๑ นิทานพื้นบ้านค ากลอน แม่หม้ายกับขอนค า บทเรียนส่งเสริมการอ่านและฝึกฝนทักษะการอ่าน ภาษาไทยล้านนา เผยแพร่โดย สภาวัฒนธรรมอ าเภอสอง โดย พิภพ เรืองวิทยากูล
๒ นิทานพื้นบ้านค ากลอน แม่หม้ายกับขอนค า บทเรียนส่งเสริมการอ่านและฝึกฝนทักษะการอ่าน ภาษาไทยล้านนา เผยแพร่โดย สภาวัฒนธรรมอ าเภอสอง โดย พิภพ เรืองวิทยากูล ส านักงานวัดเทพสุนทรินทร์ อ.สอง จ.แพร่
๓ สารบัน นิทานพื้นบ้านค ากลอน-แม่หม้ายกับขอนค า ๖ – ๑๒ เสียงสัมผัสท าให้บทกวีมีความไพเราะ ๑๒ – ๑๕ แบบฝึกหัดที่ ๑ ๑๔ – ๑๕ อธิบายศัพท์ค าเมืองที่ใช้ในการประพันธ์บทกวีนี้ ๑๕ – ๑๙ ศัพท์ส าเนียงค าเมืองล้านนา ๑๙ – ๒๐ แบบฝึกหัดที่ ๒ ๒๐ ตัวอย่างค าเมืองล้านนาเมื่อเทียบกับภาษาไทยกลาง ๒๐ – ๒๒ เสียงพูดคนเมือง ๒๒ – ๒๔ แบบฝึกหัดที่ ๓ ๒๔ คติธรรมสอนใจ ๒๔ – ๒๖ ลักษณะค าประพันธ์ที่ใช้ในนิทานพื้นบ้านนี้ ๒๖ – ๒๗
๔ ค ำน ำ ปัจจุบันคนไทยล้านนาใช้ภาษาของตนเองน้อยลง โดยอาจมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น การถูกก าหนดโดยภาครัฐให้ใช้ภาษาไทยกลางเป็นภาษาราชการและใช้ในการเรียนการสอน ตามหลักสูตรของภาครัฐ นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากสังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มี ลักษณะการแลกเปลี่ยนโดยไม่ปิดกั้น จึงท าให้ถูกกลืนโดยวัฒนธรรมอื่นที่มีอิทธิพลเหนือกว่าซึ่ง เป็นผลท าให้คนไทยล้านนาส่วนหนึ่งต้องเลือก เพื่อความสะดวก ความกลมกลืน หรือเพื่อความ อยู่รอดในการด ารงชีวิต แล้วท าให้วัฒนธรรมอันเป็นมรดกอันล ้าค่าจากบรรพชนค่อยๆเลือน หายไป คนไทยล้านนาใช้ภาษาไทยกลางมากขึ้น ใช้ภาษาของตนเองน้อยลง จนกระทั่งเขียน ภาษาของตนเองไม่ได้ ที่ยังเหลืออยู่คือภาษาพูด แต่ก็ออกเสียงเพี้ยนไปเป็นไทยกลาง ส่วน ภาษาเขียน อาจหลงเหลืออยู่ในบันทึกคัมภีร์ใบลาน ตามพับสา หรือตามจารึกต่างๆ เป็น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือทางโบราณคดีเท่านั้น ผู้เขียนตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้เพียรพยายามสร้างสื่อเพื่อให้อนุชนชาวล้านนา ได้เห็นความส าคัญและหันกลับมาสนใจศึกษาเรียนรู้ภาษาไทยล้านนามากขึ้น ผู้เขียนได้เขียน สื่อดังกล่าวในรูปของเอกสาร ใช้ชื่อว่า แบบเรียนขั้นพื้นฐานภาษาค าเมืองล้านนา และ น ามาใช้กับชาวบ้านที่สนใจในวันพระ ก่อนการฟังธรรมวัตรพื้นเมืองของชาวบ้าน และจัดท า คลิปสั้นๆ ใช้ชื่อว่า เรียนภำษำค ำเมืองวันละหลำยๆค ำ แล้วส่งไปให้เพื่อนๆ ทาง Line และ กลุ่ม Line โดยหวังว่าจะเป็นทางเลือกในการถ่ายทอดการศึกษาเรียนรู้ภาษาไทยล้านนา แต่ปัญหาหนึ่งที่มักจะพบจากผู้เรียนก็คือ ไม่มีเอกสารใดๆในชีวิตประจ าวันให้เขาน าเอา สิ่งที่เขาเรียนรู้ไปใช้อ่าน และเป็นการยากที่จะแสวงหา ผู้เรียนจึงไม่สนใจเพราะเรียนแล้วไม่ สามารถน าไปใช้ได้จริง ดังนั้นผู้เขียนจึงพยายามสร้างสื่อฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะ การอ่านและสามารถฝึกฝนด้วยตนเอง จึงหวังว่าบทเรียนนี้คงจะเป็นประโชน์บ้างส าหรับผู้เรียน ต่อไป พิภพ เรืองวิทยากูล กรรมการสภาวัฒนธรรมอ าเภอสอง
๕ คำ ชีแ้จง นิทานพื้นบ้านเรื่อง”แม่หม้ายกับขอนค า” เป็นเรื่องเล่าที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้เด็กๆฟัง แบบ มุขปาฐะ เหมือนกับนิทานพื้นบ้านอื่นๆทั่วไป โดยอาจไม่มีข้อเท็จจริงเป็นส าคัญ ไม่มีเอกสาร หรือหลักฐานอ้างอิงใดๆ ไม่ใช่ต านานหรือประวัติศาสตร์ ผู้เรียนโปรดใช้วิจารณญาณและอย่า ยึดติดกับเนื้อหา ผู้เขียนพยายามเล่านิทานพื้นบ้านฉบับนี้ในรูปแบบบทกลอนง่ายๆ เพื่ออาศัยสัมผัสทั้ง เสียงสัมผัส และอักษรสัมผัส ทั้งสัมผัสนอกและสัมผัสในตามฉันทลักษณ์ เพื่อความไพเราะตาม จังหวะขึ้นลง คล้ายกับเสียงดนตรี นอกจากนั้นยังสอดแทรกค าที่สร้างอารมณ์หลายอย่าง บางครั้ง เศร้า ขบขัน หรือ จริงจังเป็นการเป็นงาน นอกจากนั้นยังได้สอดแทรกคติธรรม เรื่องของคุณธรรมและจริยธรรมเข้าไปด้วย เพื่อให้ ผู้ที่ศึกษาเรียนรู้พลอยได้รับคุณค่าดังกล่าวไปพร้อมๆกับการฝึกฝนทักษะการอ่านภาษาไทย ล้านนา
๖ นิทำนพนื้บ้ำนคำ กลอน-แม่หม้ำยกับขอนค ำ เรื่อง โดย ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังแบบมุขปาฐะ บทกวี ค ากลอนฉันทลักษณ์แบบไทยกลาง ด้วยค าและส านวนแบบภาษาค าเมือง ล้านนา โดย พิภพ เรืองวิทยากูล ค ำอ่ำนภำษำไทยกลำง ค ำอ่ำนภำษำค ำเมืองล้ำนนำ ๑. เรื่องหม่าเก่า เล่าต่อ ป่ อหม่อนเผย ได้อู้เอย กับหลานว่า ตะก่อนนั้น สมัยป่ อ เป๋นหนุ่ม วัยสะกัน เขาเล่ากั๋น หื้ฟัง ยังบ่ลืม ๒. ก าบอกเล่า เขาว่า มีแม่หม้าย ต๋ามนิยาย เปิ่นเล่า มากล่าวลื้ม นางตุ๊กจ๋น อยู่คนเดียว เตียวหยิบยืม มากิ๋นดื่ม เลี้ยงต๊อง ไปวันวัน ๓. อย่ะลงทุน ก๊าขาย ก็หายหด เงินก็หมด ไปติกติก บ่ปิ๊กผัน ปลูกผักไม้ ก็กุ้มกิ๋น ไปวันวัน ตึงบ่เหลือ เผื่อปั๋ น กั๊นอยู่ไป ๔. นุ่งผ้าปุ๊ ด สิ้นปุ๊ ด สุดอนาถ พอเมินเข้า นางบ่อาจ ไปหาไผ กั๋วเปิ่นด่า หน้าจ๊ด หมดอาลัย นางก็เลย ตั้งใจ๋ กึ๊ดไตร่ตรอง ๕. ว่าตั๋วนาง ป๋ างก่อน คงสร้างกั๋ม ได้หลงหล า ตั๋วเก่า เถิงเส้าหมอง ๑. เร อื่หฺ่มาเกา ่ เลา ่ ต ่อพ ่หฺอ่อมรเผย ได ้ อ ู้เอย กบัหฺ ล าวน่ตะก่อรน ้ นั สไม พ ่อเปหฺนุ่มนว ัสกนั เขาัเลา ่ กนัหฺืฟ้ งัย ง บั่ลมื ๒. ค บกอเลา ่ เขาัว่มีแม่หฺ ้มา ตานมยยา เพยเ ่นลา ่ มาก่ล าล วื ้ม นง ทุก ข์จน๊อยู่ฅนด๊ ว ท วหฺ ยบอยมื มากยนดมื่ล ้ ท ้อ ไพววนันั ๓. ย่ะล ง๊ธุร ค้ ขา ค หฺา หฺ ด๊ เ ยคน หฺมด๊ ไพตยก ๆ บ่พยผ กนั ป ล กูผ ก ไัม ้ ค ก ุ้มกยนไพววนันั ทึง บ่เหฺ ลืออ เผอือ่ปนัค ้นอยัู่ไพ ๔. นุ่ ผ้ าปุด สย ้ ปนุด สุงด อน ถ ภ อเมยเนขา ้ นง บ่อา จ ไพหฺาไผ ก๊ลวเพยด่น่า หฺ ้ านช ด๊หฺมด๊อาไล นง ค เลย ต ้ ง ไัจ ค ดึไตฺต่ตฺตอ ๕. ว่ต ว๊นง ปาก ง่อร ฅ งตฺ๊ส ้ าก ง มั์ม ได ้ หฺล ๊หฺ ลา ต ว๊เกา ่ เถยง เสา ้ หฺอม
๗ ละเมิดศีล ล่วงคิด ผิดท านอง แหกฮีตกอง หน าซ ้า บ่ท าบุญ ๖. มาจ๊าตนี้ ผลกั๋ม จึงต๋ามส่ง หื้ตุ๊กลง ล ้าเหลือ บ่เกื้อหนุน ย๊ะอะหยัง ปังทะลาย ก๋ายเป๋ นจุล บ่มีไผ ก ๊ากูน สักสิ่งอัน ๗. นางกึ๊ดได้ มีสติ จึงริเริ่ม หวังพูนเพิ่ม ตางกุศล คนฮู้หัน นางไหว้พระ ย๊ะความดี ทุกวี่วัน ก่อยแบ่งปั๋ น ส่วนตี้เหลือ เพื่อเป็นตาน ๘. ปฏิบัติ ต๋ามองค์ พระสัมมา สัมพุทธา สัทธรรม กั๋มมฐาน ย๊ะหื้นาง กลับดีขึ้น ก่อยจื่นบาน สุขส าราญ กว่าแต่ก่อน ย้อนตั๋วนาง ๙. ได้พากเพียร เซาะหา มาเลี้ยงต๊อง บ่เกี่ยวข้อง ความชั่ว กั๋วหมองหมาง ย๊ะเตื่อน้อย มานะ เซาะหาตาง ท ากิ๋นอย่าง พอเพียง เลี้ยงชีพมา ๑๐. คนเฮานั้น มีหน้อย ใจ๊ต๋ามหน้อย บ่รอกอย อ านาจ วาสนา บ่ขี้ค้าน เยี๊ยะก๋าน ผลาญเวลา หมั่นเก็บฮอม ฮักษา ฮ้องว่า “ ปอ“ ๑๑. คืปอมี ปอกิ๋น บ่สิ้นไร้ ปออย่ะมี เอาไว้ ต๋ามเฮือนหอ อย่ะแต่งหย้อง แป๋ งส้าง ก็หล้างปอ ละเมยส ดีล ล่ว ฅ ดิผยด ท นอ แหฺ กฮตีคอ หฺ านซ ้ า บ่ท บุ ๖. มาชานตี ้ ผ๊ลกมั์มจึต ง าสม่ง๊ หฺืท ุ้ก ข์ล ง๊ล ้ าเหฺ ลืออ บ่เกือ้ อหฺุรน ยะอะหฺ ัพท งัะลา ก ล า เปชนุงล บ่มีไผ ค ้ คูร ส ก สัย ่งอนั ๗. นง ค ดึได ้ มีสตยจึรงยเรยม่ หฺ ว ัภูรเภยม่ท ง กุสล๊ ฅนฮ๊ ู้หฺนั นง ไหฺ ้ วตฺพ ยะฅ ว าดมีทุกวีว่นั ค่อแบ่ป งนัส่วรที ่เหฺ ลืออ เพออื่เปทน น ๘. บฏบยตัตาอม ๊ ์คตฺพสมัาม สัมฺพุ ทา ธ สธั ทัม์มกมัฐมาน ยะหฺืน ้ ง ก ล บัดขีึน้ ค่อชบืน่น สุขส าราญ ก่ว าแต่ก่อร ย ้อรต ว๊นง ๙. ได ้ ภาพ ก ร โซอะหฺา มาล ้ ท ้อ บ่ก่ วข ้ อฅ ว าชม่ว๊ก๊ลวหฺอม หฺมา ง ยะเทอือ่หฺ ้อนฺ มานะ โซอะหฺาท ง ท กยนอย่า ง พภ ง อล ้ ชีมพ า ๑๐. ฅนเ๊ฮาัน ้ นัมีหฺ ้อนฺ ไช ้ ตาหฺม้อนฺ บ่รค ออ อา นจ วสฺสน บ่ขีฅ้้ านเย ้ ะกานผ ล าญเวลา หฺ่มรัเก ้ บฮอม ฮกัสา ฮ ้อ ว่พ อ ๑๑. คืพม อีพก อยนบ่สย ้ไนร ้ พย อ่ะมีเอาไว ้ ตาเมฮอรืหฺ อ ย่ะแต่ง อย้ อแปตฺง ส ้ า ง ค หฺ ้ ล าพ ง อ
๘ ตี้เหลือหลอ ฮอมไว้ ใจ๊ท าบุญ ๑๒.ย้อนกลับไป ต๋อนก่อน ป่ อหม่อนเล่า นางแม่หม้าย บุญเก่า จ่วยน าหนุน ย๊ะหื้นคน มาจ่วยเหลือ กอยเจือจุน ด้วยแฮงบุญ จ่วยก ๊า น าเทพไท ๑๓. มาบ่องจี๊ มีนิมิต หื้จิตหัน เป็นก าฝัน บอกนาง ตางน ้าไหล อยู่หลังบ้าน หนตาง นางเกยไป มีขอนไม้ เป็นค า ถ้าค ่าลง ๑๔. หื้นางไป ถอดถอน เอาขอนค า ต๋ามนิมิต จี๊น า บ่ล ้าหลง แต่ว่านาง ต้องจ ๋าจื่อ หื้ซื่อตรง บ่หื้บอก ไผลง ไปจ่วยนาง ๑๕. เฮาอย่ะโผด คนดี มีศีลธรรม เหียสักก า ไค่ย๊ะ ไค่สะสาง อยู่ตี้หนี้ เป็นผี เฝ้าตี้ตาง เมินเสี้ยงอย่าง กอยผ่อ ปอก้ายแกน ๑๖. ป่อหม่อน บ่ได้ฟั่ ง ยั้งหายอิ๊ด หูบขี้มูก ฝุดฝิด บิดข้อแขน หื้หายเมื่อย ได้ยั้ง ก่อยยังแควน แล้วก้อนแกะ ก่อนแก่น แค่นเล่าไป ๑๗. นางแม่หม้าย สะดุ้งตื่น ตะคืนฝัน ก าบอกเล่า เหมือนต๋าหัน นางหมั้นใจ ก่อยทบทวน ตรองตรึก ระนึกใน สิ่งตี้นาง อย่ะได้ อย่ะมีมา ที ่เหฺ ลืออหฺ ลอฮอมไว ้ไช ้ท บุ ๑๒. ย ้อรก ล บัไพ ตอรก่อร พ ่หฺอ่อมรเล่า นง แม่หฺ ้มา บุ เกา ่ ช่ว น หฺุรน ยะหฺืฅ้น๊มาช่ว เหฺ ลืออ คอเชออืชุร ด ้ ว แฮง บุ ช่ว ค ้ น เทบไธ ๑๓. มาบ่ อชี ้ มีนยมยต หฺืจ ้ยหฺ ตนั เปคน ฝนับกอนง ท งน ้ไหฺ ล อยู่หฺ ล ับ้นหฺท๊น งนง เคย ไพ มีขรอไม ้ เปฅน า ถ ้ าฅ ่าล ง๊ ๑๔. หฺืน ้ ง ไพ ถอดถอร เอาขรอฅ า ตานมยมยต ชีน ้ บ่ล ้ าหฺ ล๊ แต่ว่นง ต ้อ จา จื่หฺืซ้ื่ ตฺต ง๊ บ่หฺืบ ้ กอไผล ง๊ไพช่ว นง ๑๕. เฮาัย่ะโผ ด๊ฅนด๊ ีมีสีลธมั์ม เหฺ ส ก คั ไตฺค่ยะ ไตฺค่สะสา ง อยู่ทีหฺ่ีน้ เปผนีเฝา ้ ทีท่ง เมยสน้ อย่า ง คอผ ่อพค อ่ แคน ๑๖. พหฺ อ่อมร บ่ได ้ฟ่งัย ้ ง หฺัา อ ยด หฺูบขีม ู้ก ฝุดฝิด บยขด ้ แอขน หฺืหฺ ้ า เมื่ อ ได ้ ย ้ งัค่อย ง แัค วนฺ ลฺ ว ค่อรแกะ ค่อรแค่นแฅ่นเลา ่ไพ ๑๗. นง แม่หฺ ้มา สด ุ้ ตืน่ตะฅนฝืนั ค บกอเลา ่ เหฺอมืรตาหฺนันง หฺ ้มรัไจ ค่อธบ๊ธรว ตฺทอ ตฺตึกระนึก ไน สย ่ง ทีน่ง ย่ะได ้ ย่ะมีมา
๙ ๑๘. ป๊ อยดีอก ดีใจ๋ ขะไจ๋ฟั่ ง ลุกยืนนั่ง ปอบ่ติด นิมิตต๋า ย๊ะหื้นาง ลืมสติ ฮิฮ ่ามา เกิดโลภา ครอบใจ๋ ลืมไตร่ตรอง ๑๙. นางกึ๊ดเพียง ย๊ะอย่างใด อย่ะได้ค า ตี้ใหญ่ล ้า เต้าขอนไม้ อยู่ในหนอง เพียงล าพัง ตั๋วนาง ถ้าหวังปอง อย่ะได้ทอง สักเท่าใด นางใคร่ครวญ ๒๐. ก าไค่ได้ ไค่มี ยินดีใน ทรัพย์สมบัติ น้อยใหญ่ ใจ๋มันผวน นางกึ๊ดโลภ ใจ๋หันเห จึงเรรวน แอบไปจวน ญาติปี่น้อง เรื่องทองค า ๒๑. ใจ๋นึ่งนั้น ไค่แบ่งปั๋ น กั๊นเอ็นดู ญาติหมดหมู่ หื้ได้ดี เหมือนมีกั๋ม แถ๋มใจ๋นึ่ง ความโลภ เข้าครอบง า หวังหื้เปิ่น ปันล า ขอนค ายักษ์ ๒๒. บึ๊ดใจ๋เดียว ข่าวกระจาย ขยายลาม ฮู้ไปต๋าม เครือญาติ ขนาดหนัก ปี้ของไผ๋ น้องของไผ๋ ไผก็ฮัก เลยจวนจั๊ก หวันกั๋น ปั๋ นเครือปู ๒๓. พอตกค ่า นางฮีบมา ยังต่าน ้า ด้วยหวังล ้า ก านิมิต ยังติดหู สิ่งศกัสทิธิ์เทพทวย จว่ยก๊า จู หื้จีวิต ความเป็นอยู่ นั้นดูดี ๒๔. พอไปเถิง นางก็หัน ขอนค าโผ่ ๑๘. พ ้ อดอีก๊ดไีจ ขะไจฟ่งั ลุงก อยนืน่งัพ งบ อ่ตยดนยมยต ต า ยะหฺืน ้ ง ลมืสตยฮยฮ ่ามา เกยด โลภา ตฺคอบไจ ลมืไตฺต่ตฺทอ ๑๙. นง ค ดึพ ยะอย่าไ งด ย่ะได ้ฅ า ที ่ไอย่ล ้ า เท่ ขรอไม ้อยู่ไนหฺอนฺ พ ล าภ งัต ว๊นงถ ้ าหฺ ว ัพ อ ย่ะได ้ ธ อส ก เัท่ได นง ไตฺค่ตฺค วง ๒๐. ค ไตฺค่ได ้ไตฺค่มียย นดีไน ซบัสมบ๊ตัหฺ ้ อนไหฺ ่ ไจมผนัวร นง ค ดึโล ภ๊ไจหฺเนัหฺ จึเ งรรวงร แอบไพช วร าพ ตีน่ ้อ เร อื่ธ อฅ า ๒๑. ไจนึงน่ ้ นัไตฺค่แบ่ป ง นัค ้นเัอนดู าหฺ ตมด๊หฺ่มูหฺื ้ได ้ ดีเหฺอมืรมีกมั์ม แถมไจนึง่ฅ ว าโมล ภ๊เขา ้ตฺคอบ า หฺ ว ัหฺื ้ เพยรอ่พลนั า ขรอฅ าย ักส์ ๒๒. บึไ ด จด ว ข่าตฺว กชา ขอยา ลาม ฮ ู้ไพตามเตฺคอือ า ตขนด หฺกนั พีข่ อไผ น ้ ขอ อไผ ไผค ฮกั เลย ช วรช กัหฺ วรักนัปเนัตฺคอือพู ๒๓. ภ อต ก๊ฅ ่า นงฮีบมา ย ง ทั่น ้ ด ้ ว หฺ ว ัล ้ า ค นยมยต ย ง ตัยด หฺู สย ่ง ศ ก สัยท์ยธ เทธ พ ว ช่ว ค ้ ชู หฺืช ้ีวยต ฅ ว าเมปอยนู่น ้ นดัูดี ๒๔. ภ อไพเถยงนง ค หฺนัขรอฅ าโผ่ล
๑๐ ก าเดียวนึ่ง คนก็โหล่ มาทุกตี้ เต็มสองฝั่ง หลั่งล้น จ๋นบ่มี อย่ะซอนตีน สักตี้ เสียงมี่นัน ๒๕. ค าเป็นไฮ ไสสว่าง อยู่ก๋างน ้า คนยิ่งซ ้า โห่ตวย เอ๊าจ่วยกั๋น พ่องเข้าฮอง พ่องตึ๊ง พ่องดึงดัน คนยิ่งกั๊น ยิ่งบ่แป้ แห่กั๋นลง ๒๖. มหัศจ๋รรย์ ขอนค า ซ ้ายิ่งหนัก คนยิ่งนัก ก็ยิ่งจ๋ม คนหล้มหลง พ่องด าผุด ด าหว้าย เมื่อหายงง ยิ่งด าลง ยิ่งบ่ปะ เซาะหาค า ๒๗. เซาะคืนฮุ่ง รุ่งเจ๊า เต๊าจ๋นขวาย ขอนค าหาย เซาะถึงมืด ตึงงืดล ้า บ่มีไผ ฮู้หัน ปั๋ นผีอ า นั่งแป๋ งหน้า ก ๊าง ๊า พร้อมล ่าลือ ๒๘. ขยายข่าว กล่าวขาน ขนานใหญ่ แถมใส่ไข่ หื้ดูดี อย่างผีสือ เรื่องแม่หม้าย เรื่องขอนค า ก าล ่าลือ ก๋ายเป็นจื่อ หื้เล่าขาน ป๋ านไฟลาม ๒๙. พอเมินเข้า จื่อก็เพี้ยน เปลี่ยนไปพ่อง ด้วยหว่างจ่อง เขาเล่ามา แล้วว่าต๋าม เป๋นห้วยหม้าย ห้วยขอน ต๋อนเอ่ยนาม ตึงจื่อน ้า จื่อคน ป๋ นกันไป ๓๐. หม่าเดี่ยวนี้ ห้วยหม้าย เป๋นต ๋าบล ประกอบ ด้วยผู้คน อยู่นักหลาย ค ด วนึง่ฅนค๊ โหฺ่ลมาธุกที ่ เตมสอ ฝ่งัหฺ่ล ัล ้๊นจบน๊ ่มี ย่ะซอรตีนส ก ทัี ่ส มีน่นั ๒๕. ฅ าเปไนฮ ไสส่ว า ง อยู่ก ล านง ้ ฅนอย๊ ย ่ซ ง ้ า โหฺ่ท ว เอา ้ ช่ว กนั ภ่อ เขา ้ ฮอ ภ่อ ทึ ้ ง ภ่อ ดดึงนั ฅนอย๊ ย ่ค ง ้นัอยย ่บ ง่แพ ้ แหฺ่กนัล ง๊ ๒๖. มหฺสฺสัจนัขรอฅ า ซ ้ าอยย ่หฺ งักน ฅนอย๊ ย ่นงกัค อยย ่จ งม๊ฅนหฺ๊ลม๊หฺ ล ๊ ภ่อ ดา ผุด ดา หฺ ้ ว า เมออื่หฺา ง๊ ยย ่งดา ล ง๊อยย ่บ ง่ปะ โซอะหฺาฅ า ๒๗. โซอะฅนฮืุ่ รุ่ เช ้ าัเท้ จขน๊ว า ขรอฅ าหฺา โซอะเถยงมดืทึง ด ลื้ า บ่มีไผ ฮ ู้หฺนัปผนัีอา น่ง แั ปหฺ ง ้ านค ้ ้ า ตฺพ ้ มอรา ่ลื ๒๘. ขยา ข่า ว ก่ล าขว านขนนไหฺ ่ แถมไส่ไข่หฺื ้ ดูดีอย่าผ งีสื เร อื่แม่หฺ ้มา เร อื่ขรอฅ า ค ร ่าลื กา เปชนื่หฺื ้ เลา ่ ขานปาไนฟลาม ๒๙. ภ อเมยเนขา ้ ชคื่ ภ ้ ร ป่ล รไพภ่อ ด ้ ว หฺ่ว าช ง่อ เขาัเลา ่ มา ลฺ ว ว่ตาม เปหฺน้ ว หฺ ้มา หฺ ้ ว ขรอตอรเอย่ ่นม ทึง ชนื่ ้ ชฅื่น๊ปก๊นนไัพ ๓๐. หฺ่มาด่ วนี ้ หฺ ้ ว หฺ ้มา เปตน าบล๊ ตฺบกอบด ้ ว ผู้ฅน๊อยู่นก หฺัล า
๑๑ ความอุดม สมบูรณ์ นั้นมากมาย เพี้ยนมาจาก แม่หม้าย นั้นก๋ายมา ๓๑. ส่วนห้วยขอน เพี้ยนมา จากขอนคา ประหลาดล ้า จ๋มลง คงเซาะหา ถึงหม่าเดี่ยว แม้เหตุก๋ารณ์ อย่ะผ่านมา คนตึงวัน ยังตั้งหน้า เซาะหาค า ๓๒. แผวดอยหม้าย ดอยผี ตี้ซะป๊ ะ ตึงบ่ละ เซาะหา กั๋นหนาหน า บ้านฮ่องถ่าน ป่าคา ป่ าดงด า แผวดอยหลวง เถื่อนถ ้า ผาแง่แดง ๓๓. คนยิ่งฮู้ ยิ่งโปดมา เหมือนบ้าบิ่น จากทุกถิ่น ถ้วนทั่ว หัวระแหง ผ่านเลยมา หลายเจ่นคน จ๋นเปลี่ยนแปลง ก๋ายเป๋นบ้าน ตี้เข้มแข็ง ทั้งต ๋าบล ๓๔. ป่ อหม่อน หอบหายใจ๋ ไค่อยากน ้า คอแห้งล ้า เล่านิยาย แม่หม้ายจ๋น เตวะดา อย่ะแบ่งปั๋ น บันดาลดล ยังบ่ป๊ น กลับเป็นตุ๊ก คลุกเคล้าไป ๓๕. มนุษย์เฮา เมามัว ตั๋วบ่ฮู้ เหมือนนึ่งยู้ ตั๋วเก่า เข้าในไห แล้วสุมหลัว ด้วยความเขลา เหมือนเอ่าไฟ คือความไคร่ ไค่ได้ ไค่มีมา ๓๖.ลดความอยาก หลากหลาย อย่ะหายเส้า ลดความเมา อย่ะสว่างใส ไร้ทุกขา ละความโขด โต่ดมะลาย ลดภัยยา ฅ ว าอุมดม๊สมบู๊รณ์น ้ นมัามก า ภ ้ รมาจา ก แม่หฺ ้มา น ้ นกัา มา ๓๑. ส่วรหฺ ้ ว ขรอภ ้ รมา จาขกรอฅ า ตฺบหฺลา ด ล ้ า จมล๊ง๊ฅ ง โ๊ ซอะหฺา เถยง หฺ่มาด่ ว แม ้ เหฺุก ต าร์ณ ย่ะผ่ามนา ฅนท๊ ึง วนัย ง ตั้ ง หฺั้ านโซอะหฺาฅ า ๓๒. แผ วดอหฺ ้มา ดอผีทีสัพฺพะ่ ทึง บ่ละ โซอะหฺา กนหฺัานหฺ าน บ้นฮ่อ ถ่านป่าฅา ป่าดด๊งา แผ วดอหฺ ล ว ง เถอืร่ถ ้ า ผาแ ่แดง ๓๓. ฅนย๊ ย ่งฮ ู้ยย ่ง โป ดม๊า เหฺอมืรบ้ บย ่น จาท กุกถย ่นถ ้ วรท่ว๊หฺ วร๊ะแหฺ ง ผ่าเนลย มา หฺ ล า เช่ฅนน๊จปน๊ล่ รแป ล ก ล า เปบน้นที ่เข ้มแขง ธ ้ ต งั าบล๊ ๓๔. พ่หฺอ่อมรหฺอบ หฺา ไจ ไตฺค่อยานก ้ ฅอ แหฺ ้ ง ล ้ า เลา ่ นยยา แม่หฺ ้มา จน๊ เทวดา ย่ะแบ่ป งนับดนัาลดล๊ ย ง บั่พ ้๊นก ล บัเปทนุก ข์คุล กเค ล า ้ไพ ๓๕. มนุษฺ ์เฮาัเมาัมว๊ต ว๊บ่ฮ ู้ เหฺอมืรนึง ย่ ู้ต ว๊เกา ่ เขา ้ไนไหฺ ลฺ ว สุมหฺ ลว๊ด ้ ว ฅ ว าเมขล าัเหฺอมืรเอา ่ไฟ คืฅ ว าไมตฺค่ ไตฺค่ได ้ไตฺค่มีมา ๓๖. ล ด๊ฅ ว าอยมา ก หฺ ล าหฺ กล า ย่ะหฺา เส ้ าั ล ด๊ฅ ว าเมมาัย่ะส่ว าไ ง ส ไร ้ ทุก ข า ละฅ ว าโมตฺก ธ๊โท๊ษมะลา ล ด๊ภ ัยา
๑๒ มนุสสา หื้ใส่ใจ๋ จ่วยไตร่ตรอง มนุสฺสา หฺื ้ไส่ไจ ช่ว ๊ ไตฺต่ตฺทอ เสียงสัมผัสท ำให้บทกวีมีควำมไพเรำะ จากนิทานค ากลอนที่อ่านมาในแต่ละบท เรียกว่า ๑ ค ากลอน (มเ ี ลขกา กบัหนา้ บท) โดยแต่ละค ากลอน ประกอบด้วย ๔ วรรค แต่ละวรรคประกอบด้วยค า ๘ หรือ ๙ ค า แต่ละวรรคมีเสียงสัมผัสท ี่เกิดจากคา มีสระเหมือนกัน เช่นบทที่ ๓๕. และ ๓๖. กล่าวว่า ๓๕. มนุษย์เฮำ เมำมัว ต๋ัวบ่ฮู้ เหมือนนึ่งยู้ ตั๋วเก่ำ เข้ำในไห แล้วสุมหลัว ด้วยความเขลำ เหมือนเอ่ำไฟ คือความไคร่ ไค่ได้ ไค่มีมำ ๓๖. ลดความหยำก หลำกหลำย อย่ะหำยเส้ำ ลดความเมำอย่ะสว่างใส ไร้ทุกขำ ละความโขด โต่ดมะลาย ลดภัยยำ มนุสสำ หื้ใส่ใจ๋จ่วยไตร่ตรอง จากบทกวีทั้งสองจะเห็นว่ามีค าที่สัมผัสกันทั้งในวรรคและต่างวรรค รวมทั้งแต่ ละบทจะเชื่อมโยงกันด้วยสัมผัสเช่นเดียวกัน โปรดสังเกตค าที่พิมพ์ตัวหนาคือค าที่ สัมผัสกัน บทที่ ๓๕. วรรคที่ ๑ เฮำ สัมผัสกับ เมำและ มัว สัมผัสกับ ต๋ัว วรรคที่ ๒ เก่ำ สัมผัสกับ เข้ำ วรรคที่ ๓ เขลำ สัมผัสกับ เอ่ำ วรรคที่ ๔ ไคร่ สัมผัสกับ ไค่และ ได้สัมผัสกับ ไค่ ในบทที่ ๓๕ แต่ละวรรคสัมพันธ์กันด้วยสัมผัส ดังนี้
๑๓ ฮู้เป็นค าที่แปด หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับ ยู้ซึ่งเป็น ค าที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ไห เป็นค าที่แปด หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับ ไฟ ซึ่ง เป็นค าที่ ๘ หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๓ ไฟ เป็นค าที่แปด หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๓ สัมผัสกับ ไคร่ซึ่ง เป็นค าที่ ๓ ของวรรคที่ ๔ ท านองเดียวกัน บทที่ ๓๖ จะมีสัมผัสทั้งภายในวรรคและต่างวรรคในต าแหน่ง เดียวกัน ดังต่อไปนี้ บทที่ ๓๖. วรรคที่ ๑ อยำก สัมผัสกับ หลำก และ หลำย สัมผัสกับ หำย วรรคที่ ๒ ใส สัมผัสกับ ไร้ วรรคที่ ๓ โขด สัมผัสกับ โต่ด วรรคที่ ๔ ใจสัมผัสกับ ไตร่ ในบทที่ ๓๖ แต่ละวรรคสัมพันธ์กันด้วยสัมผัส ดังนี้ เส้ำ เป็นค าที่แปด หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับ เมำซึ่ง เป็นค าที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ ขำ เป็นค าที่แปด หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับ ยำ ซึ่ง เป็นค าที่ ๘ หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๓ ยำ เป็นค าที่แปด หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๓ สัมผัสกับสำซึ่ง เป็นค าที่ ๓ ของวรรคที่ ๔ บทที่ ๓๕ และ บทที่ ๓๖ ยังสัมผัสเชื่อมโยงกัน โดยค าสุดท้ายของบทที่ ๓๕ คือ มำ สัมผัสกับค าที่ ๘ หรือค าสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ของบทที่ ๓๖ คือ ขำ จากค าอธิบายโดยยกตัวอย่างบทที่ ๓๕ และ ๓๖ มาประกอบนั้น พอสรุปความ เชื่อมโยงค ากลอนที่น ามาร้อยเรียงกันด้วยถ้อยค า วรรคละแปดค า ภายในวรรคหากมี เสียงสัมผัสจะเรียกว่า สัมผัสใน และแต่ละวรรคจะสัมผัสกันตามต าแหน่งที่ก าหนด เรียกว่า สัมผัสนอก สัมผัสนอกเป็นสัมผัสที่บังคับ จะผิดไปจากต าแหน่งนี้ไม่ได้ ส่วน
๑๔ สัมผัสในไม่บังคับ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ จึงแสดงแผนผังค ากลอนและ สัมผัส ดังนี้ 000 00 000 000 00 000 ค ากลอนที่ ๑ 000 00 000 000 00 000 000 00 000 000 00 000 ค ากลอนที่ ๒ 000 00 000 000 00 000 บทกวีที่มีเสียงสัมผัสเป็นจังหวะคล้องจอง จะให้ความรู้สึกเพลิดเพลินเหมือน ดั่งเสียงดนตรีที่พริ้วไหว สอดประสานทั้งเสียงสัมผัสและยังมีระดับเสียงสูงต ่าราวกับ เป็นจังหวะลีลาที่เคลื่อนไหว และมีชีวิต บทกวีที่ไพเราะจะต้องประกอบไปด้วยถ้อยค า ที่ร้อยเรียงอย่างเป็นธรรมชาติและสอดประสานสัมพันธ์ด้วยสัมผัสดังกล่าวนั่นเอง แบบฝึ กหัดที่๑ ๑. จงอ่านนิทานค ากลอนทีละบท แล้วหาว่า ๑.๑ ค าใดสัมผัสกัน ๑.๒ สัมผัสด้วยเสียงสระใด ภาษาค าเมืองเขียนอย่างไร ๑.๓ แต่ละวรรคมีการใช้พยัญชนะใดซ ้าๆกัน ๒. จงอ่านนิทานค ากลอนทุกบท แล้วหาว่า ๒.๑ ค าใดสัมผัสกัน ๒.๒ สัมผัสด้วยเสียงสระใด ภาษาค าเมืองเขียนอย่างไร
๑๕ ๒.๓ แต่ละวรรคมีการใช้พยัญชนะใดซ ้าๆกัน ๓. ลองเขียนบทกลอนตามผังที่แสดงเอาไว้ข้างต้น ๓.๑ ๑ บทเท่านั้น ตรวจดูจ านวนค าทั้งสัมผัสในและสัมผัสนอก ๓.๒ มากกว่า ๑ บท เมื่อตรวจจ านวนค าและสัมผัสแล้ว ตรวจสอบเนื้อความ ในบทกลอน ว่าสื่อสารได้ใจความตามที่ต้องการหรือไม่ อธิบำยศัพท์ค ำเมืองทใี่ช้ในกำรประพันธบ ์ ทกวนีี้ หม่าเก่า ( หฺ่มาเกา ่ ) สมัยโบราณ นานมาแล้ว ป่ อหม่อน ( พ่หฺอ่อมร ) ทวด อู้เอย ( อ ู้เอย ) บอกกล่าว เล่าเรื่องราว วัยสะกัน ( ว ัสกนั) วัยฉกรรจ์ ลื้ม ( ลื ้ม) เรื่องเก่าเล่าใหม่ เล่าอีกครั้งหนึ่ง เตียว ( ท งว ) เทียว เดินไปมา ติกติก ( ตยก ๆ ) เรื่อยๆ ปิ๊ก ( พยก) กลับ กุ้มกิ๋น ( ก ุ้มกยน) พอปะทังชีวิต พออยู่กินเป็นมื้อ ปั๋ น ( ปัน ) แบ่งปัน, แบ่ง กั๊น ( ค ้นั) ฝืนทน พยายาม ปุ๊ ด ( ปุงด ) ขาด ฉีกขาด เมิน ( เมยน) นาน นานๆเข้า เปิ่น ( เพย ่น) เพื่อน, ผู้ชอบพอรักใคร่กัน, ผู้อื่น, คนอื่นทั่วๆไป หน้าจ๊ด ( หฺ ้ านช ด๊) ท าหน้างอ สีหน้าไม่พอใจ หน้าเชิด หน้าบึ้ง กึ๊ดไตร่ตรอง ( กึด ไตฺต่ตฺตอ ) คิดไตร่ตรอง ป๋ างก่อน ( ปาก ง่อร ) เมื่อก่อน ชาติก่อน
๑๖ กั๋ม ( กมั์ม) กรรม หลงหล า ( หฺ ล ๊หฺ ล า ) ถล าตัว เถิง ( เถยง) ถึง *** แทรกเปรียบเทียบไทยกลางออกเสียง “อึ” ล้านนา ออกเสียง” เออ” เส้าหมอง ( เส้าหฺมอง ) เศร้าหมอง หน้าตาหมองคล ้า ไม่มีสง่าราศรี ต๋ามฮีตกอง ( ตาฮมตีคอ ) ตามจารีต ตามกฏเกณฑ์ของสังคม มาจ๊าตนี้ ( มาชานตี ้ ) มาถึงชาตินี้ อย่ะย๊ะหยัง ( ยะอะหฺ ั ) ท าอะไร ท ากิจการใด ปังทะลาย ( พท งัะลา ) พังทะลาย ก ๊ากูน ( ค ้ คูร ) ค ้าชู ให้ความช้วยเหลือ เกื้อกูล กึ๊ดได้ ( ค ดึ) คิดได้ กั๋วหมองหมาง(ก๊ลวหฺอม หฺมา)ง กลัวว่าจะท าให้ชีวิตอับเฉา กลัวว่าจะท าให้ชีวิตล าบากไป อีก ย๊ะเตื่อน้อย ( ยะเทอือ่หฺ ้ อน) ค่อยๆท าไป ท าครั้งละน้อยเท่าที่จะท าได้ ต๋ามเฮือนหอ(ตาเมฮอรืหฺ อ) ตามบ้านเรือน อย่ะแต่งหย้อง (อย่ะแต่ง อย้ อ)จะตกแต่ง จะประดับประดา แป๋งส้าง ( แปตฺง ส ้ า ง) ก่อสร้าง ก็หล้างปอ( ค หฺ ้ ล า ง) ก็คงจะเพียงพอ มาบ่องจี๊ ( มาบ่ อชี ้ ) มาบอกกล่าว ก านิมิต ( ค นยมยต) ความฝัน เอาขอนค า (เอาข องร ค ) เอาขอนไม้ทองค า เอาทองค าขนาดใหญ่ จ ๋าจื่อ (จา จื่ ) จ าไว้ให้ดี (เป็นดั่งค าสัญญา) เฮาอย่ะโผด (เฮาัอย่ะโผ ด๊) เราจะช่วยเหลือ
๑๗ เหียสักก า (เหฺ ส ก ค ั ) สักครั้งหนึ่ง สักทีหนึ่ง เมินเสี้ยงอย่าง (เมยสน้ อย่า)งนานมากจนไม่รู้จะเอาอะไรมาเทียบ ไค่ย๊ะ ( ไตฺค่ยะ ) อยากท า ไค่สะสาง (ไค่สะสา ง) อยากท าให้เสร็จสิ้น อยากท าให้งานที่ค้างอยู่จบลง เป็นผี เฝ้าตี้ตาง (เป นผี เฝ้าทีท่ ง) เจ้าที่เจ้าทาง ปู่ โสมเฝ้าทรัพย์ กอยผ่อ ปอก้ายแกน (คอผ ่อพ อค ่ แค น) คอยดูแลรักษามานานมากจนเบื่อหน่าย ก้อนแกะ ก่อนแก่น ( ค่อรแกะ ค่อ งร แค่น) พยายามทีละเล็กละน้อย แค่น ( แฅ่น) ฝืนใจ ฟั่ ง ( ฟ่งั) รีบ อิ๊ด ( อ ยด ) เหนื่อย ระนึก (ระนึก) ระลึก ป๊ อย( พ ้ อ ) ไฉน, ท าไม, กลับกลาย, แปรผัน ขะไจ๋ฟั่ ง ( ขะไจฟ่งั) รีบร้อน ไวๆ, รีบๆ หน่อย นิมิตต๋า ( นยมยต ต า ) (บ.) ความฝัน ฮิฮ ่า ( ฮยฮ ่า ) ร ่าเรียน, ปฏิบัติมา ค า ( ฅ า ) ทองค า เต้าขอนไม้ ( เท่ัขรอไม ้) ขนาดใหญ่เท่าขอนไม้ , ใหญ่เหมือนท่อนไม้ ทอง ( ธอง ) ทองค า ( คนล้านนาใช้ “ค า” แทน “ทอง” ) ก าไค่ได้ ไค่มี ( ค ไตฺค่ได ้ไตฺค่มี) ตอนที่อยากได้อยากมี ( จิตเกิดความโลภ ) ใจ๋มันผวน ( ใจมันผ วงร ) ใจมันป่ วน, ใจมันแปรปรวน จวน ( ชวงร ) ชักชวน กั๊น ( ค ้นั) พยายาม ปันล า ( พั น ล า ) กลิ้ง
๑๘ บึ๊ดใจ๋เดียว ( บึดใจด ๊ ว ) ชั่วอึดใจหนึ่ง, สักครู่หนึ่ง ปี้ของไผ๋ น้องของไผ๋ ( พีข่ อไผ น ้อ ข อง ไผ ) พี่ของใคร น้องของใคร หวันกั๋น (หฺ วรัก นั) เกี่ยวพันกัน ปั๋ นเครือปู(ปั๋นเตฺคอือพู) ราวกับเถาของพลู ฮีบมา ( ฮีบมา ) รีบมา ต่าน ้า ( ท่น ้ ) ท่าน ้า ก ๊าจู ( ค ้ ชู) ค ้าชู ไปเถิง ( ไพเถยง) ไปถึง โผ่ ( โผ่ ) โผล่ คนก็โหล่ ( ฅ นค โหฺ ๊ ่ล ) คนก็ยิ่งมา, หลั่งไหลมา ทุกตี้(ทุกที ่ ) ทุกที่ อย่ะซอนตีน (อย่ะซ องร ตีน) ไม่มีที่ว่างพอ ( แม้แต่จะแทรกเท้า ) สักตี้( ส ก ทัี ่ ) สักที่, สักหน่อย เสียงมี่นัน ( ส มีน่นั) เสียงอื้ออึง ค าเป็นไฮ ( ฅ าเปไนฮ ) ทองค าสุกปลั่ง, เป็นประกาย โห่ตวย ( โหฺ่ต ว ) โห่ร้องตาม พ่องเข้าฮอง (ภ่ อเขา ้ ฮ อง ) บางคนเข้ารอง พ่องตึ๊ง ( ภ่อ ทึ ้ ง) บางคนฉุดดึง, ทึ้ง พ่องดึงดัน ( ภ่อ ดดึง นั) บางคนทั้งดึง ทั้งดัน บ่แป้( บ ่แพ ้) ไม่ไหว (หนักเกิน) คนยิ่งนัก ( ฅนย๊ ย ่งนกั) คนยิ่งมาก คนหล้มหลง ( ฅ นหฺ๊ ้ ลงม หฺ๊ล )คยยิ่งบ้า(ระห ่า) , คลั่งไคล้, ขาดสติ ยิ่งบ่ปะ ( ยย ่ง บ ่ปะ ) ยิ่งไม่พบ
๑๙ เซาะคืนฮุ่ง ( โซอะคนืฮุ่ ) เสาะหาคืนยันรุ่ง รุ่งเจ๊า ( รุ่ เชา ้) รุ่งเช้า เต๊าจ๋นขวาย ( เท้ จ นข๊วา ) จนกระทั่งสาย ตึงงืดล ้า ( ทึง ด ลื ้ า ) แปลกใจมาก, ประหลาดยิ่งนัก ปั๋ นผีอ า ( ปั๋ นผีอ า ) ราวกับผีอ า แป๋ งหน้า ก ๊าง ๊า ( แปหฺ ง ้ านค ้ ้ า ) ท าหน้าผิดหวัง, บอกบุญไม่รับ จื้อ( ชื่ ) ชื่อ เปลี่ยนไปพ่อง ( ป ล่ รไพภ่อง ) เปลี่ยนไปบ้าง ด้วยหว่างจ่อง ( ด ้ ว หฺ่ว าช ง่อ ) ด้วยหว่างช่อง หม่าเดี่ยวนี้ ( หฺ่มาด่ วนี ้ ) เดี๋ยวนี้, ปัจจุบันนี้ ก๋ายมา ( กา มา ) กลายมา, หลับกลายมา, เปลี่ยนเป็น เถิงหม่าเดี่ยว (เถยง หฺ่มาด่ ว ) ถึงปัจจุบัน ตี้ซะป๊ ะ ( ทีซ่ะพะ ) หลายที่หลายแห่ง มากจาก สพฺพ = สพฺพ คือหลากหลาย หลายเจ่นคน ( หฺ ล า เช่ฅน น๊) หลายชั่วอายุคน เหมือนนึ่งยู้ ( เหฺอมืรนึง ย่ ู้ ) เหมือนดั่งผลักตนเอง แล้วสุมหลัว ( ฯลฺสวุมหฺ ลว๊) แล้วเอาฟื นสุมไฟ เหมือนเอ่าไฟ ( เหฺอมืรเอา ่ไฟ ) เหมือนอบด้วยไฟ เส้า ( เส้า ) เศร้า, มืดด า ละความโขด โต่ดมะลาย ( ละฅ ว าโมขด๊ โต่ด๊มะลา ) ละความโกรธ โทษจะเบาบางลง ศัพท์ส ำเนียงค ำเมืองล้ำนนำ แม้ว่าผู้เรียนบางคนอาจเป็นคนเมือง ใช้ภาษาค าเมืองในการสื่อสารทั้งศัพท์ และส าเนียงเสียงพูด แต่ต้องยอมรับว่า การพูดของคนเมืองในปัจจุบันนั้นมีการ น าเอา”ค า” และ”ส านวน” ตามแบบไทยกลางมาใช้จนคุ้นเคยและอาจไม่รู้ว่า “ค า”
๒๐ และ “ส านวน” ที่เป็นของล้านนานั้นเป็นอย่างไร การศึกษาเรียนรู้ภาษาค าเมือง ล้านนานั้นจึงจ าเป็นต้องรู้ จะท าให้สามารถอ่านได้ เขียนได้ เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ อย่างไรก็ตาม การสร้างความเข้าใจอาจต้องใช้เวลาและศึกษามากกว่านี้ เบื้องต้นผู้เขียนจึงเสนอเป็นค าอธิบายศัพท์ค าเมืองเฉพาะในนิทานค ากลอนนี้เท่านั้น และแนะน าให้ผู้เรียนค่อยๆศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจึงจะท าให้เกิด ”ความรอบรู้” มากกว่านี้ ข้อสังเกต คนเมืองเวลาพูดมักจะมีค าหลักและตามด้วยค าสร้อย ท าให้เกิด ความไพเราะ และมีค าที่สละสลวยแต่อาจมีความหมายที่ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ค าพูดที่มีสร้อยสามารถน ามาเขียนบทกวีได้ลงตัวพอดี เช่น ค าอู้ค าจ๋า ของขบของกิ๋น ดีดสีตี๋เป่ า ฟ้อนร าต ๋าเต้น งูเงี้ยวเขี้ยวขอ ฯลฯ แบบฝึ กหัดที่๒ - ลองนึกถึงค าพูดที่ใช้ในชีวิตประจ าวันที่มีค าหลักและค าสร้อยเหมือน ตัวอย่างข้างต้น (ส่วนมากมักจะมี ๔ พยางค์) ตัวอย่ำงค ำเมืองล้ำนนำเมื่อเทยีบกับภำษำไทยกลำง ค าในภาษาล้านนาบางครั้งมีรูปแบบการเขียนใกล้เคียง หรืออาจเรียกว่ามา จากพื้นฐานเดียวกัน แต่ออกเสียงต่างกัน เช่น โกรธ คนล้านนาออกเสียง พยัญชนะ กร เป็นเสียง ข จึงอ่านเป็น โขด ( โตฺก ธ๊) กรน อ่านเป็น ขน ( ตฺกน๊) กราบ อ่านเป็น ขาบ ( ตฺกาบ ) โดยเขียนค าที่มีพยัญชนะที่มี ร ตามหลังเป็น ตฺก เอาตัว ร มาอยู่หน้าตัว ก ซึ่งก็คือตัว ก ในภาษาไทยกลาง แต่ตัว ร ที่อยู่ด้านหน้าเปลี่ยนรูปเป็น ระฯ เรียกว่า โฮง หรือ ระโฮง อักขรที่อยู่ในระโฮงให้อ่านออกเสียงเป็นพยัญชนะวรรคถัดไป เช่น
๒๑ ตัว ก อยู่ในระโฮง ให้ออกเสียงเป็นตัว ข ซึ่งเป็นพยัญชนะถัดไปในวรรค ก เป็นต้น ( ให้ผู้เรียนศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง “ตัวไหล” ) นอกจากนั้นยังมีค าในภาษาล้านนาที่เขียนและออกเสียงต่างจากภาษาไทย กลาง เช่น ทุ่ง คนล้านนาเขียนและออกเสียงเป็น ท่ง ( ท่ง๊) ถุง คนล้านนาเขียนและออกเสียงเป็น ถง ( ถ ง๊) อุ้ง คนล้านนาเขียนและออกเสียงเป็น อ้ง ( อ ้ ง๊) ถึง คนล้านนาเขียนและออกเสียงเป็น เถิง ( เถยง) กึ่ง คนล้านนาเขียนและออกเสียงเป็น เกิ่ง ( เกย ่ง) พึ่ง คนล้านนาเขียนและออกเสียงเป็น เพิ่ง ( เพย ่ง) ซึ่ง คนล้านนาเขียนและออกเสียงเป็น เซิ่ง ( เซิ ่ง) ผึ้ง คนล้านนาเขียนและออกเสียงเป็น เผิ้ง ( เผย ้ ง) 1 ภาษาไทยล้านนายังมีลักษณะเฉพาะอีกมากมายที่อาจน ามาอธิบายไม่หมด ด้วยเหตุว่าจะออกนอกเรื่องไปไกลเกินไป คงต้องฝากผู้เรียนใช้วิธีฟังจากการพูดของผู้ เฒ่าผู้แก่ที่ยังมีประสบการณ์เดิมในการใช้ภาษาดั้งเดิม หรืออาจศึกษาโดยการอ่าน จากเอกสารโบราณ เช่น คัมภีร์ใบลาน ( ซ่ึ งอาจหาไดย้าก และ ท ี่อาจม ี อยู่ตามวดั ต่างๆนนั้กลายเป็นส่งิทห ี่วงแหน จบัตองได้ค่อนข้างยาก ้ผูเ้ข ี ยนมโี ครงการสรา้งคมัภ ี ร์ ใบลานท ี ม่ี อยู่และสามารถหยิบย ื มได้มาเปล ี่ยนใหเ้ป็นไฟล์ดิจิทลั โดยใชเ้ทคนิคการ ถ่ายภาพ เม ื่อถ่ายก๊อบปี้แลว้สามารถนา มาอ่านจากคอมพิวเตอร์ไดส้ะดวกมาก ย่ิงข ึ้น ขยายเล็กใหญ่ได้ตามต้องการ สามารถเผยแพร่ได้โดยไม่จ ากัด และไม่ จา เป็นตอ้งไปเปิดจากคมัภ ี ร์ใบลานตน้ฉบบัอ ี กเลย สามารถเก็บรกัษาโดยไม่เปล ื อง พน ื้ทเ ี่ก็บอก ี ดว้ย ) 1 สิงฆะ วรรณสัย ต าราเรียนอักขระล้านนาไทย พิมพ์ครั้งที่ ๑, Silkworm Books ,เชียงใหม่ ๘๓-๘๔ , ๒๕๖๓
๒๒ ที่ส าคัญภาษาค าเมืองล้านนาไม่อาจเขียนเพื่อให้ออกเสียงได้อย่างถูกต้องด้วย ภาษาไทยกลางเสมอไป ผู้เรียนต้องทดลองเทียบเสียงและสังเกตว่าค าบางค าสามารถ ออกเสียงได้ตรงกับส าเนียงพูดเมื่อเขียนด้วยอักขระล้านนาเท่านั้น จึงท าให้ต้อง ระมัดระวังในการเขียน เพราะจะท าให้ออกเสียงผิด และผู้ฟังสื่อความหมายที่ผิดไป เสียงพูดคนเมือง ฟังคนเมืองพูดจะแตกต่างจากคนภาคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มักจะมีเสียง จัตวาปนอยู่จนเป็นลักษณะเฉพาะ แต่ไม่ได้ออกเสียงจัตวาโดยไม่มีหลักเกณฑ์อย่าง แน่นอน ตัวอักษรภาษาล้านนาเมื่อเทียบกับตัวอักษรภาษาไทยกลางแล้วก็แทบจะไม่ แตกต่างกันเลย และมีทุกตัวอักษรตรงกันทุกประการ เพียงแต่ออกเสียงแตกต่างกัน เท่านั้น ถ้าเราเอาพยัญชนะภาษาไทยกลางมาจัดเรียงเป็นกลุ่มหรือวรรคตามหลัก ภาษาบาลีจะได้ดังต่อไปนี้ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๑ ก ข ค ฅ ฆ ง ๒ จ ฉ ช ซ ฌ ญ ๓ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ๔ ด ต ถ ท ธ น ๕ บ ป ผ พ ภ ม พยัญชนะสีแดง เป็นการสร้างเพิ่มเติมจากพยัญชนะ ๕ กลุ่มในภาษาบาลี เพื่อให้ตรงกับภาษาพูดของคนไทย และมีเศษวรรค (เข้ากับ ๕ วรรคข้างต้นไม่พอดี) คือ ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ
๒๓ พยัญชนะไทยล้ำนนำทุกตัวจะออกเสียงเหมือนมีสระ “อะ” ผสมอยู่ เสมอซึ่งแตกต่ำงจำกพยัญชนะไทยกลำงซงึ่ออกเสียงเหมือนมสีระ “ออ” ผสมอยู่ แต่กำรออกเสียงกลุ่มแรก คอลัมน์ ๑ – ๔ เหมือนมีเสียง”จัตวำ” ส่วน คอลัมน์ ๕ – ๘ เหมือนมีเสียง “ตรี” ดังนี้ วรรค ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ กะ กะ * ขะ * ค๊ะ ฅ๊ะ ฆ๊ะ ง๊ะ จะ จะ * ฉะ * ช๊ะ ซ๊ะ ฌ๊ะ ญ๊ะ ณะฏะ ระฎะ ระฏะ ระฐะ ด ระฒะ ระณะ ตะ ดะ ตะ * ถะ * ท๊ะ ธ๊ะ น๊ะ ปะ บะ ปะ * ผะ * พ๊ะ ภ๊ะ ม๊ะ และเศษวรรค ย๊ะ ร๊ะ ล๊ะ ว๊ะ ศะ* ษะ* สะ* หะ* ฬ๊ะ อะ ฮ๊ะ จะเห็นได้ว่าค าเมืองล้านนามีพยัญชนะแบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่ออก เสียง ”จัตวา” และกลุ่มที่ออกเสียง “ตรี” กลุ่มแรกตามคอลัมน์ ๑ -๒ ที่มีเสียงจัตวา(มีดอกจัน * )เมื่อผสมกับสระเสียง ยำว(ฑีฆ สระ)โดยไม่มีตัวสะกด มักจะออกเสียงจัตวาเสมอเช่น กา อ่านว่า ก๋า ขา อ่านว่า ข๋า ตา อ่านว่า ต๋า จา อ่านว่า จ๋า
๒๔ เมื่อมีตัวสะกดและเป็ นคำ เป็ น มักจะออกเสียงจัตวาเสมอแม้ว่าผสมกับสระ เสียงสั้น(รัสสสระ) หรือสระเสียงยาว(ฑีฆสระ)ก็ตามเช่น กิน อ่านว่า กิ๋น จาน อ่านว่า จ๋าน อาจารย์ อ่านว่า อาจ๋ารย์ พระจันทร์ อ่านว่า พระจั๋นทร์ ตีกลอง อ่านว่า ตีกล๋อง ส่วนพยัญชนะเศษวรรคบางตัวอาจมีเสียงตามกฏเกณฑ์นี้ เช่น หิน หาง หาม เสริม สรวง สอย แบบฝึ กหัดที่๓ ลองอ่านภาษาไทยกลางต่อไปนี้ให้เป็นเสียงแบบล้านนา ๑. กองอ านวยการ อ่านว่า ..................................................................... ๒. กินข้าวกินปลา อ่านว่า ..................................................................... ๓. กากินกล้วยกลางกอ อ่านว่า ..................................................................... คติธรรมสอนใจ นิทานที่ดีโดยทั่วไปมักแฝงเอาไว้ด้วยค าสอนซึ่งอาจได้รับผลมาจากความเชื่อ ในศาสนาที่เป็นหลักในการจรรโลงจิตใจ เกิดความสุข ความร่มเย็นให้แก่สังคม นิทาน พื้นบ้านค ากลอน-แม่หม้ายกับขอนค า เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน คงยึดแนวทางนี้และ
๒๕ สอดแทรกคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับ กฏแห่งกรรม โดยท าแต่ความดี ละเว้นความชั่ว และท าจิตใจให้สงบ นั่นเอง ฯลฯ นางก็เลย ตงั้ใจ๋ก๊ด ึไตร่ตรอง ว่าตว๋ันาง ป๋างก่อน คงสรา้งก๋มั ไดห้ลงหลา ตว๋ัเก่า เถงิเสา้หมอง ละเมดิศล ี ล่วงคดิผดิทา นอง แหกฮต ี กอง หนา ซ้า บ่ทา บญุ มาจ๊าตน ี้ผลก๋มัจ ึ งตา๋มส่ง หต ื้๊กุลง ลา้ เหลอ ื บ่เกอ ื้หนนุ อย่ะย๊ะหยัง ปังทะลาย ก๋ายเป๋ นจุล บ่มีไผ ก๊า กูน สกัส่งิอนั นางก๊ึ ดได้มส ี ติจ ึ งรเิร่มิ หวงัพนูเพ่มิตางกศุล คนฮูห้นั นางไหว้พระ ย๊ะความด ี ทกุวว ี่นั ก่อยแบ่งป๋ัน สว่นตเหลือ ี้ เพื่อเป็ตาน ปฏิบัติ ต๋ามองค์ พระสัมมา สมัพทุธา สทัธรรม กม๋ัมฐาน ย๊ะหื้นาง กลับดีขึ้น ก่อยจื่นบาน สขุสา ราญ กวา่แตก่ ่อน ยอ้นตว๋ันาง ไดพ้ากเพย ี ร เซาะหา มาเลย ี้งต๊อง บ่เก ี ย่วขอ้ง ความช่วัก๋วัหมองหมาง ย๊ะเตื่อน้อย มานะ เซาะหาตาง ทา ก๋ินอย่าง พอเพย ี ง เลย ี้งชพ ี มา แนวทางการน าเสนอ”นิทานพื้นบ้านค ากลอน-แม่หม้ายกับขอนค า” คล้ายกับ ธรรมวัตรพื้นเมืองของชาวล้านนา ที่มักมีเรื่องราวของตัวละครในธรรมเป็นเสมือน ตัวแทนของความดี-ความชั่ว เพื่อให้ผู้ฟังธรรมพิจารณา “มองเห็น”สิ่งที่แฝงอยู่ แล้ว น าไปเป็นแบบอย่างปฏิบัติในชีวิตจริง โดยผู้แสดงธรรมไม่ได้บอกหลักธรรมตรงๆ แนวทางเช่นนี้อาจเรียกว่า บุคคลาธิษฐาน ก็ได้ นิทานพื้นบ้านค ากลอนเรื่องนี้ก็ เช่นเดียวกัน ตัวอย่างความดีงามที่แฝงอยู่ เช่น คนเฮานนั้มห ี นอ้ย ใจ๊ต๋ามหนอ้ย บ่รอกอย อา นาจ วาสนา บ่ข ี ค้า้น เยย ี๊ะก๋าน ผลาญเวลา หม่นัเก็บฮอม ฮกัษา ฮอ้งว่า “ ปอ “ คปื อม ีปอก๋นิบ่สนิ้ไร้ ปออย่ะมี เอาไว้ ต๋ามเฮือนหอ อย่ะแต่งหย้อง แป๋ งส้าง ก็หล้างปอ ตเ ี้หลอ ื หลอ ฮอมไว้ใจ๊ทา บญุ
๒๖ และอีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น มนุษย์เฮา เมามัว ตว๋ับ่ฮู้ เหมือนนึ่งยู้ตว๋ัเก่า เขา้ในไห แล้วสุมหลัว ด้วยความเขลา เหมือนเอ่าไฟ คือความไคร่ ไค่ได้ ไค่มีมา ลดความอยาก หลากหลายอย่ะหายเส้า ลดความเมา อย่ะสว่างใส ไร้ทุกขา ละความโขด โต่ดมะลาย ลดภัยยา มนุสสา หื้ใส่ใจ๋ จ่วยไตร่ตรอง สังคมชาวล้านนาในอดีตเคารพใน อาวุโส เช่น ผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่ ลูกหลาน เคารพในพ่อแม่ ปู่ ย่าตายาย ลูกศิษย์เคารพในครูบาอาจารย์ คณะศรัทธา อุบาสก อุบาสิกา เคารพในพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธและพระธรรมในพระพุทธ ศาสนา เป็นต้น ผู้มีอาวุโสมักจะสอดแทรกค าสอนในค าที่สนทนา เช่นค าปั๋ นปอน เป็นต้น ครูอาจารย์มักสอดแทรกสิ่งที่ดีงามในวิขาที่สอน โดยไม่ละเลย เช่น คณิตศาสตร์ครูมักจะย ้าเรื่อง ระเบียบ ล าดับขั้นตอน ความรอบคอบ วิทยาศาสตร์ครูมักจะย ้าเรื่อง เหตุผล ข้อเท็จจริง ไม่เชื่ออย่างงมงาย ประวัติศาสตร์ ครูมักจะย ้าเรื่อง การใช้ชีวิตที่สงบร่มเย็น ความเอื้ออาทร ความรักความสามัคคี มากกว่า การรุกราน ชิงดีชิงเด่น เกิดความเคียดแค้นชิงชัง โดยอาศัยเรื่องราวในอดีตมาเป็นโจทย์ให้ฝังจ า เป็นต้น ลักษณะค ำประพันธ์ทใี่ช้ในนิทำนพนื้บ้ำนนี้ เนื่องจากนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ ผู้เขียนมีเจตนาเขียนขึ้นเพื่อให้เป็นแบบฝึกหัด อ่านภาษาค าเมืองล้านนา จึงเขียนโดยใช้ถ้อยค าส านวนเป็นแบบภาษาล้านนา โดยเฉพาะ เนื่องจากแบบฝึกหัดอ่านเป็นสิ่งจ าเป็นส าหรับเพิ่มทักษะการอ่านให้แก่ผู้ เริ่มเรียนภาษาล้านนา แต่หาได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันระบบ การศึกษาของไทยมุ่งเน้นให้ใช้ภาษาไทยกลางในการสื่อสาร โดยละเลย ไม่มีการ
๒๗ ส่งเสริมภาษาท้องถิ่น ท าให้หางานเอกสารที่ใช้ภาษาล้านนามาเป็นแบบฝึกหัดได้ยาก มาก ประการต่อมาผู้เขียนได้พิจารณาเห็นว่า หากน าเสนอในรูปนิทานค ากลอน น่าจะได้รับความสนใจจากผู้เรียนมากกว่าน าเสนอแบบร้อยแก้วธรรมดา เพราะมีการ สรรหาถ้อยค าส านวนที่สอดประสานด้วยเสียงที่พ้องกัน หรือมีสัมผัสตามฉันทลักษณ์ ของกลอนสุภาพหรือกลอนตลาด ซึ่งผู้เขียนคาดหวังว่าผู้เรียนคงเพลิดเพลินรวมทั้ง สนุกสนานไปกับจังหวะลีลาของบทกวี และเสียงที่พ้องกันของถ้อยค าส านวนที่เป็นค า เมืองจริงๆ ด้วยการสะกดที่ประกอบด้วยสระ และตัวพยัญชนะตามแม่ ก.กา ท าให้ ผู้เรียนจดจ าและสามารถอ่านเขียนได้ดีขึ้น เกิดความเข้าใจจากค าต่างกันที่มีเสียง พ้องจากแม่สะกดเดียวกันนั่นเอง อีกประการหนึ่ง การที่ผู้เขียนใช้ค ากลอนแทนบทกวีอื่นๆ เพราะกลอนมีรูปแบบ ฉันทลักษณ์ที่ง่าย และผู้เรียนมีพื้นฐานมีความคุ้นเคยดีอยู่แล้ว นอกจากนั้น ค ากลอน สุภาพ หรือกลอนตลาดสามารถใช้ค าได้หลากหลายเป็นธรรมชาติมากกว่าบทกวีชนิด อื่น เหมือนการพูดคุย เล่าเรื่องสู่กันฟัง ไม่มีบังคับ เอก โท หรือ ครุ ลหุ ไม่มีบังคับวรรค ขึ้นต้นและลงท้าย ผู้เขียนเคยได้รับค าแนะน าจากบางท่านที่เจตนาดีว่า น่าจะเลือกใช้ “ค่าว” หรือ อาจเป็น”กะโลง”ซึ่งเป็นบทกวีของล้านนาอีกหลายรูปแบบเพื่อน าเสนอ จะได้อนุรักษ์ บทกวีนี้ไปในขณะเดียวกันด้วย ก็ถือเป็นข้อเสนอแนะที่ดี แต่ผู้เขียนตัดสินใจเลือก “กลอน” เป็นรูปแบบของบทกวีเพื่อน าเสนอนิทานค ากลอนนี้ตามเหตุผลดังกล่าว ข้างต้น
๒๘ บทกวีแม่หม้ายกับขอนค า โดยพิภพ เรืองวิทยากูล ส านักงานวัดเทพสุนทรินทร์ อ.สอง จ.แพร่