Vc โครงร่างงานวิจัย สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คณะผู้จัดทำวิจัย นางสาว จีรวรรณ พรมสาร รหัสนักศึกษา ๖๔๔๑๐๑๐๐๗ นางสาว ณัฏฐธิดา สิงห์คำป้อง รหัสนักศึกษา ๖๔๔๑๐๑๐๐๙ นางสาว สุธินี ซุ้ยวงษา รหัสนักศึกษา ๖๔๔๑๐๑๐๒๔ หลักสูตร : ครุศาสตรบัณฑิต (ภาษาไทย) สาขาวิชา : ภาษาไทย ชื่องานวิจัย กลวิธีการสื่อความหมายเชิง สัญลักษณ์ ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ( Strategies for conveying symbolic meaning in The Undertaker movie ) ความสําคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย ภาพยนตร์เป็นการแสดงประเภทหนึ่งที่มีวิธีการดำเนินเรื่องอย่างเป็นเรื่องราว ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ทาง วัฒนธรรม ดังนั้นภาพยนตร์เป็นส่วนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญที่ได้สะท้อนและเผยแพร่ คุณค่าทางวัฒนธรรม ภาพยนตร์ถือเป็นสื่อชนิดหนึ่งเพื่อให้ปรากฏรูปหรือเสียงเป็นเรื่องเหตุการณ์ หรือข้อความอันสามารถถ่ายทอด ได้ด้วยเครื่องฉายภาพยนตร์หรือเครื่องอย่างอื่นทำนองเดียวกัน ภาพยนตร์เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความ ต้องการของสังคม ภาพยนตร์จึงเป็นสื่อที่คนส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์เพื่อความบันเทิงในยามว่าง (พิมพลอย รัตนมาศ, 2554, หน้า 22) ภาพยนตร์จะมีเนื้อหาและการดำเนินเรื่องที่สามารถตอบสนองความต้องการและ ความพึงพอใจของผู้ชมภาพยนตร์ถือมีบทบาทที่แสดงเป็นเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตลอดจนความเชื่อ ของประชาชน บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา (2533) กล่าวถึง ภาพยนตร์เป็นศิลปะแขนงที่เจ็ด ซึ่งจะรวมถึง นาฏกรรม (Drama) ศิลปกรรม (Art) จิตรกรรม (painting) วรรณกรรม (Literature) ดนตรี (Music) ประติมากรรม (Sculpture) เป็นต้น ภาพยนตร์มีอุดมการณ์ที่ถูกสอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์ และภาพยนตร์มี กลวิธีการเล่าเรื่องเพื่อทำให้ผู้ชมเข้าใจสิ่งที่เกิดในสังคม (Ephraim 1990) ผู้สร้างภาพยนตร์ถ่ายทอดมุมมอง ความคิดของตนเองที่สะท้อนจากชีวิตทุก ๆ คน ภาพยนตร์กลายเป็นสิ่งที่สะท้อนสังคมในมุมมองของผู้สร้าง ภาพยนตร์เอง จนกระทั่งเริ่มมีการสร้างภาพยนตร์ที่มีการใช้ภาษาเขียนและรูปภาพ ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถเล่า
เรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสื่อสารจินตนาการที่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องการให้ผู้ชมภาพยนตร์ได้รับรู้ เพื่อ ตอบสนองความต้องการในแง่ของสื่อบันเทิง ภาพยนตร์เป็นสื่อหนึ่งที่ใช้กลวิธีในการเล่าเรื่องได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ที่สุดสื่อหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนจำนวนมากให้ความสนใจในภาพยนตร์ ทั้งในฐานะที่เป็นผู้สร้างสรรค์ หรือ ในฐานะผู้เสพสารการเล่าเรื่องมีมาตั้งแต่อดีต นพพร ประชากุล (2552) เสนอว่า มนุษย์ทุกหนทุกแห่งและทุก ยุคสมัยล้วนผลิตและบริโภคเรื่องเล่า เรื่องเล่าจึงปรากฏออกมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนิทาน ตำนาน จิตรกรรมฝาผนัง หรือจะเป็นเรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ภาพยนตร์ หรือแม้แต่ในยามหลับฝัน มนุษย์ยังฝันเป็น เรื่องเล่า เรื่องเล่านั้นมีทั้งที่ถือกันว่าอิงกับข้อเท็จจริง เช่น ข่าว สารคดี และที่รับรู้กันว่าเป็นเรื่องสมมุติขึ้น เช่น นวนิยาย ภาพยนตร์ ซึ่งการนำเสนอเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์ใน ตอนต้นไปสู่สถานการณ์ตอนจบ เกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนหนึ่ง และดำเนินไปตามเงื่อนไขของสถานที่และ เวลา อีกทั้งฉากในภาพยนตร์มักมีการนำเสนอฉากที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ซึ่งอิงอยู่กับยุคสมัยตามเนื้อเรื่องที่ ปรากฏ ในภาพยนตร์และยังมีสัญลักษณ์ในภาพยนตร์ที่ปรากฏขึ้น คือ ปรากฏในรูปของสัญลักษณ์ทางภาพ และ สัญลักษณ์ทางเสียง ผ่านโครงสร้างการเล่าเรื่องได้แก่ แก่นเรื่อง (Theme) โครงเรื่อง (Plot) ความขัดแย้ง (Conflict) ตัวละคร (Character) ฉาก (Setting) สัญลักษณ์ (Symbol) และมุมมองการเล่าเรื่อง (Point of view) ซึ่งสะท้อนผ่านการเล่าเรื่องของผู้กำกับด้วยลักษณะการทำงานเฉพาะตัว ดังนั้นสื่อภาพยนตร์สามารถ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความแตกต่างกันในวงกว้าง ทั้งช่วงอายุ เพศ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ ด้วยการ นำเสนอเนื้อหาของภาพยนตร์ที่มีความหลากหลาย อาทิ ภาพยนตร์แนวแอ็กชั่น (Action) ภาพยนตร์แนวตลก (Comedy) ภาพยนตร์แนวชีวิต (Drama) ภาพยนตร์แนวสยองขวัญ (Horror) ให้ออกมาโดดเด่น มีความ น่าสนใจ อย่างไรก็ตามการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์ไทยในปัจจุบันให้น่าสนใจและเป็นที่กล่าวขานของผู้ชมนั้น เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร ดังนั้นการตีความตามอัตลักษณ์ของผู้กำกับแต่ละคนที่แตกต่างออกไปก็มีส่วนช่วยให้ ภาพยนตร์มีความน่าสนใจหรือไม่อยู่ที่อัตลักษณ์การตีความจากผู้กำกับแต่ละคน ซึ่งการตีความที่แตกต่างกันก็ ส่งผลต่อการยอมรับของผู้ชมเช่นกัน ในปัจจุบันผู้กำกับภาพยนตร์ไทยที่มีชื่อเสียงมีอยู่มากมายในสังคมไทย หนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นผู้กำกับที่ชื่อว่า ต้องเต ธิติ ศรีนวล ผู้กำกับที่มากด้วยความสามารถในด้านการ กำกับภาพยนตร์ เขียนบท ตัดต่อ นักแสดง และซาวด์สกอร์หนัง ซึ่งเป็นผู้กำกับที่มีประสบการณ์อยู่ในวงการ ภาพยนตร์ไทยมากกว่า 10 ปี ผลงานในการกำกับภาพยนตร์ของต้องเต ธิติ ศรีนวล คือ สัปเหร่อ ซึ่งผลงานมี การตีความที่ค่อนข้างน่าสนใจมีการตีความแตกต่างออกไป แต่ยังคงเส้นเรื่องของวัฒนธรรมอีสานนั้น ๆ อยู่ ด้วยการตีความที่แตกต่างทำให้ภาพยนตร์ของต้องเต ธิติ ศรีนวล มีความน่าสนใจและมีความละเอียดในการ ผลิต ไม่ว่าจะเป็นด้านฉาก การหาข้อมูลและออกแบบให้สมกับเรื่องนั้น ๆ และด้านนักแสดง ต้องเต ธิติ ศรีนวล นอกจากจะเป็นผู้กำกับแล้วท่านยังเป็นครูสอนการแสดงอีกด้วย ก่อนการถ่ายทำทุกครั้งนักแสดงในเรื่องจะต้อง มีการเข้า Workshop ซึ่งความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียดที่ต้องเต ธิติ ศรีนวล มอบให้กับภาพยนตร์ ส่งผลทำ ให้ภาพยนตร์ทุกเรื่องมีความน่าสนใจ และเป็นที่ยอมรับของผู้ชมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การวิจัยเรื่อง “กลวิธีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ” ผู้วิจัยได้ให้ความสนใจใน การศึกษาภาพยนตร์ที่กำกับโดยต้องเต ธิติ ศรีนวล เพื่อวิเคราะห์ถึงกลวิธีงการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ใน
ภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งถือเป็นการสะท้อนความเป็นตัวตนความคิด ตลอดจน อุดมการณ์ของผู้กำกับที่ได้ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ของเขา ให้มีความน่าสนใจ โดยการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นำ แนวคิด ทฤษฎี ของนักภาษาศาสตร์มาเป็นแนวทางในการศึกษา ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับกลวิธีการเล่าเรื่องของ Lucaites and Condit (1985 อ้างถึงใน ฉลองรัตน์ ทิพย์พิมาน, 2539) แนวคิดเกี่ยวกับภาษาภาพยนตร์ของ Christian Metz และทฤษฎีสัญญัติวิทยาหรือสัญญะวิทยาของโซซูร์ (Saussure) เพื่อเป็นแนวทางในการ อธิบายการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่ปรากฎในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อให้แก่ผู้กำกับท่านอื่น ๆ ที่สนใจ และนำไปปรับใช้หรือประยุกต์ใช้ให้ภาพยนตร์มีความน่าสนใจมากขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษากลวิธีในการสือความหมายเชิงสัญลักษณ์ในภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ที่กำกับโดย ธิติ ศรีนวล 2) เพื่อศึกษาการใช้ภาษาในภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ ซึ่งกำกับโดย ธิติ ศรีนวล คําถามของการวิจัย 1. การนำเสนอภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ที่กำกับโดย ธิติ ศรีนวล มีกลวิธีในการสื่อความเชิง สัญลักษณ์ในภาพยนตร์อย่างไร 2. ภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อ ที่กำกับโดย ธิติ ศรีนวล มีการใช้ภาษาในภาพยนตร์อย่างไร ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แนวคิดเกี่ยวกับสัญญะวิทยา (Semiology) วิชาการค้านนิเทศศาสตร์และสื่อสารมวลชนนั้น มักจะประยุกต์เอาทฤษฎีทางด้านสังคมศาสตร์ เช่น สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา ฯลฯ มาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์สื่อประเภทต่างๆ อยู่เสมอ แนวคิดหนึ่งที่สำคัญ ก็คือแนวคิดเรื่องสัญญะวิทยา (Semiology) หรือสามารถถอดความหมายจากรากศัพท์ เดิมได้ว่าเป็น "ศาสตร์แห่งสัญญะ" (Science of sign) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่อธิบายถึงการเกิดขึ้น การพัฒนา การ แปรเปลี่ยน รวมทั้งการเสื่อมโทรมตลอดจนการสูญสลายของสัญญะหนึ่งๆ ที่ปรากฏออกมาอย่างเป็นแบบแผน และมีระบบระเบียบ (กาญจนา แก้วเทพ,2541ข) สัญญะวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบของสัญลักษณ์ ที่ปรากฏอยู่ในความคิดของมนุษย์ อันถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเรา สัญลักษณ์อาจจะได้แก่ ภาษา รหัส สัญญาณ เครื่องหมาย ภาพ ฯลฯ หรือหมายถึงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีความหมายแทนของจริง ตัว จริง ในตัวบทและในบริบทหนึ่งๆ ก็ได้ (Semeion, 2553) แนวคิดนี้จึงถือได้ว่าเป็นแนวคิดพื้นฐานสำคัญที่ จะนำมาอธิบายการตีความหมายเนื้อหาของสื่อได้เป็นอย่างดี สำหรับแนวคิดเรื่องสัญญะวิทยานี้ จะได้กล่าวถึง ความหมาย ประเภทของสัญญะ และวิธีการวิเคราะห์สัญญะ ต่อไปตามลำดับ
ความหมายของสัญญะ คำว่าสัญญะวิทยาหรือสัญญะศาสตร์ (Semiology และ Semiotics) ทั้งสองคำนี้มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คำเดียวกันคือ Semeion ที่แปลว่า Sign หรือสัญญะ ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับเครื่องหมายและสัญลักษณ์ คำ ว่า Semiotics (Greek: OnHEIWTIKOS, Semeiotikos, An Interpreter of Signs) เป็นคำที่นักปรัชญาด้าน ภาษาชาวอเมริกัน Charles Sanders Peirce (ค.ศ.1839- 1914) เป็นผู้ริเริ่มใช้และทำให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่ หลาย ส่วนคำว่า Scmiology เป็นคำที่ตั้งขึ้นโดยนักภาษาศาสตร์ Ferdinand de Saussure (ค.ศ. 1857-19 13) ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสัญญะศาสตร์และสัญญะวิทยานั้นมีเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการศึกษา ที่สอดคล้องและคล้ายคลึงกัน นั่นคือการศึกษาวิธีการสื่อความหมาย ขั้นตอนและหลักการในการสื่อ ความหมายตลอดจนเรื่องการทำความเข้าใจในความหมาย ของสัญลักษณ์ที่ปรากฎอยู่ในวัฒนธรรม หนึ่งๆ (Wikipedia, 2010b) กาญจนา แก้วเทพ (2541 ข) อธิบายว่า สัญญะ (Sign) หมาขถึง สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มี ความหมาย (meaning) แทนของจริงตัวจริง (object) ในตัวบท (text) และในบริบท (context) หนึ่งๆ O' Sullivan (1983 อ้างถึงใน สุทธินี ละ ไมเสถียร , 2538) ได้อธิบายและให้คำจำกัดความไว้ ว่าสัญญะวิทยา เป็นการศึกษาในเรื่องของ สัญญะ (Sign) รหัส (Codes) และวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวกับการแสดง ให้เห็นถึงลักษณะที่สำคัญของสัญญะ และการที่สัญญะนั้นถูกนำมาใช้ในสังคม โดยสัญญะนี้ มีลักษณะ ที่สำคัญ 3 ประการคือ จะต้องมีลักษณะทางกายภาพ, จะต้องมีความหมายถึงบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือจากตัวของมัน เอง, และจะต้องถูกนำมาใช้และรับรู้โดยผู้ที่เกี่ยวข้องว่าเป็นสัญญะ Peirce (193 1 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541 ข) ได้ให้ความหมายที่ง่ายที่สุดและเข้าใจ ได้โดยง่ายที่สุด ก็คือ "สัญญะ คือ สิ่งที่มีความหมายมากกว่าตัวของมันเอง" (Sign is something which stands to somebody for something in some respect) ตัวอย่างเช่น รูปผู้หญิง-ผู้ชายที่ติดอยู่ หน้าห้องน้ำ ไม่ได้หมายความว่ารูปนั้นคือผู้หญิงหรือผู้ชายเท่านั้น แต่มีความหมายว่า "ห้องน้ำ สำหรับผู้หญิง/ห้องน้ำสำหรับผู้ชาย" นักวิชาการที่วางรากฐานของทฤษฎีสัญญะวิทยาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งคังที่ได้กล่าวไปข้างต้น คือ Saussure (1857 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541 ข) ได้ให้ความหมายเอาไว้ว่า สัญญะเป็นสิ่งที่ สัมผัสได้ด้วยอายาตนะ (ประสาทรับสัมผัสทั้ง 3) และเป็นสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งตกลงใช้สิ่งนั้นเป็น เครื่องหมาย (Mark) ถึงอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ปรากฎในสัญญะนั้น โดย Saussure (1857 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541ข) แบ่งสัญญะออกเป็น 2 ส่วนคือ ตัวหมาย (Signifier) กับตัวหมายถึง (Signified) ตัวหมาย คือ สิ่งที่ปรากฎให้เป็นเครื่องหมาย เช่นเมื่อเราเขียน คำว่า "ม้า" โดยมุ่งที่จะให้หมายถึงตัวม้าจริงๆตัวอักษรคำว่า "ม้า" ถือเป็นตัวหมาย ส่วนตัวม้าจริงๆ เป็นตัว หมายถึง กระบวนการนี้จะเรียกว่ากระบวนการสร้างความหมาย (Signification) การศึกษาในเชิงสัญญะวิทยา ให้ความสำคัญกับการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัวหมายถึง เพื่อดูว่าความหมายถูกสร้างขึ้นและถูก
ถ่ายทอดออกมาอย่างไร โดยนำเอาตัวบท (Text) มาวิเคราะห์ เพื่อดูว่าตัวหมายนั้นสร้างความหมายอย่างไร ใน การสื่อสารของคนเรานั้นจะมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัวหมายถึงเกิดขึ้นตลอดเวลา การวิเคราะห์ ทางสัญญะวิทยานั้น จะไม่คำนึงถึงเนื้อหา เพราะเนื้อหาไม่ได้สร้างความหมายของตัวบท แต่ความสัมพันธ์ของ ตัวหมายและตัวหมายถึงเป็นตัวสร้างความหมาย นอกจากนี้ Baudrillard (n.d. อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2547) ได้วิเคราะห์พบว่าสัญญะเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ 3 ส่วน และพบความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งสาม คือของจริง (Reference), สัญญะหรือตัวหมาย (Signifier), และตัวหมายถึงหรือแนวคิด (Signified) โดยจะได้อธิบาย รายละเอียดตามภาพที่ 2.1 ในภาพที่ (1) เรียกว่า Reference คือบรรดาของจริง เช่น ขวดแก้วจริง ระดับต่อจากนั้น ใน แต่ละวัฒนธรรมก็จะสร้างสัญญะขึ้นมาแทนตัวขวดแก้วจริงๆ เช่น ในบริบทสังคมไทยจะสร้างสัญญะ ที่เขียน เป็นอักษรว่า "ขวด" สังคมอังกฤษเขียนว่า "Bottle" สังคมฝรั่งเศสเขียนว่า"Bouteille" (และสังคมอื่นๆ ก็จะมี วิธีสร้างสัญญะที่แตกต่างกันออกไป เช่น สังคมของชาวมายาชาวกรีกโบราณ) สัญญะในภาพที่ (2) อาจจะเป็น "เสียง" (Sound) คือเป็นการเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำว่า "ขวด" หรือเป็น "ภาพ" (Image) เช่น เป็นตัวอักษรหรือรูปวาด ซึ่ง Saussure เรียกองค์ประกอบใน ส่วนที่ (2) นี้ว่า ตัวหมาย (Signifier) และเมื่อคนในแต่ละวัฒนธรรมได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้สัญญะ (เช่น อ่านออก) เมื่อ เห็นสัญญะ "ขวด-Bottle-Bouteille" ก็จะเกิดแนวคิดจินตนาการภาพของ"ขวค" ขึ้นมา ที่เราเข้าใจกันว่า "เป็น ภาพในใจหรือในความคิด" (Concep') เรียกว่า "ตัวหมายถึง"(Signified) ในการศึกษาเรื่องระบบสัญญะนั้น Saussure จะสนใจแต่เฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง องค์ประกอบที่ (2) และ (3) เท่านั้น โดยคุณลักษณะที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายและ (1) ของจริง (Reference) (2) ตัวหมาย (Signifier) (3) ตัวหมายถึง (Signifide) ภาพที่ 2.1 แสดงองค์ประกอบของสัญญะ
ตัวหมายถึง มี 3 ลักษณะดังนี้ 1. Arbitrary เป็นความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ใคๆ กล่าวคือเป็นไปตาม อำเภอใจ คำว่า "ขวด" ไม่ได้มีหลักเกณฑ์หรือความคล้ายคลึงอันใดกับรูปร่างของขวด เลย เช่นเดียวกับสัญญะ "Bottle" หรือ "Bouteille" 2. Unnatural เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นทางธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่าจะต้องเรียนรู้เอา 3. Unmotivated เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดจาดมูลเหตุจูงใจพิเศษใดๆ ของผู้สร้าง ความหมายและผู้ใช้ความหมาย กล่าวคือไม่เกี่ยวข้องกับแรงกระตุ้นใจของผู้ใช้สัญญะ ความสัมพันธ์ระหว่างสัญญะแต่ละตัวนั้นเกิดขึ้น โดยตร รกะว่าด้วยความแตกต่าง (The Logic of Difference) หมายถึงความหมายของสัญญะแต่ละตัวมาจากการเปรียบเทียบว่าตัวมันแตกต่างจากสัญญะ ตัวอื่นๆ ในระบบเดียวกัน ซึ่งหากไม่มีความแตกต่างแล้ว ความหมายก็เกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งนี้ความต่างที่ทำให้ค่ ความหมายเด่นชัดที่สุดคือความด่างแบบคู่ตรงข้าม (Binary Opposition) เช่น ขาว-ดำ ดี-เลว ร้อน-เย็น หรือ อธิบายอีกอย่างคือ ความหมายของสัญญะหนึ่งเกิดจากความไม่มี หรือไม่เป็นของสัญญะอื่น (สรณี วงศ์เบี้ยสัจจ์, 2544) ประเภทของสัญญะ Peirce (1839 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541 ข) อธิบายว่า หากนำเอาระยะห่างของ องค์ประกอบทั้ง 2 ส่วน ของสัญญะ (Sign) คือตัวหมาย (Signifier) และ ตัวหมายถึง (Signified) มา จัดประเภท ดังแสดงในภาพที่ 2.2 จะแบ่งประเภทของสัญญะได้เป็น 3 รูปแบบ คือ รูปเหมือน (Icon), ครรชนี (Index), และสัญลักษณ์ (Symbol ดังแสดงในภาพที่ 2.3 รูปเหมือน (leon) เป็น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัวหมายถึงเป็นเรื่องของความ เหมือนหรือคล้ายคลึงกับสิ่งที่มันบ่งถึง เช่นภาพถ่าย ภาพเหมือน ภาพยนตร์และแผนภาพ เป็นต้น ดรรชนี (Index) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัวหมายถึง เป็นผลลัพธ์หรือเป็นการบ่งชี้ถึง บางสิ่งบางอย่าง เช่น รูปกราฟที่แสดงผลลัพธ์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รอยเท้าของสัตว์ที่ประทับลงบนพื้นดิน หรือ Sign Signifier Signifier มีระยะห่างกันมากน้อยเพียงใด ภาพที่ 2.2 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมาย (Signifier) และตัวหมายถึง (Signified)
ดรรชนีที่อยู่ท้ายเล่มของหนังสือที่บอกให้ทราบถึงข้อความที่ผู้อ่านต้องการจะค้นหา คุณสมบัติอีกประการที่น่า สังเกตของสัญญะประเภทครรชนีก็คือ เมื่อผู้รับสารเห็นตัวหมายประเภทดรรชนี ตัวหมายถึงที่นึกถึงไม่ใช่สิ่งที่ มองเห็นในขณะนั้น เช่น รอยเท้าสัตว์ที่พบ ผู้ที่เห็นไม่ได้นึกถึงรอยเท้าในขณะ นั้น แต่นึกไปถึงตัวสัตว์ที่เป็น เจ้าของรอยเท้านั้น สัญลักษณ์ (Symbol เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมายกับตัวหมายถึงที่แสดงถึงบางสิ่งบางอย่างแต่ ไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่สัญลักษณ์นั้นบ่งชี้เลย ซึ่งการใช้งานเป็นไปในลักษณะของการถูกกำหนดขึ้นเอง ซึ่งได้รับการยอมรับจนเป็นแบบแผน (Convention) และต้องมีการเรียนรู้เครื่องหมายเพื่อทำความเข้าใจ หรือ เป็นการแสดงถึงการเป็นตัวแทน (Representation) ซึ่งสังคมยอมรับความสัมพันธ์นี้ ตัวอย่างเช่น ภาษา เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ หรือการสวมแหวนนิ้วนางข้างซ้ายแสดงถึงการแต่งงาน เป็นต้น ลักษณะสัญญะ (Sign) ทั้ง 3 ชนิดนี้ ไม่ได้แยกจากกันโดยเด็ดขาด สัญญะหนึ่งๆ อาจประกอบด้วย รูปแบบต่างๆ กัน ซึ่งอาจจะเป็นทั้งรูปเหมือน คัชนี และสัญลักษณ์รวมกันอยู่ก็ได้ เช่น ภาพพระสงฆ์ จะ สามารถเป็นได้ทั้งรูปเหมือน ก็คือ ภาพเหมือนของพระจริงๆ ขณะเดียวกันก็เป็นดัชนี คือเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงการ เป็นตัวแทนของศาสนา และเป็นทั้งสัญลักษณ์ด้วยในแง่ที่ทุกคนต้องให้ความเคารพนับถือ (จันทร์เพ็ญ โภคาชัยพัฒน์, 2535 อย่างไรก็ดี การจำแนกประเภทของสัญญะทั้งสามแบบไม่สามารถทำได้อย่างชัดเจน เช่น ในกรณีตัว หมายของคำว่า "Xcrox" ในภาษาอังกฤษซึ่งตัวหมายถึงก็คือยี่ห้อของเครื่องถ่ายเอกสารตัวหมายคังกล่าวได้ กลายเป็นตัวหมายถึงของ "การถ่ายเอกสาร" ในสังคมไทยเป็นต้น (ไชยรัตน์เจริญสินโอฬาร, 2545) การเข้าใจธรรมชาติของสัญญะแต่ละ ชนิด จะทำให้สามารถเลือกใช้สัญญะแต่ละอย่างให้ประสิทธิภาพ มากขึ้น ตารางที่ 2.1 อธิบายประเภทของสัญญะตามทัศนะของ Peirce ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น Icon ภาพถ่ายของโลก Index รอยเท้าสัตว์ Symbol เครื่องหมายจราจร ภาพที่ 2.3 แสดงตัวอย่างของสัญญะประเภทต่างๆ
ประเภทสัญญะ เกณฑ์พิจารณา icon index symbol ความสัมพันธ์ มีความคล้ายคลึง มีความเชื่อมโยง แบบเหตุผล (causal connection) ความเชื่อมโยง เกิดจากข้อตกลง (convention) ตัวอย่าง ภาพถ่าย อนุสาวรีย์ รูปปั้น ควันไฟ อาการของโรค คำ ตัวเลข ชวเลข กระบวนการถอด ความหมาย มองเห็นได้ ต้องคิดหาเหตุผล (figure out) ต้องเรียนรู้ ตารางที่ 2.1 อธิบายประเภทของสัญญะตามทัศนะของ Peirce ทั้งนี้ กาญจนา แก้วเทพ (2541 ข) อธิบายว่า นักสื่อสารมวลชนสามารถนำเอาแนวคิดเรื่องตัวหมาย (Signifier) และ ตัวหมายถึง (Signified) มาประยุกต์ใช้กับการถ่ายภาพ การจัดมุมกล้อง และการตัดต่อเพื่อให้ ได้ความหมายต่างๆ กันออกไปดังนี้ (ตารางที่ 2.2)
Signifier (Shot) Definition Signified (Meaning) Close-up Medium shot Long shot Full shot Pan down Pan up Zoom in Fade in Fade out Cut Wipe ถ่ายแต่ใบหน้า ถ่ายส่วนใหญ่ของร่างกาย ถ่ายฉากและตัวละครหลายๆ ตัว ถ่ายร่างกายเต็มตัว กล้องถ่ายกวาดแบบกด กล้องถ่ายกวาดช้อนขึ้น กล้องถ่ายเข้าหา ภาพในจอค่อยๆ สว่างขึ้น ภาพในจอค่อยๆ จางหายไป การย้ายภาพจากภาพหนึ่งไปสู่ อีกภาพหนึ่ง ภาพค่อยๆถูกกวาดออกไปจาก จอ ความใกล้ชิด (Intimacy) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล บริบท ขอบเขตที่เกิดเหตุการณ์ ความสัมพันธ์ทางสังคม อำนาจ ฐานะที่สูงกว่า ลักษณะที่ต่ำต้อยกว่า มีอำนาจน้อยกว่า การสังเกต การให้ความสนใจ จุดเริ่มต้น จุดจบ เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดในช่วง เวลาที่ใกล้กัน ความตื่นเต้น แสดงบทสรุป ตารางที่ 2.2 แสดงการประยุกต์ใช้แนวคิดเรื่องสัญญะวิทยากับการถ่ายภาพ วิธีการวิเคราะห์สัญญะ การวิเคราะห์ความหมายโดยอรรถและความหมายโดยนัย เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ Saussure (1974 อ้างถึงใน กาญจนา แก้วเทพ, 2541 ข) ได้จำแนกประเภทของสัญญะออกเป็น 2 ลักษณะ ประเภทแรก คือความหมายโดยอรรถ (นัยตรง) (Denotative Meaning ได้แก่ ความหมายที่ เข้าใจโดยตรงตามตัวอักษรหรือตามสิ่งที่เห็น เป็นความหมายที่คนส่วนใหญ่เข้าใจตรงกัน จัดอยู่ใน ลักษณะของการอธิบายหรือพรรณนา (Descriptive level) การอธิบายความหมายของคำศัพท์ในพจนานุกรม ก็เป็นความหมายโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกล่าวถึง "ช้าง" ก็จะนึกถึงลักษณะของสัตว์ที่มีรูปร่างใหญ่ มีงา และงวง เห็นคำว่า "ม้า" ก็เข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึง ม้า ที่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเห็นภาพดอกไม้ ก็เข้าใจว่าหมายถึง ดอกไม้จริงๆ หรือเห็นภาพวิวรูปถนนก็แสดงความหมายว่า เป็นถนนสายนั้น หรือคำว่า "Street" ก็แสดง ความหมายว่าเป็นถนนชนบทที่มีอาคารบ้านเรือนเรียงรายอยู่สองฟาก แต่ถ้าเราใช้เทคนิคในการถ่ายภาพมา
ช่วย เช่น ใช้ฟิล์มสีถ่ายขณะมีแสงแดดอ่อนๆ ใช้เลนส์กระจกปรับภาพทำให้ภาพนุ่มขึ้น จะทำให้เห็นภาพของ ถนนสายนี้เป็นถนนที่อบอวลไปด้วยความสุขความอบอุ่น สะท้อนสังคมที่มีมนุษยธรรม เหมาะสำหรับเด็กๆ ที่ จะวิ่งเล่นอยู่บนถนนนี้ แต่ถ้าใช้เทคนิคการถ่ายรูปอีกแบบหนึ่ง ใช้ฟิล์มขาว-คำและกระจกเลนส์ปรับภาพทำให้ ภาพดูแข็งกระด้าง จะทำให้ภาพของถนนสายนี้เป็นที่ๆ ไม่น่าอยู่ มีแต่ความเยือกเย็น ไม่เป็นมิตร ไม่มีความ อบอุ่นเมตตา ไม่เหมาะสำหรับเด็กๆ ที่จะวิ่งเล่น ความหมายแรกจากภาพที่แสดงว่าเป็นถนนสายหนึ่งนั้นเป็น การตีความตามความหมายตรง แต่ความหมายที่สองที่ให้ความรู้สึกจากการใช้เทคนิคการถ่ายภาพทั้งสองวิธี แสดงความหมายในขั้นที่ ซึ่งเรียกว่าการตีความหมายโดยนัยหรือความหมายนัยแฝง ความหมายโดยนัย (นัยประวัติ / นัยแฝง) (Connotative Meaning) ได้แก่ ความหมายทางอ้อมที่เกิด จากข้อตกลงกันภายในกลุ่มสังคม หรือเกิดจากประสบการณ์เฉพาะของแต่ละบุคคล เช่น เมื่อเห็นภาพดอกไม้ บางคนจะนึกถึงความสวยงาม บางคนนึกถึงผู้หญิง เพราะเคยได้ยินคำกล่าวว่าผู้หญิงเปรียบเหมือนดอกไม้ บาง คนนึกถึงความบอบบางของกลีบดอก เป็นต้น Barthes (1997) ได้ศึกษาและพัฒนาทฤษฎีกระบวนการสร้างความหมายของ Saussure นี้ให้มีมิติ มากขึ้น โดยศึกษาถึงลักษณะที่ทำให้เกิดความหมายในระดับพื้นผิว และระดับลึก เขามุ่งให้ความสนใจไปที่การ ตีความหมายโดยนัย และได้แสดงแนวความคิดในการวิเคราะห์ความหมายแฝงที่มีอยู่ในการติดต่อสื่อสารว่า การแสดงความหมายนั้นมีอยู่ 2 ระดับ คือระดับที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของความเป็นจริงตามธรรมชาติ และ ระดับการตีความขั้นที่สองที่ต้องอาศัยปัจจัยทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ระดับที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของความเป็นจริงตามธรรมชาติ หรือ การตีความหมายนัยตรง (Denotative Meaning) เป็นความหมายขั้นแรก เช่นเดียวกับที่ Saussure ได้อธิบายเอาไว้ คือเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมาย และตัวหมายถึง ตามความหมายที่ชัดแจ้งของสัญญะ การตีความหมายที่ต้องอาศัยปัจจัยทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง Barthes ได้อธิบายการ ตีความหมายในขั้นที่ 2 นี้มีอยู่ 3 ประการได้แก่ 1. การตีความหมายนัยแฝง (Connotative Meaing) เป็นการอธิบายถึงปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เมื่อสัญญะกระทบความรู้สึก หรืออารมณ์ และค่านิยมในบริบทวัฒนธรรมของผู้รับสาร ความหมายในขั้นนี้ เกิดขึ้นจากการตีความโดยอัตตวิสัย ในขณะที่ผู้ดีความหมายได้รับอิทธิพลจากผู้ส่งสารไปพร้อมๆ กันกับสัญญะ ที่ใช้ การตีความหมายโดยนัยแฝงของแต่ละคนจะรู้สึกไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบริบททาง สังคม วัฒนธรรม ค่านิยม อกติ ความรู้สึก และประสบการณ์ของแต่ละบุคคลเป็นหลัก
2. การตีความโดยอาศัยความเชื่อดั้งเดิม (Myt) ความเชื่อดั้งเดิมในที่นี้ หมายถึงวิถีทาง วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นความคิดรวบยอดหรือเป็นความเข้าใจในสิ่งนั้น เสมือนโซ่ที่ผูกมัด ความคิดเอาไว้ ซึ่งส่งผลต่อการตีความหมายโดยตรง คุณลักษณะที่สำคัญที่ Barthes ย้ำในเรื่องนี้คือเรื่องของ พลวัต (Dynamism) ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลง และบางครั้งก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อสนอง ความต้องการ และค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม ทั้งการตีความโดยนัยแฝงและความเชื่อดั้งเดิมนี้ เป็นช่องทางสำคัญที่สัญญะจะได้แสดง ความหมายในขั้นที่ 2 ซึ่งเป็นขั้นที่สัญญะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ให้สัญญะหรือวัฒนธรรมที่เป็นบริบทเป็นอย่างมาก 3. สัญลักษณ์ (Symbols) แนวความคิดในข้อนื้คือ วัตถุจะกลายเป็นสัญลักษณ์เมื่อแสดงถึง ประเพณีนิยม และนำมาสู่การให้ความหมายแทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น รถ Rolls Royce เป็นสัญลักษณ์ของ สถานภาพทางสังคมของเจ้าของรถ ทองคำ เป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจ เป็นต้น กาญจนา แก้วเทพ (2541 ข) ได้อธิบายถึงการวิเคร าะห์สัญญะอีกลักษณะหนึ่ง คือการ วิเคราะห์แบบการเปรียบเทียบ และการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ (Metaphor / Mctonymy) เป็นวิธีการ หลักอีก 2 วิธีการที่ใช้ในการถ่ายทอดความหมายจากสัญญะตัวหนึ่ง โดยอาศัยสัญญะอีกตัวหนึ่ง Metaphor เป็นวิธีการถ่ายทอดความหมายโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสัญญะ 2 ตัวที่มี ความคล้ายคลึงกัน และถูกนำมาถ่ายทอดความหมายด้วยวิธีการเปรียบเทียบอุปมาอุปมัย (Analog) การเปรียบเทียบลักษณะนี้เป็นที่รู้จักกันดีในวัฒนธรรมการใช้ภาษาไทย โคย เราใช้คำว่า เสมือน ประหนึ่ง ราว กับว่า เช่น ชายผู้นี้ใจดีราวกับพ่อพระ หรือ นางสาวจักรวาลปีนี้มีรูปร่างที่งคงามเสมือนนางฟ้ามาจุติ เป็นต้น ส่วน Metonymy เป็นวิธีการถ่ายทอดความหมายโดยที่หยิบเอาส่วนเสี้ยวเล็กๆ ส่วนหนึ่ง ของสัญญะ (Part) มาแทนความหมายของส่วนรวมทั้งหมด ( Whole) ตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุดคือ การใช้สัญญะ แทนเมืองต่างๆ เช่น พระปรางค์วัดอรุณหรือวัดพระแก้ว (Part) เป็นสัญลักษณ์แสดงถึง กรุงเทพมหานคร (Whole) หรือนาฬิกาบิกเบน (Part) เป็นสัญลักษณ์แสดงถึง กรุงลอนดอน (Whole) เป็นต้น การถ่ายทอดความหมายด้วยวิธี Metonymy นี้เป็นสิ่งที่ผู้ส่งสารกระทำอยู่ตลอดเวลา ด้วยการเลือก ส่วนย่อยที่สามารถป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของส่วนรวมทั้งหมด มาใช้ป็นสัญญะที่ถ่ายทอดความหมายเช่น ในพุทธ ศาสนานั้นได้ใช้ดอกบัวเป็น Metonymy เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับประวัติพระพุทธเจ้าตอนประสูติ ในขณะ ที่คริสต์ศาสนาเลือก Mctonymy เป็น'ไม้กางเขนซึ่งมีความเกี่ยวพันกับเรื่องราวของพระเยซูในตอน สิ้นพระชนม์ เป็นต้น
เมื่อจะทำการวิเคราะห์ความหมายที่ถูกสร้างขึ้นในงานภาพถ่ายหรือภาพนิ่งต่างๆ จะต้องพิจารณาถึง รหัส (Code) ของการเป็นตัวแทนในเชิงเทคนิค (Technical Representation) และรหัสของเนื้อหา (Code of Content) รหัสของการเป็นตัวแทนเชิงเทคนิค (Codes of Technical Representation) สามารถวิเคราะห์ ภาพถ่ายใดๆ ก็ตามได้โดยการใช้คำถามดังต่อไปนี้ ภาพนั้นได้รับการถ่ายขึ้นมาอย่างไร (How has it been photographed?) คำตอบต่อคำถามนี้สามารถหมายรวมถึงปัจจัยต่างๆ ได้แก่ มุมกล้อง, การกรอบภาพ (cropping) การโฟกัส การใช้ฟิล์มขาวดำหรือฟิล์มสี การจัดแสง ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนให้การสนับสนุนถึง ความหมายของภาพดังกล่าว โดยการวิเคราะห์สามารถเจาะประเด็นปัจจัยเหล่านี้ทีละอย่าง และค้นหาสิ่งที่ ได้รับจากการสื่อความหมาย ( Connoted) ตัวอย่างเช่น มุมกล้องที่มีลักษณะเฉพาะ จะมีการสื่อความหมาย บางอย่างที่แตกต่างจากการใช้มุมกล้องลักษณะอื่น สำหรับรหัสหรือหลักเกณฑ์ของเนื้อหา (Codes of Content) สามารถวิเคราะห์ภาพต่างๆ ได้ โดยใช้ประเด็นคำถามต่างๆ อาทิ อะไรที่ถูกถ่าย (What has been photographed?) ซึ่งคำตอบต่อคำถาม ดังกล่าวอาจรวมประเด็นหรือปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ บุคคล วัตถุต่างๆ, จากหรือสถานที่, เสื้อผ้า/ เครื่องแต่งกาย, ภายาท่าทาง (Body Language), ตำแหน่งของร่างกาย, และสีสัน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ แสดงออกถึงความหมายของภาพได้เช่นเดียวกัน (สมเกียรติ ตั้งนโม, 2553)ทั้งนี้ การวิเคราะห์การสื่อ ความหมายและความงุดงามเชิงศิลปะของภาพถ่าย นอกจากจะเป็นการวิเคราะห์ผ่านแนวคิดเกี่ยวกับสัญญะ วิทยาแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงแนวคิดเกี่ยวกับองค์ประกอบภาพ (Composition) อีกด้วย ซึ่งจะได้กล่าวถึงใน ลำดับต่อไป แนวคิดเกี่ยวกับการเล่าเรื่อง กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน (2542) ได้กล่าวถึงหน้าที่หลักของภาพยนตร์ซึ่งสามารถแบ่งออก ได้เป็น 4 ด้านดังนี้ 1. หน้าที่ในการเล่าเรื่อง (Narrative Function) เนื่องจาก ภาพยนตร์มีเรื่องราวที่จะบอกกล่าวให้ผู้ชม รับรู้ เพราะฉะนั้นภาพยนตร์จึงมีหน้าที่ที่จะต้องเล่าเรื่องราวให้ผู้ชมสามารถรับรู้เรื่องราวที่หนังต้องการนำเสนอ ได้ 2. หน้าที่ในการสื่อทางอารมณ์ (Emotional Function) ทั้งนี้ การสร้างอารมณ์ต่างๆให้กับผู้ชมถือ เป็นหน้าที่หนึ่งของภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นความ โศกเศร้า ความสุข ความหวาดเสียวสยดสยอง ฯลฯ โดยใช้ วิธีการต่างๆกัน ไป เช่นการใช้เทคนิคการตัดต่อ หรือใช้เสียงประกอบ เป็นต้น
3. หน้าที่ในการสื่อทางด้านความคิด (Intellectual Function) การสื่อสารทางความคิดมีอยู่สอง ลักษณะด้วยกัน ลักษณะแรก คือผู้สร้างภาพยนตร์อาจจะแทรกแนวความคิดบางอย่างที่อาจเป็นปรัชญา หรือ ข้อคิด หรือแง่คิดดีๆ เกี่ยวกับการ ใช้ชีวิตเข้าไปในเนื้อเรื่อง ซึ่งคนดูจะรับรู้ และอาจจะเอาไปใช้ใน ชีวิตประจำวันของตนเอง และอีกลักษณะหนึ่ง คือการกระตุ้นให้ผู้ชมใช้ความคิดของตัวเอง โดยผู้สร้าง ภาพยนตร์ไม่ได้เอาความคิดของตัวเองไปให้ไว้ในภาพยนตร์ 4. หน้าที่ในการสร้างความตื่นตาตื่นใจ (Spectacle Function) ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องเกิดจากภาพ เท่านั้น คนตรี และเสียงประกอบก็สามารถช่วยในการสร้างความตื่นตาตื่นใจ ได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่าการเล่าเรื่องนั้นเป็นหน้าที่หลักประการหนึ่งของภาพยนตร์ซึ่งการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ สามารแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือ 1. การเล่าเรื่องด้วยภาพ และ 2. การเล่าเรื่องด้วยคนตรีและ 3. เสียง ประกอบ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระยะหลังนี้ช่วงสิบกว่าปีมานี้เสียงประกอบ และดนตรีประกอบมีบทบาทมากขึ้น กว่าเดิม เพราะเป็นวิธีเดียว (กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน , 2542) ที่จะดึงให้คนออกจากบ้านมาชมภาพยนตร์ในโรง ภาพยนตร์ จะเห็นได้ว่าโรงหนังสมัยนี้ปรับปรุงเรื่องระบบเสียงมากขึ้น รูปแบบของเรื่องเล่าในแง่ของการสร้างความตึงเครียดของเรื่องเล่า(naration tention) สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 แบบได้แก่ 1.เรื่องเล่าอย่างง่าย (simple nararative) ได้แก่การนำเสนอเหตุการณ์อย่งเป็นระบบซึ่ง โดยปกติแล้วจะเรียงลำดับตามเวลา และ 2. เรืองเล่าแบบขับเคลื่อนโดยพล็อต (plot-driven narrative) อัน เป็นเรื่องที่อาจแยกออกมาจากการเปีดเผยเหตุการณ์โดยเรียงตามลำดับเวลาตามรูปแบบเรื่องราว (story) ทั่วไป และกลยุทธ์ทางพล็อต (plot strategy) โดยสรุปแล้วพูดอย่างง่ายๆก็คือเรื่องเล่าอย่างง่ายนั้นเป็นการเล่า เรื่องราวให้ทราบขณะที่เรื่องเล่าแบบขับเคลื่อนโดยพล็อตนั้นออกแบบมาเพื่อสร้างความบันเทิงด้วยการสร้าง ความตึงเครียด (tension) ให้เกิดขึ้นในวรรณกรรมซึ่งการขับยั้งการเปีดเผยข้อมูลข่าวสารของเรื่องราวนำไปสู่ ความตึงเครียดที่ เกิดแก่ผู้ชม สำหรับวิธีการวิเคราะห์การเล่าเรื่องในภาพยนตร์สามารถกระทำได้ในหลายวิธี โดยเราอาจสามารถ วิเคราะห์ตามองค์ประกอบของเรื่องเล่าดังต่อไปนี้ 1. โครงเรื่อง (Plo! โครงเรื่อง คือ ลักษณะชุดของเหตุการณ์ทั้งหมดในเรื่องที่ร้อยเรียงกัน และดำเนิน ไปตั้งแต่ต้นจนจบ โคยรวบรวมจากปฎิกริยาของตัวละคร และเรื่องราวมากมายจากความขัดแย้ง รวมทั้ง บทสรุปรวบยอด ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสามารถมี โครงเรื่องเดียว หรือมีโครงเรื่องย่อยที่สำคัญรองลงมาแทรกอยู่ ได้ซึ่งโดยปกติจะมีการลำดับเหตุการณ์ในการเล่าเรื่องไว้ 5 ขั้นตอน ได้แก่
1.1 การเริ่มเรื่อง (Exposition) การเริ่มเรื่องเป็นการชักจูงความสนใจให้ติดตามเรื่องราว มี การแนะนำตัวละคร แนะนำฉาก หรือสถานที่ อาจมีการเปิดประเด็นปัญหา หรือเผยปมขัดเย้งเพื่อให้เรื่องชวน ติดตาม การเริ่มเรื่องไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับเหตุการณ์ โดยอาจเริ่มเรื่องจากตอนกลางเรื่อง หรือเล่าย้อน จากตอนท้ายเรื่องไปหาต้นเรื่องก็ได้ 1.2 การพัฒนาเหตุการณ์ (Rising Action) คือการที่เรื่องราวดำเนิน ไปอย่างต่อเนื่อง และ สมเหตุสมผล ปมปัญหา หรือข้อขัดแย้งเริ่มทวีความเข้มข้นเรื่อยๆ ตัวละครอาจมีความลำบากใจ และ สถานการณ์ก็อยู่ในช่วงยุ่งยาก 1.3 ภาวะวิกฤติ (Climax)หรือจุดสุดยอด จะเกิดขึ้นเมื่อเรื่องราวกำลังถึงจุดแตกหัก และตัว ละคร อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจ 1.4 ภาวะคลี่คลาย (Falling Action) คือสภาพหลังจากที่จุดวิกฤติได้ผ่านพ้นไปแล้ว เงื่อนงำ และประเด็นปัญหาได้รับการเปิดเผย หรือข้อขัดแย้งได้รับการขจัดออกไป 1.5 การยุติของเรื่องราา (Einding) คือการสิ้นสุดของเรื่องราวทั้งหมด การจบอาจหมาขถึง ความสูญเสีย อาจจบแบบมีความสุข หรือทิ้งท้ายไว้ให้ขบคิดก็ได้ สำหรับคุณสมบัติข้อหนึ่งที่เป็นคุณสมบัติ โดยตรงของภาพยนตร์ในเชิงศิลปะการละครได้แก่ ภาพยนตร์ที่เรื่องเดินไปข้างหน้า (forward movement โดยเรื่องจะเดินในลีลาช้าหรือเร็วก็ได้แต่ต้องเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆเรื่องราวจะพัฒนาไปเป็นลำดับไม่ย่ำอยู่กับที่ เพราะจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อได้แม้ในบางเรื่องจะมีแฟลชแบ็คไปมามากมาย หากเนื้อหาของเรื่องมุ่งไปข้างหน้าก็ ถือว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นมีคุณสมบัติที่ดีข้อหนึ่ง โดยภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสามารถมีโครงเรื่องเดียวหรือมีโครง เรื่องย่อยที่สำคัญรองลงมาแทรกอยู่ได้ เราอาจแสดงแต่ละขั้นตอนของการเล่าเรื่องได้ ดังนี้ ฌอง-ปีแยร์ โกลเดนซไตน์(Jean-Pierre Goldenstein) ได้กล่าวไว้ว่า โครงเรื่องประกอบไปด้วยการ เปีดเรื่อง ปมเรื่อง และการคลี่คลายปมเรื่อง ได้แก่
1. การเปิดเรื่อง เป็นส่วนแรกของงานซึ่งผู้แต่งเล่าสถานการณ์ของตัวละครของเรื่องรวมทั้ง ข้อเท็จจริงที่สำคัญที่ปูมาสู่การกระทำของตัวละครในตอนต่อไป 2. ปมเรื่อง เป็นภาวการณ์ความผันผวนหรือการเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใดของสถานการณ์ ในเรื่องเล่า หรือความต่อเนื่องของสถานการณ์ที่ผันผวนซึ่งนำโครงเรื่องไปสู่จุดสุดยอดของเรื่อง 3. การคลี่คลายปมเรื่อง คือส่วนที่เป็นตอนจบของเรื่องเล่าที่แสดงให้เห็นถึงการคลี่คลาย ความยุ่งยากสับสนของเรื่องนอกจากนี้ เรายังมีวิธีการในการอธิบายขั้นตอนซึ่งเป็นโครงสร้างทางการเล่าเรื่องใน อีกแบบหนึ่ง ตามแนวทางของโทโดรอฟ (Todorov , 1977) ซึ่งได้เสนอเกณฑ์ที่จะแบ่งขั้นตอนของสภาวการณ์ ในวิธีการเล่าเรื่อง โดยแบ่งเป็น 4 สภาวการณ์ ดังต่อไปนี้ 1. สภาวะปกติ (Equilibrium) ได้แก่ สภาวะสงบสุขที่ปรากฎในตอนเริ่มเรื่อง 2.กาวะวิกฤติ หรือกาวะปัญหา (Disruption) ได้แก่ขั้นตอนที่ปัญหาได้เริ่มก่อตัวขึ้น และทวีความรุนแรงเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ 3.การแก้ไขปัญหา (Equalizing/ ได้แก่สภาวะที่ตัวละครพยายามแก้ไขปัญหาให้ ลุล่วงไปซึ่งอาจจะล้มเหลวบ้าง หรืออาจประสบความสำเร็จบ้าง 4.การกลับคืนสู่สภาวะสงบสุขใหม่อีกครั้ง (New cquilibrium) หลังจากที่ปัญหาถูก แก้ไขไปแล้ว สภาวะสงบสุข หรือสภาวะการเข้าสู่ปกติก็กลับคืนมาอีกครั้ง 2. ความขัดแย้ง (Conflictความขัดแย้งก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับการนำมาศึกษาอยู่เสมอ ทั้งนี้ก็เพราะ เมื่อทำการศึกษาความขัดแย้งก็จะทำให้เข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งโดยแท้จริงแล้วเรื่องเล่า คือการสานเรื่องราวบนความขัดแย้ง การกระทำในละคร หรือในภาพยนตร์นั้นพัวพันอยู่กับความขัดแย้ง (Contict) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ ถ้าไม่มีความขัดแย้งก็อาจไม่มีเรื่องเล่า และก็อาจไม่มีภาพยนตร์ซึ่ง ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่จะทำให้การเล่าเรื่องมีความน่าตื่นเต้น ปมแห่งความขัดแย้งของตัวละครนั้น จะนับตั้งแต่จุดที่ปัญหาเริ่มปรากฎซึ่งก็คือ เหตุการณ์หรือการ เผชิญหน้ากับปัญหาที่ทำให้ความหวังของตัวละครใดๆค่อยๆล่มสลายลงอันจะทำให้สถานการณ์ของเรื่องคำ เนินไปสู่ความขัดแย้ง หรือก้าวเข้าสู่ เหตุการณ์ที่พัฒนาขึ้น (Rising Action) ความขัดแย้งเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของโครงเรื่องที่สร้างปมปัญหา การหาหนทางแก้ปัญหา ความขัดแย้งของตัวละคร คือความเป็นปรปักษ์ต่อกัน หรือความไม่ลงรอยในพฤติกรรม การกระทำ ความคิด ความปรารถนา หรือความตั้งใจของตัวละครในเรื่อง ซึ่งปมแห่งความขัดแย้งอาจจำแนกได้เป็นหลายประเภท (กาญจนา แก้วเทพ , 2542) ดังนี้ 2.1 ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน คือการที่ตัวละครสองฝ่ายไม่ลงรอยกัน แต่ละฝ่าย ต่อต้านกัน หรือพยายามทำลายล้างกัน เช่นการทำศึกระหว่างสองตระกูล เป็นต้น
2.2 ความขัดเย้งภายในจิตใจ เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายใน ตัวละครจะมีความสับสน หรือยุ่งยาก ลำบากใจในการตัดสินใจเพื่อจะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้คิดเอาไว้ เช่นความขัดแย้งภายในจิตใจที่ ต้องเลือกกระทำในสิ่งที่ถูกต้องศีลธรรมกับอารมณ์ใคร่ที่ปรารถนา เป็นต้น 2.3 ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เช่นการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ การต่อสู้เพื่อเอาชนะกับ ความตายอันเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจมีผู้ใดเลี่ยงใดพ้น เป็นต้น 2.4 ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น หนังเกี่ยวกับภูติ ผี เป็นต้นความสำคัญของ ความขัดแข้งที่มีต่อโครงเรื่องคือ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างน่าเชื่อถือ ภาพยนตร์บางเรื่องไม่ ประสบความสำเร็จก็อาจเนื่องมาจาก ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆมีข้อบกพร่องตรงที่ปมขัดแย้งไม่ได้รับการนำเสนอ อย่างชัดเจนเพียงพอ จนทำให้ผู้ชมไม่เกิดความรู้สึกร่วมด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นปมปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งส่งผล ให้การกระทำต่างๆในเรื่องขาดความหนักแน่น โดยความขัดแย้งที่ปรากฎในภาพยนตร์นั้นสามารถมีปมขัดแย้ง ได้มากกว่า ประเด็นเดียว ในการศึกษาข้อขัดแย้งที่ปรากฎอยู่ในภาพยนตร์นั้น Claude Levi-Strauss(ฉลองรัตน์ ทิพย์พิมาน, 2539)ได้เสนอวิธีการแบ่งขั้วตรงข้าม (Binary Oppositions) ในการศึกษาหาข้อขัดแย้งในภาพยนตร์ อันเป็น แนวคิดที่ตั้งอยู่บนความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามนุษย์สามารถเข้าใจโลกได้โดยการแบ่งสิ่งต่างๆออกเป็นส่วนๆเพื่อ เปรียบเทียบกัน ซึ่งวิธีการนี้กระทำโดย การแบ่งกลุ่มคำออกมาเป็นสองหมวด ทั้งสองหมวดจะมีความหมาย ขัดแย้งกัน เช่น ผู้ชาย (Male) ผู้หญิง (Female) ใช้เหตุผล (Rational) ใช้อารมณ์ (Emotional) อยู่นิ่ง (Static) เคลื่อนไหว (Movement) ไร้ระเบียบ (Chaotic) มีระเบียบ (Order) 3.ตัวละคร (Character) องค์ประกอบสำคัญอีกส่วนที่ขาดไม่ได้สำหรับการล่าเรื่องทุกชนิดคือตัวละคร (Character) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญต่อการพิจารณาว่าการสร้างเรื่องนั้นเป็นไปในเชิงศิลปะการละคร หรือไม่ดูได้จากแง่ของการสร้างตัวละคร และการแสดงการกระทำของตัวละครโดย 1. การสร้างตัวละคร โดยพิจารณาจากบทภาพยนตร์ว่าให้ลักษณะของตัวละครไว้ชัดเจน หรือไม่ และมีบุคลิกแบบใดซึ่งบุคลิกตัวละครแบบพัฒนาได้ ถือว่าให้คุณค่าทางศิลปะการละครได้ดีกว่าบุคลิก แบบเหมารวม (stercotype) ซึ่งถือเป็นบุคลิกที่แบน (lat character)ไม่น่าสนใจ และการค่อยๆเปิดเผยบุคลิก ของตัวละครออกมาเป็นลำดับเรื่อยๆตรงจุดที่เหมาะเจาะนั้นช่วยทำให้บทมีความลึกซึ้งขึ้น
2.การแสดงการกระทำของตัวละคร ด้วยภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่สร้างขึ้นเลียนแบบชีวิตจริง ดังนั้นเหตุการณ์หรือการกระทำต่างๆในเรื่องจึงต้องสมเหตุสมผลซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในเชิงศิลปะการละคร ใน ประเด็นนี้นั้นควรยึดหลักว่า การกระทำ (action) ทุกอย่างของมนุษย์(ตัวละคร) เกิดขึ้นได้จากแรงจูงใจ (motive) เสมอ ถ้าไม่มีเหตุจูงใจจะไม่เกิดการกระทำเป็นอันขาด เหตุจูงใจทำให้มนุษย์เกิดเจตนา และการ กระทำมีทั้งที่เป็นความพึงพอใจ และความเกลียดชัง โดยเจตนาในเชิงศิลปะการละครนั้นมีสองแบบ คือแบบ รู้ตัว และไม่รู้ตัว โดยสรุปส่วนประกอบของตัวละครจะต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วนเสมอ ได้แก่ส่วนที่เป็นความคิด (Conception) และส่วนที่เป็นพฤติกรรม (Presentation) สำหรับความคิดของตัวละครนั้นโดยปกติจะเป็นสิ่ง ที่เปลี่ยนแปลงยากจนกว่าจะมีเหตุผลที่สำคัญเพียงพอสำหรับการเปลี่ยนแปลง ตัวละครที่ดีจะมีความคิดเป็น ของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่จะมากำหนดความคิด และจิตใจของตัวละครนั้นก็อยู่ที่ภูมิหลังของตัวละคร อย่างเช่น ชีวิต วัยเด็ก การศึกษา และสถานภาพทางสังคม เป็นต้น ในค้านพฤติกรรมของตัวละครนั้น จะเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากความคิด และทัศนคติของตัวละคร โดยเกณฑ์ที่มักใช้ในการวิเคราะห์ตัวละครที่ใช้กับเรื่องเถ่ายุคต้นฯและมักใช้ในการอ้างอิงอยู่เสมอได้แก่ ผลงาน ของวลาดิเมียร์ พร็อพ (Vladimir Propp) ที่ทำการวิเคราะห์การเล่าเรื่องในนิทานรัสเซียก็ได้พบลักษณะของตัว ละครที่เป็นแบบแผนของนิทานรัสเซียซึ่งในนิทานแต่ละเรื่องจะประกอบไปด้วยตัวละครที่มีบทบาทแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ให้(Donor) โดยมากจะเป็นอาจารย์ของตัวละครหลัก หรือผู้ให้คำปรึกษาในการแก้ปัญหา, ผู้ร้าย (The Vilain) ได้แก่ผู้ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน หรือเป็นปรปักษ์ (Antagonist) กับตัวละคร หลัก(Protagonist) ในเรื่อง, ผู้ช่วยเหลือ (The Helper) ได้แก่ผู้ช่วยของพระเอกในการต่อสู้กับผู้ร้าย หรือเป็น ผู้ช่วยเหลือพระเอกให้ผ่านพ้นอุปสรรค, ผู้ส่งสาร (Dispatcher) ส่วนใหญ่มักเป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์ร้าย หรือ พบการกระทำผิดของผู้ร้าย, เจ้าหญิง (the Princess) ได้แก่นางเอกของเรื่องซึ่งเป็นผู้ที่พระเอกต้องคอย ปกป้องช่วยเหลือ และพระเอก (The Hero) ได้แก่ผู้ที่เป็นตัวแทนของฝ่ายธรรมะ และเป็นผู้นำในการแก้ไขข้อ ขัดแย้ง นอกจากนี้ยังอาจมีพระเอกจอมปลอม (The False Hero)คือตัวละครที่แสร้งเป็นคนดีแต่มักเปิดเผย ความชั่วร้ายในภายหลัง สำหรับตัวละครแต่ละตัวตามเกณฑ์ของ Propp นี้ ตัวละครหนึ่งตัวอาจมีมากกว่าหนึ่ง บทบาท หรือตัวละครอาจเปลี่ยนแปลบทบาทของตัวเองจากบทหนึ่งไปสู่อีกบทหนึ่งได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ตัวละครโดยจำแนกตัวละครตามคุณสมบัติ ซึ่งแบ่งออกได้เป็นสอง ประเภทคือ ตัวละครผู้กระทำคือ ตัวละครที่มีลักษณะเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ไม่ถูกครอบงำ หรือถูกคุกคาม จากผู้อื่น โดยง่าย และ ตัวละครผู้ถูกกระทำคือ ตัวละครที่มีลักษณะอ่อนแอต้องพึ่งพาผู้อื่นหรือต้องอยู่ภายใต้ การดูแล หรืออยู่ในความควบคุมของตัวละครอื่น
ในการพิจารณาตัวละครนอกจากจะวิเคราะห์ลักษณะของตัวละคร โดยดูจากลักษณะภายนอกแล้ว เรายังสามารถพิจารณาได้จากคำพูด และบทสนทนา (Dialogue) ของตัวละครเนื่องจากมันสามารถที่จะ สะท้อนบุคลิกลักษณะของตัวละครได้ 2. แก่นความคิด (Theme)ก่นความคิด (Theme) นับเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อ เรื่องเล่า โดยฉพาะเมื่อต้องการวิเคราะห์ถึงใจความสำคัญของเรื่อง เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจับใจความ สำคัญของเรื่องไ ว้ให้ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะไม่อาจรู้ถึงแนวกิดหลักที่ผู้เล่าต้องการถ่ายทอดให้ทราบ แก่นความคิด หมายถึงความคิดหลักในการดำเนินเรื่อง เป็นความคิดรวบยอดที่เจ้าของเรื่องต้องการ นำเสนอ ซึ่งเราสามารถเข้าใจแก่นความคิดได้จากการสังเกตองค์ประกอบต่างๆในการเล่าเรื่อง อาทิ การสังเกต ชื่อเรื่อง ชื่อตัวละคร สังเกตค่านิยม คำพูด หรือสัญลักษณ์พิเศษที่ปรากฏในเรื่อง สำหรับแก่นความคิดที่ได้รับ ความนิยม และพบได้บ่อยๆมีอยู่ไม่มากนักโดยมากมักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความดี-ความชั่ว และความรัก-ความ เกลียด ซึ่งแก่นความคิดยังสามารถแบ่งย่อยลงไปในรายละเอียดในการสนับสนุนความคิดหลัก โดยความคิด ย่อยทั้งหมดจะมีลักษณะร่วมกันบางประการ หรือเดินไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น ดังนั้นในการพิจารณาแก่น ความคิดใดๆ การแยกย่อยความคิดปลีกย่อยจะทำให้เราสามารถเข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น (ฉลองรัตน์ ทิพย์พิมาน,2539) Boggs (อ้างถึงในศิริพร ไฝ่ศิริ, 2544) ได้แบ่งแก่นความคิดหลักของเรื่องหรือแก่นเรื่อง (theme) ไว้ 5 ประเภทดังนี้ 1. แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับศีลธรรม คือแก่นเรื่องที่ชักจูงแนะนำให้สนใจในเรื่องของ ศีลธรรม โดยใช้เรื่องของความจริงที่ปรากฎอยู่ทั่วไป จะใช้ศีลธรรมหลายๆเรื่องมานำเสนออย่างสัมพันธ์กัน 2. แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับชีวิต มุ่งเสนอเรื่องจริงของชีวิต สร้างข้อวิพากษ์ใน ประสบการณ์ทางธรรมชาติของมนุษย์ เป็นการประเมินสภาพของมนุษย์ 3. แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ มุ่งเสนอพฤติกรรมลักษณะของมนุษย์คน หนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมด 4. แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับการวิพากษ์สังคม มุ่งสะท้อนสภาพสังคมซึ่งจะทำได้ทั้งแนว ตลกเสียดสี หรือสมจริงเพื่อการปฏิรูปสังคม 5. แก่นความคิดหลักเกี่ยวกับศีลธรรมหรือคำถามเชิงปรัชญา มุ่งเสนอโคยการตั้งคำถาฒ เรียกร้องให้ตอบในเชิงปรัชญา ซึ่งต้องการการวิเคราะห์จากผู้ชม 5.ฉาก (Setting)ฉากนับเป็นองค์ประกอบหนึ่งในเรื่องเล่าทุกประเภท ทั้งนี้เนื่องจากเรื่องเล่าคือ การ ถ่ายทอดเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน และเพราะเหตุการณ์ต่างๆจะเกิดขึ้นโดยปราสจากสถานที่มิได้ ดังนั้นเองฉาก จึงมีความสำกัญเพราะทำให้มีสถานที่รองรับเหตุการณ์ต่างๆของเรื่อง นอกจากนี้จากยังมีความสำคัญในแง่ที่ สามารถบ่งบอกความหมายบางอย่างของเรื่อง มีอิทธิพลต่อความคิด หรือการกระทำของตัวละคร ได้อีกด้วย
(ปริญญา เกื้อหนุน, 2537) คังนั้นฉากจึงเป็นองค์ประกอบสำกัญประการหนึ่งในภาพยนตร์ที่เป็นประ โยชน์ต่อ ผู้ทำการศึกษาที่จะ ได้รับรู้ สาระสำคัญของเรื่องทั้งนี้ ฉากสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ฉากนอกบ้าน และฉากในบ้าน โดย ฉากทั้งสองประเภทนี้จะปรากฎในเรื่องเล่าโดยมีความสอดคล้องกับลักษณะสำคัญของเรื่องเล่า ธัญญา สังขพันธานนท์ (2539) สรุปประเภทของฉากในเรื่องเล่าไว้ 5 ประเภทดังต่อไปนี้ 1.ฉากที่เป็นธรรมชาติ ได้แก่ สภาพแวดล้อมธรรมชาติที่แวดล้อมตัวละคร เช่นป่าไม้ ทุ่งหญ้า หรือบรรยากาศต่ำเช้าในแต่ละวัน 3. ฉากที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ ได้แก่ อาคารบ้านเรือน เครื่องใช้ในครัว หรือสิ่งประดิษฐ์ที่เป็น เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ 3.ฉากที่เป็นช่วงเวลา หรือยุคสมัย ได้แก่ยุคสมัย หรือช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ตามท้องเรื่อง 4. ฉากที่การดำเนินชีวิตของตัวละคร หมายถึงสภาพแบบแผน หรือกิจวัตรประจำวันของตัว ละคร ของชุมชน ท้องถิ่น หรือสังคมที่ตัวละครอาศัยอยู่ 5. ฉากที่ป็นสภาพแวดล้อมเชิงนามธรรม คือสภาพแวดล้อมที่จับต้องไม่ได้แต่มีลักษณะเป็น ความเชื่อ หรือความคิดของคน เช่นค่านิยม ธรรมเนียม ประเพณี เป็นต้น 6. สัญลักษณ์พิเศษ (Symbo! ลักษณะการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ มักจะมีการใช้สัญลักษณ์พิเศษ (Symbol) เพื่อสื่อความหมายอยู่เสมอ สำหรับสัญลักษณ์พิเศษในภาพยนตร์ที่ใช้ในการสื่อความหมายนั้น ประกอบไปด้วย สัญลักษณ์ทางภาพ และสัญลักษณ์ทางเสียง 6.1 สัญลักษณ์ทางภาพ คือองค์ประกอบของภาพยนตร์ที่ถูกนำเสนอซ้ำๆอาจเป็นวัตถุ สถานที่ หรือสิ่งมีชีวิตเช่นสัตว์ หรือบุคคล สัญลักษณ์อาจเป็นภาพเพียงภาพเดียว หรือเป็นกลุ่มของภาพที่เกิด จากการตัดต่อ อย่างการลำดับภาพก็สามารถใช้ในการสื่อความหมายพิเศษได้เช่นกัน 6.2 สัญลักษณ์ทางเสียง คือเสียงต่างๆที่ถูกใช้เพื่อแสดงความหมายอื่นๆเพื่อเปรียบเทียบ ความหมาย หรือเพื่อแสดงวัตถุประสงค์ของตัวละคร ไม่ใช่การใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมกับตัวละคร และ เรื่องราวของภาพยนตร์ 7. มุมมองในการเล่าเรื่อง (Point of view) มุมมองในการเล่าเรื่องคือ การมองเหตุการณ์ การเข้าใจ พฤติกรรมของตัวละครในเรื่องผ่านสายตาของตัวละครตัวใคตัวหนึ่ง หรือหมายถึงการที่ผู้เล่ามองเหตุการณ์จาก วงใกล้ชิด หรือจากวงนอกในระยะห่างๆซึ่งแต่ละมุมมองก็จะมีความน่าเชื่อถือต่างกัน มุมมองในการเล่าเรื่อง มี ความสำคัญต่อการเล่าเรื่องอย่างยิ่งเพราะมันจะส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชม และมีผลต่อการชักจูงอารมณ์ของ ผู้เสพเรื่องเล่าซึ่งจุดยืนพื้นฐานในการเล่าเรื่องของภาพยนตร์มี 4 ประเภท ได้แก่ (Louise Giannetti , 1990)
7.1 เล่าเรื่องจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (The First -Person Narrator) คือการเล่าเรื่องที่ตัว ละครที่เป็นตัวเอกของเรื่องเป็นผู้เล่าเรื่องเอง ข้อสังเกตก็คือภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องด้วยมุมมองประเภทนี้คือจะ ปรากฎคำว่า "ฉัน"หรือ "ผม" อยู่เสมอ ข้อดีของการเล่าเรื่องชนิดนี้ความรู้สึกใกล้ชิดกับเหตุการณ์เนื่องจากว่าตัว ละครหลักเป็นผู้เล่าเรื่องเอง พบการเล่าเรื่องชนิดนี้พบบ่อยในภาพยนตร์นักสืบ และภาพยนตร์อัตชีวประวัติ 7.2 เล่าเรื่องจากมุมมองบุคคลที่สาม (The Third-Person Narrator) คือการที่ผู้เล่ากล่าวถึง ตัวละครตัวอื่น เหตุการณ์อื่น ที่ตัวผู้เล่าพบเห็น หรือเกี่ยวพันด้วย 7.3 การเล่าเรื่องจากมุมมองที่เป็นกลาง (The Objective) เป็นมุมมองที่ผู้สร้างพยายามให้ เกิดความเป็นกลาง ปราศจากอกติในการนำเสนอ ดังนั้นการเล่าเรื่องชนิดนี้ทำให้ไม่สามารถข้าถึงตัวละครได้ อย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นการเล่าจากวงนอก เป็นการสังเกต หรือรายงานเหตุการณ์ โดยให้ผู้ชมตัดสินเรื่องราวเอง ผู้สร้างมักไม่ใช้กล้องมุมสูง หรือใช้ฟิลเตอร์เพื่อปรุงแต่งภาพ เนื่องจากจะทำให้ภาพยนตร์ขาดความสมจริง มัก พบการเล่าเรื่องชนิดนี้ในภาพยนตร์ข่าวสารคดี รวมทั้งภาพายนตร์แนวสมจริง 7.4 การเล่าเรื่องแบบรู้รอบด้าน (The Omniscent) คือการเล่าเรื่องที่ไม่มีข้อจำกัดสามารถ หยั่งรู้จิตใจของตัวละครทุกตัว สามารถข้ายเหตุการณ์ สถานที่ และข้ามพ้นข้อจำกัดด้านเวลา สามารถร้อนอดีต ก้าวไปในอนาคต และสามารถสำรวจความคิดฝันของตัวละครได้อย่างไร้ขอบเขต การเถ่าเรื่องชนิดนี้เป็นการ เล่าเรื่องที่ภาพยนตร์ใช้บ่อยที่สุด สำหรับงานวิจัยนี้ผู้วิจัยจะอาศัขแนวคิดการเล่าเรื่องเป็นประเด็นหนึ่งในการวิเคราะห์เนื้อหาของ ภาพยนตร์ร่วมสร้างไทยที่มีการร่วมสร้างกับชาติอื่นในเอเชียดามที่ผู้วิจัยสนใจศึกษาเพื่อค้นหาอัตลักษณ์และ การสร้างความหมายของผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนั้นว่าได้สื่อออกมาให้เห็นเป็นลักษณะอย่างไรโดยจะวิเคราะห์ ตามแต่ละองค์ประกอบของการเล่าเรื่องทั้ง 7 ประการ ภาษาภาพยนตร์ (Film Language) เป็นภาษาที่ใช้ทั้ง วัจนภาษา และ อวัจนภาษา โดยผ่าน กระบวนการตีความหมายทางการสื่อสาร ทั้งจากผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งมีผู้ให้ความหมายของ ภาษา ภาพยนตร์ ได้ดังนี้ Christian Metz นักทฤษฎีสัญญศาสตร์ด้านภาพยนตร์ (Film Semiologist) ชาวฝรั่งเศส ได้ ให้ ความหมายไว้ว่า ผู้ชมเข้าใจภาพยนตร์นั้น “ไม่ใช่เพราะว่า ภาพยนตร์เป็นภาษา จึงสามารถบอก เล่าเรื่องได้ โดยสมบูรณ์ แต่ตรงกันข้าม ภาพยนตร์กลายเป็นภาษา จากการที่ภาพยนตร์ ได้มีการเล่าเรื่องได้อย่างสมบูรณ์ แล้ว” (Monaco, 1981, p. 127) การที่ภาพยนตร์สามารถสื่อสารถ่ายทอดเรื่องราว ความหมาย อารมณ์และความรู้สึกให้ ผู้ชมเข้าใจ ใน สิ่งที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ได้นั้นเพราะภาพยนตร์เป็นภาษาอย่างหนึ่ง เรียกว่า ภาษาภาพยนตร์ (Film Language) แต่ภาษาภาพยนตร์ ไม่ใช่ภาษาทั่วไป และไม่ได้ใช้หลักไวยกรณ์เช่นเดียวกับภาษาปกติทั่วไปในการ
สื่อสารหรือสื่อความหมาย เช่นเดียวกับภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ฯลฯ หากแต่ภาพยนตร์มีวิธีการสื่อ ความหมายหรือมีภาษาเฉพาะเป็นของตนเอง จากแนวคิดของ Metz นั้น ถือว่า ภาพยนตร์ไม่ใช่ภาษาที่แท้จริง (Film is not a true language) แต่ ภาพยนตร์มีระบบการสื่อความหมาย (Signification System) (Andrew, 1976, p. 219) ซึ่งสำหรับนักทฤษฎี สัญญศาสตร์ (Semiologist) นั้น มองภาษาภาพยนตร์เป็นระบบสัญลักษณ์ (Sign System) อย่างหนึ่ง ภาพยนตร์จะสื่อความหมายในรูปของ สัญลักษณ์ (Signs) และการเชื่อมโยงสัญลักษณ์ต่างๆ เข้าด้วยกันให้เกิด ความหมายหรือ วากยสัมพันธ์ (Syntax) (Monaco, 1981, p. 140) เช่นเดียวกันกับภาษาทั่วไปที่ทำการเลือก และรวมส่วนที่เล็กที่สุดของของหน่วยภาษา (Phonemes) และส่วนที่ใหญ่ของหน่วยภาษา (Morphemes) เพื่อสร้างรูปประโยค ภาพยนตร์จะใช้ การเลือกและทำการประกอบภาพและเสียง (Images and Sounds) ต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง ความสัมพันธ์เกิดเป็นรูปประโยคทางภาษาสัญลักษณ์ (Syntagmas) การ ปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยหรือ องค์ประกอบของสัญลักษณ์ก่อให้เกิดความหมาย ถือเป็นหน่วยหนึ่งของการเล่าเรื่อง (Units of Narrative Autonomy) (Stam, Burgoyne, &, Flitterman-Lewis, 1992, p. 37) จากหน่วยหนึ่ง ของการ เล่าเรื่อง เมื่อนำหลายๆ หน่วยของการเล่าเรื่องมาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ก็จะเกิดเป็นภาพยนตร์เรื่อง หนึ่งที่สามารถสื่อสาระและความบันเทิงไปยังผู้ชมให้เกิดความเข้าใจร่วมกันได้ ซึ่งผู้วิจัยได้กล่าวถึง ใน ทฤษฎี โครงสร้างการเล่าเรื่อง วิจัยที่เกี่ยวข้อง ณัฐปคัลภ์ อัครภูริณาคินทร์(2563) ได้ทำงานวิจัยเรื่อง “ กลวิธีการเล่าเรื่องและการใช้ภาษา ภาพยนตร์ในภาพยนตร์ ที่กำกับโดย หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ” ผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบการ สื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ในการเล่าเรื่องผ่านฉากของภาพยนตร์ทั้ง 13 เรื่อง ที่กำกับโดย หม่อมหลวงพันธุ์ เทวนพ เทวกุล พบว่า สัญลักษณ์ที่ปรากฏ ภายในภาพยนตร์ทั้ง 13 เรื่องของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล แสดงให้เห็นถึงแนวคิดของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล ที่ว่าเขาต้องการจะสร้างภาพยนตร์ที่มีแนวคิดเป็น ในรูปแบบของการนำนวนิยายมาทำในรูปแบบที่มีการปรับเปลี่ยนมุมมองให้สวยงามผ่านการประดิษฐ์ใน รูปแบบ ใหม่ ที่แฝงไปด้วยมุมมองทางศิลป์ (At) เป็นถ่ายทอดออกมาอย่างมีศิลปะ และแสดงออกถึงแง่มุม ต่าง ๆ ของสังคม รวมไปถึงการสื่อความหมายในฉากต่าง ๆ ได้อย่างมีศิลปะทำให้ผู้ชมได้แง่มุม ความคิดและ อนุสติชีวิตไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ภาพยนตร์ของหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล จึงมีความไม่เหมือนใคร และไม่ มีใครเหมือน ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในไทยของวงการภาพยนตร์ยกตัวอย่างจาก เรื่องความรักไม่มีชื่อ ได้หยิบยกเอาความหมายของชื่อตัวละคร คือ อาทิตย์ ให้เหมือนสิ่งที่เปล่งแสงประกายออกมาจากตัวเองได้โดย ที่ไม่ต้องพึ่งแสงจากคนอื่นใด อาทิตย์ ไม่เคยขอความช่วยเหลือจาก เพ็ญนภา หรือคนรอบข้างเลยแต่เขา สามารถที่จะ ตะเกียกตะกายขึ้นมาเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงได้ด้วยตัวของเขาเอง และอีกหนึ่งเรื่องคือ เรื่อง อุโมงค์ ผาเมือง ได้ยิบยกเอาความสำคัญของโซ่ตรวนที่จองจำยุพดีและส่างหม่อง เป็นสัญลักษณ์การจองจำ อิสรภาพ และเป็นสัญลักษณ์แทนการผูกมัดในความสัมพันธ์ของมนุษย์กับการใช้ชีวิตคู่และการ แสดงความรัก
ที่เหมาะสมระหว่างกัน ไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยจนเกินไป ให้อยู่ในทางสายกลาง ที่ไม่ตึงจนเจ็บปวดหรือเกิด ความอึดอัด และรู้สึกเหมือนขาดอิสรภาพที่เคยมีมาใน ชีวิต เมื่อต้องมา อยู่ร่วมกับคนอีกคน หรือหยุ่นจนรู้สึก เหมือนไร้ตัวตนไม่เป็นที่ต้องการสำหรับคนที่ตัวเองรัก โซ่ ตรวนจึงเป็นเหมือนพันธนาการในความสัมพันธ์ที่ มนุษย์ทุกคนมี GU XINXI (2560) ได้ทำงานวิจัยเรื่อง “ ศึกษาการเล่าเรื่องและวัฒนธรรมในภาพยนตร์นอกกระแส ไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง "Mary is Happy Mary is Happy" และ "Ne Zha" ” ผลการศึกษาพบว่า วัฒนธรรมของโครงสร้างการเล่าเรื่องของภาพยนตร์นอกกระแสไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง "Mary is Happy Mary is Happy" และ "Ne Zha" ได้มีการถ่ายทอดความหมายเกี่ยวกับวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศผ่านแต่ ละองค์ประกอบของโครงสร้างการเล่าเรื่องทั้ง 7 ประการที่สามารถจัดได้เป็นประเภทต่าง ๆ คือ วัฒนธรรม ระดับครอบครัวและวัฒนธรรมระดับสังคม โดยถ่ายทอดผ่านขั้นขัดแย้ง (Conflict) และตัวละคร (Character) มากที่สุด ส่วนมากแล้วจะเปรียบเทียบให้เห็นระหว่างวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมจีนที่เข้ามามีอิทธิพลอยู่มาก ต่อความเชื่อและทัศนคติของบุคคลทั้งนี้มุ่งชี้ให้เห็นคุณค่าทางวัฒนธรรม และการชี้ให้ข้อดีและข้อเสียของแต่ ละประเทศ โดยมีการวิเคราะห์ลักษณะวัฒนธรรมที่ได้อ้างอิงแนวคิดนี้ไว้ในบทที่ 2 ทั้งนี้มีการแบ่งวัฒนธรรม ออกเป็น 2 ระดับ คือ 80 (1) วัฒนธรรมระดับครอบครัว (2) วัฒนธรรมระดับสังคม ทำให้สามารถระบุถึง วัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านภาพยนตร์นอกกระแสไทยและจีน ที่ศึกษาได้โดยการอธิบายลักษณะวัฒนธรรมที่ถูก สร้างขึ้น ตามที่พบในภาพยนตร์นอกกระแสไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง "Mary is Happy Mary is Happy" และ“Ne Zha” เพื่อสามารถให้หน่วยงานเอกชนหรือรัฐบาลทั้งประเทศไทยและประเทศจีนได้นำไป เพื่อช่วย ในการกำหนดกลยุทธ์การสื่อสาร สุวิมล วงศ์รัก (2547) ได้ทำงานวิจัยเรื่อง “อัตลักษณ์และการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ร่วมสร้างไทยเอเชีย” ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะอัตลักษณ์ของโครงสร้างการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ร่วมสร้างไทย-เอเชียนั้น มีการถ่ายทอดแนวคิดลักษณะตะวันออก และลักษณะตะวันตก อย่างสอดคล้องตามเกณฑ์การวิเคราะห์อัต ลักษณ์ทางวัฒนธรรมของ Jan Servaes ที่ได้อ้างอิงแนวคิดนี้ไว้ในบทที่ 2 ทั้งนี้มีการ แบ่งวัฒนธรรมออกเป็น 2 ระบบ คือ 1. ระบบสังคมวัฒนธรรม (Socio-cultural system) 2. ระบบวิธีการสื่อสาร (Mode of communication) ทำให้สามารถระบุถึงอัตลักษณ์ของภาพยนตร์ร่วมสร้าง ไทย-เอเชียที่ศึกษาได้โดยการ อธิบายลักษณะวัฒนธรรมของตะวันออกและตะวันตกที่ถูกสร้างขึ้น ตามที่พบในภาพยนตร์ร่วมสร้างไทย-เอเชีย พิชณี โสตถิโยธิน ได้ทำงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการสื่อสารภาษาโฆษณาทาง วิทยุกระจายเสียงในด้านเนื้อหา โฆษณาและด้านกลวิธีการสื่อความหมายระหว่างปี พ.ศ. 2526-2529 กับปี พ.ศ. 2543-2546” ผลการวิจัยพบว่า กลวิธีการสื่อสารภาษาโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียงในด้านเนื้อหา โฆษณาและด้านกลวิธีการสื่อความหมายมี การเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ด้านการนำเสนอเนื้อหาโฆษณา สมัยอดีตมุ่งนำเสนอตัวสินค้า ส่วนสมัยปัจจุบันมุ่ง ที่จะสื่อสารกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ด้านการใช้กลวิธีการ สื่อความหมาย สมัยอดีตนิยมใช้กลวิธีการสื่อความหมาย ด้วยวัจนกรรมตรง ส่วนสมัยปัจจุบันนิยมใช้กลวิธีการ สื่อความหมายด้วยวัจนกรรมอ้อม แต่ละสมัยมีการใช้กลวิธีการ สื่อความหมายด้วยวัจนกรรมตรงและวัจนกร
รมอ้อมที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการนำเสนอเนื้อหาโฆษณา สมัยอดีตนิยมใช้กลวิธีการสื่อความหมาย ด้วยวัจนกรรมตรงซึ่งมีเจตนาแจ้งให้ทราบ อันสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ของการโฆษณาคือต้องการแจ้งให้ ทราบถึงข้อมูลสินค้า ส่วนสมัยปัจจุบันมีการใช้กลวิธีการสื่อความหมายด้วยวัจน กรรมอ้อมมากขึ้นกว่าสมัย อดีต เพราะสมัยปัจจุบันมุ่งสื่อสารกับผู้บริโภคเป้าหมาย การใช้กลวิธีการสื่อความหมาย ด้วยวัจนกรรมอ้อมนี้ ทำให้ผู้บริโภคเป้าหมายต้องตีความสาร การจะตีความสารได้นั้นจะต้องติดตามฟังโฆษณาจนจบ เพื่อให้ทราบ ถ้อยคำหรือบริบทรอบข้าง อันจะนำมาใช้ประกอบการตีความ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคทราบข้อมูลสินค้าและ พิจารณาสินค้าไปในตัวด้วย การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต, สภาพสังคม, ความรู้การศึกษา, ความ ตื่นตัวของผู้บริโภคในเรื่องสิทธิผู้บริโภค, วิทยาการด้านการโฆษณา และวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารที่ เปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลา อันมีผลกระทบต่อกลวิธีการใช้ภาษาโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียง และยัง สามารถนำความรู้ที่ได้รับ จากงานวิจัยนี้ไปประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติการด้านต่าง ๆ ได้ วีรภัทร วิไลศิลปะดีเลิศ (2555) ได้ทำงานวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์เนื้อหาภาพข่าวยอดเยี่ยม รางวัลอิศรา อมันตกุล ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ผลการวิจัยพบว่า เป็นการวิจัยเชิง คุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา องค์ประกอบภาพ รูปแบบ และเทคนิคการ ถ่ายภาพ ทั้งในเชิงคุณค่า ทางด้านวารสารศาสตร์ การตีความเชิงสัญญะ และในแง่ความงดงามเชิง องค์ประกอบศิลป์ของภาพ ข่าว แบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นการศึกษาแนวทางการพิจารณา รางวัลภาพข่าวยอด เยี่ยมโดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (Depth Interview) อิงโครงสร้างปานกลาง (Semi - structural Interviews) เกี่ยวกับแนวทางการพิจารณารางวัลภาพข่าวยอดเยี่ยม โดยสัมภาษณ์ คณะกรรมการ ผู้ตัดสินรางวัล จำนวน 3 ท่าน และส่วนที่สองเป็นการศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา องค์ประกอบ ภาพ รูปแบบ และเทคนิคการถ่ายภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยแบบวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ภาพข่าว ยอดเยี่ยม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเนื้อหาองค์ประกอบภาพ รูปแบบ และเทคนิคที่ใช้ใน การถ่ายภาพโดย พิจารณาคุณค่าทั้งในเชิงวารสารศาสตร์และความงดงามเชิงองค์ประกอบศิลป์
การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง งานวิจัย การวิเคราะห์วิถีปฏิบัติทางวาทกรรมในงานวิจัย แนวคิดเกี่ยวกับ การเล่าเรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับ ภาษาภาพยนตร์ ทฤษฎีสัญญัติวิทยา หรือสัญญะวิทยา 1. กลวิธีการเล่าเรื่อง และการใช้ภาษาภาพยนตร์ใน ภาพยนตร์ ที่กำกับโดย หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล โดย ณัฐปคัลภ์ อัครภูริณาคินทร์ปี2563 ✓ ✓ ✓ 2. ศึกษาการเล่าเรื่องและวัฒนธรรมในภาพยนตร์นอก กระแสไทยและจีน กรณีศึกษาเรื่อง "Mary is Happy Mary is Happy" และ "Ne Zha" โดย GU XINXI ปี2560 ✓ ✓ 3. อัตลักษณ์ และการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ร่วมสร้าง ไทย-เอเชีย โดย นางสาวสุวิมล วงศ์รัก ปี 2547 ✓ ✓ 4. การศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการสื่อสารภาษาโฆษณา ทางวิทยุกระจายเสียงในด้านเนื้อหา โฆษณาและด้าน กลวิธีการสื่อความหมายระหว่างปี พ.ศ. 2526-2529 กับปี พ.ศ. 2543-2546 โดย พิชณี โสตถิโยธิน ✓ 5. การวิเคราะห์เนื้อหาภาพข่าวยอดเยี่ยม รางวัลอิศรา อมันตกุล ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่ง ประเทศไทย โดย วีรภัทร วิไลศิลปะดีเลิศ ปี 2555 ✓ จากภาพแสดงการเปรียบเทียบการวิเคราะห์วิถีปฏิบัติทางวาทกรรมในงานวิจัยจำนวน 5 เรื่องนั้น พบว่าปรากฏแนวคิดเกี่ยวกับการเล่าเรื่องของ Lucaites and Condit และทฤษฎีสัญญัติวิทยาหรือสัญญะ วิทยาของโซซูร์ (Saussure) เป็นหลัก โดยมีงานวิจัยของณัฐปคัลภ์ อัครภูริณาคินทร์(2563) ที่นำแนวคิด เกี่ยวกับภาษาภาพยนตร์ของ Christian Metz มาใช้ในการอธิบายให้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวทั้ง 5 เรื่องนี้ต้องอธิบายว่าการเล่าเรื่องมีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง สัญญัติวิทยาหรือสัญญะวิทยามีลักษณะอย่างไร บ้าง และภาษาภาพยนตร์มีลักษณะและการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างไร การเปรียบเทียบการวิเคราะห์วิถีปฏิบัติทางวาทกรรมในงานวิจัยดังกล่าวนี้เปรียบเทียบเพื่อศึกษา แนวทางในการใช้อธิบายวิถีปฏิบัติทางวาทกรรมในการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่ปรากฏในภาพยนตร์ เรื่องสัปเหร่อต่อไป
สมมติฐานและกรอบแนวคิดการวิจัย สมมติฐาน ภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ กำกับโดย ธิติ ศรีนวล ได้ท้อนให้เห็นถึงความเชื่อวัฒนธรรมและบริบททาง สังคมของคนในภาคอีสาน กรอบแนวคิด ภาพยนตร์ เรื่อง สัปเหร่อ ที่กำกับโดย ธิติ ศรีนวล กลวิธีการเล่าเรื่อง ๑. โครงเรื่อง - การเริ่มเรื่อง - การพัฒนาเหตุการณ์ - ภาวะวิกฤติ - ภาวะคลี่คลาย - การยุติของเรื่องราว ๒. ความขัดแย้ง ๓. ตัวละคร ๔. แก่นความคิด ๕. ฉาก ๖. มุมมองในการเล่าเรื่อง ๗. การสื่อความหมายเชิง สัญลักษณ์ ภาษาภาพยนตร์ ๑. องค์ประกอบด้านแสงและ เงา ๒. องค์ประกอบด้านสี ๓. องค์ประกอบด้านการถ่าย ภาพยนตร์ ๔. องค์ประกอบด้านเสียง ๕. องค์ประกอบด้านการตัดต่อ และลำดับภาพ ทฤษฎีสัญญัติวิทยาหรือสัญญวิทยา ๑. ประเภทของสัญญะ - รูปเหมือน - ดรรชนี - สัญลักษณ์ ๒. วิธีการวิเคราะห์สัญญะ - ความหมายโดยอรรถ - ความหมายโดยนัย ๓. แนวคิดเกี่ยวกับภาษาภาพ
ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative) ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากภาพยนตรเรื่อง สัปเหร่อ ที่กำกับโดย ธิติ ศรีนวล ซึ่งมีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ทั้งหมด 15 จุด ประกอบด้วย ข้าวจี่ ไหม้, ลูกโปร่งขาวลอย , วงไฮโลงานศพ , เจิด (ผู้ชายที่ทาเล็บ) , ส่อนขวัญ , โยนกาละพฤกษ์ , โบดำกลัดคน ท้อง , น้ำตก (โลกความฝัน) , พิธีกรรมตัดสายแนน แบ่งเว้นคนเป็นคนตาย , ธุง ,โปรยข้าวตอก,ยายผูกแขนให้ เซียง , เสื้อแดงแขวนหน้าบ้าน , เมรุหลากสีสัน , นกบินออกจากบ้าน และมีการสื่อความหมายวัจนกรรม ทางตรง การสื่อความหมายวัจนกรรมทางอ้อม ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรต้น ภาพยนตร์ (เรื่อง สัปเหร่อ) ตัวแปรตาม การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ นิยามศัพท์ ภาพยนตร์หมายถึง เป็นกระบวนการบันทึกภาพด้วยฟิล์ม แล้วนําออกฉายในลักษณะที่แสดงให้เห็น ภาพเคลื่อนไหวและเสียง การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ หมายถึง สิ่งที่ใช้แทนความหมายของอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งใช้ในการสื่อ ความหมายหรือแนวความคิดให้มนุษย์เข้าใจไปในทางเดียวกัน อาจจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ ระเบียบวิธีดําเนินการวิจัย ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 1. ทราบถึงกลวิธีการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์และ การใช้วัจนกรรมภาษาในภาพยนตร์เรื่อง สัปเหร่อ ที่กำกับโดย ธิติ ศรีนวล 2. สร้างองค์ความรู้ด้านการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์และการใช้วัจนกรรมภาษา ในภาพยนตร์ เรื่องสัปเหร่อ เพื่อนำไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนของตนเองได้
เอกสารอ้างอิง หรือ บรรณานุกรม ณัฐปคัลภ์ อัครภูริณาคินทร์. กลวิธีการเล่าเรื่อง และการใช้ภาษาภาพยนตร์ในภาพยนตร์ที่กำกับโดย หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล. ปริญญาโท(การเขียนบทและการกำกับภาพยนตร์และโทรทัศน์). มหาวิทยาลัยรังสิต. สำนักหอสมุด . : มหาวิทยาลัยรังสิต, 2563. พิชณี โสตถิโยธิน. การศึกษาเปรียบเทียบกลวิธีการสื่อสารภาษาโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียงในด้าน เนื้อหาโฆษณาและด้านกลวิธีการสื่อความหมายระหว่างปี พ.ศ. 2526-2529 กับปี พ.ศ. 2543-2546. (). มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักหอสมุด. : , 2550. สุวิมล วงศ์รัก . อัตลักษณ์ และการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ร่วมสร้างไทย-เอเซีย. ปริญญาโท(การ สื่อสารมวลชน). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547