The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by denpoom1457, 2022-10-26 04:09:45

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ภาษาไทย

จัดทำโดย
นายเด่นภูมิ ลิ่มไพบูลย์

ชั้นม.5/4 เลขที่5

ประวัติผู้แต่ง

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เกิดในช่วงปลายสมัยอยุธยา รับราชการ
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นหล
วงสรวิชิต ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระพุ ทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพิฒนโกษา ก่อนจะเลื่อนมาเป็น
เจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า ซึ่งนอกจากผลงาน
ด้านราชการแล้ว เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ยังมีผลงานด้านการ
ประพันธ์จำนวนมาก เช่น สามก๊ก (ฉบับแปล) ราชาธิราช บทมโหรี
เรื่องกากี อิเหนาคำฉันท์ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร
และกัณฑ์มัทรี ฯลฯ

ลักษณะคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี มีลักษณะคำประพันธ์เป็นแบบร่ายยาว โดยหนึ่งบทจะมี
กี่วรรคก็ได้ ส่วนใหญ่จะนิยมแต่ง ๕ วรรคขึ้นไป แต่ละวรรคมีจำนวนคำ ๖-๑๐ คำ และ

ใช้คำสร้อย เช่น นั้นแล แล้วแล ดังนี้ ฯลฯ ซึ่งคำสร้อยนี้จะมีก็ได้หรือไม่มีก็ได้
ฉันทลักษณ์ของร่ายยาว จะมีการบังคับเฉพาะคำสุดท้ายของวรรคก่อนหน้าจะสัมผัสกับ

คำที่ ๑ ถึงคำที่ ๕ ของวรรคถัดไปเช่น
“...จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้

เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว...”
จุดเด่นของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก คือ การมีคาถาบาลีขึ้นต้น เช่น
“...อิมาตา โปกฺขรณี รมฺมา เจ้าเคยมาประพาสสรงสนานในสระศรี โบกขรณีตำแหน่งนอกพระ
อาวาส นางเสด็จลีลาสไปเที่ยวเวียนรอบ จึ่งตรัสว่าน้ำเอ๋ยเคยเปี่ ยมขอบเป็นไร…”

การอ่านคำบาลีและร่ายยาว
การอ่านคำบาลี

อ่านเรียงพยางค์ไปทีละตัว
คำไหนที่ ‘ไม่มีสระ’ ให้อ่านเป็น ‘สระอะ’
นิคหิต( )ํ อ่านเป็นตัวสะกด ง แต่ถ้าไม่มีสระจะอ่านออกเสียง อัง เช่น
ยํ โกลาหลํ อ่านว่า ยัง-โก-ลา-หะ-ลัง
พินทุ (.) ซึ่งอยู่ใต้พยัญชนะ หากพยัญชนะตัวหน้ามีสระ จะนับเป็นตัว
สะกด เช่น ราชปุตฺตี อ่านว่า รา-ชะ-ปุด-ตี แต่หากพยัญชนะตัวหน้าไม่มี
สระจะใช้เป็นไม้หันอากาศ เช่น นีเจ โวลมฺพเก อ่านว่า นี-เจ-โว-ลัม-พะ-เก

การอ่านร่าย
จะมีการขึ้นเสียงสูงต่ำ และใส่ลีลาตามจังหวะเนื้อความ เช่น อ่านเร็ว
ขึ้น เมื่อเนื้อหาสื่อถึงอารมณ์โกรธ เป็นต้น (ถ้าเพื่อน ๆ อยากจะฟังวิธี
การอ่านร่ายยาวเพิ่มเติม ก็สามารถโหลดแอปพลิเคชัน StartDee มา

เรียนเรื่องนี้กันต่อได้เลย)

ความเป็ นมาของมหาเวสสันดรชาดก



ความหมายของคำว่า ‘ชาดก’ ชาดกเกิดจากการสร้างคำแบบบาลี
สันสกฤต โดยคำว่า ชาดก มาจาก ชาตะ แปลว่าเกิด และ ก (อ่านว่า
กะ) แปลว่า ผู้, หมวด ดังนั้น ชาดก จึงหมายถึง ผู้ที่เกิดมาแล้ว อย่าง
คำว่า ทศชาติชาดก ที่แปลว่า ผู้ที่เกิดมาแล้วสิบชาติ หรือพระพุทธเจ้า
นั่นเอง
ที่มาของ ‘มหาเวสสันดรชาดก’ มีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเสวยพระ
ชาติมาหลายชาติ ทั้งคนทั้งสัตว์เดรัจฉาน โดยแต่ละชาติพระองค์ได้
บำเพ็ญบารมีแตกต่างกันออกไป ซึ่งมหาเวสสันดรชาดกเป็นชาติสุดท้าย
ก่อนจะประสูติมาเป็ นพระพุทธเจ้าในชมพูทวีป(ชาติสุดท้ายก่อน
พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน) และมีการบำเพ็ญบารมีด้วยการให้
ทาน โดยบริจาคลูกและบริจาคเมียเป็นทาน (บุตรทารทาน) สำหรับที่มา
ที่ไปของมหาเวสสันดรชาดก เริ่มต้นขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เมือง
กบิลพัสดุ์ พร้อมกับพระอรหันต์สองรูป เพื่อจะไปเทศนาโปรดพระบิดา
และพระญาติ แต่พระญาติเกิดอัตตา ไม่ยอมไหว้พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงแสดงปาฏิหารย์ โดยการเหาะเหินเดินอากาศ ทำให้ฝุ่น
ใต้พระบาทาปลิวมาติดหัวพระญาติ และมีฝนโบกขรพรรษตกลงมาสู่
เบื้องล่าง ฝนโบกขรพรรษเป็นฝนที่มีสีแดงใสบริสุทธิ์ราวกกับทับทิม ถ้า
ต้องการเปียกฝนนั้น ฝนก็จะเปียกเนื้อตัวตามปกติ แต่ถ้าไม่ต้องการ
เปียกฝน เม็ดฝนนั้นก็จะระเหยหายไปทันที (ถ้ามีฝนแบบนี้ที่บ้านเรา
คงหายห่วงเรื่องภัยแล้ง น้ำท่วมแน่เลย แต่น่าเสียดายที่ฝนโบกขร
พรรษเป็ นฝนที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเท่านั้น)
เมื่อเกิดฝนโบกขรพรรษขึ้น พระอรหันต์ที่ตามพระพุทธเจ้าไปจึงถามว่า
ฝนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์จึงบอกว่า ฝนนี้เคยเกิดมาแล้วในครั้งที่
พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระพุทธเจ้าเลยถือโอกาส
นี้เล่าว่าพระองค์สามารถระลึกชาติได้ โดย 10 ชาติสุดท้ายหรือทศชาติ
ได้แก่ เตมีย์ชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก
มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทชาดก นารทชาดก วิทูรชาดก และ
เวสสันดรชาดก ซึ่งแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีในรูปแบบที่แตก
ต่างกันออกไป

ตัวละครในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

พระเวสสันดร พระเวสสันดรเป็นตัวละครหลักของร่าย
ยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็นพระโอรสของ พระเจ้ากรุงสัญ
ชัยและพระนางผุสดีแห่งเมืองสีพี พระเวสสันดรมักจะ
บริจาคทานด้วยวิธีต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก เช่น ยกเครื่อง
ประดับเงินทองแก้วเพชรของตนให้ผู้อื่น ต่อมาเมื่ออภิเษก
กับพระนางมัทรี และมีลูกชื่อพระกัณหา และพระชาลี
พระองค์ได้ตั้งโรงทานจำนวนมาก และบริจาคช้างปัจจัยนา
เคนทร์ซึ่งเป็ นช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองให้กับทูตของเมืองอื่ น
ที่มาขอช้างเชือกนี้ ทำให้ชาวเมืองไม่พอใจจึงเรียกร้องให้
พระเจ้ากรุงสัญชัยเนรเทศพระเวสสันดรออกจากเมือง
พระเวสสันดร พระนางมัทรีและลูก ๆ จึงต้องออกจาก
เมืองไปอยู่ในป่า ซึ่งพระเวสสันดรได้บำเพ็ญเพียรภาวนา
ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในอาศรม ส่วนพระนางมัทรีได้
ดูแลปรนนิบัติลูกและสามีที่อาศัยอยู่ในอาศรมแห่งนี้
พระนางมัทรี พระนางมัทรีเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์มัท
ราช อภิเษกสมรสกับพระเวสสันดร มีพระโอรสชื่อพระชาลี
และมีพระธิดาชื่อพระกัณฑ์หา ด้วยความภักดีต่อพระสวามี
นางจึงพาลูก ๆ ตามเสด็จพระเวสสันดรออกมาอยู่ในป่า
ด้วย ทั้งยังทำหน้ าที่ดูและปรนนิบัติรับใช้สามีและดูแลลูก
ทั้งสองตามหน้ าที่ของตน
พระชาลี พระชาลีเป็นพระราชโอรสของพระเวสสันดรกับ
พระนางมัทรี ซึ่งคำว่า ชาลี หมายถึง ตาข่าย มาจากตอนที่
พระชาลีประสูติ เหล่าพระประยูรญาติได้นำตาข่ายทองมาร
องรับพระชาลี
พระกัณหา พระกัณหาเป็นพระราชธิดาของพระเวสสันดร
กับพระนางมัทรี และเป็นพระกนิษฐา (น้ องสาว) ของพระ
ชาลี
ชูชก ชูชกเกิดในตระกูลพราหมณ์แต่กลับเที่ยวขอทานผู้
อื่นเพื่อเลี้ยงชีพ และมีนิสัยที่เรียกว่า บุรุษโทษ ๑๘
ประการ เช่น ความตระหนี่ ความโลภ ความฉลาดในกล
อุบายและเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เป็นต้น

ถอดคำประพันธ์ มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า พระกุมารทั้งสองฝันร้าย
ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอดเวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง พลางสังเกต
เห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผลไม้ขึ้นแทน
ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัว
ทุกหนแห่ง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของพระนางก็
เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่าซึ่ง
เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม แต่
ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้ นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้
คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุก
ทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์
หิมพานต์ทั้งสามเปิดทางให้ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็นภรรยาของพระ
เวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความบริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำ
แล้วลูกคงหิวนม โปรดเปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้ จาก
นั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรม
ด้วยแก้มที่อาบน้ำตา
เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะออกมาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม ส่วนชาลีจะขอกินผลไม้
พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม
หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้า
ชาลี นี่ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไป
ถามพระเวสสันดรว่าลูกหายไปไหน เหตุใดจึงปล่อยให้คลาดสายตา หากมีสัตว์ป่าจับไป
จะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่ตอบอะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า
ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวายพลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่
นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะนางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้สุขใจ
เพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับสิ้น

พระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธเคืองพระ
นางมัทรีนั้นยิ่งทำให้ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำยา
พิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็คิด
ว่าหากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความโศกให้พระนางได้ จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มี
ทั้งพระดาบสและนายพรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ หากไปทำอะไรใน
ป่าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ พอกลับมายังห่วง
แต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหายเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้
เราเข้าใจได้อย่างไร
เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือ
โคร่ง และเสือเหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิด
เหตุร้ายหลายประการขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลง
จากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัว
สั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามีปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัว
นอนขวางทางเอาไว้ จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์
ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่
ควรแต่อย่างใด ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จน
กระทั่งรุ่งเช้า
ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่งศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแล
ลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้ว
อ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูกอยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออก
มา แต่ไม่ว่าจะร้องขออ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พระนางจึงถวายบังคมลา
ออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อออกตามหาจนทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบ
ว่าพระเวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระ
เวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน
พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่าเห็นพระ
พักตร์ของพระองค์และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับ
กลายเป็นความทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง แม้พระนางมัทรี
จะได้ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี แล้วกลับมาหาพระเวสสันดรอย่างไร
พระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้มลงกับพื้น
พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน ไม่เคยได้แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วย
ความเศร้าโศกและตระหนกตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระเวสสันดรจึงเข้าไปตรวจ
ชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้ นขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรีเมื่อฟื้ นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสอง
อยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่ พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระชาลีให้กับชู
ชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนางมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อ
ได้รู้ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์เศร้าลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระ
เวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี สะท้อนอะไรบ้าง ?
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้ประพันธ์ร่ายยาวมหา
เวสสันดรชาดก ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ร่ายยาวเรื่อง
มหาเวสสันดรชาดก จึงสะท้อนสังคมและค่านิยมใน
ยุคสมัยนั้น ซึ่งบางเรื่องอาจเป็นเรื่องคลาสสิกที่เกิด
ขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น

ความรักของแม่ที่มีต่อลูก เห็นได้จากความ
กังวลที่เกิดขึ้นเมื่อมีลางร้าย หรือความเศร้า
โศกเสียใจเมื่อพระนางมัทรีไม่เจอลูกอยู่ใน
อาศรม สะท้อนให้เห็นว่าลูกเป็นแก้วตาดวงใจ
ของพ่อแม่ที่ไม่ว่ายุคสมัยไหน ความรักแบบ
ไม่มีเงื่ อนไขของพ่อแม่ยังเป็ นเรื่ องคลาสสิกท
ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

ความเชื่อเรื่องการทำนายฝัน หรือโชคลาง แม้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะพัฒนาอย่างก้าว
กระโดด แต่ความเชื่อเรื่องดวงชะตา การ
ทำนายฝัน หรือโชคลางยังคงอยู่ในสังคมไทย
มาจนถึงปัจจุบัน แม้จะลดน้ อยลงเมื่อเทียบกับ
อดีต ซึ่งอาจมาจากความเชื่อหรือสิ่งที่มองไม่
เห็นยังสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างความ
สบายใจให้กับผู้คนได้ โดยเฉพาะเรื่องอนาคต
หรือเรื่องที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้ า

แหล่งอ้างอิง
blog.startdee.com


Click to View FlipBook Version