The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by panupong6062766, 2022-08-07 12:29:56

นาฏศิลป์

นาฏศิลป์

นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา

นาฏศิลป์

จัดทำโดย

นายฐนันด์ นุ่นเกตุ เลขที่ 2

นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา เลขที่ 6

นายณรงค์เดช แสงแก้ว เลขที่ 19

น.ส.ณัฎฐณิชา นวลศรี เลขที่ 35

น.ส.กัลยกร กลีบประทุม เลขที่ 36

น.ส.ชนิดาภา คนกระโทก เลขที่ 37

น.ส.พิชญธิดา แก้วกุล เลขที่ 38

น.ส.ศศิวิมล ศรีษะสมุทร เลขที่ 39

เสนอ
นางสาสุธิษา ราชสงค์

นายณรงค์เดช แสงแก้ว

คำนำ ก

รายงานเล่มนี้เป็ นส่วนหนึ่งของรายวิชาศิลปะพื้น

ฐาน วิชานาฎศิลป์ จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาหาความรู้

เกี่ยวกับคุณค่าของนาฏศิลป์ องค์ประกอบของนาฎ

ศิลป์ การแสดงนาฎศิลป์ในโอกาสต่างๆ และ

บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนาฎศิลป์ เพื่อให้ผู้อ่าน

เกิดความเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้น ไม่ได้ทำไว้เพื่อ

ประโยชน์อย่างอื่นแต่อย่างใด หากมีความผิดพลาด

ประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้





คณะผู้จัดทำ

นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา



สารบัญ

เรื่อง หน้า

คำนำ ก
สารบัญ ข

1.คุณค่าและประโยชน์ของนาฏศิลป์ไทย 1

2.กระบวนการสืบทอดนาฏศิลป์ไทย 3

3.การแสดงนาฏศิลป์ในโอกาสต่างๆ 5

4.ระบำ รำ ฟ้อน และการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองของไทย 7

5.การแสดงนาฏศิลป์ไทย รำกลองยาว หรือ เถิดเทิง 14

6บุคคลสำคัญในวงการนากศิลป์ของไทย 18

น.ส.ณัฎฐณิชา นวลศรี

1

1.คุณค่าและประโยชน์ของนาฏศิลป์ไทย

คุณค่าของนาฏศิลป์ นาฏศิลป์ไทย
สะท้อนให้เห็นความ - มีคุณค่า มีจริยธรรมและมี
เอกลักษณ์ของชาติแสดง
สวยงาม ประณีต เพียพร้อม ความเป็ นอารยะประเทศ
ไปด้วยขนมลบธรรมเนียม
ประเภณี

ประติมากรรม
- ผลงายศิลปะที่เกิดจาก

การปั้ น การหล่อต่างๆ โดย

มักปรากฏในรูปอุปกรณ์การ

แสดง เช่น หัวโขน เป็นต้น

สถาปั ตยกรรม
ศิลปะในการออกแบบ
ฉากต่างๆ

วรรณกรรม นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา
- ปรากฎในนาฏศิลป์ได้แก่
บทละคร บทเพลง 2

จิตรกรรม
มีความสำคัญที่ใกล้ชิด
กับผลงานการแสดง
เช่น การแต่งหน้า เครื่อง
แต่งกาย

ดุริยางคศิลป์
เป็ นหัวใจสำคัญสำหรับ
นาฏศิลป์

ประโยชน์ของนาฏศิลป์ไทย
- สถาบันพระมหากษัตริย์
มีพระราชพิธีตามประเภณี
- มีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับชีวิตคน

ไทยตั้งแต่เกิดจนตาย
- ประโยชน์โดยตรงคือ สอนให้รู้จัดตนเอง

นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา

2.กระบวนการสืบทอดนาฏศิลป์ไทย 3

1.การสืบทอดนาฏศิลป์สมัยโบราณ
- เป็นการถ่ายทอดจากครูแบบตัวต่อตัวโดยวิธี

การจำ ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ครู

นาฏศิลป์จึงมีความสำคัญมาก องค์ความรู้ทั้ง

หมดจะอยู่ในตัวครู ซึ่งจะสอนศิษย์โดยวิธีการ

ปฏิบัติ

2.กระบวนการสืบทอดนาฏศิลป์ในสมัยปั จจุบัน
- ปัจจุบันวิชานาฏศิลป์เปิดสอนอยู่ในสถาบัน

การศึกษาเกือบทุกระดับ มีกระบวนการเรียน

การสอนที่เป็นแบบแผน โดยจัดทำสื่อและ

กิจกรรมเพื่อประเทืองปั ญญาโดยใช้ระบบการ

เรียนการสอนที่มีผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง

นายฐนันด์ นุ่นเกตุ

4

3. การจัดกิจกรรมเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมทางด้านนาฏศิลป์ไทย
นาฎศิลปีมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติ สืบทอดมาแต่

โบราณ ผู้ศึกษาวิชานาฎศิลป์ จะต้องมีความ เคารพ ศรัทธาใน

บูรพาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่ศิษย์ ดังคำกล่าวที่ว่า

"นาฎศิลย์ไทยเป็นศิษย์มีครู" ซึ่งมีกิจกรรมหลายอย่างที่มีการจัด

ขึ้นมาเพื่อช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ทางด้านนาฎศิลป์ไทยที่เรา
ควรศึกษา

4.แนวทางการอนุรักษ์นาฎศิลป์ไทย
- การค้นคว้าวิจัย
- การปลูกจิตสำนึก
- การฟื้ นฟู
- การพัฒนา
- การถ่ายทอด
- ส่งเสริมกิจกรรม
- การเผยแพร่แลกเปลี่ยน
- การส่งเสริมปราชญ์ท้องถิ่น

นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา

3.การแสดงนาฏศิลป์ในโอกาสต่างๆ 5

นาฏศิลป์ เป็นศิลปะคู่บ้านคู่เมืองที่นำมาแสดงได้ทุกดอกาส ทั้ง

งานพระราชพิธี รัฐพิธี และ งานทั่วๆ ไปของเอกชน โดยงานพระราช

พิธี และรัฐพิธี เป็นงานในหน้าที่ของกรมศิลปากรที่ต้องจัดการ
แสดง ในโอกาสสำคัญๆ เช่น
-งานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา
-งานอวมงคล
-งานเฉลิมฉลองวันสำคัญต่างๆ
-การจัดแสดงเพื่อเผยแพร่ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา

6

หลักในการเลือกชุดให้เหมาะสม
1.เลือกชุดแสดงให้เหมาะสมกับโอกาสที่แสดง ถ้าเป็นงาน


เฉลิมฉลองความสำเร็จ วันเกิดบุคคลสำคัญ ก็ต้องเลือกชุดการ

แสดงที่เป็นการอวยพร มอบความเป็นสิริมงคลให้มั่งมีศรีสุข
2.การเลือกชุดตามที่ผู้จัดต้องการ เช่น รูปแบบของการแสดง

ผู้แสดง เครื่องแต่งกาย เวลาที่ใช้ในการแสดง ขนาดของพื้นที่

ในการแสดง งบประมาณ เพื่อให้เหมาะสมกับงานนั้นๆ

นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา

4.ระบำ รำ ฟ้อน และการแสดง
7
นาฏศิลป์พื้นเมืองของไทย

ระบำ คือ ศิลปะของการร่ายรำที่แสดงพร้อมกันเป็นหมู่

เป็นชุด ความงามของการแสดงระบำ อยู่ที่ความสอด

ประสานกลมกลืนกัน ด้วยความพร้อมเพรียงกัน การแสดงมี

ทั้งเนื้อร้องและไม่มีเนื้อร้อง ใช้เพียงดนตรีประกอบ คำว่า

"ระบำ" รวมเอา "ฟ้อน" และ "เซิ้ง" เข้าไว้ด้วยกัน เพราะวิธี

การแสดงไปในรูปเดียวกัน แตกต่างกันที่วิธีร่ายรำ และการ

แต่งกายตามระเบียบประเพณีตามท้องถิ่น

ระบำ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ระบำดั้งเดิมหรือระบำ

มาตรฐาน และระบำปรับปรุงหรือระบำเบ็ดเตล็ด

น.ส.ชนิดาภา คนกระโทก

8

รำ หมายถึง การแสดงที่มุ่ง

ความงามของการร่ายรำ

เป็ นการแสดงท่าทางลีลาของ

ผู้รำ โดยใช้มือแขนเป็นหลัก

1. การรำเดี่ยว คือ การรำที่ใช้ผู้แสดงเพียง

คนเดียว จุดมุ่งหมาย คือ

1.1 ต้องการอวดฝีมือในการรำ
1.2 ต้องการแสดงศิลปะร่ายรำ
1.3 ต้อง การสลับฉากเพื่อรอการจัดฉาก

หรือตัวละครแต่งกายยังไม่เสร็จเรียบร้อย

การรำเดี่ยว เช่น การรำฉุยฉายต่าง ๆ รำ

มโนราห์บูชายัญ รำพลายชุมพล ฯลฯ

2. การรำคู่ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ รำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ ไม่มี

บทร้อง และรำคู่ในชุดสวยงาม

2.1 การรำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ ได้แก่ กระบี่ กระบอง ดาบส

องมือ โล่ ดาบ เขน ดั้ง ทวน และรำกริชเป็นการรำไม่มีบทร้องใช้

สลับฉากในการแสดง

2.2 การรำคู่ในชุดสวยงาม ท่ารำในการรำจะต้องประดิษฐ์ให้

สวยงาม ทั้งท่ารำที่มีคำร้องตลอดชุด หรือมีบางช่วงเพื่ออวดลีลา

ท่ารำ มีบทร้องและใช้ท่าทางแสดงความหมายในตอนนั้น ๆ ได้แก่

หนุมานจับสุพรรณมัจฉา หนุมานจับนางเบญกาย พระรามตาม

กวาง พระลอตามไก่ รามสูร เมขลา รจนาเสี่ยงพวงมาลัย ทุษยันต์

ตามกวาง รำแม่บท รำประเลง รำดอกไม้เงินทอง รถเสนจับม้า

น.ส.ณัฎฐณิชา นวลศรี

9

3. การรำหมู่ เป็นการแสดงมากกว่า 2 คนขึ้นไป

ได้แก่ รำโคม ญวนรำกระถาง รำพัด รำวง
มาตรฐาน และรำวงทั่วไป การแสดงพื้นเมือง

ของชาวบ้าน เช่น เต้นกำรำเคียว รำกลองยาว

ฟ้อน หมายถึง ศิลปะการแสดงที่เป็น

ประเพณีของทางภาคเหนือ จะใช้ผู้แสดง

เป็นจำนวนมาก มีลีลาการฟ้อนพร้อม

เพรียงกันด้วยจังหวะที่ค่อนข้างช้า

การแสดงพื้นเมือง
เป็ นการแสดงเพื่อก่อให้เกิดความสนุกสนาน


เพลิดเพลิน และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะ

มีลักษณะแตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศ สังคม

วัฒนธรรม แต่ละท้องถิ่น ดังนั้นการแบ่งประเภท

ของการแสดงพื้นเมืองของไทย โดยทั่วไปจะแบ่ง

ตามส่วนภูมิภาค ดังนี้

น.ส.ชนิดาภา คนกระโทก

10

การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ
การแสดงพี้นเมืองภาคเหนือ เป็นศิลปะการรำ และการละเล่น


หรือที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้อน” การฟ้อนเป็นวัฒนธรรมของชาว

ล้านนา และกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน

เป็นต้น ลักษณะของการฟ้อน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบดั้งเดิม

และแบบที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ แต่ยังคงมีการรักษาเอกลักษณ์ทางการ

แสดงไว้คือ มีลีลาท่ารำที่แช่มช้า อ่อนช้อยมีการแต่งกายตาม

วัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามประกอบกับการบรรเลงและขับ ร้องด้วยวง

ดนตรีพื้นบ้าน เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว เป็นต้น โอกาส

ที่แสดงมักเล่นกันในงานประเพณีหรือต้นรับแขกบ้านแขกเมือง ได้แก่

ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนครัวทาน ฟ้อนสาวไหมและฟ้อนเจิง

น.ส.กัลยกร กลีบประทุม

11

การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง
เป็ นศิลปะการร่ายรำและการละเล่นของชนชาวพื้นบ้านภาค


กลาง ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึง

มีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตและพื่อความบันเทิงสนุกสนาน

เป็นการพักผ่อนหย่อนใจจากการทำงาน หรือเมื่อเสร็จจากเทศการ

ฤดูเก็บเก็บเกี่ยว เช่น การเล่นเพลงเกี่ยวข้าว เต้นกำรำเคียว รำ

โทนหรือรำวง รำเถิดเทอง รำกลองยาว เป็นต้น มีการแต่งกาย

ตามวัฒนธรรมของท้องถิ่น และใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลอง

ยาว กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง

น.ส.ชนิดาภา คนกระโทก

12

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของลาว ซึ่งมักเรียกการละเล่นว่า "เซิ้ง


ฟ้อน และหมอลำ" เช่น เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งโปงลาง เซิ้งแหย่ไข่มดแดง

ฟ้อนภูไท เซิ้งสวิง เซิ้งบ้องไฟ เซิ้งกะหยัง เซิ้งตังหวาย ฯลฯ ใช้เครื่อง

ดนตรีพื้นบ้านประกอบด้วย แคน พิณ ซอ กลองยาวอีสาน โปงลาง

โหวด ฉิ่ง ฉาบ ฆ้อง และ กรับ ส่วนกลุ่มอีสานใต้ ได้รับอิทธิพลจาก

ศิลปะของเขมร มีการละเล่นที่เรียกว่า "เรือม หรือ เร็อม" เช่น เรือมลูด

อันเร (รำกระทบสาก) รำกระโน็บติงต็อง (ระบำตั๊กแตนตำข้าว) รำอาไย

(รำตัด) วงดนตรีที่ใช้บรรเลงคือวงมโหรีอีสานใต้ มีเครื่องดนตรี เช่น ซอ

ด้วง ซอตรัวเอก กลองกันตรึม พิณ ระนาดเอกไม้ ปี่ สไล กลองรำมะนา

และเครื่องประกอบจังหวะ การแต่งกายประกอบการแสดงแต่งแบบ

วัฒนธรรม ของพื้นบ้านอีสาน มีลักษณะลีลาท่ารำและท่วงทำนองดนตรี

ในการแสดงค่อนข้างกระชับ กระฉับกระเฉง รวดเร็ว และสนุกสนาน

น.ส.พิชญธิดา แก้วกุล

13

การแสดงพื้นเมืองภาคใต้
เป็ นศิลปะการรำและการละเล่นของชาวพื้นบ้านภาคใต้อาจ


แบ่งตามกลุ่มวัฒนธรรมไ 2 กลุ่มคือ วัฒนธรรมไทยพุทธ ได้แก่

การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก เพลงนา และวัฒนธรรม

ไทยมุสลิม ได้แก่ รองเง็ง ซำแปง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลิเก

ฮูลู (คล้ายลิเกภาคกลาง) และซิละ มีเครื่องดนตรีประกอบที่

สำคัญ เช่น กลองโนรา กลองโพน กลองปืด โทน ทับ กรับ

พวง โหม่ง ปี่ กาหลอ ปี่ ไหน รำมะนา ไวโอลิน อัคคอร์เดียน

ภายหลังได้มีระบำที่ปรับปรุงจากกิจกรรมในวิถีชีวิต ศิลปาต่างๆ

เช่น ระบำร่อนแต่ การีดยาง ปาเตต๊ะ เป็นต้น กลับด้านบน

น.ส.ศศิวิมล ศรีษะสมุทร

5.การแสดงนาฏศิลป์ไทย รำกลอง
14
ยาว หรือ เถิดเทิง

รำเถิดเทิง

การเล่น รำเถิดเทิง หรือการ รำกลองยาว เป็นศิลปะ

การละเล่นและร่ายรำประกอบการตีกลองยาวของคนไทย

ซึ่งเป็ นที่นิยมกันมากและมีการเล่นแพร่หลายที่สุดในแถบ

ภาคกลาง สันนิษฐานว่าแต่เดิมจะเป็นการละเล่นของทหาร

พม่ายามว่างศึกษ ในสมัยสงครามปลายกรุงศรีอยุธยา

เข้าใจว่าคนไทยได้เห็นรูปแบบและนำมาเล่นบ้างในช่วงสมัย

กรุงธนบุรี เพราะศิลปะการตีกลองมีความสนุกสนาน เล่น

ง่าย เครื่องดนตรีไม่แตกต่างจากของไทยมากนัก ส่วนคำ

ว่า เถิดเทิง น่าจะมีที่มาจากเสียงของกลองยาวนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานสนันสนุนจากชื่อเพลงไทยสำเนียง

พม่าที่กล่าวถึงกลองยาว คือ เพลงพม่ากลองยาวและเพลง

พม่ารำขวาน ที่ใช้กลองยาวตีเป็นเครื่องตีประกอบจังหวะ

น.ส.กัลยกร กลีบประทุม

15

การรำกลองยาว
การรำกลองยาว หรือ เล่นถิดเทิงบ้อง นี้ มัก


นิยมแสดงในงานบุญที่มีการรื่นเริง เช่น แห่นาคใน

งานอุปสมบท แห่องค์กฐิน ผ้าป่า แห่ขบวน

ขันหมาก โดยชาวบ้านมาร่วมขบวนแต่งหน้าประ

แป้ง ทัดดอกไม้ให้สวยงาม ร่ายรำออกลีลาต่างๆ

อย่างครื้นเครง บ้างยั่วเย้ากันระหว่างหนุ่มสาว

พวกที่ตีกลองและเครื่องประกอบจังหวะก็ร้องเพ

ลงสั่นๆ เรียกว่า เพลงยั่ว เช่น มาละเหวย มาละวา

มาแต่ของเขาของเราไม่มา ตะละลา ฮุยฮา เพื่อ

เพิ่มความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

ต่อมากรมศิลปากร โดยนาฏศิลปิน ได้ปรับปรุงการละ

เล่นทั้งรูปแบบการแสดง ท่าร่ายรำของการเล่นเถิดเทิงให้

มีลีลาท่ารำที่สวยงามเป็ นแบบแผนขึ้นและเรียกการแสดง

นี้ว่า รำเถิดเทิงโดยมีฝ่ายชายเป็นผู้ตีกลองประกอบ

จังหวะและร่ายรำประกอบการตีกลองยาวในท่าทางที่

โลดโผนต่างๆ ส่วนฝ่ายหญิงจะรำเข้ากับจังหวะกลองยาว

สลับกับท่าทางการตีกลองเย้าหยอกกับฝ่ายชายซึ่งการ

แสดงชุดนี้ต่อมาเป็ นชุดที่นิยมแสดงกันอย่างแพร่หลาย

นายณรงค์เดช แสงแก้ว

16

ลักษณะและวิธีการแสดง
การรำเถิดเทิง ผู้แสดงจะแบ่งออกเป็นฝ่ายชายและ


ฝ่ายหญิง
ฝ่ายชาย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

1. กลองรำ หมายถึง ผู้แสดงที่ต้องร่ายรำประกอบการตี

กลองยาวเข้าคู่กับฝ่ายหญิง
2. กลองยืน หมายถึง ผู้แสดงที่ทำหน้าที่ตีกลองยาวและ
เครื่องประกอบจังหวะเพื่อยืนจังหวะทำนองให้ผู้รำได้รำ

ตามที่บรรเลง

ฝ่ายหญิง ได้แก่ นางรำ หมายถึง ผู้แสดงหญิงที่ฝ่าย
ชายผู้เล่นเป็นกลองรำไปเชิญ หรือโค้งออกมารำ ่สวน

จำนวนของผู้แสดงขึ้นอยู่กับความต้องการและโอกาส

ของการแสดงนั้นๆ ด้วย เช่นจำนวนผู้แสดงกลองยืน

อย่างน้อยต้องมี 7 คน และกลองรำ 2 คน นางรำ 2 คน

ส่วนจำนวนกลองรำและนางรำนั้น มักนิยมเป็นจำนวนคู่

เช่น รำ 2 คู่ 4 คู่

น.ส.ศศิวิมล ศรีษะสมุทร

17

ลักษณะการแต่งกาย
การแต่งกายของการรำเถิดเทิงกรมศิลปากร ได้


ออกแบบชุดการแสดงไว้โดยมีลักษณะ ดังนี้
1. ฝ่ายชาย สวมเสื้อคอพวงมาลัย นิยมตัดเย็บ

ด้วยผ้าต่วน หรือผ้าโซลอน สีสดใส สวมกางเกง

ขาสามส่วนสีเดียวกันกับเสื้อ ที่ปลายขามีเชิง คาด

ศีรษะและเอวด้วยผ้าคาดต่างๆสีกับชุดที่สวมใส่
2. ฝ่ายหญิง สวมเสื้อแขนกระบอก คอตั้ง ผ่าหน้า

ติดกระดุม นุ่งผ้าซิ่น ห่มสไบทับเสื้อ สวมเครื่อง

ประดับ

โอกาสในการแสดง
แสดงในงานรื่นเริง งานเทศกาล งานต้อนรับ


แขกบ้านแขกเมือง งานมงคลต่างๆ

นายภาณุพงศ์ เลี่ยนกัตวา

6.บุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์
18
ของไทย

ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี
มีนามเดิมว่า แผ้ว สุทธิบูรณ์
เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2446
-ผลงานเกี่ยวกับการแสดงศิลปะนาฏกรรม เช่น

ท่ารำของตัวพระ นาง ยักษ์ ลิง และตัวประกอบ

การแสดงโขน ละครชาตรี ละครนอก ละครใน

ละครพันทาง และระบำฟ้อนต่างๆ

ครูรงภักดี (เจียร จารุจรณ)
เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2442
ครูรงภักดีเป็ นผู้มีความสามารถในการรำเพลง

หน้าพาทย์องค์พระพิราพเเละได้รับการคัดเลือก

ว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือเยี่ยม ในวัย86ปี เเละได้เป็นผู้

สืบทอดเพลงหน้าพาทย์สูงสุดของวิชานาฏศิลป์

ไว้เป็ นมรดกของแผ่นดิน

นายฐนันด์ นุ่นเกตุ

19

ครูอาคม สายาคม
เดิมชื่อ บุญสม
เกิดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2406
-ผลงานด้านการแสดง: แสดงเป็นตัวเอก เช่น พระราม อิเหนา

พระร่วง พระอภัยมณี ขุนแผน
-ผลงานด้านประดิษฐ์ท่ารำ: เพลงหน้าพาทย์ตระนาฏราช เพลง

หน้าพาทย์โปรยข้าวตอก เพลงเชิดจีน เป็นต้น
-ผลงานด้านวิทยุกระจายเสียง: ตั้งคณะสายเมธี แสดงนิยายและ

บรรเลงในแบบดนตรีสากลและดนตรีไทย
-ผลงานด้านภาพยนตร์: แสดงเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่อง อมตา

เทวี เรื่องไซอิ๋ว แสดงเป็นพระถังซำจั๋งและเป็นผู้กำกับการแสดง

น.ส.พิชญธิดา แก้วกุล

20

ครูลมุล ยมะคุปต์
เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2448
-ผลงานด้านการแสดง: ท่านแสดงเป็น

ตัวเอกเกือบทุกเรื่อง เช่น พระสังข์ เขยเล็ก

เจ้าเงาะ ฮเนา เป็นต้น
-ผลงานด้านการประดิษฐ์ท่ารำ: เช่น รำ

แม่บทใหญ่ รำซัดชาตรี รำวงมาตรฐาน รำ

เถิดเทิง เป็นต้น
-เป็ นครูนาฏศิลป์คนแรกในการวางหลักสูตร

การเรียนการสอนนาฏศิลป์ไทย

คุณครูเฉลย ศุขะวณิช
เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2447
-ผลงานด้านการแสดง: ท่านมีฝีมือและ

ความสามารถในการแสดงเป็ นตัวนางเอก

เช่น นางสีดา นางสุวรรณมาลี นางเบญกาย

เป็ นต้น
-ผลงานด้านการประดิษฐ์ท่ารำ: เช่น รำ

แม่บทสลับคำ รำพัดรัตนโกสินทร์ ชุดศุภ

ลักษณ์อุ้มสม ระบำกินนร เป็นต้น
-เป็ นผู้เชี่ยวชาญการสอนและออกแบบ

นาฏศิลป์ไทย


Click to View FlipBook Version