พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางกอกน้อย
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
ชุมชนตรอกข้าวเม่า
ชุมชนตรอกข้าวเม่าชุมชนเก่าแก่ย่านบางกอกน้อยที่มีความน่าสนใจมี
ประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน เริ่มจากผู้คนอพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาในปี ๒๓๑๐ ส่วนใหญ่
ประกอบอาชีพทำสวน ทำข้าวเม่า ข้าวเหนียวแดง และ กาละแมซึ่งเป็นอาชีพที่ติดตัวมา ชาว
บ้านในชุมชนเรียกตัวเองว่า “คนบ้านสวน” แต่คนข้างนอกเรียกว่า “บ้านข้าวเม่า” เนื่องจากเห็น
ว่าภายในชุมชนมีการทำข้าวเม่าซึ่งเป็นของขึ้นชื่อจนกลายเป็นชื่อเรียกของชุมชนตราบจนทุกวัน
นี้ แม้ว่าชุมชนนี้ทำข้าวเม่ากันเกือบทุกบ้านแต่ก็ไม่สามารถปลูกข้าวเองได้ จึงต้องสั่งข้าวเปลือก
จากอยุธยา โดยบรรทุกเรือล่องมาตามลำน้ำผ่านคลองบางกอกน้อย มาส่งถึงตามสวนบ้านต่าง ๆ
จากนั้นจึงนำมาเก็บไว้ในยุ้งฉาง ทยอยนำมาทำเป็นข้าวเม่าตลอดทั้งปี พื้นที่เดิมของชุมชนเป็นที่
สวนทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นบ้านของขุนนางและผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ เพราะได้รับมาจากการ
บำเหน็จบำนาญ แต่เมื่อมีถนนสัญจรช่วงทศวรรษ ๒๔๗๐ เป็นต้นมา ก็ได้มีการขยายตัวของ
ชุมชนและการอพยพเข้ามาของคนกลุ่มนอกพื้นที่ในช่วงเวลาถัดมา เช่น คนทางภาคใต้ คนทาง
จังหวัดสุพรรณบุรีและคนอีสาน จนกระทั่งปัจจุบันนี้ชุมชนตรอกข้าวเม่ามีคนดั้งเดิมไม่เกิน ๔๐%
ของประชากรทั้งหมด E-Book เล่นนี้จึงทำเพื่อไว้บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชน
ตรอกข้าวเม่า ทั้งนี้ผู้เขียนขอขอบคุณแหล่งข้อมูลความเป็นมาจากทุกท่านที่ได้ให้ความร่วมมือใน
การสัมภาษณ์ประวัติความเป็นมาและได้ให้มีการบันทึกข้อมูลภาพมาประกอบใช้จนสำเร็จลุล่วง
เป็น E-Book เล่มนี้
ประวัติและความเป็นมาชุมชนตรอกข้าวเม่า......................................๑-๕
ข้าวเม่าดิบและข้าวเม่าราง.................................................................๖-๗
บ้านข้าวเม่ากับการทำข้าวเหนียวแดงและกะละแม..............................๘
บ้านข้าวเม่าเหลือแต่เชื่ อ..................................................................๙-๑๑
บรรณานุกรม......................................................................................๑๒
๑
๒
บ้านข้าวเม่าเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ผู้คนอพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาภายหลัง
เสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ส่วนใหญ่เป็นชาวไทย มีวิถีชีวิตทำสวน เดิมเรียกบ้าน
สวน ต่อมามีการทำข้าวเม่ากันมากและทำสืบกันมาจึงเรียกกันว่า บ้านข้าวเม่า เมื่อมีการ
ตัดถนนซอยเล็กเข้ามาในพื้นที่บ้านข้าวเม่า จึงเรียก ตรอกข้าวเม่าในสมัยกรุงธนบุรีและ
สมัยต้นรัตนโกสินทร์บริเวณบ้านข้าวเม่าเป็นพื้นที่บ้านสวน มีคลองลัดวัดทองโอบทางทิศ
เหนือและทิศตะวันตกโดยมีลำปะโดงแยกจากคลองลัดวัดทองด้านตะวันตกไหลผ่านกลาง
ชุมชน ทำให้พื้นที่บ้านข้าวเม่าเป็นที่ลุ่มเหมาะแก่การทำสวนแบบยกร่อง และส่วนใหญ่
เป็นสวนผลไม้
๓
ชาวบ้านเล่าว่ารุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายเมื่อราว
๑๐๐ ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.๒๔๕๐) ย่านบ้านข้าวเม่าเคย
ปลูกทุเรียนหลากหลายชนิด โดยส่วนมากพันธุ์ราชินีจะ
เป็นที่นิยม เพราะเนื้อเยอะนุ่มนวล เม็ดลีบ รสชาติจะ
หวานแหลม ชาวบ้านจะเรียกทุเรียนย่านบ้านข้าวเม่า
หรือทุเรียนสวน ในสมัยก่อนชาวบ้านจะปลูกผลไม้
ต่างๆไว้รับประทานและบางส่วนจะนำไปขายโดยวิธีการ
ล่องเรือไปตามลำคลองวัดทองไปขายที่ตลาดวัดทองที่
บ้านบุริมคลองบางกอกน้อยฝั่งใต้ แต่ในบางครั้งจะใช้วิธี
หาบจะเดินจากบ้านข้าวเม่าข้ามทางรถไฟเข้าตลาดวัด
ทอง
บางครั้ง จะต่อเรือที่ท่าน้ำตลาดวัดทองล่อง
ออกปากคลองบางกอกน้อยแล้วข้ามฟากไปท่าช้างวัง
หลวง แล้วหาบเดินไปขายยังตลาดท่าเตียน เมื่อขาย
เสร็จขากลับจะซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารกลับบ้าน
ชาวบ้านข้าวเม่ามีวิถีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์เพราะใน
คลองจะมีปลานานาชนิด เมื่อถึงฤดูหนาวของทุกปีจะ
มีกุ้งก้ามกรามตัวใหญ่ให้จับมาทำอาหาร ในสวนจะมี
ผัก มัน เผือก ข้าวโพด แม้กระทั้ง ข้าว ซึ่งในอดีตมัก
จะปลูกไว้ตามร่องสวน เรียกว่า ข้าวท้องร่อง ข้าวที่
ปลูกเป็นข้าวเจ้าปลูกด้วยการดำ
๔
เมื่อถึงฤดู เก็บเกี่ยวก็นำข้าวมาตากแดด
แล้วใส่ในครกใหญ่ตำ จากนั้นนำมาร่อนเหลือเป็น
ข้าวสารแล้วเก็บใส่โอ่งไว้สำหรับหุงรับประทานต่อไป
การปลูกข้าวตามร่องสวนได้เลิกไปภายหลังจากเกิด
น้ำท่วมใหญ่ใน พ.ศ. ๒๔๘๕ ซึ่งส่งผลให้สวนผลไม้
ของชาวบ้าน บ้านข้าวเม่าเสียหายหลายปีกว่าจะฟื้น
ตัว ประกอบกับในช่วง พ.ศ. ๒๔๘๗-๒๔๘๘ เกิด
สงครามมหาเอเชียบูรพาชาวบ้านต่างพากันอพยพ
หนีภัยสงคราม ทำให้บ้านข้าวเม่าซบเซาไประยะหนึ่ง
เมื่อสงครามสิ้นสุดลงผู้คนต่างพากันกลับมา หลังจาก
นั้นไม่นานได้มีการตัดถนนหลายสายในย่านฝั่งธนบุรี
รวมทั้งถนนอิสรภาพด้วย ทำให้การเดินทางถึงบ้าน
ข้าวเม่าด้วย หลังจากนั้นไม่นานได้มีการตัดถนน
หลายสายในย่านฝั่งธนบุรี รวมทั้งถนนอิสรภาพด้วย
ทำให้การเดินทางถึงบ้านข้าวเม่าด้วยทางรถสะดวก
รวดเร็วกว่าการคมนาคมทางน้ำ อีกทั้งบ้านข้าวเม่า
อยู่ไม่ไกลจากใจกลางพระนคร ทำให้มีผู้คนจาก
ภายนอกอพยพเข้าไปซื้อที่ดินตั้งบ้านเรือนและบ้างก็
เข้ามาเช่าบ้านอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ จนสภาพความเป็น
บ้านสวนหมดไป
๕
ความเป็นมาของชื่อบ้านข้าวเม่า เกิด
จากการที่ในอดีตชุมชนย่านนี้เคยทำข้าวเม่าเป็นล่ำ
เป็นสันจนเป็นที่รู้จักกันสันนิษฐานว่าอาจเริ่มจาก
คนนอกเรียก แต่จะเริ่มเรียกเมื่อใดไม่ปรากฎแน่ชัด
พระสมหมายแห่งวัดสุทธาวาสซึ่งเกิดที่ชุมชนแห่งนี้
เล่าว่า ในอดีตคนเฒ่าคนแก่รู่นปู่ย่าตายายไม่มีการ
เรียกว่าบ้านข้าวเม่า หรือ ตรอกข้าวเม่า จะเรียก
วัดสุทธาวาสว่า วัดลูกศิษย์ และจะเรียกซอยหรือ
ตรอกบ้านข้าวเม่าว่า ตรอกยายจวน บ้านเรือน
ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ห่างกระจายไปตามขนัดสวน เป็น
บ้านไม้เรือนชั้นเดียวยกพื้นสูง ชาวบ้านส่วนใหญ่
ล้วนเป็นคนไทยแท้ประกอบอาชีพทำสวน ข้าวเม่า
เป็นภูมิปัญญาของคนไทยในการแปรรูปข้าวที่มีอยู่
ในร่องสวนและท้องนามาทำข้าวเม่าเพื่อใช้ทำขนม
ต่างๆ ได้แก่ กระยาสารท ข้าวเม่าหมี่ ข้าวเม่าน้ำ
กะทิ ข้าวเม่าคลุก เป็นต้น สำหรับในเขต
บางกอกน้อย บ้านข้าวเม่านิยมใช้ข้าวเหนียว
เพราะให้ความเหนียวและนุ่มกว่าข้าวเจ้าอาจจะใช้
ทั้งเม็ดข้าวอ่อนหรือเม็ดข้าวแก่ก็ได้ ทำให้การทำ
ข้าวเม่าสามารถทำได้ตลอดทั้งปี
๖
ข้าวเม่าดิบ
ข้าวเม่าดิบนี้ชาวบ้านจะนำมาทำขนม
หลายประเภท เช่น ขนมข้าวเม่าคลุก และข้าวเม่า
ทอด เป็นต้น ข้าวเม่าคลุก มีวิธีการทำคือ นำข้าวเม่า
ดิบพรมน้ำหรืออาจใช้น้ำมะพร้าวพรม และใช้ผ้าหรือ
ใบตองปิดสักครู่ รอให้ข้าวเม่าดิบนิ่มก่อน จึงใส่เกลือ
ลงไปคลุกเคล้า แล้วโรยน้ำตาลทรายและมะพร้าวใส่
น้ำเคี่ยวแล้วใส่มะพร้าวขูดเนื้อสีขาวลงไป พอเข้ากัน
ได้ที่จึงยกลงทิ้งให้เย็น แล้วนำไปห่อหุ้มกล้วย ส่วน
ใหญ่ใช้กล้วยไข่ ชุบแป้งแล้วนำลงไปทอด ทั้งข้าวเม่า
คลุกและข้าวเม่าทอดจะต้องใช้ข้าวเม่าดิบเท่านั้น
ถ้าต้องการให้ข้าวเม่าดิบเป็นสีเขียว ชาวบ้านข้าวเม่าในอดีตจะใส่ใบทองหลางเข้าไปขณะที่
ตำข้าว ต่อมาใบทองหลางเข้าไปขณะที่ตำข้าว ต่อมาใบทองหลางหายากจึงใช้ใบก้ามปูแทน น้ำสีทอง
ของใบก้ามปูที่ออกมาผสมกับข้าวที่ตำจะทำให้ได้ข้าวเม่าดิบที่มีสีออกเขียวนวลสวยน่ารับประทาน
ชาวบ้านบ้านข้าวเม่ามักไม่นิยมใช้ใบเตยและไม่เคยใช้สีผสมอาหาร
๗
ข้าวเม่าราง
ข้าวเม่ารางนี้จะใช้รับประทานกับน้ำกระทิใส่น้ำแข็งไส เรียกว่า ข้าวเม่าน้ำกระทิ และ
สามารถใช้ทำ ข้าวเม่าหมี่ คือนำข้าวเม่ารางไปผัดกับกระเทียม พริกไทย น้ำตาล น้ำปลา ใส่ถั่ว
ทอด เต้าหู้ทอด กุ้งแห้งทอด แล้วนำขึ้นมาโรยด้วยน้ำตาลอีกครั้ง
ในอดีตชาวบ้านจะทำข้าวเม่าขาย ทั้งข้าวเม่าดิบ
และข้าวเม่าราง และยังทำขนมจากข้าวเม่าทั้งสอง
ชนิดขายอีกด้วย โดยเฉพาะข้าวเม่าหมี่และกระยา
สารท ชาวบ้านทำข้าวเม่ากันเกือบทุกครัวเรือนพร้
อมๆกับการทำสวนเนื่องจากการทำข้าวเม่าต้องใช้
ข้าวเปลือกจำนวนมากจึงมีพ่อค้าแม่ค้านำข้าว
เปลือกจากหลายพื้นที่ทั้งใกล้และไกลมาขายโดยการ
ขนส่งทางเรือเป็นหลักเข้ามาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา
คลองบางกอกน้อย ชาวบ้านในอดีตอยู่ร่วมกันอย่าง
รักใคร่เอื้อเฟื้อต่างทำบุญและมีกิจกรรมร่วมกันที่วัด
สุทธาวาสวัดเก่าแก่ที่เชื่อกันว่าสร้างตั้งแต่ครั้นสมัย
กรุงธนบุรี
บ้านข้าวเม่ากับการทำข้าว ๘
เหนียวแดงและกะละแม
เชื่ อกันว่า ราว ๑๐๐ ปีเศษ ชาวบ้านข้าวเม่าได้เขยเชื้อสายมอญทั้งจากบางกระดี่
จังหวัดสมุทรปราการ ชาวมอญเหล่านี้ได้นำวัฒนธรรมการกวนขนม เช่น ข้าวเหนียวแดงและ
กะละแม เข้ามาทำให้ชุมชนบ้านข้าวเม่านับตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓ หรือราวๆ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาทำข้าวเหนียวแดงและกะละแมกัน
มากขึ้น ต่อมากลายเป็นอาชีพและส่งขายกันสืบมาจนทุกวันนี้ ในขณะที่ระยะหลังการทำข้าว
เม่าค่อยๆ เลิกราและหายไปจากชุมชนบ้านข้าวเม่าตั้งแต่ราว พ.ศ.๒๕๒๕ หรือราว ๓๐ปี ทุก
วันนี้การทำข้าวเหนียวแดงและกะละแมของชาวบ้านเป็นการสืบทอดภูมิปัญญาและรักษาไว้
เป็นเอกลักษณ์ของบ้านข้าวเม่า คือ ข้าวเหนียวแดงบ้านข้าวเม่า ข้าวเหนียวต้องกรอบ น้ำตาล
ต้องนุ่ม และกะละแมบ้านข้าวเม่าต้องกวนด้วยข้าวเหนียว เนื้อกะละแมจะเหนียวนุ่ม หวานมัน
ชาวบ้านย่านเขตบางกอกน้อยและแดนไกลที่เคยลิ้มรสจะเข้าใจในความเป็นเอกลักษณ์ข้าว
เหนียวแดงและกะละแมของบ้านข้าวเม่าที่แตกต่างจากที่อื่น
๙
๑๐
ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยเฉพาะใน
พ.ศ.๒๔๘๘ ชาวบ้านต่างพากันอพยพหนีภัยทาง
อากาศที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดย่านบางกอกน้อย
และบ้านข้าวเม่า ชาวบ้านบ้านข้าวเม่าหลายคนได้รับ
บาดเจ็บและเสียชีวิตภายหลังสงครามยุติ ชาวบ้าน
กลับคืนสู่บ้านข้าวเม่าดังเดิมแต่ความนิยมในการรับ
ประทานข้าวเม่าและขนมกวนเริ่มน้อยลง โดยเฉพาะ
ในช่วงหลัง พ.ศ.๒๕๐๐ คลองลัดวัดทองและคลองเล็ก
ที่ผ่านชุมชนเริ่มเน่าเสีย การใช้น้ำทำข้าวเม่าเริ่มมี
ปัญหา ทำให้ชาวบ้านทำข้าวเม่าน้อยลงจนเหลือเพียง
ไม่กี่บ้าน บ้านสุดท้ายที่ยังรางข้าวเม่าอยู่ คือ บ้านของ
ลุกเปี๊ยก เมื่อลุงเปี๊ยกถึงแก่กรรมใน พ.ศ.๒๕๔๐ บ้าน
ข้าวเม่าหมดสิ้นการทำข้าวเม่าที่สืบสานกันมาช้านาน
๑๑
ปัจจุบันถ้าจะทำขนมที่ใช้ข้าวเม่า
เช่น ข้าวเม่าหมี่หรือกระยาสารท ชาวบ้าน
จะใช้วิธีซื้อข้าวเม่าจากที่อื่นส่วนขนมกวน
เช่น ข้าวเหนียวแดงและกะละแม ปัจจุบัน
ยังคงสืบทอดต่อมาและเหลือทำอยู่เพียงสอง
บ้าน เท่านั้นแต่เป็นการทำเป็นครั้งคราวเพื่อ
ขายและตามเทศกาลและทำในปริมาณที่
น้อยลงมาก ประกอบกับปัจจุบันน้ำตาลและ
กะทิแพงมากจนเป็นปัญหาในการขายขนม
ข้าวเหนียวแดงกะละแมของบ้านข้าวเม่า
บ้านข้าวเม่าที่มีภูมิปัญญาในการ
ทำข้าวเม่ากำลังเหลือแค่ชื่อ แต่ใน ๕ ปีที่
ผ่านมาคือใน พ.ศ.๒๕๔๘ ชาวบ้านข้าวเม่า
นำโดยนาย อนุชา เกื้อจรูญ ได้รับการ
สนับสนุนจากหลายภาคส่วนและทางวัด
สุทธาวาสร่วมกันจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
ชุมชนตรอกข้าวเม่าขึ้นใต้อาคารศาลา
การเปรียญของวัดสุทธาวาส เพื่อรวบรวม
ความเป็นมาและภูมิปัญญาของชุมชนไว้
ก่อนที่คนรุ่นหลังจะลืมเลือน
๑๒
บรรณานุกรม
ชื่ อหนังสื อ : ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านเก่าในกรุงเทพมหานคร รายงาน
ผู้เขียน ผลการสำรวจ บันทึกข้อมูลพื้นที่ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาตร์
: สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ และคณะ (๒๕๕๔)
ชื่อหนังสื อ : ย่านเก่าในกรุงเทพฯ. กรุงเทพฯเมืองโบราณ
ผู้เขียน : ปราณี กล่าส้ ม (๒๕๔๕)
ชื่อหนังสื อ : โครงการชุมชนท่องเที่ยวยั่งยืนในชุมชนบ้านบุและพื้นที่
ผู้เขียน : สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ บรรณาธิการ (๒๕๕๐)
ชื่อหนังสื อ : การจัดการพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก.
ผู้เขียน วิทยานิพนธ์การศึกษาตามหลักสูตรมหาบัณฑิต
: ปฐมพร สงวนแก้ว (๒๕๕๗)