ทฤษฎี การสังเคราะห์ แสง
ไปศึกษาข้อมูลกันเลยค่ะ
การสังเคราะห์ด้วยแสง (Phytosynthesis) หมายถึง การที่พืชสีเขียวสร้างคาร์โบไฮเดรต จากน้ำ และ CO2 โดยใช้พลังงานจากแสง และโคโนฟิลด์เป็นตัวรับพลังงานจากแสงใน การเกิด H2O และ O2 ด้วย สมการการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
jean baptiste van helmont [1648]
สรุปได้ว่าน้ำ หนักที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจาก"น้ำ " jean baptiste van helmont [1648] ประมาณ ปี ค.ศ.1648 มีการพิมพ์ผล งานของ ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองก์ ( jean baptiste van helmont ) นักวิทยาศาสตร์ ชาวเบลเยียม การทดลอง เริ่มการทดลอง รดด้วยน้ำ ฝน 5 ปี หลังการทดลอง ต้นหลิวหนัก 169 ปอนด์ 3 ออนร์ ดินหนัก 199 ปอนด์ 14 ออนร์ ต้้นหลิวหนัก 5 ปอนด์ ดินหนัก 200 ปอนด์
Joseph Prisley [1772]
ปีค.ศ. 1772 โจเซฟ พริสต์ลีย์ (Josepth Prisley) Joseph Prisley [1772] ทำ การทดลอง -จุดเทียนไขในครอบแก้ว สักครู่เทียนไขดับ -ใส่หนูไว้ในครอบแก้ว สักครู่หนูตาย -จุดเทียนไขแล้วนำ มาวางไว้ในครอบแก้วที่หนูตายแล้ว เทียนไขดับเกือบทันที -นำ หนูไปใส่ในครอบแก้วที่เทียนไขดับแล้วหนูตายเกือบทันที ตั้งสมมติฐาน อากาศที่หนูใช้หายใจ กับอากาศที่ช่วยในการลุกไหม้ของเทียน เป็นชนิดเดียวกัน หรือ อากาศที่หนูหายใจออกมา กับอากาศที่เกิดจากการลุกไหม้ ของเทียนไขเป็นชนิดเดียว บังเอิญ Prisley นำ พืชสีเขียวไปใส่ไว้ในครอบแก้วเทียนไฟดับแล้ว -ทดลองแบ่งอากาศที่เกิดจากการลุกไหม้ของเทียนไขออกเป็น 2 ส่วน โจเซฟ พริสต์ลีย์ (Josepth Prisley)
Jan IIngen housz [1779]
Jan IIngen housz [1779] ประมาณปี ค.ศ.1779 นายแจน อินเกน ฮูซ บอกว่าการทดลองของ prisley จะเป็น จริงต่อเมื่อพืชได้รับแสง อากาศเสีย อากาศดี แสง พืชสีเขียว ขณะนั้นทางเคมีพบว่า…. “อากาศเสีย” = Co2 “อากาศดี” =O2 Co2 O2 พืชสีเขียว แสง ประมาณปีค.ศ.1789 นายแจน อินเกน ฮูซ ยังพบว่า CO2 ไว้ในรูปสารอินทรีย์ แจน อินเกน ฮูซ (Jan Ingen Housz)นาย แพทย์ชาวดัทซ์ได้ศึกษาและสรุปว่า พืชสีเขียว อากาศเสีย → อากาศดี
Nicolas Theodore de Seoussure [1804]
Nicolas Theodore de Seoussure [1804] • ในปี ค.ศ. 1804 นายนิโคลาส ธีโอเดอร์ เดอร์ซูโซร์ พบว่าน้ำ หนักของพืชที่เพิ่มขึ้นมาจาก "น้ำ " ต่อมาพบว่าสารอินทรีย์คือ "คาร์โบไฮเดรต" นั่นเอง!! นายนิโคลาส ธีโอเดอร์ เดอร์ซูโซร์
Van Neil [1930]
Van Nail ตั้งสมมุติฐานว่า “O2ที่เกิดมาจากH2O” การทดลองเพื่อสนับสนุนสมมุติฐาน Van Neil [1930] ในปี ค.ศ.1930 นายแวน นีล พบว่าแบคทีเรียบางชนิด สังเคราะห์ด้วยแสงโดยใช้ “ไฮโดรเจนซัลไฟด์์” แทน “น้ำ ” CO2 ไฮโดรเจนซัลไฟด์์ แบคทีเรีย น้ำ ซัลเฟอร์ สาหร่าย CO2 ก. ข. การทดลองสรุปได้ว่า!!! 6CO2 + 12H2O18 แสง พืชสีเขียว C6H12O6+6H2O+60218
Robin Hill [1932]
ก. เติมเกลือเฟอร์ริก คลอโรพลาสต์ + น้ำ + เกลือเฟอร์ริก ข. ไม่ได้เติมเกลือเฟอร์ริก Robin Hill [1932] ในปี ค.ศ.1932 โรบิน ฮิลล์ ได้ทำ การทดลองผ่านแสงเข้าไปในของผสมซึ่งมี เกลือเฟอร์ริกและคลอโรพลาสต์ที่สกัดออกมาจากพืชพวกผักโขม ปรากฏว่า เกลือเฟอร์ริกเปลี่ยนเป็นเกลือเฟอร์รัส และมีแก๊สออกซิเจนเกิดขึ้น แต่ถ้าใน ของผสมไม่มีเกลือเฟอร์ริก ก็จะไม่เกิดแก๊สออกซิเจน แสง เกลือเฟอร์รัส + แก๊สออกซิเจน คลอโรพลาสต์ + น้ำ แสง ไม่เกิดออกซิเจน จากการทดลองของฮิลล์สรุปได้ว่า เมื่อคลอโรพลาสต์ได้รับพลังงานจากแสงและมีสารรับ อิเล็กตรอนอยู่ด้วย น้ำ ก็จะแตกตัวให้ออกซิเจนได้โดยไม่ต้องมีคาร์บอนไดออกไซด์ เรียก "Hill's reaction" หรือ "Photolysis"
Danial Arnon [1951]
Danial Arnon [1951] ปีค.ศ. 1951 แดเนียล อาร์นอน และคณะได้ทำ การทดลองนำ คลอโรพลาสต์ จากผักโขมสกัดมาทำ การเติมสาร • แผนภาพการทดลองเมื่อให้แสงแต่ไม่ให้ co2 ก. เมื่อเติม ADP PI และ NADP+ ข. เมื่อเติมเฉพาะ ADP และ PI • แผนภาพการทดลองของอาร์นอนเมื่อให้แก๊สCo2 ATP NADPH + H+ แต่ไม่ให้แสง
ปฏิกิริยาใช้แสง ปฏิกิริยาไม่ใช้แสง
1.ปฏิกิริยาต้องใช้แสง ( Light reaction) 1.) ถ่ายทอดอิเล็กตรอนเป็นวัฏจักร (Cycle electron) 2.) ถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
2. ปฏิกิริยาที่ไม่ต้องใช้แสง (Dark reaction ) เกิด Stroma ของคลอโรพลาสต์โดย Co2 จะรวมตัวกับ NADPH + H+ และ ATP เกิดน้ำ ตาลขึ้น เป็นวัฏจักร เรียก วัฏจักรคัลเวิน • ปฏิกิริยาขั้นที่1 Carboxylation • ปฏิกิริยาขั้นที่2 Reduction
• ป ฏิ กิ ริ ย า ขั้ น ที่ 3 R e g e n e r a tio n
มาดูสรุปกันเลยครับบบ ทราบทฤษฎีกันแล้ว
3. อุณหภูมิ ถ้าค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น อัตราการสังเคราะห์แสงก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นช่วง 0 - 35 องศา อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 30 - 35 องศา ถ้าอุณหภูมิสูงเอนไซม์ก็จะถูกทำ ลาย 4. น้ำ พืชใช้น้ำ เพื่อให้เซลล์เปียกชื้น และกระตุ้นการทำ งานของเอนไซม์พืชในน้ำ 1% เท่านั้นในการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้ในปฏิกิริยา Hydrolysis 2. CO2 ถ้าค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นของ CO2 ขึ้น อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตาม ความเข้มของแสงน้อย ปานกลางและมาก ตามลำ ดับ แต่ถ้าเพิ่มความเข้มข้นของ CO2 ให้ มากขึ้นต่อไป อัตราการสังเคราะห์แสงก็จะไม่เพิ่ม สรุปกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสง ปัจจัยบางประการที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง 1.แสง 1.1 ) ปริมาณแสงที่พืชใช้ในการสังเคราะห์แสงประมาณ 0.5 - 3.5% เท่านั้น 1.2 ) คลื่นแสงที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง Absorption spectrum กับ Action spectrum มีรูปร่างคล้ายกันมากแสดงว่าแสงที่ จำ เป็นต่อการสังเคราะห์แสง คือแถบแสงที่พืชดูดเอาไว้ แสงสีเขียว เป็นแถบแสงที่ให้ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงน้อยที่สุด พืชจึงดูดไว้ น้อยที่สุด มันจะสะท้อนออกมา ทำ ให้เราเห็นใบไม้เป็นสีเขียว แสงสีม่วง น้ำ เงิน และแดง เป็นแถบแสงที่พืชดูดไว้มากที่สุด และรองลงมาตามลำ ดับ และพืชนำ ไปสังเคราะห์แสงได้มากที่สุด 1.3 ) ความเข้มของแสง
1.นายกันตพงศ์ ยอดเพชร เลขที่3 2.นางสาวจิรภิญญา ศักดาคำ เลขที่5 3.นายธนวัฒน์ จันทะกล เลขที่12 4.นายธัญญพัฒน์ วงศ์คำ จันทร์ เลขที่14 5.นางสาวพันธ์ทิพย์ บุปเก เลยที่25 6.นางสาวมนพัทธ์ ปุณวัฒนา เลขที่28 7.นายสรวิชญ์ นนท์สามารถ เลขที่35 สมาชิกกลุ่ม