ลายละกอนไส้หมู : ลายผา้ อตั ลักษณจ์ ังหวดั ลาปาง
๑ ความเป็นมาของ ๑๙ ตวั อย่างผลงาน
จังหวดั ลาปาง ในปจั จบุ ัน
๔ อตั ลกั ษณผ์ า้ ลาปาง ๒๒ ภาคผนวก
๘ ลายละกอนไส้หมู
๑๒ การประยุกต์ใช้
ลายละกอนไส้หมู
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลกั ษณจ์ ังหวดั ลาปาง
จังหวัดลาปาง เป็นจังหวัดท่ีมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ มากว่า ๑,๓๐๐ ปี
ดังปรากฏหลกั ฐานกล่าวระบุชอื่ ของเมอื งโบราณซง่ึ เป็นศูนยก์ ลางการปกครองมาตั้งแต่ยุคสมัย
หรภิ ุญชัย คอื เมืองเขลางคน์ ครต่อมาในยคุ สมัยลา้ นนา ไดเ้ ปลยี่ นเป็นเมอื งนคร หรือ เมืองนคร
ชัย และเมืองละกอน จนกระทั่งเข้าสู่ยุครัตนโกสินตอนต้น จึงปรากฏใช้คาว่า ละกอนลาปาง
หรือ นครลาปาง นอกจากนี้ยังพบตานานท้องถ่ินที่กล่าวถึงช่ือเมืองอีกมากมาย ซ่ึงหน่ึงในน้ัน
ไดแ้ ก่ตานานวดั ศรีลอ้ มเวียงดิน ท่กี ลา่ วถงึ ชอื่ เมอื งแหง่ นี้ว่า “กุกกุฏนคร” แปลว่า เมืองไก่ซ่ึงมี
ท่ีมาจากพระอินทร์ได้แปลงกาย มาเป็นไก่ขาวเพ่ือให้พระพุทธเจ้าตื่นบรรทมและออก
บณิ ฑบาตร จึงเปน็ ทมี่ าของตราประจาจังหวัดลาปาง คือ “ไก่ขาว”
ตามตานานกล่าวว่าเมืองเขลางค์นคร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๒๒๓ โดยสุพรหมฤาษี เพ่ือให้
เจ้าอนันตยศ โอรสพระนางจามเทวีเป็นผู้ปกครองคู่กับเมืองหริภุญชัย (ลาพูน) ต่อมาในช่วง
พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ได้ถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา เป็นช่วงเวลา
กว่า ๒๐๐ ปี จนกระทั่งล้านนาตกเป็นเมืองข้ึนของพม่า ในช่วงปลาย พุทธศตวรรษท่ี ๒๓
"เจ้าทิพย์ช้าง" ผู้เป็นวีรบุรุษในการกอบกู้บ้านเมืองจากสงครามภายหลังได้รับการสถาปนา
เป็นพระยาสุลวะลือชัยสงครามปกครองเมืองลาปางครองนครลาปางในปี พ.ศ. ๒๒๗๙
และเป็นต้นราชสกุลทิพย์จักรวงศ์ของเจ้านายฝุายเหนือซ่ึงมีบทบาทสาคัญในการขับไล่พม่า
ออกจากล้านนา
ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๓ สมัยรัชกาลท่ี ๕
ได้มกี ารปฏริ ูปหัวเมืองล้านนาขึ้นใหม่โดยการจัด
ระเบยี บการปกครองเปน็ ระบบมณฑลเทศาภบิ าล
โดยเมืองนครลาปางได้ข้ึนอยู่กับมณฑลพายัพซึ่ง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้แยกเป็นมณฑล
มหาราษฎร์ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ภายหลังได้มี
ประกาศยกเลิกมณฑลท่ัวราชอาณาจักรเมือง
นครลาปางจึงมีฐานะเป็น "จังหวัดลาปาง"
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ
อาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ เปน็ ต้นมา
ลายละกอนไส้หมู : ลายผ้าอตั ลกั ษณ์จังหวัดลาปาง อนสุ าวรยี ์เจา้ พ่อทิพย์ชา้ ง
๑
ถา่ นหินลอื ชา สัญลกั ษณ์รปู ไก่ขาวยนื อยูใ่ นซุ้มประตูโขง
รถมา้ ลือล่นั
เครอื่ งปัน้ ลอื นาม วดั พระธาตุลาปางหลวง อันมที ีม่ าจากตานานเมืองวัดศรลี อ้ ม
งามพระธาตุลอื ไกล เวยี งดิน หรอื ตานานกุกกุฏนคร
ฝึกชา้ งใชล้ อื โลก เป็นสญั ลกั ษณ์สาคญั ท่ปี รากฏอยู่
ในดวงตราแผ่นดินในศาลากลางเมืองนครลาปาง
ต้งั แตส่ มัยเรมิ่ เปล่ียนทท่ี าการเมืองจาก
"เค้าสนามหลวง" เป็นศาลากลาง
เมืองนครลาปางข้ึนในสมยั เร่ิมสรา้ ง
ศาลากลางหลังแรก เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๒
ซมุ้ ประตูโขงท่ีวัดพระธาตุลาปางหลวง
เปน็ ศิลปกรรมล้านนาทงี่ ดงามและสมบูรณ์
ทสี่ ดุ ในภาคเหนอื นอกจากนี้
วดั พระธาตลุ าปางหลวงยังเปน็ วดั คู่บ้านค่เู มอื ง
องค์พระเจดีย์บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ
ของพระพทุ ธเจ้า เป็นท่เี คารพสกั การะ
ของพุทธศาสนกิ ชนทั่วโลก
ดอกไมป้ ระจาจงั หวดั ลาปาง ตน้ ไม้ประจาจังหวดั ลาปาง
"ดอกธรรมรักษา" "ต้นขะจาว"
ธรรมรกั ษาเปน็ พรรณไม้ลม้ ลุก อวบน้า มีลาต้น ต้นขะจาวเป็นไม้ยืนต้นสูง ผลัดใบ ลาต้น
ใต้ดินเรียกว่า เหง้า ลักษณะคล้ายกับกล้วย เ ป ล่ า ต ร ง เ ป ลื อ ก สี น้ า ต า ล ป น เ ท า
ลาต้นสงู ประมาณ ๒ เมตร เจรญิ เตบิ โตโดยการ มี ต่ อ ม ร ะ บ า ย อ า ก า ศ เ ป็ น จุ ด ก ล ม เ ล็ ก ๆ
แ ต ก ห น่ อ อ อ ก ม า เ ป็ น ก อ ลั ก ษ ณ ะ ใ บ ค ล้ า ย สีขาวมองเห็นได้ง่าย เรือนยอดเป็นพุ่ม
ใบกลว้ ย เรียงสลบั กัน มีสีเขียว ผิวเรียบเปน็ มนั รูปไข่กว้างค่อนข้างทึบ ใบเป็นใบเดี่ยว
รูปรีปูอม โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อตั ลักษณ์จงั หวดั ลาปาง ก้านใบมีขน ออกดอกเป็นกระจุกตาม
ง่ามใบ ดอกขนาดเล็ก ผลเป็นรูปโล่แบน
มปี กี บางล้อมรอบ
๒
ยคุ สมัยแหง่ การเปล่ยี นแปลง :
จังหวัดลาปางกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยส่ือสะท้อนทางด้านความนิยม
ของการแต่งกายของสตรีในราชสานักสยามตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา
ซึ่งวัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีทั้งในราชสานักและสตรี ชาวบ้านมีการ
เปล่ยี นแปลงไปจากการนุ่งผา้ แถบและโจงกระเบนไปสูก่ ารนุ่งเส้ือในแบบเสื้อแพรไหม
ลูกไม้ตัดแบบตะวันตกจนกระทั่งในช่วงรัชกาลที่ ๖ การแต่งกายเปล่ียนแปลงไป
สตรีในราชสานักสยามมีความนิยมแต่งกายด้วยการนุ่งผ้าซ่ิน สวมเสื้อแพรโปร่งบาง
ซ่งึ เป็นรูปแบบท่ีเป็นพระราชนิยม โดยในช่วงน้ันการนุ่งผ้าซิ่นของสตรีในราชสานักสยาม
มักนิยมนุ่งผ้าซิ่นลายเชิงเป็นหลัก จะเห็นได้ว่าผ้าซิ่นล้านนาก็ยังคงแฝงอยู่ใน
วัฒนธรรมของราชสานักสยามนับตั้งแต่ยุคสมัยของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี
เรอื่ ยมาทง้ั ยังมีการผสมผสานรูปแบบในการแต่งกายทีห่ ลากหลายมากข้ึน เช่น มีการ
สวมชดุ กิโมโนตามแบบญปี่ ุนแตน่ ุง่ ผ้าซ่นิ ตา๋ แบบล้านนาหรอื ใชผ้ ้าซน่ิ แทนกระโปรงใน
รปู แบบของตะวนั ตกเปน็ ต้น การเปลย่ี นแปลงที่สาคัญทีส่ ง่ ผลตอ่ การเปลี่ยนแปลงการ
นุ่งผ้าตีนจกของชาวล้านนาโดยเฉพาะในเขตพื้นที่จังหวัดลาบางน้ัน คือความนิยม
ในการนุ่งซนิ่ ตา๋ มากกวา่ การน่งุ ผา้ ซ่ินตีนจก
พระราชชายาเจา้ ดารารัศมี สถานรี ถไฟนครลาปาง
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผ้าอัตลักษณจ์ ังหวัดลาปาง
๓
นอกจากนีก้ ารเปลย่ี นแปลงของสงั คมและเศรษฐกจิ ยงั ส่งผลให้วัฒนธรรมการ
แต่งกายมีการเคลื่อนตัวเปล่ียนแปลงตามไปด้วย จากเดิมท่ีมีการทอผ้าเพ่ือใช้ใน
ครัวเรือน เม่ือมีเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาอานวยความสะดวกในเร่ืองของ
การทอให้ง่ายมากยิ่งข้ึน รวมไปถึงการค้าขายที่จากเดิมใช้เส้นทางการค้าแบบ
วัวต่างม้าต่างและการล่องเรือ สู่ยุคของการใช้รถไฟเข้ามาอานวยสะดวก
ในการขนส่งมากยิ่งขึ้น ในช่วงปี ๒๔๕๙ เส้นทางรถไฟสายเหนือได้เดินทางมาถึง
นครลาปาง ทาให้ผลิตภัณฑ์ท่ีหลากหลายจากกรุงเทพมหานครเข้ามาสู่ท้องถิ่น
มากยิ่งข้ึน กระแสความนิยมของสินค้าและเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับรถไฟ
สง่ ผลการลดบทบาทและความนิยมตา่ ง ๆ เปลยี่ นแปลงตามไปดว้ ย การที่จะนุ่งตจี ก
แบบดง้ั เดมิ เป็นเร่ืองท่ียุ่งยากทาใหเ้ สื่อมถอยความนิยมไป
ส่งผลให้คนหันมานิยมซ่ินตามากข้ึนจากเดิมท่ีเป็นแค่สีพ้ืน ๆ ที่ใส่ใน
ชีวิตประจาวันกลายเป็นซน่ิ ทส่ี ามารถใสอ่ อกงานได้ทกุ โอกาส ปรบั เปลยี่ นเพียงวัสดุ
ทีใ่ ช้เท่านนั้ เชน่ หากอย่ใู นบ้านอาจเปน็ เพียงการนุ่งซ่นิ ผา้ ฝูายท่ัวไป แต่หากไปร่วม
กิจกรรมสาคัญอาจเปล่ียนเป็นช้ินไหมแทน ความนิยมในการนุ่งซ่ินตีนจกจึงลดลง
ผู้ทอหันมาทอผ้าซ่ินตามากยิ่งขึ้น ทาให้การถ่ายทอดในเร่ืองของเทคนิคการจก
ถกู เลอื นหายไปขาดการถ่ายทอดองคค์ วามรู้ใหก้ ับรุ่นต่อไป
อัตลักษณ์แห่งผ้าของจังหวัดลาปางท่ีโดดเด่นประการหน่ึง คือ ซิ่นตีนจกลาปาง
ท้ังนี้หลายคนคงนึกภาพไม่ออกว่าเป็นแบบไหน ซ่ินตีนจกลาปางนั้นแบ่งออกเป็น
สองกลุ่ม คอื
๑. ซิ่นตีนจกที่ใช้ในราชสานัก จะมี ๒. ซ่ินตีนจกท่ีใช้ในกลุ่มชาวบ้านแถบ
ลั ก ษ ณ ะ ค ล้ า ย ค ลึ ง กั บ ซ่ิ น ตี น จ ก ช า น เ มื อ ง ข อ ง ล า ป า ง น้ั น จ ะ มี ค ว า ม
ในราชสานักเชยี งใหม่ เพราะลาปาง แตกตา่ งจากซน่ิ ในราชสานักคอื ลวดลาย
และเชียงใหมน่ ั้นมีความสัมพันธ์ทาง บนดีนจกจะไม่ มีแ บ บแ ผนชัดเ จน
เชื้อสายราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ซิ่นที่ใช้ ข้ึนอยู่กับความชอบของผู้ทอ เน้นสี
ในราชสานกั ของลาปางจงึ นิยมสง่ั ทา ฉูดฉาด
จากเชียงใหมเ่ ป็นหลกั ส่วน
แต่อย่างไรก็ตามลวดลายกย็ งั มีเอกลักษณ์ของชาวไทยยวนต้งั เดิมที่มจี ุดกาเนดิ ร่วมกนั
ทีเ่ มอื งเชยี งแสน
ลายละกอนไส้หมู : ลายผ้าอตั ลักษณจ์ ังหวัดลาปาง ๔
ซนิ่ ตนี จกลาปาง จดั แสดงทีพ่ ิพิธภณั ฑโ์ กมลผา้ โบราณ
อ.ลอง จ.แพร่
ปัจจุบันซิ่นตีนจกของลาปางนับได้ว่าเป็นซิ่นตีนจกที่หาได้ยากที่สุดผ้าซ่ินตีนจกท่ีเป็น
ผืนด้ังเดิมพบได้น้อยกว่าเมืองอ่ืน ๆ ในภาคเหนือ ผ้าซิ่นตีนจกลาปางนับได้ว่าเป็นผ้าซ่ินที่มี
เอกลักษณ์และมีความสวยงามเนื่องจากเป็นกลุ่มซ่ินท่ีได้รับอิทธิพลทั้งจากเชียงแสนและจาก
ราชสานกั เชียงใหม่ โดยลวดลายส่วนใหญข่ องผา้ ซิน่ รุ่นแรกนัน้ จะอยใู่ นกลุ่มซน่ิ ตระกูลเชียงแสน
โดยจะเน้นการจกลวดลายท่ีไมค่ อ่ ยถ่ีมากนักและจกบนผ้าพ้ืนสีแดงเป็นหลักและลดทอนในส่วน
ของเล็บซ่ินออกไปแตกต่างจากผ้าตีนจกของทางเชียงใหม่ที่จะจกลายให้ถ่ีจนเต็มเนื้อผ้า
นอกจากนี้เอกลักษณอ์ ีกประการหน่งึ ของซ่ินตีนจกลาปางน้ันก็คือการจกลายที่เรียกว่าลายเครือ
กาบหมากหรอื ค๊วั ะดอกเออ้ื ง ซึ่งเป็นกลุ่มลายที่พบในเขตพ้ืนท่ีเมืองลาปางและเมืองลองเท่าน้ัน
เนื่องจากเมืองลองเป็นเมืองหน่ึง ที่เคยข้ึนตรงต่อนครลาปางทาให้กลายเป็นแหล่งทอตีนจก
ที่สาคัญใหก้ ับเมอื งลาปางต้งั แตอ่ ดตี และได้มกี ารพัฒนาต่อยอดมาเรอื่ ย ๆ
เนือ่ งด้วยเปน็ ซิ่นที่ไม่ได้ใช้สวมใส่ในชีวิตประจาวันแต่จะใช้ในโอกาสพิเศษสาคัญเท่าน้ัน
ทาให้ไม่ไดม้ กี ารทอขน้ึ บอ่ ย ๆ ขาดการสบื ทอดและคอ่ ย ๆ สญู หายไป
“ซน่ิ ตีนจกของลาปางนับไดว้ ่าเป็นตนี จกทห่ี ายากท่ีสดุ
ของเก่าพบได้น้อยมากกว่าเมอื งอื่นมคี วามเป็นเอกลักษณแ์ ละ
สวยงาม รนุ่ แรกจะเปน็ ตนี จกตระกลู เชยี งแสน และพฒั นามาเปน็
รุน่ ต่อ ๆ มา เอกลกั ษณ์สาคัญของตีนลาปาง คอื
ลายเครอื กาบหมาก หรือค๊วั ะดอกเอ้อื ง
เมอื งลองเปน็ เมืองหน่ึงทขี่ ึ้นต่อนครลาปาง
เป็นแหลง่ ทอตนี จกให้กบั ลาปางในอดตี จนถึงปจั จุบนั ”
ทมี่ า : ซ่ินตนี จกละกอน (ลาปาง) โดยบวั ตบิ๊ ผา้ ซิ่นตีนจกเมืองลอง
ลายละกอนไส้หมู : ลายผ้าอัตลักษณ์จงั หวดั ลาปาง ๕
อาจกล่าวได้ว่ารูปแบบเอกลักษณ์ของผ้าซิ่นลุ่มแม่น้าปิงและ วัง
มีลักษณะร่วมกันอยู่หลายประการภายใต้วัฒนธรรมไทยวน อีกท้ังมีความสัมพันธ์
ของสังคมและเศรษฐกิจที่เก่ียวเนื่องกัน หากแต่ในแต่ละท้องถิ่นยังสามารถสร้าง
ความโดดเด่นในรายละเอียดของสีสัน ลวดลาย ตลอดจนเทคนิคการทอ
ที่สลับซับซ้อนแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีพัฒนาการของรูปแบบท่ีได้รับ
ความนิยมในแตล่ ะยุคสมยั แตกต่างกนั อันเปน็ สาเหตุหนง่ึ ทีเ่ กิดการเปลยี่ นแปลงของ
กระบวนการผลิตทไี่ ดถ้ ดถอยในบาง รปู แบบจนเลกิ ผลติ ไปในทส่ี ดุ อกี ทางหนึง่ ก็ได้
กลายเป็นวัตถุท่ีสูงค่าในความเป็นโบราณวัตถุประเภทสิ่งทอท่ีมีความ ต้องการ
ของผสู้ นใจและสะสมของเกา่ ถงึ กระนัน้ สาเหตดุ ังกล่าวยังจะได้ผลักดันให้เกิดการ
ผลิตซ้าในงานสิ่งทอที่อิงอยู่กับรูปแบบดั้งเดิมท่ีเคยมีการสร้างงานในท้องถิ่นต่างๆ
ข้นึ มาอกี วาระหนึง่ จงึ นับได้วา่ ในรอบสามทศวรรษที่ผา่ นมานี้ การสบื สานงานสง่ิ ทอ
แพรพรรณในล้านนาได้มีการฟ้ืนฟูและเผยแพร่กลับคืนขึ้นมาโดยกลุ่มช่างผู้ผลิต
กลุม่ ผ้บู รโิ ภคหน้าใหม่ ๆ จากผลงานของการสนับสนุนท้ังภาครัฐและเอกชน อีกท้ัง
คุณูปการของส่ือแขนงและประเภทต่าง ๆ รวมถงึ การส่ือสารทก่ี า้ วลา้ ทันสมัยในโลก
ดิจติ อลในเวลานี้
ลายตนี จกนครลาปาง
ทีม่ า : อาจารยว์ ถิ ี พานชิ พนั ธ์ และ
พิพธิ ภณั ฑ์โกมลผ้าโบราณ อ.ลอง จ.แพร่
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผ้าอตั ลกั ษณ์จังหวัดลาปาง ๖
รูปแบบของซิ่นตีนจกเมืองลาปางแม้จะมีลักษณะท่ีคล้ายกับเชียงใหม่ ลาพูน แต่ก็มี
อัตลักษณ์ท่ีแตกต่างออกไป เช่น การใช้สีซ่ึงหากเป็นจกของเจ้านายจะใช้สีที่เหมือนกับ
แบบราชสานักเชียงใหม่ แต่หากเป็นจกของชาวบ้านโดยทั่วไปจะมีการใช้ไหมล้วนและ
ไหมผสมทมี่ ลี กั ษณะโดดเดน่
การเล่นสใี นการจกซ่ึงข้นึ อยูก่ บั ความพอใจ
ข อ ง ผู้ ท อ ส า ม า ร ถ ป รั บ เ ป ล่ี ย น สี ไ ด้ ต า ม
ความชอบหรือความต้องการของผู้ทอเอง
โ ด ย ไ ม่ ไ ด้ ค า นึ ง ถึ ง รู ป แ บ บ สี ว่ า จ ะ ต้ อ ง
เ ห มื อ น กั น ต้ั ง แ ต่ ต้ น จ น จ บ ซึ่ ง จ ะ ไ ม่ พ บ
เ ท ค นิ ค ก า ร ท อ ใ น ลั ก ษ ณ ะ นี้ ใ น ก ลุ่ ม
วัฒนธรรมอ่ืน นอกจากน้ียังมีสี ที่มักนิยม
นามาจกในผ้าของกลุ่มผ้าซ่ินลาปางมักจะ
เ ป็ น สี น้ า เ งิ น ค ร า ม แ ล ะ สี เ ขี ย ว
(เขียวมะกอก) ซึ่งทาให้ลวดลาย มีส่ีสันที่
หลากหลายมากยิ่งข้ึน ถือได้ว่าเป็น
เอกลักษณ์ที่ชัดเจนของซิ่นตีนจกลาปาง
อีกประการหน่ึง โครงสร้างของรูปแบบการ
จกส่วนใหญ่จะเน้นการจกลายโคม ลายขัน
และลายนกหรือลายหงส์กินน้าร่วมต้น
ลวดลายมีขนาดใหญ่เน่ืองจากลดทอนลาย
เครือให้มีขนาด ลดลงเพ่ือเพ่ิมเนื้อที่ให้กับ
ลายหลัก ซ่ึงถือเป็นโครงสร้างหลักในการ
จกลายของผ้าซ่ินตีนจกลาปาง เอกลักษณ์
ที่โดดเด่นอีกประการหน่ึงของซ่ินตีนจก
ซ่ินตีนจกลาปาง จัดแสดงที่พิพธิ ภัณฑ์โกมลผา้ โบราณ ลาปางที่ไม่เหมือนที่อื่นคือ ตัวซิ่นซึ่งโดย
อ.ลอง จ.แพร่ ปกติจะเป็นซ่ินเหลืองละกอนยังมีการใช้สี
ท่ีเปน็ คสู่ ีพิเศษกวา่ เมืองอน่ื โดยจะใช้สีเขียว
และสีแดง โดยให้สีแดงเป็นสีพ้ืนและทอ
ขวางด้วยสีเขียว ซ่ึงเป็นความนิยมในกลุ่ม
ผา้ ซ่นิ ลาปาง
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณ์จงั หวัดลาปาง ๗
สัตภัณฑล์ ายละกอนไสห้ มู
วัดนาโจ้ ต.นาโจ้ อ.แม่ทะ จ.ลาปาง
ลายละกอนไส้หมู : ลายผา้ อัตลกั ษณ์จงั หวดั ลาปาง ๘
ล า ย ไ ส้ ห มู ถื อ เ ป็ น ห นึ่ ง ใ น ก ลุ่ ม ปัจจุบันยังไม่พบหลักฐานที่มาของลาย
ลวดลายท่ีแสดงเอกลักษณ์ของศิลปะ ไส้หมูท่ีแน่ชัด แต่หลักฐานเก่าแก่ พบว่า
ลาปางอย่างชัดเจน ลายไส้หมูจัดอยู่ใน ลวดลายดังกล่าวเป็นที่นิยมในช่วงสมัย
ก ลุ่ ม ล า ย ข้ี เ ม ฆ ห รื อ ล า ย เ ม ฆ ไ ห ล เจา้ หลวงวรญาณรังสี หรือราวปลายพุทธ
ซึ่ ง เ ป็ น ก ลุ่ ม ล า ย ท่ี ไ ด้ รั บ อิ ท ธิ พ ล จ า ก
ศิล ป ะ แ บ บ จีน ที่เ ข้า ม า มีบ ท บ า ท ศตวรรษที่ ๒๔ ถึงช่วงต้นพุทธศตวรรษที่
อิทธิพลต่อรูปแบบศิลปะล้านนาและ
ได้มีพัฒนาการจนกลายเป็นอัตลักษณ์ ๒๕ เปน็ ต้นมา ซงึ่ ในยุคดังกล่าวถือเป็นยุค
เฉพาะตนจากรูปลักษณ์ของลวดลาย ที่งานศิลปกรรมลาปางเจริญรุ่งเรืองเป็น
ในการขดม้วนไปมาในกรอบลายรูปแบบต่างๆ อย่างมากโดยเฉพาะการทานุบารุงพุทธ
ถูกมองว่ามีรูปลักษณ์คล้ายกันกับไส้หมู ศาสนาส่งผลให้ลวดลายไส้หมูไปปรากฏ
แต่บทบาทการใช้งานรวมถึงสัญลักษณ์ อยู่ตามอาคารศาสนสถาน โดยใช้ตกแต่ง
ที่ปรากฏยังคงอยู่ในบริบทของลายเมฆ อาคารและเสนาสนะต่างๆภายในวัดอาทิ
ไหลเหมือนเดิม โดยพบการใช้ลวดลาย วหิ าร อโุ บสถ ธรรมมาสน์ อาสนะจองสังฆ์
ไส้ห มู ในพื้ นท่ีบ ริเ ว ณ ลุ่ม แ ม่ น้า วั ง สัตภัณฑ์ เปน็ ตน้
ตั้งแต่เขตพื้นท่ีอาเภอวังเหนือล่องลงมา
จนถึงพื้นที่เขตอาเถอเถินและแม่พริก ลายละกอนไสห้ มู
นอกจากนีย้ งั พบหลักฐานลวดลายไส้หมู หน้าบันวิหารวัดประตูปุอง อ.เมือง จ.ลาปาง
ปรากฏอยูใ่ นพนื้ ท่ีชุมชนอ่ืนๆ ในจังหวัด
พะเยา เชียงราย ซ่ึงกลุ่มเหล่านี้
ล้ ว น มี ที่ ม า ข อ ง ชุ ม ช น ท่ี เ ชื่ อ ม โ ย ง กั บ
จังหวัดลาปางมาแต่คร้ังอดีตโดยเฉพาะ
การอพยพโยกย้ายของผู้คนชาวลาปาง
ในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา
หรอื อาเภอลองและอาเภอวังชิ้นเคยเป็น
พื้นทีส่ ่วนหนงึ่ ของจงั หวัดลาปางมาก่อน
ส่งผลให้ศิลปะและวัฒนธรรมรวมถึง
ร่ อ ง ร อ ย ล ว ด ล า ย ใ ส้ ห มู ยั ง ค ง ต ก ค้ า ง
อยู่ในพื้นท่ีดังกล่าวด้วย
ลายละกอนไส้หมู : ลายผา้ อตั ลกั ษณจ์ งั หวดั ลาปาง ๙
รูปแบบลวดลายส่วนใหญ่มักจะปรากฏกเป็นงานเทคนิคไม้แกะสลักปิดทอง
และงานไม้แกะสลักประดับกระจก นอกจากน้ียังพบลายใส้หมูในรูปแบบลายคา
และงานปูนป้ันประดบั งานพุทธศิลป์ ซ่ึงพบจานวนไม่มากนัก นอกจากการนาไปใช้
ประดับอาคารในพุทธศาสนาแล้วนี้ยังพบว่ามีการนาไปใช้ประดับอาคารบ้านเรือน
โดยเฉพาะไมแ้ กะสลักเหนือบานประตูของเรือนทเี่ รยี กว่า หายนต์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์
ของพ้นื ท่ี สว่ นบุคคลภายในเรอื นแบบลา้ นนาโบราณ ซ่งึ เรือนในพื้นท่ีจังหวัดลาปาง
น้ันพบว่านิยมใช้ลายใส้หมูในการแกะสลักเพ่ือใช้เป็นหายนต์เป็นจานวน มาก
อีกท้งั การนามาใช้ในการตอกดนุ ลายเคร่อื งเงนิ แบบโบราณ เปน็ ตลับ พาน หรือข้าว
ของเคร่ืองใช้อื่น ๆ อีกดว้ ย
ลายละกอนไสห้ มู
หน้าบันวหิ ารวัดเหล่าหลวง อ.เถิน จ.ลาปาง
ปัจจุบันยังสามารถพบลวดลายใส้หมูได้ตามโบราณสถานทั่วไปที่ยังคงเก็บ
รักษาตัวอาคารโบราณหรือชิ้นส่วนอาคารโบราณไว้เป็นจานวนมาก อาทิ ลวดลาย
ไส้หมบู รเิ วณโก่งคิ้ววหิ ารวัดประตปู อุ ง สัตภัณฑ์ลายใส้หมูของวัดปงสนุกเหนือ และ
ปงสนุกใต้ หรอื วหิ ารลายไส้หมู่ที่วัดทุ่งม่านเหนือ ลายใส้หมูจากหายนต์คุ้งเจ้าหลวง
บุญวาทย์ที่เก็บรักษาไว้ท่ีวัดเชียงรายและไม้แกะลายไส้หมูประดับอาคารใน
พิพิธภัณฑ์วัดพระแก้ว ดอนเต้าสุชาดาราม อาเภอเมืองลาปาง วิหารลายไส้หมู
ที่สวยงามของวัดเหล่าหลวง และวัดนาบ้านไร่ อาเภอเถิน หรืองานไม้แกะสลัก
หายนต์ลายใสห้ มูจากเรือนโบราณทมี่ ีผนู้ ามาบริจาคไว้ภายในพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุ
ลาปางหลวง พพิ ิธภณั ฑ์วดั พระเจดยี ์ซาวหลงั พพิ ธิ ภณั ฑว์ ดั พระเจา้ ทนั ใจ เปน็ ตน้
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผ้าอัตลักษณจ์ ังหวัดลาปาง ๑๐
รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายสืบสานงานศิลปวัฒนธรรม
ของชาติตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ผ้าพื้นถิ่นและการรณรงค์
ส่งเสริมอัตลักษณ์ ความเป็นไทย พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการสืบสาน
งานศิลปวัฒนธรรมของชาติ อนุรักษ์ฟ้ืนฟูผ้าทอชนิดต่างๆ ทั้งผ้าฝูายและผ้าไหม
ตลอดจนทรงส่งเสริมการผลิตการแปรรูป และจาหน่ายผ้าไทย ทาให้ประชาชน
และชุมชนมีรายได้ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเพื่อขับเคล่ือนอุตสาหกรรมวัฒนธรรม
ที่มีศักยภาพโดยเฉพาะการพัฒนาผ้าไทย การออกแบบลวดลายและแฟช่ัน
เพื่อยกระดับ ผ้าไทยสู่สากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “วัฒนธรรม ทาดี ทางาน ทาเงิน”
เพ่อื ส่งเสริมใหว้ ฒั นธรรมสร้างเศรษฐกจิ ฐานราก สร้างงาน สร้าง รายไดแ้ กช่ มุ ชนและ
ประเทศ
จังหวัดลาปางโดยคณะกรรมการคัดเลือกลายผ้าอัตลักษณ์ลาปางซึ่งประกอบ
ไปด้วยหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ในจังหวัดลาปาง โดยมีนายสิธิชัย จินดาหลวง
ผู้ว่าราชการจังหวัดลาปาง เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ
นักวิชาการเกี่ยวกับเร่ืองผ้า และอาภรณ์ของจังหวัดลาปางและดินแดนล้านนา อาทิ
อาจารยว์ ิถี พานิชพนั ธ์ ผูเ้ ช่ียวชาญดา้ นผา้ อัตลักษณล์ าปาง อาจารยโ์ กมล พานิชพันธ์
เจ้าของพิพิธภัณฑ์โกมลผ้าโบราณและผู้เชี่ยวชาญด้านเคร่ืองแต่งกายและอาภรณ์
ลา้ นนา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์เธยี รชาย อกั ษรดษิ ฐ์ ผเู้ ช่ียวชาญด้านผ้าอัตลักษณ์ล้านนา
และอาจารย์สทิ ธพิ นั ธ์ุ เหรา ผเู้ ช่ยี วชาญด้านเครอ่ื ง แตง่ กายและอาภรณ์ล้านนา ได้ทา
การ ศึกษา และร่วมกนั คดั เลอื กลายทีเ่ ป็นอัตลกั ษณข์ องจงั หวัดลาปาง เพ่ือพัฒนาเป็น
ลายผ้าทแ่ี สดงถงึ ความเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดลาปาง และสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต
ภูมิปัญญา วฒั นธรรม และประวัติศาสตร์อันโดดเด่น
ดังนั้นลายละกอนไส้หมจู ึงเหมาะสมในการเป็นลายอัตลกั ษณข์ องจังหวัดลาปาง
เป็นลวดลายของสกุลช่างลาปางท่ีปรากฏเฉพาะในเขตลุ่มน้าวัง ลักษณะของลวดลาย
ตอ่ เน่ืองตลอดชิ้นงาน ไมข่ าดชว่ ง และยังสามารถเล่อื นไหล ปรับรูปแบบให้มีความเป็น
สากลและร่วมสมัย สามารถนาไปใช้ต่อยอดในการผลิตผา้ ได้หลากหลายเทคนคิ วิธี อาทิ
เทคนิคการจก การพมิ พล์ าย การปักทอ การมัดย้อม รวมถึงพัฒนาลวดลายให้สามารถ
นาไปใชก้ บั ผลติ ภัณฑ์อื่นๆ ได้
นอกจากนั้นแล้ว ยังได้มีการกาหนดสีอัตลักษณ์ลาปาง คือ สีแดงครั่ง สีเขียว
มะกอก และสดี นิ ภเู ขาไฟ ซงึ่ สีแดงครั่งและสีเขียวมะกอก เป็นสีที่นิยมใช้บนผืนผ้าของ
จังหวัดลาปางมาตั้งแต่อดีต เนื่องจากจังหวัดลาปางเป็นแหล่งปลูกครั่งจานวนมาก
และมีดินจากภูเขาไฟแฝด คือ ภูเขาไฟดอยผาคอก-จาปาแดด และผาคอก-หินฟู
ซง่ึ ไมเ่ หมอื นท่ใี ดในประเทศไทยอกี ดว้ ย
ลายละกอนไส้หมู : ลายผ้าอัตลกั ษณ์จังหวดั ลาปาง ๑๑
การประยกุ ต์ใชล้ ายละกอนไสห้ มู
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อตั ลักษณ์จงั หวัดลาปาง ๑๒
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๑๓
ลายละกอนไส้หมู : ลายผา้ อัตลกั ษณ์จงั หวดั ลาปาง ๑๔
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๑๕
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๑๖
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๑๗
ออกแบบโดย ยจุ เรศ สมมา ๑๘
ลายละกอนไส้หมู : ลายผา้ อตั ลกั ษณ์จงั หวัดลาปาง
ตัวอย่างผลงานในปจั จุบนั
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลกั ษณจ์ งั หวัดลาปาง ๑๙
ลายละกอนไสห้ มูในเครอื่ งเงนิ ล้านนา
ลายละกอนไสห้ มูท่ีประดับบานประตหู ้องนอนเจ้าบุญวาทย์วงศว์ านติ ย์
ลายละกอนไส้หมู : ลายผา้ อัตลกั ษณจ์ งั หวัดลาปาง ๒๐
ผา้ ลายละกอนไส้หมทู ีท่ ูลเกล้าฯ ถวาย
ลายละกอนไส้หมู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ ังหวดั ลาปาง ๒๑
ภาคผนวก
ลายละกอนไส้หมู : ลายผา้ อัตลกั ษณ์จงั หวดั ลาปาง ๒๒
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๒๓
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๒๔
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๒๕
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๒๖
ลายละกอนไสห้ มู : ลายผา้ อัตลักษณจ์ งั หวัดลาปาง ๒๗