The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ชไมพร โคตรุขัน, 2024-02-09 00:58:45

บทความวิจัยนางสาวชไมพร โคตรุขัน-103-ทัศนศิลป์

บทความวิจัย

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์รายวิชาทัศนศิลป์ ในการวาดภาพระบายสี โดยใช้ การจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่๒ Comparison of achievement in visual arts courses In drawing and painting using Davies' Practical Skills Learning Management For Mathayom 2 students นางสาวชไมพร โคตรุขัน1 CHAMAIPHON KHOTRUKHAN บทคัดย่อ งานวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ ๑.) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์รายวิชาทัศนศิลป์ ในการวาดภาพระบายสีโดยใช้การจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๒ ก่อนเรียนและหลังเรียน ๒.) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการวาด ภาพระบายสีวิชาทัศนศิลป์เรื่อง สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๒ หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ๘๐ ๓.) เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์วิชาทัศนศิลป์เรื่องสร้างสรรค์ งานทัศนศิลป์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่๒ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชาย – หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/๑๕ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคายเขต ๒๑ จำนวน ๒๙ คน จากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) 1 นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ มมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี; Master Student of Program in Visual Arts, Faculty of Education, Udon Thani Rajabhat University, Thailand


๒ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบไปด้วย ๑.) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์การวาดภาพระบายสีโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดย รูปแบบการเรียนทักษะปฏิบัติของเดวีส์จำนวน ๔ แผน แผนละ ๓ ชั่วโมง สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง รวม ๑๒ ชั่วโมง ๒.) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน เรื่อง การวาดภาพระบายสี ทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน ๓.) แบบประเมินทักษะ เรื่อง การวาดภาพระบายสี เป็น แบบมาตราส่วน ประเมินค่า ๓ ระดับ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric Score) ๔.) แบบ วัดความพึงพอใจ เรื่อง การวาดภาพระบายสีเป็นแบบมาตราส่วน ประเมินค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) ๕ ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การ เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน ระหว่างเรียนและหลังเรียนโดยใช้ ค่าเฉลี่ย () ⃑⃑⃑⃑⃑⃑ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การหาคุณภาพของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) การเปรียบเทียบคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยเปรียบเทียบร้อยละโดยการทดสอบค่า ที(t-test) ผลการวิจัยพบว่า ๑.) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา ทัศนศิลป์เรื่อง สร้างสรรค์ ผลงานทัศนศิลป์ในการวาดภาพระบายสี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยการใช้รูปแบบการสอน ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ มีค่าเฉลี่ย ๑๒.๘๖ คะแนนและ ๑๗.๕๕ คะแนนตามลำดับ และ เปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๒.) การเปรียบเทียบ ความสามารถในการวาดภาพระบายสีโดยการใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๑๗.๕๕ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๗๕ และเทียบ ระหว่างเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียน พบว่า คะแนนสอบหลัง เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๓.) การศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิชา ทัศนศิลป์ เรื่อง สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ในการวาดภาพระบายสี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยรวมอยู่ในระดับ มาก คำสำคัญ: ผลสัมฤทธิ์รายวิชาทัศนศิลป์, วาดภาพระบายสี, ทักษะปฎิบัติของเดวีส์


๓ ABSTRACT The purposes of this research are: ๑.) To compare achievement in the visual arts subject. in drawing and painting using Davies' practical skills learning management For Mathayom ๒ students before school and after school ๒.) To compare their ability in drawing and painting. Visual arts subject: Creating visual arts For Mathayom ๒ students after studying compared to the ๘ ๐ percent criterion. ๓.) To study satisfaction with learning management using Davies' practical skills teaching model. Visual Arts About creative visual arts For Mathayom ๒ students Target group used in this study They are male and female students who are currently studying. Mathayom ๒/๑๕, Semester ๒, Academic Year ๒๐๒๓, Pathumthep Wittayakarn School, Mueang District, Nong Khai Province Under the jurisdiction of the Nong Khai Secondary Educational Service Area Office ๒๑, a total of ๒๙ people were selected from cluster random sampling. The tools used in this research consisted of: ๑.) a learning management plan for the visual arts subject on creating results Visual arts, drawing, painting Using learning management using Davies' practical skills learning model, ๔ plans, ๓ hours per plan, ๒ times a week, total ๑๒ hours. ๒.) Learning achievement test on drawing and painting, tested before class and after. Study ๓ . ) Skill assessment form on drawing and painting. It is a scale, evaluating ๓ levels using the evaluation criteria (Rubric Score). ๔.) Satisfaction measure regarding drawing and painting. It is a rating scale based on the Likert method with ๕ levels The statistic used in data analysis is a comparison of academic achievement scores before studying. During study and After studying using the


๔ mean ( ) and standard deviation (SD) to determine the quality of the academic achievement test. Using the Index of Conformity (IOC), comparing pre- and post-study academic achievement scores. By comparing percentages by t-test. The results of the research found that: ๑.) Academic achievement in the visual arts subject: creating visual art works in drawing and painting. Grade ๒ using Davies' practical skills teaching model had an average of ๑๒.๘๖ points and ๑๗.๕๕ points, respectively. And comparing scores before studying and after studying, it was found that students' academic achievement after studying was higher than before studying at a statistical significance of .๐๕. ๒.) Comparison of ability in drawing and painting. By using Davies' practical skills teaching model. Mathayom ๒ students had an average of ๑๗.๕๕ points, accounting for ๘๗.๗๕ percent, and comparing the criteria with the students' post-test scores, it was found that the Matthayom ๒ students' post-test scores were higher than the criteria. Statistically significant at the .๐๕ level. ๓.) Study of satisfaction with the use of learning activity sets in the subject Visual Arts, topic: Creating visual arts in drawing and painting. for students Mathayom ๒ Overall it is at a high level. KEYWORDS: Achievement in visual arts, drawing and painting, Davies' practical skills ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษาในยุคปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาทักษะและ ความสามารถ ของมนุษย์ความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในทางการคิด การแก้ปัญหาของสังคมและ วัฒนธรรม กล่าวคือ ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อวิถีการดำรงชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน


๕ (ประเวศ วะสี. ๒๕๔๔) โลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ละประเทศจึงต้อง เตรียมตัวในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ก้าว ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมยุคใหม่ที่คาดว่าจะเป็นสังคมแห่ง การเรียนรู้การศึกษาจะเข้ามามีบทบาทในการ เตรียมความพร้อม และสร้างความเข้มแข็งทางปัญญา จึงพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิต ของประชาชนประเทศไทยได้ปฏิรูปการศึกษาให้สอดคล้อง กับพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ ที่ได้กำหนดแนวการจัดการศึกษาที่ยึด ผู้เรียนเป็นสำคัญ (มาตรา ๒๒) เน้นความสำคัญที่ความรู้คุณภาพ กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการ ตาม ความเหมาะสม (มาตรา ๒๓) ทั้งนี้ได้กำหนดให้สถานศึกษาดำเนินการจัดกระบวนการ เรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงการฝึกปฏิบัติ ให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น และ แก้ปัญหาได้ โดยครู จะต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมที่ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างสมดุลสอดคล้องกับ ความสนใจความถนัดและ ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ครูจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอน (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๖) ในการจัดการเรียนรู้ซึ่งเน้นผู้เรียนเป็น สำคัญจะพัฒนาความฉลาดทางสติปัญญา และอารมณ์ เห็นคุณค่าของตนเองเพื่อการ แสดงออกอย่าง อิสระเพิ่มการมีส่วนร่วมในการ ปฏิบัติจริงเพิ่มโครงงานตามศักยภาพเพื่อให้ผู้เรียนมีความสุขมีเสรีภาพ ในการเรียนและ แสวงหาความรู้ได้ตามความต้องการ ( หลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๔๔ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ : ๑๒๙ ) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุก คนซึ่งเป็น กำลังของชาติให้เป็นมนุษย์มีความสมดุล ทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มี จิตสำนึกในความเป็น พลเมืองไทยและเป็นพลเมืองโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจต คติที่จำเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพ ต่อการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียน เป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถ เรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม ศักยภาพ การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียน มีความรู้ความสามารถ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ และคุณลักษะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรโดยขีดผู้เรียนเป็น สำคัญเชื่อว่าทุก คนมีความสามารถเรียนรู้ ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามธรรมชาติเต็มตามศักยภาพคำนำ


๖ ๒ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง เน้นความสำคัญทั้งความรู้คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการ สร้าง ความรู้ กระบวนการเรียนทางสังคม กระบวนการเรียนรู้ จากประสบการจริง กระบวนการปฏิบัติลงมือทำจริง กระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง กระบวนการพัฒนา ลักษณะนิสัย (กระทรวงศึกษาธิการ,๒๕๕๒: ๒๐๔) กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์มี จินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อ คุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนการ นำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่น ในตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อ หรือประกอบอาชีพได้ ( กรมวิซาการ. ๒๕๕๑ ) การเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความ เข้าใจการคิดที่เป็นเหตุเป็นผลถึง วิธีการทางศิลปะความเป็นมาของรูปแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นและ รากฐานทางวัฒนธรรม ค้นหาว่าผลงานศิลปะสื่อความหมายกับตนเอง ค้นหาศักยภาพความสนใจ ส่วนตัวฝึกการ รับรู้การสังเกตที่ละเอียดอ่อน อันนำไปสู่ความรักเห็นคุณค่าและเกิดความซาบซึ้งใน คุณค่า ของศิลปะ และสิ่งรอบตัวพัฒนาเจตคติ สมาธิ รสนิยมส่วนตัว มีทักษะกระบวนการวิธีการ แสดงออก การคิดสร้างสรรค์ส่งเสริมให้ผู้เรียนตระหนักถึงบทบาทของศิลปกรรมในสังคม (กรม วิชาการ, ๒๕๔๕) การวาดเส้นเป็นวิธีการสร้างภาพโดยวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว เพื่อสื่อความหมาย ทางการเห็นขั้น เริ่มแรกของมนุษย์ด้วยปัจจัยขั้นพื้นฐาน คือ ร่องรอยต่างๆ และเครื่องมือ ง่าย ๆ ที่อยู่ใกล้ตัว เช่น ถ่าน เศษไม้ หรือแม้แต่นิ้วมือของตนเอง ซึ่งมนุษย์ต้องการ แสดงออกในบางอย่างที่เป็นส่วนตน ออกมาให้ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อ ความ นึกคิด อารมณ์ความรู้สึก หรือแม้แต่ร่องรอย ง่ายๆ ที่ทำขึ้นมาเอง วาดเส้นเป็นพื้นฐานของ งานทัศนศิลป์และออกแบบ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สถาปัตยกรรม ออกแบบตกแต่ง ศิลปะไทย ลายรดน้ำ เป็นต้น ก่อนที่เราจะสร้างสรรค์งานศิลปะแขนง ต่างๆ ดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นจำเป็นจะต้องมีความชำนาญทางการวาดเส้นให้แม่นยำ เสียก่อน เมื่อมีความชำนาญการวาดเส้นแล้วก็จะทำให้การทำงาน ศิลปะต่างๆ ง่ายขึ้น


๗ การระบายสี เป็นการวาดภาพโดยการใช้พู่กัน หรือแปรง หรือวัสดุอย่างอื่น มา ระบายให้เกิด เป็นภาพ การระบายสี ต้องใช้ทักษะการควบคุมสีและเครื่องมือมากกว่าการ วาดเส้น ผลงานการ ระบายสีจะสวยงาม เหมือนจริง และสมบูรณ์แบบมากกว่าการวาดเส้น การวาดภาพสีน้ำ (Water Color) เป็นสีที่ใช้ได้ทั้งนักศึกษาและศิลปิน มีคุณสมบัติโปร่งแสง ต้องระบายลงบนพื้นกระดาษขาว เท่านั้น เนื่องจากเป็นสีที่แห้งเร็ว ผู้เขียนจะต้องมีความ ชำนาญภาพที่สำเร็จจึงจะสวยงาม ปัจจุบันมี ศิลปินที่เขียนเฉพาะสีน้ำประสบผลสำเร็จ มากมาย การวาดภาพด้วยสีโปสเตอร์ (Poster Color) เป็น สีชนิดสีฝุ่น (Tempera) ที่ผสม กาวน้ำบรรจุเสร็จเป็นขวด การใช้งานเหมือน กับสีน้ำ คือใช้น้ำเป็นตัว ผสมให้เจือจาง สี โปสเตอร์เป็นสีทึบแสง มีเนื้อสีข้น สามารถระบายให้มีเนื้อเรียบได้ และผสมสีขาว ให้มี น้ำหนักอ่อนลงได้เหมือนกับสีน้ำมัน หรือสีอะคริลิค สามารถระบายสีทับกันได้ มักใช้ในการ วาด ภาพประกอบเรื่องในงานออกแบบต่าง ๆ ได้สะดวก ในขวดสีโปสเตอร์มีส่วนผสมของ กลีเซอรีน จะ ทำให้แห้งเร็ว การวาดภาพชีชอล์ก (Paste) เป็นสีฝุ่นผงละเอียดบริสุทธิ์นำมา อัดเป็นแท่ง มีการผสม ขี้ผึ้งหรือกาวยางไม้เข้าไปด้วยแล้วอัดเป็นแท่งในลักษณะของดินสอสี แต่มีเนื้อละเอียดกว่าแท่งใหญ่กว่า และมีราคาแพงกว่ามาก มักใช้ในการวาดภาพคนเหมือน และภาพหุ่นนิ่ง สีชอล์กแบบนุ่ม (soft Pastel) นิยมใช้เขียนภาพคนเหมือนหรือภาพคนครึ่ง ตัวและภาพคนเต็มตัว และสีชอล์กน้ำมัน (Oil Paste) นิยมใช้เขียนภาพที่ไม่ต้องการแสดง รายลเอียดเหมือนจริงมาก เช่น ใช้เขียนภาพทิวทัศน์ ความคิดสร้างสรรค์สามารถพัฒนาได้ด้วยการสอน การฝึกฝน หากเด็กได้รับการ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่เยาว์วัย และบรรดาความคิดทั้งหลายความคิดสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อการดำ เนินชีวิตของมนุษย์มาก การเรียนการสอนจึงควรจัดกิจกรรม ส่งเสริมและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นความต้องการสูงสุดและมีค่ามาก การเรียน การสอนแบบความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นรากฐานของกระบวนการคิดทั้งหมดTorrance (1962 อ้างอิงมาจาก อารีพันธ์มณี,2537) ผุสดีกุฏอินทร์( 2533) กล่าวว่ามีรูปแบบการ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์หลายรูปแบบ ได้แก่ การระดมความคิดทั้งนี้กิจกรรมที่พัฒนา ความคิดสร้างสรรค์สามารถจัดได้ทุกวิชาหรือทุกมวลประสบการณ์ที่โรงเรียนจัดให้แก่เด็ก ได้แก่กิจกรรด้านศิลปะการวาดภาพ ระบายสีซึ่งผู้วิจัยจึงต้องการที่จะพัฒนากิจกรรมการ


๘ เรียนรู้ทัศนศิลป์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และสนใจที่จะนำรูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เนื่องจาก เป็นเทคนิคหนึ่งในการฝึกฝนทักษะการคิด ที่คิดขึ้นโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) มีขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญ คือ การสร้างความตระหนักเพื่อกระตุ้น และเร้าความสนใจของผู้เรียนเข้าสู่เรื่องที่จะเรียนรู้การระดมพลังความคิด เพื่อเป็นการดึง ศักยภาพของผู้เรียนให้ค้นหาคำ ตอบหรือคิดออกแบบและสร้างสรรค์ชิ้นงานด้วยตนเอง การนำ เสนอและวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็น การวัดประเมินผลและเผยแพร่ผลงาน จากการสร้างสรรค์(สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2550) เหมาะสมที่จะทำ ให้ผู้เรียน มีพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์เพิ่มขึ้นและทำ ให้ผลการเรียนรู้ในกลุ่ม สาระการเรียนรู้ทัศนศิลป์ของนักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์ของการเรียนการสอนและ เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จากข้อมูลดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการ สอนทักษะ ปฏิบัติของเดวีส์ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์รายวิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การวาดภาพระบายสี สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ เพื่อต้องการศึกษาผลการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการ สอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการเรียนกิจกรรมการ เรียนรู้ของผู้วิจัยและเป็นแนวทางในการ นำไปพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) ต่อไปเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่าง ยั่งยืน วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์รายวิชาทัศนศิลป์ ในการวาดภาพระบายสีโดยใช้ การจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ก่อนเรียน และหลังเรียน ๒. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการวาดภาพระบายสีวิชาทัศนศิลป์เรื่อง สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อย ละ๘๐


๙ ๓. เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการ สอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์วิชาทัศนศิลป์เรื่องสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่๒ สมมุติฐานของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดสมมติฐานของการวิจัยดังนี้ ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาทัศนศิลป์ เรื่องวาดภาพระบายสีสำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ๒. ความสามารถในการวาดภาพระบายสี วิชาทัศนศิลป์ เรื่องสร้างสรรค์งาน ทัศนศิลป์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ๘๐ ขอบเขตของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ ๑. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชาย–หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอ เมือง จังหวัดหนองคาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคายเขต ๒๑ จำนวน ๑๙ ห้อง มีนักเรียนทั้งหมด ๖๕๓ คน ๒. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชาย – หญิง ที่กำลังศึกษา อยู่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/๑๕ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนปทุมเทพวิทยา คาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา หนองคายเขต ๒๑ จำนวน ๒๙ คน จากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) ๓. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือ รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์


๑๐ ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์รายวิชาทัศนศิลป์ในการวาดภาพระบายสี ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่๒ วิธีดำเนินการวิจัย ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชาย–หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอ เมือง จังหวัดหนองคาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคายเขต ๒๑ จำนวน ๑๘ ห้อง มีนักเรียนทั้งหมด ๖๕๓ คน กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชาย – หญิง ที่กำลังศึกษา อยู่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/๑๕ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนปทุมเทพวิทยา คาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา หนองคายเขต ๒๑ จำนวน ๒๙ คน จากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบไปด้วย แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาทัศนศิลป์ใน การวาดภาพระบายสีเรื่อง สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบ การเรียนทักษะปฏิบัติของเดวีส์แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์เรื่อง สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์แบบประเมินทักษะ เรื่อง การวาดภาพระบายสีและแบบวัดความ พึงพอใจ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ๑.๑ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาทัศนศิลป์เรื่อง การวาดภาพระบาย สีโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการเรียนทักษะปฏิบัติของเดวีส์จำนวน ๔ แผน เรื่อง สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ แผนละ ๓ ชั่วโมง สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง รวม ๑๒ ชั่วโมง ๑.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน เรื่อง การวาดภาพระบายสี ทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน แบบปรนัย จำนวน ๒๐ ข้อ


๑๑ ๑.๓ แบบประเมินทักษะ เรื่อง การวาดภาพระบายสี เป็นแบบมาตรา ส่วน ประเมินค่า ๔ ระดับ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric Score) จำนวน ๑ ฉบับ ๑.๔ แบบวัดความพึงพอใจ เรื่อง การวาดภาพระบายสีเป็นแบบมาตรา ส่วน ประเมินค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) ๕ ระดับ การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ ๑. ก่อนการทดลองให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ทัศนศิลป์เรื่อง สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ๒. ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น โดย ให้นักเรียน เรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์จำนวน ๔ แผน แผนละ ๓ ชั่วโมง สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง รวม ๑๒ ชั่วโมง ๓. เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ทัศนศิลป์ชุดเดิมไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้ โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ตามขั้นตอนดังนี้ ๑. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยการ หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ ๒. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ระหว่าง ก่อน เรียนและหลังเรียนโดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample)


๑๒ ตารางที่ ๒ แสดงคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบแบบไม่ อิสระและระดับนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์วิชาทัศนศิลป์ เรื่องการสร้างสรรค์ ผลงานทัศนศิลป์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ (N = ๒๙) จากตารางที่ ๒ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ห้อง ๒/๑๕ โรงเรียน ปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงาน วาดภาพระบายสีมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๑๒.๘๖ คะแนนและ ๑๗.๕๕ คะแนน ตามลำดับ และ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ สรุปผลการวิจัย จากผลการวิจัยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์รายวิชาทัศนศิลป์ ในการวาดภาพ ระบายสีโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัยนำเสนอ การสรุปผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา ทัศนศิลป์เรื่อง สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ใน การวาดภาพระบายสี ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยการใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเด วีส์ มีค่าเฉลี่ย ๑๒.๘๖ คะแนนและ ๑๗.๕๕ คะแนนตามลำดับ และเปรียบเทียบระหว่าง คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ S.D. `d S.D.d 12.86 2.20 17.55 1.43 0.0000 t * การทดสอบ ก่อนเรยีน หลงัเรยีน 4.69 1.75 14.39 X Sig.(2-tailed)


๑๓ ๒. การเปรียบเทียบความสามารถในการวาดภาพระบายสีโดยการใช้รูปแบบการ สอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๑๗.๕๕ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๗๖ และเทียบ ระหว่างเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของ นักเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ สูงกว่าเกณฑ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ การอภิปรายผล ผลการศึกษาการใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์วิชา ทัศนศิลป์ เรื่อง การวาดภาพระบายสี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มีประเด็นในการนำมา อภิปรายผลตามลำดับ ดังนี้ ๕.๔.๑ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน ทักษะปฏิบัติของเดวีส์วิชาทัศนศิลป์เรื่อง การวาดภาพระบายสีมีคะแนนทดสอบก่อน เรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๑๒.๘๖ คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๓๑ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๒.๒๐ และได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เท่ากับ ๑๗.๕๕ คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๗๖ โดยมีส่วนเบียงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๑.๔๓ และ เปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นหลัง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เนื่องจากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์เป็นวิธีการสอนที่ มีการฝึกทักษะปฏิบัติทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และจดจำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ เป็นวิธี สอนที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้แบบทักษะปฏิบัติขึ้นจากการที่ผู้เรียน ได้มี กระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม และมีการเรียนรู้ร่วมกันกับบุคคลอื่น อีกทั้งการฝึกทักษะ ปฏิบัติยังช่วยให้เกิดการคิดวิเคราะห์และช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนทำให้ ประสิทธิภาพในการเรียนการปฏิบัติในการวาดภาพระบายสีและสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ ด้วยเทคนิคต่างๆขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการใช้กระบวนการทางการเรียนที่สามารถสร้างความรู้


๑๔ ความคิด ที่มีประสิทธิภาพ ย่อมส่งเสริมความเข้าใจ และเป็นพื้นฐานในการคิดวิเคราะห์ใน ระดับสูงต่อไป ซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติ ของเดวีส์เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาทัศนศิลป์ เรื่องสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ในการวาดภาพระบายสีเนื่องจาก ขั้นตอนในการ สร้างสรรค์ผลงาน เทคนิคการวาดภาพสีน้ำ เทคนิคการวาดภาพด้วยออยล์พาสเทล และ เทคนิคการวาดภาพด้วยสีไม้เป็นเนื้อหาที่สำคัญและมีคุณค่าที่ผู้เรียนจะต้องศึกษา ด้วย ความที่เนื้อหาของแต่ละเรื่องมีความใกล้เคียงและสืบเนื่องต่อกัน การที่มีกระบวนการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ มาช่วยในการเรียน การสอนจึงส่งผลให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และปฏิบัติทักษะได้อย่างถูกต้อง และเห็นถึงคุณค่า ของเรื่องนั้นๆ ได้ง่ายขึ้น ๕.๔.๒ การเปรียบเทียบความสามารถในการวาดภาพระบายสีโดยการใช้รูปแบบ การสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๑๗.๕๕ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๗๕ และเทียบ ระหว่างเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของ นักเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ สูงกว่าเกณฑ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๕.๔.๓ ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ทักษะปฏิบัติของเดวีส์เรื่อง สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ในการวาดภาพระบายสีสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ พบว่า ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรม การเรียนรู้เรื่อง สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ในการวาดภาพระบายสีสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในแต่ละข้อคำถามอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องมาจาก ผู้วิจัยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่นันผู้เรียนเป็นสำคัญกล่าวคือให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง มี สื่อที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติได้จริง จึงทำให้ผู้เรียนเรียนมีความสนุกสนาน ไม่เกิด ความเบื่อหน่าย ซึ่งสอดคล้องกับปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์(๒๕๔๔ : ๙) ที่กล่าวว่า ความพึง พอใจใน การทำงานเป็นความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อการทำงานทางบวกเป็นความสุขของ


๑๕ บุคคลที่เกิดจากการปฏิบัติงานและได้ผลรับตอบแทน ทำให้เกิดความกระตือรือร้นมีความ มุ่งมั่นที่จะทำงาน ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้จากการวิจัยและ ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัย ดังนี้ ๑ ข้อเสนอแนะทั่วไป ๑.๑ ควรให้นักเรียนฝึกทักษะในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยการใช้เทคนิคสี ต่างๆอย่างสม่ำเสมอ ๑.๒ ควรให้นักเรียนฝึกวิเคราะห์เนื้อหาที่หลากหลายตามความสนใจและ สามารถนำผลการวิเคราะห์มาใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างหลากหลาย ๑.๓ ควรติดตามผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง จากการใช้รูปแบบ การสอนเพื่อให้ทราบประสิทธิภาพของรูปแบบการสอนและความสามารถของนักเรียน ๑.๔ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติ ของเดวีส์ควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับเวลา เนื่องจากในการจัดกิจกรรมการเรียนใน ๑ คาบ นักเรียนไม่สามารถทำกิจกรรมให้เสร็จทันตามเวลา ๒. ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป ๒.๑ ควรจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับนักเรียนระดับชั้นอื่น อย่างหลากหลาย เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในสาระการเรียนรู้และมีทักษะใน การคิดที่สร้างสรรค์ ๒.๒ ควรนำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนทักษะ ปฏิบัติของเดวีส์สอนในเนื้อหาอื่น นอกเหนือจากการเรียนเรื่องการวาดภาพสื่อความหมาย และเรื่องราว เช่น การเรียนศิลปะไทย การวิเคราะห์งานทัศนศิลป์ในงานโฆษณา หรือใน เนื้อหาที่เป็นการเน้นฝึกทักษะปฎิบัติเป็นต้น


๑๖ ๒.๓ ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์กับการสอนโดยวิธีอื่นๆ เช่น การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคอื่นๆ ว่ามี ความแตกต่างกันหรือสามารถมามาปรับใช้สอนด้วยกันได้หรือไม่อย่างไร


๑๗ เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๕๑). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. จันทนี บุญคลัง. (๒๕๔๒). การวาดภาพสื่อความหมาย. ปริญญานิพนธ์ศษ.ม. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ชัยยงค์พรมมวงศ์. (๒๕๕๔). ๘๐ ความหมายแบบฝึกทักษะ. สิ่งที่ต้องใช้ควบคู่กับการ เรียน. กรุงเทพฯ: แดเน็กซ์อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น ณัฐวรรณ ขนชัยภูมิ. (๒๕๔๖). การใช้สีน้ำและการใช้สีข้างต้น. ปริญญานิพนธ์ศึกษา ศาสตรมหาบัณฑิต (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ. ดุษฎี บริพัตร ณ อยุธยา. (๒๕๔๖). รักลูกให้ถูกทาง ตอนพ่อแม่สรรค์สร้างให้ลูก สร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: ประสานศิลป์. ทัศนีย์ ดีเลิศ. (๒๕๕๑). การเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์และความฉลาดทางอารมณ์ ในกิจกรรมศิลปะของเด็กปฐมวัยระหว่างการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการ ทำงานของสมองโดยใช้รูปแบบไตรสิกขากับการจัดการเรียนรู้รูปแบบกิจกรรม วาดภาพสื่อความหมายเพื่อการเรียนรู้. วิทยานิพนธ์ ค.ม. พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. ทินกร บัวพูล. (๒๕๕๒). ศิลปะกับการสร้างสรรค์และสื่อความหมาย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทัศนา แขมมณี. (๒๕๒๖).นวัตกรรมทางการศึกษา. สืบค้นเมื่อ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๔, จาก http://www.northeducation.ac.th/etraining/๓/itedu/chap๑/index๐๑_ ๓.Php. ทิศนา แขมมณี. (๒๕๕๐). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


๑๘ พัชรี เมฆสมุทร. (๒๕๒๗). การพัฒนาการเปรียบเทียบการวาดภาพสื่อความหมายใน จินตนาการให้ เกิดทักษะการเรียนรู้ ศิลปะในการวาดภาพ สิ่งแวดล้อมของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1 วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. เพียงจิต โรจน์ศุภรัตน์. (๒๕๓๑). การศึกษาเปรียบเทียบการวาดภาพเรื่องราวระหว่างเด็ก มัธยมศึกษาปี่ที่ ๒ ที่ทำกิจกรรมวาดรูปเป็นกลุ่มกับเป็นรายบุคคล. ปริญญา นิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย).กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนคริ นทรวิโรฒ. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (๒๕๓๖). เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ. วลิญา ปรีชากุล. (๒๕๕๐). การใช้กิจกรรมศิลปะวาดภาพ เพื่อสร้างเรื่องราว ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา. ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (จิตวิทยาการศึกษาและการ แนะแนว). เชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. Corner, J. (1997). Mentoring for Increased Performance: Foundations and Methods. Retrieved from http://www.cornerstoneconsult.com. Davis, Frederick B. (1981). Education aurement and their interpretation. California: Wadsworth. Dewey, J. (1897). How to cite this piece: ‘My pedagogic creed’. The School Journal, Volume ,IV(3). New York : Teachers Collage. Dewey, J. (1963). Experience and Education. New York : Collier. Luckman, C. (1996). Defining Experential Education. The Journal of Experential Education, 19(1), 6-8.


Click to View FlipBook Version