WORLDCOM
กรณีศึกษา
การกำกับดูแล การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน
WORLDCOM
บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ขึ้นมาเป็นผู้นำ
ในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในระยะเวลาอันสั้น
ภายใต้การบริหารงานของ CEO
ชื่อ BERNARD EBBERS
ปี 1983
WORLDCOM ถูกก่อตั้งขึ้นโดย BERNARD EBBERS อดีตนักธุรกิจโรงแรมชาวแคนาดา และ
เพื่อนนักลงทุนอีก 3 คน
ปี 1989
BERNARD EBBERS ในฐานะ CEO พยายามมองหากลยุทธ์ในการเติบโต โดยใช้วิธีเข้าซื้อ
และควบรวมกิจการบริษัทนี้มีชื่อว่า LONG DISTANCE DISCOUNT SERVICES (LDDS)
ซึ่งทำธุรกิจให้บริการโทรศัพท์ทางไกล และบริษัท ADVANTAGE COMPANIES ซึ่งเป็น
บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ เขาซื้อกิจการมากกว่า 60 แห่งมาควบรวมกับ
LONG DISTANCE DISCOUNT SERVICES ซึ่งก็ช่วยให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังควบรวมกิจการครั้งนั้นจนกลายมาเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ปี 1999
WORLDCOM เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะควบรวมกับ SPRINT บริษัทขนาดใหญ่ ใน
วงการโทรคมนาคม ณ เวลานั้นข่าวนี้ทำให้ราคาหุ้นของ WORLDCOM เพิ่มขึ้นจนถึงจุด
สูงสุดในเดือนตุลาคม เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า ข้อตกลงนี้จะสร้างการเติบโตให้แก่
WORLDCOM อย่างมากในอนาคต
แต่ภายหลังข้อตกลงนี้ถูกบังคับให้ยุติลงโดยหน่วยงานรัฐบาล เนื่องจากถูกตีความว่า
ขัดต่อกฎหมายการห้ามดำเนินธุรกิจผูกขาดในประเทศ (ANTITRUST LAW) เหตุการณ์นี้ทำให้
ราคาหุ้นของ WORLDCOM ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
แต่ EBBERS ต้องการรักษาระดับราคาหุ้น WORLDCOM เอาไว้ เพื่อรักษาผลประโยชน์
ของตนเองและบริษัท จึงเริ่มวางแผนตกแต่งงบการเงินให้มีอัตรากำไรตามความคาดหวังของผู้
ถือหุ้นนับแต่นั้นมา
โดย ทำการตกแต่งงบการเงินบริษัท
ให้มีรายได้และกำไรตามความคาดหวังของผู้ถือหุ้น
เพียงเพราะต้องการรักษาระดับราคาหุ้นเอาไว้
วิธีการส่วนใหญ่ที่ใช้คือการปันส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานไปเป็น
บัญชีเงินลงทุนระยะยาวที่เป็นบัญชีสินทรัพย์ ซึ่งเป็นการกระทำผิด
ตามมาตรฐานบัญชี US GAAP
(มีการประมาณการว่ามูลค่าที่ตกแต่งบัญชีตลอดการทุจริตซึ่งเป็นตัวเลขรวมแล้วไม่น้อยกว่า
9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเป็นเงินไทยปัจจุบัน เท่ากับ 270,000 ล้านบาท)
รับความช่วยเหลือจาก SCOTT SULLIVAN CFO ของบริษัท และผู้บริหารระดับสูงคนอื่น ๆ
DAVID MYERS CONTROLLER
SULLIVAN เริ่มทำการทุจริตโดยมอบหมายให้ DAVID MYERS CONTROLLER ของบริษัท
จัดการบันทึกรายการบัญชีต่าง ๆ ตามที่ตนกำหนดให้ซึ่ง MYERS มอบหมายงานให้พนักงานบัญชี
อีกหลายคนในบริษัทช่วยกันทำด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ซึ่งบางครั้งพนักงานบางคน
รู้สึกว่างานที่ได้รับมอบหมาย อาจเป็นการทุจริตหรือไม่
เพราะเป็นการบันทึกตัวเลขเข้าไปในระบบบัญชีโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ อ้างอิง แต่ก็ไม่มีใครกล้าออก
มาพูดอะไร เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกับ
หน้าที่การงานของตนเอง
SULLIVAN ก็พยายามแทรกแซงการทำงานของหน่วยตรวจสอบภายใน
ของบริษัทด้วยวิธีการต่าง ๆ
เช่นจำกัดการเข้าถึงข้อมูลทางบัญชีโดยตรง, จ่ายงานอื่น ๆ
นอกเหนือจากแผนการตรวจสอบ ยังให้ทำการแทรกแซงการกำหนดแนวทางการตรวจสอบ
แม้กระทั่งจำกัดจำนวนพนักงานหน่วยตรวจสอบภายใน
ปี 2002
กลยุทธ์ใหม่ของ EBBERS ดูเหมือนจะใช้ได้ผลอยู่ระยะหนึ่ง จนมาถึงจุดที่ข้อมูลใน
รายงานทางการเงินมีการบิดเบือนมากเกินไปจนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลใน
รายงานได้ ซึ่งน่าจะถูกตรวจพบในไม่ช้า ทำให้ในเดือนเมษายน ปี 2002 นั้น
EBBERS ลาออกจากการเป็น CEO ของ
WORLDCOM
หลังจากนั้น 2 เดือน ฝ่ายตรวจสอบภายในของ WORLDCOM ได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบ
การปันส่วนรายจ่ายฝ่ายทุนแต่ถูกผู้บริหารระดับสูงสั่งให้ชะลอการเข้าตรวจสอบออกไป
ก่อน และให้ไปตรวจเรื่องอื่นแทน
ทีมตรวจสอบรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงเริ่มแอบทำการตรวจสอบเรื่องนี้ในเวลากลางคืนหลังเลิกงาน
เพื่อหลบเลี่ยงจากสายตาผู้บริหาร หลังจากสอบทานเสร็จสิ้นจึงได้ข้อสรุปว่า “มีการทุจริตเกิดขึ้น”
ทีมตรวจสอบช่วยกันรวบเอกสารหลักฐานทั้งหมดนำเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบและ
คณะกรรมการบริษัททำให้ SULLIVAN ซึ่งเป็น CFO ของบริษัทพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน
ทันที
ภายหลังมีการจัดทำรายงานและเปิดเผยรายละเอียดการทุจริตนี้ต่อสำนักงาน
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และ สาธารณชน ทำให้ราคา
หุ้น WORLDCOM ดิ่งลงอย่างหนักและถูกฟ้องล้มละลายในเวลาต่อมา
เรื่องนี้ทำให้ผู้บริหารทั้งสองของ WORLDCOM ถูกตัดสินโทษ
โดย BERNARD EBBERS ถูกจำคุก 25 ปี
SCOTT SULLIVAN ถูกจำคุก 5 ปี
ในช่วงพีกสุดของบริษัท มูลค่ากิจการของ WORLDCOM
พุ่งไปสูงถึง 5.6 ล้านล้านบาท ในปี 1999 แต่สุดท้ายก็ลดลง
จนแทบไม่เหลือมูลค่าในปี 2002 หลังจากที่บริษัทยื่นขอล้มละลาย
ผู้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนั้นมีจำนวนมาก
ทั้งนักลงทุน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนที่ลงทุนในบริษัท WORLDCOM
รวมทั้งธนาคารต่างๆ ที่ปล่อยกู้ให้แก่บริษัท
และที่น่าเห็นใจที่สุดก็คือ พนักงานจำนวนมากของบริษัทกว่า 17,000 คน
ที่ต้องตกงานหลังการล้มละลายของบริษัท
หลังจากเหตุการณ์นี้และอีกหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น ENRON, TYCO ทำให้ในเดือนกรกฎาคม
ปี ค.ศ. 2002 มีการจัดตั้ง SARBANES-OXLEY ACT
เพื่อปฏิรูปการทำบัญชีของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และ
ปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน โดยกำหนดข้อบังคับและบทลงโทษต่าง ๆ
เช่น กำหนดผู้บริหารดูแลความเพียงพอของระบบการควบคุมภายใน,
บริษัทต้องมีช่องทางสำหรับร้องเรียนหากเกิดการทุจริตเกิดขึ้น
โดยสรุปแล้วสาเหตุที่ทำให้การทุจริตนี้
เกิดจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ
1. ผู้บริหารเป็นตัวการหลักซึ่งใช้อำนาจสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาให้ร่วม
ทำการทุจริต (MANAGEMENT OVERRIDE)
2. ผู้ตรวจสอบบัญชีขาดอิสระในการดำเนินงาน (LACK OF AUDIT
INDEPENDENCE)
3. ระบบการควบคุมภายในของบริษัทขาดประสิทธิภาพ (LACK OF INTERNAL
CONTROL) จะเห็นได้ชัดว่าหากมีการวางระบบการควบคุมภายในที่ดีเป็นหนึ่ง
ในปัจจัยที่สำคัญมากซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดทุจริตได้
4. การตรวจสอบภายใน ถูกจำกัดขอบเขตและถูกแทรกแซงโดยฝ่ายบริหาร นั่นเอง