The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศิลปะนานาชาติ (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chomintisri, 2022-03-28 14:42:11

ศิลปะนานาชาติ (1)

ศิลปะนานาชาติ (1)

นาฏศิลป์

นานาชาติ

โดย นายณภัทร คล้ายสุวรรณ์

สารบัญ

นาฏศิลป์อินเดีย
นาฏศิลป์จีน

นาฏศิลป์อินโดนีเซีย


นาฏศิลป์ญี่ปุ่น

นาฏศิลป์กัมพูชา

นาฏศิลป์อินเดีย ภารตะนาฏยัม

ประวัติความเป็นมาของนา
ฏศิลป์อินเดีย เป็นนาฏศิลป์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย มีส่วนสำคัญในพิธีของ

ศาสนาฮินดูสมัยโบราณ สตรีฮินดูจะถวายตัวรับใช้ศาสนา
เป็น “เทวทาสี” ร่ายรำขับร้อง บูชาเทพในเทวาลัย ซึ่งจะเริ่ม

ฝึกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ศึกษาพระเวท วรรณกรรม ดนตรี การ
ขับร้องของเทวทาสีเปรียบประดุจนางอัปสรที่ทำหน้าที่ร่าย
ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์อินเดียตามคัมภีร์ รำบนสวรรค์
นาฏยศาสตร์ พระภารตะมุนีเป็นผู้รับพระราชทานนาฏลีลาจาก
พระพรหม และพระศิวะ ชาวฮินดูจึงยกย่องพระศิวะเป็น “นาฏ การแสดง ผู้แสดงต้องได้รับการฝึกฝนอย่างมีแบบแผน ด้วย
ราชา” หมายถึง พระราชาแห่งการฟ้อนรำ ระยะเวลายาวนานจนมีฝีมือยอดเยี่ยม สามารถเครื่องไหวร่างกายได้
สอดคล้องกับจังหวะดนตรี เนื้อหาสาระของการแสดง สะท้อน
ยุคที่อินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อินเดียได้ สัจธรรมที่ปลูกฝังยึดมั่นในคำสอนของศาสนา แสดงได้ทุกสถานที่ ไม่
รับผลกระทบอย่างรุนแรงทางด้านนาฏศิลป์ การละคร เน้นเวที ฉาก เพราะความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของภารตะนาฏยัม
วัฒนธรรม ตะวันตกได้เข้ามาผสมผสานทำให้นาฏศิลป์ที่เป็น คือลีลาการเต้น และการ่ายรำ
แบบฉบับในราชสำนักกลายเป็นสิ่งไร้ค่า ขาดการดูแลรักษา จน
เกือบจะสูญ ต่อมาเมื่ออินเดียเป็นเอกราช จึงฟื้ นฟูนาฏศิลป์ ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดง ในวงดนตรีจะมีผู้ขับร้อง 2 คน
ประจำชาติขึ้นมาใหม่ อันได้แก่ ภารตะนาฏยัม กถักกฬิ และมณี คนหนึ่งจะตีฉิ่ง คอยให้จังหวะแก่ผู้เต้น อีกคนจะเป็นผู้ขับร้องและตี
ปุรี โดยมีรายละเอียดดังนี้ กลองเป็นหัวใจสำคัญของการแสดงภารตะนาฏยัม ส่วนเครื่องดีด
และเครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย เป็นเพียงส่วนประกอบให้เกิดความไพเราะ
เท่านั้น

เครื่องแต่งกาย ในยุคโบราณ จากหลักฐานที่ปรากฏตามรูป
ปั้ น รูปแกะสลัก ไม่สวมเสื้อ สวมแต่ผ้านุ่งยาวแค่เข่า ใส่เครื่องประดับ
สร้อยคอ ต่างหู กำไล ข้อมือ ข้อเท้า ต้นแขน ปละเครื่องประดับที่
ศีรษะ ปัจจุบันสวมเสื้อ ยึดหลักการแต่งกายสตรีที่เป็นชุดประจำชาติ
ของอินเดีย

กถักกฬิ

เป็นการแสดงละครที่งดงามด้วยศิลปะการ่ายรำแบบเก่าๆ ผู้
แสดงจะต้องสวมหน้ากาก นับว่ากถักกฬิของอินเดียเป็นต้นเค้า
ของนาฏศิลป์ตะวันออก เช่น ละครโน้ะของญี่ปุ่น โขนของไทย
และนาฏศิลป์อินโดนีเซีย ส่วนพม่าจะนิยมแสดงเรื่องรามายณะ
และมหาภารตะ

การแสดง ผู้แสดงเป็นชายล้วน แบ่งตัวละครออกเป็นประเภท คือ
ประเภทแรกจะเป็นเทพเจ้าที่มีคุณธรรมสูง เช่น พระนารายณ์ พระอินทร์
เป็นต้น ประเภทที่สองจะเป็นมนุษย์ และวีรบุรุษ เช่น พระราม พระลักษณ์
ประเภทที่สามจะเป็นตัวละครที่มีความชั่วร้าย การแสดงชุดกถักกฬินี้จะแสดง
กันตลอดทั้งคืนจึงยุติ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของวีรบุรุษ และวีรสตรี
พระเจ้า และยักษ์จากมหากาพย์ของอินเดีย จุดเด่นของการแสดงละครกถัก
กฬิอยู่ที่การเล่นจังหวะ กระทบเท้าอย่างรวดเร็ว ฉับไว แม่นยำ และลีลาที่
หมุนตัวเป็นเอกลักษณ์ของระบำกถักกฬิ

ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงที่สำคัญที่สุด คือ กลอง นอกจากนี้ยัง
มีเครื่องสีที่มีลักษณะคล้าย ไวโอลีน เรียกว่า “ซารองงี” บรรเลงทำนองด้วย
มีนักร้อง 1 คน

เครื่องแต่งกาย ตัวละครชาย นุ่งกางเกงขายาว จีบรอบเอว มีผ้า
คาดเอว ไม่สวมเสื้อ ตัวละครที่แสดงเป็นผู้หญิง แต่งกายเป็นชุดประจำชาติ
สตรีอินเดีย ปัจจุบันปรับปรุงการแต่งกายให้งดงาม เป็นผ้าไหมขลิบทองเป็น
ชุดกระโปรงยาว ใส่เสื้อสวมส่าหรีทับเสื้อ สวมเครื่องประดับ

มณีปุรี

เป็นการแสดงละครของชาวไทยอาหม ในรัฐอัสสัม ซึ่งมีรูปร่าง
หน้าตาเหมือนชาวมองโกล เรียกเมืองหลวงของตนว่า
“มณีปุระ” และเรียกการแสดงละครของเมืองนี้ว่า “มณีปุระ”

การแสดง ผู้แสดงจะต้องมีความสามารถ มีฝีมือ ได้รับการฝึกหัดจนเกิด
ทักษะในการแสดง เพราะเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงเป็นศิลปะเก่าแก่ประจำชาติ รูปแบบ
ของการแสดงมีสองรูปแบบ คือ ระบำกับละคร เนื้อเรื่องที่แสดงนำมาจาก
วรรณคดี ส่วนมากนิยมแสดงเรื่องพระกฤษณะ ตอนความรักของนางราธากับ
พระกฤษณะ

ดนตรี ที่ใช้ประกอบการแสดงมณีปุรี ได้แก่ กลอง ขลุ่ย สังข์ แตร ฉาบ
และเครื่องสายที่สร้างทำนองเพลงอันไพเราะ

เครื่องแต่งกาย แต่งกายคล้ายชาวยุโรป คือ นุ่งกระโปรงบาน ที่เรียกว่า
“สุ่ม” มีลวดลายสวยงามมาก เครื่องแต่งกายของผู้แสดงเป็นพระกฤษณะ แต่ง
แบบเก่าของพวกวรรณะกษัตริย์ นักรบ ชุดเครื่องแต่งกายระบำราสลีลา ที่เรียกว่า
“ภูมิล” เป็นชุดของผู้หญิง กระโปรงยาวคล้ายสุ่ม ช่วงเอวสวมผ้าอีกชิ้น คล้าย
กระโปรงสั้น เหมือนร่มกางแผ่รอบเอว สวมเสื้อกำมะหยี่แขนสั้น คาดเอวด้วยผ้า
ปัก สวมเครื่องประดับ ใช้ผ้าโปร่งคลุมหน้า

นาฏศิลป์จีน

นาฏศิลป์จีนเกิดจากระบำทรงเจ้าในพิธีทางศาสนาหรือเรียกว่า "รามาอู๋อู" นับเป็นศิลปะที่เก่าแก่มากที่สุด จุดประสงค์ในการแสดง เพื่อ
บำบัดภัยอันตรายจากธรรมชาติ บำบัดความเจ็บไข้ และความทุกข์ทั้งปวง ในสมัยราชวงศ์โจวศิลปะทางนาฏศิลป์ของจีนมีหลากหลาย เช่น ละครใบ้
ละครตลก การขับกล่อม การเล่านิทานประกอบดนตรี เพลงพื้นบ้าน นาฏศิลป์มีทั้งที่เป็นของชาวบ้าน และในราชสำนัก แต่เจริญสูงสุดในราชวงศ์ถัง
โดยจักรพรรณ "มิ่งฮวง" ทรงเชี่ยวชาญนาฏศิลป์ และการดนตรีเป็นอย่างยิ่ง ทรงจัดตั้งวิทยาลัยการละครในพระราชอุทยานสวนสน นครเชียงอาน
ทรงอุปถัมภ์ค้ำจุนนาฏศิลป์ทุกแขนง ชาวนาฏศิลป์จีนยกย่องท่าเป็นบิดาแห่งการละคร และบูชาพระพุทธรูปก่อนการแสดงทุกครั้งเพื่อความเป็นสิริ
มงคล การแสดงนาฏศิลป์จีนโบราณจะไม่มีฉากใช้วิธีสมมุติ ผู้แสดงต้องรับการฝึกเป็นระยะเวลานาน เพราะต้องฝึกร้องเพลง เต้นระบำ ฝึกกายกรรม
ผู้แสดงต้องมีพรสวรรค์ มีความสามารถรอบด้าน ความจำดีเป็นเยี่ยม ต้องจำบทเจรจาได้ เพราะการแสดงนาฏศิลป์จีนจะไม่มีการบอกบท

งิ้ว อุปรากรจีนที่เป็นแบบมาตรฐาน และนับเป็นศิลปะประจำชาติ คือ อุปรากร

ปักกิ่ง ซึ่งการแสดงจะเน้นศิลปะด้านดนตรี การขับร้อง นาฏลีลา การแสดง

อารมณ์ ศิลปะการต่อสู้กายกรรม ผู้แสดงจะต้องมีพรสวรรค์ น้ำเสียงมี

คุณภาพ นอกจากนี้ยังต้องมีความอดทนสูงอีกด้วย องค์ประกอบของ

อุปรากรจีนจะประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้

ประเภท และบทบาทตัวละคร ตัวละครชายกับหญิงแบ่งออกเป็น "บู๊และบุ๋น" โดย
ประเภทที่แสดงบู๊จะต้องแสดงกายกรรม ส่วนประเภทที่แสดงบุ๋นจะเน้นที่การขับร้อง

และการแสดงอารมณ์ แต่ถ้าแสดงบทบาทที่คาบเกี่ยวกัน จะเรียกตัวละครนั้นว่า
"บู๊บุ๋น"



เทคนิคการแสดง แสดงตามทฤษฎีการเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกาย มี
จังหวะสง่างาม การเคลื่อนไหวของมือ เท้า การเดิน การเคลื่อนไหวของหนวดเครา
ชายเสื้อ ขนนกที่ประดับอยู่บนศีรษะจะคล้ายกับละครใบ้ ใช้สัญลักษณ์แทนความหมาย
เช่น การยกทัพใช้คนถือธงเพียงคนเดียว เดินนำหน้าแม่ทัพ กิริยาอายของสตรีจะ
แสดงโดยการยกแขนเสื้อมาบังใบหน้า และการแสดงว่ากำลังนอนก็แสดงโดยวางแขน

ไว้บนโต๊ะแล้วนอนหนุนแขน เป็นต้น



เครื่องแต่งกาย แต่งตามชุดประจำชาติ มีชุดจักรพรรดิ ชุดขุนนาง เครื่อง
ทรงเสื้อเกราะ มงกุฎจักรพรรดิ หมวกขุนนาง นักรบ รองเท้าเป็นรองเท้าผ้าพื้นเรียบ

ผู้แสดงแต่งหน้าเองตามบทบาทที่แสดง



เวที ฉาก และอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง สมัยโบราณเวทีมักสร้างด้วยอิฐ หิน เรียกว่า "สวนน้ำ ดนตรี และการขับร้อง เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการแสดงอุปรากรจีน ซึ่งเครื่องดนตรีประเภท
ชา" หรือ "โรงน้ำชา" เวทีชั่วคราวสร้างด้วยไม้รูปสี่เหลี่ยม มีหลังคา ยึดด้วยเสา 4 ตัว พื้นเวทีปูด้วย บุ๋นประกอบด้วยเครื่องดีด เครื่องสี ที่สำคัญ ได้แก่ ซอ ปักกิ่ง กีตาร์ทรงกลมคล้ายพระจันทร์
เสื่อหรือพรม อุปกรณ์โต๊ะ 1 ตัว เก้าอี้ 2 ตัว ไม่มีม่านด้านหน้า อาวุธ เช่น ดาบ หอก ธนู หลาว ทวน แบนโจสามสาย ขลุ่ย ปี่ ออร์แกน แตรจีน ส่วนเครื่องดนตรีประเภทบู๊ ประกอบด้วยเครื่องดนตรี
ประเภทบู๊ ประกอบด้วยเครื่องดนตรี และเครื่องกระทบ ได้แก่ กรับ กลองหนัง กลองเตี้ย กลอง
กระบอง ใหญ่ ฆ้องใหญ่ ฆ้องเล็ก ฆ้องชุด และฉาบ ลักษณะการขับร้องนับว่าเป็นหัวใจสำคัญ เพราะผู้ชม
ต้องการฟังความไพเราะของการขับร้องเพลงมากกว่าการติดตามดูเพื่อให้ทราบเนื้อร้อง

นาฏศิลป์อินโดนีเซีย

ประเทศอินโดนีเซีย มีเกาะมากมายและแต่ละเกาะก็มีการแสดงของตนเอง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ศิลปะการแสดงที่เก่าแก่ที่สุด คือ การเชิดหุ่น เรียกว่า วายัง

๑. การแสดงเชิดหุ่นเงา หรือวายัง เป็นนาฏศิลป์ประจำชาติที่เก่าแก่ที่สุด แต่เดิมหุ่นเชิด
ทำด้วยหนังสัตว์ เรียกว่า วายัง กุลิต เรื่องที่ใช้แสดงในวายังคือ รามายณะ และมหาภารตะโดยทำเป็นบทละครเฉพาะของวายัง มีการแทรกเรื่องปรัชญา ข้อคิดขบขันในชีวิตประจำวัน นำมาเชื่อม
โยงร่วมสมัยใหม่

๒. นาฏศิลป์สุมาตรา ลักษณะการแสดงจะแสดงเป็นเรื่องราวของนิทานพื้นบ้านและเรื่องราวในราชสำนัก จะไม่แสดงเรื่องรามายณะและมหาภารตะ
การแต่งกาย ผ้านุ่งที่ใช้มักเป็นลายหยกทอง และหยกเงิน ใส่เสื้อกำมะหยี่แขนยาว ตัวยาว
ผมเกล้ามวยผมต่ำ ใช่ปิ่ นหรือเครื่องประดับศีรษะสีทอง

๓. นาฏศิลป์ชวา เป็นการแสดงที่มีพื้นฐานมาจากการรำในราชสำนักมีลีลาร่ายรำที่นุ่มนวล ประณีต จังหวะที่ใช้ในการร่ายรำจะช้า มีผ้าสไบเป็นส่วนประกอบสำคัญในการร่ายรำ
เวลาแสดงตาจะตกตลอดเวลา ไม่ใช้สายตาไปยังคนดู วงดนตรีประกอบการแสดง เป็น
วงดนตรีประจำราชสำนักสมัยโบราณ ปัจจุบันใช้วงดนตรีสำหรับฟ้อนรำ เรียกว่า ภารมวลัน

การแต่งกาย นุ่งผ้าถุงรัดรูป แบบยอดการัต โดยทิ้งชายยาวไว้ด้านข้าง หรือแบบสราการัตนุ่งผ้าถุงจีบหน้าบาง ด้านหน้าชายผ้าครอบข้อเท้า สวมเสื้อแขนสั้นหรือแขนกุด สวมกระบังหน้า
ทองประดับเลื่อม ประดับมวยผมด้วยปิ่ น

๔. นาฏศิลป์บาหลี การร่ายรำเพื่อบวงสรวงและบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นส่วนใหญ่ มีการแสดงละครเป็นเรื่องราว ลักษณะการแสดงมีชีวิตชีวา จุดเด่นคือการยักย้ายสะโพก การใช้ดวงตา
เครื่องดนตรีจะคล้ายคลึงกับดนตรีชวา เช่น มหาภารตะ รามายนะ และละครพื้นบ้าน

การแต่งกาย ผู้หญิง นุ่งผ้าถุงพันตัว ตัวเอกจะพันผ้าถุงชายยาว จากพื้นปัดไปด้านหลัง มีเครื่องประดับศีรษะลวดลายทอง หรือกระบังหน้า ถ้าเป็นการแสดงพื้นบ้านก็จะเกล้าผมมวยต่ำ
ประดับด้วยดอกลั่นทม

นาฏศิลป์ญี่ปุ่น

ประวัติของละครญี่ปุ่นเริ่มต้นประมาณศตวรรษที่ 7
แบบแผนการแสดงต่างๆที่ปรากฏอยู่ในครั้งยังมีเหลืออยู่
และปรากฏชัดเจนแสดงสมัยปัจจุบันนี้ ได้แก่ ละครโนะ ละคร
คาบูกิ ปูงักกุ ละครหุ่นบุนระกุ การกำเนิดของละครญี่ปุ่น
กล่าวกันว่ามีกำเนิดมาจากพื้นเมืองเป็นปฐม กล่าวคือ
วิวัฒนาการมาจากการแสดง ระบำบูชาเทพเจ้าแห่งภูเขาไฟ
และต่อมาญี่ปุ่นได้รับแบบแผนการแสดงมาจากประเทศจีน
โดยได้รับผ่านประเทศ เกาหลีช่วงหนึ่ง

ละครโนะ

เป็นละครแบบโบราณมีกฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผนในการแสดงมากมาย ใน
ปัจจุบันถือเป็นศิลปะชั้น สูงประจำชาติของญี่ปุ่นที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้ละครโนะ
เกิดขึ้นมาช้านานแล้วแต่เริ่มมาเฟื่ องฟูในครึ่งหลังของศตวรรษที่14โดยมีคันอามิกับ
เซอามิสองพ่อลูกเป็นผู้วางรากฐานของการแสดงละครโนะอันเป็นแบบฉบับมาจนถึง
ปัจจุบันนี้ ในปี พ.ศ.2473 วงการละครโนะของญี่ปุ่นได้มีการเคลื่อนไหวที่จะทำให้
ละครประเภทนี้ทันสมัยขึ้น โดยจุดประสงค์เพื่อประยุกต์การเขียนบทละครใหม่ๆ ที่มี
เนื้อเรื่องเป็นปัจจุบันและใช้ภาษาสมัยใหม่รวมทั้งให้ผู้แสดงสวมเสื้อผ้าแบบสมัยนิยม
ด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งใหม่ๆที่นำมาเพิ่มเติมด้วยเช่น ให้มีการร้องอุปรากร การเล่น
ดนตรีราชสำนักงะงักกุและการใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ซึ่งละครแบบ
ประยุกต์ใหม่นี้เรียกว่า "ชินชากุโน"

- การแสดง ตัวละครใช้ ลีลา ท่าทางในการแสดงทุกอิริยาบทมีความหมายทั้งหมด เช่น พัดที่ตัวละคร
ถือกระดิกนิดเดียวจะแสดงให้เห็นอารมณ์ของตัวละคร การแสดงเชื่องช้า ยืดยาด ท่ารำช้าๆ การจัด
แสดงละครโนะมี 5 ประเภท คือ ประเภทตลก มีพระอาทิตย์เป็นตัวเอก ประเภทที่มีตัวปิศาจ มีแม่ทัพที่
ตายไปแล้วเป็นตัวเอก ประเภทหญิงสูงศักดิ์ มีสตรีที่อยู่ในราชสำนัก ตระกูลสูงเป็นตัวเอก ประเภท
ปาฏิหาริย์และประเภทสอนศีลธรรม สถานที่แสดงจะแสดงใต้ร่มไม้ ต่อมาเมื่อมีการสร้างเวที ฝา
ด้านหลังเวทีที่หันหน้าเข้าหาคนดูจะเขียนรูปต้นสน ด้านซ้ายจะมีสะพานเดินขึ้นเวที มีกิ่งสนสามกิ่งยื่น
ออกมาแตะสะพานเพื่อคงเอกลักษณ์ที่เคยแสดงใต้ต้นไม้ ละครโนะได้รับอิทธิพลมาจากละครใบ้ ผู้
แสดงจะต้องสวมหน้ากาก อารมณ์ของผู้แสดงต้องสัมพันธ์กับหน้ากาก

- ดนตรีประกอบการแสดง ได้แก่ กลอง ขลุ่ย มีผู้ขับร้องหมู่ มีบทพากย์เป็นภาษาร้อยกรอง

- เครื่องแต่งกาย จะแต่งหรูหรา สีสวยสด สัมพันธ์กับหน้ากาก ตัวละครที่สำคัญๆ ทุกตัวต้องสวม
หน้ากาก ซึ่งสร้างด้วยความประณีต หน้ากากบางหน้าเก็บรักษาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ

นาฏศิลป์กัมพูชา

ศิลปะการแสดงในกัมพูชาถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญต่อประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่วงท่าในการรำที่พบอยู่บนภาพ
จำหลักในปราสาทนครวัดล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก่อให้เกิดเป็นท่ารำอันสวยงามของระบำอัปสรา ศิลปะการแสดงด้านนาฏศิลป์ในปัจจุบัน แม้ว่า
ไม่มีเอกสารหลักฐานใดที่สามารถชี้แจงได้ถึงที่มาอันถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดนาฏศิลป์ในกัมพูชา แต่ในขณะเดียวกันสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นตั้งแต่สมัย
นครพนมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1-6 ของกัมพูชา ดังที่ชัยวัฒน์ เสาทอง ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “นาฏศิลป์กัมพูชามีหลักฐานปรากฏตั้งแต่สมัยพระนคร (ค.ศ.
540-800) เช่น รูปปั้ นดินเหนียวสมัยนครบุรี เป็นรูปบุคคลร่ายรำ และจารึกที่กล่าวถึง “คนรำ” เป็นภาษาเขมร ในจารึกสมัยพระนคร (ค.ศ.825 จนถึงราว
คริสต์ศตวรรษที่ 14) พบคำสันสกฤตอ่านว่า “ภาณิ” หมายถึงการแสดงเล่าเรื่อง และหากดูภาพสลักจำนวนมากในปราสาทหินต่างๆของขอม ไม่ต้องสงสัย
เลยว่าในอาณาจักรขอมมีการร่ายรำ การแสดง เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับการบันเทิงในราชสำนักและประชาชน ในจารึกที่กล่าวถึงข้าพระที่ประจำศาสน
สถานนั้นมักมี “คนรำ” ประจำอยู่ด้วย นาฏศิลป์กัมพูชาโบราณน่าจะได้รับอิทธิพลอินเดียเป็นพื้น ทั้งยังมีการพัฒนาสืบต่อมาจนรุ่งโรจน์ไม่แพ้ศิลปวิทยาการ
ด้านอื่นๆ -

ปัจจุบันศิลปะการแสดงด้านนาฏศิลป์ประเภทระบำในกัมพูชามีการจำแนกออกเป็น 3
กลุ่ม คือ

1. ระบำท่วงท่าขแมร์โบราณ หรือ ระบำพระราชทรัพย์ คือ ระบำที่มีในราชสำนัก เช่น ระบำอัปสรา
ระบำเทพมโนรมย์ ระบำจูนโปร์ ระบำมุนีเมขลา ระบำสุวรรณมัจฉา เป็นต้น

2. ระบำประเพณีขแมร์ คือ ระบำที่จัดแสดงคู่กับงานประเพณีต่างๆ เช่น ระบำกั๊วะอังเร ระบำเนสา
ทระบำแสนโภลย ระบำตรุษ ระบำเนียงเมว ระบำเบ๊ะกรอวาน ระบำกะงอกไพลิน ระบำกรอเบ็ยเผิกสรา
ระบำกันแตแร เป็นต้น

3. ระบำประชาปริยขแมร์ คือ ระบำพื้นบ้านเขมร เช่น การรำวงภูมิทะเม็ย เป็นต้น
แม้ว่าในช่วงเวลาหนึ่งที่ชาวกัมพูชาทั้งประเทศจะต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ภายใต้การ
ปกครองของเขมรแดงตั้งแต่ปี ค.ศ.1975-1979 ส่งผลให้ศิลปะการแสดงด้านนาฏศิลป์ในกัมพูชาได้
รับความเสียหายอย่างหนักด้วยการทุบทำลาย รวมถึงนักแสดงชายที่เรียกว่า ศิลปกร และนักแสดง
หญิงที่เรียกว่า ศิลปการิณี ส่วนมากถูกสังหารในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากถูกมองว่าเป็นมรดกของ
ศักดินา แต่หากว่าเป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเขมรแดงก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้และ
ทำการแสดงต่างๆ ตามที่กลุ่มเขมรแดงต้องการชม แต่กระนั้นก็ตามเมื่อความวุ่นวายภายในประเทศ
สิ้นสุดลงหลังจากปีค.ศ.1993 ศิลปะการแสดงประเภทนาฏศิลป์ต่างๆ โดยเฉพาะระบำพระราชทรัพย์
ยังคงได้รับการสืบทอดและเป็นที่นิยมจวบจนกระทั่งปัจจุบันโดยเฉพาะระบำอัปสรา


Click to View FlipBook Version