สกิ โยมไม่ทันแล้วเสร็จ ตุ๊หลวงนันไชย
ทำ� ต่อ, ผูจ้ าร พฑุ ฒิมาภกิ ข,ุ ตุ๊พดุ

(๐๓๖) จ.ศ.๑๒๓๓ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๑๔ / คนธฺ น ,จำ� นวน ๗ ผูก ๒๑๓ หนา้ / ครูบาลำ� ,
ลมมฺ สอรภกิ ข,ุ ผเู้ ขยี น ตุ๊ป่เู ปี้ยบ้านหนุน ฮ่องรงั

ครูบาอุตตมะ ( คบรฺู า อุฯตฺตม ) 9

ครบู าอุตตมะเป็นพระภกิ ษรุ ูปหน่ึงท่มี าปฏบิ ตั ิอยู่ ณ วัดเส้ยี ว เมอื งสอง เม่อื ประมาณ
๒๐๐ ปมี าแล้ว โดยในขณะนัน้ มีครบู าลำ� เปน็ เจ้าอาวาส ไมม่ ีบันทกึ ใดที่กลา่ วถึงพระรูปนี้เอา
ไวอ้ ยา่ งชัดเจน แตป่ รากฏชื่อของทา่ นบนหน้าธรรมใบลาน (หน้าทบั ปลาย) มากมายหลายฉบบั
ที่ยงั คงเกบ็ รักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ณ วดั เทพสุนทรนิ ทร์ในปจั จุบัน

จากตวั อยา่ งหนา้ ธรรมทีแ่ สดงปรากฏขอ้ ความ " โวหาพนฺ ุทนธฺ ิพฺพาสน ูตฺตผ์ ูก��ถ้วร�� ๙ ฯแล
นยา เฟิย จุฬ��สกกฺราไช ด้ ๑๒๑๐๐ ตวฺ๊ ปลเฯี ปิเก สด เดร�ือ �� ๑๒ อฺอั ๕ ฅ่�ำ พฺรำว่ าได้วนั ๖ ยากม ฺอ�ง �ช้าย คํบริ

บุณแณฺ ก่ข้าแลฯ มูลฺลสทั าธฺ หมฺายมคี รฯบู าเจา้ อุตฺตมฯแลทุเจา้ ล�ำเปเน คลั้ฯาแล สิสานุสิสเจา้
ชุตน๊แลฯ อหํ นาฯมพรฯ฿เมฯ สณณฺ สาเม ณรแลฯ " อา่ นแลว้ ไดใ้ จความวา่ " โวหารพทุ ธนิพพานผกู ถ้วน ๙ แล
นายเฟย จุฬสกั กราชได้ ๑๒๐๐ ตัว ปลเี ปกิ เส็ด เดอื น ๑๒ ออก ๕ ค่ำ� พร่�ำว่าไดว้ ันศกุ ร์ ยาม
ก๋องชา้ ย กบ็ ริบูณณแก่ข้าแล มูลลสทั ธาหมายมี ครูบาเจา้ อตุ ตมะ และทุเจา้ ล�ำเปน๋ เกล้า และ
สิสสานสุ สิ ชตุ น๋ และอหนํ ามะ พรมฺเสณณฺ สามเณร แล

10

ครูบาอุตตมะคงจะเป็นพระภิกษุที่ใฝ่รู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง โดย
วิเคราะห์จากธรรมจ�ำนวนมากที่ท่านเป็นผู้จาร หรืออาจมีศิษยานุศิษย์จ�ำนวนมากและหลายที่
หลายแห่งช่วยกันจารเพ่ือสนองงานท่าน ซ่ึงโบราณใช้ค�ำว่า โชตกค้�ำชู ( เชาตกค�้ำชู ) ทั้งเพื่อ
ค้�ำชูครูบาอาจารย์และเพื่อค้�ำชูพระพุทธศาสนา จากภาพหน้าธรรมที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่าง
ปรากฏข้อความ " อุฯตตฺมภิกฺุขริขติ ฺตเชาตกกัฺบด้ยว�ครฯูบาเจา้ อุฯตตฺม ปฺลาเง มอื่ �อยู่ส��ฐิสฺสำราวนฺ ดเั ม�ง�อื �
สอฺง��วนนั นกั ีฺมแลฯ "“อ่านแล้วได้ใจความว่า " อุตตมภิกขุริขิตฺตโชตกกับด้วยครูบาเจ้าอุตตมะ ปลา
งเมื่ออยู่สถิตส�ำราญวัดเมืองสองวันน้ันกะมีแล " “
ธรรมเหลา่ นั้นสว่ นใหญม่ กั เป็นธรรมในหมวด พระวนิ ยั และหมวดพระอภธิ รรม เรยี กวา่
ท่านสนใจศกึ ษาเพือ่ แสวงหาแนวปฏิบัตติ ามพุทธบญั ญัตอิ ยา่ งแท้จรงิ เพื่อเสริมจรยิ าวัตรท่ีพระ
ภกิ ษุพงึ ปฏิบัติ มธี รรมบางฉบบั อยใู่ นหมวด พระสุตนั ตปฎิ ก มี สงิ คาลกสตู ร เป็นตน้ และมีธรรม
ชาดก เช่น มหาเวสสันดรชาดก เป็นตน้
ธรรมวตั รพน้ื เมอื งสว่ นใหญ่ทีช่ าวบ้านมีโอกาสสมั ผัสอยบู่ ้างมกั เปน็ ธรรมประเภท
บคุ คลาธษิ ฐาน คือมีตวั ละครเปน็ ตวั เดินเรอื่ ง ส่วนใหญ่มักจะเป็น พระโพธสิ ัตว์ หรือ หนอ่
พระพทุ ธเจา้ เปน็ ตน้ แต่จะมธี รรมทีม่ แี ตเ่ นื้อหาคือหลักธรรมเท่านั้น ไมม่ ตี ัวละคร จึงเรยี กธรรม
ประเภทน้ีวา่ ธรรมประเภท ธรรมาธษิ ฐาน
ตามหน้าธรรมต่างๆเม่อื นำ� มาร้อยเรยี งพบวา่ ครูบาอุตตมะ ไปอย่ปู ฏบิ ัตหิ ลายท่ีหลาย
แหง่ เชน่ เคยไปปฏบิ ัติเพือ่ ศึกษาพระสัทธรรมกบั ครูบากญั จนะ หรือครูบามหาเถร วัดสงู เม่น เคย
ไปศึกษาและไปสรา้ งธรรม ฏิกามาเลยยฺ วตถฺ ุ จากวดั ในอ�ำเภอลอง เปน็ ต้น ในอดีตไมม่ ีโรงเรยี น
ปรยิ ัติธรรม ไม่มีมหาวิทยาลยั สงฆ์ เชน่ ปจั จุบัน การศึกษาหลกั ธรรมในพระพุทธศาสนาต้องเป็น
ผใู้ ฝร่ ู้ ตอ้ งมคี วามตงั้ ใจอยา่ งแนว่ แน่ การเดินทางเพ่ือไปยงั ท่ีตา่ งๆ ก็หวังว่าจะได้มคี รูบาอาจารย์
ช่วยบอกกล่าวชี้แนะแนวทาง สว่ นการอยปู่ ฏบิ ตั ิ ณ วัดตา่ งๆนนั้ ก็เพราะในยคุ นัน้ การคมนาคม
ไมส่ ะดวก บนเส้นทางอันยากล�ำบากเหลา่ นน้ั ผู้เป็นศิษยต์ อ้ งยอมอดทน ไปอยปู่ ฏบิ ัตคิ รบู า
อาจารยใ์ นหลายๆวัดดงั กลา่ วขา้ งต้น
การไปอยู่ปฏิบัติตามวัดต่างๆเป็นเวลานานๆน้ัน นอกจากจะได้ไปขอรับค�ำชี้แนะจาก
ครูบาอาจารย์ให้ช่วยประสิทธ์ิประสาทวิชาให้แล้วก็ยังเป็นโอกาสดีท่ีจะได้คัดลอก ( ฮ่าย )
ธรรมท่ีเป็นประโยชน์จะได้น�ำกลับไปศึกษาเพิ่มเติมให้ลึกซึ้ง หรือมีความเชี่ยวชาญย่ิงๆข้ึน ดัง
นั้นจึงปรากฏมีธรรมที่สร้างโดย ครูบาอุตตมะท่ีไปสร้างมาจากวัดต่างๆมากมาย
การที่ครบู าอุตตมะเปน็ ผู้ใฝ่รู้ และมจี รยิ าวตั รงดงามเช่นนั้น ทา่ นคงจะมโี อกาสไดพ้ บปะ
คนที่เคารพนบั ถือทา่ นและปาวารณาเป็นลูกศิษย์ ( สิกโยม� ) เป็นจ�ำนวนมาก โดยเมอ่ื วิเคราะห์
จากหน้าธรรมที่มชี ่ือของทา่ นเป็นผู้สรา้ ง ( มคี รฯบู เา จา้ อุฯตตฺมเปเน ค้ า ) น้นั ปรากฏวา่ บางปีทา่ น
สรา้ งธรรมข้ึนมาจำ� นวนมาก ( หฺลายกปั ) หากไม่มีคนช่วยคงท�ำไมไ่ ด้อย่างแนน่ อน และเม่อื ไปดู
ชื่อผูจ้ าร กม็ กั ปรากฏเป็นลกู ศษิ ย์ ซ่งึ มักใชค้ ำ� วา่ สิกโยม� หรือบางครง้ั กร็ ะบชุ ่ือผู้เขยี นเช่นกนั

11

ในปี จ.ศ.๑๒๐๐ นนั้ มธี รรมทส่ี รา้ งขึน้ ดงั น้ี
๑. สิงคาลกสตู จ�ำนวน ๙ ผกู ๔๐๕ หนา้ / วดั เมืองสอง / ครูบาอตุ ตมะ มีศิษย์โยม หลายคน
๒. โวหารพุทธนพิ พานสูต จำ� นวน ๑๒ ผูก ๔๗๙ หน้า / ครูบาเจา้ อุตตมะ อรญั วาสี ตุเ๊ จา้ ล�ำ
๓. องคตุ ตรนิกาย จำ� นวน ๙ ผูก (ไม่ครบ / ขาดผูกท่ี ๒) ๒๖๗ หนา้ ครูบาอุตตมะ วัดดอนชยั

นำ้� ล้อม หัวด่านแพร่
๔. โวหารมัชฌมิ นกิ าย จ�ำนวน ๑๖ ผูก (ไม่ครบ / ขาดผกู ท่ี ๒,๓,๕,๑๑,๑๒,๑๓,๑๔,๑๕)

๒๕๙ หนา้ /ครบู าอุตตมะ,ต๊เุ จ้าล�ำ ผู้เขียน ศษิ ยโ์ ยม ธมมฺ สลภกิ ข,ุ สุทธภิกขุ
๕. โวหารอนิสงส์สพฺพทาน จำ� นวน ๘ ผูก (ไม่ครบ / ขาดผกู ที่ ๒) ๒๘๔ หนา้ / วดั จัง้ หมั้น /

ครบู าอตุ ตมะ ศษิ ย์โยมทุกคน สาต๊เุ จ้าลมั
๖. สวี ไิ ชย จำ� นวน ๑๕ ผูก (ไม่ครบ / ขาดผูกท่ี ๒,๓,๘,๑) ๕๓๘ หน้า /ครบู าเจา้ อุตตมะ,ตุ๊

หลวงเจา้ อตุ ตมะ,ต๊เุ จ้าล�ำ ผ้เู ขยี น กญั จนภกิ ขุ,รสสภกิ ข,ุ มณีวันรสภกิ ขุ,นอ้ ยพรมเสน
๗. จลุ วภิ ังคสตู จำ� นวน ๑๑ ผกู , ๔๑๑ หน้า /วัดเมอื งสอง วดั เหมอื งค่า /ครบู าเจา้ อุตตมะ

เมืองสอง ,ผู้เขยี น รสสภิกขุ
๘. โวหารพทุ ธคุณ จำ� นวน ๓ ผูก ๑๔๕ หนา้ / วัดกาซ้อง หวั เวียงไชย เมอื งแพ่ / ครูบาเจ้า

อุตตมะ ผเู้ ขียน มณีวนั รสสภกิ ข,ุ กิตตริ สสภกิ ขุ
๙. โวหารมชฌิมนกิ าย จำ� นวน ๓ ผกู ๑๐๒ หนา้ / วัดเมืองสอง / ครบู าเจ้าอุตตมะ เมอื ง๒ ผู้

เขียน ธมฺมสลภิกข,ุ สุทธนิ าภิกขุ
๑๐. พุทธนิพพานสูต พทุ ธคณุ โวหารมหานิพพานสูต โวหารมหานิพพานสตู พบ ๔ ผกู

ซงึ่ ระบุ ผกู ที่ ๕,๙,๑๑,๑๓ , ๑๑๖ หนา้ / วดั เมอื งสองแกว้ กวา้ ง ทา่ ทางหัวเมืองแพ่ /ครบู า
เจา้ อุตตมะ,ครบู าเจา้ อตุ ตมะอรญั วาสี , ตเุ๊ จา้ ล�ำ , สานุศษิ ยเ์ จ้าชตุ ๋น ผู้เขียนหนานมหาวง
ในปีจลุ ศกั ราช ๑๒๐๑ ปรากฏมีธรรมจ�ำนวน ๓ ฉบบั ดงั น้ี
๑. ฏิกามาเลยฺยวตถฺ ุ จำ� นวน ๑๒ ผูก ,๓๔๙ หนา้ / ไปสร้างมาแตเ่ มอื งรอง / ครบู าเจา้
อุตตมะ ผจู้ าร ศิษย์โยม
๒. โวหารปัญญาสชาด จ�ำนวน ๑๐ ผูก ๔๔๕ หน้า / ครบู าอตุ ตมะ ผูเ้ ขยี น ศษิ ยโ์ ยม
๓. ทีฆนกิ าย จ�ำนวน ๑๔ ผกู ๕๒๐ หนา้ /ครูบาอุตตมะ,ต๊เุ จ้าล�ำ ผ้เู ขยี น นอ้ ยพรมเสน, ศษิ ย์
โยม
ในปีจลุ ศกั ราช ๑๒๐๕ ปรากฏมธี รรมจ�ำนวน ๕ ฉบบั ดังน้ี
๑. สามัญผล จำ� นวน ๙ ผกู ๓๗๕ หน้า/ วัดจงั้ หว้นั บ้านเส้ียว เมืองสอง หัวด่านเหนอื เมอื งแพ่ /
ครูบาอตุ ตมะ ผู้เขียน ศษิ ย์โยม ,คัมภีรภิกข,ุ กาวชิ ัยสามเณร, น้อยพรมเสน ,ขัตตยิ ภิกขุ
๒. โวหารจริยาปิฏก จ�ำนวน ๑๗ ผูก (ไม่ครบ ขาดผูกท่ี ๑,๒,๓,๔,๕,๖,๗,๘,๙,๑๐ , ๒๘๒

12

หนา้ / วัดเมืองสอง เหนือเมอื งแพ่ /ครูบาเจา้ อุตตมะ, ครบู าเจา้ ลัมมสอร ผ้จู าร น้อย
พรมเสน
๓. สารตถทีปณี จำ� นวน ๔ ผูก ๑๒๕ หนา้ / วดั เมืองสอง เหนือเมอื งแพ่ / ครูบาเจา้ อุตตมะ,
ครบู า,ตุ๊เจ้าลมั มสอร ผู้จาร น้อยพรมเสน
๔. ธมมฺ บาล จ�ำนวน ๑๐ ผูก / วัดจงั้ หมน้ั บ้านเส้ยี ว เมอื งสอง / ครบู าเจ้าอุตตมะและศิษยโ์ ยม
ผจู้ าร คัมภรี ภกิ ขุ
๕. โวหารจรยิ าปิฏก จ�ำนวน ๑๗ ผูก (ไม่ครบ ขาดผกู ท่ี ๕,๑๐,๑๑,๑๒,๑๓,๑๔,๑๕,๑๖,๑๗) /
วดั เมืองสอง หัวเมอื งแพ่ ดา่ นเมืองแพ่กำ�้ เหนอื /ครบู าเจ้าอุตตมะ,ครูบาลัมมสร
ในปีจุลศักราช ๑๒๐๖ ปรากฏมธี รรมจำ� นวน ๒ ฉบบั ดงั น้ี
๑. โวหารมงั คลทีปณี จ�ำนวน ๑๔ ผูก ( ไม่ครบ ขาดผกู ที่ ๑๔) ๕๑๘ หนา้ / ครบู าเจ้า
อุตตมะ,ศิษยโ์ ยม ผจู้ าร ปญั ญารสสภิกขุ,ขัตตยิ ภิกขุ,กาวิไชย,ปญั ญาสามเณร
๒. อนาคตวง จ�ำนวน ๓ ผูก ๑๐๖ หน้า / วัดจ้งั หมน้ั บ้านเสย้ี ว เมอื งสอง / ครูบาเจ้าอุตตมะ ผู้
จาร คัมภรี สสภกิ ขุ
ในปีจุลศักราช ๑๒๐๗ ปรากฏมธี รรมจ�ำนวน ๒ ฉบบั ดงั นี้
๑. ยโสธราเถรภี กิ ขุ จ�ำนวน ๕ ผูก ๑๙๘ หน้า / วัดเชยี งหมน้ั เมืองสอง, วัดจ้ังหม้ัน /ครูบา
อตุ ตมะ ผ้จู าร ขัตติยภากขุ ,น้อยพรมเสนจารตอ่ จากตุ๊เจ้าปัญญา
๒. มหาเวสสนตรชาตก ฉบบั วงสา จำ� นวน ๑๓ ผูก ( ไม่ครบ พบเพยี ง ๕ ผูก ) ๑๕๘ หนา้ /
วดั จัง้ หม้ันบ้านเสีย้ ว เมืองสอง, บ้านน้�ำหลงไชยแกว้ กวา้ ง / ครูบาเจ้าอตุ ตมะ ผจู้ าร คัมภีร
ภิกขุ
ในปีจลุ ศักราช ๑๒๓๘ ปรากฏมธี รรมจ�ำนวน ๑ ฉบบั ดงั นี้
๑. เนมิราช จำ� นวน ๓ ผูก ๑๑๐ หนา้ / ครูบาอตุ ตมะ, อตุ ตมภิกขุ พรอ้ มด้วย พ่อแม่พ่นี ้องชผุ ู้ชุ
คน ผู้จาร ยาสมุดสามเณร
ธรรมฉบับนเ้ี ป็นฉบับหลังสดุ นับตงั้ แตป่ จี .ศ.๑๒๐๗ หา่ งกันถึง ๓๑ ปี จึงเปน็ เรื่องที่ยาก
ส�ำหรับการวเิ คราะหใ์ นส่วนน้ี ทา่ นอาจสร้างมาอยา่ งตอ่ เนื่อง แตธ่ รรมเหล่านัน้ อาจสญู หายไป
โดยไมไ่ ด้อยใู่ นกล่มุ ทเี่ ก็บรักษาเอาไว้ในตธู้ รรมก็ได้
แต่หากพจิ ารณานับต้ังแต่ธรรมฉบบั แรกทนี่ �ำเสนอในท่ีนี้จะพบว่าหา่ งกนั มากถึง ๔๔ ปี
นบั ไดว้ ่าทา่ นเปน็ ผูท้ ีต่ ้งั ใจศกึ ษาแลว้ มีวริ ยิ อตุ สาห สรา้ งธรรมเหล่านี้ให้เปน็ มรดกอันลำ้� คา่ ฝาก
ไว้ค้ำ� ชพู ระพทุ ธศาสนาอย่างแทจ้ รงิ
มีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับพระภิกษุรูปนี้ว่า อาจเป็นรูป

13

เดียวกันกับ พระอุตตมา อุตฺตโม อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยหม้ายหรือไม่ จึงได้ท�ำการสืบค้น
จากประวัติวัดห้วยหม้าย และพบว่า ปรากฏมีเจ้าอาวาสรูปนี้อยู่จริง ด�ำรงต�ำแหน่ง พ.ศ.
๒๔๕๕-๒๔๖๘ และยังด�ำรงต�ำแหน่งเป็นเจ้าคณะต�ำบลห้วยหม้ายอีกต�ำแหน่งหน่ึงด้วย แต่
เม่ือพิจารณาช่วงเวลาท่ีด�ำรงต�ำแหน่ง เทียบกับช่วงเวลาในการสร้างธรรมของครูบาอุตตม
( พ.ศ. ๒๓๘๑- ๒๔๑๙ ) เป็นช่วงเวลาที่ห่างไกลกันมาก
ชื่อครูบาอุตตมปรากฏในธรรมฉบบั แรกๆ พ.ศ.๒๓๘๑ กม็ ีการเรียกขานวา่ ครูบาอุตตม
แลว้ และมีลูกศิษยม์ ากมาย อยา่ งนอ้ ยท่านคงมีอายุมากกวา่ ๓๐ พรรษา สรา้ งธรรมจาก พ.ศ.
๒๓๘๑ - ๒๔๑๙ อีก ๔๔ พรรษา รวมแลว้ การสรา้ งธรรมที่ปรากฏฉบบั สดุ ทา้ ย พ.ศ.๒๔๑๙ ทา่ น
นา่ จะมอี ายรุ ่วม ๗๐ พรรษา และหากท่านไปด�ำรงตำ� แหนง่ เจ้าอาวาสวดั ห้วยหมา้ ยหลงั จาก
สรา้ งธรรมฉบบั สุดทา้ ย จะตอ้ งมีอายเุ พมิ่ อีก ๒๔๑๙ - ๒๔๕๕ อกี ๒๖ ปี จงึ จะได้ดำ� รงตำ� แหนง่
และด�ำรงตำ� แหน่งนาน ๑๓ พรรษา ท่านนา่ จะมีอายุมากกวา่ ๑๐๐ ปี อย่างแนน่ อน จงึ ไม่อาจ
เป็นไปไดต้ ามที่ผู้ทรงคณุ วุฒิดงั กลา่ วแสดงความคิดเหน็ เอาไว้
อย่างไรกต็ าม นามเรียกขานพระภิกษสุ งฆต์ ้งั แตอ่ ดีตถึงปจั จุบนั อาจซ�้ำกนั ซ่งึ เปน็ เรอ่ื ง
ปกติ ผเู้ ขยี นเพยี งแสดงความคดิ เหน็ ไปตามหลกั ฐานเอกสาร และยงั เปดิ กวา้ งสำ� หรบั ทกุ ทา่ นท่ี
ยงั มีหลักฐานอนื่ ใดทช่ี ี้ชดั ไดม้ ากกวา่ นี้
ธรรมใบลานท่ีสาตุเ๊ จ้าหลวงขัตตยิ สร้างไวต้ ามทะเบียนธรรมวดั เทพสุนทรนิ ทร์ มดี งั น้ี
๐๔๘) จ.ศ.๑๒๗๐ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๑/ โคนบตุ / จำ� นวน ๕ ผูก ,๑๖๗ หนา้ / วัดเสยี้ ว

เมอื งสอง /ตุ๊หลวงขตั ติย,ผจู้ าร พรมเทพภกิ ขุ
(๐๖๑) จ.ศ.๑๒๗๑ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๒ /สพุ รหมโมกขก์ มุ าร/ จ�ำนวน ๑๔ ผูก ๓๓๕

หนา้ /วดั เส้ยี วเมืองสอง, วดั ดอนชยั จง้ั หมน้ั / ต๊หุ ลวงขัตติยวงสา, ผจู้ าร แสนพันธ์วิไชย,
พิมสารภกิ ขุ , พรมเทพภกิ ข,ุ อภวิ งภกิ ขุ
(๐๕๐) จ.ศ.๑๒๗๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๓ / ปถมมาลัย,ทตุ ิยมาลัย / จำ� นวน ๒ ผูก / ตุ๊
เจ้าขตั ติย ผจู้ าร บญั ญัตภิ ิกขุ
(๑๐๐) จ.ศ.๑๒๗๒ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๓ / มหาเวสสันดรชาดก ฉบบั อนิ ลงเหลา้ / พบ
จำ� นวน ๑๐ ผูก ขาดผูกท่ี ๒, ๓, ๘ จำ� นวน ๓๔๓ หนา้ / วดั เส้ียว ดอนไชแก้วกวา้ ง/ สาตุ๊
เจ้าหลวงขัตติย ,สาตเุ๊ จ้าขัตตยิ วงสา, ผ้จู าร อภิวง, รสสภิกข,ุ พมิ สานภิกข,ุ ป่หู นาน
ยาวไิ ช, พรมเทพรสสภกิ ขุ
(๑๐๑) จ.ศ.๑๒๗๔ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๕๕/ มหาเวสสนั ดรชาดก ฉบับไขเล่ม / จำ� นวน ๑๐
ผกู ,ไม่ครบ ขาดผูกท่ี ๖,๗,๑๑,๑๓, ๓๔๓ หนา้ /วัดเสีย้ ว /สาต๊เุ จ้าหลวงขตั ตยิ รองแขวง
ผู้ตรวจการทางศาสนาเมืองสอง หัวด่านแพร่** , เจ้าอธิการ, ผเู้ ขียน มหาวนั ภกิ ขุ, หนาน

14

ยาวไิ ช, ไชวทุ ธิภิกข,ุ แสนอินตะ๊ วไิ ช
** จากธรรมฉบับนรี้ ะบชุ ัดเจนวา่ ต�ำแหนง่ รองแขวงทปี่ รากฏ ณ ตูธ้ รรมน้นั เปน็ ต�ำแหนง่
รองแขวงผูต้ รวจการทางศาสนาเมืองสอง**
( ยงั ) จ.ศ. ๑๒๗๕ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๖ / ๕๐๐๐ ภวสั สา / จำ� นวน ๑ ผกู , ๔๑ หนา้ /
วัดเชียงหมัน้ ปงสสี นกุ /ครูบาเจ้าหลวงขตั ิย , ผ้จู าร ภมเทพ รสสภกิ ขุ
(๑๐๔) จ.ศ.๑๒๗๗ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๘/ มหาเวสสนั ดรชาดก ฉบับพรหมคีตตฺ / พบ
จ�ำนวน ๕ ผกู ขาดผกู ที่ ๑,๒,๔,๕,๖,๗,๙ ,๑๑,๑๒ (ตรวจสอบ) จำ� นวน ๒๑๓ หน้า / วดั
เสยี้ ว เมอื งสอง / สาตุเ๊ จา้ ขัตติย, ผจู้ าร อภิวงสภิกขุ ,พมฺมเทพภกิ ขุ
(๐๙๖) จ.ศ.๑๒๗๙ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๖๐/ มหาเวสสันดรชาดก ฉบับแสนตาห้อย /
พบจ�ำนวน ๑๑ ผูก ขาดผกู ที่ ๖,๑๑,๑๒,๑๓ , ๒๙๕ หนา้ / วดั เส้ยี ว, วัดดอนไชบา้ นเสีย้ ว/
ครบู าขตั ตยิ วง สา,ตุห๊ ลวงขัตตยิ วงสา , ผูเ้ ขยี น แสนอนิ บา้ นลอง, แสนอินต๊ะวไิ ช, นอ้ ย
อภิชยั บ้านเหล่า,หนานวง, หนานยาวไิ ช, สามเณรอนิ ตะ๊ วง, หนานอภวิ งบ้านริมปากสอง

ธรรมใบลานในยุคครบู าธนญั ชยั ครบู าเจ้านัญเชยฺย
(๐๐๙) จ.ศ.๑๑๔๐ ตรงกบั พ.ศ. ๒๓๒๑ / สุรยิ คราส,จนั ทคาตก , จำ� นวน ๖ ผูก
๒๕๙ หน้า / วดั ดอนไชย เมืองสอง / ครูบาเจ้านญั เชยยฺ , ผู้จาร หนานพิมสาร
**ตรวจ สอบ จ.ศ.***
(๐๑๑) จ.ศ.๑๒๕๖-๑๒๕๗ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๓๗-๒๔๓๘ /สุวณณฺ สังขราช , สุวณฺณ
หอยสงั ข์ จำ� นวน ๖ ผกู หน้า / ครบู าธนญั ชัย ผจู้ าร หนานยาวชิ ยั
(๐๑๙) จ.ศ.๑๒๒๗ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๐๘ /บฏิ กทงั ๓ กับ วณณฺ พราหม พบจ�ำนวน ๔
ผกู ขาดผกู ที่ ๓ ,๑๒๔ หนา้ / วดั เสีย้ ว / ตหุ๊ ลวงนนั เชยฺย สกิ โยม พ่อแมพ่ ีน่ อ้ ง พอ่ ออก-
แมอ่ อก สัทธาทุกคน ผ้จู าร สวุ ันภิกขุ
(๐๒๗) จ.ศ.๑๒๔๒ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๒๓ / อุทเทนชาตก , พบจำ� นวน ๕ ผูก ขาดผกู ท่ี
๑, ๑๘๓ หน้า /วัดเสย้ี ว, วดั ทง่ ล้อม / ครบู าเจา้ นัญเชยยฺ , ธนัญชัย , ศษิ ย์โยม ผจู้ าร
หนานไชลงั กา , หนานคนธฺ , ธนญเฺ ชยยฺ
(๐๒๘) จ.ศ.๑๒๔๖ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๒๗ / บฏิ กทงั ๓ , จำ� นวน ๔ ผกู ๑๙๑ หนา้ / วัด
เส้ียว / ครูบานญั ชยั , ปู่เหมยี ร ภริยาช่อื นางป้อ ลกู เตา้ ชคุ น
(๐๓๘) จ.ศ. ไมป่ รากฏ / สรุ ิยวงหงอามาต / จ�ำนวน ๗ ผกู ๒๙๐ หนา้ / วัดเสี้ยว ท่ง
ล้อม / ตุ๊หลวงนัญชัย , ผูจ้ าร อานนท์, เกสร , หนานอนิ ตา, หนานคันธ สามเณรสงบจาร
ซ่อมหน้าสดุ ท้าย
(๐๔๕) จ.ศ.๑๒๒๔ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๐๕ / สิญไชย /จำ� นวน ๑๗ ผกู , ๕๔๐ หน้า / วดั
บ้านเสี้ยว จง้ั หม้นั โทง่ ลอ้ ม / ตหุ๊ ลวงนัญไชย , ผจู้ าร บญั ญตั ิสามเณร , ธมมฺ สร ,

15

ตุ๊หลวงนัญไชย , อุปเสนภกิ ขุ
(๐๕๒) จ.ศ. ไม่ปรากฏ / นิสยั ๕๐ ชาติ , จำ� นวน ๑๐ ผกู , ๔๐๓ หน้า / วดั บา้ นเสย้ี ว
ท่งลอ้ ม , วัเส้ียวเมอื งสอง / ครบู าเจ้าธนญั ชยั , ผู้จาร ไกรสอรภกิ ขุ , หนานไชลังกา , แสน
สยุ ะ , หนานสาน , ปู่แสนอิน
(๐๕๔) จ.ศ.๑๒๓๐ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๑๑ / จ�ำปา ๔ ต้น , จ�ำนวน ๘ ผูก , ๓๖๑ หนา้ / วดั
เสย้ี ว , สัดเสยี้ วโท่งล้อม / ตพุ๊ ่ีหลวงวดั บา้ นเสย้ี ว , ธนัญชยั , ตุเ๊ จ้าหลวง ผ้จู าร พิมสาร ,
รสภกิ ขุ , ค�ำปวง , อินตาสามเณร
(๐๖๐) จ.ศ.๑๒๙๐ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๗๑ / ติสนิบาต, ตสิ นนฺ บิ าต / จ�ำนวน ๘ ผูก , ๒๐๓
หน้า / วัดเส้ียวโทง่ ลอ้ ม / ครบู าธนัญชยั , ผูจ้ าร ตหุ๊ มดุ , หนานไชลงั กา , หนานพมิ สาร
(๐๖๔) จ.ศ.๑๒๕๐ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๓๑ / อภิธมฺม, บิฏกจริยา , วินัย , สตุ นตฺ บิฏก
จำ� นวน ๔ ผูก ๘๗ หนา้ / วดั เสย้ี ว / ครบู านัญชัย, หนภายนอกมนี ายเขียว อิน่ แกว้ ภริยา
นางคำ� มลู และลูกเต้า , ผ้จู าร อุตตมาสามเณร , หนานไชลังกา
(๐๖๕) จ.ศ. ไมป่ รากฏ / วณณฺ พราม / จ�ำนวน ๕ ผูก ๑๓๐ หนา้ / วัดเส้ยี ว / ครูบาธนญั
ชัย , ผจู้ าร หนานคนธฺ บ้านลับแลง , ยาวชิ ยั
(๐๖๗) จ.ศ.๑๒๔๓ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๒๔ / สุรินฺทชมพู / จ�ำนวน ๕ ผกู , ๑๑๗ หน้า / วดั
เสี้ยว / ครูบาเจ้าธนัญชัย , ศิษย์โยมชุตน , ผ้จู าร ภกิ ขยุ าสมดุ
(๐๖๘) จ.ศ.๑๒๔๗ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๘ / กมุ๋ มานอ่อนน้อย / จ�ำนวน ๒ ผกู , ๔๘ หนา้
/ วัดเส้ยี ว ดอนชยั เมืองสอง รมิ โท่ง / ครูบาธนญั ชยั , ผูจ้ าร หนานอุตตมะ
(๐๗๔) จ.ศ.๑๒๒๖ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๐๗ / นนฺทติ าบ่าวหนอ้ ย / พบจ�ำนวน ๔ ผกู ขาด
ผกู ท่ี ๑ , ๒๒๔ หน้า / วดั บา้ นเส้ยี ว , วัดดอนชัย / ครบู าธนญั ชยั ผ้จู าร หนานยาวิชัย
(๐๗๕) จ.ศ.๑๒๓๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๑๙ / วิภงคฺ สูต / พบจำ� นวน ๔ ผูก ขาดผูกที่ ,
๑๓๒ หน้า / วัดเสยี้ ว / ครูบาธนญั ชยั ผจู้ าร ตุห๊ ลวงพุด วดั กลาง , แสนอนิ
(๐๘๐) จ.ศ. ๑๒๖๑ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๔๒ / บฏิ กทัง๓ / จ�ำนวน ๕ ผกู , ๑๖๔ หน้า / วัด
ดอนไช บ้านเส้ยี ว เมอื งสอง หวั ดา่ นแพร่ , วัดเสีย้ ว / ครูบานญั ชัย อารามธิบติ , ครบู า
ธนัญชัย , ผจู้ าร หนานพมิ สาน , หนานยาวิชัย , พิมสานภกิ ขุ ,ขตั ิยภิกขุ
***๒๔๔๙ครบู านัญเชยยฺ เร่มิ สรา้ ง ๒๔๗๙ครูบาขัตตยิ ตอ่
(๐๙๕) จ.ศ.๑๒๖๖ และ ๑๒๙๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๙ และ ๒๔๗๙ / มหาเวสสันดร
ชาดก ฉบับ แสนยอด / พบจ�ำนวน ๔ ผูก ขาดผกู ที่ ๑,๒,๔,๕,๖,๗,๘,๑๑,๑๒ จำ� นวน
๑๑๐ หนา้ / วัดเสี้ยว / ครูบานัญเชยยฺ /ครบู าขตั ิยเจา้ / สาตเุ๊ จา้ หลวงขัตติย , ผจู้ าร วไิ ช
ภิกขุ , หนานยาวิไช (อาจ๋าน)
(๐๙๗) จ.ศ.๑๒๖๔ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๕ / มหาเวสสนตรชาตก ฉบบั หิงแกว้ / พบ
จำ� นวน ๔ ผกู ขาดผูกท่ี ๑,๒,๔,๕,๖,๘,๑๐,๑๑,๑๒ จ�ำนวน ๑๖๑ หนา้ / วัดบ้านเสย้ี ว /

16

ครบู าเจา้ นนั ไช ผูจ้ าร อริยา
(๐๙๙) จ.ศ. ๑๒๒๒ และ ๑๒๓๐ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๐๓ และ ๒๔๑๑ / มหาเวสสนั ดร
ชาดกฉบบั พกู าม / (ธรรมช่อื เดยี วกันแต่ขนาดหน้าลานตา่ งกัน ) จำ� นวนที่พบ ๖ ผูก
๒๖๐ หน้า และ ๕ ผูก, ๑๘๗ หน้า / วดั กลาง , วดั เสย้ี ว / ธนัญเชยฺยภกิ ขุ ผู้จาร ตุห๊ ลวง
พุทธมิ าวัดกลาง เขียนค�้ำชคู รูบาเจา้ ธนัญชยั
(๑๐๓) จ.ศ.๑๒๕๕-๑๒๕๖ ตรงกบั พ.ศ. ๒๔๓๖-๒๔๓๗ / มหาเวสสนั ดรชาดกฉบบั
พระยอดส้อยเมืองเลน / พบจ�ำนวน ๗ ผูก ขาดผกู ที่ ๑,๒,๓,๕,๗,๘,๑๐,๑๒ , ๒๗๔
หน้า / วดั เสีย้ วโทง่ ล้อม / ครูบาเจ้าธนัญชยั , ผู้จาร หนานยาวิไช , ธมฺมลงกฺ าภกิ ฺขุ
(๑๐๗) จ.ศ.๑๒๓๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๑๙ / มหาเวสสนั ดรชาดกฉบบั ลว้ งคำ� เหล้น
บอมดาว / จ�ำนวนท่ีพบ ๒ ผกู ขาดผูกท่ี ๑-๖, ๘-๙ , ๑๑-๑๓ / วัดเสีย้ วดอนชยั / ครูบา
เจา้ ธนัญชัย , ผู้จาร แสนอนิ
(๑๑๐) จ.ศ.๑๒๖๓ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๔ / มหาเวสสนั ดรชาดกฉบับอโุ มงค�ำ / พบ
จ�ำนวน ๒ ผกู ขาดผกู ที่ ๑-๔ , ๖-๑๒ , ๘๖ หน้า / วดั ดอนไชบา้ นเสยี้ ว เมืองสอง หวั ดา่ น
เมืองโกไสแกว้ กวา้ ง / ครบู านญเฺ ชยฺย ,ผจู้ าร หนานพมิ สาน (อาจารย)์
(๑๒๓) จ.ศ.๑๒๓๐ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๑๑ / นนทฺ เสน /จำ� นวน ๖ ผกู , ๒๒๖ หนา้ / วัดบา้ น
เส้ียว เมอื งสอง หวั ด่านเมืองแพ่ , วดั เสยี้ วโท่งลอ้ ม / ตุ๊หลวงนนั ไช , ผจู้ าร อนิ ตะ๊ สามเณร
(๑๒๗) จ.ศ.๑๒๓๕ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๑๖ / ทนตฺ ธาตุ / จำ� นวน ๒ ผกู , ๖๙ หนา้ / วดั กลาง
/ ครูบาธนัญไชย ผูจ้ าร พุทธิมาภกิ ขุ วดั กลาง
(๑๓๔) จ.ศ.๑๒๓๙ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๒๐ / หงผาคำ� / จำ� นวน ๒ ผูก ,๗๙ หน้า /วัดบา้ น
เส้ยี ว สะดือเมอื ง รมิ โทง่ / ครบู านัญไช , ผ้จู าร ตหุ๊ มุด , หนานอนิ ท์
(๑๓๕) จ.ศ.๑๒๓๗ ตรงกบั พ.ศ.๒๔๑๘ / เมตเฺ ตยยฺ สูต / จำ� นวน ๒ ผูก , ๖๓ หนา้ / วดั
เสยี้ ว ทง่ ลอ้ ม / ครบู านันไช , ผจู้ าร สามเณรอตุ ตฺ ม
(๑๔๕) จ.ศ.๑๒๓๐ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๑๑ / บฏิ กจริยา, สทุ ฺทสม , ธมมฺ สทุ , ธมมฺ เหล้ม
หลวง อยา่ งละ ๑ ผกู / จำ� นวน ๔ ผกู , หน้า / วดั เชยี งหม้ัน บ้านเส้ยี ว โทง่ ล้อม /
ตหุ๊ ลวงนญั ไชย , ผ้จู าร หนานจนิ ดา , สามเณรยาวิชยั , หนานเสน
ธรรมโบราณของวดั เทพสนุ ทรินทร์ที่ไดส้ �ำรวจและลงทะเบียนแล้ว รวมทั้งบางสว่ นท่ียงั
ไมไ่ ด้ด�ำเนินการยงั มอี ีกจ�ำนวนหนง่ึ แต่ไมไ่ ดน้ �ำมาเสนอเอาไว้ เนือ่ งจากยังมคี วามไมเ่ รยี บร้อย
หลายประการเชน่
๑. ไม่ปรากฏช่อื ผู้สรา้ ง / ไม่ปรากฏชว่ งเวลาทีส่ ร้าง / ไมป่ รากฏวดั หรอื สถานทสี่ ร้าง
เป็นต้น
๒. ไม่มีความสมบูรณ์ /ไมค่ รบผกู / เสยี หาย จากสตั วแ์ ทะ / ฉกี ขาด กรอบ ผุ เป็นตน้

17

นอกจากน้นั ยงั พบวา่ ธรรมโบราณบางฉบับ มีช่อื ปรากฏชดั เจนวา่ เปน็ ของวดั อนื่ ซงึ่ อาจ
ตกคา้ งเนอ่ื งจาก
๑. ยมื มาเพือ่ การคัดลอก แลว้ ไมไ่ ดน้ ำ� กลับคนื ไปให้วดั เดิมท่ีเป็นเจ้าของ
๒. อยู่ปะปนกบั ธรรมอื่นๆซ่งึ มลี กั ษณะคลา้ ยกนั ด้วยวสั ดทุ ีห่ อ่ มัด เชอื ก ฯลฯ
๓. คดั ลอกยงั ไมเ่ สร็จ ทง้ิ เอาไวน้ านจนลมื
๔. ไม่ทราบสาเหตุ
ยังมีธรรมอีกกลุ่มหน่ึงท่ีมักสร้างถวายเป็นทาน โดยเชื่อว่าการสร้างธรรมเพื่อถวาย
นนั้ มีอานสิ งส์มาก จงึ มธี รรมสนั้ ๆ จบในผกู เดยี ว ที่เรยี กวา่ "ธรรมโตน" ท่ีมักสร้างถวายโดย
คณะสัทธา อุบาสก อบุ าสิกา ผู้ใจบญุ ว่าจา้ งให้ผรู้ อู้ ้นไดแ้ ก่ พอ่ น้อย พ่อหนาน ปูอ่ าจารยผ์ ูม้ ี
ประสบการณ์ในการจารใบลาน เป็นผเู้ ขียนจากธรรมตน้ ฉบับ เพ่ือให้ พอ่ ออกแมอ่ อกสัทธาซ่งึ
เปน็ ประธาน (เปน๋ เกา๊ ) พร้อมดว้ ยครอบครวั ลูกหลาน ญาติพ่นี อ้ ง ถวายเปน็ ทานตามประเพณี


Click to View FlipBook Version