The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ระบบระบุตำแหน่งสำหรับตรวจสอบแนวเขตที่ดินของรัฐจากข้อมูลหน่วยงานใน กมร. เพื่อการรังวัดของกรมที่ดิน (ปี 2565)

ศูนย์ข้อมูลแผนที่รูปแปลงที่ดิน (KM ปี 2565)

Keywords: ด้านการรังวัดและทำแผนที่

คำนำ

ศูนย์ข้อมูลแผนที่รูปแปลงท่ีดิน มีหน้าที่สาคัญประการหน่ึง คือ การจัดทาฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศ
ในที่ดินของรัฐ สาหรับการให้บริการรูปแปลงท่ีดินของรัฐ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หน่วยงานภาครฐั
และประชาชนสามารถสืบค้น เรียกดูตาแหน่งของรูปแปลงที่ดินของรัฐ และนาไปใช้ในการวางแผนปฏิบัติงาน
ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ศูนย์ข้อมูลแผนท่ีรูปแปลงที่ดิน ได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Cloud Server และเทคโนโลยี
ภูมสิ ารสนเทศบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อให้บริการข้อมลู เกีย่ วกับท่ีดนิ ของรัฐแก่เจ้าหนา้ ทีก่ รมทด่ี ิน

ระบบระบุตาแหน่งสาหรับตรวจสอบแนวเขตท่ีดินของรัฐจากข้อมูลหน่วยงานใน กมร. เพ่ือการรังวัด
ของกรมท่ีดิน (LANDS STATE) เป็นระบบที่ออกแบบเพ่ือสนับสนุนการทางานของเจ้าหน้าที่กรมท่ีดิน
เพื่อใช้ในการระบุตาแหน่งของเจ้าหน้าท่ีในพ้ืนท่ี เพ่ือให้สามารถตรวจสอบการทับซ้อนของแปลงท่ีดินกับแนวเขต
ท่ีดินของรัฐเบ้ืองต้น อีกท้ังเป็นการอานวยความสะดวกและลดข้ันตอนในการตรวจสอบแบบเดิมที่ต้องกลับมา
ตรวจสอบในสานกั งาน

ศูนย์ข้อมูลแผนท่ีรูปแปลงท่ีดิน ได้ดาเนินการจัดทาองค์ความรู้ เร่ือง “ระบบระบุตาแหน่งสาหรับ
ตรวจสอบแนวเขตท่ีดินของรัฐจากข้อมูลหน่วยงานใน กมร. เพ่ือการรังวัดของกรมที่ดิน (LANDS STATE)”
ตามมตทิ ป่ี ระชมุ ของคณะกรรมการจัดการความรขู้ องกรมทด่ี ิน ประจาปี พ.ศ. ๒๕๖๕

ศูนย์ข้อมลู แผนทร่ี ูปแปลงทดี่ ิน
กองฝึกอบรม
กรมทด่ี ิน กระทรวงมหาดไทย

สำรบัญ หนำ้

เร่ือง ๒
บทที่ ๑ ทมี่ า ๒
บทที่ ๒ ทีด่ นิ ของรัฐ ๒

๒.๑ ความหมายของทีด่ ิน ๒
๒.๒ ประเภทของที่ดนิ ๓
๒.๓ ทดี่ ินของรฐั ๔

๒.๓.๑ ป่าสงวนแหง่ ชาติ ๗
๒.๓.๒ อุทยานแห่งชาติ ๘
๒.๓.๓ ปา่ ไมถ้ าวร ๙
๒.๓.๔ ที่ราชพสั ดุ ๑๐
๒.๓.๕ ทปี่ ฏิรปู ท่ดี นิ เพื่อเกษตรกรรม (ท่ี ส.ป.ก.) ๑๒
๒.๓.๖ นคิ มสร้างตนเอง ๑๓
๒.๓.๗ นิคมสหกรณ์ ๑๓
๒.๓.๘ ท่ดี นิ สาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดิน ๑๕
๒.๓.๙ ปา่ ชายเลน ๑๗
บทที่ ๓ ระบบพิกัด ๑๙
๓.๑ ระบบพิกดั ภมู ศิ าสตร์ ๑๙
๓.๒ ระบบพกิ ัดยูทีเอม็ ๒๐
๓.๓ การอา่ นพิกัด ๒๐
บทที่ ๔ GNSS ๒๒
๔.๑ องคป์ ระกอบของระบบ GNSS ๒๓
๔.๒ ขน้ั ตอนการทางานของระบบ GNSS ๒๓
๔.๓ สมการค่าสังเกตของระบบ GNSS ๒๔
๔.๔ รูปแบบการรงั วดั หาค่าพิกดั ดว้ ยเครอ่ื งรบั สญั ญาณดาวเทยี ม ๒๔
๔.๕ การใชง้ านระบบ GNSS ๒๘
๔.๖ การใชง้ านระบบ GNSS ของกรมทดี่ นิ ๓๘
บทที่ ๕ คู่มือการลงทะเบียนและการใชง้ าน LANDS STATE
๕.๑ การลงทะเบยี นเขา้ ใชง้ าน
๕.๒ วธิ ีการเขา้ ใชง้ าน
บรรณำนุกรม

บทท่ี ๑

ท่มี า

ในอดีตการออกเอกสารสิทธิโดยเจ้าหน้าท่ีมีปัญหาการออกโฉนดที่ดินทับซ้อนกับที่ดินของรัฐเน่อื งจาก
ขาดข้อมูลในการตรวจสอบอย่างครบถ้วนและถูกต้อง ซ่ึงแผนท่ีแนวเขตท่ีดินของรัฐต่าง ๆ นั้น ถูกจัดเก็บไว้
ที่หน่วยงานเจ้าของพ้ืนที่ ดังน้ันการท่ีจะตรวจสอบว่าท่ีดินที่จะทาการรังวัดออกโฉนดท่ีดินน้ันทับซ้อนกับที่ดิน
ของรัฐทไ่ี ดก้ าหนดเปน็ กฎหมายอยู่ก่อนแล้วหรือไม่เป็นดว้ ยความลาบาก ดงั น้นั การออกโฉนดจงึ อาจทับซ้อนกับ
ที่ดินของรัฐโดยเกิดจากการขาดการตรวจสอบอย่างครบถ้วนและถูกต้อง เม่ือภายหลังปรากฏข้อเท็จจริงว่า
มีการออกโฉนดท่ีดินทับซ้อนกับท่ีดินของรัฐ กรมท่ีดินจึงต้องเพิกถอนโฉนดที่ดิน ทาให้เกิดปัญหาการฟ้องร้อง
จากผู้เสียประโยชน์จากการเพิกถอนโฉนดท่ีดินดังกล่าว ส่งผลให้กรมที่ดินต้องชดใช้ค่าเสียหายจากการ
ถกู ฟอ้ งรอ้ งเมื่อคดีถงึ ทส่ี ุดแล้วศาลตดั สนิ ให้กรมท่ีดนิ เป็นฝ่ายแพ้คดี และศนู ย์ขอ้ มลู แผนที่รปู แปลงท่ีดนิ มีหน้าที่
จัดทาฐานขอ้ มลู แผนท่รี ูปแปลงที่ดนิ ของรฐั ในระบบภูมสิ ารสนเทศและดูแลรักษาฐานข้อมูลแผนที่รปู แปลงท่ีดิน
ของรฐั ใหถ้ กู ตอ้ งจากข้อมลู ดิจิตอลของท่ีดนิ จากหนว่ ยงานใน "คณะกรรมการกาหนดมาตรฐานระวางแผนท่ีและ
แผนที่รูปแปลงท่ีดินในท่ีดินของรัฐ" (กมร.) ท่ีกาหนดข้ึนตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยมาตรฐาน
ระวางแผนท่ีและแผนที่รูปแปลงที่ดินในท่ีดินของรัฐ พ.ศ. ๒5๕๐ ทาให้มีข้อมูลแผนท่ีที่ดินของรัฐจัดเก็บอยู่ใน
ฐานข้อมูลระบบภูมิสารสนเทศสาหรับเผยแพร่ตามภารกิจของศูนย์ข้อมูลแผนที่รูปแปลงท่ีดินท่ีมีหน้าที่จัดทา
ฐานข้อมูลแผนท่ีรูปแปลงที่ดินในที่ดินของรัฐในระบบภูมิสารสนเทศ พัฒนาและให้บริการแผนท่ีและข้อมูล
แผนท่ีรูปแปลงทดี่ ินในทด่ี ินของรฐั

ดังน้ันศูนย์ข้อมูลแผนที่รูปแปลงที่ดินจึงได้ออกแบบและจัดทาระบบระบุตาแหน่งสาหรับตรวจสอบ
แนวเขตท่ีดินของรัฐจากข้อมูลหน่วยงานใน กมร. เพ่ือการรังวัดของกรมท่ีดิน (LANDS STATE) ซ่ึงเป็นระบบ
ที่ออกแบบเพ่ือสนับสนุนการทางานของเจ้าหน้าท่ีกรมที่ดินให้มีความระมัดระวังมากข้ึน โดยระบบดังกล่าวใช้
สาหรับการระบตุ าแหน่งในพน้ื ทเ่ี พื่อการตรวจสอบทีด่ นิ ท่จี ะดาเนนิ การรงั วดั เพื่อออกโฉนดที่ดนิ วา่ ใกลแ้ นวเขต
ท่ีดินของรัฐหรือมีการทับซ้อนในขอบเขตที่ดินของรัฐหรือไม่ ในเบ้ืองต้น โดยเป็นการอานวยความสะดวกและ
ลดขั้นตอนในการตรวจสอบแบบเดิมที่ต้องกลับมาตรวจสอบในสานักงาน อีกท้ังยังสามารถใช้เป็นข้อมูลช้ีแจง
กบั ประชาชนได้ทันทใี นกรณที ี่ที่ดินแปลงที่นารังวัดแปลงดังกล่าวไม่สามารถออกโฉนดทด่ี ินได้เนื่องจากทับซ้อน
กับทดี่ ินของรฐั

บทท่ี ๒

ทดี่ นิ ของรัฐ

๒.๑ ความหมายของที่ดิน
นิยามของคาว่าที่ดิน ตามประมวลกฎหมายท่ีดินมาตรา ๑ ได้บัญญัติไว้ว่า “ที่ดิน หมายความว่า

พื้นที่ดินท่ัวไป และให้หมายความรวมถึง ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลาน้า ทะเลสาบ เกาะและ
ท่ีชายทะเลด้วย” ซ่ึงจากนิยามดังกล่าว สามารถอธิบายความหมายได้ว่า ท่ีดิน หมายความถึง พื้นที่ดินทั่ว ๆ ไป
ทอ่ี ยู่บนพ้ืนผิวโลก ซง่ึ ไมว่ า่ พ้ืนทดี่ ินจะอยูเ่ หนือหรือใต้นา้ กถ็ อื เป็นที่ดนิ ท้ังสิ้น

๒.๒ ประเภทของท่ดี นิ
ท่ีดิน สามารถจาแนกออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ ที่ดินของเอกชน ได้แก่ ที่ดินท่ีประชาชนมีกรรมสิทธิ์

หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย และทางราชการออกเอกสารสิทธิให้ตามประมวลกฎหมายท่ีดิน
ซึ่งผู้ครอบครองมีสิทธิครอบครองหรือทาประโยชน์ได้ ตัวอย่างเอกสารสิทธิ เช่น โฉนดที่ดิน โฉนดตราจอง
หนังสือรบั รองการทาประโยชน์ (น.ส.๓, น.ส.๓ ก.) เป็นต้น และที่ดินของรฐั ได้แก่ ท่ีดินท่ีรัฐเปน็ ผู้ถือกรรมสทิ ธิ์
ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีกฎหมายเฉพาะให้อานาจในการดูแลรักษา เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ ท่ีสงวนหวงห้ามของรัฐ
ที่สาธารณประโยชน์ ท่รี าชพสั ดุ เป็นตน้

๒.๓ ที่ดนิ ของรัฐ
“ท่ีดินของรัฐ” หมายถึง ท่ีดินที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และอยู่ภายใต้การกากับดูแล

และบริหารจัดการโดยหน่วยงานรัฐ ซ่ึงมีกฎหมายท่ีให้อานาจหน่วยงานเป็นการเฉพาะในการดูแลรักษา
ซึ่งสามารถแบ่งประเภทท่ดี นิ ของรฐั ไดด้ ังน้ี

๒.๓.๑ ปา่ สงวนแหง่ ชาติ
“ป่าสงวนแห่งชาติ” เป็นที่ดินของรัฐท่ีกรมป่าไม้มีอานาจดูแลพื้นที่ตามพระราชบัญญัติ

ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซ่ึงเป็นป่าที่ประกาศไว้เพื่อสงวนและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีหลักเขต
และป้ายเครื่องหมายเขตป่าสงวนแห่งชาติ ติดประกาศไว้ที่อาเภอ กิ่งอาเภอ และท่ีเปิดเผยเห็นได้ง่าย
ในหมู่บ้าน ห้ามยึดถือ/ครอบครอง/ทาประโยชน์ หรืออยู่อาศัย/ก่อสร้าง/แผ้วถาง/เผาป่า/ทาไม้/เก็บหาของป่า
หรอื ทาใหป้ ่าสงวนแหง่ ชาติเสื่อมสภาพ

การกาหนดป่าสงวนแห่งชาติ โดยการออกกฎกระทรวงหรือเรียกว่า “การสงวนป่า”
มีข้ันตอนการดาเนินการ 22 ข้ันตอน ไม่มีการต้ังกรรมการสารวจสอบสวนพิจารณาเขตป่า ดังเช่น
พระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช 2481 เมื่อประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติแล้ว ก็ให้ราษฎร
ที่อ้างสิทธิหรือทาประโยชน์อยู่ก่อนวันท่ีกฎกระทรวงใช้บังคับ มาย่ืนคาร้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่
กฎกระทรวงใช้บังคับ ถ้าไม่ย่ืนคาร้องภายในกาหนดดังกล่าว ให้ถือว่าสละสิทธิหรือประโยชน์นั้น ท้ังน้ี ไม่ให้
ใช้บังคับแกก่ รณสี ิทธใิ นท่ดี นิ ท่ีบคุ คลมอี ยูต่ ามประมวลกฎหมายทดี่ ิน

การกาหนดป่าสงวนแห่งชาติ เร่ิมตั้งแต่ พ.ศ. 2508 – 2540 กรมป่าไม้ สามารถประกาศ
กาหนดปา่ สงวนแหง่ ชาติได้ 1,221 ป่า รวมเน้ือท่ีประมาณ 143,981,493.75 ไร่ ดงั น้ี

ภาคเหนือ จานวน 257 ป่า เน้ือท่ีประมาณ 69,977,987.50 ไร่
ภาคกลางและภาคตะวนั ออก จานวน 143 ปา่ เนื้อท่ีประมาณ 21,805,662.75 ไร่
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ จานวน 353 ปา่ เนอ้ื ท่ีประมาณ 34,583,375 ไร่
ภาคใต้ จานวน 468 ป่า เน้ือท่ีประมาณ 17,614,462.50 ไร่



สามารถจาแนกป่าไดเ้ ปน็ 4 ประเภท ไดแ้ ก่
ประเภทที่ 1 ป่าที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงประกาศเป็นป่าสงวนหรือป่าคุ้มครอง

แลว้ หรือเปน็ ป่าซ่ึงรฐั ได้จดั เปน็ ปา่ สมั ปทาน ป่าผูกขาด หรือปา่ โครงการอยแู่ ล้ว
ประเภทท่ี 2 ป่าซึ่งอยู่ระหว่างดาเนินการคุ้มครองหรือสงวนหรือจัดเป็นป่าสัมปทานป่าผูกขาด

และป่าโครงการ
ประเภทที่ 3 ป่าซึ่งอยู่ในความดารหิ รือมีแผนการท่ีจะสงวนคุ้มครองหรือจัดเป็นปา่ สัมปทาน ป่าผูกขาด

หรือปา่ โครงการ
ประเภทที่ 4 พื้นท่ีปา่ อน่ื ๆ นอกจากสามประเภทดงั กลา่ วแลว้ ข้างต้น

แผนทปี่ า่ สงวนแหง่ ชาติ ปา่ เขาใหญ่ ต.นาเหนือ อา่ วลึกใต้ อ.อา่ วลึก จ.กระบ่ี

ทม่ี า : http://forestinfo.forest.go.th/55/UploadFiles/FNationalForest/0623_21_12_2516.pdf

๒.๓.๒ อุทยานแหง่ ชาติ
“อุทยานแห่งชาติ” เป็นที่ดินของรัฐที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช มีอานาจดูแล

พื้นที่ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยพ้ืนท่ีดังกล่าวมีลักษณะที่มีความโดดเด่นสวยงาม
ทางธรรมชาติเป็นพิเศษ หรือมีความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม
และสัตว์ป่า หรือพื้นป่าประจาถ่ินที่มีความหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ หรือโดดเด่นด้านธรณีวิทยา หรือมรดก
ท า งวั ฒ น ธ ร ร ม ท่ี ส ม ค ว รส ง ว น ห รื อ อ นุ รั ก ษ์ ไว้ เพ่ื อ ป ระ โย ช น์ ข อ งค น ใน ช า ติ ห รื อ เป็ น แ ห ล่ ง ศึ ก ษ า เรี ย น รู้
ทางธรรมชาติหรือนันทนาการของประชาชนอย่างยั่งยืน ห้ามยึดถือหรือครอบครองท่ีดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง
เผาปา่ หรอื ทาใหเ้ สือ่ มสภาพ/เปล่ยี นแปลงสภาพพน้ื ท่ไี ปจากเดมิ

การกาหนดเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกาหนดบริเวณท่ีดินแห่งใดท่ีมีสภาพ
ธรรมชาติเป็นที่น่าสนใจ ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมเพ่ือสงวนไว้เป็นประโยชน์แก่การศึกษา และร่ืนรมย์
ของประชาชน ก็ให้มีอานาจกระทาได้โดยประกาศพระราชกฤษฎีกา และให้มีแผนที่แสดงแนวเขตแห่งบริเวณ
ที่กาหนดน้ัน แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วย บรเิ วณที่กาหนดน้ีเรยี กว่า “อุทยานแห่งชาติ” ท่ีดินที่จะกาหนดให้
เป็นอทุ ยานแห่งชาติน้ัน ตอ้ งเป็นท่ีดินท่ีมิได้อยู่ในกรรมสทิ ธ์ิหรอื ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลใด



ซ่ึงมิใช่ทบวงการเมือง ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2505 - 2555
จานวน 127 แห่ง รวมเนื้อท่ีประมาณ 40,693,000 ไร่ ซึ่งอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาใหญ่ เป็นอุทยานแห่งแรกของ
ประเทศไทย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 79 ตอน 186 ลงวนั ที่ 18 กันยายน 2505 ปัจจุบันอุทยาน
แห่งชาติ แบ่งตามลักษณะพน้ื ท่ีเปน็ 2 ลกั ษณะ คอื อทุ ยานแห่งชาติทางบก และอทุ ยานแห่งชาตทิ างทะเล

ภาพแผนทีแ่ สดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติ
โครงการจดั ทาฐานข้อมูลเพ่ือการตดั สนิ ใจในการบรหิ ารจดั การอุทยานแห่งชาติ

ทมี่ า : http://portal.dnp.go.th/Content/nationalpark?contentId=640

๒.3.3 ปา่ ไมถ้ าวร
“ป่าไม้ถาวร” เป็นที่ดินของรัฐที่เป็นป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี 14 พฤศจิกายน 2504

และพื้นท่ีป่าท่ีจะเปิดจัดสรรเพ่ือเกษตรกรรมหรือเพ่ือใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่นามาดาเนินการสารวจจาแนก
ประเภทที่ดินตามขั้นตอนการจาแนกประเภทที่ดิน ป่าไม้ถาวรไม่มีกฎหมายกาหนดไว้โดยตรงว่าให้เป็นป่า
อีกประเภทหนึ่งแตกต่างไปจากป่าท่ีมีกฎหมายกาหนดไว้ แต่ป่าไม้ถาวรน้ีเกิดข้ึนสืบเน่ืองมาจากนโยบาย
ของรัฐบาล ตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้มีมติเห็นชอบด้วยตามข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย ท่ีเสนอขออนุมัติ
ให้มีการจาแนกประเภททด่ี ินในเขตจังหวดั ต่าง ๆ โดยไดจ้ าแนกท่ีดนิ ออกเป็น 2 ประเภท คือ ทีด่ ินทเ่ี ปน็ เขตป่า
ที่จะทาการสงวนคุ้มครองไว้เป็นสมบัติของชาติโดยถาวรสืบไป (ป่าไม้ถาวร) และท่ีดินบริเวณใดท่ีจะไม่สงวนไว้
เป็นป่าก็กาหนดให้เป็นเขตที่จะเปิดจัดสรรเพ่ือเกษตรกรรม และเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างอื่น โดยป่าไม้ถาวร
เป็นทด่ี ินของรัฐทอี่ ยู่ในความรบั ผดิ ชอบของกรมพัฒนาท่ีดนิ



ภาพแผนท่แี สดงแนวเขตปา่ ไม้ถาวร จงั หวดั ระยอง

ท่มี า : http://r02.ldd.go.th/AuditService.php

๒.3.4 ที่ราชพสั ดุ
“ที่ราชพัสดุ” เป็นที่ดินของรัฐท่ีกรมธนารักษ์ มีอานาจดูแลพื้นท่ีตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ

พ.ศ. 2518
ความหมายที่ราชพัสดุ ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 มาตรา 4 บัญญัติไว้ว่า

“ท่ีราชพัสดุ” หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินทุกชนิด เว้นแต่สาธารณสมบัติ
ของแผ่นดิน ดังตอ่ ไปนี้

1. ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และท่ีดินซ่ึงมีผู้เวนคืน หรือทอดท้ิงหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดย
ประการอนื่ ตามกฎหมายที่ดนิ

2. อสังหาริมทรัพย์สาหรับพลเมืองใช้หรอื สงวนไวเ้ พ่ือประโยชน์ของพลเมอื งใช้รว่ มกัน เป็นต้นว่า
ทีช่ ายตลง่ิ ทางน้า ทางหลวง ทะเลสาบ

ส่วนอสังหาริมทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคลและขององค์การปกครองส่วนท้องถ่ิน
ไมถ่ ือวา่ เป็นทร่ี าชพัสดุ

การได้มาซึ่งท่ีราชพัสดุ มีหลายกรณี ได้แก่ โดยการซ้ือ โดยการแลกเปล่ียน โดยการรับบริจาค
หรือมีผู้ยกให้ โดยผลของสัญญา โดยการหวงห้าม หรือดาเนินการให้ได้มาซ่ึงที่ดินเพ่ือใช้ประโยชน์
ในราชการ โดยการเวนคืน โดยการรบิ ทรัพย์สนิ



ท่ีราชพัสดุ มีไว้เพ่ือใช้ประโยชน์ในราชการของส่วนราชการเป็นหลัก เช่น เป็นท่ีต้ังที่ทาการ
บา้ นพักข้าราชการ หรือดาเนินกิจกรรมอืน่ ตามภารกิจของส่วนราชการ ส่วนท่ีเหลือจากการใช้ราชการสามารถ
มาจัดให้เช่าได้ โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และกรมธนารักษ์มีหน้าท่ีในการปกครองดูแล
บารุงรักษา และบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ต่อรัฐ การเข้าใช้ประโยชน์ของประชาชน สามารถย่ืนคาร้อง
ขอเชา่ ตามวตั ถุประสงคต์ อ่ กรมธนารักษ์ หรอื สานกั งานธนารักษ์พื้นทใี่ นท้องทีท่ ท่ี ี่ดินตัง้ อยู่

ภาพตวั อยา่ งพนื้ ท่ีและทะเบียนทร่ี าชพัสดุ

ทีม่ า : http://www.scphtrang.ac.th/main/node/3108



๒.3.5 ทป่ี ฏิรูปทดี่ ินเพ่ือเกษตรกรรม (ที่ ส.ป.ก.)
“ที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ที่ ส.ป.ก.)” เป็นท่ีดินของรัฐที่สานักงานการปฏิรูปที่ดิน

เพ่ือเกษตรกรรม มีอานาจดูแลพน้ื ทตี่ ามพระราชบัญญัตกิ ารปฏิรูปที่ดนิ เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. 2518
การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หมายความว่า การปรับปรุงเก่ียวกับสิทธิและการถือครอง

ในท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม รวมตลอดถึงการจัดที่อยู่อาศัยในท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมน้ัน โดยรัฐนาท่ีดินของรัฐ
หรือท่ีดินที่รฐั จัดซ้ือหรือเวนคืนจากเจ้าของที่ดิน ซ่ึงมิได้ทาประโยชน์ในท่ีดินน้ันด้วยตนเอง หรือมีท่ีดินเกินสิทธิ
ตามพระราชบัญญัติน้ี เพ่ือจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเองหรือเกษตรกรที่มีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอ
แก่การครองชีพและสถาบันเกษตรกรได้เช่าซ้ือ เช่าหรอื เข้าทาประโยชน์ โดยรัฐให้ความช่วยเหลือในการพัฒนา
อาชีพเกษตรกรรม การปรับปรุงทรัพยากร และปัจจัยการผลิตตลอดจนการผลิต และการจาหน่ายให้เกิดผลดี
ยิ่งข้ึน

เป้าหมายสาคัญของการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม นอกจากมุ่งหมายให้เกษตรกร
มีความเท่าเทียมกันด้านสิทธิและการถือครองที่ดินแล้ว ยังให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพและรายได้
ของเกษตรกร เพื่อให้สามารถดารงชีพในที่ดินที่ได้รับจากการปฏิรูปท่ีดินได้ ผู้มีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูป
ท่ีดินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒
มี ๓ ประเภท คือ เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบกิจการอื่นท่ีเป็นการสนับสนุน หรือเก่ียวเน่ือง
กบั การปฏิรูปท่ดี ินเพือ่ เกษตรกรรม

ภาพแผนท่ีแสดงแผนการพัฒนาพนื้ ทช่ี ลประทานในเขตปฏิรปู ที่ดิน จงั หวดั นครราชสมี า

ท่มี า : https://alro.go.th/uploads/org/it/download/article/article_20200331154204.jpg



๒.3.6 นิคมสรา้ งตนเอง
“นิคมสร้างตนเอง” เป็นบริเวณที่ดินของรัฐท่ีมีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นนิคมสร้างตนเอง

เพื่อให้ราษฎรได้มีที่ต้ังเคหสถานและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งในท่ีดินนั้น เป็นไปตามพระราชบัญญัติ
จดั ท่ดี ินเพ่อื การครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ โดยมกี รมพัฒนาสังคมและสวัสดกิ าร เป็นหน่วยงานผู้มอี านาจดแู ล

การจัดต้ังนิคมสร้างตนเองมีจุดมุ่งหมายหลัก เพ่ือจัดสรรท่ีดินให้ราษฎรกลุ่มเป้าหมายอพยพ
ครอบครัวเข้าไปตั้งถิ่นฐานประกอบอาชีพและอยู่อาศัยในนิคมสร้างตนเองอย่างเป็นระเบียบและถาวร
พร้อมท้ังสง่ เสริมให้ได้กรรมสิทธ์ใิ นที่ดินแปลงนั้นเป็นของตนเองและเป็นมรดกตกทอดไปสู่ลูกหลาน และพัฒนา
นิคมสร้างตนเองในด้านตา่ ง ๆ ให้สมาชิกนคิ มมรี ายได้และมีคุณภาพชีวิตท่ดี สี ามารถช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว
และชุมชนได้ และเพ่ือสนองนโยบายของรัฐบาลในลักษณะโครงการพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีในการแก้ไข
ปญั หาทางสังคม เศรษฐกจิ การเมอื ง และการปกครอง

ปัจจุบัน กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้รับมอบให้จัดตั้งนิคมสร้างตนเองในรูปแบบ
และลกั ษณะต่าง ๆ ท่อี ยใู่ นความรบั ผิดชอบ ๔๔ นคิ ม ใน ๓๕ จังหวัด

ภาพแผนท่ีนิคมสร้างตนเองกระเสยี ว จังหวัดสพุ รรณบุรี

ทีม่ า : http://www.library.dsdw.go.th/e-book/book/21/pdf/21.pdf



๒.3.7 นิคมสหกรณ์
“นิคมสหกรณ์” เป็นท่ีดินของรัฐท่ีกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีอานาจดูแลพื้นที่ตามพระราชบัญญัติ

จัดที่ดินเพ่ือการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ โดยเป็นบริเวณที่ดินท่ีรัฐได้ออกกฎหมายกาหนดขอบเขตพื้นที่แล้ว
จัดการพัฒนาปรับปรุงท่ีดิน ให้เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยและประกอบอาชีพการเกษตร จากนั้นจึงจัดสรรที่ดิน
ให้กับเกษตรกรท่ีเดือดร้อนไม่มีท่ดี ินทากิน หรือมีน้อยแต่ไม่พอทากิน ได้มที ่ีดินประกอบอาชีพและตั้งบ้านเรือน
ท่ีอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งพร้อมกับส่งเสริมให้เกษตรกร รวมตัวกันจัดต้ังสหกรณ์ เม่ือเกษตรกรได้เข้าทา
ประโยชน์ในที่ดินทากินท่ีได้รับการจัดสรร และได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขท่ีกฎหมายกาหนดครบถ้วนแล้ว
จะไดร้ บั กรรมสทิ ธใิ์ นท่ีดินที่รัฐจดั สรรให้

ภาพแผนที่แนบทา้ ยพระราชกฤษฎีกา จัดตง้ั นิคมสหกรณ์
ในทอ้ งทอี่ าเภอสอยดาว จังหวัดจนั ทบุรี พ.ศ. ๒๕๔๐.

ทมี่ า : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2540/A/009/15.PDF

๑๐

๒.3.8 ทด่ี ินสาธารณสมบตั ิของแผน่ ดิน
ท่ีดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสาหรับประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซ่ึงหมายรวมถึง

ที่สาธารณประโยชน์และท่ีดินรกร้างว่างเปล่า มีกรมการปกครองร่วมกับกรมการปกครองส่วนท้องถ่ิน
โดยนายอาเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นผู้มีอานาจดูแลตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่
พ.ศ. 2557 ซงึ่ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญัตลิ ักษณะปกครองทอ้ งที่ ฉบบั ท่ี 13 (พ.ศ. 2551)

ทสี่ าธารณสมบัตขิ องแผน่ ดิน แบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่
๑.) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ที่ดินของรัฐท่ีมิได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย

และต้องมีการสงวนหรือหวงหา้ มไว้เพ่อื สาธารณประโยชน์หรอื ใช้ประโยชนร์ ว่ มกนั เชน่
- ทเ่ี ขา ภเู ขา ปรมิ ณฑลเขา ภเู ขาสงู ๔๐ เมตร
- ทดี่ ินที่มพี ระราชกฤษฎีกาหวงหา้ มไวต้ ามพระราชบญั ญัติว่าด้วยการหวงห้าม
- ท่ดี ินรกรา้ งวา่ งเปล่าอนั เปน็ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๘
- ท่ีดินท่ีจัดหาผลประโยชน์ตามมาตรา ๑๐ หรือ ๑๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
- ท่ีดนิ ทจ่ี ัดใหส้ มั ปทานตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลกฎหมายทด่ี นิ

๒.) ทดี่ ินสาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน หรอื ทสี่ าธารณประโยชน์ เช่น
- เดิมประชาชนส่วนใหญ่ใช้ วัว ควาย ทาการเกษตร จึงมีการกันพื้นท่ีไว้สาหรับให้

ประชาชนนา ววั ควายไปเลีย้ ง
- พน้ื ทซี่ ่ึงกันไว้สาหรับเป็นปา่ ช้าสาหรับเผาหรอื ฝงั ศพ
- ลาคลอง บึง ลาราง ทางสาธารณะทเี่ กิดขนึ้ ตามธรรมชาติ

การที่จะพิจารณาว่าท่ีดินดังกล่าวเป็นท่ีสาธารณประโยชน์หรือไม่ ต้องพิจารณาจากการเกิด
ของท่ีดินสาธารณประโยชน์ ซ่งึ การเกดิ ของที่ดนิ สาธารณประโยชน์ แยกเปน็ ๔ ประการ ดังนี้

๑.) เกิดข้ึนโดยผลของกฎหมาย โดยจะต้องพิจารณาว่า ท่ีดินสาธารณประโยชน์น้ัน เกิดข้ึน
ในชว่ งเวลาใด ดงั นี้

- เกิดขึ้นก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ช่วงนี้ไม่มกี าหนดรูปแบบไว้ อาจเป็นการสงวนหวงห้าม
โดยพระบรมราชโองการ ผูว้ ่าการมณฑล สมุหเทศาภิบาล กรมการอาเภอ กานัน เป็นต้น ซึ่งจะประมาณเนื้อที่
สาธารณะประโยชนืไว้คร่าว ๆ โดยไมม่ ีการรังวัดทาแผนที่และนาขึ้นทะเบยี นทดี่ ินสาธารณะประโยชน์

- เกิดขึ้นช่วงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๘ – ๒๔๙๗ ในช่วงน้ีมีพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๘ ใช้บังคับการสงวน
หวงหา้ มต้องออกเป็นพระราชกฤษฎกี าเทา่ นน้ั

- เกิดขึ้นหลังปี พ.ศ. ๒๔๙๗ จนถึงปัจจุบัน ช่วงน้ีมีประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ
การดาเนินการสงวนหวงห้ามจะต้องดาเนินการตามประมวลกฎหมายท่ีดิน โดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการจดั ที่ดินแห่งชาติก่อน

๒.) เกิดข้ึนโดยสภาพธรรมชาติ เช่น แม่น้า คลอง ห้วย หนอง บึง ซึ่งประชาชนสามารถ
ใช้ประโยชน์รว่ มกนั ได้

๓.) เกิดขึ้นโดยการใช้ร่วมกันของราษฎร เช่น เดิมเป็นท่ีรกร้างว่างเปล่า ต่อมาราษฎรนา
วัว ควาย เข้าไปเล้ียงจนกลายเปน็ ที่สาธารณประโยชน์

๔.) เกิดโดยการอทุ ิศ มี ๒ กรณี
- อทุ ิศโดยตรง เช่น ทาหนังสือ หรอื จดทะเบียนในโฉนด ยกให้เปน็ ที่สาธารณะ
- อุทิศโดยปริยาย เช่น เจ้าของท่ีดินยินยอมให้ประชาชนท่ัวไปเข้าไปใช้ประโยชน์

ในท่ีดินของตนเองเป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปี โดยไม่มีการแสดงเจตนาหวงหา้ ม กถ็ อื เป็นการอุทศิ ใหโ้ ดยปรยิ าย

๑๑

ภาพตวั อย่างหลกั เขต เขตท่ีสาธารณะ

ท่ีมา : https://www.amtcapital.co.th/ท่สี าธารณประโยชน/์

ภาพหนงั สือสาคัญสาหรบั ทหี่ ลวงของท่สี าธารณประโยชน์

๑๒

๒.3.9 ป่าชายเลน
“ป่าชายเลน” เปน็ ท่ดี ินของรัฐท่ีเป็นพื้นท่ีป่าตามมติคณะรฐั มนตรี เม่ือวนั ที่ 15 ธันวาคม 2530

เห็นชอบด้วยกับแนวทางและผลการจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย ตามที่
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้หน่วยงานราชการท่ีเก่ียวข้องถือปฏิบัติ ป่าชายเลนตามมติ
คณะรัฐมนตรีอยู่ในความรับผิดชอบของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม พื้นท่ีป่าชายเลนมีลักษณะเป็นระบบนิเวศที่ประกอบด้วยพืชและสัตว์นานาชนิด ดารงชีวิต
รว่ มกนั ในสภาพแวดล้อมที่เป็นดินเลน นา้ กร่อย หรือมีน้าทะเลท่วมถึงสม่าเสมอ จะอยู่ติดจงั หวัดทะเล จานวน
24 จงั หวดั มีเนอื้ ทีป่ ระมาณ 2.57 ล้านไร่

ภาพแผนท่ีแสดงพนื้ ทีป่ า่ ชายเลน ตามมติคณะรฐั มนตรี ปี พ.ศ. 2530

ทม่ี า : https://km.dmcr.go.th/c_11/d_719

บทท่ี ๓
ระบบพิกดั (Coordinate system)

เน่ืองจากโลกมีลักษณะเป็นทรงกลมเมื่อมีการกาหนดตาแหน่งต่าง ๆ บนโลก จึงต้องถ่ายทอดข้อมูล
เชิงพื้นท่ีที่อยู่ในรูปของสถานที่ตั้งหรือคุณลักษณะอ่ืนใดบนพ้ืนโลกมาสู่แผนท่ีด้วยระบบพิกัด โดยระบบพิกัด
แผนที่ คือ การอ้างอิงตาแหน่งของโลกที่ถา่ ยทอดมาสู่แผนที่ซึ่งมีลกั ษณะแบนราบ ระบบพกิ ัดท่ีนิยมใช้กนั อยู่ใน
ปจั จบุ นั มีอยู่ ๒ ระบบ คอื ระบบพิกดั ภูมิศาสตร์ และ ระบบพิกดั UTM
๓.๑ ระบบพกิ ัดภูมิศาสตร์ (Geographic coordinate system : GCS)

ระบบพิกัดภูมิศาสตร์เป็นการกาหนดตาแหน่งต่าง ๆ บนพ้ืนโลก ด้วยการอ้างอิงเป็นค่าระยะเชิงมุม
ของละติจูด (Latitude) และลองจิจูด (Longitude) ตามระยะเชิงมุมท่ีห่างจากศูนย์กาเนิด (Origin) ของ
ละติจดู และลองจิจดู ท่ีกาหนดขน้ึ

ภาพแสดงตวั อยา่ งพิกดั ภมู ศิ าสตร์
ศูนย์กาเนิดของละติจูด (Origin of Latitude) น้ัน กาหนดข้ึนจากแนวระดับที่ตัดผ่านศูนย์กลางของโลก
และต้ังฉากกับแกนหมุน เรียกว่า เส้นศูนย์สูตร (Equator) ท่ีแบบโลกออกเป็นซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้
ค่าของมมุ ทีเ่ กิดจากศูนยก์ ลางโลกจะสนิ้ สุดทีข่ ั้วโลกเหนอื และขัว้ โลกใต้ ทเ่ี ชงิ มุม 90 องศาพอดี ดังนน้ั การใช้ค่า
ระยะเชิงมุมของละติจูดอ้างอิงบอกตาแหน่งต่าง ๆ นอกจากจะกาหนดเรียกค่าเป็น องศา ลิปดา และฟิลิปดาแล้ว
จะกากบั ตวั อักษรบอกทิศทางเหนือหรอื ใตเ้ สมอ เช่น ละติจดู ที่ 30 องศา 20 ลปิ ดา 15 ฟิลปิ ดาเหนือ

๑๔

ภาพแสดงตาแหน่งเส้นศูนยส์ ูตร (ละติจดู )
ศูนย์กาเนิดของลองจิจูด (Origin of Longitude) นั้น กาหนดขึ้นจากแนวระนาบทางตั้งที่ผ่านแกนหมุน
ของโลกตรงบริเวณตาแหน่งบนพื้นโลกผ่านหอสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ เมืองกรีนิช (Greenwich) ประเทศ
อังกฤษ เรียกว่า เส้นเมริเดียนแรก (Prime meridian) ค่าของมุมจะสิ้นสุดท่ีเส้นเมริเดียนตรงข้ามกันกับ
เส้นเมริเดียนแรก ซ่ึงมีค่าของมุมซีกโลกละ 180 องศา การใช้ค่าอ้างอิงบอกตาแหน่งใช้เรียกกาหนด
เช่นเดียวกับ ละติจูด ต่างกันที่ต้องบอกเป็นซีกโลกตะวัน ตก หรือซีกโลกตะวัน ออกแท น เช่น
90 องศา 20 ลิปดา 45 ฟิลปิ ดาตะวนั ตก

ภาพแสดงเสน้ เมรเิ ดยี นแรก (ลองจจิ ดู )

๑๕

๓.๒ ระบบพกิ ดั ยทู เี อ็ม (Universal Transvers Mercator coordinate systems : UTM)
ระบบพิกัดยูทเี อม็ ถกู ใช้อยา่ งแพรห่ ลายทัง้ ในกิจการทางทหารและกิจการพลเรอื น มคี วามละเอยี ดถกู ตอ้ ง

มขี ้อกาหนดในรายละเอยี ดต่าง ๆ ให้ถือเป็นเกณฑ์มาตรฐานเพอ่ื ใช้งานครอบคลมุ ได้ทั่วโลก กาหนดให้ใช้หน่วย
วัดระยะทางเป็นเมตร ระบบพิกัดยูทีเอ็มท่ีถูกปรับมาจากระบบเส้นโครงแผนที่แบบทรานสเวิร์สเมอร์เคเตอร์
เพื่อเป็นการรักษารูปร่างโดยใช้ทรงกระบอกตัดลูกโลกระหว่างละติจูด 84 องศาเหนือ ถึง 80 องศาใต้ โดยมี
รัศมีทรงกระบอกสั้นกว่ารัศมีของลูกโลก ผิวทรงกระบอกจะผ่านเข้าไปตามแนวเมริเดียนของโซน 2 แนว
คือ ตดั เขา้ กับตดั ออก เรียกวา่ เส้นตดั (Secant) ทาให้ความถกู ต้องมีมากข้ึนโดยเฉพาะบรเิ วณสองข้างเมรเิ ดียน
กลาง

ภาพแสดงลกั ษณะพืน้ ผิวท่ีใช้แสดงเสน้ โครงแผนที่รปู ทรงกระบอก

พ้ืนท่ีบริเวณที่อยู่ระหว่างละติจูด 80 องศาใต้ ถึงละติจูด 84 องศาเหนือ ถูกแบ่งออกเป็นเขต (Zone)
ท้ังหมด 60 เขต เขตละเท่า ๆ กัน 6 องศา ตามแนวลองจิจูดโดยมีหมายเลขกากับโซน 1 ถึง 60 ตามลาดับ
โดยโซนที่ 1 อยู่ระหว่างลองจิจูด 180 องศาตะวันตก ถึง 174 องศาตะวันตก โซนท่ี 2 อยู่ถัดไปทางด้าน
ตะวันออกตามลาดับจนถงึ โซนท่ี 60 ซ่ึงอยู่ระหว่างลองจจิ ูดท่ี 174 องศาตะวันออก ถึง 180 องศาตะวันออก
และประชิดกับโซนที่ 1 ในแต่ละโซนจะมีเมอริเดียนกลาง (Central meridian) เป็นของตนเอง เช่น โซนท่ี 1
ลองจิจูด 180 ถงึ 174 ตะวนั ตก มลี องจจิ ดู 177 ตะวนั ตก เปน็ เมริเดยี นกลาง เป็นต้น

พ้ืนท่ีในแต่ละโซนถูกแบ่งย่อยให้เป็นขอบเขตส่ีเหลี่ยม โดยแนวเส้นขนาดละติจูดชว่ งละ 8 องศา จากเส้น
ขนานละติจูด 80 องศาใต้ แบ่งทีละ 8 องศา ผ่านเส้นระนาบศูนย์สูตรไปจนถึงเส้นขนานละติจูด 72 องศา
เหนือ และจากเส้นขนานละติจูด 72 ถึง 84 องศาเหนือ แบ่งออกเป็นช่องละ 12 องศา รวมทั้งหมดแบ่งได้
20 ช่อง พื้นท่ีสี่เหลี่ยมเหล่าน้ีเรียกว่า เขตกริด (Grid zone) รวมท้ังหมด 1200 โซน การแบ่งวิธีน้ีทาให้เกิด
สี่เหล่ียมผืนผ้าเขตกริดขนาด 6 องศา x 8 องศา ยกเว้นช่วงระหว่างเส้นละติจูด 72 ถึง 84 องศาเหนือ
มีขนาดกริดเท่ากับ 6 องศา x 12 องศา เม่ือแบ่งเสร็จแล้วได้กาหนดอักษรโรมันกากับไว้ตั้งแต่ C ถึง X
(ยกเว้น I กบั O) โดยเรมิ่ กาหนดอักษร C ต้ังแต่โซนของละติจูด 80 องศาใต้

๑๖

ภาพแสดงการแบง่ กรดิ โซนระบบพกิ ัดกรดิ UTM

ทม่ี า : https://negistda.kku.ac.th/activity/2015/tn20150504/Lab01.pdf

ประเทศไทยนาระบบพิกัด UTM มาใช้กับการทาแผนท่ีภูมิประเทศ มาตราส่วน 1:50000 ชุด L7018
และ L7018 มีพ้ืนท่ีอยู่ระหว่างละติจูด 5 องศา 30 ลิปดาเหนือ ถึง 20 องศา 30 ลิปดาเหนอื และลองจิจูด
97 องศา 30 ลิปดาตะวันออก ถึง 105 องศา 30 ลิปดา ดังน้ัน ประเทศไทยจึงตกอยู่ในเขตกริดที่ 47N
47P 47Q 48N 48P และ 48Q

การอ่านค่าพิกัดกริดเพ่ือให้พิกัดค่ากริดในโซนหน่ึง ๆ มีค่าเป็นบวกเสมอ จึงกาหนดให้มีศูนย์สมมุติ
ขึ้น 2 แหง่ ดังน้ี

1. ในบริเวณท่ีอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร : เส้นศูนย์สูตรมีระยะห่างจากศูนย์สมมุติเท่ากับ 0 เมตร, และ
เส้นเมรเิ ดียนยา่ นกลางห่างจากศูนยส์ มมตุ ิ 500,000 เมตร ทางตะวันออก

๒. ในบริเวณ ที่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร : เส้นศูนย์สูตรมีระยะห่างจากศูนย์สมมุติไปทาง เหนือ
10,000,000 เมตร และเมริเดียนยา่ นกลางหา่ งจากศูนยส์ มมตุ ิ 500,000 เมตร ทางตะวันออก

๑๗

๓.๓ การอ่านพิกดั

๓.๓.๑ พกิ ดั ภมู ิศาสตร์ (Geographic coordinate system : GCS)
โดยท่ีเราต้องอ่านค่าของละติจูดและลองจิจูดตัดกัน ทั้ง 2 แกน มีหน่วยที่วัดเป็น องศา (๐) ลิปดา (’)

พิลปิ ดา (’’) หน่วยวดั : 60 ฟิลิปดา = 1 ลปิ ดา, 60 ลปิ ดา = 1 องศา

๓.๓.๒ พิกดั กริด UTM (UTM Grid Coordinate)
ใช้บอกค่าเป็นตัวเลข โดยที่เราต้องอ่านค่าของเส้นกริดต้ัง (แกน X ทางตะวันออก)

และเสน้ กรดิ ราบ (แกน Y ทางเหนอื ) ตดั กนั ท้ัง 2 แกนทเ่ี สน้ กรดิ ตงั้ และราบมีตวั เลขตัวโต 2 ตวั กากับไวท้ กุ เส้น
มหี น่วยทว่ี ัดเปน็ เมตร หลกั การอ่านมหี ลกั ดังนี้

1. ให้อ่านเพียงตวั เลขใหญ่ที่กากับไว้ในแต่ละเส้นกริด
2. ให้อ่านตัวเลขใหญ่ประจาเส้นกริดตั้งก่อน เป็นการอ่านพิกัดท่ีเรียกว่า Read Right Up
โดยอ่านจากซ้ายไปขวาก่อน แล้วอ่านตัวเลขใหญ่ประจาเส้นกริดราบ โดยอ่านจากข้างล่างข้ึน ข้างบนการอ่าน
ตัวเลขจงึ ประกอบด้วย 2 ส่วน

สว่ นแรก หรอื ครึ่งแรก เปน็ ตวั เลขอา่ นไปทางขวา
สว่ นหลงั หรอื ครึง่ หลงั เปน็ ตวั เลขอา่ นขน้ึ ข้างบน Read Right Up
3. ถ้าอา่ นเพยี งจัตรุ สั 1,000 เมตร ตวั เลขจะประกอบดว้ ย 4 ตวั เช่น 48QTD3627

100 เมตร ตัวเลขจะประกอบด้วย 6 ตัว เช่น 48QTD360278
10 เมตร ตวั เลขจะประกอบด้วย 8 ตวั เชน่ 48QTD36002784

๑๘

๓.๓.๓ ตวั อยา่ งการอา่ นค่าพิกัด

ภาพแสดงตวั อย่างแผนทภ่ี มู ปิ ระเทศมาตราสว่ น 1 : 50000

การอ่านพิกัดภูมิศาสตร์จากภาพข้างต้นจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนท่ีภูมิประเทศมาตราส่วน
1 : 50000 จะสังเกตได้ว่ามุมล่างซ้ายจะมีตัวเลขกากับไว้ 2 ค่า คือ ค่าละติจูด และค่าลองจิจูด ซึ่งจะมีหน่วย
วดั เป็น องศา ลิปดา พิลิปดา โดยคา่ ดังกล่าวจะเป็นค่าของมุมล่างซ้ายของแผนที่ระวาง (Sheet) นั้น ๆ โดยค่า
พิกัดภูมิศาสตร์ ค่าท่ีปรากฏจะกากับเส้นกริดแนวตั้งและแนวนอน โดยเส้นกริดแนวต้ังเส้นแรกจะมีค่ากากับ
คือ Lat 19๐15’00’’N และ Long 99๐30’00’’E

สาหรับการอ่านค่าพิกัด UTM ซึ่งมีหน่วยวัดเป็นเมตรนั้น ค่าที่ปรากฏจะกากับเส้นกริดแนวตั้ง
และแนวนอน โดยเส้นกริดแนวต้ังเส้นแรกจะมีค่ากากับคือ 553000 m.E. และเส้นกริดแนวนอนเส้นแรก
จะมีค่ากากับคือ 2129000 m.N. เมื่ออ่านค่าพิกัดของเส้นกริดเส้นแรกท่ี แนวตั้งและแนวนอน
จะอ่านได้ คอื x = 553000 m.E. และคา่ y = 2129000 m.N. หรอื (x,y) = (553000,2129000)

หากจะอ่านละเอียดขึ้นเราสามารถแบ่งระยะระหว่างเส้นกริดออกเป็น 10 ส่วนเท่า ๆ กัน แต่ละส่วนก็จะ
มีระยะเท่ากับ 100 เมตร จากภาพเม่ือแบ่งระยะระหว่างเส้นกริดออกเป็น 10 ส่วนเท่า ๆ กัน และสามารถ
อ่านตาแหน่งพิกดั ของสญั ลักษณ์ดาวได้ คือ x = 554500 m.E. และคา่ y = 2129500 m.N.

บทที่ ๔
GNSS

GNSS (Global Navigation Satellite Systems) คือ ช่ือเรียกระบบโครงขา่ ยดาวเทียมนาทางท่ีใช้ในการ
ระบตุ าแหน่งพกิ ดั บนโลก ซึ่งในปจั จุบันมีอยหู่ ลายระบบครอบคลมุ ทวั่ โลก ระบบ GNSS ที่สาคัญ เชน่ GPS ของ
ประเทศสหรัฐอเมริกามีจานวนดาวเทียมในวงโคจร 31 ดวง, GLONASS ของประเทศรสั เซยี มจี านวนดาวเทียม
ในวงโคจร 24 ดวง, Galileo ของสหภาพยุโรปมีจานวนดาวเทียมในวงโคจร 21 ดวง, BDS ของประเทศจีนมี
จานวนดาวเทียมในวงโคจร 45 ดวง, QZSS ของประเทศญี่ปุ่นมีจานวนดาวเทียมในวงโคจร 5 ดวง, IRNSS
ของประเทศอนิ เดยี มีจานวนดาวเทยี มในวงโคจร 7 ดวง

๔.๑ องคป์ ระกอบของระบบ GNSS ประกอบดว้ ย 3 ส่วน คอื
๑.) ส่วนอวกาศ (Space segment) ประกอบด้วยดาวเทียมซึ่งวางตัวอยู่ในระนาบวงโคจร โดยระนาบ

ของแต่ละระบบ GNSS มีความแตกต่างกันข้ึนกับตาแหน่งบนโลกที่ต้องการให้ดาวเทียมครอบคลุม ดาวเทียม
ส่วนใหญจ่ ะทางานตลอดเวลาแตบ่ างระบบ GNSS จะมีดาวเทยี มบางดวงที่ใช้เป็นดาวเทยี มสารอง

๒.) สว่ นควบคุม (Control segment) คอื สถานีภาคพ้ืนดนิ ซ่งึ กระจายอยู่ในบรเิ วณต่าง ๆ ทั่วโลก โดยแต่
ละระบบ GNSS จะมีสถานีอยู่ในภูมิภาคของตนเอง ซึ่งมีสถานีหลัก และสถานีย่อย ทาหน้าที่ควบคุม แก้ไข
วงโคจร เฝ้าตดิ ตาม คานวณและสง่ ข้อมลู วงโคจรตาแหน่งของดาวเทียม, ขอ้ มลู ค่าแกต้ า่ ง ๆ กลับไปให้ดาวเทียม

๓.) ส่วนผู้ใช้ (User segment) ประกอบด้วยผู้ใช้และเคร่ืองรับสัญญาณดาวเทียม (Receiver)
โดยเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมแต่ละประเภทมีความแม่นยาไม่เท่ากันตั้งแต่หลักเมตรถึงมิ ลลิเมตรข้ึนอยู่กับ
คณุ ภาพของเครือ่ งรบั สัญญาณ

๒๐

๔.๒ ขั้นตอนการทางานของระบบ GNSS
การท่ีระบบ GNSS จะได้มาซึ่งค่าพิกัดมีข้ันตอนดังนี้ สถานีภาคพ้ืนดินซึ่งมีหน้าที่ติดตามและควบคุม

ดาวเทียมทาการคานวณชุดข้อมูลวงโคจรดาวเทียม ข้อมูลค่าปรับแก้นาฬิกาดาวเทียมและข้อมูลค่าปรับแก้ชั้น
บรรยากาศ ส่งไปใหด้ าวเทยี ม จากนน้ั ดาวเทยี มจะกระจายสญั ญาณท่มี ชี ุดข้อมลู วงโคจรดาวเทียมและข้อมูลค่า
ปรับแก้ต่างๆ พร้อมระบุเวลาทก่ี ระจายสัญญาณส่งใหเ้ คร่ืองรับสัญญาณดาวเทยี ม โดยคา่ ปรบั แกต้ า่ ง ๆ เหลา่ น้ี
จะมีการเปล่ียนแปลงทุก ๆ 2 ชั่วโมง เม่ือเคร่ืองรับสัญญาณดาวเทียมได้รับสัญญาณจากดาวเทียมอย่างน้อย
4 ดวงแล้วจะสามารถนามาใช้เพ่อื การคานวณค่าพกิ ดั จงึ ทาให้ได้ค่าพิกัดทตี่ ้องการได้

๔.๓ สมการค่าสงั เกตของระบบ GNSS
ค่าท่ีรังวัดได้จากการรับสัญญาณดาวเทียมจีพีเอส และนามาใช้ประโยชน์ในการคานวณหาตาแหน่งที่

สาคัญมี 2 ชนดิ คอื ซูโดเรนจ์ (Pseudorange) และเฟสของคล่นื สง่ (Carrier phase)
1.) ซโู ดเรนจ์ (Pseudorange)
ซูโดเรนจ์ คอื ระยะทางระหวา่ งดาวเทยี มกบั เครื่องรับสญั ญาณ หาคา่ ได้จากการถอดรหัสจากสญั ญาณ

ท่ีส่งมาจากดาวเทียม เปรียบเทียบกับรหัสที่เครื่องรับสัญญาณสร้างขึ้น คือ ระยะเวลาที่คล่ืนวิทยุใช้ในการ
เดินทางจากดาวเทียมมายังเคร่ืองรับสัญญาณเมื่อนาความเร็วของคล่ืนวิทยุคูณด้วยระยะเว ลาท่ีใช้ในการ
เดินทางระหว่างดาวเทียมมายังเครื่องรับสัญญาณ จะได้ระยะทางระหว่างดาวเทียมกับเครื่องรับสัญญาณ
ดาวเทียม ซูโดเรนจ์ที่ได้จะมีค่าคลาดเคลื่อนไปจากระยะทางจริงระหว่างดาวเทียมและเคร่ืองรับสัญญาณ
เนื่องมาจากความคลาดเคลอื่ นหลายชนิด ข้อดขี องซูโดเรนจค์ ือสามารถไดค้ ่าพิกัดท่ีต้องการอยา่ งรวดเรว็ ทันที

๒๑

2.) เฟสของคลน่ื ส่ง (Carrier phase)
การวัดเฟสข องคลื่นส่งในเครื่องรับเป็นการเปรียบเ ทียบเ พ่ือหา ค่าต่างร ะหว่างเ ฟสของคลื่น ส่ ง ท่ี

ดาวเทียมส่งลงมากับเฟสของคล่ืนท่ีเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมสร้างขึ้นมา โดยคลื่นส่งท่ีดาวเทียมส่งลงมานั้น
แยกออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนของคล่ืนจานวนเต็มรอบกับส่วนท่ีไม่เต็มรอบ ในการรับสัญญาณนั้นเคร่ืองรับ
สัญญาณดาวเทียมไม่สามารถนับจานวนคลื่นเต็มรอบที่ส่งลงมา จานวนเต็มรอบสามารถหาค่าได้จากการ
คานวณในภายหลัง เรยี กว่า เลขปริศนา (Ambiguity) สาหรับงานที่ตอ้ งการคา่ ความละเอียดถูกต้องสูงในระดับ
เซนตเิ มตร จาเป็นอย่างย่งิ ทจ่ี ะต้องใชข้ ้อมูลเฟสของคลื่นส่งในการประมวลผล

๒๒

๔.๔ รปู แบบการรงั วัดหาคา่ พกิ ดั ดว้ ยเครือ่ งรบั สญั ญาณดาวเทียม

1. การหาคา่ พกิ ดั แบบจุดเดย่ี ว (Single point positioning)

เป็นการใช้เครื่องรับสัญญาณเพียง 1 เครื่อง ไปวางตรงจุดท่ีต้องการทราบค่าพิกัด โดยท่ัวไปจะใช้

ข้อมูลซูโดเรนจ์มาประมวลผลเพ่ือหาค่าพิกัดแบบทันทีซึ่งข้อมูลซูโดเรนจ์เป็นข้อมูลพ้ืนฐานที่รับได้กั บเคร่ืองรับ

สัญญาณดาวเทียมทุกชนดิ ดังนั้นจึงนิยมใช้เครอ่ื งรับสัญญาณแบบมือถือ (Handheld receiver) มาหาค่าพิกัด

ในลกั ษณะน้ีเนอ่ื งจากมีราคาถกู สว่ นคา่ ความถกู ต้องทไี่ ดร้ บั จากวิธีการนี้จะอยรู่ ะหว่าง 10-20 เมตร

2. การหาค่าพิกดั แบบสัมพัทธ์ (Relative positioning)

เปน็ การใช้เครอื่ งรบั สัญญาณอย่างน้อย 2 เคร่อื ง โดยเครอื่ งหน่งึ จะวางอยู่ท่จี ดุ ท่ีทราบคา่ พกิ ัดแลว้ เชน่
หมุดหลักฐานกรมที่ดิน หรือหมุดหลักฐานกรมแผนที่ทหาร เป็นต้น ส่วนเครื่องรับอีกเคร่ืองจะถูกนาไปวางตรง
จุดท่ีต้องการทราบค่าพิกัด ผลท่ีได้จากการทางานในลักษณะน้ีคือตาแหน่งเปรียบเทียบของจุดหนึ่งเทียบกับอีก
จุดหนึ่งหรือเป็นเส้นฐานที่มีทิศทางระหว่างจุดที่นาเคร่ืองรับท้ังสองไปวาง วิธีการนี้สามารถใช้ได้กับข้อมูลซูโด
เรนจ์และข้อมูลเฟสของคล่นื สง่ มาประมวลผลเพอื่ หาค่าพิกัด

ในกรณีท่ีใช้ข้อมูลซูโดเรนจ์ในการหาค่าพิกัด โดยท่ัวไปเรียกวิธีนี้ว่า Pseudorange-based
Differential GPS (DGPS) ค่าความถกู ต้องท่ีไดร้ ับจากวธิ ีนอ้ี ยรู่ ะหวา่ ง 0.5 - 5 เมตร

ก ร ณี ท่ี ใ ช้ ข้ อ มู ล เ ฟ ส ข อ ง ค ล่ื น ส่ ง ใ น ก า ร ห า ค่ า พิ กั ด ค่ า ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง ที่ ไ ด้ รั บ จ ะ อ ยู่ ร ะ ห ว่ า ง
1-5 เซนตเิ มตร ซึง่ การใช้ข้อมลู เฟสของคลน่ื สง่ มาคานวณหาคา่ พิกัดน้นั จะใช้ได้กบั เครื่องรับสัญญาณแบบรังวัด
เทา่ นน้ั ในปจั จบุ นั สามารถแบง่ เปน็ วิธีต่าง ๆ ไดด้ งั น้ี

- วิธกี ารรงั วัดแบบสถติ (Static survey)
วิธีการนี้ต้องใช้เครื่องรับสัญญาณอย่างน้อย 2 เครื่อง โดยเคร่ืองท่ีหน่ึงจะถูกวางไว้บนหมุดที่
ทราบค่าพิกัดแล้วหรือสถานีฐาน ส่วนเคร่ืองรับเครื่องท่ีสองจะถูกนาไปวางรับสัญญาณตามจุดที่ต้องการทราบ
ค่าพิกัดหรือสถานีจร วิธีนี้เคร่ืองรับสัญญาณดาวเทียมท่ีสถานีฐานและสถานีจรจะต้องรับข้อมูลจากดาวเทียม
กลุ่มเดียวกันและช่วงเวลาเดียวกัน อย่างน้อย 4 ดวง และต้องต้ังอยู่กับที่เป็นระยะเวลาหน่ึง ๆ ประมาณ
1-2 ชว่ั โมง วธิ ีการน้ีจะเปน็ วธิ ที ใ่ี หค้ ่าความถูกต้องสูงที่สุด โดยเริ่มตง้ั แต่ 5 มลิ ลเิ มตร – 2.5 เซนตเิ มตร (สาหรับเสน้
ฐานทีย่ าวไม่เกนิ 20 กิโลเมตร)
- วิธีการรงั วัดแบบสถติ อย่างเร็ว (Rapid static survey)
วิธีการทางานของวิธีนี้เหมือนกับวิธกี ารรังวัดแบบสถิตทุกประการ เพียงแต่ระยะเวลาในการรบั
สญั ญาณจะสัน้ ลงเหลือประมาณ 10-20 นาที วธิ ีการน้จี ะใหค้ ่าความถูกต้องระหว่าง 1-3 เซนตเิ มตร (สาหรับ
เส้นฐานท่ยี าวไมเ่ กนิ 15 กิโลเมตร)
- วธิ กี ารรังวัดแบบจลนใ์ นทนั ที (Real time kinematic survey)
หลักการทางานของวิธีการรังวัดหาค่าพิกัดแบบสัมพัทธ์ด้วยวิธีการทางานแบบจลน์ในทันทีนั้น
คล้ายคลึงกับวิธีการแบบสถิต คือ ต้องใช้เครื่องรับสัญญาณอย่างน้อย 2 เครื่องโดยเครื่องที่หนึ่งถูกวางไว้
บนหมุดท่ีทราบค่าพิกัดแล้ว ส่วนเคร่ืองรับเคร่ืองท่ีสองถูกนาไปวางรับสัญญาณตามจุดท่ีต้องการทราบค่าพิกัด
แต่กรณีของวิธีการหาค่าพิกัดแบบจลน์ในทันทีน้ันสามารถเคลื่อนย้ายเคร่ืองรับสัญญาณเครื่องที่สองได้เมื่อมี
การติดตั้งอุปกรณ์ส่ือสารระหว่างเครื่องรับท้ังสอง ซึ่งอาจเป็นเครื่องรับและส่งคลื่นวิทยุหรือโทรศัพท์มือถือ
การหาค่าพิกัดของตาแหน่งจุดต่าง ๆ ด้วยวิธีน้ี เครื่องรับสัญญาณดาวเทียมท่ีสถานีฐานและสถานีจรต้องรับ
ขอ้ มูลจากดาวเทียมกลุ่มเดียวกันและชว่ งเวลาเดียวกันอย่างน้อย 5 ดวง และเคร่ืองรบั สญั ญาณท่ีใชจ้ ะต้องเป็น
เคร่อื งรบั สญั ญาณแบบสองความถี่เท่านน้ั วิธีการนีส้ ามารถใหค้ า่ ความถูกต้องในระดับ 1-5 เซนตเิ มตร (สาหรบั
เส้นฐานท่ียาวไมเ่ กนิ 15 กิโลเมตร)

๒๓

๔.๕ การใชง้ านระบบ GNSS

1.) ใชต้ ิดตามความเคลื่อนไหวของยานพาหนะ คน สัตว์ สง่ิ ของ
2.) ใชใ้ นการสารวจกาหนดพิกัดของสถานท่ี สงิ่ ต่าง ๆ เพื่อทาแผนท่ี
3.) ใช้ในการนาทางเพ่ือการเดินทาง สามารถกาหนดตาแหน่งทต่ี อ้ งการและใช้ระบบ GNSS นาทางได้
4.) ใช้กับการจราจร สามารถใช้ระบบ GNSS ในการตรวจสอบสภาพการจราจร เพ่ือมองหาเส้นทางท่ี

สะดวกและประหยดั เวลาทสี่ ุด ซง่ึ ประยุกตใ์ ชก้ ับธุรกจิ ขนสง่ ได้เปน็ อย่างดี
5.) ใชง้ านเกยี่ วกบั ภมู ศิ าสตร์ เช่น ตรวจสอบการเคล่อื นตัวของแผ่นเปลือกโลก การทรดุ ตวั ของพืน้ ดนิ
6.) ใช้งานเกยี่ วกบั วศิ วกรรม เชน่ ตรวจสอบการทรุดตัวของอาคาร ตรวจสอบการโก่งของสะพาน

๔.๖ การใชง้ านระบบ GNSS ของกรมทีด่ ิน
1.) ใช้ระบุตาแหน่งปัจจุบันของผู้ใช้งาน ประกอบกับแผนท่ีแนวเขตที่ดินของภาครัฐ เพื่อให้รู้สภาพหรือ
สถานะของทด่ี ินรอบ ๆ บริเวณไดว้ ่าเปน็ ที่ดินประเภทใด เพ่อื ใช้ในการวางแผนการทางานต่าง ๆ ต่อไป
2.) ใชใ้ นงานรงั วัดแปลงทีด่ นิ รังวดั หมดุ หลกั เขต
3.) ใช้ในการทาแผนท่ภี าพถ่ายทางอากาศ กาหนดจดุ ควบคุมภาคพืน้ ดิน

บทท่ี ๕
คูม่ ือการลงทะเบยี นและการใชง้ าน LANDS STATE

ระบบระบุตำแหน่งสำหรับตรวจสอบแนวเขตท่ีดินของรัฐจำกข้อมูลหน่วยงำนใน กมร. เพื่อกำรรังวัด
ของกรมที่ดิน (LANDS STATE) เป็นระบบท่ีออกแบบเพ่ือสนับสนุนกำรทำงำนของเจ้ำหน้ำท่ีกรมท่ีดิน เพ่ือใช้
ในกำรระบุตำแหน่งของเจ้ำหน้ำท่ีในพ้ืนท่ี เพ่ือให้สำมำรถตรวจสอบกำรทับซ้อนในขอบเขตที่ดินของรัฐเบ้ืองต้น
อีกท้งั เปน็ กำรอำนวยควำมสะดวกและลดขั้นตอนในกำรตรวจสอบแบบเดิมที่ตอ้ งกลับมำตรวจสอบในสำนกั งำน

๕.๑ การลงทะเบียนเข้าใชง้ าน
๕.๑.๑ เปิดเว็บเบรำเซอร์ แล้วเข้ำสู่ระบบด้วย URL “nlpc.dol.go.th” จำกน้ัน ที่เมนู LANDS STATE

กดปุม่ “เข้าส่เู วบ็ ไซต”์

พิมพ์ nlpc.dol.go.th ในช่อง Address Bar

๒๕

๕.๑.๒ เข้ำสูห่ นำ้ หลกั ของระบบ กดปมุ่ “สร้างบญั ช”ี เพื่อทำกำรลงทะเบยี น ขอเขำ้ ใช้งำนในระบบ

๕.๑.๓ อำ่ นข้อตกลงในกำรเขำ้ ใช้บริกำร จำกนั้นกดเคร่อื งหมำยถกู เพื่อยอมรบั ขอ้ ตกลง

๒๖

๕.๑.๔ ตั้งช่ือผู้เข้ำใช้งำนและรหัสเข้ำใช้ พร้อมกรอกข้อมูลส่วนบุคคล จำกน้ันกดท่ีเลือกไฟล์ เพ่ือถ่ำยรูป
ผใู้ ช้คูก่ บั บัตรขำ้ รำชกำร ตรวจสอบขอ้ มลู ทก่ี รอกให้ถูกตอ้ งครบถ้วน จำกนน้ั กดทีป่ ุม่ “ลงทะเบยี น”

ตัวอย่ำง กำรถ่ำยรูปคู่กับบตั รข้ำรำชกำร

๒๗

๕.๑.๕ หำกทำกำรลงทะเบียนสำเร็จ จะแสดงหน้ำต่ำง “สมัครสมำชิกเรียบร้อยแล้ว” จำกน้ันกด “ปิด”
ผู้ใชจ้ ะเขำ้ ใชง้ ำนในระบบได้ เมอ่ื ได้รบั อีเมลยืนยัน พรอ้ มคมู่ อื กำรใชง้ ำนตำมอีเมลท่ีได้ลงทะเบยี นไว้

๒๘

๕.๒ วิธกี ารเข้าใช้งาน
๕.๒.๑ เปิดเว็บเบรำเซอร์ แล้วเข้ำสู่ระบบด้วย URL “nlpc.dol.go.th” จำกนั้น ท่ีเมนู LANDS STATE

กดปุม่ “เข้าสเู่ วบ็ ไซต”์

พมิ พ์ nlpc.dol.go.th ในช่อง Address Bar

๕.๒.๒ เมื่อเข้ำมำสู่หน้ำแรกของระบบ ผู้ใช้งำนสำมำรถดำวน์โหลดเอกสำรคู่มือและวิดีโอสำธิตกำร
ลงทะเบยี นและกำรใชง้ ำนระบบได้

๒๙

๕.๒.๓ กรอกอีเมลและรหสั ผ่ำนทไ่ี ด้ลงทะเบยี นไว้ จำกน้นั กดปมุ่ “เข้าสรู่ ะบบ”

๕.๒.๔ เมอื่ กรอกช่อื ผู้ใช้และรหสั ผ่ำนถูกต้อง จะแสดงหนำ้ ตำ่ ง “ช่อื ผู้ใชถ้ ูกต้อง” จำกนั้นกด “ตกลง”

๓๐

๕.๒.๕ เข้ำสู่หน้ำหลักของระบบ จะแสดงช่ือผู้ใช้งำนและแผนท่ีฐำน Openstreetmap พร้อมกับ
ขอบเขตจงั หวัด โดยมีเคร่ืองมือหลกั ๆ ดงั นี ้

๑.) ปิด - เปิด ชั้นข้อมูลเพอ่ื แสดงผลแผนที่ โดยแยกเป็นแผนท่ีฐำน และช้นั ขอ้ มลู ทด่ี ินของรัฐ
๒.) ซมู เข้ำ - ออก
๓.) ปักหมุดเพอ่ื แชร์ตำแหนง่
๔.) ระบุตำแหน่งปจั จบุ นั ของผู้ใชง้ ำน
๕.) พมิ พภ์ ำพหนำ้ จอ
๖.) เครอื่ งมอื วำดบนแผนที่ เครอื่ งมือแก้ไขรปู วำด และเครื่องมอื ลบ
๗.) ค้นหำสถำนที่สำคญั หรือกำรค้นหำจำกพกิ ดั ละตจิ ูด/ลองจจิ ดู ที่ทรำบคำ่
๘.) เครื่องมือวัดระยะทำง
๙.) กำรแสดงผลละติจูด/ลองจจิ ูด ณ ตำแหน่งทีเ่ ลอื กบนหน้ำจอ

(2) (1)
(3)
(4)
(5)

(6)

(7)
(8)

(9)

หมำยเหตุ : ๑. ข้อมลู ในระบบเป็นข้อมลู ท่ีใชต้ รวจสอบแนวเขตเบอื้ งตน้ เทำ่ นัน้ ไมส่ ำมำรถอำ้ งองิ ทำงกฎหมำยได้
๒. กำรแสดงผลผ่ำนเว็บเบรำเซอร์ “Google Chrome” บนโทรศัพท์มือถือบำงรุ่น อำจไม่รองรับ
กรณุ ำใช้เว็บเบรำเซอร์อน่ื ๆ เชน่ Firefox หรือ Microsoft Edge

๓๑

๕.๒.๖. กำรแสดงผลช้ันข้อมูลแผนที่ฐำน ประกอบไปด้วยรูปแบบ Google maps และ รูปแบบ
Openstreetmap สำมำรถเลอื กสลับใช้งำนทง้ั สองรปู แบบได้

รูปแบบ Google maps

รปู แบบ Openstreetmap

๓๒

๕.๒.๗ เลอื กแสดงแนวเขตต่ำง ๆ ประกอบดว้ ย
- แนวเขตกำรปกครอง ไดแ้ ก่ แนวเขตจังหวดั , แนวเขตอำเภอ และแนวเขตตำบล
- แนวเขตท่ดี นิ ของรฐั ประเภทต่ำง ๆ ไดแ้ ก่ ป่ำสงวนแหง่ ชำติ, ปำ่ ไมถ้ ำวร, ปำ่ ชำยเลน, ทด่ี นิ ส.ป.ก.,

นิคมสหกรณ์, นิคมสร้ำงตนเอง, อุทยำนแห่งชำติ, ที่สำธำรณประโยชน์ (น.ส.ล.) และที่สำธำรณประโยชน์
(ทร่ี ำชพัสด)ุ

๓๓

๕.๒.๘ เครื่องมือปักหมุดเพื่อแชร์ตาแหน่ง เม่ือคลิกท่ีปุ่ม “Share location” จะปรำกฏหมุดสีแดงกลำง
ภำพแผนที่ สำมำรถเลื่อนหมุดสีแดงไปยังตำแหน่งที่ต้องกำรได้ จำกน้ันกดท่ีปุ่ม “Get URL” เลือกลิงค์ท่ี
ปรำกฏในช่องแลว้ ทำกำร Copy Link แล้วกด “ตกลง” เพอื่ นำไปสง่ ต่อใหผ้ อู้ น่ื ตำมชอ่ งทำงต่ำง ๆ

๓๔

๕.๒.๙ เคร่ืองมือระบุตาแหน่งปัจจุบันของผู้ใช้งาน กดปุ่ม “Locate Me” เม่ือต้องกำรแสดงตำแหน่ง
ของผู้ใช้งำน โดยสัญลักษณ์แสดงตำแหน่งปัจจุบันสีฟ้ำ จะแสดงกลำงแผนที่ (ควำมแม่นยำทำงตำแหน่งข้ึนอยู่กับ
กำรรบั สัญญำณของโทรศพั ทผ์ ู้ใช)้

๕.๒.๑๐ เคร่ืองมือพิมพ์ภาพ สำหรับพิมพ์ภำพหน้ำจอ โดยกดปุ่ม “Print” สำมำรถส่ังพิมพ์ภำพหน้ำจอ
ไดท้ ้ังแนวตงั้ และแนวนอน

๓๕

๕.๒.๑๑ เคร่ืองมือวาดบนแผนที่ สำมำรถวำดสัญลักษณ์ต่ำง ๆ ลงบนหน้ำแผนท่ี พร้อมกับแก้ไข
และลบสัญลักษณ์

เครื่องมอื ปักหมุด ใช้เพ่ือแสดงตำแหน่งตำ่ ง ๆ
เครอื่ งมือวำดเส้น ใชแ้ สดงแนวเขต
เครอ่ื งมอื วำดพืน้ ที่สเี่ หล่ยี ม ใชเ้ พื่อแสดงพ้ืนทรี่ ูปสี่เหลีย่ มเทำ่ นน้ั
เครอ่ื งมอื วำดพืน้ ท่ี ใช้เพ่ือแสดงพน้ื ท่รี ปู หลำยเหล่ียม
เครื่องมือแกไ้ ข ใชส้ ำหรบั แก้ไขรปู ทรงตำ่ ง ๆ
เครื่องมือลบ

๕.๒.๑๒ เครอ่ื งมือค้นหาสถานท่สี าคญั หรอื คา่ พกิ ัดละติจูด/ลองจิจดู
ค้นหำจำกค่ำพิกัดละติจูด/ลองจิจูด โดยกำรป้อนค่ำพิกัดที่ทรำบค่ำ จำกน้ันกดปุ่ม Enter

ทค่ี ยี ์บอร์ด จะแสดงตำแหน่งหมดุ ทีท่ ำกำรคน้ หำบนหนำ้ แผนที่

ตัวอยำ่ ง “13.91678 100.53875”

๓๖

หรือสำมำรถคน้ หำสถำนท่สี ำคญั โดยกำรปอ้ นชื่อที่ต้องกำร จะมสี ถำนที่แนะนำปรำกฏขน้ึ มำ
จำกนั้นเลือกสถำนที่ทตี่ ้องกำร จะแสดงตำแหน่งหมดุ ที่ทำกำรคน้ หำบนหน้ำแผนท่ี

๓๗

๕.๒.๑๓ เคร่ืองมือวัดระยะทาง กดปุ่มวัดระยะทำง แล้วกดเลือกจุดแรกเป็นตำแหน่งเร่ิมต้นที่ต้องกำรวัด
จำกนั้นกดจุดที่สองไปยังจุดที่ต้องกำร หน้ำจอจะปรำกฏเส้นพร้อมระยะทำง หำกต้องกำรยกเลิกให้กดปุ่มวัด
ระยะทำงอีกคร้ัง

๓๘

บรรณานุกรม

บทที่ ๒ ทีด่ นิ ของรัฐ

กฏกระทรวงฉบบั ที่ ๖๒๓ (พ.ศ. ๒๕๖๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติปา่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. สืบคน้ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก
http://forestinfo.forest.go.th/55/UploadFiles/FNationalForest/0623_21_12_2516.pdf

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สานักอุทยานแห่งชาติ. แผนท่ีแสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่.
สืบคน้ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก http://portal.dnp.go.th/Content/nationalpark?contentId=640

กลุ่มสารวจเพ่ือทาแผนที่ สานักงานพัฒนาท่ีดินเขต 2 กรมพัฒนาท่ีดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
แผนท่ีแนวเขตป่าไม้ถาวรจังหวดั ระยอง. สบื ค้น ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก
http://r02.ldd.go.th/AuditService.php

วิทยาลยั การสาธารณสุขสิรนิ ธร จงั หวัดตรัง สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข. รบั เอกสาร
รายการทดี่ ินขึน้ ทะเบียนทรี่ าชพสั ดฯุ . สืบค้น ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก
http://www.scphtrang.ac.th/main/node/3108

ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร สานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม. แผนที่แสดงแผนการ
พัฒนาพ้ืนที่ชลประทานในเขตปฏิรูปท่ีดิน จังหวัดนครราชสีมา. สืบค้น ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก
https://alro.go.th/uploads/org/it/download/article/article_20200331154204.jpg

กรมพัฒนาสังคมและสวัสดกิ าร กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความม่ันคงของมนุษย์. ขอ้ มลู นคิ มสรา้ งตนเอง
ภาคกลาง/ภาคตะวันออก (หน้า๒๑). สืบคน้ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก
http://www.library.dsdw.go.th/e-book/book/21/pdf/21.pdf

พระราชกฤษฎีกา จัดต้ังนิคมสหกรณ์ ในท้องที่อาเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี พ.ศ. ๒๕๔๐. สืบค้น ๒๕
พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2540/A/009/15.PDF

Amt Capital. ท่สี าธารณประโยชน์. สบื ค้น ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก https://www.amtcapital.co.th/
ที่สาธารณประโยชน์/

คลังความรู้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง. การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน.
สบื ค้น ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก https://km.dmcr.go.th/c_11/d_719

๓๙

บรรณานกุ รม (ต่อ)

บทที่ ๓ ระบบพิกัด (Coordinate system)
สานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์กรมหาชน). (๒๕๕๘). เอกสารประกอบการเรียน
การสอนเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ระดับมัธยมศึกษาปีท่ี ๔-๖. (พิมพ์คร้ังท่ี ๓). กรุงเทพฯ:
หา้ งหนุ้ ส่วนจากัด อดุ มศึกษา
รัศมี สุวรรณวีระกาธร. (๒๕๕๘). ระบบพิกดั และการอา่ นแผนที่ภูมปิ ระเทศ. สบื คน้ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕.
จาก https://negistda.kku.ac.th/activity/2015/tn20150504/Lab01.pdf

บทท่ี ๔ GNSS
ทบทอง ช้นั เจรญิ . บทที่ 7 ระบบกาหนดตาแหนง่ บนโลก. สืบคน้ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕. จาก
http://www.tobthong.rbru.ac.th/wp-content/uploads/2021/07/GI_07_GNSS.pdf

๔๐

คณะผจู้ ดั ทา

องค์ความรู้ : ระบบระบุตำแหนง่ สำหรบั ตรวจสอบแนวเขตที่ดินของรัฐจำกขอ้ มลู หนว่ ยงำนใน กมร.
เพอ่ื กำรรังวัดของกรมทดี่ นิ (LANDS STATE)

ท่ีปรกึ ษา : ๑. นำยนิสิต จนั ทร์สมวงศ์ อธิบดกี รมทีด่ ิน
๒. นำงพนิตำวดี ปรำชญน์ คร รองอธิบดีกรมที่ดิน
ผูบ้ รหิ ำรดำ้ นกำรจัดกำรควำมรขู้ อง
๓. นำยวรำพงษ์ เกยี รตนิ ยิ มรุ่ง กรมท่ดี ิน (CKO)
๔. นำยวุฒิพงษ์ เครอื รตั น์ ทปี่ รึกษำด้ำนวศิ วกรรมสำรวจ
๕. นำงสพุ ินดำ นำคบวั ผอู้ ำนวยกำรศูนย์ข้อมูลแผนที่รปู แปลงท่ีดนิ
ผ้อู ำนวยกำรกองฝกึ อบรม

คณะทางาน : ศนู ยข์ อ้ มูลแผนที่รูปแปลงท่ีดนิ

๑. นำยพทิ ักษ์ รุ่งเชตุ นกั วชิ ำกำรแผนที่ภำพถ่ำยชำนำญกำรพิเศษ
นักวิชำกำรแผนทภี่ ำพถ่ำยชำนำญกำร
๒. นำยทวศี ักด์ิ ทะไชย นกั วชิ ำกำรแผนทภ่ี ำพถำ่ ยปฏิบัตกิ ำร
นักวชิ ำกำรแผนที่ภำพถำ่ ยปฏิบัตกิ ำร
๓. นำยอธิวชั ร สังข์จันทรำพร วศิ วกรรังวดั ปฏิบัตกิ ำร
วิศวกรรงั วดั ปฏบิ ัตกิ ำร
๔. นำยวรุฒ ทับแสง วิศวกรรงั วดั ปฏิบัตกิ ำร
วิศวกรรังวดั ปฏิบัตกิ ำร
๕. นำยชำนน เซียสกลุ วศิ วกรรังวดั ปฏิบตั กิ ำร

๖. นางสาวปยิ ะรัตน์ บบุ ผา

๗. นำยเอกสทิ ธ์ิ เซียงคำ

๘. นำงสำวสริ ิดล สมทรัพย์

๙. นำยภัทรศกั ดิ์ โจมศรี

: กองฝึกอบรม

๑. นำงวรำภรณ์ แก้วแฝก หัวหน้ำกลุ่มงำนส่งเสริมและพัฒนำกำรเรยี นรู้
นักทรัพยำกรบุคคลชำนำญกำร
๒. นำงปำรดำ พรหมประสิทธิ์ นักทรัพยำกรบุคคลชำนำญกำร

๓. นำงสำวกันยำรัตน์ กรวิทยโยธนิ


Click to View FlipBook Version