The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม ตึก 11 คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มรภ.นว.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by phuttiphong_yiw, 2019-03-14 00:57:57

คู่มือความปลอดภัยในการทำงาน

ห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม ตึก 11 คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มรภ.นว.

คมู่ อื ความปลอดภัยในการทางาน

หอ้ งปฏบิ ตั ิการกลางทางวศิ วกรรม
ตึก 11 คณะเทคโนโลยกี ารเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม

มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค์



คานา

ผู้ทาการศึกษาค้นคว้าเรอ่ื ง การจดั ทาค่มู อื ความปลอดภยั ในห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม
นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ปูองกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทางาน อีกทั้งก็เพื่อพัฒนาระบบความ
ปลอดภัยในการทางานห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม และเพ่ือจะได้ทราบถึงวิธีการใช้งานของ
อุปกรณ์และเคร่ืองจักร เพราะว่าอาจจะกล่าวได้ว่าความปลอดภัยน้ันถือได้ว่าเป็นปัจจัยท่ีสาคัญเป็น
อย่างมาก ในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติในห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม ของ มหาวิทยาลัยราช
ภัฎนครสวรรค์ ตึก 11 ห้อง 1115 หากเกิดความไม่ปลอดภัยในการทางานข้ึนก็จะก่อให้เกิดอันตราย
กับผู้ปฏิบัติงาน ก็คือ นักศึกษา และผู้ใช้ห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม ผู้ทาการค้นคว้าเห็นถึง
ปัญหาในเร่ืองของความปลอดภัยจึงศึกษาค้นคว้า และก็เพ่ือที่จะสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับ
ผู้ปฏบิ ตั ิงาน นกั ศึกษา และผู้สนใจความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม ให้ได้ความรู้
จากการคน้ คว้าเร่อื ง การจดั ทาคู่มอื ความปลอดภัยในหอ้ งปฏิบัตกิ ารกลางทางวิศวกรรม ให้มากท่สี ุด

คู่มือฉบับน้ีจัดทาข้ึนเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติในการทางานที่ปลอดภัย หากผิดพลาด
ประการใดผูจ้ ดั ทาขออภัยมา ณ ท่ีนด้ี ้วย

สารบญั ข

1. ทฤษฎีการป้องกันอบุ ัติเหตุ หน้า
1.1. โครงสรา้ งพนื้ ฐานสาหรับหอ้ งปฏบิ ัติการ
1.2. โครงสร้างพน้ื ฐานสาหรบั หอ้ งปฏิบตั กิ าร 1
1.3. การจัดการกับของเสียในหอ้ งปฏบิ ัติการ 1
1.4. อปุ กรณ์ปอู งกันตวั ส่วนบุคคลในห้องปฏิบตั ิการทางวิศวกรรม 4
1.5. การปูองกนั และระงบั อคั คภี ัย 9
14
2. การจัดทาคู่มือ 20
2.1. โตะ๊ ปากกาจับชนิ้ งาน 23
2.2. เคร่ืองเจาะแบบตงั้ โตะ๊ 23
2.3. เครือ่ งเจยี ระไนอเนกประสงค์ 25
2.4. เครือ่ งเลอื่ ยชัก 29
2.5. เคร่อื งเชอื่ ม 33
38

1

1. ทฤษฎีการป้องกนั อบุ ตั เิ หตุ
1.1. โครงสร้างพื้นฐานสาหรับห้องปฏิบตั กิ าร

ภาพ 1 แผนผงั ห้องปฏบิ ัตกิ ารทางกลางวิศวกรรม

การออกแบบและจัดผังหอ้ งปฏิบตั ิการ
โดยทั่วไปหอ้ งปฏิบัติการมกั แบง่ พน้ื ท่ีการใชง้ านออกเปน็ 3 ส่วน คือ
1) พนื้ ที่สาหรบั การปฏบิ ตั ิการ (พน้ื ที่ทาการปฏิบัติงาน)
2) พื้นท่ีสาหรบั ปฏิบัติงานด้านเอกสารและบริหาร (ธุรการ โต๊ะ คอมพวิ เตอรบ์ ันทกึ ขอ้ มูล บรเิ วณ
จดั เกบ็ เอกสาร)
3) พืน้ ท่ีสนบั สนุนห้องปฏิบตั ิการ (ห้องเกบ็ วสั ดอุ ุปกรณ์ ห้องน้า ห้องลา้ ง)

1.) การแบ่งพืน้ ทข่ี องห้องปฏบิ ัติการ
1. เขตปลอดภัย (safety zone) เป็นพ้ืนที่ท่ีสะอาดปลอดภัยสาหรับผู้ปฏิบัติงาน ได้แก่

ประตูทางเข้าออก ห้องพักเจ้าหน้าที่ ห้องสานักงาน ห้องเก็บอุปกรณ์ เป็นต้น เขตนี้ต้องมีการ
เข้า-ออกที่สะดวก ไมม่ ีส่ิงกีดขวาง ไมว่ างเครื่องมือหรืออปุ กรณท์ เี่ ป็นอันตราย

2. เขตอันตรายน้อย (low-hazard zone) เป็นพ้ืนที่ปฏิบัติงานท่ีมีความเสี่ยงจาก
อันตรายในระดับท่ีไม่ มากนัก โดยเขตนี้ควรอยู่ระหว่างเขตปลอดภัยกับเขตอันตรายมาก

2

ลักษณะงานในเขตนี้ ได้แก่ การปฏิบัติงานท่ีมีอันตรายน้อย การเตรียมตัวอย่าง การทางานกับ
อปุ กรณท์ ีท่ างานงา่ ย หรือเป็นพืน้ ทใี่ นการจดั วางสารเคมีทอี่ นั ตรายนอ้ ยหรือปานกลาง

3. เขตอันตรายมาก (high-hazard zone) ควรเป็นพื้นที่ที่อยู่ด้านในสุดของ
ห้องปฏิบัติการ ห่างจาก บริเวณประตูเข้า-ออก เป็นเขตที่ปูองกันการผ่านเข้าออกของผู้ที่ไม่
เกี่ยวข้อง ลักษณะงานในเขตนี้ ได้แก่ การปฏิบัติงานท่ีมีอันตรายมาก การทางานท่ีเป็นอันตราย
ต่อสุขภาพ เช่น การเช่ือม การเจียระไน การตัดเจาะช้ินงาน เป็นต้น เพราะฉะน้ันในเขตน้ีต้องมี
การทาสัญลักษณ์เพื่อให้บุคคลภายนอกได้รู้ ว่าเป็นเขตจากัด ควรมีอุปกรณ์ท่ีไว้ใช้ปูองกัน
อันตรายขณะปฏิบัติงาน เช่น ถงั ดับเพลงิ เป็นตน้

2.) ระบบปอ้ งกันอันตรายในหอ้ งปฏิบัตกิ าร

1. ระบบปูองกันอันตรายชั้นที่ 1 เป็นระบบที่มีการล้อมกรอบรอบอันตรายนั้น ๆ ให้อยู่
ในเขตเฉพาะ

2. ระบบปอู งกันอนั ตรายช้นั ท่ี 2 เป็นระบบปูองกันอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติงานโดยตรง เป็น
การแยก อันตรายออกจากผปู้ ฏิบตั งิ าน มีการแยกพ้นื ที่ปฏิบัติงานตามระดับความอันตราย ระบบ
น้ตี อ้ งอาศยั ความร่วมมือของหลายฝาุ ย ไม่ว่าจะเป็น ช่าง วิศวกรออกแบบอาคาร ตัวอย่างระบบ
นี้ ได้แก่ การออกแบบฝาผนังท่ีหนาเป็นพิเศษในพ้ืนท่ีท่ีไวไฟเพ่ือปูองกันอันตรายจากการระเบิด
การติดต้ังเครื่องมือ ปูองกันอันตรายต่าง ๆ อาทิ ตู้ชีวนิรภัย ตู้ดูดควัน ถังดับเพลิง อ่างล้างมือ
เป็นตน้

3. ระบบปูองกันอันตรายชั้นที่ 3 เป็นระบบปูองกันอันตรายโดยรอบ ๆห้องปฏิบัติการ
เพ่อื ปูองกนั ไมใ่ ห้ เกิดอันตรายแกบ่ ุคคลภายนอกและสิ่งแวดลอ้ ม โดยต้องมีการบริหารจัดการเพ่ือ
ปอู งกนั การรว่ั ไหลของอากาศท่เี ป็นมลภาวะสู่ภายนอก เช่น การติดเครื่องกรองอากาศ การบาบัด
อุปกรณท์ ี่ใช้แลว้ ดว้ ยทาความสะอาด

3.) การจัดพ้ืนท่ใี ชส้ อยภายในห้องปฏบิ ตั กิ าร

ส่ิงหนึ่งท่ีต้องคานึงที่สุดคือ การบริหารพ้ืนที่ที่มีอยู่ให้เกิดความปลอดภัยโดยมีพ้ืนท่ีพอเพียง
สาหรับปฏิบัติงาน ต้องคานึงถึงการปฏิบัติงานในแต่ละข้ันตอน จานวนเจ้าหน้าที่ท่ีปฏิบัติงาน การ
กาหนดพ้ืนทใ่ี นหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารตอ้ งอาศยั ปัจจัยหลายอย่าง เชน่

3

1. ลักษณะและขอบข่ายงานท่ีปฏิบัติ ต้องพิจารณาว่างานที่ทาอยู่ในห้องปฏิบัติการนั้น
เป็นงานท่ีเก่ียวข้องกับอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้จัดสรรและออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมสาหรับ
ปฏิบัติงาน

2. อุปกรณ์และเครื่องมือ เคร่ืองมือนับเป็นส่ิงท่ีสาคัญมากสาหรับการปฏิบัติงานใน
หอ้ งปฏบิ ัติการ การจัดวางเครอ่ื งมอื ให้เหมาะสมกับพ้ืนท่ีต้องคานึงถึง ความจาเป็นและความถ่ีใน
การใช้งาน ขนาดของเครื่องมอื ความสะดวกในการขนย้ายหรอื ทาความสะอาด

3. จานวนผู้ปฏิบัติงาน ควรจัดสรรพ้ืนท่ีให้เหมาะสมและพอเพียงต่อผู้ปฏิบัติงาน โดย
ตอ้ งแบง่ พน้ื ท่ี ของผเู้ ข้าปฏบิ ัติงานให้มากกว่าพืน้ ท่ีของเจา้ หน้าทีท่ ่ีควบคุมดูแลห้องปฏิบัติการ

4.) การจดั รปู แบบของหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร

โดยท่ัวไปแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ modular laboratory design และ open laboratory
design เน่ืองจากท้ังสองมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน ดังนั้นควรต้องพิจารณาให้เหมาะสมเหมาะกับ
หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารแตล่ ะท่ี

1. Modular laboratory design มีลักษณะแบ่งเป็นห้องย่อย ๆตามลักษณะและ
ประเภทงาน โดยมีโถงทางเดินกลาง (central corridor) ก้ันห้องต่าง ๆออกเป็นสองฝ่ัง ฝาผนัง
ก้ันแต่ละห้อง อาจใช้ฝาผนังถาวรหรือชนิดถอดได้ ในแต่ละห้องมีการจัดรูปแบบท่ีสมบูรณ์คือ มี
บริเวณพื้นท่ีปฏิบัติงาน ผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองไม่รบกวนการ ทางานของ
ผูป้ ฏิบตั งิ านคนอน่ื ๆ

จดุ เดน่ : มีการแบง่ ขอบเขตการทางานท่ีชัดเจน ลดมลภาวะทางเสียง ควบคุมความปลอดภัย ได้
ง่าย

จุดด้อย: ไม่สะดวกในการประสานงานหรือการใช้เคร่ืองมือร่วมกัน ขยายพื้นท่ีการทางานได้
ลาบาก

2. Open laboratory design เป็นรูปแบบท่ีไม่มีการแบ่งเป็นห้องย่อย ๆ ส่วนมากจะ
แบ่ง ออกเป็นเขตข้ึนกับอันตรายและความเส่ียงในการปฏิบัติงาน อาจมี 2-3 เขต เช่น เขต
ปลอดภัย และ เขตปฏิบัติงาน เป็นต้น การจัดห้องปฏิบัติการในรูปแบบน้ีจะทาให้รู้สึกว่าห้องมี
ขนาดใหญ่

จุดเด่น: ใช้เครือ่ งมอื รว่ มกนั ไดส้ ะดวก การขยายปรับปรงุ พืน้ ทีท่ าไดส้ ะดวก

จดุ ดอ้ ย: เกดิ มลภาวะทางเสยี ง ควบคมุ ความปลอดภัยการแพร่กระจายทางเสยี งไดย้ าก

4

1.2. โครงสร้างหลักของห้องปฏบิ ตั ิการ

ภาพ 2 หอ้ งปฏิบตั ิการทางกลางวิศวกรรม

1. ทางเข้า-ออก หากมีผู้ปฏิบัติงานค่อนข้างมากควรกาหนดและจัดระเบียบการเข้าออก ควร
แยกกันระหวา่ งประตูเขา้ -และประตูออก อาจจดั พน้ื ทส่ี าหรับผ้มู าตดิ ตอ่ ทีไ่ ม่มีส่วนเกีย่ วข้อง โดยประตูควร
จะปดิ ไว้ตลอดเวลาในขณะปฏิบัติงาน อาจจัดหน่วยรักษาความปลอดภัยเพ่ือดูแล การเข้า-ออก หรืออาจ
ใช้ระบบการเขา้ -ออกโดยระบบคียก์ าร์ด

2. ทางหนีไฟ การกาหนดขนาดและจานวนของประตูหนีไฟขึ้นกับสถานที่ตั้ง ขนาดของอาคาร
จานวนผู้ปฏิบัติงาน ในแต่ละชั้นควรมีทางหนีไฟอย่างน้อยสองทางที่แยกกัน ทางหนีไฟควรมีระยะทางท่ี
สั้นที่สุดและนาออกไปสู่ภายนอกอาคารได้เร็วท่ีสุด หากเป็นห้องปฏิบัติการท่ีตั้งอยู่ใน อาคารท่ีมีมากกว่า
2 ช้ัน ประตหู ้องปฏิบตั ิการต้องสามารถเปิดไปสโู่ ถงทางเดินกลางได้ และ สามารถนาไปยังประตูหนีไฟได้
ทนั ที ตามพ้ืนทางเดินและฝาผนังควรท่ีจะมีการแสดงสัญลักษณ์ ลูกศรนาทางเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทราบว่า
ประตูหนีไฟอยู่ในทิศทางใด ประตูหนีไฟควรทาจากวัสดุ ทนไฟ หรือเป็นโลหะท่ีทนไฟได้ดีและควรปิดอยู่
เสมอ และควรแสดงสญั ลักษณ์บรเิ วณประตูหนี ไฟวา่ “ ทางออก” หรอื “exit”

3. ขนาดประตู ประตหู ้องปฏบิ ตั กิ ารต้องมขี นาดกวา้ งพอที่จะสามารถนาเคร่ืองมือขนาดใหญ่
เขา้ ออกไดส้ ะดวก และสามารถเปิดกวา้ งเพือ่ ให้ผ้คู นเขา้ ออกได้อย่างสะดวกในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉนิ ประตู
ห้องปฏิบตั ิการท่ดี คี วรเปน็ แบบ door and half คือเปน็ ประตู 2 บาน โดยมบี านหนึ่งใหญ่ อกี บานหน่ึงมี
ขนาดเลก็ โดยบานท่มี ีขนาดใหญ่จะถูกใช้เปดิ -ปดิ ประจา ส่วนบานเล็กจะถูกใช้ใน กรณีมีการขนยา้ ย
อปุ กรณ์

4. พื้นห้องปฏบิ ัติการ พ้ืนหอ้ งตอ้ งสามารถรองรับเครอื่ งมอื อุปกรณ์ที่มีน้าหนักมากได้หลายชนิด
ควรผลิตมาจากวัสดุท่ีแข็งแรง ทนทานต่อสารเคมีที่เป็นกรดและด่างได้ดี พ้ืนผิวต้องไม่ลื่น สามารถทา
ความสะอาดได้ง่าย โดยท่ัวไปมักเป็นพื้นคอนกรีตหรือพื้นหินขัดที่ปูทับด้วยแผ่นยาง ประเภท polyvinyl

5

อีกช้ันหรือปูทับด้วยพรมน้ามัน ข้อดีของพรมน้ามันคือจะไม่มีรอยต่อ สามารถลดอุบัติเหตุจากการสะดุด
ล้มได้

5. ความสว่าง ควรมีแสงสว่างเพียงพอสาหรับการปฏิบัติงาน เพ่ือปูองกันความผิดพลาดและ
อุบัติเหตุจากการปฏิบัติงาน กรณีประเทศไทยซ่ึงอยู่ในเขตที่ได้รับแสงอาทิตย์มาก จึงควร ออกแบบ
อาคารให้รับแสงอาทิตย์ที่เพียงพอเพ่ือประหยัดพลังงาน ควรมีหน้าต่างบานใหญ่เพื่อรับ แสงอาทิตย์ได้
เตม็ ทแ่ี ละควรมผี ้ามา่ นเพอื่ บงั แดดในกรณีทม่ี ีแดดแรงจนเกินไป ความสว่างท่ี เหมาะสมในห้องปฏิบัติการ
คือ 300-500 lux แต่อยา่ งไรกต็ ามปริมาณแสงสวา่ งก็ขึ้นอยูก่ บั ประเภทห้องต่าง ๆ เช่น ห้องเก็บของอาจ
ไม่ตอ้ งมแี สงสวา่ งมากเท่ากับห้องปฏิบัติการ เพราะ สารเคมีบางอยา่ งอาจห้ามโดนแสง เป็นต้น

โดยห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม ตึก11 คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยี
อตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ โดยมีความสว่างภายในระหว่าง 531-695 lux ซ่ึงตรงตาม
มาตรฐานของหอ้ งปฏิบัตกิ ารทางวศิ วกรรม

6. เสียง หูเป็นอวัยวะของร่างกาย ทาหน้าท่ีในการรับเสียง และควบคุมการทรงตัว เม่ือคลื่น
เสียงจากแหล่งกาเนิดมากระทบกับใบหู ใบหูจะปูองให้เสียงเข้าสู่ช่องหู ทาให้เกิดการสั่นสะเทือนไป
กระทบเย่ือแก้วหู กระดูกฆ้อน ท่ัง โกลน และเกิดการส่ันสะเทือนของของเหลวในหูชั้นใน จากนั้นจะมี
เซลลข์ นทาหน้าท่ีเปลี่ยนคล่ืนเสียงเป็นพลังงานไฟฟูาส่งไปแปลผลที่สมองทาให้รับรู้การได้ยิน เสียงที่มีผล
ต่อการได้ยินคือเสียงท่ีดังต้ังแต่ 85 เดซิเบลเอข้ึนไป ซึ่งกฎหมายกาหนดให้สถานประกอบการจัดทา
โครงการอนรุ ักษ์การไดย้ ิน รวมทัง้ มีการเฝาู ระวังเสยี ง และเฝาู ระวงั การไดย้ ินด้วย

โดยห้องปฏิบัติการกลางทางวิศวกรรม ตึก11 คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยี
อตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค์ โดยมีเสยี งการทางานของเคร่อื งมือภายใน ดงั น้ี

1.) เครอ่ื งเจาะแบบตงั้ โตะ๊ มเี สียงการทางานระหว่าง 70.93-78.03 เดซเิ บล

2.) เครือ่ งเลอื่ ยชัก เสียงการทางานระหวา่ ง 79.04-80.33 เดซเิ บล

3.) เครื่องเจียระไน เสียงการทางานระหวา่ ง 69.29-81.39 เดซเิ บล

4.) เครือ่ งเชอ่ื ม เสียงการทางานระหว่าง 50.47-72.58 เดซิเบล

5.) โต๊ะปากกาจับชิน้ งาน โดยการตะไบชน้ิ งาน เสยี งการทางานระหว่าง 76.65-80.27 เดซเิ บล

ผลจากการวดั เสียงของการทางานเครอื่ งมือตา่ ง ๆ ไม่มีเคร่ืองมือชนิดใดท่ีมีเสียงที่ดังต้ังแต่ 85 เด
ซเิ บลเอขึน้ ไป ทาใหไ้ ม่สง่ ผลต่อการไดย้ นิ ของผู้ปฏบิ ัติงาน

7. ระบบถ่ายเทอากาศ ระบบการถ่ายเทอากาศท่ีดีจะช่วยลดระดับของไอหรือควันจากการ
ปฏิบัติงาน รวมทั้งลดระดบั การปนเป้อื นของเช้ือจลุ นิ ทรียใ์ นอากาศ หอ้ งปฏิบตั กิ ารควรติดต้ังระบบ Local

6

Exhaust Ventilation (LEV) เพ่ือลดอันตรายจากสารเคมีและเชื้อจุลชีพต่าง ๆ เช่น พัดลมดูด อากาศ ตู้
ดูดควัน ตู้ชีวนิรภัยที่มีแผ่นกรอง HEPA ในการดักจุลชีพ ตลอดจนติดต้ังระบบดูด อากาศเสียจากภายใน
ออกสู่ภายนอกเพอ่ื ปูองกันการหมุนเวียนอากาศเสยี ภายในห้องปฏิบตั กิ าร

8. อุณหภูมิและความช้ืน ห้องปฏิบัติการควรมีอุณหภูมิท่ีเหมาะสมประมาณ 20-25 องศา
เซลเซียส เพอ่ื ใหอ้ ณุ หภมู ทิ ี่เหมาะสมแก่ผู้ปฏบิ ัตงิ านและเปน็ การรักษาเครื่องมือ

9. ระบบสาธารณูปโภค ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบน้าประปา ไฟฟูา แก๊ส และระบบส่ือสาร ซึ่ง
เปน็ ส่วนหนง่ึ ทส่ี าคัญในห้องปฏบิ ัติการ จึงควรมีการวางแผนผังให้เหมาะสม เจ้าหน้าท่ีทุกคน ควรทราบ
ตาแหน่งที่ตั้งและวิธีการในการเปิด-ปดิ วาวลน์ ้า แก๊ส และแผงควบคุมวงจรไฟฟูา เพ่ือ สามารถเปิด-ปิดได้
ทนั ทีในกรณีเหตฉุ กุ เฉนิ การออกแบบท่อน้า ท่อแก๊ส หรือของเหลวประเภทอ่ืน ๆไปตามท่อ pipe ควรมี
การระบุชื่อและลูกศรแสดงทิศทางการไหลในแต่ละท่อว่าเป็นท่อสาหรับส่งผ่านสิ่งใด โดยกาหนดสีของ
ตัวอักษรตามชนิดของน้ัน ๆ เช่น ปูายเตือน (ระวังอันตรายต่าง ๆ) ควรใช้อักษรสีดาบนพ้ืน หลังสีเหลือง,
สารเคมอี ันตรายน้อย (เชน่ แก๊สหรือของเหลวผสม) ควรใช้อกั ษรสขี าวบนพ้นื หลังสี เขยี ว, สารทใ่ี ช้ดับเพลิง
(นา้ กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ก๊าสฮาลอน) ควรใช้อักษรสขี าวบนพื้นหลังสแี ดง

ภาพ 3 แสดงลกั ษณะสตี ัวอักษรและพื้นหลังเพ่ือระบุประเภทปาู ยสัญลักษณ์
ท่ีมา : ปูายสญั ลักษณเ์ พื่อความปลอดภัย
ค้นจาก : http://www.conexstore.co.th

10. ระบบเตือนภัย ต้องมีการติดตั้งระบบเตือนภัยคู่กับถังดับเพลิงในห้องปฏิบัติการ ระบบ
เตือนภัย ที่ดีต้องส่งเสียงดังได้ทั่วอาคาร อาจเป็นเสียงกระด่ิงหรือเสียงระฆังและอาจมีไฟสีแดงกระพริบ
โดยระบบเตือนภัยประกอบด้วย 2 ส่วนท่ีสาคัญ ส่วนแรกได้แก่ กล่องกระตุ้นให้กระด่ิงหรือ สัญญาณ
ทางาน เรียกว่า “ pull station” จะมีสีแดง มีทั้งลักษณะเป็นรูปตัวที (T) กระตุ้นการ ทางานโดยดึงก้าน
ตัวทีลงมาตรง ๆ หรืออีกแบบจะมีลักษณะเป็นตัวที แต่จะมีกระจกกั้นต้องใช้ ค้อนหรือโลหะทุบกระจก
กอ่ นถงึ จะสามารถดึงตัวทีได้ สว่ นที่สองเปน็ ส่วนท่ีเป็นกระดง่ิ หรือระฆัง เตอื นภัย จะมีสแี ดงหรือสีน้าเงิน
ติดต้งั ไว้บนกาแพงเหนอื กลอ่ ง pull station โดยสามารถส่ง เสียงและมไี ฟกระพริบในขณะทก่ี ระดิ่งดงั

7

ภาพ 4 แสดงลกั ษณะกล่อง pull station และกระดิ่งเตือนภยั
คน้ จาก : https://simplex-fire.com

11. ชดุ ดับเพลิง ในห้องปฏิบตั กิ ารมีอยสู่ องแบบ คือ ชนดิ ติดตัง้ ถาวร ซง่ึ ได้แกน่ า้ พเุ พดานแบบ
อัตโนมัติ และชนดิ เคลอ่ื นยา้ ยได้ ประกอบไปดว้ ย ชดุ ท่อประปาดับเพลิง (fire hose) และถงั ดบั เพลงิ
ท้งั สองอยา่ งควรเก็บไวใ้ นตู้ท่ีมองเหน็ ได้ชัดเจนและไม่ควรล็อคตู้ โดยสายท่อประปา ต้องมีความยาวอยา่ ง
น้อย 100 ฟุต สว่ นถังดับเพลงิ มอี ยหู่ ลายประเภทขึน้ อยูก่ ับตน้ กาเนิดของ เพลิงนน้ั ๆ

ภาพ 5 ถงั ดับเพลงิ ชนดิ ผงเคมีแห้ง บรรจุ
ในถังสีแดง ภายในบรรจุผงเคมีแห้งและ
กา๊ ซไนโตรเจน ลักษณะ น้ายาที่ฉีดออกมา
มีลักษณะเป็นฝุนละอองดับเพลิงได้ ทุก
ชนิด เช่น เพลิงท่ีเกิดจากไม้ กระดาษ ส่ิง
ทอ ยาง นา้ มัน ไม่เปน็ อนั ตรายต่อมนุษย์

8

ภ า พ 6 ถั ง ดั บ เ พ ลิ ง ช นิ ด ก๊ า ซ
คาร์บอนไดออกไซด์ บรรจุในถังสีแดง ที่
ปลาย ฉีดจะมีลกัษณะเป็นกระบอกหรือ
กรวย เวลา ฉีดน้ายาท่ีพ่นออกมาจะมี
ลักษณะเป็นหมอก หิมะท่ีไล่ความร้อน
ช่วยให้ลดความร้อนและดับไฟได้อย่าง
รวดเร็ว รวมถงึ ไมท่ งิ้ คราบสกปรก

ภาพ 7 ถงั ดบั เพลงิ ชนดิ นา้ ยาเหลว
ระเหย บซี ีเอฟ ฮาลอน1211 บรรจใุ น
ถงั สีเหลือง ใช้ดับเพลิงได้ดี เพราะมี
ความเย็นจดั และมปี ระสิทธภิ าพในการ
ไลอ่ อกซิเจนซ่งึ ทาใหเ้ กดิ เพลงิ และไมท่ งิ้
คราบ สกปรก เหมาะสาหรบั ใช้กับ
สถานท่ที ใ่ี ช้อปุ กรณ์คอมพวิ เตอร์ และ
ในอตุ สาหกรรมอเิ ลคโทรนกิ ส์

ภาพ 8 ถังดบั เพลงิ ชนดิ HCFC 123
(Halotron) บรรจุในถังสีฟาู ใช้สาหรบั
การดับไฟไดด้ ี ไม่เปน็ สือ่ นาไฟฟาู
สามารถดบั ไฟไดท้ ุกประเภท

9

ภาพ 9 ถังดบั เพลงิ ชนดิ BF2000 บรรจุ
ในถังสีเขียว น้ายาเป็นสารเหลวระเหย
ชนิด BF 2000 น้ายาชนิดน้ีไม่ ส่งผล
กระทบต่อส่ิงแวดล้อม สามารถดับเพลิง
ได้ทุกชนิด ไม่เกิดปฏิกิริยากับโลหะ ไม่
ท้ิงคราบสกปรก ไม่มีสี ไม่มีกล่ิน ไม่ติด
ไฟ ไม่เป็นสื่อนาไฟฟูา เม่ือฉีดออกจะ
เป็นไอระเหยสีขาว และจะระเหยไปเอง
โดยไม่ทาใหว้ สั ดุ อปุ กรณ์ไฟฟูาเสียหาย

ทม่ี า : ความรเู้ กยี่ วกบั ถังดับเพลิง
คน้ จาก : http://www.m2j.co.th

1.3. การจดั การกับของเสียในหอ้ งปฏิบตั ิการ
กระบวนการทดสอบต่าง ๆ ในห้องปฏิบตั ิการ ทาใหม้ ีของเสยี และขยะเกิดข้นึ มากมาย ของเสียและ

ขยะจากการปฏบิ ัติการ เป็นปัจจยั เสี่ยงอกี อย่างหน่ึงที่ตอ้ งมีการจัดการอย่างเป็นระบบ เพ่ือปอู งกันมิให้สงิ่
สกปรกแพร่กระจายส่สู ง่ิ แวดล้อมภายนอกหอ้ งปฏิบตั ิการ โดยการดาเนินงานเก่ียวกับของเสียและขยะ
ประกอบดว้ ย

1.) การคดั แยกประเภทของของเสีย
2.) การรวบรวมและจดั เก็บของเสีย
3.) การบาบดั และกาจดั ของเสยี

10

1.) การคดั แยกประเภทของของเสยี

การคัดแยกของเสียจากห้องปฏิบัติการ นอกจากจะทาให้การกาจัดทาได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น
แล้ว ยังลดคา่ ใช้จ่ายในการกาจัดของเสียอีกด้วย ไม่มีวิธีการกาจัดของเสียแบบใดแบบหน่ึงท่ีเหมาะสมกับ
ของเสียทุก ประเภท ดังน้ัน การคัดแยกของเสียจึงทาให้สามารถเลือกใช้วิธีที่เหมาะสม ตามประเภทของ
ของเสีย ควรแยกของเสียท่ัวไป ของเสียท่ีเป็นอันตรายและไม่เป็นอันตรายออกจากกัน คุณสมบัติความ
เป็นอันตรายหลักของสาร ที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ คุณสมบัติการติดไฟ การระเบิด และการ
ออกซไิ ดซ์ คณุ สมบัตริ องของ สารทนี่ ามาพจิ ารณา ได้แก่ ความเป็นพิษ การกัดกร่อน ของเสียติดเชื้อ ของ
เสียกัมมันตรังสี เป็นต้น โดยต้องมี การศึกษาข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีแต่ละประเภทก่อน ของ
เสยี ที่เกดิ ข้นึ จากห้องปฏบิ ัติการต่าง ๆ จาแนกประเภทและระดับความเปน็ อนั ตราย ไดด้ งั นี้

1. ของเสียประเภทที่ไม่เป็นอันตราย (Non-Hazardous Waste Stream) หรือของเสียอันตราย
ตา่

1.1 ของเสียท่ัวไป เช่น ถุงพลาสติก กระดาษชั่งสาร กระดาษทิชชู กระดาษภายใน
หอ้ งปฏิบัตกิ าร วัสดทุ ่ีทาจากพลาสตกิ และวสั ดทุ ่ีไม่เปน็ อนั ตราย เป็นตน้

1.2 พลาสติกท่รี ีไซเคลิ ได้ (Recyclable Plastic Product) ได้แก่ ขวดพลาสตกิ เป็นต้น

1.3 ขวดแก้วที่มีการปนเปื้อน (Glass) ได้แก่ ขวดแก้วสาหรับเก็บตัวอย่าง ขวดแก้ว
สาหรบั ใสส่ ารเคมี ทีเ่ ตรยี มภายในหอ้ งปฏบิ ัติการ และขวดใสส่ ารเคมที ไ่ี มม่ อี ันตราย เป็นตน้

1.4 ของเสยี ทีผ่ า่ นการฆา่ เชือ้ แลว้ (Autoclaved Wastes)

2. ของเสียประเภทที่เป็นอันตราย (Hazardous Waste Stream) ส่วนใหญ่จะเป็นของเสีย
อันตรายที่เปน็ ของเหลวหรอื ของแข็ง โดยจดั กลุ่มไดด้ ังน้ี

2.1 กลุ่มไซยาไนด์

2.2 กลุ่มปรอท

2.3 กลุ่มสารอนิ ทรีย์

2.4 กลุ่มออกซิแดนซ์

2.5 กลมุ่ โลหะ

2.6 กลุม่ กรด-เบส

11

2.7 ของเสียกลมุ่ พเิ ศษ ได้แก่ ของเสียติดเชื้อจุลินทรีย์ ของเสียกัมมันตรังสี หรือของเสีย
ท่ีเป็นสารพิษ อ่ืน ๆ ท่ีไม่เข้าข่ายของเสียประเภทใดประเภทหนึ่ง แต่อาจทาให้เกิดอันตรายแก่
มนุษย์และ สง่ิ แวดล้อมได้ เป็นตน้

2.) การรวบรวมและจดั เก็บของเสยี
เพ่ือใหเ้ กดิ ความปลอดภยั ควรแยกเกบ็ ของเสียสารเคมีไว้ในห้องเก็บของเสียหรือตู้ควันโดยเฉพาะ
เพราะหากภาชนะบรรจุมีการร่ัวไหลหรือหกหล่น อาจทาให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง เกิดเป็นก๊าซพิษปริมาณ
มาก จนก่อให้เกิดเพลิงไหม้หรือระเบิดขึ้นได้ ของเสียสารเคมีบางชนิดแม้ว่าจะแยกเก็บต่างภาชนะแล้วก็
ตาม แต่ไม่ ควรวางไว้ใกล้กัน เช่น ไม่ควรเก็บกรดและด่าง หรือกรดและของเสียอินทรีย์ไว้ในห้องเก็บ
เดียวกนั โดยมีรายละเอยี ดการจัดเก็บ ดงั น้ี

1. จาแนกของเสียใหถ้ กู ต้องตามเกณฑก์ ารคัดแยก และจัดเก็บในภาชนะบรรจุของเสียท่ี
เหมาะสมตาม ประเภทความเป็นอันตรายของของเสีย เช่น ไม่ใช้ภาชนะโลหะในการเก็บของเสีย
ประเภทกรด หากใช้ขวด สารเคมีที่ใช้หมดแล้วมาบรรจุของเสีย สารเคมีในขวดเดิมต้องไม่ใช่สาร
ท่ีเข้ากันไม่ได้กับของเสียน้ัน เป็นต้น หากเป็นของมีคมให้ท้ิงในกล่องพลาสติกที่แน่นหนา ขยะ
ประเภทถงุ มอื ให้ทิ้งในถุงพลาสติกใส ขยะท่ีปนเปื้อน สิ่งส่งตรวจหรือเช้ือจุลชีพให้ทิ้งในถุงขยะสี
แดง ขยะกัมมันตภาพรงั สีให้ท้ิงในถุงรองรับเฉพาะของสานักงาน ปรมาณูเพ่ือสันติ ขยะสารพิษ
และยาเคมบี าบัดให้ท้ิงในถุงขยะสเี หลอื งพร้อมระบชุ นิดของขยะใหช้ ดั เจน

ภาพ 12 แสดงตัวอย่างภาชนะบรรจขุ ยะประเภทของมีคม(A) ขยะติดเช้ือ(B) และขยะสารเคมีที่เป็นพิษ(C)

12

2. ตรวจสอบสภาพภาชนะบรรจขุ องเสยี เช่น รอยร่ัว หรอื แตกร้าวอยา่ งสม่าเสมอ
3. ภาชนะทุกชนิดที่บรรจุของเสียต้องมีฉลากที่เหมาะสม หากใช้ขวดสารเคมีเก่าบรรจุ
ของเสีย ต้อง ลอกฉลากเดิมออกก่อนและติดฉลากใหม่ท่ีมีข้อมูลครบถ้วน คือ - มีคาว่า “ของ
เสีย” ระบุไวอ้ ย่างชดั เจน

- ระบุประเภทของเสีย/ประเภทความเปน็ อันตราย
- สว่ นประกอบของของเสีย (ถ้าเป็นไปได้)
- วันทเี่ รมิ่ บรรจุของเสยี
- ช่อื หอ้ งปฏิบตั ิการ/ชอ่ื เจา้ ของ
4. ข้อความบนฉลากมีความชดั เจน ไม่จาง ไม่เลือน
5. ตรวจสอบสภาพของฉลากบนภาชนะของเสยี อย่างสมา่ เสมอ
6. หา้ มบรรจุของเสียเกินกว่า 80% ของความจุของภาชนะ หรือปริมาณของเสียต้องอยู่
ต่ากวา่ ปาก ภาชนะอยา่ งนอ้ ย 1 น้ิว
7. มกี ารกาหนดพืน้ ท/่ี บริเวณจดั เกบ็ ของเสยี อยา่ งชัดเจน
8. จัดเก็บ/จัดวางของเสียที่เข้ากันไม่ได้โดยอิงตามเกณฑ์การเข้ากันไม่ได้ของสารเคมี
สามารถใช้เกณฑ์ เดียวกับการจัดเกบ็ สารเคมีทเ่ี ข้ากนั ไม่ได้
9. มภี าชนะรองรบั (secondary container) ภาชนะบรรจขุ องเสียทีเ่ หมาะสม
10. ห้ามวางภาชนะบรรจุของเสยี ใกล้ท่อระบายน้า ใต้ หรือ ในอ่างน้า หากจาเป็นต้องมี
ภาชนะรองรับ
11. ห้ามวางภาชนะบรรจขุ องเสยี ใกล้บริเวณอปุ กรณฉ์ ุกเฉิน เช่น ฝักบัวฉุกเฉนิ
12. หา้ มวางภาชนะบรรจขุ องเสยี ปิดหรอื ขวางทาง เขา้ -ออก
13. วางภาชนะบรรจขุ องเสียใหห้ า่ งจากความร้อน แหล่งกาเนดิ ไฟ และเปลวไฟ
14. หา้ มเก็บของเสียประเภทไวไฟไว้ในห้องปฏิบัติการมากกว่า 50 ลิตร หากจาเป็นต้อง
เก็บไวใ้ นตู้ สาหรับเกบ็ สารไวไฟโดยเฉพาะ
15. หา้ มเกบ็ ของเสียไวใ้ นตู้ควันอยา่ งถาวร
16. มกี ารกาหนดระยะเวลาในการจดั เกบ็ ของเสียในห้องปฏบิ ัติการ

13

- กรณีที่ของเสียพร้อมส่งกาจัด (ปริมาตร 80% ของภาชนะ) : ไม่ควรเก็บไว้
นานกวา่ 90 วนั

- กรณีที่ของเสียไม่เต็มภาชนะ (ปริมาตรน้อยกว่า 80% ของภาชนะ) : ไม่ควร
เก็บของเสียไว้ นานกวา่ 1 ปี

3.) การบาบดั และกาจดั ของเสีย

ห้องปฏิบตั กิ ารควรมีกระบวนการจัดการเบอื้ งตน้ ก่อนทิง้ หรือสง่ กาจัด ไดแ้ ก่

1. การบาบัดของเสียก่อนท้ิง หมายถึง ห้องปฏิบัติการควรมีการบาบัดของเสียท่ีมีความ
เป็นอันตราย น้อยท่ีสามารถกาจัดได้เองก่อนท้ิงลงสู่ระบบสุขาภิบาลสาธารณะ เช่น การสะเทิน
ของเสียกรดและเบสให้เป็น กลางก่อนทิ้งลงท่อน้าสุขาภิบาล ส่วนของเสียท่ีมีเชื้อจุลินทรีย์ให้
กาจดั โดยการอบฆ่าเช้ือที่อุณหภูมิ 121 องศา เซลเซียส 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 30-70
นาที เปน็ ต้น

2. การบาบัดของเสียกอ่ นส่งกาจดั หมายถงึ ห้องปฏิบัติการควรบาบัดของเสียอันตรายที่
ไมส่ ามารถ กาจัดไดเ้ องเบอื้ งต้นกอ่ นสง่ บริษัทหรอื หน่วยงานทร่ี บั กาจัด เพื่อลดความเป็นอันตราย
ระหว่างการเก็บรักษา และการขนส่ง

3. การลดปริมาณก่อนท้ิง (waste minimization) หมายถึง ห้องปฏิบัติการควรมี
แนวทางจัดการท่ีต้น ทางก่อนเกิดของเสีย เพื่อลดปริมาณของเสียปลายทางหรือทาให้เกิดของ
เสียอันตรายปลายทางน้อยที่สุด เช่น การใช้สารเคมีต้ังต้นที่ไม่เป็นอันตรายทดแทนสารเคมี
อันตราย และ/หรือการลดปรมิ าณสารเคมที ่ีทาปฏกิ ิริยา เป็นต้น

4. การลดปรมิ าณกอ่ นสง่ กาจดั หมายถงึ หอ้ งปฏบิ ัติการควรมีแนวทางในการลดปริมาณ
ของเสีย อันตรายที่ไม่สามารถกาจัดได้เอง ก่อนส่งบริษัทรับกาจัด เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการ
กาจัด เช่น การทาให้ ของเสียที่มีโลหะหนักในปริมาณน้อย ๆ เข้มข้นข้ึน เช่น การทาให้ตัวทา
ละลายระเหย หรือตกตะกอนเพื่อแยก ส่วนที่เป็นโลหะหนักออกมาจากสารละลายก่อนส่งกาจัด
ในสภาพสารละลายเขม้ ข้น หรอื ตะกอนของโลหะหนัก เปน็ ตน้

5. ขยะประเภทด่างแก่ (KOH, NaOH, ammonium hydroxide) ทาการเจือจางด่าง
ให้มีความ เข้มข้นประมาณ 5% w/v หรือน้อยกว่านี้ และปรับสภาพด้วยการเติม 6N HCl ลง
อยา่ งช้า ๆ และคนเบา ๆให้ ผสมกนั วดั ระดับ pH โดยใหร้ ะดบั pH อยูใ่ นช่วงประมาณ 6-8

14

6. ขยะประเภทกรดแก่ ทาการเจือจางกรดให้เหลือประมาณ 5% w/v หรือน้อยกว่า
ขณะทาการ เจือจางอาจเกิดความร้อนได้ จึงควรทาในอ่างน้าแข็ง ทาการเจือจางกรดด้วย
สารละลาย 6N NaOH จากนนั้ ทาการวนั pH ใหอ้ ยู่ในช่วงระหว่าง 6-8

7. การ Reuse, Recovery, Recycle ของเสยี ทีเ่ กดิ ข้ึน

- Reuse คือ การนาวสั ดุท่ีเป็นของเสียกลับมาใช้ใหม่ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หรือกระทาการ ใด ๆ ยกเว้นการทาความสะอาดและการบารุงรักษาตามวัตถุประสงค์
เดิม

- Recovery คือ การแยกและการรวบรวมวัสดุท่ีสามารถนากลับมาใช้ได้จาก
วสั ดขุ องเสีย ซ่ึงส่งิ ที่ไดม้ าไม่จาเป็นตอ้ งใช้ ตามวตั ถปุ ระสงคเ์ ดิม

- Recycle คือ การนาวัสดุกลับมาใช้ใหม่ โดยท่ีมีสมบัติทางกายภาพเปลี่ยนไป
แต่มี องค์ประกอบทางเคมีเหมือนเดิม โดยการผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น
แกว้ /โลหะมาหลอมใหม่ เปน็ ตน้

1.4. อปุ กรณ์ป้องกันตวั ส่วนบคุ คลในหอ้ งปฏบิ ตั ิการทางวิศวกรรม

ประเภทอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล มี
มาตรฐานที่เป็นที่รองรับตามที่กฎหมายของกระทรวงแรงงานกาหนดไว้ตามประกาศกรมสวัสดิการและ
คุ้มครองแรงงาน เรื่อง กาหนดมาตรฐานอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล พ.ศ. 2554 ท่ีออก
โดยอาศัยอานาจตามความในมาตรา 22 แหง่พระราชบัญญัติความปลอดภัยอาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการ ทางาน พ.ศ. 2554 มดี ังนี้

1. มาตรฐานผลติ ภัณฑ์อตุ สาหกรรม (มอก.) (Thai Industrial Standards: TIS)

2. มาตรฐานขององค์การมาตรฐานสากล (International Standardization and
Organization: ISO)

3. มาตรฐานสหภาพยโุ รป (European Standards: EN)

4. มาตรฐานประเทศออสเตรเลียและประเทศ นิวซีแลนด์ (Australia Standards/New
Zealand Standards--AS/NZS)

5. มาตรฐานสถาบันมาตรฐานแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (American National
Standards Institute--ANSI)

15

6. มาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศญป่ี นุ (Japanese Industrial Standards--JIS)
7. มาตรฐานสถาบันความปลอดภัยและอนามัย ในการทางานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา
(The national Institute for Occupational Safety and Health --NIOSH)
8. มาตรฐานสานักงานบริหารความปลอดภัย และอาชีวอนามัยแห่งชาติกรมแรงงาน ประเทศ
สหรฐั อเมรกิ า (Occupational Safety and Health Administration-- OSHA)
9. มาตรฐานสมาคมปูองกันอัคคีภัยแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Fire Protection
Association --NFPA)
ท้ังน้ี พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2554
กาหนดให้นายจ้างจัดและดุแลให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์ คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่ได้มาตรฐานตามท่ี
อธิบดปี ระกาศกาหนดนเ้ี ทา่ นนั้

1.) อปุ กรณ์ป้องกันศีรษะ
อปุ กรณ์ปอู งกนั ศรี ษะเปน็ อปุ กรณท์ ีช่ ่วยปูองกนั อันตรายหรืออุบัติเหตุท่ีจะเกิดขึ้นกับศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะที่
สาคัญของพนักงาน ซ่ึงเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต อุปกรณ์ปูองกันศีรษะจะช่วยปกปูอง
ศีรษะจากการถูกกระทบ กระแทก การกระเด็นจากวัสดุ การเจาะทะลุของของแข็ง โดยตัวอย่างอุปกรณ์ได้แก่
หมวกนิรภัย (Safety Helmet) หมวกกันกระแทก(Bump Cap) โดย หมวกนิรภัย ควรได้มาตรฐาน มอก.368-
2554, EN397, ANSI/ISEA Z89.1-2009

ภาพ 13 ตวั อย่างอปุ กรณป์ ูองกันศีรษะ
ทม่ี า : “ตัวอย่างอปุ กรณป์ ูองกนั ศีรษะ” (2556),โดย Work sense 2013 Safety Products Catalogue,
คน้ จาก : http://www.worksense.com.au

16

2.) อปุ กรณ์ป้องกนั ใบหนา้ และดวงตา
อุปกรณ์ปูองกันใบหน้าและดวงตา ได้แก่ แว่นตานิรภัย ครอบตานิรภัย กระบังหน้า หน้ากากเชื่อมโลหะ
ซ่ึงเป็นอุปกรณ์ท่ีช่วยปูองกันอันตรายจากแสงจ้า การแผ่รังสี กระแทกของของแข็ง การกระเด็นของสารเคมีเหลว
หรือของเหลวหรือของเหลวอันตรายอ่ืน การกระเด็นจากเศษโลหะ จากงานเชื่อมโลหะ โดยแว่นนิรภัยและแว่น
ครอบตาควรได้มาตรฐาน ANSI Z87.1, EN166

ภาพ 14 ตัวอยา่ งอปุ กรณป์ ูองกนั ใบหนา้ และดวงตา
ทมี่ า : “ตัวอย่างอปุ กรณ์ ปูองกันใบหนา้ และดวงตา”(2556), โดย Work sense 2013 Safety Products
Catalogue,
ค้นจาก : http://www.worksense.com.au

3.) อุปกรณ์ป้องกันมือและแขน
อุปกรณ์ปูองกันมือและแขนเป็นอุปกรณ์ปูองกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับมือและแขนไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่
รา้ ยแรง เชน่ น้ิวขาด มือขาด ซงึ่ การทางานสว่ นใหญจ่ าเปน็ ตอ้ งใช้มือช่วยยดึ จับ ช้ินงาน จงึ อาจสมั ผสั โดนสิ่งท่ีเป็น
อันตราย เช่น สารเคมี ของมีคม อุณหภูมิร้อนและเย็น ไฟฟูา เช้ือโรค ความสกปรก โดยอุปกรณ์ที่ใช้ปูองกันมือ
และแขน ได้แก่ ถุงมอื ปลอกแขน ปลอกนิ้ว โดยถุงมือสาหรบั ปอู งกันงานเครื่องจักร ควรได้มาตรฐาน EN388

17

ภาพ 15 ตัวอยา่ งอุปกรณป์ ูองกันมือและแขน
ท่ีมา : “ตวั อยา่ งอปุ กรณป์ อู งกันมือและแขน”,(2556), โดย Work sense 2013 Safety Products Catalogue,
คน้ จาก : http://www.worksense.com.au

4.) อปุ กรณป์ ้องกนั ขาและเท้า
อุปกรณ์ปูองกันขาและเท้าเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้พนักงานลดความเส่ียงต่อการถูกกระแทก หรือ โดน
วัสดุส่ิงของหล่นทับ หรือหนีบ หรือโดนสารเคมีหกใส่ขาและเท้า โดยอุปกรณ์นิยมใช้ปูองกันขาและเท้า ได้แก่
รองเท้านิรภัย รองเท้าบู๊ทนิรภัย โดยรองเท้านิรภัยควรได้มาตรฐาน มอก. 523-2528, JIS T8101, ANSI Z41-
1991, EN 345-1:1993

ภาพ 16 ตวั อย่างอปุ กรณ์ปูองกนั ขาและเท้า
ทมี่ า : “ตวั อย่างอุปกรณป์ อู งกันขาและเทา้ ”. (2013), โดย Worksense 2013 Safety Products Catalogue,

18

ค้นจาก : http://www.worksense.com.au

5.) อุปกรณ์ป้องกนั ลาตวั

อุปกรณ์ปูองกันลาตัวเป็นอุปกรณจ์ าเป็นและมีความสาคญั ทีจ่ ะช่วยปูองกันไม่ให้คนงานท่ีทางานในที่สูงตก
ลงส่เู บ้อื งลา่ ง และหากพนกั งานทที่ างาน เก่ยี วกับสารเคมี ยงั ช่วยปอู งกันสารเคมีกระเดน็ หกรด หรือดูดซึมเข้าทาง
ผิวหนังของร่างกายได้ และในกรณีท่ีทางานเกี่ยวกับกระบวนการหลอมโลหะ ยังช่วยปูองกัน อันตรายจากโลหะ
หลอมเหลวและของเหลวอ่ืนที่ร้อน กระเด็นเข้าใส่บริเวณลาตัว นอกจากนี้อุปกรณ์ดังกล่าว ยังช่วยปูองกันลาตัว
ของพนักงานกระแทกกับเครื่องจักร โดยอุปกรณ์ท่ีเป็นที่นิยมใช้ ได้แก่ ชุดปูองกันสารเคมี ชุดปูองกันความร้อน
อปุ กรณป์ อู งกนั การตกจากทีส่ งู

ภาพ 17 ตัวอย่างอุปกรณ์ปูองกนั ลาตัว
ทมี่ า : “ตัวอยา่ งอุปกรณป์ ูองกนั ลาตวั ”, (2556), โดย Worksense 2013 Safety Products Catalogue,
คน้ จาก : http://www.worksense.com.au

6.) อปุ กรณ์ปอ้ งกนั ระบบหายใจ
เปน็ อปกุ รณท์ ่อี อกแบบมาเพือ่ ปูองกนั อันตราย ทอี่ าจเกดิ กับระบบทางเดินหายใจของพนักงานท่ีทางานใน
สภาวะแวดล้อมทีม่ มี ลพษิ ควันพษิ กระจายอยู่ บรเิ วณโดยรอบ ตัวอย่างอุปกรณ์ เช่น หน้ากากกรองอากาศและชุด
ส่งผ่านอากาศ ถังอากาศช่วยในการหายใจ หน้ากากท่ีมีเคร่ืองจ่ายอากาศ อุปกรณ์ชนิด มีสายส่งอากาศอัดด้วย
ความดัน อปุกรณ์ชนิดปิดใบหน้า ปูองกันก๊าซ หน้ากากกรองสารเคมี เครื่องกรองอนุภาค และไอควันของโลหะ
เครอ่ื งกรองยาฆา่ แมลง โดย หน้ากากกรองฝนุ และสารเคมคี วรไดม้ าตรฐาน AS/ NZS 1716:2003, ANSI Z88.2

19

ภาพ 18 ตัวอยา่ งอุปกรณ์ปูองกันระบบหายใจ
ที่มา : “ตัวอย่างอปุ กรณ์ปูองกันระบบหายใจ”. (2556), โดย Worksense 2013 Safety Products Catalogue,
ค้นจาก : http://www.worksense.com.au

7.) อปุ กรณป์ ้องกนั หู
อุปกรณ์ปอู งกันหเู ป็นอปุ กรณท์ ช่ี ว่ ยลดระดบั เสยี งดงั ในบริเวณทางานลงใหอ้ ยู่ในระดับท่ีปลอดภัย ก่อนเข้า
สู่ระบบการได้ยิน เพ่ือเป็นการปูองกันอันตรายที่จะเกิดกับกระดูกหูและแก้วหู โดยอุปกรณ์ปูองกันหู ได้แก่ ที่อุดหู
ท่ีสอดหู ท่ีครอบหู หมวกนิรภัยปูองกันเสียง โดยที่ครอบหูนิรภัย ควรได้มาตรฐาน ANSI 53.19-1974 (ปลั๊กอุดหู
สามารถลดความดงั ได้ 15-20 เดซเิ บล ที่ครอบหสู ามารถลดความดังได้ 20-30 เดซิเบล)

ภาพ 19 ตัวอย่างอปุ กรณป์ ูองกันหู
ท่ีมา : “ตัวอยา่ งอุปกรณ์ปอู งกนั หู”, (2556), โดย Worksense 2013 Safety Products Catalogue,

20

ค้นจาก : http://www.worksense.com.au

1.5. การปอ้ งกนั และระงับอัคคีภัย

ทฤษฎีพน้ื ฐานทใ่ี ช้อธิบายหลักการเกิดของไฟ โดยไฟจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบท่สี าคัญ 3
อยา่ งคือ ออกซเิ จน เชื้อเพลิง และความร้อน เพ่ือใหต้ ิดขนึ้ เป็นไฟ ซ่งึ สามารถอธบิ ายได้งา่ ยๆดงั รูปดา้ นลา่ ง

ภาพ 20 องค์ประกอบการเกิดไฟ
ทม่ี า : บ้านจอมยุทธ
ค้นจาก : https://www.baanjomyut.com

1.) ภยั อนั ตรายจากไฟไหม้
1. ไฟไหม้จะมีความมืดปกคลุมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ความมืดน้ันอาจเน่ืองจากอยู่ภายใน

อาคารแลว้ กระแสไฟฟูาถกู ตดั หมอกควนั หนาแน่น หรอื เปน็ เวลากลางคนื
วธิ แี กไ้ ข

 ตดิ ตงั้ อปุ กรณไ์ ฟสอ่ งสวา่ งฉกุ เฉนิ ซ่งึ ทางานได้ดว้ ยแบตเตอร่ีทนั ทีทก่ี ระแสไฟฟาู ถกู ตัด
 ตดิ ต้ังเคร่ืองกาเนิดไฟฟูาสารองเม่ือกระแสไฟฟูาถูกตัด
 เตรยี มไฟฉายทีม่ กี าลังสอ่ งสวา่ งสงู ไว้ให้มีจานวนเพียงพอในจดุ ทสี่ ามารถนามาใช้ได้สะดวก

21

 ฝึกซอ้ มหนีไฟเม่ือไม่มีแสงสว่าง ด้วยตนเองทั้งท่ีบ้าน ที่ทางาน ในโรงแรม หรือแม้แต่ในโรงพยาบาล โดย
อาจใช้วิธหี ลับตาเดิน (ครั้งแรกๆ ควรให้เพ่ือนจูงไป) และควรจินตนาการด้วยว่าขณะนี้กาลังเกิดเหตุเพลิง
ไหม้

2. ไฟไหม้จะมีก๊าซพิษและควันไฟ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุเพลิงไหม้ประมาณ ร้อยละ 90
เป็นผลจากควนั ไฟ ซึ่งมที ง้ั ก๊าซพษิ และทาให้ขาดออกซเิ จน
วธิ แี กไ้ ข
 จดั เตรียม หน้ากากหนีไฟฉุกเฉิน
 ใชถ้ งุ พลาสติกใส ขนาดใหญ่ตักอากาศแล้วค้มุ ศรีษะหนีฝาุ ควนั (หา้ มฝุาไฟ)
 คืบ คลานต่า อากาศท่ีพอหายใจได้ ยังมีอยู่ใกล้พื้น สูงไม่เกิน 1 ฟุต แต่ไม่สามารถทาได้เมื่ออยู่ในชั้นที่สูง
กว่าแหลง่ กาเนดิ ควัน

3. ไฟไหม้จะมีความร้อนสูงมาก หากหายใจเอาอากาศท่ีมีความร้อน 150 องศา เซลเซียสเข้าไป
ท่านจะเสียชีวิตทันที ในขณะท่ีเม่ือเกิดเพลิงไหม้แล้วประมาณ 4 นาที อุณหภูมิจะสูงกว่า 400 องศา
เซลเซียส
วิธีแก้ไข
 ถ้าทราบตาแหน่งต้นเพลิงและสามารถระงับเพลิงได้ ควรระงับเหตุเพลิงไหม้ด้วยความรวดเร็ว ไม่ควร
เกนิ 4 นาทหี ลงั จากเกดิ เปลวไฟ ควรหนจี ากจุดเกิดเหตุ ใหเ้ รว็ ท่สี ุดไปยังจดุ รวมพล

4. ไฟไหม้ลุกลามรวดเร็วมาก เมื่อเกิดเหตุเปลวไฟข้ึนมาแล้ว ท่านจะมีเวลาเหลือในการเอาชีวิต
รอดน้อยมาก
ระยะการเกดิ ไฟไหม้ 3 ระยะดังนี้

4.1) ไฟไหม้ขั้นต้น คือ ตั้งแต่เห็นเปลวไฟ จนถึง 4 นาที สามารถดับได้ โดยใช้เครื่องดับเพลิง
เบ้ืองต้น แต่ผู้ใช้จะต้องเคยฝึกอบรมการใช้เครื่องดับเพลิงมาก่อน จึงจะมีโอกาสระงับได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ

22

4.2) ไฟไหม้ข้ันปานกลาง ถึงรุนแรง คือ ระยะเวลาไฟไหม้ไปแล้ว 4 นาที ถึง 8 นาที อุณหภูมิจะ
สูงมากกว่า 400 องศาเซลเซียส หากจะใช้เครื่องดับเพลิงเบ้ืองต้น ต้องมีความชานาญ และต้องมีอุปกรณ์ จานวน
มากเพียงพอ จึงควรใชร้ ะบบดบั เพลิงข้ันสงู จงึ จะมคี วามปลอดภยั และมปี ระสิทธิภาพมากกวา่

4.3) ไฟไหม้ขั้นรุนแรง คือ ระยะเวลาไฟไหม้ต่อเนื่องไปแล้ว เกิน 8 นาที อุณหภูมิจะสูงมากกว่า
600 องศาเซลเซยี ส ไฟจะลกุ ลามขยายตวั ไปทกุ ทิศทางอย่างรุนแรงและรวดเร็ว การดับเพลิงจะต้องใช้ผู้ท่ี
ได้รบั การฝึก พรอ้ มอุปกรณ์ในการระงับเหตุขน้ั รนุ แรง

2.) หมายเลขโทรศัพทส์ าคญั กรณฉี ุกเฉิน
 แจง้ เหตุดว่ นเหตรุ า้ ย 191, 123
 ศนู ยน์ เรนทร (ก้ชู ีพชว่ ยชวี ติ ) 1669, 0- 2951- 0282
 ศูนย์ควบคุมการจราจร 1197
 กองปราบปราม 1195
 แจ้งเหตุ กทม.( 24 ชม.)
 บริการการแพทยฉ์ ุกเฉนิ 1669
 รถพยาบาลฉุกเฉิน 1646
 ศนู ย์สง่ กลบั และรถพยาบาลกรมตารวจ 1691
 Hot Line คลายเครียด(กรมสขุ ภาพจติ ) 1667
 สายดว่ นกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 1546
 ศนู ย์ประสานงานฉุกเฉนิ 24 ชม. 0- 2226- 4444
 แจ้งเหตุดว่ นทางน้า 1199
 ท่อประปาแตก (เขตนครหลวง) 1125
 ไฟฟูาขัดขอ้ ง(เขตนครหลวง) 1130

23

2. การจัดทาคู่มอื
การจดั ทาคมู่ อื การใช้อุปกรณ์และเคร่อื งจักรความปลอดภัยในห้องปฏบิ ัติการทางวศิ วกรรม
ห้องปฏบิ ตั ิการกลางทางวศิ วกรรมในสถานศึกษาท้ังระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษา มีวัตถุประสงค์

เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติการใช้เคร่ืองมือและเคร่ืองมือกลเพ่ือให้เกิดทักษะในการปฏิบัติงาน โดยทั่วไป
ประกอบด้วยโต๊ะฝึกปฏิบัติงานหรือโต๊ะปากกาจับชิ้นงาน เครื่องกลึง เครื่องกัด เคร่ืองเจียร เคร่ืองเจาะ เป็นต้น
โดยคู่มือการใช้เครอ่ื งมอื ทว่ั ไป และเครื่องมอื กลเบ้ืองตน้ ในหอ้ งปฏบิ ตั ิการกลางทางวศิ วกรรม มดี ังน้ี

2.1. โตะ๊ ปากกาจับชิ้นงาน

โต๊ะปากกาจับช้ินงานใชก้ รณที ี่ต้องการจับชน้ิ งานเพ่อื ตกแต่ง หรือขึ้นรปู ชิ้นงาน เช่น การตัด การสกัด การ
ตะไบ การข้ึนรูปโลหะแผ่น เป็นต้น บนโต๊ะฝึกปฏิบัติงานทางานประกอบไปด้วยเคร่ืองมือทั่วไปที่ใช้ในการขึ้นรูป
ช้ินงาน เช่น เล่ือยมือ ตะไบ ค้อน สกัด คีม รวมถึงเคร่ืองมือวัด เช่น บรรทัดเส้นผม ฉาก เวอร์เนียคาลิป-เปอร์
ไมโครมิเตอร์ เป็นตน้

หลักการทางาน
ปากกาจะจับช้ินงานได้เมื่อหมุนด้ามท่ีมีเกลียวเข้าไปในตัวของมัน ขนาดของแรงบีบข้ึนอยู่กับขนาดของ
เสน้ ผ่านศนู ย์กลางของก้านเหลก็ ทม่ี เี กลียว เมอื่ เทียบกับความยาวของดา้ ม และระยะหา่ งระหว่างเกลยี ว

24

วิธีการใช้งาน
1.เปดิ ปากกาออกใหก้ วา้ งกวา่ ขนาดของช้นิ งาน

2.วางชนิ้ งานไวร้ ะหวา่ งกลางและหมนุ ด้ามเพ่ือให้ขาหนบี เลื่อนเขา้ มาจบั ชิน้ งาน
3.ปรับตาแหน่งของชน้ิ งาน

25

4.ขันดา้ มใหแ้ น่น เพือ่ ใหส้ ว่ นของขาหนบี บี ช้ินงาน ลองโยกชิ้นงาน ถ้ายังขยบั ได้ก็ขันให้แน่นขึ้นอีก จากน้ัน
ก็ลงมือปฏบิ ัตงิ านได้

การปฏิบัติงานในบริเวณดังกล่าว ผู้เรียนจะใช้เคร่ืองมือทั่วไป โดยมือผู้เรียนจะต้องสัมผัสโดยตรงกับ
เคร่ืองมือดังกล่าว และชิ้นงานโลหะถูกจับยึดเข้ากับปากกาจับชิ้นงานท่ีติดตั้งอยู่บนโต๊ะท่ีมีความสูง ดังน้ัน ผู้เรียน
ควรสวมใสอ่ ปุ กรณป์ ูองกันสว่ นบุคคล เชน่ แวน่ ตานริ ภยั ทอ่ี ดุ หู ถุงมือผ้า รองเท้านิรภยั เป็นตน้

2.2. เครื่องเจาะแบบต้ังโตะ๊

เคร่อื งเจาะแบบต้งั โตะ๊ (bench-model Sensitive drilling) คือ เครื่องมือกลเจาะ หรือเครื่องเจาะขนาด
เลก็ ท่ีฐานเครือ่ งจับยดึ อยูบ่ นโต๊ะทางาน ใชส้ าหรบั เจาะรชู นิ้ งานขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 13 มิลลิเมตร
ประสิทธิภาพในการทางานต่า

26

ข้ันตอนการทางาน
1.ศึกษาวิธีการใช้เคร่ืองเจาะให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจจะต้องปรึกษาอาจารย์ผู้ควบคุม พร้อมทั้งศึกษา
เกยี่ วกบั ความปลอดภัยในการใช้เครื่องเจาะด้วย

2.นาชน้ิ งานมารา่ งแบบให้ไดแ้ บบที่ถูกตอ้ ง พรอ้ มทั้งใชเ้ หล็กตอกรา่ งแบบและใชเ้ หล็กนาศนู ย์ตอกนาศูนย์

3.นาช้ินงานมาจับยึดบนเครื่องเจาะให้แน่น อาจจะจับยึดบนโต๊ะงาน หรือจับยึดด้วยอุปกรณ์จับยึดงาน
เช่น ปากกา C-Clamp เป็นตน้ ขน้ึ อย่กู บั ลักษณะงาน

27

4.นาดอกสว่านที่ต้องการเจาะจับยึดบนเครื่องเจาะ กรณีต้องการเจาะรูท่ีมีขนาดใหญ่ควรมีการเจาะไล่
ขนาดจากเลก็ ไปหาขนาดใหญ่

5.ปรับระยะห่างระหว่างชิ้นงานกับปลายดอกสว่านให้เหมาะสมพร้อมปรับตาแหน่งท่ีจะเจาะให้ตรง
ตาแหน่ง

28

6.ปรับความเร็วรอบให้ถูกต้อง การคานวณความเร็วในงานเจาะ จะมีความเร็วที่สาคัญ 2 ชนิด คือ
ความเร็วรอบและความเรว็ ตัด

1) การคานวณความเรว็ ตัด มีสูตรการคานวณดงั นี้

เมตร/นาที
เมือ่ กาหนด
V = ความเรว็ ตัดงานเจาะ เมตร/นาที
N = ความเร็วรอบดอกสวา่ น รอบ/นาที
d = ความยาวเส้นผ่าศนู ยก์ ลางดอกสว่าน มม.

2) การคานวณความเร็วรอบ ในกรณีต้องการหาความเร็วรอบก็ย้ายสมการจากสูตรข้างต้นก็จะได้
สูตรการคานวณดังนี้

7.ทาการปูอนเจาะงานตามความลึกที่ต้องการเจาะ ถ้าเคร่ืองเจาะมีแขนตั้งระยะความลึกที่ต้องการเจาะ
หรือสามารถปูอนอัตโนมัติได้ก็ทาการต้ัง เพื่อความสะดวกในการเจาะ ในการเจาะที่ต้องการตาแหน่งที่แน่นอน
ควรเจาะดว้ ยดอกเจาะนาศนู ยก์ ่อน จะได้ตาแหนง่ ของรทู ่แี ม่นยากว่า

29

ความปลอดภัยในการใช้เครอ่ื งเจาะ
1.กอ่ นใช้เคร่อื งเจาะทุกครั้งจะต้องตรวจดูความพร้อมของเครื่องก่อนใช้เสมอ ถ้าเครื่องชารุดอาจ

เป็นอนั ตรายตอ่ ผปู้ ฏบิ ัตงิ านได้
2.การจับยดึ ชน้ิ งานจะต้องจับยึดให้แนน่ และจะตอ้ งจบั ให้ถูกวิธี
3.ศกึ ษาขัน้ ตอนและวิธกี ารใชเ้ คร่อื งเจาะ และวิธีการทางานใหถ้ ูกตอ้ ง
4.จะตอ้ งแต่งกายใหร้ ัดกุมถูกตอ้ งตามกฎความปลอดภัย
5.จะตอ้ งสวมแว่นตานิรภัยปอู งกันเศษโลหะกระเด็นเขา้ ตา

2.3. เคร่อื งเจยี ระไนอเนกประสงค์

เคร่ืองเจียระไนอเนกประสงค์ (all-purpose grinder) คือ เคร่ืองมือกลท่ีใช้สาหรับลับช้ินงานขนาดเล็ก
ทั่วไป เช่น ดอกสว่าน มีดกลึง มีดไส และชิ้นงานขนาดเล็ก ๆ ท่ัวไป เป็นต้น ประกอบด้วยล้อหินขัดจานวน 2 ชุด
ข้างหนงึ่ จะเปน็ ลอ้ หนิ หยาบอกี ข้างจะเปน็ ลอ้ หินละเอียด

หลกั การทางาน
1.ตรวจสอบเบอื้ งตน้ โดยการเคาะหินเจยี รดว้ ยไมห้ รอื ด้ามไขควงเบาๆ โดยรอบเพื่อฟังเสียง (ring test) ถ้า
มีเสียงก้องแสดงว่าไม่มีรอยแตกร้าว ถ้ามีเสียงแปฺก ๆ แสดงว่าอาจมีรอยร้าว ไม่ควรใช้งานหินเจียรดังกล่าวโดย
เดด็ ขาด เพราะมโี อกาสทห่ี ินเจยี รจะแตกในขณะหมุนทางานไดง้ ่าย

30

2.หนา้ จานประกบทใี่ ช้ประกอบหินเจียรกับเครอ่ื งจะต้องมีขนาดเท่ากนั ท้ัง 2 ดา้ น
3.ถ้าใช้หนิ เจียรท่ีมขี นาดใหญ่ ให้ทาการถ่วงหินเจียร (balancing) กอ่ นทกุ ครง้ั
4.ตอ้ งมกี ารด์ ปูองกนั สะเกด็ วสั ดุกระเดน็ เข้าใบหนา้ และดวงตา

5.ห้ามใชด้ ้านขา้ งของหินเจยี ร ขัดแตง่ ชิ้นงาน ใชไ้ ดเ้ ฉพาะด้านหน้าของหินเจียรเท่านน้ั
6.หินเจียรที่ใช้งานจนเกิดความโค้งข้ึนบริเวณหน้าหินเจียร ให้ตัดส่วนที่โค้งนูนออกไปด้วยเคร่ืองมือ
ปรับแต่งหนา้ หินเจียร

7.การเจียรหิน ควรใช้หินเจยี รชนดิ หยาบก่อนแลว้ จงึ ใชช้ นดิ ละเอยี ดอีกคร้งั
8.ควรหลีกเล่ยี งการอยดู่ า้ นหน้าของหนิ เจยี ร ในขณะทดสอบการเดนิ เครื่อง หลังจากเปล่ียนหนิ เจยี รใหม่

31

9.ตามข้อกาหนดของ OSHA กาหนดว่าแท่นรองชิ้นงานต้องห่างจากหินเจียรไม่เกิน 1/8 นิ้ว และท่ีเล่ือน
ปิดครอบการ์ดควรมีระยะห่างไม่เกิน 1/4 น้ิว ซึ่งจะต้องทาการตรวจสอบก่อนเร่ิมงานทุกคร้ัง โดยอาจใช้เกจวั ด
ระยะแบบสาเร็จรปู จะสะดวกในการตรวจสอบยง่ิ ข้นึ

ขั้นตอนการทางานของเคร่ืองเจยี ระไนลับคม
1.ศกึ ษาหลักการใช้ วธิ ีการ และเตรียมเครอ่ื งมือหรอื ชิ้นงานใหพ้ ร้อม

2.ตรวจสอบความพรอ้ มและความเรียบร้อยของเครื่องเจยี ระไนลบั คมตดั

32

3.เปดิ สวติ ชด์ าเนนิ การทางาน
4.ทาการลับมดี หรอื ตัดชิน้ งานอย่างถกู วธิ กี าร

5.เมื่อเสรจ็ การทางานปดิ สวติ ชใ์ ห้เรียบร้อย
6.ทาความสะอาดหลังเลิกใชแ้ ล้ว
ความปลอดภยั ในการใชเ้ คร่ืองเจียระไนลับคมตดั
1.ตรวจสอบความพรอ้ มก่อนใชเ้ ครอื่ งเจียระไน
2.การแตง่ กายต้องรดั กุม
3.ตอ้ งมอี ปุ กรณป์ อู งกันสายตาทกุ ครั้งก่อนใช้
4.ต้องปรับระยะหา่ งแทน่ รองรับงาน ประมาณ 3 มม.

33

5.ทาการแต่งลอ้ หินเจยี ระไนอยูใ่ นสภาพใช้กันได้ดีเสมอ
6.ห้ามใชผ้ า้ ขณะเขา้ ใช้เครอื่ งมอื
7.ตดิ ต้ังสายดนิ ปอู งกันไฟฟูาดูด
การปฏิบัติงานกับเคร่ืองมือกลดังกล่าว ผู้เรียนจะต้องสัมผัสโดยตรงกับชิ้นงาน การเจียระไนจะทาให้เกิด
ประกายไฟและผงโลหะ ช้ินงานจะเกิดความร้อนจากการเจียระไน ซึ่งเคร่ืองเจียระไนติดต้ังอยู่บนโต๊ะที่มีความสูง
ดังน้ัน ผเู้ รยี นควรสวมใส่อปุ กรณ์ปอู งกันสว่ นบุคคล เชน่ แวน่ ตานริ ภัย ทอ่ี ุดหู รองเท้านริ ภัย เป็นตน้

2.4. เครอื่ งเล่ือยชัก (Power Hack Saw)

เครื่องเล่ือยชกั เปน็ เคร่ืองเล่อื ยกลแบบง่ายๆ ราคาถูกกว่าแบบอ่ืนหลายเท่า ที่นิยมใช้ในงานตัดโลหะท้ังใน
ธรุ กิจขนาดเลก็ และขนาดใหญ่ เชน่ งานตัดเหล็กในร้านขายเหล็ก ในร้านเหล็กดดั ประตหู นา้ ต่างและโรงงานฝึกฝีมือ
ช่างอุตสาหกรรมทุกสาขาวชิ าลักษณะการทางานของเล่ือยชัก คือ เปลี่ยนการส่งกาลังขับมอเตอร์ไฟฟูาที่หมุนรอบ
ตัวใหเ้ ป็นการเคล่อื นท่ีของใบเลือ่ ยไป – กลับด้วยกลไกเยื้องศูนย์

กลไกการทางานของเครือ่ งเลือ่ ยชัก
กลไกการทางานของเคร่ืองเลื่อยชัก เป็นกลไกส่งกาลังมอเตอร์ ส่งกาลังผ่านเฟืองขับ ซึ่งเป็นเฟืองทดเพ่ือ
ทดความเร็วรอบมอเตอร์ และเพอ่ื ทดแรงขับของมอเตอรท์ ีข่ า้ งเฟืองขบั มจี ดุ หมนุ กา้ นต่ออยู่คนละศูนย์กับศูนย์กลาง
เฟอื งเพ่อื ต่อกา้ นตอ่ ไปขบั โครงเล่อื ย ให้ชกั โครงเลื่อยเดนิ หน้าและถอยหลงั ได้

34

การจับยดึ ชิน้ งานและการเล่อื ย
1.สว่ นประกอบปากกาจบั ยึดชน้ิ งานเครือ่ งเล่ือยชัก ปากกาจับยึดช้ินงานเคร่ืองเล่ือยชักที่ใช้กันอยู่ทั่ว ๆไป
ประกอบด้วยปากอยู่กับที่ อยู่ด้านหัวเคร่ืองที่มีมอเตอร์ขับ โดยตั้งอยู่แท่นซ่ึงรองรับปากอยู่กับท่ีและปากเคล่ือนที่
ช่วงหลงั ดา้ นปากเคล่ือนท่ีทาเป็นฟันเลื่อย สาหรบั ใช้ปรับให้ปากเคลือ่ นท่ี เคลื่อนได้เร็วขึ้น ในกรณีจับช้ินงานขนาน
เล็ก ๆ แลว้ จงึ ขันแนน่ ด้วยเกรยี วอีกคร้งั หนง่ึ ด้วยการหมุนของมือหมนุ ในกรณตี ้องการเล่ือยชิน้ งาน

2.ลกั ษณะการจบั ช้นิ งานส้นั การจบั งานทผี่ ดิ วิธีในกรณชี ้ินงานส้ัน ปากของปากกาไม่สามารถจะจับชิ้นงาน
ให้แน่นได้ แรงกดของเกลียวจะดันชิ้นงานหลุด ถ้าฝืนเลื่อย ใบเลื่อยจะหัก การจับชิ้นงานที่ถูกวิธีปากของปากกา
จะต้องกดขนานกันทั้ง 2 ปาก การจับชิ้นงานสั้น ใช้เหล็กหนุนช่วยในการจับ ดันปากกาให้ขนานกดชิ้นงานแน่น
เมอ่ื ขนั เกลยี วจะทาให้ชิน้ งานไม่หลดุ

3. การวัดตัดชิ้นงาน การเลอื่ ยชน้ิ งานขนาดเดยี วกันจานวนมากถา้ ต้ังวัดงานทุกคร้ังที่ทาการตัด จะใช้เวลา
มากและขนานของชิ้นงานจะไม่เท่ากันมีโอกาสคลาดเคล่ือนได้วิธีการแก้ไขในการตัดช้ินงานขนานเดียวกันจานวน
มาก ๆโดยการการตงั้ วัดระยะงานช้นิ แรกแลว้ ใช้แขนตั้งระยะชว่ ยในการเลือ่ ยชน้ิ งานชน้ิ ตอ่ ไป

35

4.การใช้แขนต้ังระยะ แขนตั้งระยะ ช่วยในการวัดชิ้นงานท่ีต้องตัดจานวนมาก ๆ ให้ได้ขนาดเดียวกันทุก
ชนิ้ แขนต้ังระยะสามารถปรับระยะไดโ้ ดยการขันสกรูยึดให้แน่น และมือหมุนขันแน่น เมื่อปรับได้ท่ีแล้วต้องขันแน่น
ทั้ง 2 จุด เพราะเมื่อดนั ชิ้นงานเข้ามาตัดใหม่จะเกิดการกระแทก อาจทาใหข้ นาดเปล่ยี นแปลงไปได้

5. การเล่อื ยช้นิ งาน หลงั จากประกอบใบเลือ่ ยเขา้ กับโครงเล่ือยและจับช้ินงานเข้ากับปากกา ยกโครงเลื่อย
ให้และจับชิ้นงานเข้ากับปากกา ยกโครงเลื่อยให้ใบเล่ือยลอยอยู่เหนือชิ้นงาน เปิดเคร่ืองให้ใบเลื่อยทางาน พร้อม
กับค่อยๆ ลดใบเลื่อยเล่ือยลงให้ฟันเล่ือยแตะกับผิวงาน จุดแรกเริ่มของฟันเลื่อยทางานกับค่อยๆ ลดใบเล่ือยลงให้
ฟันเลื่อยแตะกับผิวงาน จุดแรกของฟันเลื่อยท่ีแตะจะเป็นจุดเริ่มต้นของการทางานเล่ือย ในขณะเดียวกันจะต้อง
เปดิ ก๊อกนา้ หล่อเย็น ให้น้าช่วยระบายความร้อนท่ีเกิดจากการเสียดสีของใบเลื่อยกับชิ้นงาน พร้อมกับไล่เศษโลหะ
ออกจากฟันเลือ่ ยอีกด้วย จะไมเ่ กิดการอัดแนน่ ในร่องฟันเล่ือย

36

ขอ้ ควรระวงั ในการใช้เครอื่ งเล่อื ยชัก
1. เม่อื เรมิ่ ต้นเลื่อยให้ยกใบเลื่อยพ้นชิ้นงาน แล้วปล่อยลงบนช้ินงานช้า ๆ ตัดด้วยแรงเบาๆ ก่อน

แลว้ จึงคอ่ ยปรับเพม่ิ แรงตดั มากขึ้น จะทาให้การตัดงานทาได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
2. จับงานให้แน่นดว้ ยอุปกรณ์จบั ยึด ถ้าจบั ไม่แนน่ ชิน้ งานขัดใบเล่อื ย มโี อกาสแตกหักไดง้ ่าย

3. ตง้ั ระยะขนาดงานให้ถูกตอ้ งก่อนทาการยึดชนิ้ งานแน่น

37

4. ใชน้ า้ หลอ่ เยน็ ชว่ ยระบายความร้อนในขณะทาการตัดเฉอื น

5. อยา่ ถอดชนิ้ งาน หรอื คายปากกาออกขณะกาลงั ตัดอย่จู ะทาให้ใบเลอ่ื ยหักได้

6. เลอื กใชค้ วามเรว็ ในการตดั ชน้ิ งานให้เหมาะกบั วัสดุและขนาดงานน้นั ๆ

7. เลือกใชใ้ บเลอ่ื ยให้จานวนฟนั ถูกตอ้ งกับคุณสมบัติและขนาดชิ้นงาน

การปฏิบตั งิ านกับเคร่อื งมอื กลดังกล่าว จะเกดิ ประกายไฟและผงโลหะ ชิน้ งานจะเกดิ ความร้อนจากการตัด
ดงั น้นั ผู้เรยี นควรสวมใสอ่ ปุ กรณป์ ูองกันสว่ นบคุ คล เช่น แว่นตานริ ภยั ถุงมอื หนัง รองเทา้ นริ ภัย เป็นต้น

38

2.5. เครื่องเช่ือม (welding machine)

เครื่องเชื่อมกระแสสลับเป็นแบบเคร่ืองแปลงไฟ ซ่ึงสามารถปรับค่าแรงเคล่ือนไฟฟูา(variable voltage)
ได้ โดยหมุนท่ีบังคับให้เลื่อนไปตามตัวเลขท่ีมีบอกไว้ เครื่องเช่ือมกระแสสลับมีข้อดีคือ ราคาต่า ใช้กาลังไฟน้อย
และการบารงุ รักษาตา่ การเชื่อมประสานด้วยเครื่องเช่อื มกระแสสลบั จะใชห้ ลักการอาร์คทางไฟฟูา

ข้อปฏบิ ตั ิสาหรับการเช่อื ม

1.ต้องตรวจสอบสายต่อภายนอกเคร่ืองเช่ือมทุกวัน จดบันทึกและรายงายส่ิงผิดปรกติของชุดสายเชื่อม
และอปุ กรณ์ท่เี ก่ียวข้อง เช่น ลวดเชื่อม อปุ กรณ์จบั ลวด หรืออุปกรณส์ ่วนหวั เช่อื ม สายเชื่อม ฉนวนความร้อนที่เกิด
ขนาด หรอื ขอ้ บกพรอ่ งอน่ื ๆ

2.ตอ้ งแนใ่ จวา่ ขอ้ ต่อสายเช่อื มแนน่ อยเู่ สมอและหน้าสัมผสั ต่าง ๆ ต้องสะอาด

39

3.ตรวจสอบสภาพสายเช่ือมและสายดนิ มใิ ห้เกดิ การเสยี หายหรอื มรี อยร่วั
4.ใช้งานอย่างถูกต้อง ไม่ดัดแปลงตัวเคร่ืองเช่ือม สายเช่ือม หรืออุปกรณ์ส่วนอื่น ๆ หากมีการชารุดของ
อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ใหร้ ีบเปล่ียนทนั ที
5.การเช่ือมทใี่ ชก้ ระแสไฟสูงมาก สายไฟที่ใช้ตอ้ งเปน็ ชนดิ ที่ทนกระแสสูงสดุ ในการใชง้ านได้

6.หากเครื่องมปี ญั หา หรือมีสิ่งผิดปกติ ควรหยุดพักเคร่ือง และแจ้งหน่วยงานที่เก่ียวข้องเข้าซ่อมแซมโดย
ทนั ที

การปฏิบัติงานกับเครื่องมือกลดังกล่าว จะเกิดแสงจ้าและควันจากการอาร์ค ช้ินงานจะเกิดความร้อนสูง
ช้ินงานอาจมีน้าหนักมาก ดังน้ัน ผู้เรียนควรสวมใส่อุปกรณ์ปูองกันส่วนบุคคล เช่น กระบังหน้าสาหรับงานเช่ือม
โลหะหรอื อุปกรณ์ปูองกันดวงตา ถุงมือหนังหรือถุงมือฉนวนไฟฟูา รองเท้านิรภัย หน้ากากปูองกันฝุนหรือฟูมโลหะ
เปน็ ต้น (ธนากร น้าหอมจันทร์, 2555)

40

ภาคผนวก


Click to View FlipBook Version