The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by punthipa007, 2022-03-08 08:31:50

ชุดกิจกรรม

ปก

ชุดกิจกรรม เร่ือง โครงสรา้ งและหน้าท่ขี องพืชดอก นางพรรทิพา วงศจ์ นั ทร์

ชุดกจิ กรรม เรือ่ ง โครงสร้างและหน้าทข่ี องพชื ดอก

ผลการเรียนรู้
1.อธิบายเกยี่ วกบั ชนดิ และลักษณะของเน้อื เย่ือพืชและเขียนแผนผงั เพ่อื สรปุ ชนดิ ของเนื้อเยื่อพชื
2.สังเกต อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ ง ภายในของรากพืชใบเลีย้ งเดย่ี วและรากพชื ใบเล้ยี งคูจ่ ากการ

ตัดตามขวาง
3.สงั เกตอธบิ ายและเปรียบเทียบโครงสร้าง ภายในของลำต้นพชื ใบเล้ยี งเดย่ี วและลำตน้ พืช ใบเลย้ี งคจู่ ากการ

ตดั ตามขวาง
4.สังเกต และอธิบายโครงสร้างภายในของใบพชื จากการตัดตามขวาง

คำช้ีแจงสำหรบั นกั เรยี น
1.นักเรียนศึกษาผลการเรียนรู้และคำชแี้ จงสำหรบั นักเรยี น
2.นักเรยี นศกึ ษาเนือ้ หาในชุดกิจกรรมแตล่ ะชดุ ร่วมกบั การเรียนรรู้ ปู แบบ Blended Learning และทำ

กิจกรรมภายใน ชุดกจิ กรรมตามลำดบั

คำถามกอ่ น/หลงั เรยี น

คำช้แี จง ใหน้ ักเรียนพิจารณาแล้วกาเคร่ืองหมายถูก (√) ในประโยคทถี ูกต้อง
และกาเคร่อื งหมายผิด (X) หน้าประโยคท่ีไมถ่ ูกต้อง

กอ่ นเรยี น หลงั เรียน คำถาม
1. เซลลพ์ ชื ทุกชนดิ มีผนงั เซลลห์ ุม้ อยดู่ ้านนอกของเยื่อหุม้ เซลล์
2. เซลล์ทุกชนดิ ของพชื มีคลอโรพลาสต์
3. เซลลโู ลสเป็นโครงสรา้ งหลกั ของผนงั เซลลพ์ ชื
4.พืชดูดนำ้ และธาตุอาหารผา่ นทางเซลล์ขนราก
5. ราก ลำตน้ และใบ เปน็ อวัยวะทไ่ี ม่เก่ียวข้องโดยตรงกับการสืบพนั ธ์ุแบบอาศยั
เพศของพชื ดอก
6. พืชใบเลีย้ งเดยี่ วทีเ่ จริญเตบิ โตเตม็ ท่ีมรี ากแกว้
7. รากทำหนา้ ที่ชว่ ยยดื โครงสร้างของลำตน้ พืชให้ติดอย่กู ับดนิ หรอื วัสดปุ ลูก
8. ลำตน้ ทำหนา้ ที่ลำเลียงน้ำ ธาตุอาหาร และอาหาร ไปยังสว่ นต่าง ๆ ของพชื

ชุดกิจกรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหน้าท่ีของพชื ดอก นางพรรทิพา วงศจ์ ันทร์

ชดุ กจิ กรรมท่ี 1 เรอื่ ง เนอ้ื เย่อื พืช

ผลการเรียนรู้
1.อธิบายเกยี่ วกบั ชนิดและลกั ษณะของเนอื้ เย่ือพชื และเขยี นแผนผงั เพอ่ื สรปุ ชนิดของเนื้อเยอ่ื พืช

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1.อธบิ ายเกี่ยวกับชนิด ลกั ษณะของเน้ือเยอื่ พืช และระบบุ รเิ วณที่พบเนื้อเย่ือเจรญิ และเนื้อเยื่อถาวรของพืช

ดอก
2.เขียนแผนผงั เพื่อสรปุ ชนิดของเน้ือเย่ือพชื

เนื้อเยอื่ พืช (plant tissue)

การจัดระบบของพืช

เซลลพ์ ืช (plant cell) เนอ้ื เยื่อพชื (plant tissue) ระบบเน้ือเยื่อพชื (plant tissue system)

อวัยวะของพชื (organ) ระบบอวัยวะของพืช (organ system) พืช (organism)

เนือ้ เยอ่ื พืช (Plant Tissue)

เนือ้ เย่อื (tissue) ประกอบดว้ ยกลุ่มของเซลล์ที่อยู่ร่วมกันเพื่อทำหนา้ ทเี่ ฉพาะอย่าง

ประเภทของเน้ือเย่ือ
I. จำแนกตามการเจรญิ เติบโต ได้ 2 ชนดิ
1. Primary tissue : เน้อื เย่อื ท่ีอยู่ในการเจรญิ ปฐมภมู ิ (primary growth)
2. Secondary tissue: เนื้อเย่ือท่ีอยูใ่ นการเจริญทุติยภูมิ (secondary growth)

II. จำแนกตามความสามารถในการแบง่ ตัว ได้ 2 ชนิด
1. Meristematic tissue (เนอื้ เย่อื เจรญิ )
2. Permanent tissue (เนอ้ื เยอื่ ถาวร)

ชุดกิจกรรม เรอ่ื ง โครงสร้างและหน้าที่ของพชื ดอก นางพรรทพิ า วงศ์จนั ทร์

III. จำแนกตามหน้าที่ ได้ 3 ระบบ

1. Dermal system : epidermis, cork

2. Vascular system : xylem, phloem

3. Fundamental system : parenchyma, collenchyma,

sclerenchyma

เน้อื เยอ่ื พชื แบง่ เป็น 2 ประเภท ตามความสามารถในการแบ่งตวั ได้แก่
1.เนอ้ื เยื่อเจริญ (meristematic tissues)
2.เนือ้ เย่ือถาวร (permanent tissues)
1.เนื้อเย่ือเจริญ (meristematic tissues) คือ กลุ่มของเซลล์ทีม่ ีการเจริญและแบง่ ตวั แบบไมโทซสิ

(mitosis) อย่ตู ลอดเวลา
ลกั ษณะของเนือ้ เยื่อเจริญ ................................................................................................................................

.................................................................................................................................................... ...................................
พบที่.......................................................................................... ........................................................................ ............

1.1 เน้อื เย่อื เจรญิ ส่วนปลาย (apical meristem) เนอ้ื เยือ่ ท่อี ยู่บริเวณปลายยอด (shoot tip)หรือ
ปลายราก (root tip)ของพชื เมื่อมีการแบง่ ตัวเพ่ิมจำนวนเซลลจ์ ะทำให้รากและลำต้นยดื ยาวออก เพม่ิ ความสงู ให้กับ
ตน้ พืช เป็นการเจรญิ ข้ันแรก (Primary growth)

1.2 เนื้อเยื่อเจริญเหนือขอ้ (intercalary meristem) คือเน้ือเยือ่ ที่อยูบ่ รเิ วณเหนอื ข้อ หรือโคนของ
ปลอ้ งในพืชใบเล้ยี งเดี่ยว เชน่ อ้อย ไผ่ ข้าวโพด หรอื หญ้า เป็นตน้ เมอื่ มกี ารแบ่งตวั จะช่วยใหป้ ล้องยาวขนึ้

1.3 เน้ือเย่ือเจรญิ ด้านขา้ ง (lateral meristem หรือ axillary meristem) คือ เนื้อเย่ือเจริญท่ี
แบง่ ตัวออกดา้ นขา้ งของลำตน้ หรอื ราก เมื่อแบง่ ตัวแลว้ จะทำให้ลำตน้ ราก ขยายขนาดออกทางด้านขา้ งหรือมขี นาด
ใหญข่ น้ึ เป็นการเจริญข้ันที่ 2 (Secondary growth)บางคนอาจเรยี กเนอื้ เย่ือเจริญด้านขา้ งนี้วา่ แคมเบยี ม
(cambium) แบ่งเปน็ 2 ชนดิ คอื
............................................................................................................................................... ........................................

2.เน้อื เย่ือถาวร (permanent tissues) หมายถึงกลมุ่ ของเซลลท์ ีใ่ นสภาพปกติไม่มีการแบง่ ตวั โดยเซลล์
เหลา่ น้ีเจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเนอ้ื เย่ือเจรญิ อีกทหี นึง่ ยกเวน้ พาเรงคมิ า parenchyma สามารถกลับไปแบ่งเซลล์
ไดอ้ ีกครั้ง ซ่งึ เป็นการกลบั กลาย redifferentiation

แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื
2.1 เน้ือเยอ่ื ถาวรเชงิ เด่ียว (Simple permanent tissue)
2.2 เน้ือเยื่อถาวรเชิงซ้อน (Compount permanent tissue)
2.1 เนอื้ เยอื่ ถาวรเชงิ เด่ยี ว (.......................................................) ประกอบดว้ ยกลมุ่ เซลล์ชนดิ เดียวกัน

มารวมกันเพ่ือทำหน้าท่ีอยา่ งเดียวกนั แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ เน้ือเยื่อป้องกนั (Protective tissue) และ
เนือ้ เยือ่ พนื้ (Ground tissue)

ชุดกจิ กรรม เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องพืชดอก นางพรรทิพา วงศจ์ ันทร์

2.1.1 เนือ้ เยือ่ ป้องกนั (Protective tissue) ทำหน้าทีป่ ้องกันอันตรายรวมทัง้ การสูญเสยี นำ้ มกั
อยู่นอกสุดของราก ลำต้น และใบ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื เอพเิ ดอร์มิส (Epidermis) และ คอร์ก (Cork)
หรือ เฟลเลม (Phellem)

- เอพเิ ดอร์มสิ (Epidermis) ทำหน้าท.่ี ...................................................................................
ลักษณะ.............................................................................................................................. .........................................
............................................................................................................................. ..........................................................
เอนโดเดอมสิ (endodermis)....................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................

- คอร์ก (cork) หรือเฟลเลม (phellem)เกดิ จากการแบ่งตวั ของคอร์กแคมเบยี มหรือเฟลโลเจน

เม่ือคอรก์ เติบโตเตม็ ท่ีแล้ว โพรโทพลาสซึมและเย่ือหมุ้ เซลล์จะสลายไป เหลือเฉพาะผนังเซลล์ท่มี ซี เู บอริน และควิ

ติเคลิ สะสมซ่งึ นำ้ จะไมส่ ามารถผ่านได้ เนือ้ เยื่อชั้นคอรก์ รวมกับเฟลโลเจนและเฟลโลเดิรม์ เรียกรวมวา่ เพอรเิ ดริ ์ม

(Peridrem)

2.1.2 เนือ้ เยื่อพน้ื (Ground tissue) เปน็ เนื้อเยอื่ ทเี่ ป็นองคป์ ระกอบในราก ลำตน้ ใบ ดอก และ
เปน็ ตัวกลางใหเ้ น้ือเย่อื อ่นื ๆ แทรกตัวอยู่ มีหลายประเภท ไดแ้ ก่ .............................................................................
............................................................................................................................. .........................................................

พาเรงคิมา (parenchyma) ลักษณะ..............................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
พบท่ี........................................................................................................................ ......................................................
หน้าทขี่ องพาเรงคิมา

1. สะสมนำ้ และอาหารพวกแป้ง โปรตีน และไขมนั
2. ในลำต้นพชื อ่อน ๆ ทำหนา้ ทีส่ งั เคราะหด์ ้วยแสง
3. ในพชื ตระกลู ถั่วจะอยู่รวมเปน็ กลมุ่ ที่โคนก้านใบทำหน้าที่เกยี่ วกับการหุบใบ กางใบในรอบวัน
4. ในพืช ซี-3 พชื ซี-4 บางชนดิ พาเรงคิมาจะเจรญิ ล้อมรอบมัดท่อลำเลยี ง ถ้าภายในมีคลอโรพลาสต์กจ็ ะ
สังเคราะห์ดว้ ยแสงดว้ ย เรียก คลอเรงคิมา (chlorenchyma)

ชุดกิจกรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องพืชดอก นางพรรทิพา วงศ์จนั ทร์

5. ใบพืชบางชนิดจะเจริญเปล่ียนไปเป็นต่อมสร้างสาร เชน่ สรา้ งน้ำมนั
6. พาเรงคิมาในมัดทอ่ ลำเลยี งจะทำหนา้ ท่ลี ำเลียงอาหาร
7. ในกา้ นใบและเส้นกลางใบของพชื บางชนดิ เชน่ พทุ ธรักษา เปลยี่ นไปเป็น แอเรงคมิ า
(Aerenchyma)

คอลเลงคิมา (collenchyma) ผนงั เซลลห์ นามากตามมุมของเซลล์ ไมส่ ม่ำเสมอเปน็ การเพมิ่ ความยดึ
หยุน่ สารท่ีมาฉาบท่ีผนงั เปน็ สารประกอบพวกเซลลโู ลสและเพคตนิ

สเกลอเรงคมิ า (sclerenchyma) ผนงั เซลล์หนามากสารที่มาฉาบเป็นสารพวกลกิ นนิ (lignin)
เปน็ โครงกระดูกหรือโครงร่างของพชื จำแนกออกเปน็ 2 ชนดิ คือ เสน้ ใย (fiber) และ สเกลอรีด (scleried)

- เซลล์เส้นใย (fiber) ลักษณะ.........................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
พบท่ี........................................................................................................................ ......................................................

- สเกลอรีด (scleried) ลักษณะ............................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................................
พบท.ี่ ....................................................................................................................... ......................................................

........................................... ............................................ .......................................... ............... ...........................

2.2 เน้อื เยื่อถาวรเชงิ ซ้อน ประกอบด้วยกลุม่ เซลล์หลายชนดิ มาทำงานรว่ มกัน ซึ่งเน้ือเยื่อถาวรเชงิ ซอ้ น
แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ เนอ้ื เย่ือที่ทำหนา้ ท่ีลำเลียงนำ้ แรธ่ าตุ เรยี กว่าไซเลม (xylem) และเน้ือเย่ือ
ลำเลียงอาหาร เรยี กวา่ โฟลเอม (phloem)

2.2.1 ไซเลม (xylem) ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุประกอบด้วย vessel tracheid xylem fiber และ
xylem parenchyma

1.เทรคดี (Tracheid) รูปรา่ งยาว หวั ท้ายคอ่ นข้างแหลม ผนังเซลล์หนามีสารพวกลกิ นนิ สะสม
ผนังมีรพู รุนท่ีเรยี กวา่ พิท (pit)

ชดุ กิจกรรม เรอื่ ง โครงสร้างและหน้าทีข่ องพชื ดอก นางพรรทิพา วงศ์จนั ทร์

2.เวสเซล (Vessel) ลกั ษณะ คล้ายท่อยาวๆ ทีป่ ระกอบดว้ ยท่อสน้ั ๆหลายๆทอ่ มาตอ่ กัน ท่อสั้นแต่
ละทอ่ เรยี กว่า vessel member หรือ vessel element ผนังหนาเปน็ สารพวกลกิ นินมาสะสม มชี อ่ งทะลถุ ึง
กนั ซงึ่ มลี กั ษณะเป็นรอยปรุหรอื รูพรนุ ทีเ่ รียกว่า perforation plate

3.ไซเลมไฟเบอร์ (xylem fiber) ผนังหนา รูปร่างยาวเรยี ว หวั ทา้ ยแหลม มลี กั ษณะคล้ายเส้นใย
เปน็ เซลลท์ ีต่ ายแลว้ แต่ยังคงทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงแก่พืชเทา่ น้ัน

4.ไซเลม พาเรงคิมา (xylem parenchyma) เปน็ เซลล์ทีย่ งั มชี ีวติ อยู่เพยี งเซลลเ์ ดียว ในเนื้อเยื่อ
ไซเลม มีผนงั บาง แตเ่ ม่อื แก่แล้วจะมสี ารลิกนนิ มาสะสม ทำให้ผนังหนาขน้ึ ปกติจะเรียงตัวในแนวต้ังแตบ่ างกล่มุ
จะเรียงตัวตามขวาง หรือตามแนวรัศมี ทำหน้าทลี่ ำเลยี งน้ำและเกลือแร่ไปตามดา้ นขา้ ง เรียกว่า ไซเลมเรย์
(xylem ray)

2.2.2 โฟลเอม (phloem) ทำหน้าทลี่ ำเลียงอาหาร จากกระบวนการสังเคราะหแ์ สง ประกอบดว้ ย
sieve tube , companion cell , phloem fiber , ploem parenchyma

1.ซีพทวิ บ์ (sieve tube) มรี ูปร่างยาว ปลายท้งั 2 ดา้ นค่อนข้างแหลม มรี ูเลก็ คลา้ ยตะแกรง
เรียกว่า ซพี เพลท (Sieve plate) บรเิ วณรเู ลก็ ๆ ซีพเอเรีย ซีพทิวบเ์ มมเบอร์หลาย ๆ เซลล์มาเรยี งต่อกนั เปน็
ทอ่ ยาวๆ เรียกวา่ ซพี ทิวบ์ (Sieve tube)

2.เซลลค์ อมพาเนียน (Companion cell) เซลล์มีขนาดเลก็ รูปร่างเรียวยาว ปลายแหลม มี
นวิ เคลยี สขนาดใหญ่ เหน็ ได้ชัดเจน มีกำเนิดจากเซลล์ ตน้ กำเนิดเดียวกบั ซีพทวิ บเ์ มมเบอร์

3.โฟลเอมพาเรงคมิ า (Phloem parenchyma)เหมือนกบั พาเรงคิมาทั่วไป เป็นเซลลท์ ี่มีชวี ิต
ปกตลิ ำเลียงอาหารในแนวด่งิ บางกลุ่มลำเลยี งในแนวรัศมีขวางลำตน้ และราก เรียกวา่ โฟลเอมเรย์

4.โฟลเอมไฟเบอร์ (Phloem fiber)เป็นเซลล์ไมม่ ีชวี ิตชนิดเดียวในเนือ้ เย่อื โฟลเอม ให้ความ
แข็งแรงแก่พชื เทา่ นัน้

ชดุ กจิ กรรม เร่ือง โครงสรา้ งและหน้าทขี่ องพชื ดอก นางพรรทพิ า วงศ์จันทร์

ช่ือ..............................................................................................................ช้ัน....... ....................เลขที่.....................

ใบกิจกรรมท่ี 1 เร่อื ง เน้อื เยื่อพชื

คำชี้แจง ให้นักเรยี นตอบคำถามลงในช่องว่างใหถ้ ูกต้อง หรือขีดเส้นใต้คำตอบทถี่ ูกต้อง

1.พชื ดอก จัดเป็นพืชในกลุ่ม (gymnosperm / angiosperm)

2.พชื ดอก ไดแ้ ก่ (5 ตวั อยา่ ง)........................................................................................................................................

............................................................................................................................. ..........................................................

3.เนื้อเยอ่ื พชื ต่างจากเน้ือเย่ือสตั ว์อย่างไร (อธบิ ายโครงสรา้ งเซลล์)

............................................................................................................................. ..........................................................

...................................................................................................................................................................... ................

4.เนือ้ เย่อื พืช (plant tissue) แบง่ เปน็ 2 ชนดิ คอื เนอื้ เยอ่ื เจริญ(meristematic tissue) และ เนื้อเย่ือถาวร

(permanent tissue) 2 ชนดิ นใี้ ช้เหตุผลใดในการแยก

............................................................................................................................. ..........................................................

5.เนื้อเยอ่ื เจรญิ (meristematic tissue) มลี กั ษณะ...............................................................................................

......................................................................................................................................................แบง่ เปน็ 3 ชนิด

ไดแ้ ก่

1)เน้ือเยือ่ เจรญิ ส่วนปลาย (apical meristem) พบที่.........................................และ......................................

ทำใหเ้ กดิ .................................................................................................................... .............................................

2)เน้อื เยื่อเจรญิ เหนือข้อ (intercalary meristem) พบที่....................................ในพชื กลมุ่ ................................

ทำใหเ้ กดิ .................................................................................................................... ............................................

3)เนื้อเย่ือเจรญิ ด้านข้าง (lateral meristem) เปน็ เนอื้ เยื่อทีม่ ีลกั ษณะ..........................................................

.....................................................................................ทำใหเ้ กิด............................................................................

6.เนอ้ื เยอ่ื ถาวร (permanent tissue) มลี กั ษณะ..............................................................................................

....................................................................................................................................แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ

1) เนือ้ เยื่อเชิงเดี่ยว (simple permanent tissue) เปน็ เน้อื เยือ่ ทม่ี ลี กั ษณะเหมือนกัน มโี ครงสร้างไมซ่ ับซ้อน

ได้แก่ พาเรงคิมา (parenchyma) คอลเลงคมิ า (collenchyma) และ สเกลอเรงคมิ า (sclerenchyma)

parenchyma collenchyma sclerenchyma

ลักษณะ...................................... ลกั ษณะ......................................... ลกั ษณะ............................................

........................................................ ........................................................ .........................................................

พบที่.............................................. พบท.่ี ................................................ พบท.ี่ ................................................

........................................................ ......................................................... .........................................................

วาดรูป วาดรูป วาดรปู

- airenchyma คือ.......................................................................................................................... ......
- chlorenchyma คือ..........................................................................................................................
- sclereid พบที่ส่วนใดของพชื .............................................................................................................

ชุดกิจกรรม เรอ่ื ง โครงสร้างและหนา้ ที่ของพชื ดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ ันทร์

2)เน้ือเย่ือเชิงซ้อน (complext permanent tissue) เป็นเนอ้ื เย่อื ท่มี โี ครงสร้างซบั ซอ้ น มโี ครงสร้าง

มากกว่า 1 ชนดิ ได้แก่ ไซเลม็ (xylem) โฟลเอม (phloem)

epidermis xylem phloem

ลักษณะ....................................... ลกั ษณะ....................................... ลกั ษณะ......................................

....................................................... ........................................................ ..........................................................

มโี ครงสรา้ งอื่นได้แก่ ขนราก เซลล์ ประกอบด้วย ประกอบดว้ ย

คุม 1.เทรคีด (........................) ลกั ษณะ 1.ซีฟทิวบ์

พบท่.ี .......................................... ....................................................... (........................................) ลกั ษณะ

...................................................... 2.เวสเซล (........................) ..............................................

วาดรูป ลักษณะ 2.เซลล์คอมพาเนยี น

....................................................... (..........................................) ลักษณะ

3.ไซเลม็ พาเรงคิมา ........................................................

(..........................) ลักษณะ 3.โฟลเอ็ม พาเรงคมิ า

.............................................. (......................................) ลกั ษณะ

4.ไซเลม็ ไฟเบอร์ ........................................................

(.............................) ลักษณะ 4.โฟลเอ็ม ไฟเบอร์

............................................. (...........................................)

วาดรูป ทง้ั 4 เซลล์ ลกั ษณะ

...........................................................

วาดรูป ทัง้ 4 เซลล์

ชุดกิจกรรม เรื่อง โครงสร้างและหนา้ ท่ีของพชื ดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ ันทร์

ช่ือ..............................................................................................................ชนั้ ....... ....................เลขท่ี.....................

ชุดกจิ กรรมที่ 2 การเขยี นแผนผงั สรปุ เนอ้ื เย่ือพืช
คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนออกแบบแผนผงั สรุปเน้ือเยอื่ พชื ให้ถูกตอ้ งตามประเภทของเน้ือเย่ือพชื

ชดุ กิจกรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องพืชดอก นางพรรทิพา วงศ์จันทร์

ชดุ กิจกรรมที่ 2 เรือ่ ง โครงสร้างและหนา้ ท่ีของราก

ผลการเรยี นรู้
สงั เกต อธิบายและเปรียบเทียบโครงสรา้ งภายในของรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและรากพืชใบเล้ียงคจู่ ากการตดั

ตามขวาง
จุดประสงค์การเรียนรู้

1.สังเกต โครงสร้างภายในของรากพชื ใบเล้ยี งเดี่ยวและรากพืชใบเลี้ยงคูจ่ ากการตัดตามขวาง
2.อธิบายโครงสร้างภายในของรากพชื ใบเลี้ยงเดี่ยวและรากพชื ใบเล้ียงคจู่ ากการตัดตามขวาง
3.เปรยี บเทียบโครงสรา้ งภายในของรากพืชใบเลีย้ งเดยี่ วและรากพืชใบเลย้ี งค่จู ากการตัดตามขวาง
คำชี้แจงสำหรบั นกั เรยี น
1.นกั เรยี นศกึ ษาชดุ กิจกรรม เร่ือง โครงสรา้ งและหน้าที่ของราก และทำกจิ กรรมท่ีระบใุ นชดุ กจิ กรรม

ราก (root)

ราก เป็นอวยั วะของพืชทีป่ กติอยใู่ ตผ้ ิวดิน ทำหนา้ ท่ดี ดู ซึมนำ้ และแรธ่ าตุ รวมทัง้ สารอาหารต่างๆในดนิ
เข้าสู่พชื และช่วยคำ้ จนุ หรือยึดสว่ นของพืชท่ีอยู่เหนือดนิ ให้คงตวั อยู่ได้

1.โครงสร้างและการเจริญเติบโตของราก รากเป็นอวยั วะที่งอกออกจากเมล็ด (................................
...............................................................................................................................................................................)
เม่ือรากงออกออกมาจากเมลด็ แล้ว จะมีการเจรญิ เติบโตโดยมขี นาด ความยาวและจำนวนทเี่ พ่มิ ข้ึน

ชุดกิจกรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหน้าทข่ี องพืชดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ ันทร์

โครงสร้างบริเวณปลายราก

1.บริเวณหมวกราก(Root cap) สว่ นปลายสุดของรากประกอบด้วยเซลล์พาเรงคมิ า(Parenchyma) เรียง
ตัวกนั อย่างหลวมๆ ผนงั ค่อนขา้ งบาง มีแวควิ โอลนาดใหญ่ สามารถผลิตเมือกได้ ทำใหห้ มวกรากชุ่มช้ืน และออ่ นตัว
สะดวกต่อการชอนไช และสามารถป้องกันอันตรายให้กับบรเิ วณที่อยู่เหนือขน้ึ ไปได้

2.บริเวณเซลล์กำลังแบ่งตวั (Region of cell division) อยู่ถดั จากรากขึน้ มาประมาณ 1-2 mm เป็น
บรเิ วณของเน้ือเย่ือเจริญ จงึ มีการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสี เพื่อเพิ่มจำนวน โดยส่วนหนึ่งเจริญเปน็ หมวกราก อกี ส่วน
เจริญเปน็ เนือ้ เย่ือ ท่อี ย่สู งู ถดั ข้ึนไป

3.บรเิ วณเซลล์ขยายตัวตามยาว (Region of cell elongation) อย่ถู ัดจากบรเิ วณเซลลม์ กี ารแบง่ ตวั เป็น
บรเิ วณท่ีเซลลม์ ีการยืดยาวข้นึ

4. บริเวณเซลล์เปลยี่ นแปลงไปทำหนา้ ท่เี ฉพาะ (Region of cell differentiation and
maturation) ประกอบดว้ ยเซลล์ถาวรต่างๆ ซึง่ ที่มีการเปล่ียนแปลงมาจากเน้ือเยื่อเจริญมโี ครงสรา้ งเพ่ือทำหน้าท่ี
ตา่ งๆ บรเิ วณนจ้ี ะมเี ซลล์ขนราก (Root hair cell)

โครงสร้างภายในของรากพืชตดั ตามขวาง
โครงสรา้ งของรากพืชตัดตามขวาง ในการเจรญิ เติบโตขั้นแรก (Primary Growth) ประกอบด้วย

ชุดกิจกรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหน้าท่ีของพืชดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ นั ทร์

1. Epidermis เรียงตัวอยู่ช้ันนอกสดุ ลักษณะเซลลไ์ ม่มีคลอโรพลาสต์ ผนงั เซลล์บาง ไม่มีช่องว่างระหวา่ ง
เซลล์ บางสว่ นเจรญิ เปลี่ยนไปเป็นขนราก

2. Cortex อยู่ระหวา่ งชั้น Epidermis และมดั ท่อลำเลยี ง ส่วนใหญ่เป็นเซลล์ Parenchyma ดา้ นในสดุ มี
เซลล์เรยี งตวั เป็นแถว เรยี กวา่ Endodermis โดยมบี างสว่ นถกู เคลือบด้วยสารซูเบอรนิ เรียกวา่ Casparian strip

3. Stele อยู่ถดั จาก Endodermis ประกอบดว้ ย Pericycle (สามารถเปลย่ี นเป็นเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ เพ่ือแบ่ง
เซลล์ให้เกิดรากแขนง) Vascular bundle หรือ มัดท่อลำเลียง ประกอบดว้ ย Xylem และ Phloem (ดงั
รายละเอยี ดในเร่อื งเนื้อเย่ือพืช)

- Vascular bundle ของพืชใบเล้ียงคู่ Xylem ขนาดใหญ่เรยี งตัวเปน็ แฉก ประมาณ 1-6 แฉก
และ Phloem ขนาดเลก็ แทรกระหวา่ งแฉก

- Vascular bundle ของพืชใบเลี้ยงเดยี่ ว Xylem ขนาดใหญเ่ รียงตัวเปน็ แฉก ประมาณ 4-5 แฉก
และ Phloem ขนาดเลก็ แทรกระหว่างแฉก

สว่ นสดุ ทา้ ยของ Stele เรยี กวา่ Pith เป็นเน้ือเยอื่ Parenchyma ส่วนกลางสุดของรากพชื โดยในรากพืช
ใบเลยี้ งคู่ Pith จะถกู แทนท่ีด้วย Xylem เมอ่ื มีการเจริญเติบโตขน้ั ทส่ี อง

รากพชื ใบเลีย้ งคู่ยังมี วาสควิ ลาร์ แคมเบียม (Vascular cambium) หรอื แคมเบียม (Cambium) ซง่ึ เปน็
เนือ้ เย่อื เจริญเกิดข้ึนระหวา่ ง โฟลเอ็มขั้นแรกและไซเลม ขนั้ แรก รายละเอยี ดของเน้ือเยื่อลำเลยี งกลา่ วไวแ้ ล้วใน
หัวข้อเนอื้ เยื่อถาวรเชงิ ซ้อน

วาสควิ ลาร์ แคมเบียม ทำให้เกิดการเจริญเติบโตข้ันที่สอง (Secondary growth) โดยแบง่ ตวั ใหไ้ ซเลมขั้นท่ี
สอง (Secondary xylem) อยู่ทางดา้ นในและโฟลเอ็ม ขั้นท่ีสอง (Secondary phloem) อย่ทู างด้านนอก เมื่อมกี าร
เจริญเติบโตข้นั ท่ีสองเพ่ิมขึ้นเร่อื ย ๆ ทำใหโ้ ฟลเอ็มขั้นแรก คอร์เทกซแ์ ละเอพิเดอรม์ สิ ถูกดนั ออกและถอยร่นออกไป

กิจกรรมท่ี 2.1 โครงสร้างภายในของราก
ให้นกั เรยี นวาดรูปพร้อมเลเบลโครงสร้างภายในของรากพชื ใบเลยี้ งเดยี่ วและพชื ใบเล้ยี งคู่ พร้อมบอกความแตกตา่ ง

............................................................................................. ............................. ......................................................
............................................................................................ ..................................................................................
........................................................................................... .................................................................................

ชดุ กจิ กรรม เรือ่ ง โครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของพชื ดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ นั ทร์

การเจรญิ เตบิ โตขั้นท่ี 2 หรือ การเจรญิ ทตุ ยิ ภมู ขิ องรากพืชใบเล้ยี งคู่
เป็นการเจรญิ เตบิ โตท่ที ำใหร้ ากมีขนาดใหญ่ขึน้ เน่ืองจากมีการสร้างเนือ้ เยื่อถาวรเพม่ิ เตมิ จากการแบ่งเซลล์

ของเนอื้ เย่ือเจริญดา้ นขา้ ง คือ วาสคิวลารแ์ คมเบียม (Vascular cambium) กับ คอร์กแคมเบยี ม (Cork
cambium) โดยวาสควิ ลาร์แคมเบยี มเป็นเน้ือเย่ือทีแ่ ปล่ยี นสภาพมาเปน็ เจริญที่อยรู่ ะหว่าง เน้อื เยอื่ ไซเลม็ ข้นั ปฐม
ภูมิ และ โฟลเอ็มขั้นปฐมภมู ิ เม่อื วาสควิ ลาร์แคมเบยี มแบง่ เซลลเ์ พมิ่ จำนวน จะแบ่งเซลลอ์ อกสองทศิ ทาง คือ
แบง่ เข้าดา้ นใน และแบ่งออกด้านนอก การแบง่ เข้าดา้ นในเพ่ือ สร้างเนื้อเยื่อไซเลม็ แบ่งออกด้านนอกเพื่อสรา้ ง
เน้ือเยอ่ื โฟลเอม็ ทำให้เกิดกลุ่มของเนือ้ เยื่อลำเลยี งเพมิ่ ขนึ้ โดยเนือ้ เย่ือลำเลยี งที่เจรญิ เปล่ยี นแปลงมาจากวาคิวลาร์
แคมเบยี ม หรือเกิดการเจริญในขน้ั ทุติยภมู ิ เรียกวา่ โฟลเอ็มทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary phloem) และ ไซเลม็ ทตุ ิยภูมิ
(Secondary xylem) ดังน้ันเซลลท์ อ่ี ยู่ห่างจากวาสคิวลาร์แคมเบยี มมากกวา่ จะเป็นเซลล์ที่มีอายุมากกว่า เซลลท์ ี่อยู่
ใกล้วาสควิ ลาร์แคมเบียม (Vascular cambium)

สว่ นเนอื้ เยื่อคอร์กของรากเกดิ จาก เน้อื เยื่อบรเิ วณเพอริไซเคิล (Pericycle) เปล่ยี นสภาพมาเปน็ คอร์ก
แคมเบียม (Cork cambium) แล้ว มกี ารแบง่ เซลล์ออกไปสองทิศทาง คอื แบง่ เข้าดา้ นในสร้างเน้อื เยื่อพาเรงคิมา
เรยี กชน้ั นว้ี า่ เฟลโลเดริ ม์ (Phelloderm) แบ่งออกด้านนอกสร้างเนื้อเย่ือคอรก์ ทดแทนเนอื้ เยื่อผวิ เดมิ คือเอพเิ ดอร์มสิ
เรียกชั้นทมี่ ีเน้อื เย่อื คอร์กน้ีวา่ เฟลเลม (Phellem) สว่ นชน้ั ของเนอื้ เยอื่ คอร์กแคมเบียม (Cork cambium) เรยี กช้ัน
นว้ี ่า เฟลโลเจน(Phellogen) เรียกเนอ้ื เย่ือ ในชั้น เฟลโลเดริ ์ม (Phelloderm) เฟลเลม (Phellem) และ เฟลโลเจน
(Phellogen) วา่ เพริเดริ ์ม (Periderm)

........................................................

3. หน้าท่ีของราก
รากมีหน้าท่หี ลกั ท่ีสำคัญ คือ
3.1 ดูด (Absorption) น้ำและแรธ่ าตุทีล่ ะลายน้ำจากดินเขา้ ไปในลำตน้
3.2 ลำเลียง (Conduction) นำ้ และแรธ่ าตุรวมท้ังอาหารซึง่ พชื สะสมไว้ในรากข้ึนส่สู ่วน

ตา่ ง ๆ ของลำต้น
3.3 ยึด (Anchorage) ลำตน้ ใหต้ ิดกับพ้ืนดิน
3.4 แหลง่ สรา้ งฮอร์โมน (Producing hormones) รากเปน็ แหลง่ สำคัญในการผลติ ฮอรโ์ มนพชื หลายชนิด

เชน่ ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลนิ ซ่ึงจะถูกลำเลยี งไปใช้เพอ่ื การเจริญพฒั นาส่วนของลำตน้ สว่ นยอด และส่วนอื่น ๆ
ของพืช นอกจากน้ยี ังมรี ากของพชื อีกหลายชนดิ ที่ทำหนา้ ท่ีพิเศษ
ชนิดของราก

รากพิเศษ (Adventitious root) เปน็ รากท่ีงอกจากสว่ นต่าง ๆ ของพชื เชน่ ลำต้นหรอื ใบ อาจจำแนกตาม
รปู ร่างและหนา้ ท่ีได้เป็น 8 ประเภท

1.รากฝอย (Fibrous root) เปน็ รากท่ีงอกออกจากโคนลำต้น เพื่อแทนรากแก้วทฝ่ี ่อไป พบมากในพชื ใบ
เล้ียงเดี่ยวเชน่ รากขา้ ว ข้าวโพด หญา้ หมาก มะพรา้ ว เป็นต้น

ชดุ กจิ กรรม เรือ่ ง โครงสร้างและหน้าทข่ี องพืชดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ นั ทร์

2.รากเกาะ (Climbing root) เปน็ รากท่ีแตกออกจากข้อของลำตน้ มาเกาะตามหลกั เพอ่ื ชลู ำต้นขน้ึ สงู
เช่น รากพลู พรกิ ไทย กล้วยไม้ พลูด่าง เปน็ ตน้

3.รากหายใจ (Pneumatophore หรือ Aerating root) เปน็ รากท่ยี น่ื ขนึ้ มาจากดินหรือน้ำเพ่ือรบั
ออกซเิ จน เชน่ รากลำพู แสม โกงกาง และรากส่วนท่อี ยู่ในนวมคลา้ ยฟองนำ้ ของผักกระเฉดก็เปน็ รากหายใจโดยนวม
จะเปน็ ท่ีเก็บอากาศและเป็นทุ่นลอยน้ำดว้ ย

4.รากปรสติ (Parasitic root) เปน็ รากของพืชพวกปรสิตท่สี ร้าง Haustoria แทงเข้าไปในลำตน้ ของฃเปน็
โฮสต์ เพ่อื แย่งน้ำและอาหารจากโฮสต์ เชน่ รากกาฝาก ฝอยทอง

5.รากสงั เคราะห์ด้วยแสง (Photosynthetic root) เป็นรากที่แตกจากข้อของลำต้นหรอื กง่ิ และอย่ใู น
อากาศจะมีสเี ขยี วของคลอโรฟิลลจ์ งึ ชว่ ยสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ เช่น รากกลว้ ยไม้ นอกจากน้ีรากกลว้ ยไม้ยังมี
นวม หมุ้ ตามขอบนอกของรากไวเ้ พื่อดดู ความชื้นและเก็บน้ำ

6.รากสะสมอาหาร ( storage root ) ทำหน้าท่ีสะสมอาหารพวกแป้งไขมนั และโปรตนี เช่น มัน
7.รากหนาม (Thorn Root) เปน็ รากทม่ี ีลักษณะเปน็ หนามงอกมาจากบริเวณโคนต้น ตอนงอกใหม่ ๆ เปน็
รากปกติแต่ต่อมาเกิดเปลอื กแขง็ ทำให้มลี ักษณะคล้ายหนามแขง็ ชว่ ยปอ้ งกนั โคนต้นได้ ปกตพิ บในพืชทเ่ี จริญในที่นำ้
ท่วมถึง เชน่ โกงกาง สว่ นในปาล์มบางชนดิ จะปรากฏรากหนามกรณีที่มีรากลอยหรือรากคำ้ จุน
8.รากคำ้ จุน (Prop root หรือ Buttress root) เปน็ รากท่งี อกจากโคนต้นหรอื กง่ิ บนดินแลว้ หย่งั ลงดิน
เพ่ือพยุงลำตน้ เชน่ รากข้าวโพดทงี่ อกออกจากโคนต้น รากเตย ลำเจียกไทรย้อย แสม โกงกาง

คลปิ วดิ โี อการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ

โครงสร้างและการเจรญิ เติบโตของราก ตอน 1 โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของราก ตอน 1

ชุดกจิ กรรม เรือ่ ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพืชดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ ันทร์

กจิ กรรมท่ี 2.2 ชนดิ ของราก

คำชี้แจง ให้นกั เรยี นเปรียบเทียบชนิดของราก

รปู ภาพ ชนดิ ของราก หนา้ ที่ ตัวอย่าง

1. ......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

2. ......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

3. ......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

4. ......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

5. ......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

6. ......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

......................................... ......................................... .........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

........................................ ........................................ ........................................

ชุดกจิ กรรม เรื่อง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก นางพรรทิพา วงศ์จนั ทร์

กิจกรรมที่ 2.3 ศึกษาโครงสร้างภายนอกและโครงสรา้ งภายในของราก
คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นศกึ ษาโครงสรา้ งภายนอกและศึกษาโครงสร้างภายในของรากพืชใบเลี้ยงเดยี่ ว

และรากพืชใบเลีย้ งคู่
1.พชื .....................................................ชือ่ วทิ ยาศาสตร์............................................................................................
ชื่อวงศ.์ ..................................................ชือ่ พืน้ เมือง..................................................................................................
ชนิดของพืช...........................................ระบบราก.....................................ลกั ษณะวิสยั ...........................................

2.พชื .....................................................ชือ่ วทิ ยาศาสตร.์ ...........................................................................................
ชื่อวงศ์...................................................ชื่อพ้นื เมอื ง..................................................................................................
ชนดิ ของพชื ...........................................ระบบราก.....................................ลักษณะวิสยั ...........................................

ชดุ กิจกรรม เรอ่ื ง โครงสร้างและหนา้ ทขี่ องพืชดอก นางพรรทพิ า วงศ์จนั ทร์

ชดุ กจิ กรรมที่ 3 เร่อื ง โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของลำตน้

ผลการเรยี นรู้
สงั เกต อธิบายและเปรียบเทียบโครงสรา้ งภายในของลำต้นพืชใบเลย้ี งเดย่ี วและลำตน้ พชื ใบเลย้ี งค่จู ากการ

ตดั ตามขวาง
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1.สงั เกต โครงสร้างภายในของลำต้นพืชใบเลยี้ งเดยี่ วและลำตน้ พืชใบเลยี้ งค่จู ากการตัดตามขวาง
2.อธบิ ายโครงสรา้ งภายในของลำตน้ พชื ใบเลยี้ งเดย่ี วและลำต้นพชื ใบเลย้ี งคู่จากการตัดตามขวาง
3.เปรียบเทียบโครงสรา้ งภายในของลำต้นพชื ใบเล้ียงเดี่ยวและลำตน้ พืชใบเล้ียงคู่จากการตัดตามขวาง
คำชี้แจงสำหรับนักเรียน
1.นกั เรยี นศึกษาชุดกิจกรรม เรอื่ ง โครงสร้างและหน้าที่ของลำตน้ และทำกจิ กรรมท่ีระบใุ นชดุ กจิ กรรม

ลำตน้ (stem)

ลำตน้ (Stem) เปน็ อวยั วะของพชื ท่สี ว่ นใหญ่จะเจรญิ ขนึ้ เหนือดนิ เจริญมาจากส่วนที่เรยี กว่า Hypocotyl
ของเมล็ด ประกอบด้วยส่วนสำคญั 2 ส่วนคอื ข้อ (Node) ส่วนใหญม่ ักมีตา (Bud) ซง่ึ จะเจรญิ ไปเปน็ ก่ิง ใบ หรือ
ดอก ต่อไป และ ปล้อง (Internode) ซึง่ อยูร่ ะหว่างข้อ

โดยในพืชใบเลย้ี งเดย่ี วจะเห็นข้อและปล้องชดั เจน แต่ในพืชใบเลยี้ งคู่ เห็นข้อและปลอ้ งชัดเจนในขณะทีเ่ ปน็
ตน้ ออ่ นหรือกิง่ อ่อน แต่เม่ือเจรญิ เติบโตและมี Cork มาห้มุ ทำใหเ้ หน็ ข้อและปล้องไม่ชัดเจน

โครงสรา้ งของลำตน้ จากปลายยอด แบง่ เปน็ 4 ส่วน
1. เนอื้ เยอ่ื เจริญปลายยอด (Apical meristem) : อยบู่ ริเวณส่วนปลายของลำต้น ประกอบดว้ ยกลุม่

เซลล์ทม่ี กี ารแบ่งเซลลต์ ลอดเวลา และจะเจริญไปเปน็ ลำต้น ใบ และตาตามซอก
2. ใบเรม่ิ เกดิ (Leaf primordium) : อย่ตู รงด้านข้างของปลายยอดทเี่ ป็นขอบของความโค้ง และจะ

เจริญพฒั นาเป็นใบอ่อน
3. ใบอ่อน (Young leaf) : เซลล์ของใบยังมีการแบ่งเซลลอ์ ยูแ่ ละเจรญิ เตบิ โตเปลยี่ นแปลงต่อไป เพื่อ

เพิ่มความหนาและขนาดของใบจนเป็นใบทเี่ จริญเต็มท่ี ตรงซอกของใบอ่อนพบตาซอกเริ่มเกดิ
4. ลำตน้ ออ่ น (Young stem) : อยถู่ ัดจากตำแหน่งใบเรม่ิ เกดิ ลงมา เร่มิ มกี ารพัฒนามากข้ึน

ชุดกจิ กรรม เรื่อง โครงสร้างและหนา้ ทข่ี องพืชดอก นางพรรทิพา วงศจ์ นั ทร์

โครงสรา้ งตามภาคตัดขวางของลำต้นที่เจริญระยะปฐมภูมิ

1. เอพเิ ดอรม์ สิ (Epidermis) อยชู่ ั้นนอกสดุ ปกตเิ รยี งเป็นแถวเดียวและอาจเปล่ียนเป็นขนหนามหรือ
เปน็ เซลล์คมุ (Guardceel)ผิวด้านนอกของเอพิเดอร์มิสจะมีสารควิ ทินเคลือบอยู่ ไมม่ ีคลอโรพลาสต์

2. คอร์เทกซ์ (Cortex) มอี าณาเขตแคบกว่าในราก สว่ นใหญ่เปน็ เนื้อเยื่อพาเรงคมิ า เซลลช์ ้ันนอกทีต่ ดิ
กบั เอพิเดอรม์ สิ 2-3แถว เปน็ พวกคอลเลงคิมาและมเี น้ือเยอื่ สเกลอเรงคมิ าแทรกอยู่ทั่วๆไปในลำต้นทยี่ ัง อ่อน
เซลลพ์ าเรงคิมาในชน้ั น้ีท่ใี กล้ๆเอพิเดอร์มสิ จะมีคลอโรพลาสต์ ลำต้นจะมกี ารแตกก่งิ จากชนั้ น้เี อนโดเดอร์มสิ อย่ถู ัด
จากช้ันในสดุ ของ คอรเ์ ทกซ์เข้าไปแตใ่ นลำตน้ พืชส่วนใหญเ่ หน็ ไม่ชัดเจนหรอื ไม่มีซ่ึงต่างจากใน รากทเี่ หน็ ได้ชดั เจน

3.สตีล (Stele) ในลำตน้ ชั้นของสตีลจะกวา้ งกวา่ ในรากและแบง่ แยกจากชน้ั ของคอรเ์ ทกซ์ไดไ้ ม่ชัดเจน
ซ่งึ จะแตกตา่ งจากในราก ประกอบดว้ ยช้ันตา่ งๆดังน้ี

3.1 ทอ่ ลำเลียง(Vascularbundle)โดยท่ัวๆไปประกอบด้วยไซเลมอยดู่ ้านในและโฟลเอมอยดู่ า้ น
นอกเรียงตวั อยู่ในแนวรัศมีเดียวกันโดยมีวาสคิวลารแ์ คมเบียมค่ันระหว่างกลาง

3.2 พธิ (Pith) อยูช่ ั้นในสุดเปน็ ไส้ในของลำต้นประกอบด้วยเนือ้ เย่ือพวกพาเรงคิมาทำหน้าท่ีสะสม
แป้งหรอื สารตา่ งๆลำตน้ พชื ใบเล้ียงเดย่ี วส่วนใหญ่มีการเจริญเติบโตข้นั ต้น(Primary growth) มีชนั้ เนื้อเย่ือตา่ งๆ
เช่นเดียวกับในพชื ใบเลย้ี งคู่แต่ ต่างกันตรงท่ีมัดท่อลำเลียงในพชื ใบเล้ยี งเดี่ยวจะมีบนั เดิลชีท(Bundlesheath) ซง่ึ
อาจเปน็ เน้ือเย่ือพาเรงคมิ าท่ีมีแป้งสะสมอยู่หรอื อาจ เปน็ เนื้อเย่อื สเกลอเรงคิมามาล้อมรอบและมัดท่อลำเลยี งเหล่านี้
จะกระจายอยู่ ทวั่ ไปในชัน้ คอรเ์ ทกซ์โดยไม่มีวาสคิวลาร์แคมเบียมคัน่ ระหว่างไซเลมและโฟลเอ็มสว่ นของพธิ จะสลาย
ไปกลายเปน็ ช่องกลวงอยู่ใจกลางลำตน้ เรียกชอ่ ง พิธ (Pith cavity) เชน่ ในลำต้นของหญ้าไผ่ นอกจากนีพ้ ชื ใบเล้ียง
เดย่ี วบางชนดิ มเี น้ือเย่ือเจรญิ แคมเบียม เชน่ จันทร์ผา หมากผหู้ มากเมยี จะมีมัดท่อลำเลียงคลา้ ยในพชื ใบเลย้ งคู่
และสามารถเกดิ เน้ือเยอื่ ช้นั คอรก์ ขึน้ ได้เม่ือลำต้นมอี ายุมากข้นึ

ชดุ กิจกรรม เร่ือง โครงสร้างและหนา้ ที่ของพชื ดอก นางพรรทิพา วงศจ์ ันทร์

ตารางแสดงขอ้ แตกต่างระหว่างลำต้นพชื ใบเล้ียงเด่ยี วและลำตน้ พชื ใบเล้ียงคู่

ลำตน้ พืชใบเลีย้ งเด่ียว (Momocotyledon stem) ลำตน้ พชื ใบเลี้ยงคู่ (Dicotyledon stem)

1.กลมุ่ ท่อลำเลียง(vascular bundle)จะกระจายท่ัวไป 1.กลมุ่ ท่อลำเลียง(vascular bundle)จะเรยี งเป็น

ในเนื้อเยื่อพนื้ ระเบียบในแนวรัศมี

2.ส่วนใหญไ่ ม่พบเน้ือเยื่อเจริญ vascular cambium 2.มเี น้ือเย่ือเจริญ vascular cambiumnits ระหวา่ ง

ยกเว้นหมากผู้หมากเมีย และพชื วงศป์ าล์ม phloem และ xylem จงึ มี secondary growth

3.เนอ้ื เย่ือพธิ (pith)จะพบกลุ่มทอ่ ลำเลยี งกระจายอยู่ 3.เห็นขอบเขตของเนือ้ เยื่อ pith อยา่ งชดั เจน

เตม็ ทำให้ไมม่ ีขอบเขตของ pith

4.ส่วนใหญ่จะไม่มกี ารเจรญิ เติบโตทตุ ยิ ภมู ิ บริเวณ 4.พิธจะถูกแทนทดี่ ว้ ย xylem เมอื่ มีการเจริญทุติยภมู ิ

pith และเนื้อเย่ืออ่ืนๆ อาจสลายกลายเปน็ ชอ่ งกลางลำ

ตน้ เรียกวา่ ชอ่ งพิธ (pith cavity)

การเจริญขน้ั ที่สอง (secondary growth) ของลำต้น
การเจริญขนั้ ทสี่ องของลำตน้ เกดิ จากการแบง่ เซลลอ์ อกทางด้านข้างของวาสคิวลารแ์ คมเบยี ม (Vascular

cambium) ซ่งึ พบข้ันระหว่างเนือ้ เย่อื ลำเลียงน้ำและแรธ่ าตุ (Xylem) และ เนอื้ เย่ือลำเลียงอาหาร (Phloem) การ
แบง่ เซลล์ของวาสคิวลารแ์ คมเบียมจะแบง่ ได้ 2 ทิศทาง คือแบ่งเขา้ ดา้ นในและแบ่งออกด้านนอกการแบง่ เข้าดา้ นใน
ของวาสคิวลาร์แคมเบยี มจะเกิดไดเ้ รว็ กว่าแบ่งออกด้านนอก และเจรญิ เปน็ เน้ือเย่ือลำเลยี งน้ำและแร่ธาตุ เรยี ก
เนื้อเย่อื ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุท่เี กิดจากวาสคิวลารแ์ คมเบยี มวา่ เน้อื เย่ือลำเลยี งนำ้ และแรธ่ าตุขั้นทีส่ อง (Secondary
Xylem) การแบง่ ออกทางดา้ นนอกเจริญชา้ กวา่ เข้าด้านในและเจริญไปเป็นเน้ือเยื่อลำเลียงอาหารเรียกเนื้อเย่ือ
ลำเลยี งอาหารทเี่ ปล่ียนแปลงมาจากวาสควิ ลาร์แคมเบียมว่า เน้อื เยือ่ ลำเลียงอาหารขั้นที่สอง (Secondary
phloem)

การแบง่ เซลลเ์ พ่มิ จำนวนของวาสควิ ลารแ์ คมเบียมเพ่ือเจริญไปเป็นเนื้อเยือ่ ลำเลยี งนั้นทำให้เซลล์ทเ่ี กิดมาใหม่
ดนั ใหโ้ ฟลเอม็ ขนั้ แรก รวมถึงเนือ้ เยอื่ ในช้นั คอรเ์ ท็กซ์ (Cortex) ถูกเบยี ดใหต้ ายและสลายไปเรื่อยๆ จนกระท่งั
เหลอื เนอ้ื เย่ือพาเรงคิมา (Parenchyma tissue) ประมาณ 1-2 แถว เน้ือเยื่อพาเรงคมิ าเหล่านจี้ ะเปล่ียนกลายเป็น
เนื้อเย่ือเจริญชนิด คอร์กแคมเบยี ม (Cork cambium) ซง่ึ คอร์แคมเบียมจะแบง่ เซลล์เพ่มิ จำนวนเพิ่มขึ้นการแบง่
เซลลข์ องคอร์กแคมเบียมแบ่งได้สองทิศทางคือ แบ่งเข้าด้านใน และแบง่ ออกทางดา้ นนอก การแบง่ เข้าดา้ นใน ของ

ชุดกิจกรรม เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องพืชดอก นางพรรทิพา วงศ์จันทร์

คอรก์ แคมเบยี มจะสร้างเนอื่ เยือ่ พาเรงคมิ มา แบง่ ออกด้านนอกมากการแบง่ ตวั ออกทางด้านนอกแบ่งตวั เพื่อสร้าง
เน้ือเยือ่ คอร์ก การเพมิ่ จำนวนของเน้ือเยื่อคอรก์ ทำให้เนอ้ื เยอื่ เอพเิ ดอร์มิส ถูกเบยี ดให้ตายและ สลายไปทำใหเ้ ปลอื ก
ภายนอกของลำต้นทมี่ ีการเจริญเตบิ โตข้นั ที่สองเป็นเพอรเิ ดิร์ม ซง่ึ ประกอบดว้ ยชัน้ เฟลเลม (ช้ันคอร์ก) , เฟลโลเจน
(ชัน้ คอร์กแคมเบียม) และเฟลโลเดิร์ม (ชน้ั พาเรงคมิ า)

ใน 1 ปี วาสคิวลารแ์ คมเบยี มจะมีการแบ่งเซลล์เพ่ิมข้นึ ตามจำนวนมากน้อยต่างกนั ในแตล่ ะฤดู ซึ่งขน้ึ จะ
ขึ้นอย่กู ับปริมาณน้ำและอาหาร เซลลช์ นั้ ไซเลมที่สร้างขน้ึ ในฤดูฝนจะเจรญิ เรว็ มขี นาดใหญท่ ำให้ไซเลมกว้างและมักมี
สจี าง ส่วนในฤดแู ลง้ จะไดเ้ ซลล์ขนาดเล็กมีสีเข้ม ลักษณะดังกลา่ วทำให้เน้ือไม้มีสีจางและสเี ขม้ สลับกันมองเหน็ เป็นวง
เรยี กวา่ วงปี (annual ring)

แก่นไม้ (heart wood) เปน็ ไซเล็มขั้นตน้ และไซเลม็ ขั้นทีส่ อง ท่ีอยดู่ ้านในสุดของลำตน้ ทมี่ อี ายมุ ากแลว้ อุดตัน
กระพ้ไี ม้ (sapwood) คือ ไซเลม็ ทีอ่ ยรู่ อบนอกซึ่งมีสีจางกว่าช้นั ในทำหนา้ ทล่ี ำเลยี งน้ำ
เนอ้ื ไม้ (wood) คอื เนื้อเยอ่ื ไซเลมท้ังหมด (กระพ้ีไม้+ แก่นไม)้
เปลอื กไม้ (bark) คือ ส่วนที่อย่ถู ดั จากวาสคิวลารแ์ คมเบียม ออกมา ประกอบด้วย โฟลเอม็ ข้นั ที่ 2 ทำหนา้ ที่
ลำเลยี งอาหาร ,คอร์กแคมเบียม, คอร์ก
หนา้ ท่ีหลกั ของลำตน้ คือ

1.นำน้ำ แรธ่ าตุ และอาหารสง่ ผ่านไปยงั ส่วนต่างๆ ของลำต้น
2.ช่วยพยงุ กง่ิ ก้านสาขา ชูใบให้กางออกรบั แสงแดดใหม้ ากทสี่ ดุ

ชุดกิจกรรม เรือ่ ง โครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องพืชดอก นางพรรทพิ า วงศ์จนั ทร์

หน้าทพ่ี ิเศษของลำตน้ คือ
1.สะสมอาหาร โดยลำตน้ สะสมอาหารแบง่ เปน็ 4 ชนิด คอื
- แง่ง หรอื เหงา้ (Rhizome) เชน่ ขงิ ขม้ิน ว่าน กล้วย เป็นต้น
- หวั เทยี ม(Tuber) เช่น มันฝรง่ั หญา้ แห้วหมู เป็นต้น
- หวั แท้ (Corm) เปน็ ลำตน้ ต้งั ตรง มีข้อปลอ้ งชัดเจน เช่น เผอื ก เป็นตน้
- หวั กลีบ (Buld) ลำตน้ ตงั้ ตรง มใี บเกล็ดซอ้ นกนั หลายชน้ั สะสมอาหารในใบเกลด็ เช่น หวั หอม

กระเทียม เปน็ ตน้
2.สงั เคราะห์ด้วยแสง เปน็ ลำตน้ ท่ีมีคลอโรพลาสต์ เชน่ กระบองเพชร พยาไรใ้ บ
3.ใช้ในการขยายพนั ธ์ุ เชน่ การตอนก่ิง การปักชำ และไหล (Runner/ Stolon) ซง่ึ พบใน บวั บก สตรอ

เบอร่ี เป็นตน้
4.ชว่ ยในการคายน้ำ โดยสว่ นของลำต้นทเ่ี ป็นชอ่ งเปิด เรยี กว่า Lenticel
5.ลำตน้ เปล่ยี นแปลงไปทำหนา้ ท่พี เิ ศษ เชน่
- มือเกาะ(Tendril) เพื่อพยุงลำต้นและชูใบ เชน่ ตำลึง อง่นุ เปน็ ตน้
- ลำตน้ ทอดไปตามผิวดนิ หรือเหนือน้ำ (Climbing) เชน่ ผักบุ้ง ผักกระเฉด เปน็ ต้น
- ลำต้นเลอ้ื ยพนั หลกั (Twining) เชน่ เถาวัลย์ อญั ชนั เปน็ ตน้
- ลำตน้ เปลย่ี นเปน็ หนาม(Thorn) เป็นต้น เช่น เฟอ่ื งฟ้า มะกรดู เป็นต้น

…………………………………………… …………………………………………… ……………………………………………
…………………………………………… …………………………………………… ……………………………………………
…………………………………………… …………………………………………… ……………………………………………

ชดุ กิจกรรม เร่ือง โครงสร้างและหน้าท่ีของพืชดอก นางพรรทิพา วงศจ์ นั ทร์

ช่ือ..............................................................................................ช้นั ..................เลขที่........................

กิจกรรมท่ี 3.1 ศึกษาโครงสร้างภายนอกและโครงสร้างภายในของลำตน้
คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนศึกษาโครงสรา้ งภายนอกและศึกษาโครงสร้างภายในของลำตน้ พชื ใบเลย้ี งเด่ยี ว

และลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่
1.พืช.....................................................ช่ือวิทยาศาสตร.์ ...........................................................................................
ชือ่ วงศ์...................................................ชอ่ื พืน้ เมือง..................................................................................................
ชนดิ ของพืช...........................................ลำต้น.....................................ลกั ษณะวิสัย...........................................

2.พชื .....................................................ชื่อวทิ ยาศาสตร์............................................................................................
ช่ือวงศ์...................................................ชอ่ื พนื้ เมือง..................................................................................................
ชนิดของพชื ...........................................ลำตน้ .....................................ลักษณะวิสยั ...........................................

ชดุ กจิ กรรม เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ทขี่ องพืชดอก นางพรรทิพา วงศ์จันทร์

ชื่อ..............................................................................................ชัน้ ..................เลขที่........................

กิจกรรมที่ 3.2 ศกึ ษาโครงสรา้ งภายในของลำต้น
คำช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นศกึ ษาโครงสรา้ งภายในของลำตน้ พืชใบเลีย้ งเด่ียวและลำตน้ พชื ใบเลย้ี งคู่

พรอ้ มเลเบลส่วนประกอบ

ชดุ กจิ กรรม เรื่อง โครงสร้างและหน้าทขี่ องพืชดอก นางพรรทพิ า วงศ์จนั ทร์

ชุดกจิ กรรมที่ 4 เรือ่ ง โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของใบ

ผลการเรียนรู้
4.สังเกต และอธบิ ายโครงสรา้ งภายในของใบพชื จากการตัดตามขวาง

จุดประสงค์การเรียนรู้
1.สังเกต โครงสร้างภายในของใบพชื ใบเลีย้ งเดย่ี วและใบพชื ใบเล้ียงคจู่ ากการตดั ตามขวาง
2.อธิบายโครงสร้างภายในของใบพืชใบเลย้ี งเดยี่ วและใบพืชใบเลีย้ งคจู่ ากการตัดตามขวาง
3.เปรียบเทยี บโครงสร้างภายในของใบพชื ใบเลย้ี งเดี่ยวและใบพืชใบเล้ยี งคู่

คำช้แี จงสำหรับนักเรียน
1.นักเรยี นศึกษาชุดกจิ กรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหน้าทข่ี องใบ และทำกจิ กรรมท่ีระบุในชดุ กจิ กรรม

ใบ (leaf)

ใบ (leaf) คือสว่ นท่ีเจริญออกมาจากลำต้นทางด้านข้างของลำตน้ เพ่ือทำหนา้ ทเ่ี ปน็ แหล่งสรา้ งอาหารซงึ่
มักมีสเี ขียวสดของคลอโรฟลี ล์ใบโดยทว่ั ไปมกั แบนแต่อาจเปลี่ยนแปลงไป เพ่ือทำหนา้ ทอี่ ยา่ งอืน่ เช่น มอื เกาะหนาม
ทุน่ ลอยน้ำ หรือดักจบั แมลงได้ ใบเหลา่ นีเ้ กิดตามข้อของลำตน้ และมกั มีตาซอกใบ (leaf axial) หรือซอกมุมระหวา่ ง
ใบกบั กิ่งหรอื ใบกบั ลำต้น

หนา้ ทข่ี องใบ ใบมหี นา้ ที่ 3 ประการหลกั คือ
1. การสังเคราะห์ดว้ ยแสง ( photosynthesis ) เพอ่ื สรา้ งอาหารให้แก่พชื
2.การหายใจ ( respiration ) เพื่อสรา้ งพลังงานของพชื
3.การคายนำ้ ( transpiration ) เพ่อื ลดอุณหภูมิของใบและลำเลยี งนำ้ เกลือแร่ และอาหารให้แก่พืช

นอกจากนย้ี งั มหี น้าที่อ่ืนๆ อกี ซ่งึ จะไดก้ ล่าวในเร่ืองใบพิเศษหรอื ใบท่เี ปลย่ี นแปลง ไปต่อไป

ชนดิ ของใบ แบ่งออกเป็น
1. ใบเดย่ี ว (simple leaf) คอื ใบท่ีมีแผ่นใบ 1 แผ่นติดอยู่บนก้านใบ 1 กา้ น
2. ใบประกอบ (compound leaf) คอื ใบท่ีมแี ผ่นใบย่อย (leaflet) ตั้งแต่ 2 ใบขน้ึ ไปติดอยู่บน

กา้ นใบ 1 ก้าน แบง่ ออกเปน็
- ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaf)
- ใบประกอบแบบมือ (palmately compound leaf)

ชุดกจิ กรรม เรื่อง โครงสรา้ งและหน้าทข่ี องพชื ดอก นางพรรทิพา วงศ์จนั ทร์

โครงสร้างภายในของใบ

1.Epidermis เปน็ เซลลช์ ้ันเดยี ว ไม่มคี ลอโรพลาสต์ มคี วิ ทิเคลิ หรอื สารเคลือบปอ้ งกันการสูญเสยี นำ้
ประกอบดว้ ย upper epidermis อยู่ดา้ นบน(หลงั ใบ) lower epidermis อย่ดู ้านลา่ ง(ทอ้ งใบ) มบี างเซลล์
เปลย่ี นแปลงเป็น Guard cell มีคลอโรพลาสต์ควบคุมการ ปิด เปิดของปากใบ

- epidermal cell อาจเปล่ียนแปลงเป็น ขน หรือ ต่อม ในพชื บางชนดิ
2.Mesophyll อยู่ระหว่าง upper epidermis และ lower epidermis ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

- palisade mesophyll อยูด่ ้านบนประกอบดว้ ยเซลล์ทรงกระบอกเรียงกันแน่นมคี ลอโรพลาสต์
หนาแน่น

- spongy mesophyll อยู่ถัดลงมา รปู รา่ งไมแ่ นน่ อนเรียงตวั กนั หลวมๆ มีชอ่ งวา่ งมากมีการ
แลกเปล่ียนก๊าซ และ การระเหยของน้ำ

3.Vascular bundle ทีอ่ ยู่ในใบ คือ เสน้ ใบ vein อาจเรียงตัวเป็นร่างแห ในพชื ใบเลยี้ งคู่ หรือขนานในพชื
ใบเลีย้ งเดยี่ ว รอบๆกลุ่มท่อลำเลียงจะมี bundle sheath

- ในพชื C3 เชน่ ข้าวเจา้ ขา้ วสาลี bundle sheath ไม่มีคลอโรพลาสต์
- ในพืช C4 เชน่ ขา้ วโพด ออ้ ย bundle sheath จะมคี ลอโรพลาสต์

ชดุ กจิ กรรม เรอื่ ง โครงสร้างและหน้าท่ีของพชื ดอก นางพรรทิพา วงศ์จันทร์

ขอ้ แตกต่างของพืชใบเลย้ี งเด่ยี วกบั พชื ใบเลี้ยงคู่

............................................................................................. ........................... ......................................................
............................................................................................ .................................................................................

ใบพเิ ศษ (Specialized leaf) หรือใบทเ่ี ปล่ียนแปลงไป (Modified leaf) พืชบางชนิดมใี บท่ี
เปลีย่ นแปลงไปเพอ่ื ทำหน้าท่ีอย่างอ่ืนนอกจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้แก่

2.1 มอื เกาะ (leaf tendril) เป็นใบท่ีเปลี่ยนแปลงไปเพอ่ื ยดึ และพยุงลำต้นให้ไตข่ นึ้ ท่ีสงู ได้ เชน่ ถัว่
ลันเตา มะระ ตำลึง เป็นตน้ โดยอาจเปล่ียนแปลงมาจากท้ังใบหรือส่วนตา่ ง ๆ ของใบ เช่น หูใบ กา้ นใบ ปลายใบ
หรอื ใบย่อย

2.2 หนาม (Leaf spine) เปน็ ใบที่เปล่ยี นเป็นหนาม เพือ่ ป้องกันอันตรายจากสัตวท์ ีจ่ ะมากดั กิน และ
ชว่ ยลดการคายนำ้ อีกด้วย เช่น มะขามเทศ กระบองเพชร ป่านศรนารายณ์ สบั ปะรด เป็นต้น

ชดุ กจิ กรรม เร่ือง โครงสร้างและหน้าท่ีของพชื ดอก นางพรรทิพา วงศ์จันทร์

2.3 ใบสะสมอาหาร (Storage leaf) เป็นใบท่ีเปล่ียนแปลงไปทำหนา้ ทส่ี ะสมอาหารและน้ำ จงึ มี
ลักษณะอวบอ้วนเน่อื งจากสะสมน้ำและอาหารไวม้ าก เชน่ ใบเลยี้ งของพืชตา่ งๆ ใบวา่ นหางจระเข้ กาบกลว้ ย หอม
กระเทยี ม

2.4 ใบเกล็ด (Scale leaf) มีลักษณะเป็นเกล็ดเลก็ ๆ ไม่มีคลอโรฟิลล์ เช่น ใบเกลด็ ของสนทะเล
โปร่งฟา้ ขิง ข่า เผือก แหว้ เป็นต้น

2.5 เกลด็ หุม้ ตา (Bud scale) มลี กั ษณะเป็นแผน่ หุม้ ตาไว้ เม่ือตาเจริญเติบโตกจ็ ะดันใหเ้ กลด็ หมุ้ ตา
กางออกหรือหลดุ รว่ งไป เชน่ ในตน้ สาเก จำปี และยาง เป็นตน้

2.6 ฟลิ โลด (Phyllode) หรือ Phyllodium (Gr. phyllon = ใบ) เป็นส่วนตา่ งๆ ของใบทีเ่ ปลีย่ น
แปลงไปเปน็ แผ่นแบนคลา้ ยตัวใบ พชื ทม่ี ใี บแบบนีม้ กั จะไม่มีใบที่แทจ้ ริง เชน่ ใบกระถินณรงค์เปลี่ยนแปลงมาจาก
ก้านใบ

2.7 ทนุ่ ลอย (Floating leaf) พชื น้ำบางชนิด เชน่ ผกั ตบชวา จะมกี า้ นใบทพ่ี องออก ภายในมีช่องว่าง
ให้อากาศแทรกอยูม่ าก จึงชว่ ยพยงุ ลำต้นทำใหส้ ามารถลอยนำ้ ได้

2.8 ใบประดบั หรือใบดอก (Floral leaf หรือ Bract: L. bractea = แผ่นโลหะ) เป็นใบที่
เปล่ยี นแปลงไปเพือ่ ทำหนา้ ที่ช่วยรองรบั ดอก มักมีสเี ขยี ว แต่พชื หลายชนิดมใี บประดับเป็นสอี นื่ ๆ คลา้ ยกลบี ดอก
เพือ่ ช่วยลอ่ แมลงสำหรบั ผสมเกสร เชน่ เฟื่องฟา้ ครสิ ต์มาส หนา้ ววั เปน็ ตน้

2.9 ใบสบื พนั ธุ์ (Vegetative reproductive leaf) เปน็ ใบทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปเพ่ือชว่ ยในการแพร่
พันธ์ุ เช่น ใบควำ่ ตาย

2.10 กับดกั แมลง (Insectivorous leaf หรอื Carnivorous leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปทำ
หนา้ ทีด่ ักจบั แมลงหรือสตั ว์เล็กๆ โดยมกี ารสร้างเอนไซมส์ ำหรบั ย่อยแลว้ ดูดซมึ แรธ่ าตไุ ปใช้ประโยชน์ ตวั อยา่ งเช่น
หยาดนำ้ ค้าง กาบหอยแครง และหม้อข้าวหม้อแกงลงิ เป็นต้น

ชดุ กิจกรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหน้าทขี่ องพืชดอก นางพรรทพิ า วงศ์จนั ทร์

ชือ่ ..............................................................................................ช้ัน..................เลขที่........................

กิจกรรมท่ี 4.1 ศึกษาโครงสรา้ งภายในของใบและชนิดของใบ
คำช้ีแจง
1.ให้นักเรยี นศกึ ษาโครงสร้างภายในของใบพืชใบเลี้ยงเด่ียวและใบพืชใบเลี้ยงคู่ พร้อมเลเบลสว่ นประกอบ

2.ให้นักเรียนบอกชนิดของใบ (Simple leaf, palmately compound leaf, pinnately compound leaf)

......................................... ............................................ .......................................... ........................................
3.ให้นกั เรียนบอกชนดิ ของใบพเิ ศษ

......................................... ............................................ .......................................... ........................................

ชุดกิจกรรม เรอ่ื ง โครงสร้างและหน้าทข่ี องพชื ดอก นางพรรทิพา วงศจ์ ันทร์

ชือ่ ..............................................................................................ชั้น..................เลขที่........................

กจิ กรรมท่ี 4.2 ศกึ ษาโครงสร้างภายนอกและโครงสรา้ งภายในของใบ
คำชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นศึกษาโครงสร้างภายนอกและศึกษาลกั ษณะของปากใบของใบพชื ใบเลีย้ งเดยี่ ว

และใบพืชใบเลยี้ งคู่
1.พืช.....................................................ชอื่ วิทยาศาสตร์............................................................................................
ชือ่ วงศ์...................................................ชือ่ พื้นเมือง..................................................................................................
ชนิดของพชื ...........................................เสน้ ใบ.....................................ลกั ษณะวสิ ยั ...........................................

2.พชื .....................................................ช่อื วิทยาศาสตร.์ ...........................................................................................
ชอ่ื วงศ์...................................................ชื่อพน้ื เมอื ง..................................................................................................
ชนดิ ของพืช...........................................เสน้ ใบ .....................................ลกั ษณะวสิ ยั ...........................................

ชดุ กจิ กรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหน้าทีข่ องพืชดอก นางพรรทิพา วงศ์จนั ทร์

แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก

1.เซลลใ์ ดมคี วามสามารถพฒั นาไปเป็นเซลล์ทีล่ ูกศรช้ีในรูปได้มากทสี่ ดุ

ก. fiber ข. sclereid

ค. companion cell ง. parenchyma cell

2.Acrenchyma สามารถพัฒนาจาก parenchyma ที่เกิดการสลายเกิดเปน็ โพรงอากาศใเน้อื เย่ือพชื ท่านคดิ ว่าจะ

พบ aerenchyma ในเน้ือเย่ือใดมากทีส่ ุดเพราะเหตุใด

ก. เนอื้ เย่ือลำตน้ ของพชื ชอบเกลือ เพื่อใช้ในการสะสมเกลอื สว่ นเกนิ

ข เน้อื เม่อื ดอกผกั ระเฉดที่ข้ึนในน้ำเพื่อเพิ่มความสามารถในการลอยนำ้

ค. เน้ือเยอ่ื ผลมะพรา้ วทำให้สามารถลอยนำ้ เพื่อการแพร่พันธ์ไุ ปได้ไกลๆ

ง. เนื้อเย่ือรากของข้าวที่ปลูกในที่นำ้ ขังเป็นเวลานานเปน็ การเพิ่มโพรงอากาศเพื่อนำออกซิเจนไปใช้

3.ภาพท่เี หน็ มาจากโครงสร้างใดของพชื

ก. รากของพืชใบเลีย้ งคู่ ข. ลำตน้ ของพชื ใบเลี้ยงคู่

ค. รากของพชื ใบเลย้ี งเดย่ี ว ง. ลำต้นของพืชใบเลี้ยงเดย่ี ว

ใช้ข้อมลู ต่อไปน้ีตอบคำถามข้อ 4-5

ภาพตัดตามยาว (X-section) ของลำต้นพืชชนิดหนึ่ง แสดงเน้ือเยอื่ xylemและ phloem ขณะที่มีการลำเลียงน้ำ

และอาหาร

ชดุ กิจกรรม เรื่อง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพืชดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ ันทร์

4.จากภาพข้อใดถกู ต้อง
สมบตั ขิ องเซลล์ในข้อใดถกู ต้อง (สามญั 60)

5.CYCLIN เปน็ ยีนทมี่ กี ารแสดงออกในเซลล์ทมี่ ีการแบ่งตัว หากตรวจสอบโปรตนี CYCLIN ใน section ท่ปี รากฎใน
ภาพ จะพบได้ในเซลล์ใด

ก.A ข.B ค.C ง.D

6.ในการตรวจสอบหลักฐานทางนิตวิ ทิ ยาศาสตรข์ องคดหี น่งึ พบเศษวัสดุบางอยา่ ง เมือ่ นักนติ วิ ิทยาศาสตร์
นำไปตดั x -section และศึกษาใต้กล้องจุลทรรศน์ พบว่ามีลกั ษณะดังภาพ หลกั ฐานดังกลา่ วน้ีนา่ จะมาจาก
สง่ิ ใด

ก. รากของพืช ข. ปอดของสตั ว์

ค. กระดกู ของสัตว์ ง. ลำต้นของพชื

7.Berberine และ fuorol yellow เป็นสีย้อมซึ่งมีความจำเพาะต่อสาร suberin

จากโครงสร้างในภาพะสีย้อมดงั กถ่าวจะย้อมติดบริเวณใด

ก. A ข. B ค. C ง. D

8.ถ้าตดั ต้นไมใ่ หญ่ตามขวาง เราจะสามารถหาวงปีได้อยา่ ชดั เจน ดังภาพ

ข้อใดถกู ต้อง

1. เซลล์ใน A ทกุ เซลล์เป็นเซลล์ท่ไี ม่มีชีวติ

2. เซลล์ใน B ทกุ เซลล์เปน็ เซลลท์ ม่ี ีชวี ติ

3. เซลล์ใน A และ B ทำหน้าทใ่ี นการลำเลียงนำ้

4. ชัน้ C เรียกว่า กระพ้ี

ชดุ กิจกรรม เรื่อง โครงสร้างและหนา้ ท่ขี องพชื ดอก นางพรรทพิ า วงศ์จันทร์

9.ในการขยายพันธ์ขุ ิงโดยการแบง่ แงง่ ขิงออกเปน็ ส่วน ๆ แล้วนำไปเพาะในดนิ การเจรญิ เปน็ ตน้ ใหมข่ องขิง
เกดิ จากกระบวนการใด
ก. การเปลี่ยนกลับของเน้อื เย่ือใน cortex ของแง่งขิงเป็นเนอื้ เยอ่ื เจริญ
ข. การแบง่ เซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญท่ีปลายยอด สร้างยอดใหม่
ค. การแบง่ เซลล์ทีเ่ นือ้ เย่ือเจริญตาขา้ ง สรา้ งยอดใหม่
ง. การแบ่งเซลล์ที่ pericycle ได้เปน็ ยอดใหม่
10.จากภาพ

เนอ้ื เยอื่ สว่ นท่ีเห็นทัง้ หมดน้ีคืออะไรและเกิดจากเนื้อเย่ือใด
ก. primary xylem, procambium
ข. primary phloem, procambium
ค. secondary xylem, vascular cambium
ง. secondary phloem, vascular cambium

11.จากภาพ

เนอ้ื เยือ่ หมายเลข 2 และ 3 คืออะไรตามลำดับ
ก. periderm, cork cambium
ข. cork cambium, phelloderm
ค. periderm, cork
ง. phelloderm, periderm

12.จากภาพ

เซลล์ทเี่ ห็นคอื เซลล์อะไร และ หมายเลข 1 และ 2 คืออะไร ตามลำดบั
ก. fiber, secondary wall, lumen
ข. sclereid, secondary wall, lumen
ค. stone cell, primary wall, pit
ง. collenchymas cell, primary wall, pit

13.ขอ้ ใดเปน็ ลักษณะทีพ่ บท้งั ใน sieve tube member, vessel member และ meristematic cell

A. nucleus B. primary cell wall C. plasma membrane

ก. A ข. B ค. A, B ง. A, B, C

ชดุ กจิ กรรม เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องพชื ดอก นางพรรทิพา วงศจ์ นั ทร์

14.จากภาพ โครงสร้างหมายเลข 1 คืออะไร และเจริญมาจากเนื้อเยื่อใด

ก. stele และ procambium
ข. pith และ procambium
ค. stele และ ground meristem
ง. pith และ ground meristem

15.จากภาพข้อใดกลา่ วถูกต้อง

ก. หมายเลข 2 แบ่งเซลลแ์ ละเจริญพัฒนาให้กำเนิดรากฝอย
ข. หมายเลข 4 แบ่งเซลล์และเจรญิ พัฒนาให้กำเนดิ รากแขนง
ค. หมายเลข 5 และ 6 ลำเลียงสารในแนวด่งิ โดยอาศยั พลังงาน
ง. หมายเลข 3 เปน็ สว่ นทีน่ ้ำสามารถลำเลียงทางด้านข้างผ่านเซลล์

16.ขอ้ ใดถกู ตอ้ งเก่ียวกับลกั ษณะและหน้าท่ีของเน้ือเยื่อพชื
ก. เอพิเดอมสิ อยูช่ ้นั นอกสดุ ทำหน้าทใี่ นการปอ้ งกันเนื้อเยอื่ ท่ีอยู่ด้านใน
ข. ไซเลม็ ประกอบดว้ ยเซลล์เวสเซลและเทรคดี ทำหน้าท่ีลำเลียงอาหาร
ค. คอลเลงคิมาประกอบด้วยเซลลท์ ี่มีผนังเซลล์ทตุ ยิ ภูมิหนา ทำหน้าท่ใี ห้ความแขง็ แรง
ง. พาเรงคิมาประกอบด้วยเซลล์ทมี่ ชี ีวติ มีลกิ นินในผนังเซลล์ ทำหน้าทส่ี ะสมอาหาร

17. บริเวณใดของปลายรากทพ่ี บการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ
ก. Root cap
ข. Zone of cell division
ค. Zone of Elongation
ง. Zone of Root hairs

จากภาพข้างลา่ ง จงตอบคำถามข้อ 18-19

18.ภาพ A และ B เปน็ ภาพของ ข. A รากพืชใบเลี้ยงเด่ยี ว B รากพชื ใบเลี้ยงคู่
ก. A รากพืชใบเลี้ยงคู่ B รากพชื ใบเล้ียงเด่ยี ว ง. A ลำต้นพชื ใบเลีย้ งเดีย่ ว B ลำตน้ พืชใบเลี้ยงคู่
ค. A ลำตน้ พชื ใบเลี้ยงคู่ B ลำตน้ พชื ใบเล้ียงเดยี่ ว

ชุดกจิ กรรม เรอื่ ง โครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของพืชดอก นางพรรทิพา วงศ์จนั ทร์

19.โครงสรา้ งของพชื หมายเลขใดทที่ ำหนา้ ทล่ี ำเลยี งน้ำและแร่ธาตุ

ก. หมายเลข 1 ข. หมายเลข 2

ค. หมายเลข 3 ง. หมายเลข 4

20.ข้อใดเรยี งลำดับเน้ือเยือ่ จากดา้ นนอกเขา้ สดู่ ้านในของรากที่มีการเจรญิ ในระยะทุตยิ ภมู ิ
ก. 2° phloem , 1° phloem , cork cambium ,vascular cambium , cork
ข. 1° phloem , 2° phloem , vascular cambium , cork cambium, cork
ค. cork cambium , cork , 1° phloem , 2° phloem , vascular cambium
ง. cork , cork cambium , 1° phloem , 2° phloem , vascular cambium

21.จากภาพตดั ตามขวางลำต้น ถา้ ตอนกงิ่ ของพชื น้ีเมอ่ื พืชมอี ายุมากข้ึน จะเหลอื เนื้อเย่ือชนิดใดอยู่

ก. vascular cambium ข. secondary phloem

ค. secondary xylem ง. primary phloem

22.เพราะเหตุใดต้นมะมว่ งจงึ มีขนาดความกว้างของลำต้นใหญ่กว่าต้นหมากทีม่ ีอายุเทา่ กัน

ก. ตน้ มะมว่ งมแี คมเบยี ม ส่วนตน้ หมากไมม่ แี คมเบียม

ข. เซลล์ของตน้ มะมว่ งแบง่ ตัวไดเ้ รว็ กวา่ เซลล์ของตน้ หมาก

ค. จำนวนกลมุ่ ของท่อลำเลียงของลำตน้ มะมว่ งมีมากกว่าตน้ หมาก

ง. ตน้ มะม่วงมกี ารเรยี งตวั ของกลมุ่ ท่อลำเลยี งเป็นระเบียบมากกวา่ ด้านนอก

23.ถา้ พบวงปีของลำต้นพชื มเี ซลลไ์ ซเลมใหญ่แถบกว้างและสีจางแสดงว่า
ก.วาสควิ ลารแ์ คมเบยี มมผี นงั เซลลห์ นา
ข.วาสควิ ลารแ์ คมเบยี มมขี นาดใหญ่
ค.วาสควิ ลาร์แคมเบยี มเจรญิ ในฤดูน้ำมาก
ง.เน้ือเยือ่ เจริญในฤดูนำ้ น้อย

24.ข้อใดกล่าวถกู ตอ้ ง
ก. แกน่ ไม้ คือเนอ้ื เยื่อที่ทำหน้าทล่ี ำเลยี งน้ำพบทีบ่ ริเวณใจกลางลำตน้

ข. เน้ือไมท้ มี่ ีความแขง็ แรง เนอื่ งจากมีเนอื้ เย่ือ sclerenchyma จำนวนมาก
ค. เปลือกไม้ไม่ได้เกดิ จากการแบง่ เซลล์ของ cork cambium เพยี งอยา่ งเดียว

ง. การเพิ่มความสงู ของลำต้นพืชดอกทกุ ชนดิ เกิดจาก เน้ือเยอ่ื เจริญบริเวณปลายยอด

ชุดกจิ กรรม เร่ือง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก นางพรรทิพา วงศ์จันทร์

25. จากภาพ การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงเกิดมากทบี่ ริเวณใด

ก. 1 และ 2 ข. 1 และ 3 ค. 2 และ 3 ง. 4 และ 5

26.เมอ่ื นำดอกเบญจมาศขาวมายอ้ มใหเ้ ป็นสตี ่าง ๆ โดยการตดั ก้านชอ่ ดอกแล้วแช่ลงในนำ้ สีย้อมมีขวั้ ท่ลี ะลายนำ้ ได้
เมือ่ นำใบในชอ่ ดอกนั้นมาตดั x-section ตำแหนง่ ใดทตี่ ดิ
สยี ้อมดังกลา่ ว

ก. A และ B เท่าน้ัน ข. A และ D เท่านนั้
ค. C และ E เทา่ นน้ั ง. C เท่านน้ั

27.จากภาพ

เซลลท์ เ่ี ห็นคือเซลล์อะไร และ หมายเลข 1 และ 2 คืออะไร
ตามลำดับ
1. fiber, secondary wall, lumen
2. sclereid, secondary wall, lumen
3. stone cell, primary wall, pit
4. collenchymas cell, primary wall, pit

28.การเรยี งตวั ของ xylem และ phloem ในเส้นใบของพืชทว่ั ไปมลี กั ษณะอยา่ งไร
ก. เรยี งตัวแบบ xylem ลอ้ ม phloem
ข. เรียงตวั แบบ phloem ล้อม xylem
ค. เรยี งตวั ประกบกันโดย phloem อยดู่ ้าน upper epidermis
ง. เรยี งตัวประกบกันโดย xylem อยู่ด้าน upper epidermis

ชดุ กจิ กรรม เรื่อง โครงสรา้ งและหน้าท่ีของพืชดอก นางพรรทพิ า วงศจ์ ันทร์

จากภาพตัดขวางของพืชดา้ นล่าง ตอบคำถามขอ้ 29-30

29.ภาพด้านบนแสดงโครงสร้างใด ข.ลำตน้ พชื ใบเลย้ี งคู่
ก.ลำต้นพืชใบเลยี้ งเดีย่ ว ง.รากพชื ใบเล้ยี งเดี่ยว
ค.รากพชื ใบเลย้ี งคู่
ค. โฟลเอ็ม
30.หมายเลข 1 คือเนอ้ื เยื่อชนิดใด

ก. พาเรงคิมา ข. เพอริไซเคลิ ง. ไซเล็ม


Click to View FlipBook Version