ชุดองค์ความรู้ นวัตกรรมการแปรรูปสมุนไพร น้ำมันนวดสมุนไพร และ ลูกประคบสมุนไพรเซรามิก เป็นส่วน หนึ่งของ โครงการวิจัย การพัฒนาและขยายระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนแบบ เบ็ดเสร็จและแม่นยำ พื้นที่จังหวัดลำปาง ประจำปีบประมาณ 2565 ภายใต้โครงการย่อย การพัฒนาห่วงโซ่คุณค่า สมุนไพรแม่มอก เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ด้วย โมเดลแก้จน “Maemok Herbal Valley : แม่มอกดินแดนสมุนไพร “ ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัย จากสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ(สอวช.)โดย หน่วยบริหารและการจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่ ข้อมูลองค์ความรู้ น้ำมันนวดสมุนไพร และ ลูกประคบสมุนไพรเซรามิก ให้แก่สาธารณะ อาทิ เช่น ประชาชนและชุมชนของ ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง, สหกรณ์การเกษตรสมุนไพรตำบลแม่มอก จำกัด ,นักวิจัย และสถานบริการสุขภาพของรัฐและเอกชน ชุดองค์ความรู้ จะรวมเนื้อหาของ นวัตกรรมการแปรรูปสมุนไพร ที่ ประกอบด้วย น้ำมันนวดสมุนไพร และลูกประคบสมุนไพรเซรามิก ที่รวมสมุนไพรหลัก สมุนไพรรอง คุณสมบัติทางเคมี กระบวนการผลิต สรรพคุณของน้ำมันนวดสมุนไพร และ ลูกประคบสมุนไพรเซรามิก รวมถึงการทดสอบความเป็นพิษ และฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ำมันนวดสมุนไพร ขอขอบพระคุณ ดร.ดวงใจ พุทธวงศ์ หัวหน้าแผนงานวิจัย, รศ.ดร.วิลาศ พุ่มพิมล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง, นายชุติพนธ์ คำคะมูล ,นางสาวสมนึก เรืองจิต กลุ่มวิสาหกิจชุมชนลูกประคบสมุนไพร ธัญพืชเซรามิค บ้านศาลาบัวบก ต.ท่าผา อ.เกาะคา จ.ลำปาง ที่มาถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและการผลิต นวัตกรรม คุณธัญชนก เมืองมั่น และคุณกัญญาณัฐ แก้วเอียด ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ศนส.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ช่วยทดสอบความเป็นพิษและฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ามัน นวดสมุนไพร หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดองค์ความรู้ นวัตกรรมการแปรรูปสมุนไพร น้ำมันนวดสมุนไพร และลูกประคบสมุนไพร เซรามิก จะเป็นประโยชน์ในด้านวิชาการและส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร รวมทั้ง นวัตกรรมการแปรรูปสมุนไพร จะ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชนของ ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง ให้ดีขึ้นในอนาคต ผศ.ดร.ศิรญา จนาศักดิ์, ผศ.ดร.ณัฐกฤษฏ์ ธรรมกวินวงศ์, ผศ.ดร.ธนพร หมูคำ, ผศ.กาจนา คุมา, ผศ.ดร.ขจรศักดิ์ วงศ์วิราช, ผศ.สุวรรณี จันทร์ตา, ผศ.กาจนา รัตนธีรวิเชียร, อ.รัตนภัทร มะโนชัย นักวิจัย ก
หน้า คำนำ ก สารบัญ ข 1.น้ำมันนวดสมุนไพรหมอกไพร 1.1 องค์ประกอบสมุนไพรหลัก 1.1.1 สมุนไพรเถาเอ็นอ่อน 1 1.1.1 สมุนไพรผักเสี้ยนผี 7 1.1.1 สมุนไพรเพชรสังฆาต 12 1.2 องค์ประกอบสมุนไพรรอง 1.2.1 น้ำมันมะพร้าว 21 1.2.2 เกร็ดสระแหน่ 24 1.2.3 น้ำมันระกำ 26 1.2.4 น้ำมันยูคาลิปตัส 28 1.2.5 การบูร 30 1.2.6 พิมเสน 32 1.3 กระบวนการผลิตน้ำมันนวดสมุนไพรหมอกไพร 1.3.1 ส่วนผสมน้ำมันนวดสมุนไพรหมอกไพร 34 1.3.2 ขั้นตอนการผลิตน้ำมันนวดสมุนไพรหมอกไพร 34 1.4 การทดสอบความเป็นพิษและฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ามันนวดสมุนไพร 1.4.1 กระบวนการทดสอบความเป็นพิษและฤทธิ์ทางชีวภาพของ น้ำามันนวดสมุนไพรจากจังหวัดลำปางต่อเซลล์กล้ามเนื้อชนิด ไมโอบลาสต์ (myoblasts C2C12) 35 1.4.2 ผลการทดสอบความเป็นพิษและฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ามันนวดสมุนไพร จากจังหวัดลำปางต่อเซลล์กล้ามเนื้อชนิดไมโอบลาสต์ (myoblasts C2C12) 42 ข
2.ลูกประคบสมุนไพรเซรามิก 2.1 องค์ประกอบของ ลูกประคบสมุนไพรเซรามิก 56 2.2 สรรพคุณของลูกประคบสมุนไพรเซรามิก 59 2.3 ขั้นตอนทำลูกประคบสมุนไพรเซรามิก 62 บรรณานุกรม ค ภาคผนวก ง (ต ่ อ)
เถาเอ็นอ่อน ชื่อวิทยาศาสตร์: Cryptolepis buchanani Roem.&Schult. [1] วงศ์ : Asclepiadaceae ชื่อสามัญ : - ชื่อเครื่องยา : เถาเอ็นอ่อน ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ : กวน (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) เครือเถาเอ็น (เชียงใหม่) ตีนเป็ดเครือ (ภาคเหนือ) เมื่อย (ภาค กลาง) นอออหมี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) หญ้าลิเลน (ปัตตานี) หมอนตีนเป็ด (สุราษฎร์ธานี) [2] ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของเถาเอ็นอ่อน: ไม้เลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น เปลือกเถาเรียบสีน้ำตาลอมดำ พอแก่เปลือกจะหลุดล่อนออกเป็นแผ่น ทุกส่วนของต้นมี น้ำยางสีขาว ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ใบรูปรี ปลายใบมนมีหางสั้น โคนใบสอบ หลังใบเรียบเป็นมันและลื่น ท้องใบเรียบสีขาลนวล ก้านใบสั้น ดอก ออกเป็น ดอกช่อ ตามซอกใบ ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน กลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน กลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ ผล ทรงกระบอก ติดกันเป็นคู่ ปลายผลแหลม ผิวเป็นมันลื่น พอแก่แตกออกด้านเดียว เมล็ดรูปรีสีน้ำตาล มีขนปุยสีขาวติดอยู่ [1] 1
ต้นเถาเอ็นอ่อน : จัดเป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้อื่น เป็นไม้เลื้อยจำพวกเถาเนื้อแข็ง เถาลำต้นกลม เปลือกเถาเรียบ หนาเป็นสีน้ำตาลอมสีดำหรือเป็นสีแดงเข้มและมีลายประตลอดเถา ยาวประมาณ 4-5 เมตร ก้านเล็ก มีสีเทา อมเขียวและไม่มีขนปกคลุม เมื่อเถาแก่เปลือกจะหลุดลอกออกเป็นแผ่น ๆ มียางสีขาวข้น ทั้งต้น [8],[10],[11] ใบเถาเอ็นอ่อน : ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรีหรือรูปไข่ ปลายใบมนมีหางสั้น โคนใบ สอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-8 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-18 เซนติเมตร แผ่นใบ ค่อนข้างหนา หลังใบเรียบเป็นมันและลื่น ท้องใบเรียบเป็นสีเขียวนวล ใบอ่อนมีขนปกคลุม ส่วนใบแก่ไม่มีขน เส้นใบตามขวางจะเป็นเส้นตรงไม่โค้ง ใบหนึ่งจะมีประมาณ 30 คู่ ส่วนก้านใบสั้น ยาวได้ ประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร [8],[9],[11] 2
ดอกเถาเอ็นอ่อน : ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกย่อยเป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีเป็นสีขาวอมเหลือง ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียวมี 5 กลีบ [8],[9],[11] ผลเถาเอ็นอ่อน : ออกผลเป็นฝัก ลักษณะของฝักเป็นรูปทรงกระสวย กลมยาว ยาวประมาณ 6.5-10 เซนติเมตร และมี ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางฝักประมาณ 1-2 เซนติเมตร ฝักมีเนื้อแข็ง โคนผลติดกัน ปลายผลแหลม ผิวผลเป็นมัน ลื่น พอแก่แล้วจะแตกอ้าออก ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลมีขนปุยสีขาวติดอยู่และปลิวไปตามลมได้ ลักษณะของ เมล็ดเป็นรูปรีหรือรูปกลมยาวแบน มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร [8],[9],[11] 3
องค์ประกอบทางเคมี: ในลำต้นหรือเถาพบสารกลุ่ม Alkaloids ได้แก่ buchananine[12] , 1, 3, 6-O-trinicotinoyl--Dglucopyranose [13] และในส่วนของใบและรากพบสารกลุ่ม Cardenolides ได้แก่ cryptosin[14] sarmentogenin[15] , sarmentocymarin , cardenolide glycosides ,cryptanoside A , cryptanoside B , cryptanoside C , cryptanoside D [3] 4
ลักษณะภายนอกของเครื่องยา: ไม้เถา เนื้อแข็ง เถากลม เปลือกเถาเรียบ เปลือกมีผิวบางๆสีแดงเข้มหุ้มอยู่ เถาแก่เปลือกหนาสีดำ เมื่อเถาแก่เปลือกจะหลุดลอกออกเป็นแผ่น มียางสีขาวข้นทั้งต้น รสขมเบื่อมัน สรรพคุณของเถาเอ็นอ่อน -สรรพคุณ/ตำรับยา 1.ราก เถา และใบมีรสขมเบื่อเอียน เป็นยาเย็น มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและตับ ใช้เป็นยาฟอกเลือด (ราก, เถา, ใบ) [11] 2.เถานำมาต้มกินจะช่วยทำให้จิตใจชุ่มชื่น (เถา) [10] 3.เมล็ดมีรสขมเมา เป็นยาขับลมในลำไส้และในกระเพาะอาหาร ทำให้ผายและเรอ ช่วยแก้อาการจุก เสียดแน่นท้อง (เมล็ด) [8],[9],[10] 4.เถาใช้แก้อาการฟกช้ำดำเขียว โดยใช้เถาที่บดเป็นผง 0.35 กรัม ผสมกับเหล้ารับประทาน หรือใช้ยา แห้งประมาณ 5-6 กรัม นำมาดองกับเหล้ารับประทานครั้งละ 5 ซีซี วันละ 3 ครั้ง (ตำรับนี้ใช้แก้อาการปวด เมื่อยตามร่างกายได้ด้วย) (เถา) [11] 5.ใบและเถาเป็นยาบำรุงเส้นเอ็น แก้อาการปวดเมื่อย โดยใบมีรสเบื่อเอียน ใช้ทำเป็นลูกประคบ ด้วย การนำใบมาโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาห่อกับผ้าทำเป็นลูกประคบแก้เมื่อยขบ แก้ปวดเสียวเส้นเอ็น ช่วยคลาย เส้นเอ็น ทำให้เส้นเอ็นที่ตึงยืดหย่อน ส่วนเถามีรสขมเบื่อมัน ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง แก้ เส้นเอ็นพิการ เส้นแข็ง แก้อาการปวดเมื่อยเส้นเอ็น แก้อาการปวดบวม ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดหลัง แก้ขัด ยอก (ใบ, เถา) [11] ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์ปกป้องกระดูกอ่อน (chondroprotective activity) [3] 2.ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย (anti-bacterialactivity) [4] 3.ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatoryactivity) [5] 4. ฤทธิ์ระงับปวด (analgesic activity) [6] 5. ฤทธิ์ปกป้องตับ (hepatoprotective activity) [7] 5
การศึกษาทางคลินิก: การศึกษาทางพิษวิทยา: ขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายร้อยละ 50 (lethal dose 50% หรือ LD50) [2] ลักษณะทางกายภาพและเคมีที่ดี - ไม่มีข้อมูล ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรเถาเอ็นอ่อน : เนื่องจากเถาเอ็นอ่อนเป็นสมุนไพรที่มีสารซึ่งมีฤทธิ์ต่อการ กระตุ้นของหัวใจ ดังนั้นในการรับประทานจึงไม่ควรรับประทานมากเกินกว่าปริมาณที่กำหนดให้ใช้ และไม่ควร รับประทานติดต่อกันนานจนเกินไป 6
ผักเสี้ยนผี ชื่อวิทยาศาสตร์: Cleome viscosa Linn. [16] วงศ์ : Cleomaceae[16] ชื่อสามัญ : Asian spider flower, Tickweed, Polanisia vicosa, Wild spider flower, Stining cleome, Wild caia tickweed [16] ชื่อเครื่องยา : ผักเสี้ยนผี ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ : ผักส้มเสี้ยน, ผักส้มเสี้ยนผี, ส้มเสี้ยนผี (ภาคเหนือ), ผักเสี้ยนตัวเมีย (ภาคกลาง) [16] ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของผักเสี้ยนผี: จัดเป็นพืชล้มลุก ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก มีขนปกคลุม ตลอดทั้งลำต้น และกิ่งก้านยังมีเมือกเหนียวตามขนที่ขึ้นปกคลุม มีกลิ่นฉุนแรกโดยต้นของผักเสี้ยนผีสามารถสูง ได้ถึง 1 เมตร ใบออกเป็นใบประกอบยื่นออกเป็นแฉก มีใบย่อย 3 หรือ 5 ใบ เรียงเวียน ก้านใบยาว 0.5-6 เซนติเมตร ใบย่อยเป็นรูปไข่กลับ กว้าง 0.5-2 เซนติเมตร ยาว 2-5 เซนติเมตร ใบกลางมักจะใหญ่กว่าใบย่อย ด้านข้าง ปลายแหลมมน โคนรูปลิ่ม ของใบเรียบ หรือ เป็นคลื่นเส้นน้อย ดอก ออกเป็นช่อแบบกระจะออก ตามเรือนยอด และปลายกิ่ง ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเกลี้ยง 4 กลีบ เป็นรูปช้อน โคนสอบเรียว โดยกลีบดอกจะมี ขนาด 0.5-1.5 เซนติเมตร ใน 1 ดอกจะมีทั้งเกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ผลออกเป็นฝักรูปทรงกระบอก กว้าง 2-5 มิลลิเมตร ยาว 1-10 เซนติเมตร มีสันนูนๆ ขึ้นตามความยางของฝัก และมีขนขึ้นปกคลุมทั้งฝัก ปลายฝักมี จะงอยแหลมๆ ในฝักประกอบด้วยเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดเป็นเมล็ดกลมแป้นขนาดเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร ผิวขรุขระ เมล็ดมีสีน้ำตาลแดง [16] 7
ต้นผักเสี้ยนผี: จัดเป็นไม้ล้มลุก มีความสูงได้ประมาณ 1 เมตร ที่ส่วนต่าง ๆ ของต้นจะมีต่อมขนเหนียวสีเหลืองปก คลุมอยู่หนาแน่น มีกลิ่นเหม็นเขียว มีเขตกระจายพันธุ์กว้างขวาง พบได้ทั่วไปในทวีปเอเชีย แอฟริกา และ ออสเตรเลีย สำหรับในประเทศไทยมักจะพบขึ้นได้ตามข้างถนนหรือที่รกร้าง ตามริมน้ำลำธาร บางครั้งก็อาจ พบได้บนเขาหินปูนที่แห้งแล้งหรือตามชายป่าทั่ว ๆ ไป[16] ใบผักเสี้ยนผี: ใบเป็นใบประกอบ มี 3-5 ใบย่อย ก้านใบยาวประมาณ 1-6 เซนติเมตร โดยมากเป็นสีน้ำตาลแดง ส่วน ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปรี รูปขอบขนาน หรือรูปไข่หัวกลับ มีความประมาณ 1.5-4.5 เซนติเมตร มีปลายแหลม หรือมน ส่วนโคนใบเรียวสอบ ขอบใบเรียบ มักเป็นสีเดียวกันกับก้านใบและมีขน ใบประดับคล้ายใบ มี 3 ใบ ย่อย ยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร มีก้านสั้น ๆ ร่วงได้ง่าย[16] 8
ดอกผักเสี้ยนผี: ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบ ดอกยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ขยายอีกในช่องผล ดอกจำนวนมาก ก้านดอกยาวประมาณ 1-1.4 เซนติเมตร ในผลสามารถยาวได้ถึง 3 เซนติเมตร ดอกมีกลีบ เลี้ยง 3 กลีบ ลักษณะของกลีบเลี้ยงเป็นรูปใบหอก มีความยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ติดทน กลีบดอกสี เหลืองมี 4 กลีบ โคนเรียวแคบเป็นก้านกลีบ มักมีสีเข้มที่โคน แผ่นกลีบมีลักษณะเป็นรูปรี ยาวประมาณ 0.7- 1.2 เซนติเมตร ดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนมาก และมีขนาดไม่เท่ากัน ก้านเกสรมีสีเหลืองอ่อนอมเขียว ยาว ประมาณ 4-9 มิลลิเมตร ส่วนอับเรณูเป็นสีเทาอมเขียว เป็นรูปขอบขนาน มีความยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร มีรังไข่เป็นลักษณะรูปทรงกระบอกสั้น ๆ โค้งงอเล็กน้อย ไม่มีก้าน มีต่อมขนขึ้นหนาแน่น ยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร และก้านเกสรตัวเมียจะสั้น ยอดเกสรเป็นตุ่ม[16] ผลผักเสี้ยนผี: 3 ผลมีลักษณะเป็นฝักคล้ายถั่วเขียวแต่มีขนาดเล็กมาก ผลกว้างประมาณ 2-4.5 มิลลิเมตรและยาว ประมาณ 1-4 นิ้ว ตรงปลายผลมีจะงอยแหลม[2] เห็นเส้นเป็นริ้วได้ชัดเจน ในผลมีเมล็ดจำนวนมาก [16] 9
องค์ประกอบทางเคมี: ในเมล็ดพบสารกลุ่ม coumarino-lignan ได้แก่cleomiscosin A ,cleomiscosin B [17]cleomiscosin C [18] สารกลุ่ม Triterpenes ได้แก่ lupeol beta-amyrin[19] ส่วนใบพบสารกลุ่ม flavonol glycosides และสาร กลุ่ม bicyclic diterpene ได้แก่ cleomeolide[18] ลักษณะภายนอกของเครื่องยา: ลำต้นมีกิ่งก้านแผ่รอบต้น มีขนสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นเหม็นเขียวฉุน ใบประกอบ 3-5 ใบ ติดที่ปลายก้าน ใบย่อยรูปไข่ ปลายและโคนแหลม มีขนอ่อนปกคลุม ดอกเล็กๆสีเหลืองเป็นช่อ ออกที่ปลายกิ่ง ผลกลมยาว 1-3 นิ้ว ปลายแหลมมีจะงอย เมล็ดสีน้ำตาลแดง[20] สรรพคุณของผักเสี้ยนผี -สรรพคุณ/ตำรับยา ต้น ใช้ปรุงเป็นยาแก้ฝีในปอดแก้ขับหนองในร่างกาย หรือให้หนองแห้ง แก้ฝีในลำไส้ ในตับ ขับพยาธิ ในลำไส้ได้ โรคข้ออักเสบ ทาภายนอกแก้โรคผิวหนัง[20] ใบ นำมาพอกแก้ปวดหัวบดกับเกลือทาแก้ปวดหลัง และแก้ปัสสาวะพิการ[20] Cleomiscosin C 10
ราก แก้โรคผอมแห้งของสตรีเนื่องจากคลอดบุตรและอยู่ไฟไม่ได้ รากผสมกับเมล็ด เป็นยาแก้ เลือดออกตามไรฟันและเป็นยากระตุ้นหัวใจ ผักเสี้ยนผีมีฤทธิ์ แก้ปวดเป็นยาชาเฉพาะที่ เสริมฤทธิ์การนอน หลับ ในตำรายาโบราณมักนำผักเสี้ยนผีไปเข้าตำรับยารักษาอาการปวดเมื่อยหรือหุง ทำน้ำมัน ใช้สำหรับนวด ยานวดตำรับนี้อาจารย์เนตรดาว ยวงศรี จากกองทุนชีวกโกมารภัจจ์ แนะวิธีการหุงไว้ คือ ใช้ผักเค็ดเลือกเอา แต่ใบสด (วัชพืชที่มักขึ้นคู่กับผักเสี้ยนผี หน้าตาคล้ายผักเป็ดหรือคราดหัวแหวน) ใช้เพชรสังฆาตสด ตองตึง ผักเสี้ยนผี เลือกเอาแต่ใบสด นำไปเคี่ยวในน้ำกะทิ (เลือกเอาแต่หัวกะทิ) เคี่ยวนานประมาณ 6-7 ชั่วโมง จะได้ น้ำมันสีเขียวใส จึงเรียกว่าน้ำมันเขียวมรกต สรรพคุณดีมาก นอกจากนี้ นำผักเสี้ยนผีไปต้มเอาน้ำกระสายยาแก้ ซางขึ้นทรวงอก[20] เมล็ด ผักเสี้ยนนำมาต้มหรือชงเป็นชาดื่มช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ฆ่าพยาธิไส้เดือน ถ้ามีอาการปวด หลังให้ใช้ใบสดตำผสมเกลือทาแก้ปวดหลัง[20] ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์การสมานแผล ( healing activity ) [21] 2.ฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันและต้านการแพ้( anti-allergic ) [22] 3.ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ( anti-inflammatoryactivity ) [23] 4.ฤทธิ์แก้ไข้( anti-fever ) [24] 5.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ( antioxidant effect ) [21] การศึกษาทางคลินิก: การศึกษาทางพิษวิทยา: ขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายร้อยละ 50 (lethal dose 50% หรือ LD50) [25] ลักษณะทางกายภาพและเคมีที่ดี - ไม่มีข้อมูล ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรผักเสี้ยนผี: เนื่องจากผักเสี้ยนผีเป็นสมุนไพรที่มีสารซึ่งมีฤทธิ์ต่อระบบ ประสาทส่วนกลาง และควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป หากรับประทานเข้าไปแล้ว เกิดอาการแพ้ มีผื่นคัน หายใจไม่ออก มือเท้าชา หรือหัวใจเต้นแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที 11
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์: Cissus quadrangularis Linn. [26] วงศ์ : Vitaceae [26] ชื่อสามัญ : Edible - Stemed Vine, Veldt grape, Devil's backbone, Winged treebine [26] ชื่อเครื่องยา : เพชรสังฆาต ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ : สันชะควด (กรุงเทพ), ขั่นข้อ (ราชบุรี), สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์) [26] ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของเพชรสังฆาต: เป็นไม้เถาเลื้อย เปลือกเถาเรียบ เถาอ่อนรูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกัน เห็นข้อปล้องชัดเจน ลักษณะเป็นปล้องๆ ตรงข้อเล็กรัดตัวลง แต่ละข้อยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรงข้อต่อตรงข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว ใบเดี่ยวเรียง สลับ ออกตามข้อต้น ข้อละ 1 ใบ กว้าง 3-8 เซนติเมตร ยาว 4-10 เซนติเมตร ใบเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ กลมหนา เล็ก ผิวเรียบ ปลายใบมน โคนใบเว้า หลังใบและท้องใบเรียบเป็นมัน ขอบใบหยักมนห่างๆหรือหยัก เว้า 3-5 หยัก เนื้อใบนิ่ม ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ออกตามข้อต้นตรงข้ามกับใบ ดอกกลม เล็กสีแดงเขียวเป็นช่อขนาดเล็ก ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร ดอกย่อยสีเขียวอ่อน มีขนาด 2.5 มิลลิเมตรกลีบ ดอกมี 4 กลีบ โคนกลีบดอกด้านนอกมีสีแดง ส่วนกลีบดอกด้านในสีเขียวอ่อน เมื่อบานเต็มที่ดอกจะงองุ้มไป ทางด้านล่าง เกสรตัวผู้มี 4 อันวางตรงกับกลีบดอก ผลสดรูปทรงกลม ผิวเรียบเป็นมัน ฉ่ำน้ำ ผลกลมขนาด 4- 7 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีเขียว พอสุกเป็นสีแดงหรือดำ เมล็ดกลมสีน้ำตาลมี 1 เมล็ด ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป[26] 12
ต้นเพชรสังฆาต : ต้นเป็นไม้เถา มีเถาอ่อนสีเขียวเป็นสี่เหลี่ยมเป็นข้อต่อกันลักษณะเป็นปล้องๆ ตรงข้อเล็กรัดตัวลง แต่ ละข้อยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย ใบเพชรสังฆาต : ใบเป็นใบเดี่ยวรูปสามเหลี่ยม แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมัน ออกเรียงสลับตามข้อต้น ปลายใบมน โคนใบ เว้า ขอบใบหยักมนห่าง ๆ ก้านยาว 2-3 เซนติเมตร 13
ดอกเพชรสังฆาต : ดอกเป็นสีเขียวอ่อน ออกเป็นช่อตามข้อตรงข้ามกับใบ กลีบดอกมี 4 กลีบ โคนด้านนอกสีแดง ด้านใน เขียวอ่อน เมื่อดอกบานเต็มที่จะงองุ้มไปด้านล่าง ที่ดอกมีเกสรเพศผู้ 4 อัน ผลเพชรสังฆาต : ผลเป็นรูปทรงกลม ผิวเรียบเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีแดงออกดำ ในผลมีเมล็ดกลมสีน้ำตาล 1 เมล็ด 14
องค์ประกอบทางเคมี : จากรายงานการวิจัย พบสารกลุ่ม Flavonoid and flavonoid glycosides ได้แก่ Kaempferol(1) [26] , Quercetin(2) [27] , Daidzein(3) [28] ,Quercitrin(4) [27] สารกลุ่ม Alkaloids ได้แก่ Quinine(5), Caffeine(6) [29]สารกลุ่ม Terpenes and Terpenoids ได้แก่ 24-methyl-dammara20,25-diene-3βylacetate(7),24-methyl-dammara20,25-diene-3β-ylpalmitate(8),24-methyl-dammara20,25- diene-3β-ylstearate(9), 24-methyl-dammara2,20,25-triene-1-one(10), 24-methyl-dammara20, 25- diene-3-one (11) [30] , Taraxerol acetate(12), Taraxerol(13) [31] , δ-amyrin(14) [32] , 7-OxoOnocer-8-ene-3-β-21-α-diol(15) [33] , δ-Amyrin acetate(16) [34] , Onocer–7ene-3α, 21β-diol(17) , δ-Amyrone(18) ,Friedelan-3-one(19) [31] ,Eugenol(20) [29] สารกลุ่ม Iridoids ได้แก่ 6-O-[2,3- dimethoxy]- trans-cinnamoyl catalpol(21), 6-O-meta-methoxybenzoyl catalpol(22), Picroside 1(23) [27] สารกลุ่ม Stilbene derivatives and Stilbenoid Glycoside ได้แก่ Piceatannol(24) [35] , Resveratrol(25), Quadrangularin A(26), Quadrangularin B(27) [36] , Trans-resveratrol-3- Oglucoside(28) [37]สารกลุ่ม Lipid constituents and Fatty acids ได้แก่ 4-hydroxy 2 methyltricos2 ene -2 2 - one(29), 9-methyloctadec-9-ene(30), 7- hydroxy- 20- oxodocosanyl cyclohexane(31), methyl tritriacotannoic acid(32) [38] , Isopentadecanoic acid(33) [31] , Hexadecanoic acid(34) [37] , Iso-pentacosanoic acid (35) [38] , Tetratriactanoic acid (36), Eicosyl Eicosanoate(37) [28] , Heptadecyloctadecanoate (38) [38] ,สารกลุ่ม Indane derivatives ได ้ แ ก่ Pallidol(39) [27]สารกลุ่ม Alcoholic ได้แก่ Tetratriacotanol(40) [28] ,สารกลุ่ม Vitamins ได้แก่ Vitamin C (41) [39] 8 15
16
17
ลักษณะภายนอกของเครื่องยา: เปลือกเถาเรียบ เถารูปสี่เหลี่ยมเป็นครีบ เป็นข้อๆต่อกัน เห็นข้อปล้องชัดเจน ลักษณะเป็นปล้องๆ ตรงข้อเล็กรัดตัวลง แต่ละข้อยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร บางข้ออาจมีรากออกมาด้วย มีมือเกาะออกตรง ข้อต่อตรงข้ามกับใบ ตามข้อมียางขาว เถารสร้อน ขมคัน สรรพคุณของเพชรสังฆาต 1.เพชรสังฆาตใช้ปรุงเป็นยาธาตุ ช่วยให้เจริญอาหาร (น้ำจากต้น) 2.น้ำจากต้นเพชรสังฆาตใช้หยอดหู แก้น้ำหนวกไหล (น้ำจากต้น) 3.น้ำจากต้นเพชรสังฆาตใช้หยอดจมูก แก้เลือดเสียในสตรี ประจำเดือนไม่ปกติ (น้ำจากต้น) 4.ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย (ต้น) 5.ช่วยรักษาโรคลำไส้ที่เกี่ยวกับอาหารไม่ย่อย (ใบยอดอ่อน) 6.ช่วยรักษาโรคลำไส้ที่เกี่ยวกับอาหารไม่ย่อย (ใบยอดอ่อน) 7.เพชรสังฆาตมีสรรพคุณช่วยขับลมในลำไส้ (เถา) 8.แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ (เถา, น้ำคันจากต้น) 9.แก้กระดูกแตก หัก ซ้น (เถา) 10.ใช้เป็นยาพอกเมื่อกระดูกหัก (ใบ, ราก) 11.ใช้เป็นยารักษาริดสีดวง ด้วยการใช้เถาเพชรสังฆาตสด ๆ ประมาณ 2-3 องคุลีต่อหนึ่งมื้ออาหาร นำมารับประทานด้วยการสอดไส้ในกล้วยสุก หรือมะขามเปียก หรือใบผักกาดดองแล้วกลืนลงไป ห้ามเคี้ยว เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้จะมีผลึก Calcium Oxalate รูปเข็มเป็นจำนวนมาก การรับประทานสด ๆ อาจทำ เกิดอาหารคันในปาก ระคายต่อเยื่อบุในปากและในลำคอได้ และการรับประทานจะใช้ระยะเวลาประมาณ 10- 15 วัน อาการของโรคริดสีดวงก็จะดีขึ้น (เถา) หรือจะใช้เถาแห้งนำมาบดเป็นผง ใส่แคปซูลเบอร์ 2 ขนาด 250 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้งก่อนอาหารและช่วงก่อนนอน รับประทานไปสัก 1 อาทิตย์ก็จะเห็นผล (เถา) [25] 18
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์แก้ปวดและลดไข้( Analgesic and antipyretic activity ) [40] 2.แผลในกระเพาะอาหาร ( Antiulcer activity) [40] 3.ฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Estrogenic activity ) [40] 4.ฤทธิ์ต้านจุลชีพ Antimicrobial activity[40] 5.ฤทธิ์ต่อต้านพยาธิAnthelmintic activity[40] 6.ฤทธิ์ต้านมะเร็ง Anticancer activity[40] 7.ฤทธิ์ต้านการอักเสบ Anti-inflammatory activity[40] 8.ฤทธิ์ต่อต้านพลาสโมเดียล ( Anti-plasmodial activity ) [40] 9.ฤทธิ์ลดไขมันในเลือดและต้านโรคอ้วน( Antihyperlipidemic and anti-obesity activity ) [40] 10.ฤทธิ์ต่อต้านการมีบุตรยาก ( Antiinfertility activity ) [40] การศึกษาทางคลินิก: การศึกษาทางพิษวิทยา: ขนาดของสารสกัดที่ทำให้สัตว์ทดลองตายร้อยละ50(lethaldose 50% หรือ LD50) [40] ลักษณะทางกายภาพและเคมีที่ดี - ไม่มีข้อมูล ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรเพชรสังฆาต: 1.การรับประทานเพชรสังฆาตสด อาจทำให้เกิดอาการระคายคอ ระคายเยื้อบุในปาก เนื่องจากเถาสดมีผลึก แคลเซียมออกซาแลตอยู่มาก 2.ห้ามรับประทานติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์เพราะอาจก่อให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยโรคไตห้าม รับประทาน 3.การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการใช้เสมอ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะน้อย แน่นท้อง เป็นต้น 19
20
น้ำมันมะพร้าว ชื่อสามัญ Coconut oil ชื่อวิทยาศาสตร์ Coconut oil ชื่อท้องถิ่นอื่น – ชื่อเครื่องยา น้ำมันมะพร้าว ลักษณะ : มีลักษณะใสเหมือนน้ำ ไม่มีกลิ่นหืน และกลิ่นหอมอ่อน ๆของมะพร้าวปนมาด้วยปัจจุบันสามารถ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1.น้ำมันมะพร้าวแบบธรรมดา หรือน้ำมันมะพร้าวสกัดร้อน (Refined Bleaching Deodorizing Coconut oil:RBD) ที่สกัดได้จากเนื้อมะพร้าวห้าวหรือเนื้อมะพร้าวแห้ง (copra) โดยการบีบหรือสกัดด้วยตัว ทำละลาย แล้วนำไปผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ (Refining) โดยการกำจัดกรดอิสระ ฟอกสี (Bleaching) และกำจัดกลิ่น (Deodorization) เพื่อให้เหมาะสำหรับการบริโภค ซึ่งมีสีเหลืองไม่มีกลิ่นและรส ปราศจาก วิตามินอี เพราะถูกกำจัดออกไปโดยกระบวนการทางเคมี และมีปริมาณกรดไขมันอิสระ (Free Fatty AcidFFA) ไม่เกิน 0.1% 2.น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์หรือน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Virgin Coconut oil:VCO) ที่ได้จากการสกัดโดย วิธีทางธรรมชาติ หรือการบีบโดยไม่ผ่านความร้อนจากเนื้อมะพร้าวห้าว ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ ของน้ำมัน จึงเหมาะสำหรับการบริโภคเพราะเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ที่สุด สีใสเหมือนน้ำ มีวิตามินอี และ ไม่ผ่านกระบวนการเติมออกซิเจน (oxidation) มีค่าเบอร์ออกไซด์ (peroxide) และกรดไขมันอิสระต่ำ มีกลิ่น มะพร้าวอย่างอ่อนๆ ถึงแรง ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต ซึ่งในปัจจุบันน้ำมันมะพร้าวชนิดนี้จะเป็นที่นิยม มากกว่าชนิดแรก[41] 21
สรรพคุณ ทางด้านผิว 1 ผิวดูอ่อนวัย : น้ำมันมะพร้าวที่ใช้ชโลมตัว ทั้งในรูปน้ำมันมะพร้าวสด ๆ หรือในรูปของผลิตภัณฑ์ น้ำมันมะพร้าว เช่น ครีม และโลชั่นจะทำให้ผิวพรรณนุ่มไม่แตกแห้งเป็นกระ หรือฝ้า แต่ชุ่มชื้นและผิวเนียน ปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอีที่มีอานุภาพมากกว่าวิตามินอีใน เครื่องสำอาง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเสื่อมของ เซลล์ผิวหนัง ป้องกันการเสื่อมโทรมของเซลล์ จากขบวนการเติมออกซิเจน (Oxidation) ช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและทับถมกันจนทำให้ผิวแห้ง ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่จึงทำให้ผิว พรรณดูอ่อนกว่าวัย 2 ผิวนุ่มและเนียน : ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชื้นเพราะถูกแดดและลม น้ำมันมะพร้าวมี คุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น (Moisturizer) จึงช่วยให้ผิวหนังนุ่มและเนียน 3 ช่วยป้องกันและรักษาฝ้าและกระ : อนุมูลอิสระเป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้าและกระ เนื่องจาก วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้ เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นย กันแดด ได้ดีอีกทั้งยังไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมือนยากันแดดบางชนิด และราคาก็ถูกกว่า ทางด้านผม เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันพืชที่มีคุณสมบัติเป็นตัวเพิ่ม ความชุ่มชื้น (Moisturizer) อีกทั้งยังมี สารปฏิชีวนะ (จากโมโนลอริน) และสาร antioxidant (จากสารโทโคทรินอลในวิตามินอี) จึงมีส่วนทำให้ผมงาม จากคุณสมบัติดังต่อไปนี้ : 1. ช่วยปรับสภาพของผม : น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมัน hair conditioner ที่ช่วยทำให้ผมนุ่มดำเป็นเงา งาม เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมการเจริญของเส้นผม 2. ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะ : น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะทั้งนี้ เพราะ น้ำมันมะพร้าวมีสารปฏิชีวนะที่คอยทำลายเชื้อโรค หนังศีรษะจึงไม่มีรังแค และมีวิตามินอีที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ หนังศีรษะจึงไม่เหี่ยวย่นแต่มีสุขภาพดี 3 .ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี : เส้นผมประกอบด้วยส่วนนอก (culticle) ที่ทำหน้าที่ หุ้มส่วนใน (cortex) หากส่วนนอกอยู่ในสภาพดี ไม่ฉีกขาด เส้นผมก็จะปกติ มีความยืดหยุ่น (elasticity) ทนทานต่อการ บิดงอและมีความเหนียว ส่วนในซึ่งประกอบด้วยโปรตีนที่เรียกว่า เคอราทิน(keratin)ที่มีประกอบด้วยเส้นเล็ก ๆ มัดรวมกัน โปรตีนของเส้นผมจะสูญเสียหรือสลายตัวไปตามอายุขัย แต่อาจเร็วขึ้นจากการไม่รักษาผมให้ดี และการทำร้ายเส้นผม เช่น จากการดัดผม การย้อมผมด้วยน้ำยาเคมี แม้กระทั่งการหวีผมที่ใช้หวีที่คม น้ำมัน มะพร้าวจึงช่วยลดปริมาณการสูญเสียของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติยึดเกาะ (affinity) กับ โปรตีนของเส้นผมได้ดี อีกทั้งยังมีขนาดเล็กจึงแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้สะดวก [41] 22
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส HIV (anti-HIV) [42] 2.ฤทธิ์ลดความดัน ( lowering blood pressure activity ) [42] 3.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant activity ) [42],[43],[44] 4.ฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลและฤทธิ์ป้องกันหัวใจ (Hypocholesterolemic effect and cardioprotective effect) [44] 5.ฤทธิ์ต้านเบาหวาน ( Anti-diabetic property ) [44] 23
เกร็ดสระแหน่ ชื่อสามัญ : Menthol ชื่อวิทยาศาสตร์: 5-Methyl-2-(propan-2-yl)cyclohexan-1-ol ชื่อท้องถิ่นอื่น: - ชื่อเครื่องยา : เกร็ดสระแหน่ ลักษณะ : เป็นผลึกสีขาว มีกลิ่นแรง หอมเย็น เมื่อสูดดมจะให้ครามรู้สึกเย็นซ่า บริเวณเยื่อเมือก ของจมูกและลำคอ กลิ่นและรสคล้ายกลิ่น และรสของพืชเปปเปอร์มินต์[45] สรรพคุณ : 1. เมนทอลมีฤทธิ์เย็น ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย อาการเมารถเมาเรือต่างๆ คลื่นไส้อาเจียน ช่วยให้ร่างกายสดชื่นตื่นตัวมากมากขึ้น 2. เมนทอลช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก แก้ไข้ แก้ไอ ลดการอักเสบในลำคอ บรรเทาอาการปวด ศีรษะ แก้กระหายน้ำ 3. เมนทอลมีฤทธิ์เป็นยาชาอย่างอ่อน ลดอาการปวดบวม ลดการบวมของเส้นเลือดที่จมูก บรรเทา อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตามร่างกาย 4. เมนทอลช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นกระเพาะอาหาร ช่วยให้ระบบ ย่อยอาหารทำงานได้ดีมากขึ้น 5. เมนทอลมีสรรพคุณช่วยคลายเครียด การดมกลิ่นเมนทอลในขณะนอนหลับ ช่วยกระตุ้นการ ทำงานของหัวใจ ผ่อนคลายความเครียดและช่วยให้ความจำดีขึ้น 24
6. เมนทอลช่วยลดการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยขับประจำเดือน และขับปัสสาวะ 7. รสหอมเย็นซ่าของเมนทอลช่วยลดกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี[45] ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ Anti-oxidant capacity. [46] 2.ฤทธิ์ต้านเนื้องอก Anti-tumor activity. [47] 3.ฤทธิ์ต้านการแพ้Anti-allergenic activity. [48] 4.ฤทธิ์ต้านไวรัส Anti-viral activity. [49] 5.ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Anti-bacterial activity[50] . 6.ฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและต้านจุลชีพ Fungicidal and antimicrobial activity. [51] 25
น้ำมันระกำ ชื่อสามัญ : Methyl salicylate ชื่อวิทยาศาสตร์: methyl 2-hydroxybenzoate ชื่อท้องถิ่นอื่น: Wintergreen oil ชื่อเครื่องยา : น้ำมันระกำ ลักษณะ : เป็นของเหลวใสที่อุณหภูมิห้อง มีกลิ่นฉุน เมื่อถูกผิวหนังจะแสบร้อน [52] สรรพคุณ : เป็นยาระงับปวดชนิดใช้เฉพาะที่สำหรับบรรเทาอาการปวดต่าง ๆ ที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดข้อ ปวด กล้ามเนื้อจากภาวะตึงหรือเคล็ดข้อต่ออักเสบ ช้ำ หรือปวดหลัง เป็นต้น โดยยานี้จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกเย็น บริเวณผิวหนังในตอนแรกจากนั้นจะค่อย ๆ อุ่นขึ้น ซึ่งช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากการรู้สึกถึงอาการปวด นอกจากนี้ ยังอาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย น้ำมันระกำมีกลไกการออกฤทธิ์โดยตัวยาจะ กระตุ้นปลายประสาทที่รับความรู้สึกถึงความร้อน – อบอุ่น ทำให้ร่างกายเกิดการตอบสนองถึงการบรรเทา อาการปวดลดลงจึงทำให้รู้สึกถึงฤทธิ์การรักษาตามสรรพคุณในการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชยังพบอีกว่าน้ำมันระกำ สามารถแก้ไข ต่อต้านการปวดบวมและอักเสบแถมมีฤทธิ์เป็นยาชาแบบอ่อนๆ และมี pH เป็นกรด ค่อนข้าง แรง และมีโมเลกุลแบบ BHA ด้วย มีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะแบบอ่อนๆทำให้ทำลายแบคทีเรียที่ผิวหน้าได้ 26
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์ยับยั้งการเอนไซม์เปลี่ยนแองจิโอเทนซิน (ACE) [53] 2.ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ Anti-oxidant capacity. [54] 27
น้ำมันยูคาลิปตัส ชื่อสามัญ : Eucalyptus oil ชื่อวิทยาศาสตร์: Eucalyptus oil ชื่อท้องถิ่นอื่น: - ชื่อเครื่องยา : น้ำมันยูคาลิปตัส ลักษณะ : เป็นของเหลวเคลื่อนที่ได้ไม่มีสี อาจมีสีเหลืองตามอายุ มีกลิ่นหอมฉุนกลิ่น[55] สรรพคุณ : ช่วยบรรเทาอาการไอ ภูมิแพ้ หวัด ไข้หวัดใหญ่ บรรเทาอาการคัดจมูก เป็นยาธาตุ แก้อาการปวด ศีรษะจากหวัดไซนัส ทำให้หายใจโล่ง ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน บรรเทาแผลสด แผลไฟไหม้และแผลติดเชื้อ หรือนำมาใช้ทาถูนวดแก้ปวดกล้ามเนื้อ วิธีใช้น้ำมันยูคาลิปตัส สามารถนำมาใช้ผสมกับน้ำมันพื้นฐาน น้ำมันนวด และน้ำมันหอมระเหยต่าง ๆ ได้เกือบทุกชนิด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดมะรุม น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ น้ำมันองุ่น น้ำมันโจโจ้บา น้ำ มันสวีทอัลมอนด์หรือน้ำมันพืชอื่นที่เป็น Cosmetic grade เป็นต้น (อัตราส่วนการใช้น้ำมันยูคาลิปตัส หาก นำมาใช้กับผิวหน้าไม่ควรใช้เกิน 1% ส่วนผิวกายไม่ควรใช้เกิน 3%) หรือใช้หยดลงในอ่างอาบน้ำอุ่นเพื่อช่วยลด อาการหวัด แก้แพ้อากาศ ไซนัส ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อและเมื่อยล้า ใช้ผสมในครีมหรือโลชัน นำมาใช้ทาเพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น และใช้ใส่ในโคมไฟฟ้าอโรมาบุหงา 28
หรือผ้าเช็ดหน้า เพื่อไอระเหยจะช่วยลดอาการจามจากการแพ้อากาศหรือเป็นหวัดได้ดี และช่วยทำให้หายใจได้ โล่งขึ้น ทำให้เกิดสมาธิที่ดีขึ้น และช่วยขับไล่แมลง เป็นต้น คำแนะนำในการใช้น้ำมันยูคาลิปตัส ให้ใช้ภายนอก ไม่ควรนำมารับประทาน ห้ามนำมาสูดดมหรือ สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง แต่ต้องนำมาทำให้เจือจางก่อน เนื่องจากมีความเข้มข้นสูง หากเข้าตาให้รีบล้างออก ด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้งก่อนไปพบแพทย์ ถ้าหากถูกผิวหนังให้รีบล้างออกด้วยน้ำสบู่ มิฉะนั้นอาจเกิดอาการ แพ้ได้ และไม่ควรนำมาใช้ในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้ปวดศีรษะ ส่วนผู้ที่เป็นโรคลมบ้าหมู โรคความ ดันโลหิตสูงหรือต่ำ ผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ต้องพึ่งอินซูลิน (เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลผิดปกติ) ผู้ป่วย เรื้อรังที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับตับ ไต กระเพาะอาหาร รวมถึงสตรีมีครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตรอายุต่ำ กว่า 5 ปีก็ไม่ควรนำมาใช้[56] ,[57] ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์ต้านการอักเสบ Anti-inflammatory effect[58] 2.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ Anti-oxidant[59] 3.ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย Anti-bacterial[59] 4.ฤทธิ์ต้านมะเร็ง Anti-cancer[59] 5.ฤทธิ์ป้องกันเชื้อรา Anti-fungal[60] 29
การบูร ชื่อสามัญ : Camphor ชื่อวิทยาศาสตร์: 1,7,7-Trimethylbicyclo[2.2.1]heptan-2-one ชื่อท้องถิ่นอื่น: 2-Bornanone; Bornan-2-one; 2-Camphanone; Formosa ชื่อเครื่องยา : การบูร ลักษณะ : เป็นเกล็ดสีขาว ไม่มีสีคล้ายขี้ผึ้ง กลมๆ ขนาดเล็ก มีความมันวาวและแห้ง มีกลิ่นหอมเย็นฉุน อาจ จับกันเป็นก้อนร่วนๆ และแตกง่าย เมื่อทิ้งไว้ในอากาศจะระเหิดไปหมด สรรพคุณ : 1. บรรเทาอาการคัดจมูกและเวียนศีรษะ การบูรเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในขี้ผึ้งบรรเทาอาการคัดจมูกและยาดม กลิ่นหอมเย็นของการบูรจะทำให้เกิด ความรู้สึกเย็นในโพรงจมูก ซึ่งกระตุ้นตัวรับในสมอง (Brain Receptors) ให้รู้สึกว่าหายใจสะดวกขึ้น จึงอาจ ช่วยบรรเทาคัดจมูกจากหวัด โดยช่วยให้หายใจสะดวกและนอนหลับได้ดีขึ้น รวมทั้งบรรเทาอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด และเป็นลมองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาหรือ FDA อนุมัติให้ใช้ขี้ผึ้งที่มีปริมาณความเข้มข้นของ การบูรน้อยกว่า 11% ทาบริเวณคอและจมูกเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูกจากหวัด นอกจากนี้ น้ำมันการบูรยังใช้ เป็นน้ำมันหอมระเหยเพื่อบรรเทาอาการแน่นหน้าอกจากการมีเสมหะ (Chest Congestion) 30
2. บรรเทาปวด การทายาที่มีส่วนประกอบของการบูรช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ การบูรดูดซึมทางผิวหนังได้ดี เมื่อทาที่ผิวจะให้ความรู้สึกเย็น มีฤทธิ์เป็นยาชาและอาจช่วยต้านจุลินทรีย์ได้ จึงนิยมใช้เป็นส่วนประกอบของ ครีมทาแก้ปวดบวม เคล็ดขัดยอก ตะคริว และแพลง นอกจากนี้ การบูรได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้เป็นยา ทาแก้ปวด โดยกำหนดให้ขี้ผึ้งทาผิวบรรเทาโรคข้อเข่าเสื่อมมีความเข้มข้นของการบูรอยู่ระหว่าง 3–11% ซึ่ง ความรู้สึกเย็นจากการทาครีมที่มีการบูรอาจช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรู้สึกปวดน้อยลงและช่วยลดการอักเสบ ได้ 3. ลดอาการทางผิวหนัง ทาง FDA อนุมัติให้ใช้การบูรในครีมทาผิวเพื่อช่วยบรรเทาอาการคัน จากผลการวิจัยพบว่ายาทาผิวที่มี ส่วนประกอบของการบูรปริมาณ 0.1–3% อาจช่วยบรรเทาอาการคันผิวหนัง โดยความเย็นของการบูรจะช่วย ให้รู้สึกคันน้อยลง นอกจากนี้ การบูรอาจช่วยลดอาการระคายเคืองผิวจากแมลงกัดต่อย บรรเทาอาการเริมที่ ปาก ฟื้นฟูผิวที่เป็นสิว มีริ้วรอยจากรังสียูวี (UV) และรักษาผิวจากแผลไหม้ที่ไม่รุนแรง แต่งานวิจัยในปัจจุบันมี จำนวนไม่มากและบางส่วนศึกษาในสัตว์ทดลอง จึงต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการ รักษาโรคเหล่านี้ในอนาคต [61] ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์แก้ไอ[62] 2.ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Anti-bacterial[63] 3. .ฤทธิ์ต้านการอักเสบ Antitussive [64] 4.ฤทธิ์ต่อต้าน Nociceptive ( Anti-Nociceptive Activity ) [65] 31
พิมเสน ชื่อสามัญ : Borneol ชื่อวิทยาศาสตร์: endo-1,7,7-Trimethyl- bicyclo[2.2.1]heptan-2-ol ชื่อท้องถิ่นอื่น: - ชื่อเครื่องยา : พิมเสน ลักษณะ เป็นเกล็ดเล็กๆ สีขาวขุ่น เนื้อแน่นกว่าการบูรมีกลิ่นหอมฉุนคล้ายการบูร ติดไฟให้แสงจ้าและมีควัน มาก ไม่มีเถ้า สรรพคุณ : 1.พิมเสนมีรสเผ็ดขม มีกลิ่นหอม เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อหัวใจและปอด เป็นยาบำรุงหัวใจ 2.ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย ทะลวงทวารทั้งเจ็ด 3.ช่วยกระตุ้นสมอง กระตุ้นการหายใจ 4. แก้ลมวิงเวียนหน้ามืด หัวใจอ่อน ทำให้ชุ่มชื่น 5.ใช้เป็นยาระงับความกระวนกระวาย ทำให้ง่วงซึม 6.ตำรายาแก้ไอ แก้หลอดลมอักเสบ ให้ใช้พิมเสน 2 กรัมและขี้ผึ้ง 3 กรัมนำมาทำเป็นยาหม่อง ใช้ทา บริเวณลำคอและจมูกจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ 7. ช่วยแก้ปากเปื่อย ปากเป็นแผล เหงือกบวม หูคออักเสบ 32
8.ใช้เป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ 9.ช่วยขับลมทำให้เรอ ช่วยขับผายลม แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง แก้ปวดท้อง 10. ช่วยรักษาแผลกามโร 11.ใช้รักษาบาดแผลสด แผลเนื้อร้าย 12.ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคผิวหนังต่าง ๆ 13.แก้แผลอักเสบ ฟกช้ำ และกลากเกลื้อน 14.พิมเสนใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาหอมต่าง ๆ เช่น ยาหอมนวโกฐ ยาหอมเทพจิตร ซึ่งเป็นตำรับยา ที่มีสรรพคุณโดยรวมคือแก้ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย [66] ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา (Pharmacological activities) 1.ฤทธิ์แก้ปวดและต่อต้านแบคทีเรีย Analgesic and anti-bacterial effects[67] 2. ฤทธิ์ต้านการอักเสบ Anti-inflammatory [68] [69] 3. ต่อต้านอนุมูลอิสระ anti-oxidant [68] [69] 4.ต้านการตายของเซลล์anti-apoptotic effects[68] [69] 33
สูตรของ น้ำมันนวดสมุนไพร ส่วนกระกอบในน้ำมันนวด 1000 ml 1.น้ำมันมะพร้าว ext. 650 ml 2.น้ำมันยูคาลิปตัส 100 ml 3.น้ำมันระกำ 150 ml 4.เกร็ดสระแหน่ 50 ml 5.พิมเสน 30 ml 6.การบูน 20 ml ** น้ำมันมะพร้าว ext คือ น้ำมันมะพร้าวที่ผ่านการนำไปสกัดสมุนไพรทั้ง 3 ตัวมาแล้ว โดย จะแบ่งเป็น น้ำมันมะพร้าวที่สกัดเถาเอ็นอ่อน 216.7 ml + น้ำมันมะพร้าวที่สกัดผักเสี้ยนผี216.7 ml+ น้ำมันมะพร้าวที่สกัดเพชรสังฆาต 216.6 ml ขั้นตอนการทำ น้ำมันนวด 1.เก็บสมุนไพรแล้วนำมาตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆและนำไปตากแดดหรืออบให้แห้ง 2.นำสมุนไพรที่แห้งมาทำการสกัดร้องโดยการนำมาทอดกับน้ำมันมะพร้าวโดยต้องแยกทอด ทีละตัว ในอัตราส่วน น้ำมะพร้าว(ลิตร)ต่อสมุนไพร(กิโลกรัม) ในอัตราวส่วน 3 : 1 ซึ่งจะทอดให้พอเหลืองเข้ม แต่ห้ามไหม้ จากนั้นนำไปกรองและตั้งพักไว้ให้เย็น 3.เตรียมส่วนประกอบรอง ของเหลวให้วิธีการตรวงและของแข็งได้แก่ การบู รพิมเสน เกร็ด สระแหน่ ให้นำไปชั่ง (1 ml= 1 g) ตามปริมาตรด้านบน 4.นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกับโดยใช้ไฟอ่อนๆหากต้องการให้ส่วนที่เป็นของแข็งละลาย โดยเร็ว และตั้งไว้ให้เย็น 5.นำมาบรรจุลงในขวด ขวดละ 30 ml 34
กระบวนการทดสอบความเป็นพิษและฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ามันนวดสมุนไพรจาก จังหวัดลำปางต่อเซลล์กล้ามเนื้อชนิดไมโอบลาสต์ (myoblasts C2C12) 35
36
37
38
39
8 40
41
ผลการทดสอบความเป็นพิษและฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ามันนวดสมุนไพรจาก จังหวัดลำปางต่อเซลล์กล้ามเนื้อชนิดไมโอบลาสต์ (myoblasts C2C12) 42
43
44