มหรสพ "รำสวด" บ้านตกพรม
คำนำ
ศิลปะการแสดงหรือมหรสพมีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์
และบริบทของสังคมนั้นๆ ช่วยขับเคลื่อนการดำเนินกิจกรรมต่างๆด้วย
สุนทรียศาสตร์ไปพร้อมกับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยปกติ
แต่ละพื้นที่ย่อมมีความแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลให้ศิลปะของแต่ละพื้นที่
มีความแตกต่างกัน จึงเป็นต้นทางในการสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวของ
แต่ละพื้นที่ตำบลตกพรม อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เป็นอีกหนึ่ง
พื้นที่ที่มีการดำเนินชีวิตและกิจกรรมทางสังคมที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว
รวมถึงศิลปะการแสดง “รำสวด” มหรสพที่เป็นที่นิยมในตำบลตก
พรมและพื้นที่ใกล้เคียง มีการดำเนินธุรกิจด้านการแสดงรำสวด จึง
เป็นศิลปะการแสดงที่เป็นอัตลักษณ์ของตำบลตกพรมที่ควรค่าแก่การ
ศึกษา
สารบัญ
1 ประวัติความเป็นมา
4 เนื้อเพลง
5 ท่ารำสวดบ้านตกพรม
9 ประเภทเครื่องดนตรี
1
ประวัติความเป็นมา
รําสวดนั้นเป็นการแสดง
หรือมหรสพประเภทหนึ่งที่ใช้ในงาน
อวมงคลหรืองานศพ แต่เดิมนั้นการรํา
สวดเป็นการสวดมนต์บทพระมาลัย
โดยใส่ทํานองเพลงไทยหรือเพลงที่ใช้
ในการบรรเลงปี่ พาทย์เพื่อเพิ่มความ
น่าสนใจ ต่อมาภายหลังมีการสวดและ
การร่ายรําเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเพิ่ม
ความบันเทิงให้แก่คนที่มาในงานศพ
ให้ไม่เกิดความเบื่อและสามารถฟั งบท
สวดมนต์พระมาลัยได้เป็นระยะเวลา
นานๆ กิจกรรมรําสวดเป็นกิจกรรมที่
คนในชุมชนได้มีส่วนรวมกัน เพราะ
หากมีงานศพของคนในหมู่บ้านหรือ
ชุมชนที่ใกล้เคียงกัน ทุกคนจะมาร่วม
กันอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนศพจนถึงเวลาเช้า
เพื่อให้เวลาการเฝ้าศพนั้นผ่านไป
อย่างไม่น่าเบื่อ คนที่มาเฝ้าศพจึงมี
กิจกรรมสวดมนต์ให้ผู้เสียชีวิตและต่อ
มาได้ วิวัฒนาการกลายมาเป็นการแส
ดงรําสวดในที่สุด
2
ขั้นตอนการดําเนินการแสดงแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 เรียกว่า ช่วงต้นหรือหัวม้วน ช่วงนี้จะเริ่มหลังจาก
พระสงฆ์สวดพระอภิธรรมศพเสร็จ เรียบร้อยแล้ว คณะรําสวด
จะเริ่มช่วงต้นหรือช่วงหัวม้วน คือ จะนําตู้พระธรรมมาตั้งไว้
กลางวงและเริ่มสวดมนต์บท พระมาลัย พระมาลัยคือพระสงฆ์
สาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระมาลัยชอบลงไปที่นรกเพื่อไป
โปรดสัตว์นรกให้หลุด พ้นจากความทุกข์ยาก พระมาลัยจึงได้เห็น
บรรยากาศของเมืองนรกว่าเป็นอย่างไร จึงได้นํามาเตือนมนุษย์
เรื่องของกฎ แห่งกรรม ทําบาปแล้วจะได้รับผลกรรมอย่างไร ใน
รูปแบบบทสวดมนต์ คณะรําสวดจะสวดมนต์บทพระมาลัยโดยใส่
ทําทองเพลงไทยให้มีความไพเราะมากขึ้น จากนั้นคณะรําสวดจะ
เริ่มรําไหว้ครูและรําเคารพศพผู้เสียชีวิต จากนั้นจะ เป็นการร้อง
รําเกริ่นเริ่มต้นแนะนําคณะรําสวดและพูดคุยกับผู้ชมในงานว่า
สนใจฟั งเพลงแบบใดเพื่อเป็นการสร้าง ปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมใน
งาน
ขั้นตอนที่ 2 เรียกว่า ช่วงกลางหรือกลางม้วน ช่วงนี้คณะรำสวด
จะร้องรำในเพลงที่ได้จัดเตรียมมาและร้องเพลงตามคำขอของ
คนในงานหรืออาจมีการชักชวนผู้ชมเข้ามารำสวดร่วมกับคณะรำ
สวด ช่วงกลางหรือกลางม้วนนี้ เป็นช่วงที่คณะรำสวดได้แสดง
ทักษะการแสดงได้อย่างเต็มที่ อาจมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่คณะ
รำสวดไม่ได้เตรียมตัวไว้ จึงเป็นการแสดงให้เห็นปฏิภานไหวพริบ
ในการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างทำการแสดง
ของคณะรำสวดนั้นได้เป็นอย่างดี ช่วงกลางหรือกลางม้วนคณะรำ
สวดจะใช้เวลาแสดงในช่วงนี้นานที่สุด ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาทำการ
แสดงถึงรุ่งเช้า
3
ขั้นตอนที่ 3 เรียกว่า ช่วงท้ายหรือปลายม้วน ช่วงนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการ
แสดงรำสวด คณะรำสวดจะนำตู้พระธรรมมาตั้งไว้กลางวงเหมือนในช่วงต้นหัว
ม้วน และสวดมนต์บทพระมาลัยอีกครั้งโดยให้ญาติของผู้เสียชีวิตเข้ามาร่วมวง
สวดมนต์บทพระมาลัยด้วย เป็นการอวยพรผู้เสียชีวิตให้เดินทางไปสู่ภพภูมิที่ดี
และเตือนผู้ที่ยังมีชีวิตให้สร้างบุญกุศลละเว้นการสร้างบาป เรียกว่า “สวดสั่ง
เปรต” หรือ “เปรตสั่ง” ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที การแสดงรำสวดถือ
สิ้นลงที่ขั้นตอนนี้
ปั จจุบันการแสดงรำสวดพบว่ามีการทำการแสดงอยู่ที่ภาคตะวันออก
ของประเทศไทย จังหวัดที่พบว่ามีการแสดงรำสวดคือ จังหวัดระยอง จังหวัด
จันทบุรี และจังหวัดตราด และมีคณะรำสวดที่รับงานแสดงอยู่มากมายหลาย
คณะ ปั จจุบันคณะรำสวดที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆ คือ “คณะวิชัย ราชันย์”
คณะนี้เริ่มต้นร่ำเรียนศิลปการแสดงรำสวดที่ ตำบลตกพรม อำเภอขลุง จังหวัด
จันทบุรี ก่อตั้งคณะขึ้นโดยคุณวิชัย เวสโอสถ และคุณวิชัย เวศโอสถ ได้
ถ่ายทอดวิชาความรู้เรื่องการแสดงรำสวดให้กับคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากและมี
การผสมผสานกับทำนองเพลงสมัยนิยมของปั จจุบันมาใช้กับการแสดงรำสวด
ทำให้ผู้คนในปั จจุบันเข้าถึงการแสดงรำสวดได้อย่างรวดเร็ว คณะวิชัย ราชันย์
จึงมีชื่อเสียงมากขึ้นจนเป็นคณะที่มีชื่อเสียงในลำดับต้นๆในปั จจุบัน
4
เนื้อเพลง
(ลูกคู่) เอิง เอย เอ๋ยส่วยยาเล เหล่ เล๊ เล บา ซวย ยา เล่ ทุ๊งอย่า ทุ๊งอย่าบาเล เอิ๊ง เอ่อ เอิง เอย
(ท่อน 1) สิบนิ้วลูกจะพนมยกขึ้นเหนือพรมและมาพนมกราบไหว้ ไหว้พระพุทธและพระธรรม อีกพระสงฆ์องค์ที่
สามเลิศล้ำวิไล
(ลูกคู่) เอิง เอย เอ๋ยส่วยยาเล เหล่ เล๊ เล บา ซวย ยา เล่ ทุ๊งอย่า ทุ๊งอย่าบาเล เอิ๊ง เอ่อ เอิง เอย
(ท่อน 2) ลูกจะไหว้บิดรมารดาที่ปกเกล้าเกศาเลี้ยงลูกมาจนใหญ่ พระคุณน้ำนมนั้นสมคะเน เฝ้าถนอมกล่อมเหใส่
เปลไกว
(ลูกคู่) เอิง เอย เอ๋ยส่วยยาเล เหล่ เล๊ เล บา ซวย ยา เล่ ทุ๊งอย่า ทุ๊งอย่าบาเล เอิ๊ง เอ่อ เอิง เอย
(ท่อน 3) ลูกจะไหว้พระมหากษัตริย์องค์พระราชินีนาถวงศ์ญาติน้อยใหญ่ ขอให้พระองค์ทรงพระสำราญ มีชันษา
ยืนนานเป็นมิ่งขวัญของปวงไทย
(ลูกคู่) เอิง เอย เอ๋ยส่วยยาเล เหล่ เล๊ เล บา ส่วย ยา เล่ ทุ๊งอย่า ทุ๊งอย่าบาเล เอิ๊ง เอ่อ เอิง เอย
(ท่อน 4) ลูกจะไหว้พระภูมิเจ้าที่แถวย่านบ้านนี้เป็นสักขีรู้ไว้ จะไหว้เจ้าพ่อเจ้าแม่ ทั้งเจ้าแคว้นเจ้าแคว ลูกมาแต่
บ้านไกล
(ลูกคู่) เอิง เอย เอ๋ยส่วยยาเล เหล่ เล๊ เล บา ซวย ยา เล่ ทุ๊งอย่า ทุ๊งอย่าบาเล เอิ๊ง เอ่อ เอิง เอย
(ท่อน 5) ลูกจะไหว้ครูบาอาจารย์ที่สร้างสรรค์วิชาการผลงานรำร่าย จะไหว้ครูแนะครูนำ ทั้งครูพักลักจำด้วย
จริงใจ
(ลูกคู่) เอิง เอย เอ๋ยส่วยยาเล เหล่ เล๊ เล บา ซวย ยา เล่ ทุ๊งอย่า ทุ๊งอย่าบาเล เอิ๊ง เอ่อ เอิง เอย
(ท่อน 6) ลูกจะไหว้ผูู้ดูผู้ฟังที่ยืนและนั่งทั้งหญิงและชาย จะผิดหรือถูกก็ลูกหลาย ช่วยปกป้องคุ้มกันซึ่งอันตราย
(ลูกคู่) เอิง เอย เอ๋ยส่วยยาเล เหล่ เล๊ เล บา ซวย ยา เล่ ทุ๊งอย่า ทุ๊งอย่าบาเล เอิ๊ง เอ่อ เอิง เอย
5
ท่ารำ “สอดสร้อยมาลา”
วิธีทำ
1. ใช้มือทั้งสองข้างรำสลับซ้ายและขวาไปตามจังหวะของเพลง
2. มือข้างหนึ่งทำลักษณะตั้งวง
ตั้งวงคือการเหยียดนิ้วมือทุกนิ้วที่ฝ่ามือขึ้นและตั้งข้อมือขึ้น 90 องศา และเหยียดแขนออก
เฉียงลำตัวเล็กน้อย ให้ปลายนิ้วมืออยู่ระดับเดียวกับหางคิวของนักรำ
3. มืออีกข้างหนึ่งทำลักษณะจีบ
จีบคือการนำปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป่งมาแตะกันแล้วเหยียดนิ้วกลาว นิ้วนางและนิ้วก้อยออก
และพับข้อมือเข้าหาลำตัว 90 องศา อยู่ระดับเดียวกับชายพกหรือบริเวณสะดือของนักรำ
6
ท่ารำ “ผาลาเพียงไหล่”
วิธีทำ
1. ใช้มือทั้งสองข้างรำสลับซ้ายและขวาไปตามจังหวะของเพลง
2. มือข้างหนึ่งทำลักษณะตั้งวง
ตั้งวงคือการเหยียดนิ้วมือทุกนิ้วที่ฝ่ามือขึ้นและตั้งข้อมือขึ้น 90 องศา และเหยียดแขนออก
เฉียงลำตัวเล็กน้อย ให้ปลายนิ้วมืออยู่ระดับเดียวกับหางคิวของนักรำ
3.มืออีกข้างหนึ่งทำลักษณะตั้งวงเช่นเดียวกัน ตั้งข้อมือขึ้น 90 องศา หงายฝ่ามือให้ปลาย
นิ้วมืออยู่ระดับเดียวกับชายพกหรือบริเวณสะดือของนักรำ
7
ท่ารำ “ชัดเเป้งผัดหน้า ”
วิธีทำ
1. ใช้มือทั้งสองข้างรำสลับซ้ายและขวาไปตามจังหวะของเพลง
2. มือข้างหนึ่งทำลักษณะตั้งวง
ตั้งวงคือการเหยียดนิ้วมือทุกนิ้วที่ฝ่ามือขึ้นและตั้งข้อมือขึ้น 90 องศา และเหยียดแขนออก
เฉียงลำตัวเล็กน้อย ให้ปลายนิ้วมืออยู่ระดับเดียวกับหางคิวของนักรำ
3. มืออีกข้างหนึ่งทำลักษณะจีบ จีบคือการนำปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมาแตะกันแล้วเหยียดนิ้ว
กลาว นิ้วนางและนิ้วก้อยออก พบข้อมือเข้าหาลำตัว ยืดแขนออกเฉียงลำตัวเล็กน้อยและให้
แขนอยู่ระดับต่ำกว่ามือข้างที่ตั้งวงเล็กน้อย
ท่ารำ “แขกเต้าเข้ารัง” 8
วิธีทำ
1. ใช้มือทั้งสองข้างรำสลับซ้ายและขวาไปตามจังหวะของเพลง
2. มือข้างหนึ่งทำลักษณะจีบ
จีบคือ การนำปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป่งสัมผัสกันแล้วเหยียดนิ้วกลาว นิ้วนางและนิ้วก้อยออก
และพบข้อมือเข้าหาลำตัว ยืดแขนออกเฉียงกับด้านข้างลำตัวเล็กน้อยและพับข้อศอก
เข้าหาลำตัวประมาณ 45 องศา ให้ปลายนิ้วมืออยู่ระดับเดียวกับหางคิวของนักรำ
3. มืออีกข้างหนึ่งทำลักษณะจีบเช่นเดียวกัน มือข้างนี้ให้อยู่บริเวณใต้ศอกของแขนอีกข้าง
ให้ปลายนิ้วอยู่ต่ำกว่าระดับศอกของแขนอีกข้างเล็กน้อย
9
เครื่องดนตรี
กลอง หรือ ตะโพน
หน้าเท่ง หน้ามัด
ลักษณะ
ตัวหุ้นกลองทำด้วยไม้ ตรงกลางป่อง ขุดเป็นโพรงกลวง หุ้มด้วยหนังวัวทั้ง 2
หน้า กลองด้านหนึ่งเป็นหน้าใหญ่เรียกว่า “หน้าเท่ง” มีเสียงต่ำ อีกหน้าหนึ่ง
เป็นหน้าเล็กเรียกว่า “หน้ามัด” เป็นเสียงสูง รอบขอบหนังขึ้นหน้าถักด้วยเชือก
หรือหนังเล็กๆ เรียกว่า “ไส้ละมาน”
ขนาด
ลำตัวกลองยาวประมาณ 48 ซม. หน้าเท่งกว้าง 25 ซม. หน้ามัดกว้างประมาณ
22 ซม.
การบรรเลง
วางกลองบนตักของผู้บรรเลงในท่านั่งขัดสมาธิ ให้หน้าเท่งอยู่ด้านขวามือของ
ผู้บรรเลงและหน้ามัด อยู่ด้านซ้ายมือของผู้บรรเลง
10
เครื่องดนตรี
กรับ
ลักษณะ
ทำด้วยไม้แก่น เช่นไม้ชิงชัน เหลาเป็นรูปสี่เหลี่ยม ลบเหลี่ยมเล็กน้อย ด้านหนึ่ง
เหลาให้โค้งนูน
ขนาด
ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร
การบรรเลง
ผู้บรรเลงใช้มือจับไม้กรับในลักษณะให้ไม้กรับทั้งสองข้างประกบกัน ให้มือทั้ง
สองข้างอยู่ระดับเท่ากับหน้าอกของผู้บรรเลง
11
เครื่องดนตรี
ฉิ่ง
ลักษณะ
ทำด้วยโลหะหล่อ ฉิ่งมี 2 ฝา ตอนบนเจาะรูสำหรับร้อยเชือก
ขนาด
ฝากว้างประมาณ 6 เซนติเมตร
การบรรเลง
ผู้บรรเลงใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งของมือทั้งสองข้างจับเชือกที่ร้อยฝาฉิ่งและทำมือใน
ลักษณะให้ฉิ่งทั้ง 2 ฝา มาประกบกัน ให้มือทั้งสองข้างอยู่ระดับเท่ากับหน้าอก
ของผู้บรรเลง
ผู้จัดทำ
อาจารย์ รัชชานนท์ ยิ้มระยับ
สาขาวิชาดนตรี
คณะมนุษยศาสตร์เเละสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี
คณะผู้ร่วมจัดทำ
อาจารย์ วุฒนิ ันท์ สุพร
สาขาภาษาไทย
คณะมนุษยศาสตร์เเละสังคมศาสตร์
ดร.สิตางศ์ เจริญวงศ์
สาขารัฐศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์เเละสังคมศาสตร์
อาจารย์ กฤติยา โพธิ์ทอง
สาขาทัศนศิลป์
คณะมนุษยศาสตร์เเละสังคมศาสตร์
เเละคณะกรรมการดำเนินโครงการยกระดับเศรษฐกิจเเละ
สังคมรายตำบลเเบบบูรณาการ ตำบล ตกพรม
คณะมนุษยศาสตร์เเละสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี