เครอื่ งแขวน
นายอนนั การร้อน
64304060016
รายงานฉบับน้เี ปน็ ส่วนหน่งึ ของรายวชิ า 30400 - 1001 สมั มนาวชิ าชีพคหกรรม
สาขาวชิ าการบริหารงานคหกรรมศาสตร์ วิทยาลยั อาชวี ศกึ ษาลาปาง
ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
ก
คานา
เครอื่ งแขวน เป็นหนง่ึ ศิลปวัฒนธรรมไทยทีม่ ีมาต้ังแต่สมยั โบราณ ซงึ่ คนในยุคสมัยปัจจุบนั น้อยคนนัก
ท่ีจะรถู้ ึงคณุ คา่ และความสาคญั ของศิลปวฒั นธรรมชนดิ น้ี และหากเกิดการขาดอนุรกั ษ์หรือขาดการเผยแพร่
ศลิ ปวัฒนธรรมแขนงนอ้ี อกไปจากชวี ิตประจาวนั ถึงแมเ้ คร่อื งแขวนนีน้ น้ั จะเป็นเพยี งสง่ิ ท่ีแขวนประดบั ไวเ้ พื่อ
ความสวยงามและดงึ ดูดความนใจของผู้คน แต่สิ่งนี้คือศลิ ปวัฒนธรรมของคนยุคสมัยโบราณที่ส่ังสมมาจาก
บรรพบรุ ุษที่ควรค่าแก่การอนรุ ักษ์และหวงแหนและเผยแพร่ให้เปน็ ท่แี พรห่ ลาย
เครือ่ งแขวน เล่มน้ี เป็นส่วนหน่งึ ขอวชิ ชาสมั มนาวิชาชีพ รหัสวชิ า ๓๔๐๐ - ๑๐๐๑ สมั มนาวิชาชีพ
ผู้จัดทาไดศ้ ึกษาคน้ คว้าในเรอื่ งของเคร่อื งแขวน และศกึ ษาเนือ้ หาทีน่ า่ สนใจ นามารยี บเรียงเปน็ ลาดับข้นั ตอน
เพอื่ ให้สามารถเข้าใจไดง้ ่าย ลักษณะของเอกสารรายงานเล่มนี้เป็นการรวบรวมสาระสาคญั ของ หลักการ
ประดษิ ฐ์หลายๆอยา่ ง การเลอื กใชว้ ัสดุ
ขอขอบคุณท่านอาจารย์ฉนั ทนา หอมขจร ผูใ้ หค้ าปรกึ ษาชแ้ี นะและตรวจแก้ไขในรายงานเล่มน้ี
ตลอดจนทาใหร้ ายงานเลม่ นี้สาเรจ็ ลุลว่ งไปได้ดว้ ยดี ผจู้ ัดทาหวังเปน็ อยา่ งย่ิงวา่ รายงานเลม่ นจี้ ะเป็นประโยชน์
แกผ่ ู้อา่ นและผูท้ ่มี ีความสนใจจะศกึ ษาไม่มากก็นอ้ ย หากรายงานเลม่ น้มี ขี ้อผดิ พลาดประการใดผู้จัดทาต้องขอ
อภัยไว้ ณ ท่ีน้ดี ว้ ย
สารบญั ข
คานา หน้า
สารบัญ
บทนา ก
บทท่ี 1 ความรู้เก่ยี วเคร่ืองแขวน ข
1
ความเปน็ มา 2
ความหมายของเคร่ืองแขวน 2
ลกั ษณะของงานเครอ่ื งแขวน 4
ประโยขนแ์ ละหนา้ ที่ของเครอ่ื งแขวน 4
การเก็บรกั ษาและการดแู ลเครอื่ งแขวน 4
บทที่ 2 ประเภทและวสั ดอุ ุปกรณ์ 4
ประเภทของเครื่องแขวน 5
วสั ดอุ ุปกรณใ์ นการประดิษฐ์เครอื่ งแขวน 5
บทท่ี 3 เทคนิคการประดิษฐ์ 6
องค์ประกอบศิลป์ 15
การเลือกใช้วัสดอุ ปุ กรณ์ 17
บทที่ 4 การประดษิ ฐเ์ คร่ืองแขวน 17
เครื่องแขวนจิว๋ 18
เคร่ืองแขวนขนาดเลก็ 18
เครื่องแขวนขนาดกลาง 22
เครื่องแขวนขนาดใหญ่ 25
30
1
บทนา
“เครอื่ งแขวน” เป็นงานประดิษฐ์ทท่ี าข้นึ เพอ่ื ใช้ในการประดับตกแตง่ อาคาร สถานท่ี และสง่ิ เคารพ
บูชา มีรูปรา่ งเปน็ ชอ่ เปน็ พวงทรี่ ังสรรค์ขน้ึ จากการนาดอกไม้เล็กๆ มาเรียงร้อยรวมกันด้วยเส้นด้าย ประดษิ ฐ์
เป็นเสน้ ลาย เป็นตาข่ายรปู ตา่ งๆ เครื่องแขวนดอกไมส้ ดเป็นงานศลิ ป์ทมี่ มี าตงั้ แตส่ มยั อยุธยาและเฟื่องฟูใน
สมยั เริ่สสร้างกรุงรตั นโกสนิ ทร์ จากหลักฐานทางโบราณคดีตามโบราณสถานต่างๆ ในแถบทวปี เอเชีย ชใ้ี ห้เหน็
วา่ ชาติพันธแุ์ ถบน้ี มกี ารนาดอกไม้มาประดับเคหะสถานตง้ั แตย่ คุ ดึกดาบรรพ์ สังเกตจากศาสนสถาน
พระราชวัง และบ้านคหบดี ทม่ี ีการทาเป็นลายปูนปั้นเปน็ รูปเฟอ้ื งดอกไม้ลายต่างๆและคนในสมัยก่อนจะนา
ดอกไม้มาประดับบา้ นเรอื น แต่ดว้ ยดอกไม้มีอายกุ ารใช้งานทีส่ ้นั ทาใหเ้ กิดภูมิปัญญาทลี่ อ้ เลยี นของจริง ส่งผล
ให้เกดิ ลายปูนป้ันเป็นรปู ดอกไมต้ า่ งๆ อาทิ ทับหลังของปราสาทในเขมร ลายปนู ป้ันในพระราชวังในอนิ เดีย
ลวดลายสถปู เจดีย์ในวัดพระเชตพุ ลวิมลคลาราม เปน็ ต้น
2
บทที่ 1
ความร้เู กย่ี วกับเคร่อื งแขวน
4.1 ความเปน็ มาของเครื่องแขวน
ประเทศไทยเปน็ ดนิ แดนที่อดุ มไปด้วยความสมบรู ณท์ างธรรมชาติ ทาใหม้ พี รรณไมท้ ่ีสวยงามหลาย
ชนดิ ผนวกกับแนวความคดิ สร้างสรรคข์ องคนไทยท่ีชอบประดษิ ฐ์ประดอยมาตงั้ แตส่ มยั โบราณ ก่อให้เกิดงาน
หตั ถศิลปอ์ ันประณตี มากมายหลายแขนง หนึ่งในนั้นคือ งานเคร่ืองแขวนดอกไม้สด ซ่งึ เป็นศลิ ปะทีม่ คี วาม
ละเอียดอ่อน ต้องใชค้ วามอดทนในการทาสงู
จากหลกั ฐานทางโบราณคดตี ามโบราณสถานตา่ งๆในแถบทวีปเอเชียช้ีให้เห็นวา่ ชาติพนั ธุแ์ ถบน้ี มีการ
นาดอกไม้มาประดับเคหะสถานต้งั แตย่ ุคดึกดาบรรพ์ สังเกตจากศาสนสถาน พระราชวัง และบ้านคหบดี
ทมี่ กี ารทาเป็นลายปนู ป้ันเปน็ รปู เฟื่องดอกไม้ลายต่างๆ
จากการสันนิษฐาน คนในสมยั ก่อนจะนาดอกไมม้ าประดบั บา้ นเรอื น แต่ดอกไมม้ ีอายกุ ารใช้งานท่ีสน้ั
ทาใหเ้ กิดภมู ปิ ัญญาที่ลอ้ เลยี นของจริง ส่งผลให้เกิดลายปูนป้ันเปน็ รูปดอกไม้ต่างๆ อาทิ ทบั หลังของปราสาทใน
เขมร ลายปนู ปน้ั ในพระราชวังในอนิ เดยี ลวดลายสถปู เจดยี ์ในวดั พระเชตพุ ลวิมลคลาราม เป็นต้น
งานเครอื่ งแขวนดอกไมส้ ด เป็นงานประดษิ ฐ์ทที่ าข้ึนเพื่อใชใ้ นการประดับตกแต่งอาคาร สถานท่ี และ
ส่ิงเคารพบชู า มรี ปู รา่ งเป็นช่อเปน็ พวงทร่ี ังสรรคข์ ึ้นจากการนาดอกไม้เลก็ ๆ มาเรยี งรอ้ ยรวมกันดว้ ยเส้นดา้ ย
ประดิษฐเ์ ปน็ เส้นลาย เปน็ ตาขา่ ยรูปตา่ งๆ ทีม่ ีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ แบบสองมิติ และแบบสามมติ ิ
แบบสองมิติ เป็นแบบของเครอ่ื งแขวนท่ีมีลกั ษณะแบน มองไดท้ ้งั 2 ดา้ น เชน่ แบบตาข่ายหน้าช้าง
แบบบันไดแก้ว แบบวมิ านแท่น เปน็ ต้น ซึ่งสว่ นใหญจ่ ะใชแ้ ขวนบริเวณหนา้ ต่างท่ีมีลมผา่ น เมอ่ื ลมพัดเข้ามาใน
เคหะสถานที่ประดับด้วยเครอื่ งแขวนนี้ ก็จะอบอวลเปน็ ด้วยกลิน่ ดอกไม้ทแขวนอยู่
แบบสามมติ ิ คือ แบบที่สามารถมองได้รอบทิศทาง เชน่ แบบกลิ่นคว่า แบบพวงแก้ว แบบพู่กล่ิน แบบ
ระย้าทรงเคร่ือง เป็นตน้ งานประดษิ ฐแ์ บบนีจ้ ะใชแ้ ขวนประดับภายในบา้ น เพอื่ ใหเ้ กิดความสวยงามตอ่ ผู้ที่มา
พบเห็น
เคร่ืองแขวนดอกไม้สดเป็นงานศลิ ป์ท่มี ีมาต้งั แต่สมัยอยธุ ยา แตง่ านศิลปะแขนงนี้เส่ือมถอยไปเมื่อคราว
เสยี กรงุ เปน็ ครง้ั ที่ 2 จากน้ันจึงเร่มิ ถกู ฟื้นฟอู ีกคร้งั เม่อื เรมิ่ สร้างกรุงรัตนโกสนิ ทร์ บุคคลสาคญั ในวงการช่าง
ดอกไม้ในยุคน้นั คอื เจา้ จอมมารดาตานี ธดิ าเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บนุ นาค) เจ้าจอมในพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ผมู้ ีฝีมอื เชิงชา่ งดอกไม้
3
ซ่ึงนอกจากจะถวายงานในด้านท่ีตนถนดั แล้ว ทา่ นยงั ได้ฝึกหัดและถ่ายทอดวิชาแกพ่ ระธดิ าและพระ
นัดดา ของพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าฉตั ร กรมหม่นื สุรินทรรักษ์ ใหเ้ ปน็ ชา่ งดอกไมส้ ืบวชิ าตอ่ มา
จนกระทง่ั รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าอยู่หัว
รูปแบบของเคร่อื งแขวนดอกไม้สด ได้รบั การพัฒนามาตามยคุ สมัยโดยเฉพาะช่วงทป่ี ระเทศของเรามีการ
ติดตอ่ ค้าขายกับชาวต่างชาตมิ ากข้นึ รูปแบบวฒั นธรรมทม่ี าพรอ้ มกบั ชาวตา่ งชาตกิ ็สง่ อทิ ธพิ ลต่อชาวสยามใน
ยุคนัน้ อยู่ไมน่ ้อย
ทาให้เคร่ืองแขวนดอกไมส้ ดเรม่ิ มีการปรับรูปแบบให้เข้ากับสมันนยิ มมากขน้ึ อย่างหลกี เลีย่ งไม่ได้ เชน่
แบบของโคมจนี แบบโคมไฟแบบยโุ รป เป็นตน้ เครอื่ งพวงดอกไม้แขวนจึงมาการผสมทางวัฒนธรรมเป็นด้วย
จากอดีตจนถึงปัจจบุ ัน ภูมปิ ญั ญาในวชิ าเชงิ ชา่ งของไทยลว้ นมีบ่อเกดิ มาจากราชสานัก เรยี กได้วา่ "ความ
เจรญิ รุง่ เรืองของงานชา่ งไทยมีบ่อเกิดจากในราชสานกั " อนั เนื่องมาจากในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อย่หู วั ทรงมสี มาชกิ ในพระราชวงศเ์ ป็นฝ่ายในจานวนมาก
ซึง่ แต่ละตาหนกั กจ็ ะมีบาทบริจาริกา (ข้ารับใช้) คอยถวายงาน ใน พระบรมมหาราชวังจึงเป็นเสมอื น
ชมุ ชนอกี ชุมชนหน่งึ ก็วา่ ได้ เจา้ นายฝ่ายในกม็ งุ่ ที่จะประดษิ ฐ์งานดอกไมไ้ ปถวายพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั
เพ่อื ถวายเปน็ พทุ ธบชู าแด่พระแก้วมรกต หรอื ประดบั ตามพระทนี่ งั่ องคต์ ่างๆ
จวบจนรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั งานประดษิ ฐด์ อกไม้สดได้รบั ความนิยมและ
เจริญอย่างสูงสุด ดังจะเห็นได้จาก เมอื่ มพี ระราชพธิ ตี ่างๆ ก็จะมีการจดั ประกวดฝมี ือทาเครื่องแขวนกันเป็น
กจิ จะลักษณะ
โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจา้ โสมาวดี ศรีรตั นราชธดิ า กรมหลวงสมรรตั นสริ ิ
เชษฐ์ พระเชษฐภคินีในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ อยหู่ วั ทรงมพี ระปรีชาในการดิษฐ์เคร่อื งแขวนดอกไม้
สดเปน็ อยา่ งยงิ่ เม่ือมงี านสาคัญกจ็ ะทรงประดษิ ฐ์ดอกไม้ไปประดบั ตามงานนน้ั ๆ
งานเครื่องแขวนดอกไม้สด เปน็ หตั ถศิลป์อันวิจติ รของไทย เปน็ ศิลป์อกี แขนงหนง่ึ ทเ่ี ชิดหนา้ ชูตาของ
แผ่นดนิ ก่อใหเ้ กิดความภาคภมู ิใจในหัตถศิลปอ์ ันทรงคณุ คา่ ทไี่ ด้บม่ เพาะภมู ปิ ัญญามาอยา่ งต่อเน่อื งจากรุน่ สู่
รุ่น
4
4.2 ความหมายของเครอื่ งแขวน
เคร่ืองแขวนเป็นศลิ ปะการจัดดอกไม้สดแบบหนงึ่ ของไทย มคี วามงดงามตระการตา ดว้ ยสุนทรียะของ
ช่างประณตี ศิลปข์ องไทย เพ่อื เปน็ พุทธบชู า เทวบูชาและกษัตรยี บชู าอนั สมควรแก่กาลเทศะ โดยเฉพาะการ
ประดษิ ฐเ์ ปน็ พทุ ธบชู าในวันสาคญั ทางศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบชู า วนั วิสาขบูชา เพือ่ ความ
สวยงามและหอมสดชน่ื ด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ตา่ งๆ นามารอ้ ยกรองอย่างประณีต ซึ่งเครอ่ื งแขวนยังปรากฏ
อยบู่ นจติ รกรรมฝาผนงั วดั โสมนสั วิหาร จิตรกรรมฝาผนงั วดั ราชโอรสาราม จิตรกรรมฝาผนังวัดเทพธดิ าราม
เปน็ มรดกวัฒนธรรมของชาตทิ ่ีสืบทอดมายาวนานและจัดเป็นศิลปะวิทยาการแขนงหน่ึงทคี่ วรรักษาไว้ ซงึ่
ดอกไมข้ องไทยมีหลากหลายชนดิ ทนี่ ามาร้อยกรอง เช่น ดอกพดุ ดอกมะลิ ดอกรกั เข้ยี วกระแต กหุ ลาบ จาปี
จาปา สายหยุด บานไมร่ ูโ้ รย เปน็ ตน้ ดว้ ยภมู ิปญั ญาสุนทรยี ะในเชงิ ช่างประดิษฐ์ จึงเกิดงานประดษิ ฐ์จาก
ดอกไม้สดในรูปของเครอ่ื งแขวนมาจนถึงปัจจุบัน
4.3 ลักษณะของงานเครอื่ งแขวน
งานเครือ่ งแขวน เปน็ งานประดิษฐ์ท่ีทาข้นึ เพือ่ ใช้ในการประดับตกแตง่ อาคาร สถานที่ และส่งิ เคารพ
บชู า มีรูปร่างเปน็ ชอ่ เป็นพวงทาขึน้ จากการนาดอกไมเ้ ล็กๆ มาเรียงรอ้ ยรวมกันด้วยเส้นดา้ ย ประดิษฐ์เป็นเสน้
ลาย เป็นตาข่ายรูปต่างๆ ทม่ี ีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ แบบสองมติ ิ และ แบบสามมิติ
แบบสองมติ ิ เป็นแบบของเครอ่ื งแขวนท่มี ีลักษณะแบน มองไดท้ ั้ง 2 ดา้ น เช่น แบบตาข่ายหน้าชา้ ง
แบบวิมานแทน่ วมิ านพระอนิ ทร์ เปน็ ต้น ซึ่งสว่ นใหญจ่ ะใช้แขวนตามหน้าตา่ ง ประตู ท่ีมีลมผ่าน
แบบสามมิติ คอื แบบท่ีสามารถมองได้รอบทศิ ทาง เช่น แบบกลนิ่ คว่า แบบพวงแกว้ แบบพู่กลน่ิ แบบ
พวงระย้าเปน็ ต้น งานประดษิ ฐแ์ บบน้จี ะใช้แขวนประดับภายในบา้ นเรือน
4.4 ประโยขน์และหนา้ ที่ของเครอื่ งแขวน
1. การใช้เคร่อื งแขวนมาประกอบตกแต่งเพอ่ื ความสวยงาม
2. การใชเ้ ครือ่ งแขวนในการประกอบพิธีตา่ งๆ
3. การประกอบธรุ กิจและรายได้เสริมจากการทาเคร่ืองแขวน
4.5 การเกบ็ รกั ษาและการดแู ลเครื่องแขวน
ขณะที่ประดิษฐ์งานเครอ่ื งแขวน งานดอกไม้และใบไมท้ ี่ประดิษฐ์ตอ้ งมีความสดใหม่อยู่เสมอ และไดร้ ับ
การดแู ลรกั ษาอย่างถูกต้องตามชนิดของดอกไม้นน้ั ๆอยู่เสมอ
5
บทที่ 2
ประเภทและวัสดุอปุ กรณ์
ประเภทของเคร่ืองแขวน
1. เครอ่ื งแขวนขนาดจิว๋ เปน็ เคร่อื งแขวนท่มี ขี นาดเส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 5 – 15 เซนตเิ มตร
ยาว 8 – 45 เซนตเิ มตร เครอื่ งแขวนทร่ี อ้ ยด้วยโครงลวดเสน้ เลก็ เป็นรูปวงกลม วงรี สามเหลีย่ ม สี่เหล่ยี ม
พวงดอกไม้ ดวงดาว ปลาตะเพยี น ปลาทอง
2. เครือ่ งแขวนขนาดเลก็ เป็นเครื่องแขวนทีม่ ีขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลาง 8 – 12 นิว้ ยาว 15 – 40
นิ้ว ไดแ้ ก่ ตาข่าย หนา้ ชา้ ง บนั ไดแก้ว บันไดเงิน บันไดทอง กล่นิ ตะแคง กล่ินจีน กลิ่นจระเข้ วมิ านพระอนิ ทร์
พัดจีน พดั ควา่ พู่กล่ิน
3. เครอ่ื งแขวนขนากกลาง มโี คมและกระเชา้ รูปทรงต่างๆท่ขี นาดใหญ่ขึน้ เป็นเคร่อื งแขวนท่มี ขี นาด
เสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 13 - 18 นวิ้ มีความยาว 40 - 50 นิ้ว ไดแ้ ก่ โคมหวด ระยา้ น้อย พวงแกว้ แปลง ระยา้
ใหญ่ พวงทอง พวงชมพู กระเชา้ ดสุ ิต โคมไฟประยกุ ต์
4.เครอื่ งแขวนขนาดใหญ่ เป็นเคร่ืองแขวนที่มขี นาดเสน้ ผ่านศูนย์กลาง 20 - 30นว้ิ ยาว 50 – 100
นว้ิ ได้แก่ ระยา้ ใหญ่ พวงแก้ว ระยา้ แปลง โคมจีน โคมไฟประยุกต์
6
2.2.วัสดแุ ละอปุ กรณใ์ นการประดิษฐ์เครอ่ื งแขวน
1.วัสดใุ นการประดิษฐเ์ คร่อื งแขวน
1. ดอกรกั
2. ดอกพุด
3.ดอกจาปา
7
4.ดอกบานไมร่ ู้โรย
5. ดอกกุหลาบ
6. ดอกดาวเรอื ง
8
7.ดอกกล้วยไม้
8.ดอกเบญจมาศ
9. ดอกบานบุรี
9
10. ดอกเฟื่องฟ้า
11. ใบแกว้
12.ใบกระบอื
10
13.ใบตอง
11
2.อปุ กรณ์ในการประดษิ ฐเ์ ครอื่ งแขวน
1.ดา้ ย
2.เข็มมอื
3.เขม็ มาลัย
12
4.กรรไกร
5.คมี
6.ลวด
13
7.ผ้าขาวบาง
8.วาสลีน
9.กระบอกฉดี นา้
14
10.ถาด
15
บทที่ 3
เทคนิคการประดษิ ฐเ์ ครื่องแขวน
เทคนิคการประดิษฐ์เครื่องแขวนน้ันจาเป็นต้องใช้วัสดุ อุปกรณ์ชนิดต่างๆท่ีมีคุณภาพ ซ่ึงขณะปฏิบัติ
จะต้องอาศัยความร้คู วามเขา้ ใจในการเลือกใช้วัสดอุ ุปกรณ์ให้เกิดประสิทธิภาพและปลอดภัยมากท่ีสุด เพ่ือจะ
ช่วยใหเ้ กิดชิน้ งานทป่ี ระดิษฐ์น้ันเกดิ ความสวยงาม และมีคณุ ภาพ
3.1 องค์ประกอบศลิ ป์
หลักองคป์ ระกอบศลิ ป์มอี ยู่ 2 ประการคือ คณุ คา่ ทางดา้ นรปู ทรงและคณุ คา่ ทางด้านเร่ืองราว
ซ่ึงคุณค่าทางด้านรปู ทรงเกิดจากการนาเอาส่วนประกอบต่างๆ คือ เส้น สี แสง เงา รูปร่าง รูปทรง พื้นผิว มา
จัดรวมเข้าด้วยกันเพ่ือให้เกิดความสมดุล ความสวยงาม แนวทางในการนาองค์ประกอบต่างๆมาจัดรวมกัน
เรยี กวา่ การจัดองคป์ ระกอบศิลป์ และคุณคา่ ทางด้านเร่ืองราว คอื ผสู้ รา้ งต้องการที่จะแสดงผลงานน้ันออกมา
ให้ผู้ชมได้สัมผัสรับรู้ได้โดยอาศัยรูปร่างลักษณะท่ีเกิดจากการจัดองค์ประกอบทางศิลป์ ถ้าองค์ประกอบที่
ผูส้ รา้ งที่จัดทาข้ึนไม่สมั พันธ์กับเนือ้ หาเร่ืองราวทีน่ าเสนอ งานทผ่ี สู้ รา้ งได้จดั ทาน้นั จะขาดคุณค่าทางด้านความ
สวยงามไป ดังน้ันการจัดองค์ประกอบศิลป์จึงมีความสาคัญในการสร้างสรรค์งานเป็นอย่างมาก เพราะ
อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ศิ ล ป์ น้ั น ท า ใ ห้ ผ ล ง า น นั้ น อ อ ก ม า ส ว ย ง า ม อ ย่ า ง ส ม บู ร ณ์
3.2 ทฤษฎสี ี
สีเปน็ องคป์ ระกอบพ้นื ฐานในการออกแบบที่มีรายละเอียดทีก่ ว้างขวางจงึ ได้มกี ารคิดค้น เป็น
ทฤษฎีสีไว้เฉพาะ แต่การจะใช้อย่างผู้รู้จักใช้สีที่ดีนั้น ก็ควรจะต้องมคี วามรู้เรือ่ งของสีและการใช้สีเป็นพน้ื ฐาน
เพือ่ ใหก้ ารใชส้ สี ร้างความมีคุณคา่ ย่งิ ข้นึ ประกอบกับในการออกแบบใหเ้ กดิ ความสวยงาม
สี หมายถึง ส่งิ ท่มี ผี ลต่อสายตาให้เหน็ เปน็ สี คอื สีทาให้เกิดอานาจท่ีจนิ ตานาการถงึ ความรู้สึก
และอารมณ์ เม่ือสีกระทบต่อตาแล้วผ่านไปยังสมองเพื่อประมวลผลให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ตามอิทธิพลของสี
เช่น ร้อน เย็น ซ่ึงสีมีความหมายต่องานประดิษฐ์อย่างมาก เพราะสีเป็นสื่อสร้างความคิดสร้างสรรค์แก่ผู้ทา
ถา่ ยทอดแกผ่ ้ดู ู
มนุษย์เริ่มมีการใช้สีต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีท้ังการเขียนสีลงบนผนังถ้า ผนังหิน บน
พื้นผิวเคร่ืองปั้นดินเผา และที่อื่นๆภาพเขียนสีบนผนังถ้า เร่ิม ท้าตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในทวีปยุโรป
โดยคนก่อนสมัยประวัติศาสตร์ในสมัยหินเก่าตอนปลาย ภาพเขียนสีที่มีชื่อเสียงในยุคน้ีพบที่ประเทศฝรั่งเศส
และประเทศสเปนในประเทศ ไทย จะมีอายุระหว่าง 1500-4000 ปี เป็นสมัยหินใหม่และยุคโลหะได้ค้นพบ
ตัง้ แตป่ ี พ.ศ. 2465 คร้ังแรกพบบนผนงั ถา้ ในอ่าวพงั งา ต่อมาคน้ พบอยทู่ ว่ั ไป เชน่ จังหวัดกาญจนบรุ ี อทุ ัยธานี
เป็นต้นสีท่ีเขียนบนผนังถ้าส่วนใหญ่เป็นสีแดง นอกนั้นจะมีสีส้ม สีเลือดหมู สีเหลือง สีน้าตาล และสีด้าสีบน
16
เคร่ืองป้ันดินเผา ได้ค้นพบการเขียนลายคร้ังแรกที่บ้านเชียงจังหวัดอุดรธานีเมื่อปี พ.ศ.2510 สีที่เขียนเป็นสี
แดงเป็นรูปลายก้านขดจติ กรรมฝาผนงั ตามวัดตา่ งๆสมยั สุโขทัยและอยุธยามีหลักฐานการใชส้ ีในการเขียนภาพ
หลายสี แต่อยู่ในวงจ้ากัดเพียง 4 สี คือ สีด้า สีขาว สีดินแดง และสีเหลือง ในสมัยโบราณน้ัน ช่างเขียนจะเอา
วัตถุต่างๆในธรรมชาติมาใช้เป็นสีส้าหรับเขียนภาพ เช่น ดินหรือหินขาวใช้ท้าสีขาว สีด้าก็เอามาจากเขม่าไฟ
หรอื จากตวั หมกึ
ในสมัยเริ่มแรก มนุษย์รู้จักใช้สีเพียงไม่กี่สี สีเหล่าน้ันได้มาจากพืช สัตว์ ดิน แร่ธาตุต่าง ๆ
รวมถงึ ขี้เถ้าเขม่าควันไฟ เปน็ สที พ่ี บท่ัวไปในธรรมชาติ น้ามาถู ทา ต่อมาเม่ือท้าการย่างเนื้อสัตว์ ไขมนั น้ามนั
ท่ีหยดจากการย่างลงสู่ดินท้าให้ดินมีสีสันน่าสนใจสามารถน้ามาระบายลงบนวัตถุและติดแน่นทนนาน ดังนั้น
ไขมันนี้จึงได้ท้าหน้าที่เป็นส่วนผสม (binder) ซึ่งมีความส้าคัญในฐานะเป็นสารชนิดหน่ึง ที่เป็นส่วนประกอบ
ของสี ท้าหน้าที่เกาะติดผิวหน้าของวัสดุที่ถูกน้าไปทาหรือระบาย นอกจากไขมันแล้วยังได้นา้ ไข่ขาว ขี้ผ้ึง
(Wax) น้ามันลินสีด (Linseed) กาวและยาง ไม้ (Gumarabic) เคซีน (Casein: ตะกอนโปรตีนจากนม)
และสารพลาสติกโพลีเอร์ (Polymer) มาใช้เป็นส่วนผสม ท้าให้เกิดสีชนิดต่างๆ ข้ึนมา องค์ประกอบของสี
แสดงไดด้ งั นี้
เนอื้ สี (รงควตั ถุ) + สว่ นผสม = สชี นดิ ต่างๆ
(Pigment) (Binder) Colour
ในสมยั ต่อมา เมอ่ื มนษุ ยม์ ีววิ ัฒนาการมากขนึ้ เกดิ คตนิ ยิ มในการรบั รู้ และช่ืนชมในความงามทาง
สุนทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) สไี ดถ้ ูกนา้ มาใชอ้ ย่างกว้างขวาง และวจิ ิตรพสิ ดาร จากเดิมทีเ่ คยใช้สีเพยี งไม่ก่ีสี
ซ่งึ เปน็ สตี ามธรรมชาติ ได้นา้ มาซ่งึ การประดิษฐ์ คิดค้น และผลติ สีใหม่ ๆ ออกมาเปน็ จ้านวนมาก ทา้ ใหเ้ กิด
การสรา้ งสรรคค์ วามงามอยา่ งไม่มีขีดจ้ากดั โดยมี การพฒั นามาเป็นระยะ ๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เม่อื ประมาณปี
คศ. 1731 เจ ซี ลี โบลน (J.C.Le Blon) ได้ทา้ การศกึ ษาวเิ คราะห์ธรรมชาติหรอื คุณลักษณะเฉพาะของสี และ
ได้ก้าหนดสขี ้ันต้นเป็น แดง เหลอื ง และนา้ เงิน แล้วนา้ สที งั้ สามมาจับคู่ผสมซง่ึ กันและกนั ท้าให้เกดิ สีตา่ งๆอกี
มากมาย การคน้ พบคุณสมบตั เิ ก่ยี วกับสีน้ี ไดถ้ ูกก้าหนดเป็น "ทฤษฎสี ี" ขนึ้ มา และตอ่ มาไดม้ ผี นู้ า้ หลักทฤษฎีสี
น้ีไปศึกษา ค้นคว้าต่อ และไดค้ ้นพบคณุ สมบัติของสีอีกหลายประการดว้ ยกนั ซึ่งความรเู้ ก่ยี วกับทฤษฎสี ี
สามารถน้ามาประยุกต์ใช้ให้ เกิดประโยชน์ในงานดา้ นตา่ งๆไดอ้ ีกมากมายตามมา
คาจากัดความของสี
1.แสงท่ีมคี วามถขี่ องคล่นื ในขนาดทีต่ ามนุษยส์ ามารถรบั สัมผัสได้
2.แม่สีที่เป็นวัตถุ(PIGMENTARY PRIMARY) ประกอบด้วย แดง เหลอื ง นา้ เงนิ
3. สีทเ่ี กดิ จากการผสมของแม่สี
17
3.3 การเลอื กซ้ือวัสดุและอุปกรณ์
1. การเลอื กซ้ือวัสดุ
1. ใบตอง ใบตองทน่ี ิยมมาประดิษฐเ์ ครอื่ งแขวนน้ันจะเป็นใบตองตานี เพราะใบตองตานมี ี
สีเขียวเขม้ เปน็ มัน นุ่มและไม่เปราะและฉกี งา่ ย มีความพอเหมาะ เสน้ ใบตองด้านสเี ขยี วมคี วามมนั
2. ดอกไม้ ดอกไมท้ ีเ่ ลือกซ้อื และนามาประดิษฐ์เคร่อื งแขวนนนั้ จะตอ้ งเลือกดอกไมท้ ่มี คี วาม
สดมากท่ีสุด โดยวธิ กี ารเลอื กดอกไมน้ ้ันมวี ธิ กี ารเลือกดังนี้
ก้าน กา้ นของดอกไมจ้ ะต้องไม่เน่าไม่ผ่านการแช่น้ามาเป็นเวลานานจนมีกลน่ิ เหมน็
ใบ ใบของดอกไม้ท่ีเลอื กซอื้ น้นั จะตอ้ งไม่เหย่ี วเฉา เน่า และใบของดอกนน้ั ๆจะต้องมี
ความแข็งแรงตามชนดิ ของดอกน้ันๆ
กลบี ดอก กลบี ดอกท่ีนามาเลอื กใชจ้ ะตอ้ งไม่เหยี่ ว ไมเ่ น่าและไมช่ ้า
2. การเลือกซอ้ื อปุ กรณ์
1. ด้าย สีของดา้ ยการเลือกซ้อื สขี องด้ายนนั้ ต้องเลอื กใชส้ ีทจี่ าเป็นและเขา้ กบั ช้นิ งาน
2. เขม็ มือและเขม็ มาลัย เขม็ ท่ีใชก้ บั งานประดิษฐ์ไม่คดงอ ต้องใชเ้ ข็มเบอรท์ ่ไี มท่ าให้
ชิน้ งานเสียหายง่าย
3. กรรไกร กรรไกรที่ใชก้ ับชน้ิ งานตอ้ งมีความคม ขนาดพอดมี อื นา้ หนกั เบา
18
บทที่ 4
การประดิษฐ์เคร่อื งแขวน
การศกึ ษาคน้ คว้าเรือ่ งของการประดิษฐ์เครื่องแขวนนนั้ พบว่า มกี ารประดษิ ฐเ์ ครื่องแขวนอยู่
4 ขนาดดว้ ยกนั
1. เคร่ืองแขวนจ๋วิ
1. พู่กลน่ิ
(153) เคร่อื งแขวน "พกู่ ล่นิ " - YouTube
2. กลน่ิ ควา่
(153) เครอ่ื งแขวน "กล่นิ คว่ำ" - YouTube
19
3. วงกลมสามช้นั
วิธที า
1. ตดั ลวดสามขนาดและตัดก้านของดอกพุดชิดกับดอกพุด
2. ร้อยดอกพุดลงบนลวดทง้ั สามแลว้ มว้ นเปน็ วงกลม
3. จากนัน้ รอ้ ยดา้ ยใส่เขม็ ร้อยดอกบานไม่รูโ้ รยหน่งึ ดอกตามดว้ ยดอกพุดอกี สอง
ดอก
4. เย็บดอกบานไมร่ ู้โรยเข้ากับวงกลมเลก็ แล้วมัดติดพรอ้ มรอ้ ยดอกพุดหนง่ึ ดอก
5. หลงั จากนน้ั เย็บเข้ากบั วงกลมช้ันท่ีสองแลว้ มดั ตดิ
6. ข้ันตอนสุดท้ายเย็บและมดั ตดิ ชนั้ ที่ใหญท่ ่ีสดุ แล้วรอ้ ยดอกพุดขึ้นมาเปน็ เสน้ ตรง
20
4.วงกลมช้นั เดียว
วธิ ที า
1. ตดั ลวดในขนาดทีต่ อ้ งการ
2. ใชล้ วดร้อยดอกรักโดยหันกลีบดอกรักเข้าหากัน
3. จากนั้นใช้คีมดัดปลายลวกให้งอเพอื่ ใช้ปลายท้งั สองเกีย่ วกัน
4. มดั ดอกข่ากระดิ่งและใชเ้ ข็มแทงดอกข่าโดยใส่ขัว้ ดอกรกั และชบาตาม
ตามลาดบั
5. จากนนั้ ร้อยดอกรกั เรียงตามขนาดสามดอกเพ่ือมัดกบั ลวดทรี่ อ้ ยดอกรัก
6. จากนั้นมัดตดิ กบั ลวดท่รี ้อยดอกรกั และร้อยดอกรกั สามขนาดอกี
หนึง่ รอบ
21
5. พวงตงุ้ ตงิ้
วิธที า
1. ตดั ลวดหนงึ่ เสน้ แลว้ มดั ดอกขา่ กระด่ิง8ดอก
2. จากน้ันใชล้ วดรอ้ ยดอกข่า1ดอกตามด้วยรอ้ ยดอกรักให้โดยกลีบชนกนั
3. เมอื่ รอ้ ยดอกรักเสรจ็ แลว้ ใหน้ าดอกข่ามาร้อยลงบนลวดอีก 1 ดอก
4. จากนั้นใช้เขม็ มดั ระหว่างดอกขา่ และดอกรักแล้วรอ้ ยเป็นสามเหลยี่ ม
ทง้ั สองด้าน
5. จากน้ันร้อยอบุ ะมัดระหว่างของดอกรักท่ใี ชล้ วดร้อย 5 ดอกโดย
เรยี งลาดับความสูงต่า
6. ขั้นตอนสุดทา้ ยร้อยอบุ ะอกี 1 เส้น ในอุบะเสน้ น้ีจะใชด้ อกรกั 3ดอก
แล้วมัดตดิ ตรงมมุ สามเหลยี่ มแล้วร้อยดอกรกั เพ่มิ อีก3ดอกเปน็ อัน
เสร็จสน้ิ
22
2.เคร่ืองแขวนขนาดเลก็
1. ตาข่ายหน้าชา้ ง
(154) เครอ่ื งแขวน "ตำข่ำยหนำ้ ชำ้ ง" - YouTube
2. กลิ่นตะแคง
(154) เครอ่ื งแขวน "กล่นิ ตะแคง" - YouTube
23
3. วิมานพระอนิ ทร์
(154) งำนประดษิ ฐ์ By Krunoi EP.3 สอนรอ้ ยวิมำนพระอินทร์ - YouTube
4. บนั ไดแกว้
(154) งำนประดษิ ฐ์ By Krunoi EP.7 สอนรอ้ ยบนั ไดแกว้ - YouTube
24
5. กลนิ่ จระเข้
(154) งำนประดษิ ฐ์ By Krunoi EP.5 สอนรอ้ ยกล่นิ จระเข้ - YouTube
25
3. เครอื่ งแขวนขนาดกลาง
1. ระยา้
(159) ระยำ้ (เครอ่ื งแขวนขนำดกลำง) - YouTube
26
2. โคมหวด
วิธที า
1. ตัดเหล็กทาโครงสรา้ งตัวโคมเป็นรูปหวดนึ่งขา้ ว โดยทาปปากหวดเป็น
รปู ดาว 6 แฉก
2. ร้อยตาขา่ ยดอกพดุ ตรงโครงสร้างรูปหวดห้อยด้วยอบุ ะต้งุ ตง้ิ และส่วน
ข้างบนใช้ดอกรักประดับ
3. ตรงมมุ ของโครงสร้างดาว 6 แฉกจะหอ้ ยดว้ ยอุบะไทยทรงเครอ่ื งและ
ตกแตง่
ด้วยเฟือ่ งกนกมน ติดด้วยทดั หกู ลม
4. สว่ นด้านล่างจะประดบั ด้วยดอกรัก ห้อยชายด้วยอุบะไทยทรวเคร่อื ง
และรัดขอ้ ดว้ ยมาลัยซกี
27
3. พวงแก้ว
วิธที า
1. ทาโครงสรา้ งจากเหลก็ เปน็ รปู 6 เหล่ยี มด้านเท่าสามอัน
2. จากนน้ั ร้อยอุบะเปน็ เสน้ ยาวและผกู ตดิ กันเปน็ ชัน้ ขนาดลดหลนั่ ลงมา
3. ประดษิ ฐ์เฟื่องแบบกนกตดิ ตามแนวขนานของโครงสรา้ งทั้ง 6 ดา้ น
4. ร้อยอบุ ะแขกห้อยตามมุม และประดิษฐท์ ัดหรู ูปดาวตดิ ตามมุ ทั้ง 6
อกี ครงั้
5. จากนน้ั ร้อยดอกรกั เป็นเส้นตรง 6 เสน้ เพ่อื มดั ติดรวมกนั
6. รอ้ ยอบุ ะแขกมดั ตดิ เพือ่ หอ้ ยตรงกลาง
28
4. กระเช้าสดี า
วธิ ที า
1. ทาโครงสร้างจากเหล็กเปน็ รปู ดาว 6 แฉก
2. ร้อยดอกรักเป็นเส้นตรงจานวนหกเส้นเพอ่ื มัดรวมกนั ตรงสว่ นบน
3. รอ้ ยอบุ ะแขกมดั หอ้ ยตดิ ตรงกลาง
4. จากนน้ั ตรงสว่ นของกระเชา้ จะร้อยดว้ ยดอกรักเปน็ สายเพ่ือผูกรวบ
5. รอ้ ยอุบะพู่เพ่อื มดั ห้อยติดกบั ชายของกระเช้า
6. ประดษิ ฐเ์ ฟ่อื งแบบกนกประดบั ตามมุม และประดบั ด้วยอุบะประดิษฐ์ท่ี
กนก
7. จากนัน้ ทาอุบะประดิษฐ์ติดตามมุมของโครงและติดทดั หูรปู ดาว
เปน็ ข้นั ตอนสดุ ทา้ ย
29
5. ระย้าทรงเคร่ือง
วธิ ีทา
1. ทาโครงสรา้ งจากเหลก็ รปู ดาว 8 แฉก
2. รอ้ ยตาข่ายจอมแหด้วยดอกรกั เพื่อมดั รวมตรงกลาง หลงั จากน้ัน
สว่ นด้านล่างจะรอ้ ยตาขา่ ยดว้ ยดอกรัก และรอ้ ยอุบะตงุ้ ตง้ิ มดั ตดิ
3. รอ้ ยมาลัยลกู โซแ่ บนเพื่อทาเป็นเฟ่ืองมัดตดิ มมุ ดาว 8 แฉก
4. จากน้นั สว่ นของอุบะจะทาจากพ่กู ลิ่นจากดออกบานไมร่ โู้ รยและ
ชายอบุ ะของพู่กลิ่น ใช้เปน็ อบุ ะสร้อยสนทาจากดอกกล้วยไม้
5. นาอุบะพู่กลิน่ มัดติดมมุ รปู ดาว 8 แฉก และรวมถงึ ชายตรงกลาง
ของระยา้
6. ข้นั ตอนสุดท้ายประดิษฐท์ ัดหูดอกกลมเพอ่ื ตดิ ตามมุมทง้ั 8 แฉก
30
4. เครอื่ งแขวนขนาดใหญ่
1. โคมจนี
วิธที า
1. ทาโครงสรา้ งจากเหลก็ เป็นรูปทรงกระบอก 6 เหลี่ยม
2. ร้อยตาข่ายจากดอกรกั บนตวั ของโคมท้ัง 6 ด้าน ขอบด้านบนและ
ขอบด้านล่างร้อยตาข่ายดว้ ยดอกพุด
3. จากนนั้ ร้อยดอกรกั เปน็ เสน้ ตรงจากขอบดา้ นบนเพ่ือผกู รวบเข้าดว้ ยกนั
และร้อยอุบะทรงเครอื่ งมดั ตดิ ตรงกลาง
4. ประดษิ ฐ์แบบเฟอื่ งเพ่ือประดบั ตามมมุ พรอ้ มกับประดิษฐ์อบุ ะ
แบบตา่ งหจู ีน
5. มัดอบุ ะตดิ มุม แลว้ หลังจากน้ันชายของอบุ ะจะทาการร้อยอุบะตุง้ ติง้
มัดติดตรงชายของอบุ ะ
6. ข้นั ตอนสดุ ทา้ ยทาทัดหรู ูปดาว 6 แฉกเพ่อื ติดตรงมมุ
31
2. โคมฝรงั่
วธิ ีทา
1. ทาโครงสร้างเปน็ รูปวงกลมหลายขนาดจากเหล็กและมีแกนกลางเชือ่ ม
ผา่ นกลางและชนั้ ล่างมีวงกลมซ้อนติดกัน 2 วง
2. จากนั้นติดดอกรกั ตรงสว่ นโคง้ มนดา้ นบนสดุ
3. ร้อยดอกรกั ผูกเป็นเป็นสายบนโครงให้ได้จงั หวะ
4. ขน้ั ตอนตอ่ มาร้อยอบุ ะตงุ้ ติ้งมนั ติดกบั โครงสร้างวงกลมทกุ ชัน้ โดยช้ัน
สดุ ท้ายจะมดั อุบะตงุ้ ติง้ จานวน 3 ช้นั
5. จากนน้ั เยบ็ เดนิ สวนด้วยดอกรักตามโครงสรา้ งวงกลมทุกๆชน้ั
32
3. พวงแกว้ ใหญ่
วิธที า
1. ทาโครงสรา้ งจากเหลก็ เปน็ รปู 6 เหลีย่ มด้านเท่าสามอันในขนาดทใ่ี หญ่ข้ึน
2. จากนนั้ ร้อยอบุ ะเป็นเสน้ ยาวและผูกติดกันเปน็ ช้ันขนาดลดหล่นั ลงมา
3. ประดิษฐเ์ ฟื่องแบบกนกตดิ ตามแนวขนานของโครงสร้างทงั้ 6 ด้าน
4. ร้อยอุบะแขกหอ้ ยตามมมุ และประดิษฐท์ ัดหรู ูปดาวตดิ ตามมุ ท้ัง 6 อกี ครง้ั
5. จากนั้นร้อยดอกรักเป็นเส้นตรง 6 เส้นเพ่ือมัดตดิ รวมกัน
6. รอ้ ยอบุ ะแขกมดั ตดิ เพอื่ ห้อยตรงกลาง
33
4. โคมกระเช้าหน้านาง
วิธีทา
1. สรา้ งโครงเป็นตวั โคมและฝาโคม โครงสรา้ งจะทาด้วยใบโพธ์ิ
พอกยอ้ มสีมาผนึก
2. หลงั จากนัน้ ร้อยตาขา่ ยจากดอกพุดทบั ลงบนตัวโคมอีกครง้ั
3. สว่ นดา้ นบนสดุ ของโคมร้อยตาข่ายและรอ้ ยอุบะตงุ้ ติง้ มดั ติด
4. จากน้ันประดษิ ฐเ์ ฟอ่ื งแบบกนกหัวมนติดกับขอบฝาโคม
5. ตอ่ มาทาอุบะประดิษฐ์ลายสมอเรือมดั ตดิ ระหว่างเฟ่ืองกนกหวั มน
6. ทาทกั หูดอกกลมตดิ ด้านบนระหว่างเฟือ่ งกนกหัวมน
7. นาอบุ ะลายสมอเรือติดลดหลั่นลงมาเป็นเสน้ ตรงแนวเดียว
กับอุบะตอนแรกและทาแบบกนกหวั มนตดิ ลงระหวา่ งอุบะอีกครัง้
8. สดุ ท้ายติดพ่มุ ดอกรักพรอ้ มกบั รอ้ ยอบุ ะสร้อยสนแล้วนา
ไปติดชายของโคม
34
5. โคมกระเชา้ ดสุ ิต
วธิ ที า
1. ทาโครงสรา้ งเปน็ ตวั โคมและฝาโคม จากนัน้ นาใบโพธ์พิ อกย้อมสี
มาผนกึ กับโครง
2. หลงั จากนั้นร้อยตาขา่ ยจากดอกพุดทับลงบนตวั โคมอีกครง้ั
3. ตกแต่งสว่ นบนรูปทรงเจดยี ์ด้วยเมล็ดพชื
4. ร้อยอบุ ะตุ้งต้งิ มดั ติดตรงฝาโคมและตวั โคม
5. จากนั้นตดิ เมล็ดพืชลงบนรปู ทรงดอกบัวดา้ นล่างของโคมและ
พร้อมตดิ กนก 4 มมุ
6. บนตัวโคมประดับพระปรมาภิไธยยอ่ ภปร. ประดิษฐานบนครฑุ
7. ขน้ั ตอนสดุ ท้ายร้อยอุบะไทยทรงเครื่องติดตรงชายของพุม่ ทรงดอกบวั
35