The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประเพณีการปลูกเรือนที่หายไปจากชุมชนชาวญ้อ ท่าขอนยาง จ. มหาสารคาม

บทความโดย จีรวุฒิ บุญช่วยนำผล
สาขาวิจัยศิลปะ วัฒนธรรม และการออกแบบ
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ประเพณีการปลูกเรือนที่หายไปจากชุมชนชาวญ้อ ท่าขอนยาง จ. มหาสารคาม

ประเพณีการปลูกเรือนที่หายไปจากชุมชนชาวญ้อ ท่าขอนยาง จ. มหาสารคาม

บทความโดย จีรวุฒิ บุญช่วยนำผล
สาขาวิจัยศิลปะ วัฒนธรรม และการออกแบบ
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ประเพณกี ำรปลกู เรอื นที่หำยไปจำกชมุ ชนชำวญ้อ
ท่ำขอนยำ่ ง จ. มหำสำรคำม

นำยจรี วุฒิ บุญช่วยนำผล
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิจยั ศิลปะและวัฒนธรรม

คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่

คำนำ เมืองค้าเกิด และเมืองค้าม่วน โดยมีท้าวหม้อเป็น
ชุมชนชาวญ้อ บ้านท่าขอนยาง หรือหมู่บ้านญ้อ ผู้น้าชาวญ้อ โดยข้ึนตรงต่อเจ้าอนุวงศ์เจ้าเมือง
ท่าขอนยาง ตั้งอยู่ที่ริมฝ่ังแม่น้าชีที่ไหลผ่านบริเวณ เวียงจันทน์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่
ต้าบลท่าขอนยาง อ้าเภอกันทรวิชัย จังหวัด 3 ทรงทราบข่าว จึงทรงโปรดส่ังให้พระยาบดินทร
มหาสารคาม เป็นหมู่บ้านชาวญ้อท่ีถือได้ว่าเป็น เดชาแม่ทัพไทยยกทัพไปปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์
ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์“ญ้อ” ท่ีใหญ่ท่ีสุดในประเทศ ส่วนเจ้าอนุวงศ์ได้พาครอบครัวไปลี้ภัยอยู่ประเทศ
ไทยซง่ึ มีความโดดเดน่ มากในด้านวัฒนธรรมท้อง ญวน และไปเสียชีวิต่อยู่ท่ีน่ันหลังสงครามสงบลง
ถ่ิน(ณรงค์ฤทธิ์ สุมาลี : 2556) ทั้ง ภาษาพูด เคร่ือง ในปี พ.ศ. 2375 พระยาบดินทร์เดชาแม่ทัพไทยได้
แต่งกาย พิธีกรรม การอนุรักษ์ฟ้ืนฟู ประเพณี กวาดต้อนชาวญ้อ จากเมืองค้าม่วน ค้าเกิด และ
ดังเดิมหรือสร้างประเพณีใหม่ อาทิ ประเพณีไหล เมืองปุงลิง กลับคืนอีกคร้ังหน่ึงโดยข้ามมาอยู่ฝั่ง
เรือไฟ งานนมัสการพระชินวรณ์ แต่มีอีกพิธีกรรม ขวาของแม่น้าโขงที่ท่าอุเทน ส่วนพระยาประเทศ
หน่ึงที่มีความก่าแก่ซึ่งในปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้วใน ธานี ได้ปฏิบัติหน้าท่ีดูแลรักษาความปลอดภัยโดย
ชุมชนญ้อท่าขอนยาง นั่นคือ พิธีปลูกเรือนใหม่ของ ลาดตระเวนระห ว่างเมืองไชยบุรี และเมือง
ชาวญ้อ (ด้าเนิน เน่ืองวรรณะ:สัมภาษณ์) ด้วย นครพนมไม่ขาด และในการกวาดต้อนผู้คนในคร้ัง
บริบทของสมคมที่เปล่ียน เศรษฐกิจในชุมชนที่ นี้ เป็ น ก า ร ก ว า ด ต้ อ น ค ร้ั งยิ่ งให ญ่ เพ ร า ะ มี ผู้ ค น
ขยายตัวข้ึน การโยกย้ายผู้คนจากพื้นท่ีอ่ืนเข้ามา จ้านวนมากมาย โดยส่วนใหญเ่ ป็นครอบครัวชาว
ท้าให้รูปแบบการสร้างบ้านเรือนแบบดั้งเดิมน้ัน ญ้อท่ีมาจากเมืองค้าเกิดมากท่ีสุด นอกจากน้ียังมี
ไม่ได้รับการนิยม และพิธีการปลูกเรือนใหม่ของ กลุ่มอ่ืนอีก เช่น ชาวผู้ไท ไทด้า กะโส้ และแสก
ชาวญ้อแบบดัง้ เดิมจึงลดลงและสญู หายไปในทสี่ ดุ เป็นตน้ หลังจากการกวาดต้อนชาวญ้อมาจากเมือง
ประวตั ชิ ำวญอ้ บำ้ นทำ่ ขอนยำง ท่าอุเทน ฝ่ังขวาของแม่น้าโขงได้จัดชาวญ้อลงไว้ท่ี
ชาวญ้อมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองหงษ์สา ตอน ท่าอุเทนบ้าง ไชยบุรีบ้าง และเอาพวกกะโส้ลงไว้
เหนือของลาวติดกับประเทศจีน ในปี พ.ศ. 2351 ตามเส้นทางจากท่าอเุ ทนจนถงึ กุสุมาลย์ และให้อยู่
ได้อพยพลงมาทางใต้ตามลุ่มแม่น้าโขง โดยเข้ามา ตามความสมัครใจ แต่ก็ยงั มีผคู้ นอีกจา้ นวนมากพอ
สวามิภักดิ์ต่อเจ้าอนุวงศ์เจ้าเมืองเวียงจันทน์ที่ ถึงเมืองสกลนครแล้ว จึงได้จัดเอาพวกผู้ไทไว้ส่วน
บริเวณหาดดอนทราย ต่อมาอีกไม่นานนักเจ้า หน่ึงจากนั้นได้เดินทางลงมายังเมืองกาฬสินธุ์
อนุวงศ์จึงให้ชาวญ้อพวกน้ีข้ามมาอยู่ฝ่ังขวาของ มีพระยาไชยสุนทรเจ้าเมืองโดยเจ้าเมืองกาฬสินธ์ุ
แม่น้าโขงตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เมืองไชยบุรีปากน้า เป็นผู้จัดหาท่ีให้อยู่เพราะเมืองกาฬสินธุ์มีบริเวณ
สงคราม และขึน้ ตรงต่อเจ้าอนวุ งศ์ ต่อมาในปี พ.ศ. ก ว้ า ง ข ว า ง แ ต่ ก า ร เ ดิ น ท า ง มี ค ว า ม ล้ า บ า ก ม า ก
2369 เจ้ า อ นุ ว งศ์ เกิ ด ก บ ฏ ต่ อ ไท ย ใน ส มั ย เน่ื อ ง จ า ก ร ะ ห ว่ า ง ท า ง มี แ ต่ ภู เข า แ ล ะ มี ไ ข้ ป่ า
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 ตลอดจนความเช่ือของคนในสมยั นน้ั ซึ่งมีความเชื่อ
ไดน้ ้า ชาวญอ้ ท่ีอยู่เมืองไชยบรุ ี ซงึ่ อยทู่ างฝั่งขวา เรอื่ งผปี า่ ผีภู จึงเดินทางออ้ มภเู ขาไปทางพนั นานิ
ของแม่น้าโขงกลับคืนมายังฝ่ังของแม่น้าโขง มาต้ัง
เมืองใหม่ จ้านวน 3 เมือง ประกอบด้วยเมืองปุงลิง

คม ซึ่งมีชาวญ้อพวกหน่ึงมีความสมัครใจท่ีจะต้ัง จันทน์ (ปรัชญา นามเสริฐ ,คา้ ภรี ์ ไทยอ่อน และ
บ้านอยู่บริเวณนี้ ส่วนหน่ึงท่ีเหลือเดินทางเข้าเขต คณะ : ออนไลน์)
วาริชภูมิ แล้วลงมาเข้าเขตวังสามหมอ (จังหวัด
อุดรธานี ในปัจจุบนั ) ชาวญอ้ อีกพวกหนง่ึ ลงทบ่ี า้ น หลังจากท้าวค้าก้อนผู้น้าชาวญ้อกลุ่มนี้ได้มาพัก
ยุง ส่วนท่ีเหลือเดินทางต่อเข้าเขตเมืองกาฬสินธุ์ อาศัยอยู่ที่เมืองคันธาธิราษฎรใ์ นระยะหนึ่ง จึงได้พา
แล้วมาหยุดพักที่บึงกระดาน ซึ่งมีท้าวค้าก้อนเป็น ผู้คนออกสา้ รวจข้อมลู สภาพท้าเลพื้นทบ่ี ริเวณในเขต
ผู้น้า โดยอาศัยอยู่บริเวณน้ีนานพอสมควร ต่อมา พ้ืนท่ีของเมืองกาฬสินธุ์ที่อยู่รอบๆเมือง ผลจากการ
ทา้ วค้ากอ้ นได้สา้ รวจพื้นที่จะเพยี งพอตอ่ ที่ทา้ อยทู่ ้า ส้ารวจข้อมูลพบว่าเขตพื้นที่ต่างๆไม่มีพื้นท่ีใดท่ีจะ
กินเพียงพอกับจ้านวนผู้คนชาวญ้อของครัวค้าเกิด เหมาะสมเท่ากับพืน้ ท่ที ่าขอนยาง เพราะเป็นบริเวณ
และครัวค้าม่วนในอนาคตหรือไม่ ซึ่งจากการ ท่าน้าตดิ นา้ ชีมีพ้นื ทร่ี าบลุ่ม ดนิ อุดมสมบูรณ์ เหมาะ
ส้ารวจพบว่าในอนาคตพ้ืนที่ท้ากินจะไม่เพียงพอ แก่การเกษตรและสัตว์น้าเป็นอาหารมากมาย ด้วย
ถ้าอยู่กันท้ังหมดก็คงจะเดือดร้อน จึงได้แบ่งคน มองการณ์ไกลของท้าวค้าก้อน ได้ยึดหลักส้าคัญใน
ออกเป็นสองกลุ่มให้ผู้ไทอยู่ที่เดิม เพราะชาวผู้ไท การตัดสินใจเลือกต้ังบ้านแปลงเมืองท่ีจะท้าให้เป็น
เขาชอบท้าไร่ไม่ชอบท้านา จึงเหมาะส้าหรับผู้ไท บ้านท่ีอุดมสมบูรณ์ ให้ลูกหลานได้อยู่ดีกินดี
มากกว่าเนื่องจากลักษณะพ้ืนที่เป็นป่าดง และ มีความสุขนั้น ท่านได้ใช้หลักในการพจิ ารณาตั้งบ้าน
ภูเขา เหมาะแก่การท้าไร่ จึงให้ผู้ไทอยู่ต้ังแต่ค้า ว่าบ้านเมืองหากมีองค์ประกอบ 3 ประการคือ มีน้า
ม่วนจนถึงกุฉนิ ารายณ์ และก็มีญ้อลงมาอยู่ที่บ้านอู้ ป่า และทงุ่ จะเจรญิ ร่งุ เรือง ทา้ วค้าก้อนจึงได้เข้าพบ
บ้านแซงกระดาน บ้านมหาชัย บ้านเหล่าภูพาน เจ้าเมืองกาฬสินธ์ุ ขอต้ังเมืองใหม่ท่ีท่าขอนยาง โดย
(ปัจจุบันอยู่ในพ้ืนที่จังหวัดกาฬสินธ์ุ) ส่วนท้าวค้า ให้เหตุผลหลายประการดังนี้ ประการแรกเมือง
ก้อนผู้น้าชาวญ้อ ได้ไปเรียนต่อพระยาไชย-สุนทร คั น ธาธิราษ ฎ ร์เป็ น เมื อ งเก่ าข อ งค น โบ ราณ
เจ้าเมืองกาฬสินธ์ุขอต้ังเมือง เพื่อหาท่ีอยู่ใหม่ มีหลักฐานไว้หลายอย่าง มีคูเมืองสองช้ัน มีก้าแพง
เพราะมีผู้คนในครัวค้าก้อนมีจ้านวนมาก เจ้าเมือง ดินกว้าง พระพุทธรูปเก่าแก่ เป็นเมืองเก่ายากที่จะ
กาฬสินธุ์ จึงอนุญาตให้ครัวค้าก้อนมาอยู่ที่เมือง พัฒนาแก้ไขปรับปรุง ประการที่สอง แหล่งน้าไม่
คันธาธิราษฎร์ (ในปี พ.ศ. 2444 เป็นอ้าเภ อ เพียงพอกบั ความต้องการ เนื่องจากน้าที่มีอย่อู าจจะ
คันธารราษฎร์) ท้าวค้าก้อนได้อพยพเคล่ือนย้าย ไม่เพียงพอ ท้าให้ผู้คนเดือนร้อนได้เมื่อแห้งแล้งและ
ชาวญ้อลงมาตามค้าสั่งของเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ ได้ ขาดน้าประการที่สามจากการส้ารวจพบข้อมูลใหม่
เดินทางลงมาทางภูแล่นช้างในขณะท่ีเดินทางมา ว่าท่าขอนยางเป็นที่เหมาะสมเพราะประกอบด้วย
น้ันได้มีญ้อจ้านวนหนึ่งมีความสมัครใจที่จะอาศัย น้า ป่า และทุ่งเม่ือพระยาไชยสุนทรเจ้าเมือง
อยู่ตามจุดต่างๆ ซ่ึงได้แก่ บ้านโพนสิม บ้านสา ก า ฬ สิ น ธ์ุ ไ ด้ รั บ ฟั ง เห ตุ ผ ล ข อ ง ท้ า ว ค้ า ก้ อ น ผู้ น้ า
บ้านแก และบ้านหนองแวงในเขตอ้าเภอยางตลาด ชาวญ้อแล้วน้ัน นับว่ามีข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผล
จังหวัดกาฬสินธ์ุในปัจจุบัน โดยญ้อส่วนใหญ่ได้ เพียงพอ จึงให้การสนับสนุนไม่ขัดข้องแต่อย่างใด
เดินทางมาจนถึงเมืองคันธารราษฎร์ โดยมาหยุด ซ่ึงเป็นการดีที่ได้ขยายเมืองในเขตแดนกาฬสินธ์ุ ให้
พักบริเวณพื้นท่ีโล่งกว้างใกล้แหล่งน้า ปัจจุบันเป็น เป็นปึกแผ่นม่ันคง หลังจากน้ันจึงได้ให้ท้าวค้าก้อน
โรงเรียนบ้านคันธาธิราษฎร์และหนองบัว ท้าวค้า ผูน้ า้ ชาวญอ้ ได้ยา้ ยมาตั้งทท่ี ่าขอนยาง
กอ้ นได้จัดผู้คนลงตามจดุ ตา่ ง ๆ ประกอบด้วย บ้าน
สระ บ้านโนน บ้านหนองขอน บ้านหลักด่าน บ้าน ต่อมาพระยาไชยสุนทร (โสมพมิตร) ได้ตระหนัก
ยาง บา้ นน้าใส ลงมาถึงล่มุ นา้ ชี บ้านดอนเวยี ง เห็นความส้าคัญว่าท่าขอนยางมีความเหมาะสมท่ี
จะต้ังให้เป็นเมืองได้ จึงได้ท้าหนังสือบอกไปทาง
กรุงเทพฯ(เมืองสยาม) ถึงสมุหนายกผู้มีหน้าท่ีดูแล
หัวเมืองฝ่ายเหนือแจ้งขอหมู่บ้านข้ึนเป็นเมืองพอ

เจา้ เมือง คณะกรรมการเมอื งและสมุหนายกรบั เล้ว รูปที่ 1. เรอื นแบบโบราณของชาวญอ้ สรา้ งปลาย
จึงน้าทูลเกล้าฯ ต่อพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า รัชกาลที่ 6 (สารานุกรม วฒั นธรรมไทย ภาค
เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 โปรดเกล้าให้ชาวญ้อ กลุ่มนี้ อีสาน:2542)
จากบ้านทา่ ขอนยางเปน็ เมอื งท่าขอนยาง เมื่อ พ.ศ.
2388 และได้พระราชทานนามเมืองว่า “เมืองท่า ลักษณะของเรือนแบบดง้ั เดิมของชาวญอ้ ท่าขอน
ขอนยาง” โปรดเกล้าให้ท้าวค้าก้อนเป็น “พระยา ยาง จะเป็นลักษณะแบบ "เรอื นเหย้า" เป็นเรือนก่ึง
สุวรรณภักดี” เป็นเจ้าเมืองคนแรก ซ่ึงเป็นเมือง ถาวร คือกระต๊อบ หรือเรือนเล็ก ไม่มั่นคงแข็งแรง
จัตวาขึ้นตรงต่อเมืองกาฬสินธ์ุซึ่งเป็นเมืองเอก นัก ลักษณะต้าแหนง่ ท่ีตัง้ เรือนจะเหมือนกบั ชาวไท
หลังจากที่หมู่บ้านท่าขอนยางได้พระราชทานนาม ลาว คือมีความเชอ่ื ว่าในการสร้างเรือนให้ด้านกวา้ ง
ให้เป็น“เมืองท่าขอนยาง”และมีผู้ปกครองเมือง หันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก ให้ด้านยาว
คือ พระยาสุวรรณภักดีได้ปกครอง ต่อมาได้มีการ หันไปทางทิศเหนือ และใต้ ซ่ึงเป็นลักษณะที่
เปล่ียนแปลงเขตพ้ืนท่ีการปกครอง เมืองท่าขอน เรียกว่า วางเรือนแบบ "ล่องตาเว็น" เพราะถือกัน
ยางได้ถูกปรับเปล่ยี นให้เป็น ต้าบลท่าขอนยางและ วา่ หากสรา้ งเรอื นให้ "ขวางตาเว็น" แลว้ จะ
อยู่ในพ้ืนท่ีเขตการปกครองของ อ้าเภอกันทรวิชัย "ขะลา้ " หรอื เป็นอัปมงคล ท้าให้ผอู้ ยไู่ ม่มีความสุข
จังหวดั มหาสารคาม ถงึ ปัจจุบนั
ชาวไทญอ้ มีอาชีพดา้ นเกษตรเป็นหลกั ไดแ้ ก่การ
ปลูกขา้ ว กลว้ ย ออ้ ย สบั ปะรด ยาสูบ และพชื ผกั
ตามฤดูกาล โดยเฉพาะการปลกู พืชเศรษฐกจิ คอื ตน้
ปอ รองลงมาไดแ้ ก่ อาชีพเล้ยี งสตั ว์ และจบั สัตว์น้า
ในล้าน้า เนอื่ งจากว่ามกี ารตั้งถ่ินฐานอยใู่ กลแ้ ม่นา้
เชน่ แม่นา้ โขง แม่น้าสงครามและแม่น้าชี
ลักษณะเรือนญ้อ
ลักษณะบ้านเรือนของชาวญ้อคล้ายกับบ้านเรือน
ของชาวไทยลาวท่ัวไป คือตัวเรือนเป็นเรือนใต้ถุนสูง
มีชายคาท่ีเรียกว่า เซีย มีชานติดกับครัว มีเล้าข้าวอยู่
ทางด้านหลังของตัวเรือน เสาเรือนจะใช้เสาไม้เต็ง
ไม้แดง การมุงหลังคา หากเป็นบ้านของชาวไร่ชาวนา
ทั่วไปก็จะมุงด้วยหญ้าแฝก ฝาผนังเป็นฟาก สับสาน
ลานสอง บ้านที่มีฐานะดีก็จะ มุง ด้วยกระเบ้ืองเกร็ด
ฝาผนังเป็นไม้กระดาน (สารานุกรม วัฒนธรรมไทย
ภาคอีสาน:2542)

รูปท่ี 2. เรือนแบบดง้ั เดิมของชาวญอ้ ทา่ ขอนยาง

การจัดวางแผนของหอ้ งและองคป์ ระกอบตา่ งๆ
ในเรือนนน้ั มดี ังน้ี

รูปที่ 3. แปลนของเรือนด้งั เดิมของชาวญอ้ จึงท้าพิธีขึ้นบ้านใหม่ โดยการที่ให้ผู้ท่ีเจ้าของเรือน
ท่าขอนยาง นั่งขวางบนบันไดบ้าน แล้วมีผู้คนจ้านวนหน่ึงต้ัง
ขบวน โดยมีผู้ท่ีเป็นบุคคลส้าคัญ และที่นับหน้าถือ
1. ห้องเปิง หรือ ห้องพระ เป็นห้องส้าหรับบูชา ตาในหมู่บ้านเป็นผู้น้าขบวนโดยท้าทีถือสะพาย
พระและสิ่งศักดิ์สิทธ์ ซึ่งชาวญ้อท่าขอนยางด้ังเดิม ย้ามผ้า แล้วท้าการยกขบวนมาหยุดตรงหน้าบันได
นั้นไม่นับถือผี แต่นับถือศาสนาพุทธแบบชาวไท ทเ่ี จ้าของเรือนนั่งขวางอยู่ จากนั้นจงึ เอ่ยพิธซี ักถาม
ลาวท่ัวไป(ด้าเนิน เนื่องวรรณะ: สัมภาษณ์) หาก เป็นภาษาถ่ินเพ่ือน้าความเป็นสิริมงคลเข้าบ้าน
บ้านใดมีลูกชายก็จะให้นอนทหี่ อ้ งเปงิ เช่นกัน ดงั นี้

2. ห้องพ่อ-แม่ อาจก้ันเป็นห้องหรือบางทีก็ เจ้าบ้าน : มาแตไ่ สนอ้ ซะมาหลวงหลายพาย
ปลอ่ ยโล่ง มาตแท้

3. ห้องนอนลูกสาว มีประตูเข้ามีฝากั้นมิดชิด ผนู้ า้ ขบวน : มาตั้งแต่เม่ือมน่ั ค้าทอง
หากมีลกู เขยจะให้นอนในหอ้ งน้ี เจ้าบา้ น : เมืองน้นั ตง้ั อยู่ไสน้อ
ผนู้ ้าขบวน : เมอื งน้นั ตง้ั อยูจ่ อมเขา
4. เกย (ชานโล่งมีหลังคาคลุม) เป็นพ้ืนท่ีลด
ระดับลงมาจากเรือนนอนใหญ่ มักใช้เป็นท่ีรับแขก ไกรลาส
ท่ีรับประทานอาหาร และใต้ถุนจะเตี้ยกว่าปกติ เจ้าบา้ น : เปน็ หยัง๋ นอ้ จั่งได้มาทางนี้
ใช้ส้าหรบั เป็นทเ่ี กบ็ ฟืน ผู้นา้ ขบวน : ทราบข่าววา่ ปลูกเรอื นใหม่ ใส่

5. เรือนไฟ หรือห้องครัว ส่วนมากจะเป็น หญา้ เต็ม จะมาค้ามาคูนให้
เรือน 2 ช่วงเสา มีจ่ัวโปร่งเพ่ือระบายควันไฟ เจา้ บ้าน : มาคา้ มาคูณให้แต่พู่น ได้หยั๋งมา
ฝานิยมใช้ไม้ไผส่ านลายทแยงหรอื ลายขัด
พิธีกรรมปลูกเรือนและข้ึนใหม่ของชำวญ้อท่ำ แนน่ ้อ
ขอนยำง ผนู้ า้ ขบวน : ไดบ้ งุ กน้ ลุ คุก้นหล่ง กระด้งขอบ
ดั้งเดิมแล้วนั้นชาวญ้อท่าขอนยาง สร้างเรือนจะ
ท้าให้เสร็จในวันเดียวโดยเริ่มจากการตีช่องตาราง เพ ควายบกั เลโตตา่ ง นา่ งเกาะ
สเี่ หลี่ยมและท้าการขุดหาสิง่ ทอี่ ยู่ใต้ดินเพือ่ หาสง่ิ ไม่ หมูกวางไซ ไดม้ าเบิดทุกอนั ทุก
เป็นมงคลออกแล้วให้บุคคลที่ถือว่าเป็นบุคคล แนว
ส้าคัญและท่ีนับหน้าถือตาในหมู่บ้าน หาฤกษ์ดี เจา้ บ้าน : ในถุงนน้ั มีหย๋ังแหน่
ส้าหรับการปลูกเรือนไว้ ได้เวลาตรงกับฤกษ์ดีแล้ว ผนู้ า้ ขบวน : กะบ่มหี ย๋ังหลายดอก มีข้าวสาลี
จึงท้าพิธียกเสา มุงหลังคา ตีไม้กระดานเป็นพ้ืน เอามาไว้เฮด็ แนว ขา้ วสาลีนี้ เม็ด
เรือน จึงถือว่าเสร็จส้ินเป็นเรือนใหม่ หลังจากน้ัน เดยี วแตกออกไปได้แสนหนอ่
หนอ่ เดียวนน้ั แตกออกได้แสน
ฮวง ฮวงเดยี วมีอย่แู สนเมด็ เม็ด
ขา้ วซ้องแตกออกเปน็ หนอ่ เงนิ
หนอ่ ค้ากะมี
เจ้าบ้าน : ป๊าดโธ่ มีขนาดนนั้ มาท้าไมไกลแท้
ผนู้ า้ ขบวน : ทราบขา่ ววา่ ปลุกเรือนใหม่ ใส่
หญา้ เตม็ จะมาคา้ มาคณู ให้
หลังจากท้าการไตร่ถามเพ่ือน้าความสิริมงคลเข้า
เรือนแล้ว จึงถือได้ว่าท้าพิธีขึ้นเรือนใหม่เสร็จพิธี
เรือนนั้นสามารถอยอู่ าศัยได้

กลุ่ ม ช น ช าว ญ้ อท่ าข อน ย างด้ าเนิ น พิ ธีก าร ป ลู ก สรปุ
เรือนและขน้ึ เรือนใหม่เช่นนีเ้ ร่ือยมาจนกระทง่ั ช่วง การที่วถิ ีชีวิตของคนในชมุ ชนมีความหลากหลาย
ปี พ.ศ. 2500 เศรษฐกิจในชุมชนดีขึ้นท้ังจากการ มากขนึ้ ทา้ ให้รูปแบบการก่อสร้างบ้านเรือนเปล่ียน
ปลกู ปอขาย การทวี่ ยั รนุ่ หนุ่มสาวในชมชนไดอ้ อก แปลงไป การปลูกเรือนแบบด้ังเดิมไม่ได้รับความ
ไปท้างานหากินถิ่นอ่ืนแล้วส่งเงินกลบั มาให้คนใน นิยมเช่นเคย ส่งผลให้ พิธีสร้างเรือนใหม่และข้ึน
ครอบครัว และการท่มี ีผู้คนจากถนิ่ อืน่ อพยพเขา้ มา บ้านใหม่ของชาวญ้อแบบด้ังเดิมค่อยๆเลือนหาย
อยู่อาศยั ทา้ ใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงทางดา้ นทาง จากสังคมชาวญ้อท่าขอนยางเช่นกัน ปัจจุบันมี
ด้านการสร้างบา้ นเรือนทเี่ ป็นรูปแบบทม่ี แี ปลกใหม่ เพียงผู้เฒ่าผู้แก่และปราชญ์ชาวบ้านเท่าน้ันท่ีรู้ถึง
ใช้วสั ดทุ ่ีมีความหลากหลายและมัน่ คงถาวรมากขน้ึ พิธีการปลูกเรือนใหม่และขึ้นบ้านใหม่ของชาวญ้อ
เชน่ การใชส้ ังกะสีมุงหลังคาแทนหญ้าคาและ ทา่ ขอนยางแบบดงั้ เดิม
กระเบ้ืองแป้นเกลด็ การใช้สงั กะสแี ทนไม้ฝาบ้าน เป็นท่ีน่าเสียดายอย่างย่ิงที่พิธีกรรมมงคล ที่แฝง
การสรา้ งบา้ นไม้ผสมตกึ คือ ข้างบนเปน็ ไม้ข้างลา่ ง ด้วยความเชื่อ และภูมิปัญญาพื้นบ้านโบราณ ของ
เปน็ ปูน ชาวญ้อท่าขอนยางก้าลังถูกมองข้ามความส้าคัญ
จากลูกหลานในพ้ืนถิ่น เพราะการพัฒนาสังคมท่ีไม่
ภาพที่ 4. เรอื นสงั กะสีโดยสว่ นมากจะเปน็ ชาวไท เอื้อต่อการอนุรักษ์พีธีกรรมแบบด่ังเดิม ท้าให้เกิด
ลาวทอ่ี พยพเข้ามาอยู่ในชมุ ชนท่าขอนยาง วกิ ฤตศรทั ธาต่อภมู ิปญั ญาพนื้ บ้านโบราณ ซึ่งคนรุ่น
ให ม่ ไม่ มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เข้ า ใจ ต่ อ เอ ก ลั ก ษ ณ์ แ ล ะ
ภาพท่ี 5. บา้ นผสมตึกของชาวญอ้ ทา่ ขอน คุณค่าท่ีบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมา ถึงแม้จะมี
ยาง โดยมากจะสร้างหลังปี พ.ศ. 2500 หน่วยงานของภาครัฐและมหาวิทยาลัยต่างๆมาท้า
การวิจัยและพยายามปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเห็น
คุณค่าและอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีพ้ืนถิ่น
ตา่ งๆไว้ แต่ก็ไม่อาจจะท้าให้ประเพณีและพิธีกรรม
ต่างๆอยู่ยืนยาวต่อได้ หากไม่ได้รับความสนใจจาก
ลูกหลานชนชาวญ้อท่าขอนยาง ที่จะเห็นคุณค่า
และร่วมกันอนุลักษณ์สืบสานต่อไป ประเพณีและ
พิธีกรรมอันดีงามต่างๆ ก็จะค่อยๆเลือนหายไปกับ
กาลเวลา

บรรณำนุกรม
ณรงค์ฤทธ์ิ สมุ าลี.กำรพัฒนำแผนยุทธศำสตร์
เพ่อื ก่อตั้ง พิพธิ ภณั ฑ์ท้องถิ่นอยำ่ งมีส่วนรว่ มของ
ชมุ ชนบำ้ นทำ่ ขอนยำง ตำบลทำ่ ขอนยำง อำเภอ
กนั ทรวชิ ัย จงั หวดั มหำสำรคำม.วำรสำรกำร
พฒั นำชุมชนและคณุ ภำพชีวิต 1, 2556.
ด้าเนิน เนือ่ งวรรณะ.(26 พฤศจิกายน 2557).
สมั ภาษณ์.

ปรชั ญา นามเสริฐ ,คา้ ภีร์ ไทยออ่ น และคณะ.กำร
ตั้งถน่ิ ฐำนท่ำขอนยำง.[ออนไลน์].เข้าถงึ ข้อมูล
วนั ที่ 20 พฤศจิกายน 2557. จาก
http://thakhonyang3.blogspot.com/2014_0
2_01_archive.html
สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอสี าน เล่ม 11 .
กรงุ เทพฯ : มูลนิธสิ ารานกุ รมวฒั นธรรมไทย
ธนาคารไทยพาณิชย์ , 2542.

ข้อมูลเบ้ืองตน้

นายสมยศ ชุ่มอภยั .(26 พฤศจิกายน 2557).
ผู้ใหญ่บ้าน. สัมภาษณ์.
เว็บไซต์หมบู่ า้ นท่าขอนยาง หมู3่ . [ออนไลน์].
เข้าถึงข้อมูลวันท่ี 20 พฤศจิกายน 2557. จาก
http://thakhonyang3.blogspot.com/2014_0
2_01_archive.html


Click to View FlipBook Version