The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by far0923845783, 2022-10-21 02:06:07

วัฒนธรรม 4 ภาค

วัฒนธรรม 4 ภาค

วัฒนธรรม
4 ภาค

ภาคเหนือ

ภาคเหนือของไทย มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเขตภูเขาสลับพื้นที่ราบระหว่างภูเขา ซึ่งผู้คน
อาศัยอย่างกระจายตัวแบ่งกันเป็นกลุ่ม อาจเรียกว่ากลุ่มวัฒนธรรมล้านนา โดยจะมีวิถีชีวิตและ
ขนบธรรมเนียมเก่าแก่เป็นของตนเอง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สังคมและวัฒนธรรมชาวเหนือ
ส่วนใหญ่มักนิยมอยู่ร่วมกันครอบครัวใหญ่ ผู้น้อยให้ความนับถือแก่บรรพบุรุษและผู้อาวุโส
นอกจากนี้ ตามภูเขา ซึ่งอยูห่างไกลจากตัวเมืองยังเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของชาวเขาเผาต่าง ๆ เช่น
มูเซอร์ กระเหรี่ยง อีก้อ แม้ว เป็นต้น ซึ่งแต่ละเผ่าจะมีความเป็นอยู่ในสังคมแตกต่างกัน มีอา
ชีพทําไร่ หาของป่าทําเครื่องเงินและทอผ้า โดยผู้หญิงนั้นจะทํางานหนักกว่าผู้ชาย

ภาคเหนือมีสภาพภูมิอากาศค่อนข้างหนาว อุดมไปด้วยป่าและแหล่งน้ำ และเนื่องจากสภาพ
ภูมิอากาศดังกล่าวให้ประชาชนภาคเหนือมีนิสัยค่อนข้างรักสงบ พูดจาไพเราะ อ่อนหวานมี
อัธยาศัยดีเป็นมิตรกับคนทั่วไป ชาวเหนือส่วนใหญ่จะมีผิวพรรณค่อนข้างขาว ใบหน้าและรูปร่าง
ดีจึงเรียกว่า ”ถิ่นไทยงาม”

วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือ

1.ด้านภาษา
ชาวไทยทางภาคเหนือมีภาษาล้านนาที่นุ่มนวลไพเราะ ซึ่งมีภาษาพูดและภาษาเขียนที่เรียก

ว่า "คำเมือง" ของภาคเหนือเอง โดยการพูดจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ ปัจจุบันยังคง
ใช้พูดติดต่อสื่อสารกัน

2.ด้านการแต่งกาย
การแต่งกายพื้นเมืองของภาคเหนือมีลักษณะแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติของกลุ่มชนคน

เมืองเนื่องจากผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งบ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นถิ่น

ภาคเหนือ

ผู้หญิง

ผู้หญิงชาวเหนือจะนุ่งผ้าซิ่น หรือผ้าถุง มีความยาวเกือบถึง
ตาตุ่ม ซึ่งนิยมนุ่งทั้งสาวและคนแก่ ผ้าถุงจะมีความประณีต งดงาม
ตีนซิ่นจะมีลวดลายงดงาม ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลม มีสีสัน
ลวดลายสวยงามอาจห่มสไบทับ และเกล้าผม

ผู้ชาย

ผู้ชายนิยมนุ่งนุ่งกางเกงขายาวลักษณะแบบกางเกงขายาว
แบบ 3 ส่วน เรียกติดปากว่า "เตี่ยว" "เตี่ยวสะดอ" หรือ "เตี่ย
วกี" ทำจากผ้าฝ้าย ย้อมสีน้ำเงินหรือสีดำ และสวมเสื้อผ้าฝ้าย
คอกลมแขนสั้น แบบผ่าอกกระดุม 5 เม็ด สีน้ำเงินหรือสีดำ ที่
เรียกว่า เสื้อม่อฮ่อม อาจมีผ้าคาดเอว ผ้าพาดบ่า และมีผ้าโพก
ศีรษะ
3.ด้านอาหารการกิน
ชาวเหนือมีวัฒนธรรมการกินคล้ายกับคนอีสาน คือ กินข้าวเหนียวและปลาร้า ซึ่งภาษาเหนือ
เรียกว่า "ข้าวนิ่ง" และ "ฮ้า" ส่วนกรรมวิธีการปรุงอาหารของภาคเหนือจะนิยมการต้ม ปิ้ง แกง หมก
ไม่นิยมใช้น้ำมัน ส่วนอาหารขึ้นชื่อ ได้แก่ น้ำพริกหนุ่ม, น้ำพริกอ่อง, น้ำพริกน้ำปู, ไส้อั่ว, แกง
โฮะ, แกงฮังเล, แคบหมู, ผักกาดจอ ลาบหมู, ลาบเนื้อ, จิ้นส้ม (แหนม), ข้าวซอย และขนมจีน
น้ำเงี้ยว และชาวเหนือชอบกินหมากและอมเมี่ยง ซึ่งนอกจากการอมเมี่ยงแล้ว คนล้านนาโบราณมี
ความนิยมสูบบุหรี่ที่มวนด้วยใบตองกล้วยมวนหนึ่งขนาดเท่านิ้วมือ มีความยาวเกือบคืบ ชาวบ้าน
เรียกจะเรียกบุหรี่ชนิดนี้ว่า ขี้โย หรือบุหรี่ขี้โย ที่นิยมสูบกันมากอาจเนื่องมาจากอากาศหนาวเย็น
เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

ภาคเหนือ

4.ด้านศาสนาและความเชื่อ
ชาวล้านนามีความผูกพันอยู่กับการนับถือผีซึ่งเชื่อว่ามีสิ่งเร้าลับให้ความคุ้มครองรักษาอยู่

ซึ่งสามารถพบเห็นได้จากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อเวลาที่ต้องเข้าป่าหรือต้องค้างพัก
แรมอยู่ในป่าจะนิยมบอกกล่าวและขออนุญาตเจ้าที่-เจ้าทางอยู่เสมอ และเมื่อเวลาที่กินข้าวใน
ป่าจะแบ่งอาหารบางส่วนให้เจ้าที่อีกด้วย เช่นกัน ซึ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวิถีชีวิตที่ยังคงผูก
ผันอยู่กับการนับถือผีสาง

5.ด้านการละเล่นพื้นเมือง
โอกาสที่จะแสดง นิยมโชว์ในงานพระราชพิธี หรือวันสำคัญทาง

ศาสนา ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองงานมงคล และงานรื่นเริงทั่วไป
ในที่นี้จะแสดงตามความเหมาะสมตามสถานการณ์ ได้แก่ ฟ้อนภูไท
ฟ้อนเทียน, ฟ้อนเล็บ หรือฟ้อนเมือง, ฟ้อนดาบ, ฟ้อนเงี้ยว,
ฟ้อนลาวแพน, ฟ้อนรัก, ฟ้อนดวงเดือน, ฟ้อนดวงดอกไม้, ฟ้อน
มาลัย, ฟ้อนไต , ฟ้อนโยคีถวายไฟ, ระบำชาวเขา, รำลาวกระทบไม้,
รำกลองสะบัดชัย

6.ด้านประเพณี
ประเพณีของภาคเหนือ เกิดจากการผสมผสานการดำเนินชีวิต และศาสนาพุทธความเชื่อ

เรื่องการนับถือผี ส่งผลทำให้มีประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของประเพณีที่จะแตกต่างกันไปตาม
ฤดูกาล ทั้งนี้ ภาคเหนือจะมีงานประเพณีในรอบปีแทบทุกเดือน จึงขอยกตัวอย่างประเพณีภาค
เหนือบางส่วนมานำเสนอ

ภาคเหนือ

ประเพณีปอยหลวง

ประเพณีปอยหลวง หรืองานบุญปอยหลวง เป็น
เอกลักษณ์ของชาวล้านนาซึ่งเป็นผลดีต่อสภาพทางสังคม
ถือว่าเป็นการให้ชาวบ้านได้มาทำบุญร่วมกัน ร่วมกันจัด
งานทำให้เกิดความสามัคคีในการทำงาน งานทำบุญปอย
หลวงยังเป็นการรวมญาติพี่น้องที่อยู่ต่างถิ่นได้มีโอกาส
ทำบุญร่วมกัน และมีการสืบทอดประเพณีที่เคยปฏิบัติกัน
มาครั้งแต่บรรพชนไม่ให้สูญหายไปจากสังคม

ประเพณียี่เป็ง

ประเพณียี่เป็ง (วันเพ็ญเดือนยี่) หรืองานลอย
กระทง โดยจะมีงาน "ตามผางผะติ้ป" (จุดประทีป) ซึ่งชาว
ภาคเหนือตอนล่างจะเรียกประเพณีนี้ว่า "พิธีจองเปรียง"
หรือ "ลอยโขมด" เป็นงานที่ขึ้นชื่อที่จังหวัดสุโขทัย

ประเพณีปอยน้อย

ประเพณีปอยน้อย/บวชลูกแก้ว/แหล่ส่างลองเป็นประเพณีบวช หรือการบรรพชาของชาวเหนือ
นิยมจัดภายในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม หรือเมษายน ตอนช่วงเช้า ซึ่งเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้ว ในพิธี
บวชจะมีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีการแห่งลูกแก้วหรือผู้บวชที่จะแต่งตัวอย่างสวยงามเลียน
แบบเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะถือคตินิยมว่าเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกบวชจนตรัสรู้ และนิยมให้ลูก
แก้วขี่ม้า ขี่ช้าง หรือขี่คอคน เปรียบเหมือนม้ากัณฐกะม้าทรงของเจ้าชายสิทธัตถะ ปัจจุบันประเพณีบวช
ลูกแก้วที่มีชื่อเสียง คือ ประเพณีบวชลูกแก้ว ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน มีพื้นที่เป็นที่ราบสูง ประกอบด้วยป่า และภูเขามีที่ราบ
เล็กน้อยพื้นดินส่วนใหญ่เป็นดินปนทราย ภูมิอากาศค่อนข้างร้อนและแห้งแล้ง มีลำน้ำที่สำคัญ
ได้แก่ ลำน้ำชี ลำน้ำมูล ลำน้ำพอง และลำน้ำโขงซึ่งกั้นเขตแดน

ความเป็นอยู่ของชาวภาคอีสานค่อนข้างเรียบง่าย มีระบบสังคมแบบเครือญาติ เช่นเดียวกบุชาวไทย
ในภาคอื่น ๆ คือมักอยู่รวมเป็นครอบครัวใหญ่ นับถือบรรพบุรุษและผู้อวุโส มีอุปนิสัยเป็นมิตรกับคน
ทั่วไปซื่อตรง อดทน และไม่ค่อยมีเล่ห์เหลี่ยม

วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

1.ด้านภาษา
ภาษาที่ใช้ในภาคอีสานนั้น อาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น ภาษาหลักที่ใช้คือ ภาษา

อีสาน ซึ่งถือว่า เป็นภาษาลาวสำเนียงหนึ่ง แต่ในตัวเมืองใหญ่ ๆ มักนิยมใช้ภาษากลาง ขณะที่
บริเวณอีสานใต้นิยมใช้ภาษาเขมร และยังมีภาษาถิ่นอื่น ๆ เช่น ภาษาผูไท ภาษาโส้ ภาษาไทย
โคราช เป็นต้น

2.ด้านการแต่งกาย
ผู้ชาย มักนิยมสวมเสื้อ ม่อฮ่อม ซึ่งเป็นเสื้อแขนสั้นสีเข้ม ๆ สวม

กางเกงสีเดียวกับเสื้อจรดเข่า นิยมใช้ผ้าคาดเอวด้วยผ้าขาวม้า ขณะที่
ผู้หญิง มักสวมใส่ผ้าซิ่นแบบทอทั้งตัว สวมเสื้อคอกลม แขนยาว

เล่นสีสัน แต่หากเป็นงานพิธีต่าง ๆอาจมีการห่มผ้าสไบเฉียง สวม
เครื่องประดับตามข้อมือ ข้อเท้า และคอ เพิ่มด้วย

ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่าง ดังนั้นใต้ถุนบ้านในอดีตจะมีการกางหูก
ทอผ้ากันไว้แทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่าง ๆ จะสืบทอดการทอผ้าตั้งแต่เด็ก โดยผ้า
ทอมือเหล่านี้ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย และผ้าไหม โดยผ้าทอของภาคอีสาน
สามารถจำแนกออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยผ้าทอชนิดนี้จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะ
ต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสี

2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่าง ๆ งานแต่งงาน งานฟ้อน
รำ ดังนั้นผ้าทอจึงมักมีลวดลายสวยงาม และมีสีสันหลากหลาย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

3.ด้านอาหารการกิน
อาหารจากภาคอีสาน ถือเป็นอาหารยอดนิยม ซึ่งเมนูที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ได้แก่ เมนูส้มตำ

โดยเฉพาะส้มตำไทย ที่สามารถรับประทานได้ทุกที่ ทุกเวลา เนื่องจากส้มตำมีส่วนประกอบหลักคือ
ผัก และสามารถรับประทานคู่กับ ข้าวเหนียว ข้าวสวย ขนมจีน ได้ตามที่ต้องการนอกจากเมนูส้มตำ
แล้ว อาหารอีสานที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ ลาบ ก้อย ข้าวเหนียวไก่ย่าง ปลาร้าหลน
ข้าวจี่ ผัดหมี่โคราช แกงอ่อมแกงผักหวานไข่มดแดง เป็นต้น

4.ด้านการละเล่นพื้นเมือง
การแสดงของภาคอีสาน มักเกิดจากกิจวัตรประจำวัน หรือประจำฤดูกาล และลักษณะการ

แสดงซึ่งเป็นลีลาเฉพาะของอีสาน คือ ลีลาและจังหวะในการก้าวเท้า ที่มีลักษณะคล้ายเต้น แต่นุ่ม
นวลกว่า และมักเดินด้วยปลายเท้า โดยจะสบัดเท้าไปข้างหลังสูง
การละเล่นแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ

• กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ หมอลำ ซึ่งแบ่งได้ 5 ชนิด คือ หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำ
หมู่หมอลำเพลิน หมอลำผีฟ้า

• กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ กันตรึม เจรียง เพลงโคราช

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ภาคอีสานมักนิยมประดิษฐ์การฟ้อนรำขึ้นมาใหม่ ทำให้มีผู้แบ่งศิลปะการฟ้อนทั้งชุดเก่า และ
ชุดใหม่ที่ปรากฏอยู่ในภาคอีสานออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะออกมาในรูปของการแสดง
พื้นเมือง ได้แก่

1. การฟ้อนเลียนกิริยาอาการของสัตว์ เช่น กระโนบติงต๊อง แมงตับเต่า และกบกินเดือน
2. การฟ้อนชุดโบราณคดี เช่น ระบำบ้านเชียง รำศรีโคตรบูรณ์ ระบำพนมรุ้ง และระบำจัมปา
ศรี
3. การฟ้อนประกอบทำนองลำนำ เช่น ฟ้อนคอนสวรรค์ รำตังหวาย เซิ้งสาละวัน และเซิ้ง
มหาชัย
4. การฟ้อนชุดชุมนุมเผ่าภูไท 3 เผ่า คือ เผ่าไทภูพาน เผ่าไทยบุรีรัมย์ และเผ่าไทยโคราช
5. การฟ้อนด้วยเรื่องราวจากวรรณกรรม เช่น มโนห์ราเล่นน้ำ
6. การฟ้อนเซ่นสรวงบูชา เช่น ฟ้อนภูไท เซิ้งบั้งไ เซิ้งผีหมอ ฟ้อนผีฟ้า รำบายศรี
7. การฟ้อนศิลปาชีพ เช่น เซิ้งสาวไหม เซิ้งข้าวปุ้น เซิ้งแหย่ไข่มดแดง
8. การฟ้อนเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เช่น เซิ้งแคน เป่าแคน รำโปงลาง ฟ้อนกลองตุ้ม

5.ด้านประเพณี

เทศกาลผีตาโขน จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เดิมทีมีชื่อเรียกว่า ผี
ตามคน เป็นเทศกาลที่ได้รับอิทธิพลมาจากมหาเวสสันดรชาดก ในตอนที่พระเวสสันดรและพระนา
งมัทรีจะทำการออกเดินทางจากป่าเข้าสู่เมืองหลวง โดยในระหว่างการเดินทางก็ได้มีสัตว์ป่า ภูตผี
ปีศาจ ที่อาศัยอยู่ในป่าออกมาส่งเสด็จ โดยเอกลักษณ์และความโดดเด่นของเทศกาลผีตาโขน คือ
การนำชุดและหน้ากากของผีตาโขนมาสวมใส่ เพื่อเต้นรำไปตามจังหวะเสียงดนตรี

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เทศกาลบั้งไฟพญานาค

เทศกาลบั้งไฟพญานาค ปรากฏการณ์ที่ยังคงหาคำตอบพิสูจน์ไม่ได้กับเทศกาลบั้งไฟ
พญานาค โดยเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงที่สามารถเห็นได้จากฝั่งประเทศไทย และฝั่งประเทศลาว โดย
ไฮไลต์สำคัญคือการเฝ้ารอดวงไฟเรืองแสงที่จะลอยขึ้นมาจากผิวน้ำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

เทศกาลขึ้นเขาพนมรุ้ง

เทศกาลขึ้นเขาพนมรุ้ง ถูกจัดขึ้นทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำ ประมาณเดือนเมษายน เพื่อชม
ปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์คือ พระอาทิตย์จะสาดแสงเป็นเส้นตรงทะลุช่องประตูทั้ง 15 บาน และพิธี
บวงสรวงองค์พระศิวะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาพนมรุ้ง

ภาคกลาง

ภาคกลางเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่มานาน เป็นศูนย์กลางทางการค้า การเมือง การปกครอง
เศรษฐกิจและศิลปะวิทยาการแขนงต่าง ๆ ปัจจุบันวัฒนธรรมของภาคกลางจึงมีความหลากหลายซับ
ซ้อน มีทั้งวัฒนธรรมของหลวงและวัฒนธรรมพื้นบ้าน สังคมไทยภาคกลางเป็นระบบเครือญาติ ผู้น้อย
จะนับถือผู้อวุโส และชาวไทยในชนบทยังนิยมการอยู่ร่วมกันป็นครอบครัวใหญ่ หรืออยู่ละแวกเดียวกัน
อุปนิสัยของคนในภาคกลางค่อนข้างเป็นมิตรกับคนทั่วไป รักพวกพ้องและพึ่งพาอาศัยกัน

วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคกลาง

1.ด้านภาษา
ชาวภาคกลางพูดสื่อสารกันโดยส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทยกลางที่เป็นภาษาราชการ ยกเว้นคนบาง
กลุ่มที่มีบรรพบุรุษ เป็นชาวจีน ชาวมอญ หรือชาวลาวพวน ซึ่งมีสำเนียงภาษาที่แตกต่างออกไป

2.ด้านการแต่งกาย
การแต่งกายในชีวิตประจำวันทั่วไป
• ผู้ชาย จะนุ่งกางเกงครึ่งน่อง สวมเสื้อแขนสั้น คาดผ้าขาวม้า
• ผู้หญิง จะนุ่งซิ่นยาว สวมเสื้อแขนสั้นหรือยาว
แต่หากเป็นชุดไทย สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ผู้ชายจะนิยมสวมใส่โจง

กระเบนสวมเสื้อสีขาว ติดกระดุม 5 เม็ด ที่เรียกว่า "ราชประแตน" ส่วนผู้หญิงจะนิยมสวมใส่ผ้าซิ่นยาว
ครึ่งแข้ง ห่มสไบเฉียง

3.ด้านอาหารการกิน
อาหารพื้นบ้านภาคกลาง ซึ่งเป็นแหล่งรวมสำรับอาหารอันหลากหลาย ประกอบขึ้นด้วยวิธีการปรุง
หลายแบบ เช่น แกง ต้ม ผัด ทอด และมักใช้กะทิใส่อาหารประเภทแกงเผ็ดทุกชนิด เช่น แกงเขียว
หวานนอกจากนี้มีแกงส้ม แกงเลียง แกงป่า แกงจืด และมักจะมีน้ำพริกและผักจิ้ม โดยจะรับประทาน
กับข้าวสวยเป็นหลัก

ภาคกลาง

4.ด้านการละเล่นพื้นบ้าน
การละเล่นพื้นบ้านของชาวภาคกลางนั้น มีทั้งการละเล่นแบบที่ใช้อุปกรณ์เป็นตัวเชื่อมการเล่น
หรือการละเล่นเป็นกลุ่ม บ้างก็เป็นการละเล่นแบบเดี่ยว แต่ส่วนมากมักจะมีการร้องเพลงประกอบ
การละเล่นต่าง ๆ อาทิ หมากเก็บ, ว่าว, ตี่จับ, รำตง, การเล่นโม่ง, สะบ้าล้อ, เพลงเรือบก, คำทาย
(โจ๊กปริศนา), เพลงปรบไก่, กลองยาว, หลุมเมือง, เพลงเรืออยุธยา, การแข่งขันวัวลาน, เพลง
ปรบไก่, การทอยสะบ้า, นางลิงลม, การเข้าผีนางด้ง ฯลฯ

5.ด้านเพลงพื้นบ้าน
ในภาคกลางเพลงพื้นบ้านก็จะแต่งมาจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยแยก
เป็นประเภท ได้ดังนี้
- เพลงที่ร้องเล่นในฤดูน้ำมาก ได้แก่ เพลงเรือ เพลงร่อยพรรษา เพลงรำภาข้าวสาร
- เพลงที่ร้องเล่นในฤดูเกี่ยวข้าวและนวดข้าว ได้แก่ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเต้นรำกำเคียว เพลง
จากซึ่งใช้ร้องเล่นระหว่างเกี่ยวข้าว
- เพลงที่ร้องเล่นในช่วงตรุษสงกรานต์ ได้แก่ เพลงสงกรานต์ เพลงหย่อย เพลงระบำบ้านไร่
- เพลงที่ร้องเล่นได้ทุกโอกาส เพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน และเกิดความสามัคคีในหมู่
คณะมักจะร้องเล่นกันในโอกาสทำงานร่วมกัน หรือมีงานบุญและงานรื่นเริงต่าง ๆ โดยเป็นเพลงใน
ลักษณะพ่อเพลงแม่เพลงอาชีพที่ใช้โต้ตอบกัน ได้แก่ เพลงอีแซว เพลงฉ่อย เพลงลำตัด เป็นต้น

ภาคกลาง

6.ด้านประเพณี
ชาวไทยภาคกลางส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และมีความเชื่อเกี่ยวกับเทวดา ภูตผี ตลอดจน
ไสยศาสตร์ ซึ่งชาวไทยจะถือปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา และบำเพ็ญบุญกุศลตามศาสนาของ
ตน ในสมัยโบราณวัดจะเป็นศูนย์กลางของชุมชน คือนอกจากเป็นที่บำเพ็ญบุญกุศลแล้วยังเป็นท่ี
เรียน ที่พบปะสังสรรค์ และเป็นที่จัดงานรื่นเริงในเทศกาลต่าง ๆ ของชุมชนด้วย

ขนบประเพณีท่ีชาวไทยภาคกลางปฏิบัติสืบทอดกันมาแบ่งเป็น 3 ประเภท

1. ขนบประเพณีเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งมีประเพณีต่าง ๆ ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เช่น ทำขวัญ
โกนผมไฟโกนจุกบวชนาค แต่งงงาน ปลูกเรือน ขึ้นบ้านใหม่ ต่ออายุ และงานศพ เป็นต้น

2. ประเพณีเก่ียวกับศาสนา
เช่น การทำบุญถวายภัตตาหารแก่ภิกษุ
สงฆ์ในวันสำคัญทางศาสนา การเวียน
เทียน การบวชนาค การแห่เทียนพรรษา
เทศน์มหาชาติ การทอดกฐิน เป็นต้น

3. ประเพณีเกี่ยวกับอาชีพ จัดทำขึ้นเพื่อ
ความสําเร็จ ความอุดมสมบูรณ์และสิริมงคล
เช่น พิธีแรกนาขวัญก ารทำขวัญข้าว และ
พิธีไหวครู เป็นต้น

ภาคใต้

ภูมิประเทศของภาคใต้มีเอกลักษณ์เฉพาะ คือมีชายฝั่งประกบเทือกเขาสูงที่อยู่ตรงกลาง ซึ่ง
ไม่มีภูมิภาคอื่นๆ ภูมิประเทศเป็นหลักจึงเป็นเทือกเขาและชายฝั่ง เป็นที่ราบจะมีอยู่เป็นแนวแคบๆ
แถบชายฝั่ง ทะเลและสองฝั่งลาน้ำ การตั้งถิ่นฐานจะอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลทั้งด้านตะวันออกและ
ตะวันตก จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของภาคใต้ ทำให้มีคนที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมอย่างหลาก
หลาย เดินทางเข้ามาภาคใต้ มีทั้ง ชาวพุทธ ชาวมุสลิม ต่างเชื้อชาติกัน เช่น คนไทย คนจีน และผู้
ที่มีเชื้อสายมาเลย์ รวมทั้ง ชาวเมือง เช่นชาวเล อาศัยอยู่กัน วัฒนธรรมภาคใต้จึงมีรูปแบบอันเป็น
เอกลักษณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดยชาวใต้มีอุปนิสัยค่อนข้างอดทน เข้มแข็ง มีความมุ่งมั่น
สูง และปราดเปรียว ว่องไว ชาวใต้จะนับถือบรรพบุรุษและผู้อวุโสกว่า และนับถือภูตผีปีศาจด้วย ใน
การอยู่รวมกันในสังคมแบบเครือญาติ คือลูกหลานจะอยู่รวมกันเป็นสังคมใหญ่ เมื่อแต่งงานไปแล้ว
อาจสร้างบ้านเรือนอยู่ในละแวกเดียวกัน

วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้

1.ด้านภาษา
ชาวภาคใต้พูดสื่อสารกันโดยส่วนใหญ่ใช้ภาษาใต้ แต่บางจังหวัดพูดภาษามลายู

2.ด้านการแต่งกาย
ประชาชนในภาคใต้มีการแต่งกายต่างกันตามเชื้อชาติ ทำให้การใช้วัสดุและรูปแบบมี

เอกลักษณ์ไปตามเชื้อชาติ

1. กลุ่มเชื้อสายจีน-มลายู เรียกชนกลุ่มนี้ว่ายะหยา หรือ ยอนย่า เป็นกลุ่มชาวจีน เชื้อสาย
ฮกเกี้ยนที่มาสมรสกับชนพื้นเมืองเชื้อสายมลายู ชาวยะหยาจึงมีการแต่งกายอันสวยงามที่ผสม
ผสานรูปแบบของชาวจีนและมลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใส่เสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบ
คอ, เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะ ฝ่ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบ
จีนดั้งเดิมอยู่

ภาคใต้

2. กลุ่มชาวไทยมุสลิม ชนดั้งเดิมของดินแดนนี้นับถือศาสนาอิสลาม และมีเชื้อสายมลายู
ยังคงแต่งกายตามประเพณี อันเก่าแก่ฝ่ายหญิงมีผ้าคลุมศีรษะ ใส่เสื้อผ้ามัสลิน หรือลูกไม้ตัว
ยาวแบบมลายูนุ่งซิ่นปาเต๊ะหรือซิ่นทอแบบมลายู ฝ่ายชายใส่เสื้อคอตั้ง สวมกางเกงขายาว และ
มีผ้าโสร่งผืนสั้น ที่เรียกว่า ผ้าซองเก็ตพันรอบเอวถ้าอยู่ บ้านหรือลำลองจะใส่โสร่ง ลายตาราง
ทอด้วยฝ้าย และสวมหมวกถัก หรือเย็บด้วยผ้ากำมะหยี่

3. กลุ่มชาวไทยพุทธ ชนพื้นบ้าน แต่งกายคล้ายชาวไทยภาคกลาง ฝ่ายหญิงนิยมนุ่งโจง
กระเบน หรือผ้าซิ่นด้วย ผ้ายกอันสวยงาม ใส่เสื้อสีอ่อนคอกลม แขนสามส่วน ส่วนฝ่ายชายนุ่ง
กางเกงชาวเล หรือ โจงกระเบนเช่นกัน สวมเสื้อผ้าฝ้ายและมีผ้าขาวม้าผูกเอวหรือพาดบ่าเวลา
ออกนอกบ้านหรือไปงานพิธีกลับหน้า

ภาคใต้

3.ด้านอาหารการกิน
อาหารพื้นบ้านภาคใต้มีรสชาติโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สืบเนื่องจากดินแดนภาคใต้

เคยเป็นศูนย์กลางการเดินเรือค้าขายของพ่อค้าจากอินเดีย จีนและชวาในอดีต ทำให้วัฒนธรรม
ของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซึ่งเป็นต้นตำรับในการใช้เครื่องเทศปรุงอาหารได้เข้ามามี
อิทธิพลอย่างมาก โดยอาหารพื้นบ้านภาคใต้ทั่วไป มีลักษณะผสมผสานระหว่างอาหารไทยพื้น
บ้านกับอาหารอินเดียใต้ เช่น น้ำบูดู ซึ่งได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกับเม็ดเกลือ และมี
ความคล้ายคลึงกับอาหารมาเลเซีย อาหารของภาคใต้จึงมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่น ๆ และด้วย
สภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้าน มีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้น ฝน
ตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้มจึงมีรสจัด ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันการเจ็บ
ป่วยได้อีกด้วย แกงที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ คือ แกงเหลือง แกงไตปลาเครื่องจิ้มก็คือ น้ำบูดู
และชาวใต้ยังนิยมนำน้ำบูดูมาคลุกข้าวเรียกว่า "ข้าวยำ" มีรสเค็มนำและมีผักสดหลายชนิด
ประกอบ

4.ด้านการแสดงพื้นเมือง
ศิลปะการรำและการละเล่นของชาวพื้นบ้านภาคใต้อาจแบ่งตามกลุ่มวัฒนธรรมได้ 2 กลุ่มคือ
- วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่ การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก เพลงนา
- วัฒนธรรมไทยมุสลิม ได้แก่ รองเง็ง ซำแปง มะโย่ง ลิเกฮูลู และซิละ

โดยโนรา เป็นนาฏศิลป์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบรรดาศิลปะการแสดงของภาคใต้ มีความ
ยั่งยืนมานับเป็นเวลาหลายร้อยปี การแสดงโนราเน้นท่ารำเป็นสำคัญ ต่อมาได้นำเรื่องราวจาก
วรรณคดีหรือนิทานท้องถิ่นมาใช้ในการแสดงเรื่อง พระสุธนมโนห์รา เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลต่อ
การแสดงมากที่สุดจนเป็นเหตุให้เรียกการแสดงนี้ว่า มโนห์รา

ภาคใต้

5.ด้านประเพณี

ประเพณีชิงเปรต
เป็นประเพณีเนื่องในเทศกาลวันสารท เดือนสิบของชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ
จัดทำในวัดทุกวัดในวันแรม 14 หรือ 15 ค่ำ เดือนสิบ โดยทำร้านจัดสำรับอาหารคาวหวานไป
วางอุทิศส่วนกุศลให้เปรตชน(ปู่ ย่า ตา ยาย และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว) ร้านที่วางอาหาร
เรียกว่า ร้านเปรต ซึ่งสร้างไว้กลางวัด ยกเสาสูง มีสี่เสาบ้าง เสาเดียวบ้าง บนร้านเปรตจะมีสาย
สิญจ์วงไว้รอบและต่อยาวไปถึงที่พระสงฆ์นั่งทำพิธีกรรม พิธีเสร็จบรรดาผู้มาร่วมทำบุญก็จะ
เข้าไปรุมแย่งอาหารสิ่งของ อาหารคาวหวาน ที่อยู่บนร้านเปรตอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็จะจัด
อาหารถวายเพลแก่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปที่อยู่ในวัด ต่อจากนั้นผู้มาร่วมงานทุกคนก็จะกินอาหาร
ร่วมกัน

ประเพณีลอยเรือชาวเล
เป็นงานประเพณีเก่าแก่ที่หาดูได้ยากของชาวเลเกาะลันตา งานนี้จัดขึ้นตรงกับวันเพ็ญ
เดือน 6 และเดือน 11 โดยกลุ่มชาวเลที่เกาะลันตาและเกาะใกล้เคียง จะมาชุมนุมกันทำพิธี
ลอยเรือ เพื่อสะเดาะเคราะห์บริเวณชายหาดใกล้กับบ้านศาลาด่าน มีการร้องรำทำเพลง และการ
ร่ายรำรอบลำเรือด้วยจังหวะและทำนองเพลงรองเง็ง

ภาคใต้

ประเพณีแห่พระแข่งเรือ
งานประเพณีแห่พระแข่งเรือ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรม
เพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น โดยเฉพาะการ
ขึ้นโขนชิงธง ที่นายท้ายเรือต้องถือท้ายเรือให้ตรงเพื่อให้นายหัวเรือคว้าธงที่ทุ่นเส้นชัย โดยการ
ขึ้นโขนเรือ

สรุป

ความแตกต่างของวัฒนธรรมแต่ละภาคมีสาเหตุมาจากความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา สภาพ
ทางภูมิศาสตร์ วิถีการดำเนินชีวิต เราต้องยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น

เพราะวัฒนธรรมบ่งบอกถึงประวัติความเป็นมาและความเจริญของท้องถิ่น

นางสาวอริสา ทองทะมน เลขที่ 23
รหัสนักศึกษา 16415166
สาขาการสอนภาษาไทย


Click to View FlipBook Version