แบบการนำเสนอผลงานการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี(Best Practice) ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ระดับปฐมวัย นางลดาวัลย์ มูลฟอง ตำแหน่งครูวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ โรงเรียนขุนยวม อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต ๑ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ การพัฒนาการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้น อนุบาล 3 โรงเรียนขุนยวม
คำนำ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยมุ่งปลูกฝังให้เด็กปฐมวัยเป็นผู้มีเจตคติที่ดี ต่อวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ด้วยกิจกรรมที่สร้างความสนุก ความเพลิดเพลิน ความสนใจใคร่รู้และความ กระตือรือร้น ฝึกทักษะการสังเกต รู้จักตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตนเอง เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กปฐมวัย เติบโตขึ้นเป็นนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร หรือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต ขอขอบคุณ นายนิกร สุขใจ ผู้อำนวยการโรงเรียนขุนยวม คุณครูจันทร์สม สีบัว หัวหน้าวิชาการโรงเรียน ขุนยวม คณะครูและผู้ปกครองเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนขุนยวม ที่ให้การสนับสนุนแนะนำช่วยเหลือในการ ทำงานสำเร็จไปด้วยดี หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดทำ Best Practice จะเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับครูปฐมวัย ต่อไป ลดาวัลย์ มูลฟอง
สารบัญ หน้า ชื่อผลงาน 1 ความสำคัญ 1 จุดประสงค์เป้าหมายของการดำเนินการ กระบวนการผลิต ผลการดำเนินงาน ปัจจัยความสำเร็จ บทเรียนที่ได้รับ ภาคผนวครูปภาพ ภาคผนวคการเผยแพร่งาน
แบบการนำเสนอผลงานการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี(Best Practice) ด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ระดับปฐมวัย 1.ชื่อผลงาน การพัฒนาการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนขุนยวม 2. ผู้เสนอผลงาน นางลดาวัลย์ มูลฟอง ตำแหน่ง ครูคศ.3 โรงเรียนขุนยวม อำเภอขุนยวม จังหวัด แม่ฮ่องสอน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา แม่ฮ่องสอน เขต 1 ต.ขุนยวม อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน 58140 E-mail [email protected] เว๊บไซต์โรงเรียน: WWW. [email protected] 3. ความสำคัญ การศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญกระบวนการหนึ่ง ที่จะช่วยพัฒนาคนให้มีคุณภาพเพราะการศึกษา เป็นกระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม การถ่ายทอดความรู้ ฝึกอบรมสืบสานทาง วัฒนธรรมและสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคมการเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคล เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การศึกษาที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำวิชาความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงและสามารถ พึ่งพาตนเองได้นั้น ต้องเป็นการศึกษา ที่มีคุณภาพที่มีอยู่ในตัวคนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ทำให้เป็นคนที่รู้จักคิด วิเคราะห์ รู้จักแก้ปัญหา มีความริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีจริยธรรม คุณธรรมและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ได้อย่างมีความสุข ฉะนั้นหลักการ ศึกษาจึงต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้เรียนในสังคมไทยได้ตระหนักถึงคุณค่าของการศึกษาตลอดการ จัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่ปวงชนทุกคนจึงเป็นภารกิจหลักของรัฐบาลในทุกประเทศ สำหรับประเทศไทยนั้น ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 เป็นกฎหมายการศึกษาแห่งชาติหรือเป็นกฎหมายแม่บทในการจัดการศึกษาของประเทศได้กำหนด ความมุ่งหมายและหลักการในการจัดการศึกษาในมาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็น มนุษย์ ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมมีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เป็นการมุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในด้านต่างๆ ของ การศึกษา คือ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมมีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถ อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ. 2553) เด็กในวัยนี้จะเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสการรับรู้ และการเคลื่อนไหว และเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาในการจัดการเรียนรู้ให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสให้มาก ที่สุด เพราะจะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้คิดและได้ลงมือปฏิบัติจริง ฉันทนา ภาคบงกช (2552 : 95) ได้กล่าวไว้ว่า ครูผู้สอนจะต้องเข้าใจหลักสูตรการพัฒนาเด็กปฐมวัย และการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ดูแลเด็กอย่างระมัดระวัง
โดยคำนึงถึงผลในระยะยาว ซึ่งผลการวิจัยทางสมองกับการพัฒนาด้านสติปัญญา พบว่า การวิจัยทางสมองช่วย สนับสนุนแนวคิดและหลักการทางการศึกษาปฐมวัยได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมและสังคม สมองจะพัฒนาได้ดีเมื่อเด็กได้ลงมือเล่น กระทำด้วยตนเอง (Active Learning) เด็กจะพัฒนา ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy) ทำให้เกิดแรงจูงใจภายใน (Internal Motivation)ได้ตัดสินใจ เด็กจะเกิดความ ประทับใจจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจอันเป็นจุดเริ่มของการสร้างสรรค์ที่ถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติที่สุดการ จัดการศึกษาให้มีคุณภาพมีมาตรฐานและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและมีความรอบรู้อย่างเท่าทันให้มีความ พร้อมทั้ง ด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่สังคม ฐานความรู้ ได้อย่างมั่นคง ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2560 เป็นการพัฒนาเด็กแรก เกิด – 6 ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวม บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ ที่สนองต่อ ธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคน ให้เต็มศักยภาพภายใต้บริบทสังคม -วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทรและเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็ก พัฒนาไปสู่ความเป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์เกิดคุณค่า ต่อตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ จากการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้การศึกษาปฐมวัยที่ผ่านมาของเด็กโรงเรียนขุนยวม พบว่า ผลการ จัดการศึกษาตามมาตรฐานจากการประเมินพัฒนาการนักเรียนระดับการศึกษาปฐมวัยที่ไม่บรรลุเป้าหมาย คุณภาพยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ในด้านครูควรจัดกิจกรรมให้หลากหลาย ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการสังเกต การจำแนก ประเภท การลงความเห็น และทักษะ การสื่อความหมาย และควรใช้คำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ การคิดวิเคราะห์ ในรูปแบบต่าง ๆที่หลากหลาย ให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง นักเรียนชั้นอนุบาลยังขาดความพร้อม ขาดประสบการณ์พื้นฐานด้านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ (โรงเรียนขุนยวม. 2559 : 17) ทั้งนี้เนื่องมาจาก นักเรียนชั้นอนุบาลยังขาดความพร้อม ขาดประสบการณ์พื้นฐานในด้านทักษะการปฏิบัติจริง ขาดความเชื่อมั่นและ ขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าแสดงออกทำให้การเรียนการสอนไม่ประสบความสำเร็จ ประกอบกับการเรียนการ สอนในชั้นเรียนมีปัญหาด้านตัวครูผู้สอนขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดสื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สื่อที่มียังน้อย และไม่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ ทำให้ไม่กระตุ้นหรือเร้าความสนใจของเด็ก จึงไม่เกิด แรงจูงใจในการเรียนรู้ และรูปแบบการสอนไม่เหมาะสม เทคนิควิธีสอนไม่สอดคล้องกับหลักสูตรการจัดการเรียน การสอนเน้นครูเป็นศูนย์กลาง เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมน้อยและครูไม่ใช้สื่อในการจัดการเรียนรู้ดังนั้น ครูควรจัด ประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดแบบต่างๆ ให้เหมาะสมกับวัยเด็กอนุบาลปีที่ 3 เพื่อเป็นพื้นฐานใน การเรียนรู้ของนักเรียนในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและเรียนรู้ในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป 4. จุดประสงค์เป้าหมายของการดำเนินการ 1. เพื่อพัฒนาการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ชั้น
อนุบาลปีที่3 โรงเรียนขุนยวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การสังเกต การจำแนกประเภท การลงความเห็น และการสื่อความหมาย 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนขุนยวม เป้าหมาย นักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนขุนยวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 จำนวน 33 คน 5.กระบวนการผลิต หรือขั้นตอนการงาน 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการพัฒนาครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียน ขุนยวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 33 คนได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง 2. ตัวแปรที่ใช้ในการพัฒนา 1.ตัวแปรต้น ได้แก่ กิจกรรมการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 2. ตัวแปรตามได้แก่ ความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 4 ด้าน ได้แก่ การ สังเกต การจำแนกประเภท การลงความเห็น และการสื่อความหมาย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา 3.1. กิจกรรมการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 3.2. แบบประเมินความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับประเมินความสามารถ ด้านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยทักษะการ สังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลงความเห็น และทักษะการสื่อความหมาย โดยใช้เนื้อหาตามหลักสูตร การศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช จำนวน 4 ชุด ดังนี้ ชุดที่ 1 ทักษะการสังเกต ชุดที่ 2 ทักษะการการจำแนกประเภท ชุดที่ 3 ทักษะการลงความเห็น ชุดที่ 4 ทักษะการสื่อความหมาย 3.3 แบบสังเกตพฤติกรรมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 มี ลักษณะเป็นแบบสังเกตพฤติกรรมใช้ประกอบการจัดกิจกรรมแต่ละแผนการจัดประสบการณ์ 3.4
4. การสร้างและการพัฒนาเครื่องมือ 4.1 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้เด็กปฐมวัย และกำหนดหน่วยการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์ การเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้ 4.2 วางแผนการจัดทำกำหนดการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่เน้นทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลง ความเห็นและทักษะการสื่อความหมาย 4.3 เขียนกิจกรรมการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่เน้นทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลงความเห็น ทักษะการสื่อความหมาย จัดกิจกรรมตามที่วางแผนไว้ 5. รูปแบบการพัฒนา ดำเนินการพัฒนาการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนขุนยวม ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 33 คน ดังนี้ 1. ดำเนินการทดลองการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 เป็นกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 33 คน มีขั้นตอนทดลองและเก็บ รวบรวมข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1.1 ประเมินความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนเรียน(Pre-test) เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 โดยใช้แบบประเมินความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย ที่ครูสร้างขึ้น 1.2 ทดลองการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์กับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 โดยการจัด ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ โดยมีวิธีการดังนี้ 1.2.1 การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้แผนการประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ 1.2.2 ประเมินผลระหว่างเรียน โดยวิธีการประเมินความสามารถด้านทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์โดยการประเมินความสามารถในด้านทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลง ความเห็น ทักษะการสื่อความหมาย ของนักเรียนรายคน หลังการจัดประสบการณ์ระหว่างเรียนรู้จบแต่ละหน่วย 1.2.3 หลังดำเนินการจัดประสบการณ์ครบทุกหน่วย ทุกแผนแล้ว ทำการประเมินความสามารถ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน (Post-test) กับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 ด้วยแบบประเมิน ความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย 1.2.4 นำผลคะแนนที่ได้ไปทำการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาค่าทางสถิติต่อไป
6.ผลการดำเนินงาน จากผลการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ได้แก่ ทักษะการสังเกต ทักษะ การจำแนกประเภท ทักษะการลงความเห็น และทักษะการสื่อความหมายโดยการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่สร้างขึ้น พบประเด็นที่สามารถ นำมาอภิปรายได้ดังนี้ 1. กิจกรรมการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ครูสร้างขึ้นเป็นการจัด ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย ที่ผ่านกระบวนการพิจารณาตรวจสอบและประเมินความสอดคล้อง ความถูกต้องเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญในด้านหลักสูตรการ จัดประสบการณ์เด็กปฐมวัย และได้มีการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญให้ถูกต้อง เหมาะสม เป็นไป ตามหลักวิชาการ ก่อนนำไปใช้ นอกจากนี้ในการออกแบบการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ครูมีบทบาทในการ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ การใช้คำถามเชื่อมโยงให้เด็กเกิดทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลง ความเห็น และทักษะการสื่อความหมาย โดยผู้สอนได้ใช้กระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นเด็กเป็นสำคัญ มี การใช้สื่อที่เป็นของจริง เด็กได้รับประสบการณ์ตรงผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า มีการจำแนก แยกแยะ เปรียบเทียบ ความเหมือนความต่าง การตั้งคำถามเชิงวิทยาศาสตร์อย่างง่าย ๆ การค้นหาตำตอบด้วยตนเอง ด้วยการสังเกต สำรวจ สืบค้น ทดลองและตอบคำถามที่ตั้งขึ้นและนำผลจากการสังเกต สำรวจ สืบค้น ทดลองมาอธิบายประกอบ เหตุผลแล้วนำเสนอข้อมูลที่ได้ให้ผู้อื่นเข้าใจอย่างชัดเจนถูกต้องโดยใช้วิธีต่างๆที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถ ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ดังนี้1) ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่กิจกรรมโดยเด็กและครูสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมที่ จะทำการทดลองวิทยาศาสตร์ให้เด็กได้สำรวจวัสดุอุปกรณ์ ร่วมกันตั้งคำถามเชิงวิทยาศาสตร์อย่างง่าย ๆ 2) ขั้น ดำเนินกิจกรรม เป็นขั้นที่เด็กร่วมกันวางแผนการทดลองแล้วลงมือปฏิบัติการทดลองด้วยตนเอง เพื่อค้นหาคำตอบ เด็กได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงระหว่างการทำกิจกรรมเห็นกระบวนการในการทดลองและเห็นผลการทดลองด้วย ตนเอง โดยครูจะใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้เกิดทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการลงความเห็น และทักษะการสื่อความหมายและ 3) ขั้นสรุป เป็นขั้นที่เด็กและครูร่วมกันสรุปผลการทดลอง เพื่อเป็นการตอบคำถาม ในสิ่งที่สงสัย ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นพร้อมอธิบายเหตุผลที่ได้จากการทดลองและนำเสนอข้อมูลที่ได้ให้เพื่อน และครูได้เข้าใจด้วยวิธีที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถ สอดคล้องกับการวิจัยของ ปราณี ไชยภักดี (2556: บทคัดย่อ) 2. การเปรียบเทียบความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดประสบการณ์ทาง วิทยาศาสตร์เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 สร้างขึ้น พบว่า เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีความสามารถด้านทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้งนี้เป็นเพราะว่า รูปแบบการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กเป็นผู้ลงมือ ปฏิบัติการทดลองด้วยตนเอง เด็กได้สังเกตวัสดุอุปกรณ์ จำแนก บอกรายละเอียด ความเหมือน ความแตกต่างของ วัสดุอุปกรณ์ตามลักษณะ และคุณสมบัติ สังเกตผลที่ได้จากการทดลอง การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์จะ
เน้นการปฏิบัติ ทดลอง รูปแบบกิจกรรมเนื้อหาสอดคล้องกับวัยและวุฒิภาวะในการเรียนรู้ของเด็ก เป็นการจัด ประสบการณ์ตรงที่เปิดโอกาสให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ สิ่งของ เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสได้ฟัง สังเกต คิดแก้ปัญหา ใช้เหตุผลและฝึกปฏิบัติ ทำให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องที่เรียน ในการจัดประสบการณ์ แต่ละครั้งเด็กสามารถเรียนรู้ได้โดยประสาทสัมผัสทั้งห้าในการเคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และ คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ในขณะที่เด็กทำการทดลองจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และคิดหาเหตุผลของการ เปลี่ยนแปลงระหว่างการทดลอง ที่เกิดขึ้น สามารถลงความเห็นจากการเรียนรู้ผนวกกับความรู้จาก ประสบการณ์เดิมของเด็ก และร่วมกันสรุปผลการทดลองทุกครั้ง ทำให้เด็กสรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้น สามารถ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันเกิดความรู้ที่คงทน ทำให้มีพัฒนาการทางสติปัญญาหรือความคิด โดยครูจะใช้ คำถามเชื่อมโยงจากกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เด็กได้คิดรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการทำกิจกรรม ทำให้เกิดการคิด วิเคราะห์ใช้เหตุผลและการประเมินค่า กิจกรรมนั้นจะเป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยให้เด็กมีพื้นฐานด้านการสังเกต จำแนก การลงความเห็น การสื่อความหมายและคิดหาเหตุผลข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้จากการทดลอง ทำให้เด็กมีโอกาสฝึก คิดเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กได้กระทำลงไป การฝึกให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนาการคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ เผชิญกับสถานการณ์ที่ เป็นปัญหา และสามารถเลือกตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้ ซึ่งสอดคล้องกับกุลยา ตันติผลาชีวะ (2551 : 32-35) ที่กล่าวว่า เด็กเรียนรู้ได้ดีจากการสัมผัส หยิบจับหรือได้ จากประสบการณ์ที่เด็กได้ทำกิจกรรมและเรียนรู้จากการสัมผัส การสังเกต การเปลี่ยนแปลงในตัววัสดุโดยเฉพาะ เด็กเล็กต้องการสัมผัสด้านต่าง ๆในการสังเกต ค้นคว้า ทดลอง ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เป็นการรวบรวมข้อมูลที่ได้ รับมาเข้าด้วยกัน ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ในการคิด การวางแผน การตัดสินใจในระหว่างปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งสอดคล้อง กับวิลา มณีอินทร์ (2557: บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของเด็ก ปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการกับแบบสืบเสาะหาความรู้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การ เรียนรู้แบบโครงการ เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ และเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการกับแบบสืบเสาะหาความรู้ 7.ปัจจัยความสำเร็จ ด้านเด็ก 6.1 เด็กเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การสังเกต การจำแนกประเภท การลงความเห็น และการสื่อความหมาย 6.2 เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การ สังเกต การจำแนกประเภท การลงความเห็น และการสื่อความหมาย 6.3 เด็กเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ด้านหน่วยงาน การร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชน ( ครูและผู้ปกครอง) 8. บทเรียนที่ได้รับ ผลจากการศึกษาครั้งนี้พบว่า 1. การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นการจัดประสบการณ์ที่เด็กได้ใช้กระบวนการสืบเสาะทาง วิทยาศาสตร์ได้ร่วมกันตั้งคำถามเชิงวิทยาศาสตร์อย่างง่าย ๆ ได้ค้นหาคำตอบด้วยตนเองโดยการสังเกต สำรวจ สืบค้นทดลอง เด็กจะเกิดความสนใจและตื่นเต้น ในขณะที่ทำการทดลองได้เห็นถึงขั้นตอนในการทดลองเห็นการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และทำให้เด็กเกิดความสงสัยในระหว่างการทดลอง ซึ่งครูจะใช้คำถามกระตุ้นเพื่อให้เด็กได้ คิดหาคำตอบและสรุปผลการทดลอง ตามความเข้าใจ 2. การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กหยิบจับ สัมผัส สังเกต วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างอิสระ เพื่อ วิเคราะห์ ความเหมือน ความต่าง ของวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในกิจกรรมวิทยาศาสตร์ 3. การจัดเสริมประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กจะได้ลงมือปฏิบัติการทดลองด้วยตนเองทำให้เห็นการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างที่ทำการทดลอง ซึ่งครูจะใช้คำถามกระตุ้นเพื่อให้เด็กได้คิด และบอกเหตุผลที่ได้จาก การสังเกต การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามความเข้าใจของตนเอง 4. การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เด็กจะรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสังเกตวัสดุอุปกรณ์ สังเกตการ เปลี่ยนแปลงระหว่างทำการทดลองและสังเกตผลการทดลองแล้วจึงสรุปผลการทดลองตามความเข้าใจของตนอง และนำผลที่ได้จากการทดลองมานำเสนอให้ผู้อื่นเข้าใจ ข้อสังเกต 1. การเลือกกิจกรรมในการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ควรเป็นกิจกรรมที่ไม่ซับซ้อน และปลอดภัย เด็กสามารถวางแผนการทดลองได้ เป็นกิจกรรมที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง 2. ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กทำกิจกรรมอย่างอิสระ เพราะไม่ควรกำหนดเวลา เนื่องจากเด็กยังมีความสนใจ ในกิจกรรมที่ทำอยู่ เด็กจะให้ความสนใจกิจกรรมที่ท้าทายและสังเกตการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นในขณะทำ กิจกรรมได้อย่างชัดเจน 3. สัปดาห์แรกเด็กยังไม่กล้าทำการทดลอง เนื่องจากยังไม่คุ้นเคยกิจกรรมและยังไม่รู้จักวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ถ้าเป็นกิจกรรมที่มีขั้นตอนมาก ควรอยู่ในสัปดาห์หลัง ๆ เพราะเด็กเกิดความชำนาญในการทำกิจกรรมแล้ว ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการศึกษาถึงผลการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะการ วัด ทักษะการพยากรณ์เป็นต้น 2. ควรมีการศึกษาการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมอื่น เช่น การจัดกิจกรรมแบบสืบเสาะ การจัดกิจกรรมแบบโครงงาน การจัดกิจกรรมแบบวางแผน เป็นต้น
3. ครูควรให้ความช่วยเหลือแนะนำในการปฏิบัติกิจกรรมของเด็ก ที่เหมาะสมกับสภาพความต้องการ 4. การจัดกิจกรรมให้กับเด็ก ควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็กและควรส่งเสริมให้เด็กมี ส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรม 5. ครูควรให้เด็กได้คิดและใช้เหตุผลที่หลากหลาย โดยดัดแปลงรูปแบบของกิจกรรม 6. เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมควรนำชุดกิจกรรมไว้ในมุม เพื่อให้เด็กได้ใช้สื่อในการเรียนรู้เพื่อเปิดโอกาสให้ เด็กได้มีการพัฒนาอยู่เสมอ
1.ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการสังเกต เรื่อง ดอกไม้กินได้ เด็กๆสำรวจดอกไม้ที่บ้านของเด็กและให้ผู้ปกครองส่งรูปตัวเองกับดอกไม้ที่บ้านให้คุณครู เด็กนำดอกไม้ของตนเองมาเพื่อทำการตัดแยก เด็กและครูร่วมกันเสนอผลการคาดคะเนอีกครั้ง คำตอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการจำแนก เรื่อง ดอกไม้กินได้ ภาคผนวกรูปกิจกรรม
เด็กร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันสรุปผลลงในการดาษชาร์ท นำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการลงความเห็น เรื่อง ดอกไม้กินได้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการสื่อความหมาย เรื่อง ดอกไม้กิน ได้
ภาคผนวกการเผยแพร่