The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชกรณียกิจ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pdctat, 2022-01-29 13:35:45

พระราชกรณียกิจ

พระราชกรณียกิจ

พระราชกรณียกิจของ
พระมหากษัตริย์ไทย

สมัยก่อนและสมัยรัตนโกสินทร์

จั ด ทำ โ ด ย น . ส . ส ริ ต า อ ภิ ช า ต บุ ต ร เ ล ข ที่ 3 4 ม . 4 / 7

สมัยธนบุรี

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

พระราชประวัติ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชสมภพ พ.ศ.2308 พระยาตาก (สิน) ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ ปีขาล ฉศก ให้เข้ามาช่วยราชการสงครามเพื่อป้องกันพม่าในกรุง
จุลศักราช 1096 ตรงกับวันที่ 17 เมษายน ศรีอยุธยา พระยาตาก (สิน) มีฝีมือการรบป้องกัน
พ.ศ.2277 ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรม พระนครอย่างเข้มแข็งมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระ
โกศพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนาม กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระยาวชิร
เดิมว่า สิน พระราชบิดาเป็นชาวจีนชื่อนายไหฮ ปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้า
อง หรือ หยง แซ่แต้ เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มี เมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม
บรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ พระราชชนนีชื่อนางนก พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในเดือนเมษายน
เอี้ยง (ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเท พระยาตาก ก็สามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนได้ แล้วก็
พามาตย์) ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับจวนเจ้าพระยา คิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีใหม่ แต่เมื่อได้
จักรีที่สมุหนายก เมื่อยังทรง พระเยาว์เจ้าพระยา ตรวจความเสียหายแล้วเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาได้รับความเสีย
จักรีได้ขอสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปเลี้ยง หายเป็นอันมาก ยากที่จะบูรณะให้เหมือนดังเดิมได้ และ
เป็น บุตรบุญธรรม และได้ตั้งชื่อพระองค์ท่านว่า ประกอบกับรี้พลของเจ้าตากมีไม่พอที่จะรักษากรุงศรีอยุธยา
สิน พอนายสินอายุได้ 9 ขวบ เจ้าพระยาจักรีก็นำ ที่เป็นเมือง ใหญ่ได้ จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี และได้
ไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักของพระ อพยพผู้คนลงมาตั้งมั่นที่เมืองธนบุรี เจ้าตากทรงทำพิธี
อาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส ครั้นอายุได้ 13 ปี ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี เมื่อวันพุธ เดือน
เจ้าพระยาจักรีได้นำนายสินเข้าถวายตัวรับราชการ อ้าย แรม 4 ค่ำ จุลศักราช 1130 ปีชวด สัมฤทธิศก ตรง
เป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับวันที่ 28 เดือนธันวาคม พ.ศ.2311 ขณะมีพระชนมายุ
ได้ 34 พรรษา ทรงนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ หรือ
สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่ประชาชนทั่วไปยังนิยมขนาน
พระนามพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราช

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านการปกครอง

ยังคงใช้ระบบการปกครองแบบกรุงศรีอยุธยา แต่ในทางด้านกฎหมายเมื่อครั้งกรุงแตก กฎหมายบ้าน
เมืองกระจัดกระจายหายสูญไปมาก จึงโปรดให้ทำการสืบเสาะค้นหามารวบรวมไว้ได้ประมาณ ๑ ใน ๑๐
และโปรดให้ชำระกฎหมายเหล่านั้น ฉบับใด ยังเหมาะแก่กาลสมัยก็โปรดให้คงไว้ และเป็นการแก้ไขเพื่อ
ให้ราษฎรได้รับผลประโยชน์มากขึ้น เช่น โปรดให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการพนัน ให้อำนาจการตัดสิน
ลงโทษขึ้นแก่ศาลแทนนายตราสิทธิขาด และยังห้ามนายตรา นายบ่อนออกเงินทดรองให้ผู้เล่นเกาะกุม
ผูกมัด จำจอง เร่งรัดผู้เล่น กฎหมายพิกัดภาษีอากรเกือบไม่มี เพราะผลประโยชน์แผ่นดินได้จากการค้า
สำเภามากพอแล้ว กฎหมายว่าด้วยการจุกช่องล้อมวง

ก็ยังไม่ตราขึ้น เปิดโอกาสให้ราษฎรได้เฝ้าตามรายทาง โดยไม่ต้องมีพนักงานตำรวจแม่นปืนคอยยิง
ราษฎร ซึ่งแม้แต่ชาวต่างประเทศก็ยังชื่นชมในพระราชอัธยาศัยนี้ ในชั้นศาล ก็ไม่โปรดให้อรรถคดีคั่งค้าง
แม้ยามศึก หากคู่ความไม่ได้เข้ากองทัพหรือประจำราชการต่างเมือง ก็โปรดให้ดำเนินการพิจารณาคดีไป
ตามปกติ ทั้งในการฟ้องร้อง ยังโปรดให้โจทย์หาหมอความแต่งฟ้องได้เช่นเดียวกับปัจจุบันอีกด้วย วิธี
พิจารณาคดีในสมัยนั้นสะท้อนให้เห็นได้แจ่มชัด ในบทละครรามเกียรติ์ตอนท้าว มาลีวราชพิพากษา
ความ พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านการทหาร

ทรงรวบรวมคนไทยที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า 5 ก๊ก และปราบปรามก๊กต่าง ๆ ทำ
สงครามกับพม่า ขยายพระราชอาณาเขตไปยังหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และกัมพูชา
ก๊กที่ 1 เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตัวเป็นเจ้าที่เมืองพิษณุโลก
ก๊กที่ 2 เจ้าพระฝาง (เรือน) อยู่ที่วัดพระฝาง เมืองสวางคบุรี ตั้งตัวเป็นเจ้าทั้งที่ยังเป็น
พระ
ก๊กที่ 3 เจ้านคร (หนู) เดิมเป็นปลัดผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราช
ก๊กที่ 4 กรมหมื่นเทพพิพิธ ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองพิมาย
ก๊กที่ 5 คือก๊กพระยาตาก ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองจันทบุรี

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านเศรษฐกิจ

เนื่องในสมัยกรุงธนบุรี เป็นระยะเวลาที่สร้างบ้านเมืองกันใหม่ การค้าเจริญรุ่งเรือง
ทั้งของหลวงและของราษฎร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำนุบำรุงการค้าขาย
ทางเรืออย่างเต็มที่ ทรงแต่งสำเภาหลวงออกไปค้าขายทางด้านตะวันออกไปถึงเมือง
จีน ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือถึงอินเดียตอนใต้
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการค้าของหลวงช่วยบรรเทาภาระภาษีของราษฎรไปได้มาก
สมเด็จ พระเจ้าตากสิน ฯ ทรงส่งเสริมการนำสินค้าพื้นเมืองไปขายทางเรือ ซึ่ง
อำนวยผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่องานสร้างชาติ ทำให้ราษฎรมีงานทำ มีรายได้
ทั้งยังฝึกให้คนไทยเชี่ยวชาญการค้าขาย ป้องกันมิให้การค้าตกไปอยู่ในมือต่างชาติ

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านการคมนาคม

ยามว่างจากศึกสงคราม จะโปรดให้ตัดถนนและขุดคลองมากขึ้น เพื่อประโยชน์
ในทางค้าขาย ทรงยกเลิกความคิดแนวเก่าที่ว่าหากถนนหนทาง การคมนาคมมี
มากแล้ว จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ข้าศึกศัตรู และพวกก่อการจลาจล
แต่กลับทรงเห็นประโยชน์ในทางค้าขายมากกว่า ดังนั้นในฤดูหนาวหากว่างจากศึก
สงคราม ก็จะโปรดให้ตัดถนน และขุดคลอง จะเห็นได้จากแนวถนนเก่า ๆ ในเขต
ธนบุรี ซึ่งมีอยู่มากสาย ส่วนการขุดชำระคลองมักมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อ
ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ เช่น คลองท่าขามจากนครศรีธรรมราชไปออกทะเล

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านศิลปกรรม

แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีจะมี

การงานศึกสงครามแทบจะมิได้ว่างเว้นก็ สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ทรงพระ
ตาม แต่ก็ทรงหาโอกาสฟื้นฟู และบำรุง ราชนิพนธ์บทละครรามเกียรติ์ไว้ 4 เล่ม
ศิลปกรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางด้าน สมุดไทยแบ่งเป็นตอนไว้ 4 ตอน คือ
นาฏดุริยางค์ และวรรณกรรม ด้านนาฏ เล่ม 1 ตอนพระมงกุฎ
ดุริยางค์โปรดให้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เพื่อสร้าง เล่ม 2 ตอนหนุมานเกี้ยววานรินจนท้าว
บรรยากาศที่รื่นเริงครึกครื้นเหมือนครั้งกรุง มาลีวราชมา
เก่านับเป็นวิธี บำรุงขวัญที่ใกล้ตัวราษฎร เล่ม 3 ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษา จน
ที่สุด พระราชทานโอกาสให้ประชาชนทั่วไป ทศกรรฐ์เข้าเมือง
เปิดการสอนและออกโรงเล่นได้โดยอิสระ เล่ม 4 ตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีทรายกรด,
เครื่องแต่งกายไม่ว่าจะเป็นเครื่องต้นเครื่อง พระลักษณ์ต้องหอกกบิลพัสตร์ จนผูกผม
ทรงก็แต่งกันได้ตามลักษณะเรื่อง แม้สมเด็จ ทศกรรฐ์กับนางมณโฑ

พระเจ้ากรุงธนบุรีเองก็คงจะทรงสนพระทัย
ในกิจการด้านนี้มิใช่น้อย ด้วยมักจะโปรดให้
มีละครและการละเล่นอย่างมโหฬารในงาน
สมโภชอยู่เนือง ๆ

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านการช่าง

โปรดให้รวบรวมช่างฝีมือ และให้ฝึกงานช่างทุกแผนกเท่าที่มีครูสอน เช่น ช่างต่อเรือ
ช่างก่อสร้าง ช่างรัก ช่างประดับ ช่างเขียน เป็นต้น สำหรับงานช่างต่อเรือได้รับความ
นิยมมากที่สุด เพราะเป็นยุคที่มีการต่อเรือรบ และเรือสำเภาค้าขายเป็นจำนวน
มากมาย ช่างสมัยกรุงธนบุรีนี้อาจจะไม่มีเวลาทันสร้างผลงานดีเด่นเฉพาะสมัย แต่
ก็ได้เป็นผู้สืบทอดศิลปกรรมแบบอยุธยาไปสู่แบบรัตนโกสินทร์ ด้านการศึกษา ในสมัย
นั้นวัดเป็นแหล่งที่ให้การศึกษา จึงโปรดให้บำรุงการศึกษาตามวัดต่างๆ และโปรดให้ตั้ง
หอหนังสือหลวงขึ้นเช่นเดียวกันกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งคงจะเทียบได้กับหอพระ
สมุดในระยะหลัง ส่วนตำรับตำราที่กระจัดกระจายไปเมื่อคราวกรุงแตก ก็โปรดให้สืบ
เสาะหามาจำลองไว้เป็นแบบฉบับ สำหรับผู้สนใจอาศัยคัดลอกกันต่อ ๆ ไป และที่
แต่งใหม่ก็มี

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านการศาสนา

โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ ที่ โปรดให้กวดขันการปฏิบัติพระธรรมวินัยเป็น
รกร้างปรักหักพังตั้งแต่ครั้งพม่าเข้าเผาผลาญ ขั้น ๆ ไปตามภูมิปฏิบัติส่วน ลัทธิอื่น ๆ ในชั้น
ทำลายและกวาดต้อนทรัพย์สิน ไปพม่า แล้ว ต้นสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี
โปรดให้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์เข้าจำวัดต่าง ๆ พระราชทานเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่
ส่วนพระไตรปิฎกยังเหลือตกค้างอยู่ที่ใด ก็ ต่อมาข้าหลวงที่เข้ารีต ได้พยายามห้ามปราม
โปรดให้คัดลอกสร้างเป็นฉบับหลวง แล้วส่ง ชาวไทยปฏิบัติพิธีการทางศาสนา เช่น พิธีถือ
คืนกลับไปที่เดิม เรื่องสังฆมณฑล โปรดให้ น้ำพระพิพัฒน์สัตยา ความขัดแย้งมีมากขึ้น
ดำเนินตามธรรมเนียมการปกครองคณะสงฆ์ที่ เรื่อย ถึงกับจับพวกบาทหลวงกุมขังก็มี ใน
มีมาแต่ก่อน โดยแยกเป็นฝ่ายคันถธุระและ ที่สุดพระองค์จำต้องขอให้บาทหลวงไปจาก
ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ฝ่ายคันถธุระดำเนินการ พระราชอาณาเขต แล้วห้ามชาวไทยนับถือ
ศึกษาพระปริยัติธรรมให้เจริญ ส่งเสริมการ ศาสนาคริสต์ ตั้งแต่
สอนภาษาบาลี เพื่อช่วยการอ่านพระไตรปิฎก วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2322
ฝ่ายวิปัสนาธุระ

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ด้านการศึกสงคราม

ขณะ ที่พระยาตากได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมือง
กำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม แต่ก็ยังมิได้ไปครองเมืองกำแพงเพชร เพราะต้องต่อสู้กับข้าศึกในการป้องกันพระนคร
เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) เล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไป ก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด พม่าก็ตั้งล้อม
พระนครกระชั้นเข้ามาทุกขณะจนถึงคูพระนครแล้ว กรุงศรีอยุธยาคงไม่พ้นเงื้อมมือพม่าเป็นแน่แท้ ไพร่ฟ้าข้าทหารในพระนครก็
อิดโรยลงมาก เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร ทหารไม่มีกำลังใจจะสู้รบ ดังนั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตัดสินใจร่วมกับพระยา
พิชัยอาสา พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี และพรรคพวก รวม ๕๐๐ คน ยกกำลังออกจากค่าย
วัดพิชัย ตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก เวลาค่ำในวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ ตรงกับวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.
๒๓๐๙ ทัพพม่าได้ส่งทหารไล่ติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน)
และพรรคพวกมาทันกันในวันรุ่งขึ้นที่ บ้านโพธิ์สังหาร พระยาวชิรปราการ (สิน) ได้นำพลทหารไทยจีนเข้ารบกับทหารพม่าเป็น
สามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป และยังได้ยึดเครื่องศาสตราวุธอีกเป็นจำนวนมาก แล้วออกเดินทางไปตั้งพักที่บ้านพรานนก
เพื่อหาเสบียงอาหาร ระหว่างที่ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) หาเสบียงอาหารอยู่นั้น ได้พบทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้าประมาณ
๓๐ ม้า พลเดินเท้าประมาณ ๒,๐๐๐ คน ยกทัพมาจากบางคาง แขวงเมืองปราจีนบุรี เพื่อเข้ารวมพลเข้าตีกรุงศรีอยุธยาใน
โอกาสต่อไป ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงหนีกลับมาที่บ้านพรานนก โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและชะล่า
ใจ พระยาวชิรปราการ (สิน) จึงให้ทหารซึ่งเป็นพลเดินเท้าแยกออกเป็นปีกกาเข้าตีโอบพวกพม่าทั้งสองข้าง ส่วนพระยาวชิร
ปราการ (สิน) กับทหารอีก ๔ คน ก็ขี่ม้าตรงเข้าไล่ฟันทหารม้าพม่าซึ่งนำทัพมาอย่างไม่ทันรู้ตัวก็แตกร่นไป ถึงพลเดินเท้า พวก
ทหารพระยาวชิรปราการได้ทีเข้ารุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตกพ่ายไป การชนะในครั้งนี้ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารพระยา
วชิรปราการ (สิน) เป็นอย่างมากในโอกาสสู้รบกับพม่าในโอกาสต่อไป

พวกราษฏรที่หลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ได้ทราบกิตติศัพท์การรบชนะของพระยาวชิรปราการ (สิน) ต่อทหารพม่าต่างก็มาขอเข้าเป็นพวก
และได้เป็นกำลังสำคัญในการเกลี้ยกล่อมผู้ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้า นายซ่องต่าง ๆ มาอ่อนน้อมขุนชำนาญไพรสนฑ์ และนายกองช้างเมือง
นครนายก มีจิตสวามิภักดิ์ได้นำเสบียงอาหารและช้างม้ามาให้เป็นกำลังเพิ่มขึ้น ส่วนนายซ่องใหญ่ซึ่งมีค่ายคูยังทะนงตนไม่ยอม
อ่อนน้อม พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็คุมทหารไปปราบจนได้ชัยชนะแล้วจึงยกทัพผ่านเมืองนครนายกข้ามลำน้ำเมือง ปราจีนบุรีไปตั้ง
พักที่ชายดงศรีมหาโพธิ์ข้างฟากตะวันตก ทหารพม่าเมื่อแตกพ่ายไปจากบ้านพรานนกแล้วก็กลับไปรายงานนายทัพที่ตั้งค่าย ณ ปากน้ำ
เจ้าโล้ เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งกองทัพพม่ากองสุดท้ายที่รวบรวมกำลังกันทั้งทัพบกทัพเรือไปรอดัก พระยาวชิรปราการ (สิน) อยู่ ณ ที่นั้น
และตามทัพพระยาวชิรปราการ (สิน) ทันกันที่ชายทุ่ง พระยาวชิรปราการ (สิน) เห็นว่าจะต่อสู้กับข้าศึก ซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ อีกทั้งมี
กำลังน้อยกว่ายากที่จะเอาชัยชนะแก่พม่าได้ จึงเลือกเอาชัยภูมิพงแขมเป็นกำบังแทนแนวค่าย และแอบตั้งปืนใหญ่น้อยรายไว้หมาย
เฉพาะทาง ที่จะล่อพม่าเดินเข้ามา แล้วพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็นำทหารประมาณ ๑๐๐ คนเศษ คอยรบพม่าที่ท้องทุ่ง ครั้นเมื่อรบ
กันสักพักหนึ่งก็แกล้งทำเป็นถอยหนีไปทางช่องพงแขมที่ตั้งปืน ใหญ่เตรียมไว้ ทหารพม่าหลงกลอุบายรุกไล่ตามเข้าไปก็ถูกทหารไทย
ระดมยิงและตีกระหนาบเข้ามา ทางด้านหน้า ขวา และซ้าย จนทหารพม่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ต่อไปทำให้ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวน
มาก ที่รอดตายต่างถอยหนีอย่างไม่เป็นกระบวนก็ถูกพระยาวชิรปราการ (สิน) นำทหารไล่ติดตามฆ่าฟันล้มตายอีก นับตั้งแต่นั้นมาท
หารพม่าก็ไม่กล้าจะติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน) อีกต่อไป เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) ได้ชัยชนะพม่าแล้วได้ยกทัพผ่านบ้าน
ทองหลาง พานทอง บางปลาสร้อย บ้านนาเกลือ เขตเมืองชลบุรี ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมสมทบมากขึ้นจนมีรี้พลเป็นกองทัพ จากนั้น
พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็เดินทางไปเมืองระยอง โดยหมายจะเอาเมืองระยองเป็นที่ตั้งมั่นต่อไป ครั้นถึงเมืองระยอง พระยาระยอง
ชื่อบุญ เห็นกำลังพลของ พระยาวชิรปราการมีจำนวนมากมายที่จะต้านทานได้จึงพากันออกมา ต้อนรับ พระยาวชิรปราการ (สิน) จึง
ตั้งค่ายที่ชานเมืองระยอง ขณะนั้นมีพวกกรมการเมืองระยองหลายคนแข็งข้อคิดจะสู้รบ จึงได้ยกกำลังเข้าปล้นค่ายในคืนวันที่สองที่หยุด
พัก แต่พระยาวชิรปราการ (สิน) รู้ตัวก่อน จึงได้ดับไฟในค่ายเสียและมิให้โห่ร้องหรือยิงปืนตอบ รอจนพวกกรมการเมืองเข้ามาได้ระยะ
ทางปืนพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็สั่งยิงปืนไปยังพวกที่จะแหกค่ายด้านวัดเนิน พวกที่ตามหลังมาต่างก็ตกใจและถอยหนี พระยาวชิร
ปราการ (สิน) คุมทหารติดตามไปเผาค่ายและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้น การที่พระยาวชิรปราการ (สิน) เข้าตีเมืองระยองได้และกรุง
ศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่าแต่ประการใด จึงถือเสมือนเป็นผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็ระวังตน
มิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ และให้เรียกคำสั่งว่า พระประศาสน์อย่างเจ้าเมืองเอก พวกบริวารจึงเรียกว่า เจ้าตาก ตั้งแต่นั้นมา เมื่อเจ้าตาก
ตั้งตัวเป็นอิสระที่เมืองระยอง ส่วนเมืองอื่น ๆ ทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออกนับตั้งแต่เมืองบางละมุง เมืองชลบุรี เมืองจันทบุรี เมือง
ตราด ต่างก็ยังเป็นอิสระ เจ้าตากจึงมีความคิดที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ไว้เป็นพวกเดียวกันเพื่อช่วยกันปราบปรามพม่าที่ล้อม
กรุงศรีอยุธยา และเล็งเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่กว่าหัวเมืองอื่น มีเจ้าปกครองอยู่เป็นปกติมีกำลังคนและอาหารบริบูรณ์
ชัยภูมิก็เหมาะที่จะใช้เป็นที่ตั้งมั่นยิ่งกว่าหัวเมืองใกล้เคียงทั้งหลาย จึงแต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปชักชวนพระยาจันทบุรีช่วยกันปราบ
ปรามข้าศึก ในครั้งแรกได้ตอบรับทูตโดยดีและรับว่าจะมาปรึกษาหารือกับเจ้าตากเกรงจะถูก ชิงเมืองจึงไม่ยอมไปพบ ครั้นถึงเดือน ๕
ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ ข่าวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว ก็มีคนไทยที่มีสมัครพรรคพวกมากต่างก็ตั้ง
ตัวเป็นใหญ่พระยาจันทบุรียังไม่ยอมเป็นไมตรีกับเจ้าตาก ส่วนขุนรามหมื่นซ่อง กรมการเมืองระยองผู้หนึ่งที่เคยปล้นค่ายเจ้าตากก็ไป
ซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองแกลง ซึ่งขณะนั้นขึ้นกับเมืองจันทบุรีและคอยปล้นชิงช้างม้าพาหนะของเจ้าตาก เจ้าตากจึงยกกำลังไปปราบ ขุน
รามหมื่นซ่องสู้ไม่ได้หนีไปอยู่กับพระยาจันทบุรี ครั้นเจ้าตากจะยกพลติดตามไปก็พอดีได้ข่าวว่าทางเมืองชลบุรี นายทองอยู่นกเล็กตั้งตัว
เป็นใหญ่ ผู้ใดจะเข้ากับเจ้าตาก นายทองอยู่นกเล็กก็จะยึดเอาไว้เสีย เจ้าตากจึงรีบยกทัพไปเมืองชลบุรีแล้วส่งเพื่อนฝูงของนายทอง
อยู่นกเล็กเกลี้ย กล่อม นายทองอยู่นกเล็กเห็นจะสู้รบไม่ไหวจึงยอมอ่อนน้อม เจ้าตากจึงตั้งนายทองอยู่นกเล็กเป็นพระยาอนุราฐบุรี
ตำแหน่ง ผู้ว่าราชการเมืองชลบุรี แล้วก็เลิกทัพกลับ ฝ่ายพระยาจันทบุรีได้ปรึกษากับขุนรามหมื่นซ่องเห็นว่าจะรบพุ่งเอาชนะเจ้าตาก
ซึ่งหน้าคงจะชนะยาก ด้วยเจ้าตากมีฝีมือเข้มแข็งทั้งรี้พลก็ชำนาญศึก จึงคิดกลอุบายจะโจมตีกองทัพเจ้าตากขณะกำลังข้ามน้ำเข้าเมือง
จันทบุรี โดยนิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูป เป็นทูตมาเชิญเจ้าตากไปตั้งที่เมืองจันทบุรี แต่ในระหว่างเจ้าตากเดินทางจะข้ามน้ำเข้าเมืองจันทบุรี
อยู่นั้นได้มีผู้ มาบอกให้เจ้าตากทราบกลอุบายนี้เสียก่อน เจ้าตากจึงให้เลี้ยวกระบวนทัพไปตั้งที่ชายเมืองด้านเหนือบริเวณวัดแก้ว ห่าง
ประตูท่าช้างเมืองจันทบุรีประมาณ ๕ เส้น แล้วเชิญพระยาจันทบุรีออกมาหาเจ้าตากก่อนที่จะเข้าเมือง แต่พระยาจันทบุรีไม่ยอมออก
มาต้อนรับพร้อมกับระดมคนประจำรักษาหน้าที่ เชิงเทิน เจ้าตากได้ทบทวนถึงสถานการณ์ต่าง ๆ แล้ว เห็นว่าแม้ข้าศึกจะครั่นคร้าม
ฝีมือไม่กล้าโจมตีซึ่งหน้าก็ตาม แต่ฝ่ายพระยาจันทบุรีมีจำนวนมากกว่า ถ้าเจ้าตากล่าถอยไปเมื่อใด ทัพจันทบุรีก็จะล้อมไล่ตีได้หลาย
ทาง เพราะไม่มีเสบียงอาหาร เจ้าตากจึงตัดสินใจจะต้องเข้าตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ให้ได้ และแสดงออกถึงน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวโดยสั่ง
นายทัพนายกองว่า

“เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำ วันนี้เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้วทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและ ต่อยหม้อเสียให้หมด
หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ก็จะได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว”

ครั้นได้ฤกษ์เวลา ๓ นาฬิกา เจ้าตากพร้อมด้วยทหารไทยจีนเข้าโจมตีเมืองจันทบุรีอย่างเข้มแข็งและเด็ด เดี่ยวโดยเจ้าตากขี่
ช้างพังคีรีบัญชรเข้าพังประตูเมืองได้สำเร็จ พวกทหารก็กรูกันเข้าเมืองได้ ชาวเมืองต่างก็เสียขวัญละทิ้งหน้าที่แตกหนีไป ส่วน
พระยาจันทบุรี พาครอบครัวลงเรือหนีไปเมืองบันทายมาศ เมื่อเจ้าตากจัดเมืองจันทบุรีเรียบร้อยแล้ว ก็ยกทัพบกทัพเรือลงไป
เมืองตราด พวกกรม การเมืองและราษฎรต่างยอมอ่อนน้อมโดยดี แต่ยังมีพ่อค้าในสำเภาที่จอดอยู่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำไม่
ยอมอ่อนน้อม เจ้าตากได้ยกทัพเรือโจมตีสำเภาจีนได้ทั้งหมดในครึ่งวัน และสามารถยึดทรัพย์สิ่งของได้เป็นจำนวนมาก ซึ่ง
สามารถนำมาจัดเตรียมกองทัพเข้า กู้เอกราช เจ้าตากได้จัดการเมืองตราดเรียบร้อยก็ย่างเข้าสู่ฤดูฝนพอดี จึงยกกองทัพกลับ
เมืองจันทบุรี เพื่อตระเตรียมกำลังคน สะสมเสบียงอาหาร อาวุธยุทธภัณฑ์ และต่อเรือรบได้ถึง ๑๐๐ ลำ รวบรวมกำลังคนเพิ่ม
ได้อีกเป็นคนไทยจีน ประมาณ ๕,๐๐๐ คนเศษ กับมีข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาได้หลบหนีพม่ามาร่วมด้วยอีกหลายคน และที่
สำคัญก็คือ หลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก นายสุดจินดาหุ้มแพรมหาดเล็ก พอถึงเดือน ๑๑ พ.ศ.๒๓๑๐ หลังสิ้นฤดูมรสุมแล้ว
เจ้าตากก็ยกกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรีเพื่อมากอบกู้เอกราช ระหว่างทางได้หยุดชำระความพระยาอนุราฐบุรีที่เมืองชลบุรี ซึ่ง
ประพฤติตัวเยี่ยงโจรเข้าตีปล้นเรือลูกค้า ชำระได้ความเป็นสัตย์จริง จึงให้ประหารชีวิตพระยาอนุราฐบุรีเสีย แล้วยกทัพเรือเข้า
ปากแม่น้ำเจ้าพระยาในเดือน ๑๒ กองทัพเรือภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าตากได้เข้าโจมตีเมืองธนบุรีเป็นครั้งแรก มีนายทอง
อินคนไทยที่พม่าให้รักษาเมืองอยู่ พอนายทองอินทราบข่าวว่าเจ้าตากยกกองทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา ก็ให้คนรีบขึ้น
ไปบอกข่าวแก่สุกี้พระนายกองแม่ทัพพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น แล้วเรียกระดมพลขึ้นรักษาป้อมวิชเยนทร์ และหน้าแท่นเชิงเทิน
ครั้นกองทัพเรือเจ้าตากเดินทางมาถึง รี้พลที่รักษาเมืองธนบุรี กลับไม่มีใจสู้รบเพราะเห็นเป็นคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นกองทัพ
เรือของเจ้าตากเข้ารบพุ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถตีเมืองธนบุรี ได้ เจ้าตากให้ประหารชีวิตนายทองอินเสียแล้วเร่งยกกองทัพเรือ
ไปตีกรุงศรีอยุธยา สุกี้แม่ทัพพม่าได้ข่าวเจ้าตากตีเมืองธนบุรีได้แล้ว ก็ส่งมองญ่านายทัพรองคุมพลซึ่งเป็นมอญและไทยยก
กองทัพเรือไปสกัดกองทัพเรือเจ้าตากอยู่ที่เพนียด เจ้าตากยกกองทัพเรือขึ้นไปถึงกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาค่ำสืบทราบว่ามีกองทัพ
ข้าศึกยกมาตั้งรับคอยอยู่ที่เพนียดไม่ทราบว่ามีกำลังเท่าใด ฝ่ายพวกคนไทยที่ถูกเกณฑ์มาในกองทัพมองญ่ารู้ว่ากองทัพเรือที่ยก
มานั้นเป็นคน ไทยด้วยกัน ก็คิดจะหลบหนีบ้าง จะหาโอกาสเข้าร่วมกับเจ้าตากบ้างมองญ่าเห็นพวกคนไทยไม่เป็นอันจะต่อสู้
เกรงว่าจะพากันกบฏขึ้น จึงรีบหนีกลับไปค่ายโพธิ์สามต้นในคืนนั้น เจ้าตากทราบจากพวกคนไทยที่หนีพม่ามาเข้าด้วยว่า พม่า
ถอยหนีจากเพนียดหมดแล้ว ก็รีบยกกองทัพขึ้นไป ตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น ๒ ค่าย พร้อมกันในตอนเช้า สู้รบกันจนเที่ยง เจ้า
ตากก็เข้าค่ายพม่าได้ สุกี้ตายในที่รบ จึงถือว่า เจ้าตากได้กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาได้แล้ว หลังจากที่ไทยต้องสูญเสีย
เอกราชในครั้งนี้เพียง ๗ เดือน
ภายหลังที่พระเจ้าตากมีชัยชนะกับพม่าแล้ว ทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาติบ้าน
เมืองเพิ่งเป็นอิสระจากพม่า จิตใจของประชาราษฎรยังระส่ำระสาย ประกอบกับสภาพบ้านเมืองที่ถูกข้าศึกเผาผลาญทำลาย
ปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป ก็ยิ่งก่อให้เกิดความเศร้าโศกสะเทือนใจจนยากที่จะหาสิ่งใดมาลบล้างความรู้สึกสลดหดหู่นั้นได้ บ้าน
เมืองยังต้องการความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติจะต้องเรียกขวัญและกำลังใจของประชาชนให้กลับคืน อยู่ในสภาพปกติ
โดยเร็วที่สุด ไหนจะต้องป้องกันศัตรูจากภายนอกประเทศที่คอยหาโอกาสจะเข้ารุกราน จึงต้องรวบรวมคนไทยที่แบ่งเป็นก๊กเป็น
เหล่าถึง ๕ ก๊ก

ซึ่งก๊กต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นพระราชภาระที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะต้องทรง

กระทำโดยเร็ว ดังจะได้จำแนกพระราชกรณียกิจของพระองค์ออกเป็น ๒ ด้านคือ การ

สร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง และการฟื้นฟูบ้านเมืองทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ

พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

การสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง

๑. การปราบปรามก๊กต่าง ๆ
พ.ศ.๒๓๑๑ ยกกองทัพไปปราบกรมหมื่นเทพพิพิธได้สำเร็จ แล้วสำเร็จโทษกรม
หมื่นเทพพิพิธด้วยท่อนจันทน์ ตามประเพณี
พ.ศ.๒๓๑๒ ยกทัพบกและทัพเรือไปปราบเจ้านครศรีธรรมราชได้สำเร็จ เมือง
ตานี และไทรบุรีขอยอมเข้ารวมเป็นขัณฑสีมาด้วยกัน
พ.ศ.๒๓๑๓ ยกกองทัพไปตีเมืองสวางคบุรี ขณะที่เจ้าพระฝางตีได้เมืองพิษณุโลก
แล้วจึงยกกองทัพเข้าล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระฝางฝ่าแนวล้อมหนีรอดไปได้

๒. การทำสงครามกับพม่า
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำศึกกับพม่า ถึง ๙ ครั้ง แต่ละครั้งแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ทางด้านยุทธศาสตร์อย่าง
ดี เยี่ยม พร้อมด้วยน้ำพระทัยที่เด็ดเดี่ยวฉับไว การทำสงครามกับพม่าดังกล่าว ได้แก่
สงครามครั้งที่ ๑ รบพม่าที่บางกุ้ง พ.ศ.๒๓๑๐

สงครามครั้งที่ ๒ พม่าตีเมืองสวรรคโลก พ.ศ.๒๓๑๓
สงครามครั้งที่ ๓ ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก พ.ศ.๒๓๑๓ - ๒๓๑๔
สงครามครั้งที่ ๔ พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๓๑๕
สงครามครั้งที่ ๕ พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๖
สงครามครั้งที่ ๖ ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๗
สงครามครั้งที่ ๗ รบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี พ.ศ.๒๓๑๗
สงครามครั้งที่ ๘ อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ.๒๓๑๘
สงครามครั้งที่ ๙ พม่าตีเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๓๑๙
สำหรับสงครามรบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี พ.ศ. ๒๓๑๗ เป็นสงครามที่ทำให้พม่าครั่นคร้าม และเข็ดหลาบไม่กล้ามารุกรานไทยอีกต่อไป
๓. การขยายพระราชอาณาเขตไปยังหลวงพระบางและเวียงจันทน์
พ.ศ.๒๓๒๑ พระเจ้านครหลวงพระบางขอสวามิภักดิ์เข้ารวมในพระราชอาณาจักร ส่วนนครเวียงจันทน์ซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นพม่าตั้งแต่
พ.ศ.๒๓๑๗ ได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเดินทัพเข้ามาในพระราชอาณาเขต เพื่อกำจัดพระวอเสนาบดีเมืองเวียงจันทน์
ซึ่งได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีจึงโปรดให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ ได้ เมื่อ
พ.ศ.๒๓๒๒ โปรดให้พระยาสุโภอยู่รักษาเมือง เมื่อเสร็จสงคราม สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฎิ
มากร (พระแก้วมรกต) และพระบาง จากเวียงจันทน์ มาประดิษฐาน ณ กรุงธนบุรีด้วย

๔. การขยายพระราชอาณาเขตไปยังกัมพูชา
พ.ศ.๒๓๑๒ ทรงโปรดให้ยกกองทัพไปตีกรุงกัมพูชา เนื่องจากเจ้าเมืองกัมพูชาไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการ
ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ตามราชประเพณีที่เคยปฏิบัติมา ทัพไทยตีได้เมืองเสียมราฐ และพระตะบอง
พ.ศ. ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพไปตีกัมพูชาได้สำเร็จ สาเหตุจากขณะไทยทำศึกกับ
พม่าอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระนารายณ์ราชากษัตริย์กรุงกัมพูชาได้ถือโอกาสมาตีเมืองตราด และเมือง
จันทบุรี เมื่อตีกัมพูชาได้แล้วทรงมอบให้นักองค์นนท์ปกครองต่อไป
พ.ศ.๒๓๒๓ กัมพูชาเกิดจลาจลแย่งชิงราชสมบัติกันเอง จึงเหลือนักองค์เอง ที่มีพระชนม์เพียง ๔ พรรษา
ปกครองโดยมีฟ้าทะละหะ (มู) ว่าราชการแทน และเอาใจออกห่างฝักใฝ่ญวน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาม

สมัยรัตนโกสินทร์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ครองราชย์ พระราชประวัติ สวรรคต

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง ในบั้นปลายพระชนมชีพ พระบาทสมเด็จพระ

ได้รับการกราบบังคมทูลเชิญขึ้นเป็นพระมหา จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์
กษัตริย์สืบต่อจากสมเด็จพระบรมราชชนกเมื่อ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ด้วย นัก หลังจากเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 แล้ว พระ
พระชนมายุเพียง 15 พรรษา ทรงประกอบ อาการก็ค่อยทรุดลงเป็นลำดับ และเสด็จสวรรคตด้วย
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่
11 พฤศจิกายน 2411 โดยมีเจ้าพระยาศรี พระโรคพระวักกะพิการเมื่อเวลา 2 ยาม 45 นาที
สุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการ ของวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 สิริพระ
แทนพระองค์ จนหลังจากพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษกครั้งที่ 2 เมื่อพระชนมายุ 20 ชนมายุ 58 พรรษา ทรงครองสิริราชสมบัติ 42 ปี
พรรษา ในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 ทรงมีพระราชโอรส พระราชธิดารวมทั้งสิ้น 77

พระองค์ ด้วยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อไพร่ฟ้า
ประชาชนอย่างหาที่สุดมิได้มาตลอดรัชกาลอัน

จึงทรงปกครองแผ่นดินด้วยพระองค์เองอย่าง ยาวนาน ประชาชนจึงพร้อมใจกันถวายพระบรมราช
สมบูรณ์ ทรงครองราชย์อยู่เป็นเวลายาวนาน สมัญญานาม ว่า สมเด็จพระปิยมหาราช อันมีความ
ถึง 42 ปี และได้ทรงพัฒนาประเทศให้เจริญ หมายว่า พระมหากษัติรย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวง
ชน และถือวันที่ 23 ตุลาคม เป็นวันปิยมหาราชมา
ก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทุกวิถีทาง
จนตราบเท่าทุกวันนี้

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การปกครอง

เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นไปของ ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภา
โลก และด้วยทรงตระหนักถึง องคมนตรีเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในปี
ภยันตรายของลัทธิแสวงหา พ.ศ. 2417
อาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกที่ ทรงประกาศตั้งกระทรวง 12 กระทรวง ในปี
กำลังแผ่เข้ามาในเวลานั้น จึงทรง พ.ศ. 2435
พยายาม ปรับปรุงระบบการปกครอง ทรงยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี
ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิด จัตวา เป็นการปกครองแบบเทศาภิบาลคือ
การปฏิรูประเบียบวิธีการปกครองให้ รวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล
ทันสมัยขึ้นหลายอย่าง โดยทรง มีการตราพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ทีละ
เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองทั้ง มณฑลภายใต้การกำกับดูแลของข้าหลวง
ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้เหมาะ เทศาภิบาลที่ส่งไปจากส่วนกลาง โดยเริ่ม
สมกับยุคสมัยหลายประการ เช่น ตั้งแต่ พ.ศ. 2437
โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกระบบไพร่ ระบบทาส
เพื่อปลดปล่อยประชาชนพลเมืองให้พ้นจาก
พันธะอันรัดตัวต่าง ๆ ทำให้ประชาชนทั้งชาติมี
สิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การศาล

ทรงปฏิรูประบบกฎหมายและ ให้ตั้งกรรมการตรวจชำระและ
การศาลให้ทันสมัย และขจัด ร่างกฎหมาย ได้ทรงประกาศ
สิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ ใช้กฎหมายลักษณะอาญาซึ่ง
ไทยต้องเสียเปรียบแก่ชาวต่าง ถือเป็นประมวลกฎหมายฉบับ
ชาติ โดยปรับปรุงระเบียบการ แรกของไทย และทรงจัดตั้ง
ศาลให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โรงเรียนกฎหมายเพื่อผลิตนัก
ทั่วราชอาณาจักร มีกระทรวง กฎหมายให้พอแก่ความ
ยุติธรรมรับผิดชอบอย่าง ต้องการ ทำให้การพิจารณา
คดีและการลงโทษแบบเก่า
แท้จริง โปรดเกล้าฯ
หมดไป

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การทหารและตำรวจ

โปรดเกล้าฯ ให้จัดการทหาร โรงเรียนนายร้อย
ตามแบบยุโรป และวาง พระจุลจอมเกล้า กับจัดตั้ง
กำหนดการเกณฑ์คนเข้าเป็น ตำรวจภูธร ตำรวจนครบาล
ทหารแทนการใช้แรงงาน เพื่อให้ดูแลบ้านเมืองและ
บังคับไพร่ตามประเพณีเดิม ปราบปรามโจรผู้ร้ายโดยทั่ว
โดยประกาศพระราชบัญญัติ ถึง
เกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 เป็น
ครั้งแรก อีกทั้งทรงจัดตั้ง
โรงเรียนการทหาร คือ

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การเลิกทาส

ทรงดำเนินการด้วยความสุขุมคัมภีรภาพนับแต่ปี พ.ศ. 2417 จนถึง พ.ศ. 2448
รวมเวลายาวนานกว่า 30 ปี จึงสำเร็จเสร็จสิ้นโดยไม่มีความขัดแย้งรุนแรงถึง
ลงมือรบพุ่งดังที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศ "พระ
ราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย" เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 แก้
พิกัดค่าตัวทาสใหม่ ให้ลดค่าตัวทาสลงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดค่าตัวเมื่อ
อายุ 20 ปี ครั้นอายุได้ 21 ปี ทาสผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ พระราชบัญญัตินี้มีผลกับ
ทาสที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นไป ทั้งห้ามมิให้มีการซื้อขายบุคคลที่มีอายุ
มากกว่า 20 ปีเป็นทาสอีก และโปรดเกล้าฯ ให้ออก "พระราชบัญญัติเลิกทาส
ร.ศ. 124" ให้ลูกทาสทุกคนเป็นไท เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 ส่วนทาส
ประเภทอื่นที่มิใช่ทาสในเรือนเบี้ย ทรงให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท นับตั้งแต่
เดือนเมษายน พ.ศ. 2448 นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติป้องกันมิให้คนที่เป็นไทแล้วก
ลับไปเป็นทาสอีก และเมื่อทาสจะเปลี่ยนเจ้าเงินใหม่ ห้ามมิให้ขึ้นค่าตัว ทั้งยัง
เตรียมการให้ผู้ที่พ้นจากความเป็นทาสได้มีความรู้ และมีเครื่องมือทำมาหากินเลี้ยง

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การศึกษา

ด้วยทรงตระหนักดีว่าการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างคนและ
ประเทศ จึงทรงขยายการศึกษาออกไปสู่ราษฎรทุกระดับ ได้พระราชทาน
พระตำหนักสวนกุหลาบให้เป็นโรงเรียน และมีการตั้งโรงเรียนสำหรับ
ราษฎรแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรม
ศึกษาธิการซึ่งต่อมาเข้าสังกัดกระทรวงธรรมการเพื่อบังคับบัญชาเกี่ยว
กับการศึกษาให้เป็นระเบียบ นอกจากนั้น ยังส่งพระราชโอรสไปทรง
ศึกษาในยุโรปด้วยทรงมีพระราชดำริว่า ผู้จะปกครองบ้านเมืองต้องรู้จัก
โลกกว้างขวางจึงจะแก้ไขปัญหาได้ทันการณ์ ทั้งยังเป็นสื่อเจริญพระราช
ไมตรีได้เป็นอย่างดี สำหรับนักเรียนทั่วไป โปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบชิง
ทุนเล่าเรียนหลวง “คิงสกอลาชิป” ตั้งแต่ พ.ศ. 2440 เพื่อส่งนักเรียนที่
เรียนดีไปศึกษายังต่างประเทศหลายรุ่น

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เศรษฐกิจ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงเริ่มปฏิรูปการคลังโดย

ทรงวางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ปรับปรุงการภาษีอากรและระเบียบการเก็บภาษีอากร

โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นใน พ.ศ. 2416 ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ตั้ง “บุคคลัภย์”
และยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงการคลังเมื่อ พ.ศ. 2435 เพื่อ (BookClub) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของชาว
ทำหน้าที่เก็บภาษีอากรของแผ่นดินมารวมไว้แห่งเดียว และ สยามขึ้นเป็นธนาคารในนาม “บริษัท แบงก์สยาม กัมมา
เพื่อให้การรับจ่ายเงินของแผ่นดินเป็นไปอย่างรัดกุม จล ทุนจำกัด” เมื่อ พ.ศ. 2449 ประกอบธุรกิจธนาคาร
โปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นเป็นครั้ง พาณิชย์อย่างเป็นทางการ นับเป็นธนาคารแห่งแรกที่ตั้ง
แรก เมื่อพ.ศ. 2439 เป็นการกำหนดรายจ่ายมิให้เกินกำลัง ขึ้นด้วยเงินทุนของคนไทย ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น
ของเงินรายได้ เพื่อรักษาดุลยภาพและความมั่นคงของฐานะ “ธนาคารไทยพาณิชย์” และยังโปรดเกล้าฯ ให้มีการออก
การคลัง ในการจัดทำงบประมาณครั้งนี้ ยังโปรดเกล้าฯ ให้ พันธบัตรเพื่อนำเงินมาปรับปรุงสาธารณูปโภคพื้นฐานและ
แยกการเงินส่วนแผ่นดินและส่วนพระองค์ออกจากกันอย่าง พัฒนาประเทศให้ทันสมัย
เด็ดขาด นับเป็นพระมหากษัตริย์ในระบบอบสมบูรณาญา การที่ไทยประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และมีข้าว
สิทธิราชพระองค์เดียวในโลกที่ออกกฎหมายจำกัดอำนาจการ เป็นสินค้าออกสำคัญ การขยายพื้นที่ทำนา และน้ำย่อม
ใช้เงินของพระองค์เอง และเนื่องจากการค้าขายในพระราช เป็นปัจจัยสำคัญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่
อาณาจักรเริ่มเจริญขึ้น จึงได้ทรงจัดระบบเงินตราใหม่ โดย หัวจึงตั้งพระทัยที่จะพัฒนาการเกษตร มีการขุดคลองเพื่อ
ยกเลิกระบบเงินพดด้วงและหน่วยเงินแบบเดิมมาใช้หน่วย ขยายพื้นที่นา ตั้งโรงเรียนการคลอง โรงเรียนวิชาการ
เงินเป็นบาท สลึง สตางค์ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ เพาะปลูก และกระทรวงเกษตราธิการ นอกจากนั้นยังมี
ธนบัตรขึ้นใช้แทน ธนบัตรแบบแรกอย่างเป็นทางการของไทย การจัดตั้งกรมคลอง เพื่อดูแลเรื่องการชลประทาน มีการ
ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2445 ออกหนังสือรับรองกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือโฉนดที่ดินซึ่งต่อมา
ได้มีการเดินสวนเดินนาออกโฉนดที่ดินไปทั่วประเทศ ทั้ง
ยังโปรดเกล้าฯ ให้มีการสำรวจป่าไม้และจัดตั้งกรมป่าไม้
กรมโลหกิจและภูมิวิทยา และกรมช่างไหมขึ้น

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ศิลปะ วรรณกรรม และการศาสนา

ในด้านการถ่ายภาพนั้น ไม่ว่าเสด็จประพาสที่ใดจะทรงติดกล้องถ่ายรูปไปด้วย
เสมอ ดังนั้น ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์จึงกลายเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์
ด้วยแสดงให้เห็นสภาพบ้านเมืองและผู้คนในรัชสมัยได้อย่างดียิ่ง

ส่วนในด้านวรรณกรรมนั้น ทรงเป็นทั้งกวีและนักแต่งหนังสือที่มีความรู้ลึกซึ้ง ทรงสามารถแเต่ง
โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน บทละคร ตลอดจนร้อยแก้วต่าง ๆ ได้อย่างดียิ่ง ทรงพระราชนิพนธ์
หนังสือไว้มากมายหลายประเภททั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ประเพณี วรรณคดีและอื่น ๆ ซึ่งล้วน
แต่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่องในวงวิชาการวรรณกรรมไทยทั้งสิ้น นอกจากนั้น ยัง
ทรงจัดตั้งหอพระสมุดสำหรับพระนครขึ้น และให้มีคณะกรรมการออกหนังสือของหอพระสมุด
ติดต่อกันหลายเล่มในชื่อ วชิรญาณ และวชิรญาณวิเศษ ทั้งยังมีการตราพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ขึ้น
เป็นครั้งแรก
ในทางศาสนา ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา ทรงสร้างวัดหลายแห่ง ได้แก่ วัดราชบพิตร
ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาล วัดเทพศิรินทราวาส วัดนิเวศธรรมประวัติ และวัดเบญจมบพิตร ในปี
พ.ศ. 2431 ทรงอาราธนาพระเถรานุเถระมาประชุมชำระพระไตรปิฏกและตีพิมพ์เป็นภาษาไทย
พระราชทานไปยังพระอารามต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 1,000 ชุด เรียกว่าพระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ และ
ในปี พ.ศ. 2445 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์เพื่อจัดระเบียบการ
ปกครองคณะสงฆ์ให้ดียิ่งขึ้น กำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขและผู้บังคับบัญชาสูงสุดฝ่าย
สงฆ์ กำหนดให้มีมหาเถรสมาคม เป็นองค์การปกครองสูงสุดของสงฆ์ นับเป็นพระราชบัญญัติ
ปกครองคณะสงฆ์ฉบับแรกของไทย

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การคมนาคมและการสาธารณูปโภค

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ยวดยานพาหนะสมัยใหม่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
เป็นลำดับ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนใหม่หลายสาย สายที่สำคัญยิ่ง คือ ถนนราชดำเนิน ซึ่งทอดยาว
ตั้งแต่ลานพระบรมรูปทรงม้าจนถึงพระบรมมหาราชวัง และยังมีถนนสายอื่น ๆ เช่น ถนนพาหุรัด
ถนนเยาวราช เป็นต้น ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองสายต่างๆ ขึ้นอีก เช่น คลองเปรมประชากร
คลองประเวศบุรีรมย์ และนับจาก พ.ศ.2437 เป็นต้นมา ทรงบริจาคเงินสร้างสะพานใหม่ในการเฉลิม
พระชนมพรรษาทุกปี โดยชื่อของสะพานทั้งหมดเหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำว่า “เฉลิม” นอกจากนั้น ยัง
โปรดเกล้าฯ ให้บริษัทรถรางไทยจัดการเดินรถรางขึ้นในพระนครเมื่อ พ.ศ. 2430

ส่วนการคมนาคมกับต่างจังหวัด โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ กับนครราชสีมาเป็น
สายแรก เมื่อ พ.ศ. 2433 หลังจากนั้นจึงมีการสร้างทางรถไฟไปยังภาคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ในด้านการสื่อสาร ได้โปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งเครื่องโทรเลข โทรศัพท์ ตามด้วยการรับส่งจดหมายอย่าง
เป็นระบบ และสามารถตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลขได้ในพ.ศ.2426 นอกจากการนั้น สาธารณูปโภคพื้น
ฐานอันได้แก่ ไฟฟ้า และน้ำประปา

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การสาธารณสุข

ในด้านการสาธารณสุข โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสภา
อุณาโลมแดงอันเป็นต้นกำเนิดของสภากาชาดไทยใน
ปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ.2436 และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรง
พยาบาลวังหลัง ซึ่ง ต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า
“โรงพยาบาลศิริราช” สำหรับรักษาผู้ป่วยอย่างเป็น
ทางการ นับเป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของเมืองไทย

พระราชกรณียกิจ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประเพณีและวัฒนธรรม

ด้านการแต่งกาย ทรงปรับปรุงการแต่งกายและทรงผมตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาล
โดยฝ่ายชาย เปลี่ยนจากผมทรงมหาดไทยเป็นตัดแบบฝรั่ง ข้าราชสำนักนุ่งผ้า
ม่วงโจงกระเบนแทนผ้าสมปักเก่า สวมเสื้อแพรตามสีกระทรวงแทนเสื้อ
กระบอกแบบเก่า ทรงออกแบบเสื้อราชปะแตน โปรดเกล้าฯ ให้ทหารนุ่ง
กางเกง พัฒนาเครื่องแบบให้รัดกุม ส่วนฝ่ายหญิง โปรดเกล้าฯให้เจ้าคุณพระ
ประยูรวงศ์ (แพ บุนนาค) พระสนมเอกไว้ผมยาวแทนผมปีกแบบเก่า
ทรงยกเลิกประเพณีหมอบคลาน เมื่อ พ.ศ. 2416 ในวันพระราชพิธี
ราชาภิเษก โดยให้ยืนเข้าเฝ้าและถวายคำนับแบบตะวันตก เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้
นั่งก็มีเก้าอี้ให้นั่งเฝ้า แต่หากเป็นการเข้าเฝ้าแบบไทยในหมู่คนไทยด้วยกันเอง
คงใช้ประเพณีคลานและหมอบเฝ้าดังเคยปฏิบัติกันมา

จั ด ทำ โ ด ย น . ส . ส ริ ต า อ ภิ ช า ต บุ ต ร
เ ล ข ที่ 3 4 ม . 4 / 7

THANK
YOU!


Click to View FlipBook Version