บันทึกข้อความ ส่วนราชการ โรงเรียนปายวิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขตแม่ฮ่องสอน ที่.................................... วันที่ 15 เดือน กันยายน พ.ศ. 2566 .........................................................................................................................……………………………………... เรื่อง รายงานการจัดส่งวิจัยในชั้นเรียน เรียน ผู้อำนวยการโรงเรียนปายวิทยาคาร ด้วยข้าพเจ้า นางสาวกาญจนา เนตรคำ ตำแหน่ง ครู โรงเรียนปายวิทยาคาร ได้จัดทำรายงานวิจัยในชั้น เรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem based Learning) รายวิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาและหรือพัฒนาคุณภาพผู้เรียน รายวิชา วิทยาการคำนวณ รหัสวิชา ว22182 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายละเอียดตามเอกสารแนบ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณา ลงชื่อ………………………………………................... (นางสาวกาญจนา เนตรคำ) ครูผู้สอนประจำวิชาวิทยาการคำนวณ ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………................... (นางสาวอินทราภรณ์ เพ็ญจิตต์) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิดเห็นของรองผู้อำนวยการโรงเรียน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………................... (นางจินดา บุญคง) รองผู้อำนวยการโรงเรียนปายวิทยาคาร ความเห็นของผู้อำนวยการโรงเรียน ทราบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ………………………………………................... (นายปุรเชษฐ์ มธุรส) ผู้อำนวยการโรงเรียนปายวิทยาคาร
รายงานการวิจัยในชั้นเรียน ชื่อเรื่องวิจัย : การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning โดย ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem based Learning) รายวิชาวิทยาการ คำนวณ เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัย : นางสาวกาญจนา เนตรคำ ที่มาและความสำคัญ ในปัจจุบันการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคน สร้างสังคม และสร้างชาติเป็นกลไกหลักในการ พัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพ สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างเป็นสุข ในกระแสการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกศตวรรษที่ 21 เนื่องจากการศึกษามีบทบาทสำคัญในการสร้างความได้เปรียบ ของประเทศเพื่อการแข่งขันและภายใต้ระบบเศรษฐกิจและสังคมประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยความก้าวหน้าด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแบบก้าว กระโดดที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ภูมิภาค และของโลกทำให้เกิดการปฏิวัติดิจิทัลต่อการเปลี่ยนแปลงสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ใน โลกต้องเผชิญกับระบบเศรษฐกิจโลกที่มีการแข่งขันอย่างเสรีและไร้พรมแดนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้การ เปลี่ยนแปลงสู่อุตสาหกรรมและการปรับเปลี่ยนประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 จะเป็นแรงผลักดันให้ประชากร สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและแหล่งเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัด สามารถพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างปัญญาที่เพิ่มขึ้น เป็นทวีคูณ มีการนำเทคโนโลยีการสื่อสาร และระบบการเรียนรู้แบบเคลื่อนที่มาใช้ มากขึ้น (แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579, น. 1) การจัดการศึกษาของไทยจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ วางแผนพัฒนาและ เตรียมกำลังคนที่จะเข้าสู่ตลาดงาน เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับต่างๆ ปรับหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนที่มี ความยืดหยุ่น หลากหลาย เพื่อพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และสมรรถนะที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันอย่างเสรีแบบไร้พรมแดนในยุคเศรษฐกิจ และสังคมเพื่อให้สอดคล้องกับประเทศไทยในยุค 4.0 จึงให้ความสำคัญกับทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 การ จัดการศึกษาในปัจจุบันจึงต้องปรับเปลี่ยนให้ตอบสนองกับทิศทางการผลิตและการพัฒนากำลังคนดังกล่าว โดย มุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้ได้ทั้งความรู้และทักษะที่จำเป็นต้อง ใช้ในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทักษะที่ผู้เรียนในศตวรรษ ที่ 21 จำเป็นต้องมีหนึ่งในนั้นคือ การคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) ซึ่งเป็นกระบวนการคิดที่ต้องใช้ ทักษะและเทคนิคเพื่อแก้ไขปัญหา การคิดเชิงคำนวณเป็นทักษะสำคัญที่ผู้เรียนต้องพัฒนา เพราะมีความเกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมทักษะด้านอื่นๆ ในศตวรรษที่ 21 (ภาสกร เรืองรอง, 2561) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ทำการปรับหลักสูตร แกนกลางการศึกษา พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) ในเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และภูมิศาสตร์ ใหม่ ปรับเปลี่ยนหลักสูตรสาระเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารไปสู่สาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) รายวิชาพื้นฐานในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาผู้เรียนให้ใช้การคิดเชิง คำนวณ ซึ่งสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ สามารถค้นหาข้อมูลหรือสารสนเทศ ประเมิน จัดการ วิเคราะห์สังเคราะห์และนำสารสนเทศไปใช้ในการแก้ปัญหาประยุกต์ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหาใน ชีวิตจริงและ ทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างปลอดภัย รู้เท่าทัน
มีความรับผิดชอบ มีจริยธรรม การคิดเชิงคำนวณจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรได้รับการพัฒนา (วัชรพัฒน์ ศรีคำเวียง, 2561) ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วย ตนเองมากที่สุดเพื่อให้ได้ทั้ง กระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การ ทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบเป็น หลักการ แนวคิดและองค์ความรู้ เพื่อเชื่อมโยงความรู้กับ กระบวนการให้ผู้เรียนมีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและ สร้างองค์ความรู้โดยใช้กระบวนการในการสืบ เสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน รวมถึงมีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย (สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน, 2560) สอดคล้องกับการคิดเชิงคำนวณซึ่งเป็นความสามารถที่เกี่ยวข้องกับ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการเรียนการสอนในรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ สาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) มีการส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาการเกี่ยวกับการคิดเชิงคำนวณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และสามารถประยุกต์ใช้ ความรู้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ (พิชญ์ อำนวยพร, 2562) การส่งเสริมการคิดเชิงคำนวณเป็นสิ่งจำเป็นต่อนักเรียน เนื่องจากเป็นกระบวนการแก้ปัญหา สามารถ พิจารณาปัญหาและจัดระเบียบข้อมูลที่มีเกี่ยวกับปัญหา ทดสอบ หาวิธีแก้ปัญหาได้เป็นลำดับ ขั้นตอน โดยใช้ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่มีอยู่ช่วยแก้ไขปัญหานั้นได้ (McKenna, J., 2017) ซึ่งการคิดเชิงคำนวณมีความสำคัญต่อ การเรียนวิทยาศาสตร์ทำให้นักเรียนสามารถมองเห็นภาพเกี่ยวกับ ปรากฎการณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ชัดเจนและเป็น ทักษะที่มีความเกี่ยวข้องกับทักษะเสริมศักยภาพอื่นๆ ในศตวรรษที่ 21 Wing, J.M. (2006) ได้กล่าวว่าทักษะเสริม ศักยภาพนี้ควรจะถูกเพิ่มเข้าไปใน ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเด็กทุกคน ให้สมกับเป็นส่วนประกอบที่ สำคัญของการเรียน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เนื่องจากการคิดเชิงคำนวณเป็น การ แก้ปัญหาที่มีลักษณะพิเศษคือประยุกต์ใช้หลักการของวิทยาการคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย การคิดแบบแยก ส่วนประกอบและการย่อยปัญหา (Decomposition) การหารูปแบบของปัญหา (Pattern Recognition) การ กำหนดสาระสำคัญหรือคิดเชิงนามธรรม (Abstraction) และการออกแบบขั้นตอนวิธี (Algorithm) ที่สามารถ นำมาใช้ในการแก้ปัญหาในศาสตร์อื่นๆ หรือปัญหาทั่วไปได้อย่างเป็นระบบ มีเหตุผลเป็นขั้นตอน ซึ่งการศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 จะเปลี่ยนจากคนวัยเรียนเป็นคนวัยทำงานจึงต้อง มีการเตรียมคนให้พร้อมเป็นกำลังแรงงานของ ประเทศ สำหรับประเทศไทยก็ได้มีการผลักดัน ความสามารถในการคิดเชิงคำนวณให้เป็นเรื่องที่ควรส่งเสริมกับ นักเรียน โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561) นำเสนอว่า การคิดเชิงคำนวณเป็น ความสามารถพื้นฐานของการคิดแก้ปัญหาต่างๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ด้วย เหตุนี้หน่วยงานการศึกษาต่างๆ ควรพัฒนานักเรียนให้เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการคิดเชิงคำนวณเพื่อ สามารถจัดการกับปัญหาทั่วไปในชีวิตประจำวันตลอดจนปัญหาในเรื่องการเรียนได้อย่างง่ายดายและเป็นระบบ ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนควรเป็นรูปแบบที่พัฒนาการคิดเชิงคำนวณ โดยให้นักเรียนได้เผชิญกับ สถานการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา เนื่องจากมนุษย์ต้องแก้ปัญหาต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ความท้าทายของ การคิดเชิงคำนวณอยู่ที่การออกแบบกระบวนการแก้ปัญหาที่คลุมเครือ ให้เป็นขั้นตอนที่ชัดเจนมากพอที่จะนำไปใช้ ในการแก้ปัญหาได้ (ปราโมทย์ วงศ์คำ, 2561) สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 ที่ผู้สอนต้องจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ให้ผู้เรียนได้ออกไปเผชิญปัญหาและการเปลี่ยนแปลง ซึ่ง เป็นการเรียนรู้และการพัฒนา ร่วมกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้จาก สถานการณ์จริงเชื่อมโยงกับเนื้อหาในบทเรียน (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2561) จะทำ ให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาบทเรียนได้ง่ายและจำได้นานมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมายและนำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม (ชยการ คีรีรัตน์, 2562)
จากการจัดการเรียนการสอนที่ผ่านมาพบว่า ผู้เรียนขาดทักษะการคิดเชิงคำนวณและการแก้ปัญหาแบบมี ลำดับขั้นตอน ซึ่งการคิดเชิงคำนวณนั้นเป็นพื้นฐานของการคิดแก้ปัญหาต่างๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน จึงส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในเรื่องนี้ต่ำ จากปัญหาดังกล่าว การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานน่าจะสามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาการคิดเชิงคำนวณของนักเรียน ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียน มีความเข้าใจและแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจาก บทเรียนในวิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ ตลอดจนสามาถคิดวิเคราะห์และออกแบบวิธีการ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอนและเป็นระบบที่ชัดเจน ดังนั้นผู้วิจัยจึงนำแนวทางการจัดการ เรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานมาปรับใช้ในการสอนวิชาวิทยาการคำนวณ เพื่อพัฒนาการคิดเชิงคำนวณของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในรายวิชาการวิทยาการคำนวณ เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปายวิทยาคาร วิธีการดำเนินการวิจัย ผู้จัดทำได้กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่างดังนี้ 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปายวิทยาคาร จำนวน 248 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนปายวิทยาคาร จำนวน 39 คน 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem based Learning) รายวิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem based Learning) รายวิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ห้อง เครื่องมือวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาวิทยาการคำนวณ 2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ
ผลการวิจัย ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้กระบวนการจัดการ เรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem based Learning) รายวิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง แนวคิดเชิง คำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากได้ดำเนินการจัดกิจกรรม และทำการบันทึกคะแนนไว้เพื่อหาค่า ความแตกต่างโดยเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ได้ผลดังปรากฏในตารางดังต่อไปนี้ ตารางวิเคราะห์ที่ 1 แสดงจำนวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนปายวิทยาคาร ร้อยละ จำนวน ร้อยละ นักเรียนชาย 15 38 นักเรียนหญิง 24 62 รวม 39 100 จากตาราง พบว่าจำนวนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนปายวิทยาคาร ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการ วิจัยนี้ จำนวน 39 คน เป็นนักเรียนชายจำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 38 และเป็นนักเรียนหญิงจำนวน 24 คน คิด เป็นร้อยละ 62 ตารางวิเคราะห์ที่ 2 ตารางแสดงคะแนนเรียนก่อนเรียน และ หลังเรียน รายวิชาวิทยาการคำนวณ 2 เรื่อง แนวคิด เชิงคำนวณ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 นักเรียน คนที่ ชื่อ-สกุล คะแนนก่อนเรียน Pre-test คะแนนหลังเรียน Post-test คะแนน ผลต่าง D 1 เด็กชายขวัญ เจริญสุข 17 20 3 2 เด็กชายชีวธันย์ ปัญญาชัย 18 20 2 3 เด็กชายณฐนนท์ ยาละ 5 16 11 4 เด็กชายติโต ซิลล์วิโอ เมดิเนลลิ 5 18 13 5 เด็กชายเตชิน เทนิทธิ 13 14 1 6 เด็กชายธนกฤต วรกิจ 8 14 6 7 เด็กชายธนกฤต สังข์หอม 6 18 12 8 เด็กชายนพรัตน์ นั้นหม่อง 6 13 7 9 เด็กชายนรภัทร ยอดยิ่ง 7 15 8 10 เด็กชายนิพิฐพงษ์ อินต๊ะปัญญา 11 18 7 11 เด็กชายปรเมศร์ ชอบดี 17 19 2 12 เด็กชายปุณณวิช กุลทอง 9 15 6 13 เด็กชายภานุพงศ์ - 7 17 10 14 เด็กชายศักดิเดช ศรีพายัพ 9 18 9 15 เด็กชายสิรดนัย ตาไฝ 5 19 14 16 เด็กหญิงซือซูมิ เลาสี่ 7 16 9 17 เด็กหญิงฐิติกานต์ มูลน้อย 6 11 6 18 เด็กหญิงณขวัญ ตานันท์ 18 20 2 19 เด็กหญิงณัฐนันท์ สิงห์แก้วฟู 14 18 4 20 เด็กหญิงณิชารีย์ คำหลวง 10 11 2
นักเรียน คนที่ ชื่อ-สกุล คะแนนก่อนเรียน Pre-test คะแนนหลังเรียน Post-test คะแนน ผลต่าง D 21 เด็กหญิงดลณภา สีฉว่า 11 15 4 22 เด็กหญิงเดือนกัญญา ก้อนแก้ว 5 10 7 23 เด็กหญิงธีรกานต์ กันทาน้อย 8 14 6 24 เด็กหญิงบัวใส - 10 13 3 25 เด็กหญิงปภิณพิทย์ จำชาติ 12 18 6 26 เด็กหญิงปิยนันท์ ภูแสน 9 16 7 27 เด็กหญิงปุญญวีย์ วงษ์มูล 8 18 10 28 เด็กหญิงพิมพ์ชนก กิติวรรณ์ 4 15 11 29 เด็กหญิงพิมพ์พิศา พรมสิทธิ์ 5 20 15 30 เด็กหญิงรัชเกล้า เอดี ราชสมบัติ 8 17 9 31 เด็กหญิงรัชนีกร วิชชากรเจริญ 5 16 11 32 เด็กหญิงวาโย พักกระสา ชิลแลนเดอร์ 11 18 7 33 เด็กหญิงศศิพิมพ์ ปิ่นสกุล 9 11 3 34 เด็กหญิงสอนปาย อาทอนเก็ต 7 17 10 35 เด็กหญิงสายใยรัก ศรีสวัสดิ์ 4 14 10 36 เด็กหญิงหน่อเงิน แรงใส 17 18 1 37 เด็กหญิงอักษราภัค ป่าไม้งาม 16 18 2 38 เด็กหญิงอัญญรัตน์ เทศมี 9 15 6 39 เด็กหญิงอำภา หนั่นใจ 13 15 2 Sum 369 628 259 Mean 9.46 16.10 6.64 S.D. 4.19 2.69 3.93 ตารางค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระดับนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบ เปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนของนักเรียน (n =39) การทดสอบ S.D. t Sig.(1-tailed) ก่อนเรียน 9.46 4.19 6.64 3.93 10.55* 0.0000 หลังเรียน 16.10 2.69 จากตารางพบว่า การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้น ม.2/1 จำนวน 39 คน คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 9.46 คะแนน และ 16.10 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
สรุปผลการวิจัย ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยตามประเด็นที่ศึกษา ดังนี้ ค่าคะแนนรายวิชาวิทยาการคำนวณ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อนำคะแนนมาเปรียบเทียบ มีคะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 9.46 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 16.10 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem based Learning) คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ข้อเสนอแนะ เพื่อให้ผลการวิจัยครั้งนี้ มีประโยชน์มากยิ่งขึ้นจึงควรมีการนำผลจากการวิจัย และมีการศึกษาเพิ่มเติม ดัง ข้อเสนอแนะต่อไปนี้ 1) ควรมีการศึกษาเจตคติต่อการเรียนรู้ของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning โดย ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL (Problem based Learning) 3) ควรมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างต่อเนื่อง และในระดับชั้นอื่นๆ