แบบเสนอผลงาน/นวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1 ❒ ด้านการบริหารงานโครงการ บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับปฐมวัย ของเขตพื้นที่ ❒ ด้านการนิเทศ ติดตาม ให้ค าปรึกษา การด าเนินโครงการ บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับปฐมวัย ของเขตพื้นที่ ❒ ด้านการบริหารงานโครงการ บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับปฐมวัย ของโรงเรียน ❒ ด้านการนิเทศ ติดตามการด าเนินโครงการ บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับปฐมวัย ของโรงเรียน ชื่อผลงาน :รูปแบบการจัดประสบการณ์เรียนรู้ด้วย APPLE Model เพื่อพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ชื่อผู้เสนอผลงาน : นางสาวสุภาวดี ศรีช่วย โรงเรียนราษฎร์บ ารุง ต าบลขุนทะเล อ าเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช หมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวก : 091-8247814 ต าแหน่ง❒ ผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา................................. ❒ รองผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา................................. ❒ ศึกษานิเทศก์ (ผู้น าเครือข่ายท้องถิ่น LN ) ❒ ครูวิทยากรท้องถิ่น (LT) ❒ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนระดับปฐมวัย กรณีที่เป็น ผลงาน/นวัตกรรมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ระดับโรงเรียน โปรดระบุขนาดโรงเรียน ❒ โรงเรียนขนาดใหญ่ – ใหญ่พิเศษ (จ านวนนักเรียนตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป) โรงเรียนขนาดกลาง (จ านวนนักเรียนตั้งแต่ 121 – 499 คน) ❒ โรงเรียนขนาดเล็ก (จ านวนนักเรียนตั้งแต่ 1- 120 คน)
1 1. ความส าคัญของผลงานหรือนวัตกรรมที่น าเสนอ การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 พัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวม บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่ ทั้งนี้สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วยองค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการและคุณลักษณะ คุณธรรม จริยธรรม ซึ่งไม่เน้นเนื้อหา การท่องจ า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทักษะหรือกระบวนการที่ส าคัญและจ าเป็นส าหรับเด็ก เช่น ทักษะการเคลื่อนไหว ทักษะทาง สังคม ทักษะการคิด ทักษะการใช้ภาษา คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เป็นต้น รวมทั้งการจัดประสบการณ์ส าคัญที่ ส่งเสริม พัฒนาการทางสติปัญญาได้แก่ การคิด การใช้ภาษา การสังเกต การจ าแนก การเปรียบเทียบ จ านวน มิติ ความสัมพันธ์ เวลา เป็นต้น (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560) การจัดการศึกษาในระดับปฐมวัย เป็นการจัดประสบการณ์ เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้ได้รับการเรียนรู้ในรูปแบบของการจัดกิจกรรมแบบบูรณาการผ่านการเล่นโดยมุ่งเน้นให้เด็ก ได้รับประสบการณ์ตรงเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง การศึกษาในระดับปฐมวัย นับว่าเป็นการศึกษาที่มีความส าคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นรากฐานของชีวิตและมีอิทธิพล ต่อชีวิตของคนเรา ทั้งยังเป็นพื้นฐานที่ดีส าหรับการศึกษาระดับที่สูงขึ้นเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีความส าคัญที่สุด เพราะ เด็กในวัยนี้มีพัฒนาการทุกด้านเป็นไปอย่างรวดเร็วประสบการณ์ที่เด็กได้รับจะมีอิทธิพลต่อการเสริมสร้างพัฒนาการขั้น ต่อไป และหากประสบการณ์ที่เด็กได้รับในช่วงวัยนี้ มีความเหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาให้พัฒนาเต็มศักยภาพได้การจัดการศึกษาให้กับเด็กปฐมวัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ส่งเสริมพัฒนาการเด็กทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา และยังมีทักษะ จ าเป็นในศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะทางวิทยาศาสตร์ ทักษะชีวิต และทักษะการคิดแก้ปัญหา แต่ในปัจจุบันพบว่าเด็ก ปฐมวัย ยังไม่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาให้มีความสามารถในการใช้ทักษะดังกล่าวเท่าที่ควร โดยเฉพาะทักษะทาง วิทยาศาสตร์นั้น เปรียบเสมือนเครื่องมือจ าเป็นในการแสวงหาความรู้และการด ารงชีวิต ดังนั้นการปลูกฝังทักษะทาง วิทยาศาสตร์เพื่อเป็นพื้นฐานความรู้จึงเป็นสิ่งส าคัญและควรปลูกฝังตั้งแต่ปฐมวัย ซึ่งนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึง ความส าคัญของทักษะทางวิทยาศาสตร์ว่ามีความจ า เป็นที่จะต้องส่งเสริมให้กับเด็กปฐมวัย เพราะเป็นวัยที่สามารถ พัฒนาและเรียนรู้ทักษะทางวิทยาศาสตร์ได้ เมื่อได้รับการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ ซึ่งทักษะ ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 13 ทักษะ มีทักษะที่เป็นพื้นฐาน 8 ทักษะ ประกอบด้วย ทักษะการสังเกต ทักษะการจ าแนก ประเภท ทักษะการวัด ทักษะการค านวณ ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการใช้ ตัวเลขและทักษะการพยากรณ์ ดังนั้นการส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีทักษะทางวิทยาศาสตร์ จึงมีความจ าเป็น โดยจะต้อง ค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและเปิดให้เด็กส ารวจ สังเกต จ าแนก เปรียบเทียบ สื่อความหมายด้วยวิธีการ ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับวัยผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จะท าให้เด็กรู้จักคิดและใช้กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและ สามารถนา ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ ซึ่งทักษะทางวิทยาศาสตร์ ที่กล่าวมานั้นเป็นทักษะพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อนเด็ก ปฐมวัยสามารถเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติได้เอง ซึ่งการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับปฐมวัยนั้น เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้ใช้ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์โดยให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน การจัดประสบการณ์และกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ อย่างหลากหลาย (กุลยา ตันติผลาชีวะ, 2547) การสอน วิทยาศาสตร์ส าหรับเด็กปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กด้วยการสังเกต การคิด การสนทนาเพื่อสื่อสารและสะท้อนความคิด เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ จะช่วยให้เด็กเกิดความคิดและส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านให้เกิดขึ้นอย่างสมดุลและเต็มศักยภาพ ในฐานะครูผู้สอนประจ าระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนราษฎร์บ ารุง ต าบลขุนทะเล อ าเภอลานสกา มี บทบาทหน้าที่โดยตรงกับการจัดการศึกษาปฐมวัยในสถานศึกษา และได้เข้ารับการอบรมการจัดประสบการณ์
2 การเรียนรู้บูรณาการวิทยาศาสตร์ปฐมวัยที่จัดโดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ได้รับ การอบรมจากผู้น าเครือข่ายท้องถิ่น(Local Network; LN) และวิทยาการเครือข่ายท้องถิ่น(Local Trainer; LT) โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับปฐมวัย ท าให้มีความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรมบูรณาการ วิทยาศาสตร์ปฐมวัย จึงได้ออกแบบนวัตกรรมรูปแบบการจัดประสบการณ์เรียนรู้ด้วย APPLE Model เพื่อพัฒนา ทักษะทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ที่มีความสอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน บริบทของโรงเรียนสภาพของผู้เรียน และ สอดคล้องกับหลักสูตรของโรงเรียนที่มุ่งให้เด็กปฐมวัยเกิดทักษะต่าง ๆ ในการเรียนรู้ รวมทั้งทักษะทางวิทยาศาสตร์ ช่วยให้ครูสามารถน าไปใช้ในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิดทักษะทางวิทยาศาสตร์ได้ผ่านการท ากิจกรรมตามแผนการจัด ประสบการณ์ที่สอดคล้องสัมพันธ์กันจากสภาพปัจจุบัน ปัญหาและเหตุผลดังกล่าว ข้าพเจ้ามีความสนใจที่จะต้องการ พัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยรูปแบบการจัดประสบการณ์เรียนรู้ด้วย APPLE Model เนื่องจากเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ คือ เด็กมีความรู้เด็กมีทักษะ และเด็กสามารถสร้างองค์ความรู้ ใหม่อย่างเป็นระบบ ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยต่อไป 2. จุดประสงค์และเป้าหมาย ของการด าเนินงาน 1. เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ผ่านกิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อพัฒนาให้เด็กมีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ผ่านกระบวนการทดลองที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริง 3. แนวคิด ทฤษฎีที่น ามาใช้ จ าแนกออกเป็น 2 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วยทฤษฎีพัฒนาการทาง สติปัญญาของไวก็อตสกี้ Vygotsky (อ้างใน Berk & Winsler,1995) กล่าวไว้ว่าเด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญา และทัศนคติขึ้นเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และท างานร่วมกันกับคนอื่น ๆ เช่น ผู้ใหญ่ ครู เพื่อน บุคคลเหล่านี้จะให้ข้อมูล สนับสนุนให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ และการท างานร่วมกันนั้น โดยการเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นใน Zone of Proximal Development หมายถึง สภาวะที่เด็กเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย แต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาได้ โดยล าพัง เมื่อได้รับการช่วยเหลือแนะน าจากผู้ใหญ่หรือจากการท างานร่วมกับเพื่อนที่มีประสบการณ์มากกว่า เด็กจะ สามารถแก้ปัญหานั้นได้และเกิดการเรียนรู้ขึ้นการให้ความช่วยเหลือแนะน าในการแก้ปัญหา และการเรียนรู้ของเด็ก (Assisted Learning) เป็นการให้การช่วยเหลือแก่เด็กเมื่อเด็กแก้ปัญหาโดยล าพังไม่ได้ เป็นการช่วยอย่างพอเหมาะ เพื่อให้เด็กแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองวิธีการที่ครูเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กเรียกว่า Scaffolding เป็นการแนะน าช่วยเหลือให้เด็กแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยการให้การแนะน า (clue) การช่วยเตือน (reminders) การ กระตุ้นให้คิด (encouragement) การแบ่งปัญหาที่สลับซับซ้อนให้ง่ายลง (breaking problem down into step) การให้ตัวอย่าง (providing and Example) หรือสิ่งอื่น ๆ ที่จะช่วยเด็กแก้ปัญหาและเรียนรู้ด้วยตนเอง การให้การ ช่วยเหลือ (Scaffolding) มีลักษณะ 5 ประการดังนี้ 1. เป็นกิจกรรมการร่วมกันแก้ปัญหา 2. เข้าใจปัญหาและมีวัตถุประสงค์ที่ตรงกัน 3. บรรยากาศที่อบอุ่นและการตอบสนองกับความต้องการ 4. รักษาสภาวะแห่งการเรียนรู้ของเด็ก (ZPD) 5. สนับสนุนให้เด็กควบคุมตนเองในการแก้ปัญหา
3 ครูมีหน้าที่ในการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและให้ค าแนะน าด้วยการอธิบาย สาธิต และให้เด็กมีโอกาสท างานร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะกับเพื่อนที่มีความสามารถมากกว่า ครูมีหน้าที่กระตุ้นให้เด็กใช้ ภาษาหรือวิธีการอื่น ๆ เช่น การวาด การเขียน การท างานศิลปะหลาย ๆ รูปแบบเพื่อเป็นการจัดระบบการคิดของเด็ก เอง แล้วให้โอกาสเด็กแสดงออกตามวิธีการต่าง ๆ ของเด็กเองเพื่อครูจะได้รู้ว่าเด็กต้องการจะท าอะไรสรุปทฤษฎี เชาปัญญาของไวก็อตสกี้ Vygotsky ได้ว่า เด็กจะเรียนรู้ต้องให้เป็นผู้ลงมือท าและมีส่วนในการเรียนรู้ พัฒนาการทาง เชาว์ปัญญาของเด็กแต่ละวัยจะเพิ่มขึ้นถึงขั้นสูงสุดตามศักยภาพของแต่ละบุคคลได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการช่วยเหลือจาก ผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดเด็ก เช่น ญาติ หรือเพื่อนวัยเดียวกัน การช่วยเหลือจากครู จะช่วยให้เด็กทุกคนเกิดการเรียนรู้ตาม ศักยภาพของตน การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนจึงมีความส าคัญมากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ เพียเจต์(Piaget) (อ้างใน สุรางค์ โค้วตระกูล, 2553) เด็กเป็นผู้ที่พยายามศึกษาและส ารวจสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวทั้งที่ เป็นวัตถุสิ่งของ เหตุการณ์และบุคคลจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ท าให้เด็กเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่ง ต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมแล้วพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ จนสามารถจะเรียนรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมได้ เป้าหมายในการ พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กตามแนวคิดของเพียเจต์คือ การที่สามารถคิดอย่างมีเหตุผลกับสิ่งที่เป็นนามธรรม การคิดตั้ง สมมุติฐานอย่างมีเหตุผล และสามารถแก้ปัญหาได้ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการใหญ่ ๆ ภายในตัวเด็ก 2 กระบวนการ คือ การจัดโครงสร้างทางความคิดภายใน (Organization) และการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม (Adaptation) ซึ่งการปรับตัวประกอบไปด้วย 2 กระบวนการ คือ การดูดซึม (Assimilation) และการปรับเปลี่ยน (Accommodation) ในการที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งใด ๆ ในเบื้องต้นเด็กจะพยายามท าความเข้าใจประสบการณ์ใหม่ ด้วยการใช้ความคิดเก่า หรือประสบการณ์เดิม ด้วยกระบวนการดูดซึม (Assimilation) แต่เมื่อปรากฏว่าไม่สามารถท า ความเข้าใจได้ส าเร็จ เด็กจะเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เสียใหม่ ด้วยกระบวนการปรับเปลี่ยน (Accommodation) จนสามารถผสมผสานความคิดใหม่นั้นให้กลมกลืนเข้ากันได้กับความคิดเก่า สภาพการเช่นนี้ ก่อให้เกิดความสมดุล (Equilibration) กระบวนการที่เด็กมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และท าให้เกิดสภาวะที่สมดุลนี้ จะน าไปสู่การพัฒนาการทางสติปัญญาจากขั้นหนึ่งจนถึงขั้นสูงสุด คือขั้นใช้ความสามารถทางสมองในการแก้ปัญหา (Operation) จะเรียนรู้การใช้ประสาทสัมผัส ใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุ ทฤษฎีพัฒนาการสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) กระบวนการพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Process) ของเพียเจต์แบ่งออกเป็นขั้น ดังนี้Sensory-Motor Stage ช่วงอายุ 0-2 ปีเป็นช่วงวัยของการ ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ประกอบด้วย 6 ระยะคือ ระยะที่ 1 ระยะแรกเกิด-1 เดือน เป็นการแสดงพฤติกรรมที่เป็นลักษณะตอบสนองด้านร่างกาย (reflex) เช่น การดูด การร้อง ระยะที่ 2 อายุประมาณ 1-4 เดือน เด็กจะมีทั้งทางดูดซึม (Assimilation) และการปรับเปลี่ยน (Accommodation) เด็กจะเริ่มฟัง และเริ่มมอง ระยะที่ 3 อายุประมาณ 4-8 เดือน เด็กเริ่มค้นพบกฎแห่งการกระท า เช่น รู้ว่าเคาะแล้วจะมีเสียง เด็กจะเคาะ ซ้ าแล้วซ้ าอีก ระยะที่ 4 อายุประมาณ 8-12 เดือน เด็กเริ่มเข้าใจเรื่องการคงอยู่ของวัตถุ (object) ระยะที่ 5 อายุประมาณ 12-18 เดือน เริ่มมีการทดลองการเริ่มเลียนแบบผู้ใหญ่ ระยะที่ 6 อายุประมาณ 18-24 เดือน เริ่มคิดเกี่ยวกับการกระท าสิ่งต่าง ๆ แทนการกระท า Preoperational Stage ช่วงอายุ 2-7 ปีเด็กวัยนี้ยังไม่สามารถคิดย้อนกลับได้เพียงแต่เริ่มที่จะเข้าใจเรื่องการคงตัวของสสารบ้าง และยัง ไม่สามารถใช้สติปัญญาแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ วัยนี้แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 อายุ 2-4 ปีเรียกว่า
4 ระยะ Preconcept เพราะเป็นวัยที่เด็กเริ่มมีความคิดรวบยอด เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ แต่ยังไม่สมบูรณ์และยังไม่มีเหตุผล ความคิดความเข้าใจขึ้นอยู่กับการรับรู้จากประสาทสัมผัสเป็นส่วนใหญ่ยังไม่สามารถใช้เหตุผลได้ระยะที่ 2 อายุ 4-7 ปี เรียกว่าระยะ Intuitive การคิดของเด็กเริ่มมีเหตุผลขึ้นบ้างแต่ก็ยังมีลักษณะการคิดจากการรับรู้มากกว่าความเข้าใจ เด็กเริ่มมีปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สนใจอยากรู้ซักถามและเริ่มเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ เริ่มใช้ภาษาเป็น เครื่องมือในการคิด Concrete Operational Stage อายุ 7-11 ปีสามารถใช้สมองคิดอย่างมีเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหา กับสิ่งต่าง ๆที่เป็นรูปธรรมได้เข้าใจเรื่องการคงที่ของสสาร สามารถคิดย้อนกลับได้Operational Stage อายุ11-15 ปี สามารถคิดอย่างมีเหตุผลกับปัญหาทุกชนิด สามารถแก้ปัญหาอย่างมีระบบระเบียบสามารถน าหลักการไปใช้กับ สถานการณ์ต่าง ๆ ได้จากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) พบว่า การพัฒนาทางสติปัญญาของ เด็กจะเกิดขึ้นตามขั้นตอน มีการใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้และประสบการณ์ที่เด็กได้รับเป็นส่วนส าคัญในการ ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาให้เกิดขึ้นเหมาะต่อการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีให้เหมาะสมกับพัฒนาการและวัยของ เด็ก สิ่งส าคัญต่อการพัฒนาทางสติปัญญาของเด็ก คือการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้เป็นสิ่งสนองต่อเด็กที่ เรียนรู้แตกต่างกัน ทฤษฎีเกี่ยวกับการสอนของ บรูเนอร์ (Bruner) ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2540: 126) กล่าวถึงแนวคิดของรูเนอร์ว่า เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยเชื่อว่า เด็กทุกระดับชั้นมีการพัฒนาการเรียนรู้ เนื้อหาวิชาใดก็ได้ ถ้ามีการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสม กับความสามารถของเด็ก การเรียนรู้ตามแนวคิดของรู เนอร์แบ่งออกเป็น 3 ขั้นดังนี้ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระท า (Enactive Representation) เป็นกระเป็นขั้นการเรียนรู้ที่ เกิดจากประสาทสัมผัส ดูตัวอย่างและกระท าตาม ช่วงแต่แรกเกิดจนถึง 2 ขวบ เช่น กรณีที่เด็กเล็ก ๆ นอนอยู่ในเปล แล้วเขย่ากระดิ่ง ขณะที่เขย่าบังเอิญกระดิ่งตกข้างเปล เด็กจะหยุดนิดหนึ่งแล้วยกมือขึ้นดูเด็กท าท่าทางประหลาดใจ และเขย่ามือเล่นต่อไปโดยไม่มีกระดิ่ง เพราะเด็กคิดว่ามือนั่นคือกระดิ่ง และเมื่อเขย่ามือเด็กจะไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งนั้น แสดงว่าเด็กสามารถถ่ายทอดสิ่งของ (กระดิ่ง) แทนประสบการณ์ด้วยการกระท า ขั้นนี้จะตรงขั้น Sensory-Motor ของเพียเจต์ ขั้นการเรียนรู้ด้วยการลองดูและจินตนาการ (Iconic Representation) เป็นขั้นที่เด็กเรียนรู้ในการ มองเห็น และการใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ จากตัวอย่างที่กล่าวขึ้นขั้นที่ 1 คือ เมื่อเด็กอายุมากขึ้น 2-3 เดือนท าของ หล่นตกข้างเปล เด็กจะมองเห็นของเล่นนั้น ถ้าผู้ใหญ่แกล้งหยิบเอาไปเด็กจะหงุดหงิด ร้องไห้เมื่อมองไม่เห็นของ บรูเนอร์กล่าวว่าการที่เด็กมองหาของเล่นแล้วร้องไห้หรือแสดงอาการหงุดหงิดเมื่อไม่ได้พบว่าของแสดงว่าเด็กมีภาพ แทนใจ (Iconic Representation) ซึ่งต่างกับวัยที่เด็กคิดว่าการสั่นมือ การสรรกระดิ่งเป็นสิ่งเดียวกันเมื่อกระดิ่งตก หาย ก็ไม่สนใจยังคงสั่นมือต่อไป ขั้นนี้จะตรงขั้น Concrete Operational ของเพียเจต์ขั้นการเรียนรู้โดยการใช้ สัญลักษณ์(Symbolic Representation) เป็นขั้นสามารถการเรียนรู้ที่เป็นแนวทางต่าง ๆ ได้เป็นพัฒนาการความรู้ ความเข้าใจ เด็กสามารถคิดหาเหตุผล และในที่สุดจะเข้าใจในนามธรรม ขั้นนี้ตรงกับขั้น Formal Operation ของเพีย เจต์ แนวทางการจัดการเรียนการสอนผู้สอนควรค านึงถึงในเรื่องต่อไปนี้ 1. การจัดล าดับขั้นของการเรียนรู้และการน าเสนอให้สอดคล้องกับระดับการรับรู้เข้าใจ 2. ในการเรียนการสอนนั้น ทั้งผู้เรียนและผู้สอนต้องมีความรู้พร้อม แรงจูงใจและความสนใจ 3. ลักษณะและชนิดของกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนจะช่วยให้มีความรู้ คงทนและถ่ายโยงความรู้ได้ด้วย 4. แรงเสริมด้วยตนเอง (Self-reinforcement) ครูควรให้ผลย้อนกลับแก่ผู้เรียน เพื่อให้ทราบว่าท าผิดหรือ ท าถูก เป็นการสร้างแรงเสริมด้วยตนเอง วิธีการสอนตามแนวคิดของบรูเนอร์ (Bruner) ประกอบไปด้วยการสอนตาม ระดับขั้นดังนี้
5 1) ให้ผู้เรียนเผชิญกับปัญหา ท าความเข้าใจปัญหาและมีความต้องการที่จะแก้ไข 2) ระบุปัญหาที่ประเชิญให้ชัดเจน 3) ตั้งสมมุติฐานเพื่อคาดคะเนค าตอบของปัญหา 4) เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้พิสูจน์สมมุติฐานที่ก าหนด 5) สรุปผลการค้นพบซึ่งเป็นวิธีการสอนแบบค้นพบ (Discovery Learning) เป็นวิธีการสอนโดยเน้นผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง (Child-Centered) โดยยึดหลักที่ จอห์น ดิวอี้(John Dewey) กล่าวว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียน ได้ลงมือกระท า (learning by Doing) สรุปทฤษฎีของบูเนอร์(Bruner) กล่าวว่า การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยนั้นสามารถเรียนได้ทุกเนื้อหาวิชา แต่ต้อง จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของผู้เรียน จัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้ประเชิญปัญหา กิจกรรมที่ให้เด็กนั้นต้องสร้างแรงจูงใจให้เด็กอยากค้นหาค าตอบในกิจกรรมต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้มีโอกาสในการลง มือปฏิบัติโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ มีการค้นคว้าหรือหาค าตอบ และสร้างองค์ความรู้ด้วย ตนเอง สิ่งส าคัญการจัดกิจกรรมต้องเกิดขึ้นจากความสนใจ และความต้องการของเด็กเองจะท าให้เด็กเรียนรู้ได้เป็น อย่างดี 2. แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2538: 18-21) กล่าวถึงผู้น าแนวคิดทฤษฎีพื้นฐานในการจัดการศึกษาส าหรับเด็ก ปฐมวัยดังนี้ ล็อก (Lock) มีความเห็นว่าเด็กทารกนั้นเปรียบเสมือยผ้าขาว ประสบการณ์ต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อมจะมี ความส าคัญอย่างมากต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ท าให้เด็กมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน สกินเนอร์ (Skinner) เชื่อว่าพฤติกรรมของคนเรานั้น เกิดจากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม สามารถ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นได้ด้วยตัวเสริมแรง ดังนั้นในการสอน ครูสามารถน าเด็กไปสู่พฤติกรรมหรือการเรียนรู้ที่ ต้องการได้ รุสโซ (Rousseau) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ซึ่งเชื่อในพื้นฐานความดีในสัญชาตญาณของมนุษย์เราเป็นนักวุฒิ ภาวะนิยม ที่มีความเห็นว่าถ้าเราให้โอกาสเด็กเจริญเติบโตตามวิถีทางธรรมชาติแล้ว เด็กจะพัฒนาได้เต็มตามศักยภาพ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ หรือครู ควรหลีกเลี่ยงที่จะขัดขวางการเจริญเติบโตตามธรรมชาติของเด็ก ไม่บังคับเด็ก ฟรอยด์ (Freud) มีความเห็นว่า อิทธิพลที่ส าคัญที่สุดของพัฒนาการนั้น มาจากภายในตัวเด็ก ทั้งทางด้าน อารมณ์ สังคม สติปัญญา และทางกาย กีเซล (Gesell) มีความเห็นวิ่พัฒนาการเด็กจะเป็นไปตามธรรมชาติของอายุของเด็ก เมื่อถึงวันนั้นเด็กจะแสดง พฤติกรรมต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเป็นเร่งหรือฝึกเด็ก นักการศึกษาหรือ พ่อแม่ควรให้อิสระเด็กในการท ากิจกรรมต่าง ๆ ตามความสนใจ เพียเจต์ (Piaget) นักจิตวิทยาชาวสวิสซต์ ได้อธิบายถึงกระบวนการคิด และสร้างความรู้ของเด็ก หลักการทาง ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์หลายประการที่ช่วยให้ครูคิดสร้างสรรค์ จัดกิจกรรม และประสบการณ์ที่ เหมาะสมให้กับเด็ก กล่าวคือ 1. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่อาศัยความกระตืนรือร้น ทั้งทางร่างกาย และทางจิตใจของผู้เรียน 2. พัฒนาการแต่ละขั้นจะด าเนินไปตามระดับขั้นตอน จะข้ามขั้นไม่ได้แล้วด้วยอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละ บุคคล 3. ภาษาไม่ใช่ปัจจัยที่ท าให้เด็กเกิดการเรียนรู้และความคิดรวบยอดเพียงอย่างเดียว
6 4. พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ส่งเสริมได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น ผู้ใหญ่และสิ่งแวดล้อมทาง กายภาพ วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน แนวคิด ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง พบว่าแนวคิดที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การจัดกิจกรรมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ส าหรับเด็กนั้น ต้องจัดประสบการณ์ตามพื้นฐานความคิด หลักการ และ ทฤษฎีของนักการศึกษา โดยน าแนวคิดมาจากกิจกรรมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับ พัฒนาการของเด็ก ซึ่งแต่ละคนมีพัฒนาการแตกต่างกัน ซึ่งในแต่ละแนวคิดนั้นจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่ กับความเชื่อ และความเหมาะสมในการเลือกไปปฏิบัติของแต่ละบุคคล แต่การจัดส าหรับเด็ก กิจกรรมทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ปฐมวัยจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับครูว่าจะสามารถจัดให้สอดคล้องกับกิจกรรม ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์พัฒนาการ และความแตกต่างของเด็กในแต่ละคนได้อย่างไร และกิจกรรมที่ครูจัดนั้น เด็กได้มีโอกาสในการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมากน้อยเพียงใด 4. กระบวนการผลิตผลงาน หรือขั้นตอนการด าเนินงาน 1. Analysis : วิเคราะห์ โดยวิเคราะห์ผู้เรียน หลักการ และแนวคิดการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 2. Plan : วางแผน ประชุม ออกแบบ ก าหนดวัตถุประสงค์การพัฒนา ผู้บริหาร คณะครู และครูปฐมวัย ประชุมชี้แจง ก าหนดวัตถุประสงค์การพัฒนาตามหลักสูตร และหาแนวการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดย การก าหนดแผนการจัดประสบการณ์การทดลองวิทยาศาสตร์เพื่อจัดกิจกรรมการทดลองส าหรับเด็กปฐมวัย และศึกษา รูปแบบการเขียนแผนการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับบริบท ภายในห้องเรียน โดยเน้น ผู้เรียนเป็นส าคัญ ตามหลักสูตรสถานศึกษาและหลักสูตรปฐมวัย 2560 เพื่อสอดแทรกเนื้อหาที่จะส่งเสริมพัฒนาการ ของเด็กและวางแผนการใช้แผนการจัดกิจกรรม 3. Production : ผลิต ก าหนดแผนการจัดประสบการณ์การทดลองวิทยาศาสตร์เพื่อจัดกิจกรรมการทดลองส าหรับเด็ก ปฐมวัย และสร้างแผนการจัดประสบการณ์การทดลองวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 4. Learning : เรียนรู้ 1. จัดกิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์เป็นเวลา 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 20 นาทีระยะเวลา 14.00 ถึง 14.20 น. รวม 20 ครั้ง 2. จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ใบงาน ชิ้นงานในการท ากิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์ที่ได้ก าหนดไว้ ในแต่ละวัน 3. ก าหนดข้อตกลงในการท ากิจกรรมก่อนการลงมือท ากิจกรรมร่วมกันทุกครั้ง - เมื่อสนทนาเกี่ยวกับอุปกรณ์โดยใช้ค าถาม แล้วทุกคนช่วยกันเตรียมวัสดุอุปกรณ์ส าหรับการทดลอง - ในขณะท าการทดลอง ระมัดระวังตลอดการทดลอง - เมื่อท ากิจกรรมเสร็จให้ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าที่ให้เรียบร้อยและล้างมือให้สะอาด 4. เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรม และใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ตามขั้นตอนการท ากิจกรรม โดยศึกษาการท า กิจกรรมในแต่ละวัน 5. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ - สัปดาห์ที่ 1 ทดลองกิจกรรมหมุดลอยน้ า และ ทดลองกิจกรรมสนุกกับฟองสบู่
7 - สัปดาห์ที่ 2 ทดลองหลอดด าน้ า และ ทดลองกิจกรรมเนินน้ า - สัปดาห์ที่ 3 ทดลองความลับของสีด า และ ทดลองกิจกรรมลมอ่อนๆ พัดผ่านห้อง - สัปดาห์ที่ 4 ทดลองรู้จักเหลี่ยมและมุม และ ทดลองกิจกรรมการเผาไหม้ - สัปดาห์ที่ 5 ทดลองงูเต้นระบ า และ ทดลองกิจกรรมภูเขาไฟระเบิด - สัปดาห์ที่ 6 ทดลองไหลแรงหรือค่อย และ ทดลองกิจกรรมหักเหน้ า - สัปดาห์ที่ 7 ทดลองเมล็ดพืชเต้นระบ า และ ทดลองกิจกรรมติดหนึบโดยไม่ต้องใช้กาว - สัปดาห์ที่ 8 ทดลองสร้างอุปกรณ์ขยายภาพด้วยตนเอง และ ทดลองกิจกรรมกักน้ าไว้ได้ - สัปดาห์ที่ 9 ทดลองการละลายของน้ าตาล และ ทดลองกิจกรรมรับรู้การสั่น - สัปดาห์ที่ 10 ทดลองเสียงดังและเสียงเบา และ ทดลองกิจกรรมการฟังเสียงผ่านของแข็งและน้ า 6 . น ากิจกรรมไปใช้ในห้องเรียน จัดกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ ขั้นน า เป็นการน าเข้าสู่กิจกรรม ด้วยเด็กและครูสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะท าการทดลอง ให้เด็กได้ส ารวจวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง เพื่อให้เด็กเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และให้เด็กคาดคะเนผล การทดลองร่วมกัน ขั้นด าเนินกิจกรรม เป็นขั้นตอนที่เด็กร่วมกันวางแผนการทดลอง แล้วลงมือปฏิบัติการ ทดลองด้วยตนเอง โดยเด็กหยิบ จับ สัมผัส เห็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างท าการทดลองเห็นกระบวนการในการทดลอง และเห็นผลการทดลองด้วยตนเอง โดยครูใช้ค าถามในขณะที่เด็กทดลอง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ ขั้นสรุป เป็นขั้นที่เด็ก และครูร่วมกันสรุปผลการทดลอง ว่าเป็นไปตามคาดคะเนไว้หรือไม่ โดยให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น พร้อมอธิบายเหตุผลที่ได้จากการทดลอง 5. Evaluate : ประเมินผล ติดตามประเมินผล หลังจากท ากิจกรรมสการทดลองวิทยาศาสตร์ เด็ก ๆ มีพัฒนาการตาม วัตถุประสงค์ของกิจกรรม แสดงออกถึงสิ่งที่จะสื่อสารออกมาให้ครูผู้สอน และเพื่อนๆเข้าใจ ครูประเมินผลโดยใช้แบบ ประเมินพัฒนาการ หลังแผนการสอนจากการปฏิบัติของเด็ก ๆ ด้วยการสังเกตพฤติกรรม ในการท ากิจกรรม และ ผลงานของเด็ก โดยผู้เรียนสะท้อนผลงานของตนเอง เด็ก ๆ อภิปรายผลงานหน้าชั้นเรียนหลังจากที่ได้ท ากิจกรรม สะท้อนคุณภาพผู้เรียน อภิปรายสรุปผลการด าเนินกิจกรรม ครูผู้สอนรายงานผลการด าเนินกิจกรรมในที่ประชุม และ น าเสนอผลการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกิจกรรมการทดลองตามวัตถุประสงค์ และ ความส าเร็จของการด าเนินกิจกรรม ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการด าเนินกิจกรรมในแต่ละขั้นตอน การประเมินผล 1. สังเกตการณ์ท ากิจกรรม 2. สังเกตผลงานของเด็ก 5. ผลการด าเนินการ/ผลสัมฤทธิ์/ประโยชน์ที่ได้รับ 5.1 ผลการด าเนินการ เด็กปฐมวัยเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์โดยใช้กิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์ผ่านการลงมือ ปฏิบัติด้วยตนเอง ท าให้เด็กรู้จักคิดและใช้กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและสามารถนาไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้
8 5.2 ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของงาน เด็กปฐมวัยเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยทั้ง 8 ทักษะ ประกอบด้วย ทักษะการ สังเกต ทักษะการจ าแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการค านวณ ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็น จากข้อมูลทักษะการใช้ตัวเลขและทักษะการพยากรณ์ เด็กได้ส ารวจ สังเกต จ าแนก เปรียบเทียบ สื่อความหมายด้วย วิธีการต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับวัย ผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จะท าให้เด็กรู้จักคิดและใช้กระบวนการคิดอย่างมี เหตุผลและสามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ส่งผลให้มีพัฒนาการ คิดเป็นร้อยละ 100 5.3 ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ผู้อ านวยการและคณะครูในโรงเรียน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการก าหนดและจัดประสบการณ์โดยการใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย APPLE Model เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย น ามาใช้ ในการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการจัดประสบการณ์เรียนรู้ต่อผู้เรียน 2. แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ทางวิชาชีพพี PLC เกี่ยวกับปัญหาการด าเนินงานความส าเร็จและอุปสรรคในการจัด ประสบการณ์ต่อเพื่อนครูในโรงเรียน 3. สถานศึกษาได้รับความไว้วางใจในการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยจากชุมชนในเขตบริการของ โรงเรียน และนอกเขตบริการอย่างต่อเนื่องทุกปี 4. ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย และให้การสนับสนุนร่วมมือในการด าเนินกิจกรรมของครูผู้สอน 5. ชุมชนจัดการศึกษาที่สนองนโยบายสอดคล้องกับมาตรฐานและพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ 6. เด็กได้รับการส่งเสริมการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 7. ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้ง ๔ ด้าน ด้านร่างกาย จิตใจ-อารมณ์ สังคมและสติปัญญา 8. เด็กได้พัฒนาความสามารถในการค้นคว้า สืบสอบสิ่งต่าง ๆ 9. เด็กได้รับการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 8 ทักษะ 10. เด็กกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น ตอบสนอง ความต้องการตามธรรมชาติของเด็ก 11. เด็กมีประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ 12. เด็กมีอิสระในการคิด การเลือกท ากิจกรรมตาม ความพึงพอใจ 13. ช่วยให้เด็กเป็นนักคิด นักค้นคว้า ทดลอง เพื่อ ส่งเสริมให้เด็กสัมผัสและปฏิบัติด้วยตนเอง 6. ปัจจัยความส าเร็จ 1. ผู้บริหารตระหนักเห็นความส าคัญของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย มีวิสัยทัศน์ มีความ รอบรู้ ความสามารถ มีภาวะผู้น า และนิเทศก ากับติดตาม ดูแลให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ส่งเสริมสม่ าเสมอและ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง 2. ครูผู้สอนมีความมุ่งมั่น ในการจัดกิจกรรมในห้องเรียน เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ เด็กปฐมวัย ที่ดีขึ้น 3. คณะครูให้การสนับสนุน ช่วยเหลือให้ค าปรึกษาและให้ก าลังใจในการท าผลงาน 4. เด็กมีความสนใจ สนุกสนาน และเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน 5. ผู้ปกครองให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ดูแลเอาใจใส่ เด็ก ๆ เป็นอย่างมากและให้ก าลังใจครูผู้สอนสม่ าเสมอ และเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
9 6. งบประมาณที่ได้รับจัดสรรในการด าเนินกิจกรรมมีความเหมาะสมและใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7. สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่ใช้มีทั้งสิ่งที่เด็กพบเห็นในชีวิตประจ าวัน และมีสื่อ วัสดุที่แปลกใหม่ ที่เด็กไม่เคยเห็น ท าให้เด็กสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มขึ้น 7. บทเรียนที่ได้รับ (Lesson Learned) 7.1 การระบุข้อมูลที่ได้รับจากการผลิตและการน าผลงานไปใช้ระบุข้อสรุป - การได้รับการนิเทศจากผู้อ านวยการโรงเรียน หัวหน้าฝ่ายวิชาการ มีบทบาทส าคัญในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ สะท้อนความคิดในการจัดประสบการณ์เชิงบวก สร้างขวัญก าลังใจและส่งเสริมให้ครูผู้สอนเป็น แบบอย่างในการพัฒนาที่เป็นผลมาจากการนิเทศ - เด็กเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ เกิดทักษะการคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา สามารถแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ - เด็กมีระเบียบวินัยในการท างาน ผ่านกระบวนการทดลองที่เป็นขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ - เด็กมีความภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง - เด็กเกิดการเรียนรู้และมีทักษะในการท างานร่วมกับผู้อื่น - เด็กได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ พร้อมทั้งได้กระบวนการคิด การแสดงออกทางผลงาน และยังช่วยให้พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดีขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง - เด็ก ๆ น าผลงานของตนเองไปจัดนิทรรศการ การน าเสนอผลงานในห้องเรียนและน าเสนอผลงาน ต่อผู้ปกครอง และนักเรียนระดับชั้นอื่น ๆ - แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ PLC เกี่ยวกับปัญหา การด าเนินงาน ความส าเร็จ และอุปสรรค ในการจัดประสบการณ์ต่อเพื่อนครูในโรงเรียน 7.2 ข้อเสนอแนะ ข้อควรระวัง - ครูควรกระตุ้นให้เด็กคิด สังเกตและให้เหตุผล โดยการใช้ค าถามอย่างหลากหลายด้วยภาษาที่เข้าใจ ง่ายส าหรับเด็ก - ครูควรส่งเสริมสร้างวินัยในชั้นเรียนไปพร้อมกับการท ากิจกรรม เช่น การรู้จักรอผู้อื่นมารยาทในฟัง และการพูด - ครูควรกระตุ้นให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการตั้งค าถามในสิ่งที่อยากเรียนรู้ - ควรท ากิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กได้เกิด ทักษะและพัฒนาการมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มมาก ขึ้นและจะท าให้เห็นผลชัดเจนว่า เด็ก ๆ ที่ได้รับการจัดประสบการณ์มีพัฒนาการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่ดีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง - ครูผู้สอนควรมีอุปกรณ์และสื่อการสอนที่หลากหลาย เน้นสื่อเทคโนโลยีเข้ามาเป็นผู้ช่วยในการจัด ประสบการณ์ ท าให้การสอนมีความหลากหลาย เป็นการกระตุ้น ท าให้นักเรียนเกิดการอยากรู้อยากเรียน - ผลงานนวัตกรรมที่ได้สามารถน ามาเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียน ผลงานนวัตกรรมน ามาปรับปรุงการสอนของโรงเรียนให้มีการจัดการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น 7.3 แนวทางในการพัฒนาเพิ่มเติมให้ประสบผลส าเร็จมากขึ้น - ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ๒๕๖๐ ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กปฐมวัย
10 - ขณะจัดกิจกรรมการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ควรมีขั้นน าที่น่าสนใจ แปลกใหม่ในทุก ๆ ครั้งที่จัด เพื่อเป็นการเร้าความสนใจของเด็ก และช่วยให้เด็กมีสมาธิก่อนการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ - ศึกษาการส่งเสริมพัฒนาการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาการเขียนแผนเพื่อให้ตรง กับนวัตกรรมที่จะน ามาใช้ในการจัดประสบการณ์ ให้ค านิยาม ของหัวข้อที่จะท าการศึกษา - ครูควรมีบทบาทในการดูแลให้ความช่วยเหลือให้ค าแนะน าเมื่อเด็กต้องการกระตุ้นเด็กโดยให้เด็กได้ ทดลองท าตามความคิดของตนเองให้แรงเสริมกล่าวค าซมเขยในผลงานของเด็กท าให้เด็กมีความมั่นใจและตั้งใจในการ ท ากิจกรรม - จัดกิจกรรมเน้นกระบวนการวิเคราะห์เพื่อให้เด็กหาความรู้ด้วยตนเอง - การที่ครูปฐมวัยจะจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เพื่อให้เด็กมีทักษะพื้นฐาน กระบวนการและสาระ วิทยาศาสตร์เบื้องต้นนั้น บทบาทส าคัญส าหรับครูที่จะท าให้เกิดตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มีดังนี้ - สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้มีความอบอุ่น ไม่เครียด สร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ - หลีกเลี่ยงการพูดมากจนเกินไป กระตุ้นให้เด็กอยากลงมือกระท าในจังหวะที่เหมาะสม - จัดเตรียมอุปกรณ์ให้เพียงพอส าหรับใช้ในการทดลอง - ดูแลอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงการเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่จ าเป็น - เก็บรวบรวมข้อมูล หลักฐาน และความรู้ต่าง ๆ - ส่งเสริมให้เด็กสะท้อนความคิดและถามค าถามที่กระตุ้นให้เด็กได้คิด - วัดประเมินผลหลังการจัดกิจกรรม 8. การเผยแพร่/การได้รับการยอมรับ/รางวัลที่ได้รับ 8.1 การเผยแพร่ 1. เผยแพร่เป็นเอกสารประชาสัมพันธ์ ให้กับผู้ปกครอง คณะครูในโรงเรียน 2. สร้างกลุ่มไลน์และเชิญผู้ปกครองนักเรียนทุกคนเข้ากลุ่มไลน์ เพื่อความสะดวกในการติดต่อสื่อสารและ แสดงผลงานให้ผู้ปกครองได้รับชม 3. จัดท าโครงงานวิทยาศาสตร์ แสดงผลงาน ชิ้นงานของนักเรียน ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์เพื่อให้ผู้สนใจ เข้าชม 8.2 การได้รับการยอมรับ/รางวัลที่ได้รับ โรงเรียนราษฎร์บ ารุง ได้รับการยอมรับ เผยแพร่ผลงาน ความรู้ ของโรงเรียนให้กับคุณครูในโรงเรียน กลุ่ม เพื่อนครูปฐมวัย ผู้ที่สนใจ รวมไปถึง ผู้ปกครองและชุมชน จนเป็นที่ยอมรับในการจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัยที่ มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อม ที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โดยจัดรูปแบบการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กได้ทดลอง ได้เรียนรู้ ลงมือปฏิบัติจริง ด้วยความสามารถของตนเอง โดยมีคุณครูคอย ดูแล ช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด จนได้รับการยอมรับจากผู้ปกครอง และน าบุตรหลานเข้ามาศึกษาเรียนรู้กับทางโรงเรียน และโรงเรียนราษฎร์บ ารุง ได้รับตราพระราชทาน โครงการ “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย” ในปีการศึกษา 2566 ได้ด าเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
11 ภาคผนวก
รายงานผลการจัดกิจกรรม 20 กิจกรรม รายงานผลการจัดกิจกรรม โครงงาน แผนการจัดกิจกรรมการทดลอง
ภาพกิจกรรมการทดลองเรื่อง หมุดลอยน้ า วัสดุ-อุปกรณ์ เด็กๆ วางหมุดและลวดเสียบ เด็กๆ ท ากิจกรรมการทดลอง เด็กน าเสนอผลงานและสรุปร่วมกัน ภาพผลงานที่ส าเร็จของเด็ก
ภาพกิจกรรมการทดลองเรื่อง สนุกกับฟองสบู่ วัสดุ-อุปกรณ์ เด็กๆ ท ากิจกรรมการทดลอง เด็กทดลองเป่าฟองในน้ าผสมกลีเซอรีน เด็กๆ ก าลังส่องดูสีของฟองสบู่ด้วยแว่นขยาย เด็กน าเสนอผลงานและสรุปร่วมกัน ภาพผลงานที่ส าเร็จของเด็ก
ภาพกิจกรรมการทดลองเรื่อง หลอดด าน้ า ครูแนะน าวัสดุ-อุปกรณ์ เด็กๆ ท ากิจกรรมการทดลอง เด็กๆ ท ากิจกรรมการทดลอง เด็กน าเสนอผลงานและสรุปร่วมกัน ภาพผลงานที่ส าเร็จของเด็ก
ภาพกิจกรรมการทดลองเรื่อง เนินน้ า วัสดุ-อุปกรณ์ เด็กทดลองการเกิดเนินน้ า เด็กๆ ทดลองการเกิดเนินน้ า เด็กน าเสนอผลงานและสรุปร่วมกัน ภาพผลงานที่ส าเร็จของเด็ก
ภาพกิจกรรมการทดลองเรื่อง ความลับของสีด า วัสดุ-อุปกรณ์ ครูแนะน าวัสดุอุปกรณ์ เด็กๆ แต่ละกลุ่มท าการทดลอง กระดาษกรองจะดูดซึมน้ าสีต่างๆ จะแยกออก เด็กน าเสนอผลงานและสรุปร่วมกัน ภาพผลงานที่ส าเร็จของเด็ก
ภาพกิจกรรมการทดลองเรื่อง ลมอ่อนๆ พัดผ่านห้อง วัสดุ-อุปกรณ์ เด็กๆ ท ากิจกรรมการทดลอง เด็กๆ แต่ละกลุ่มท าการทดลองด้วยวิธีของตน ทดลองตบกล่องแรงๆ เด็กน าเสนอผลงานและสรุปร่วมกัน ภาพผลงานที่ส าเร็จของเด็ก
ภาพกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะ โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย โครงงาน ปอกไข่ไม่ติดเปลือก ผู้จัดท าโครงงาน นักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนราษฎร์บ ารุง (ลานสกา) สพป. นครศรีธรรมราช เขต 1 ครูที่ปรึกษา นางสาวสุภาวดี ศรีช่วย ระยะเวลาในการท า วันที่ 6 – 17 กุมภาพันธ์ 2566
ภาพกิจกรรมรับตราพระราชทาน โครงการ “บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย”