พระประธานในพระอุโบสถวัดราชนัดดารามวรวิหาร เวลา ๑๙ นาฬิกา ๓๐ นาที นักเรียน
วิทยาลัยนาฏศิลปกรุงเทพ ฯ แสดงระบ�าธรรมจักรสมโภช
วันจันทร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๘ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๒ นาที
�
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดาเนินถึงลานพระบรมราชา
ั
นุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเคร่องทองน้อยถวายราช
ื
ั
สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเสด็จ
ื
พระราชดาเนินเข้าสู่พลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ทรงจุดธูปเทียนเคร่องนมัสการบูชา
�
�
พระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปปางประจารัชกาลท่ ๓ ทรงกราบ ทรงรับถวายความ
ี
เคารพจากผู้มาเฝ้า ฯ ประทับพระราชอาสน์ แล้วทรงศีล สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จ
พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ถวายศลจบแล้ว นายชวน หลีกภัย นายก
ี
รัฐมนตรี กราบบังคมทูล รายงานการบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์โลหะปราสาทและขอ
�
พระราชทานเสด็จพระราชดาเนินไปทรงประกอบพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาต ุ
ข้นประดิษฐาน ณ เจดีย์บุษบกโลหะปราสาท จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ึ
�
ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดาเนินไปทรงสุหร่ายสรงพระบรมสารีริกธาตุและถวาย
ู
ิ
�
ู
พวงมาลัยแล้วเสด็จพระราชดาเนนไปยังแท่นวางสายสตร ทรงถือสายสตรอัญเชญ
ิ
ั
พระบรมสารีริกธาตุข้นสู่เจดีย์บุษบกโลหะปราสาท ขณะน้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา
ึ
ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร ดุริยางค์ จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
�
ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดาเนินกลับเข้าพลับพลา มหาเจษฎาบดินทร์ ทรงประเคน
จตุปัจจัยไทยธรรมทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงศึกษาธิการกราบบังคมทูลเบิกผู้บริจาคทรัพย์สร้างบุษบกเข้าเฝ้า ฯ รับ
พระราชทานโล่เกียรติคุณ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการและอธิบดีกรมศิลปากร ทูลเกล้า
ี
ทูลกระหม่อมถวายหนังสือท่ระลึก จากน้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย
ั
ื
เดช ทรงจุดเทียนชนวนพระราชทานให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพ่อจุดดอกไม้
เพลิงถวายเป็นพุทธบูชา เวียนเทียนสมโภชพระบรมสารีริกธาตุและเจดีย์บุษบกโลหะ
ปราสาท แล้วเสด็จพระราชดาเนินไปทรงกราบเคร่องนมัสการและทรงลาพระสงฆ์ เสด็จ
�
ื
ี
�
พระราชดาเนินกลับเม่อเวลา ๑๗ นาฬิกา ๒๐ นาที จากน้นข้าราชการท่มาร่วมงานเวียน
ั
ื
49
������������������������ 2563 ������������.indd 49 21/10/2563 BE 13:44
เทียนสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ
ั
ื
สืบเน่องจากโอกาสดังกล่าว โครงการบูรณปฏิสังขรณ์คร้งล่าสุดจึงได้เกิดข้น
ึ
พุทธศักราช ๒๕๔๒ กระทรวงพาณิชย์ได้ด�าเนินการบูรณปฏิสังขรณ์โลหะปราสาท โดย
ได้รับความร่วมมือจากกรมศิลปากร ในการบูรณปฏิสังขรณ์โลหะปราสาท เริ่มจากส่วน
ี
ยอดเจดีย์กลาง โดยเปล่ยนวัสดุมุงหลังคาและเคร่องประดับหลังคายอดเจดีย์ลวดลาย
ื
ปูนปั้นเดิม เป็นวัสดุลวดลายโลหะทองเหลืองรมดา และลวดลายบุดุนด้วยแผ่นทองแดง
�
�
ื
รมดา ผนังภายในและภายนอกอาคารรับเคร่องยอดเจดีย์กลาง ก่อนการบูรณปฏิสังขรณ์
ี
เป็นหินล้าง เปล่ยนทาผิวปูนตาขัดมันเหมือนของเดิมแต่โบราณ เม่อการบูรณปฏิสังขรณ์
ื
โลหะ ปราสาทส่วนยอดเจดีย์กลาง และการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบโลหะ
�
ปราสาทแล้วเสร็จ คณะกรรมการดาเนินงานบูรณปฏิสังขรณ์โลหะปราสาท ได้กราบ
บังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดาเนินยกฉัตร
�
ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ขึ้นประดิษฐาน ณ ยอดเจดีย์โลหะปราสาท ในการนี้ พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุ
�
ดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดาเนินแทนพระองค์ ทรงยกฉัตรทรงพุ่มข้าว
บิณฑ์ขึ้นประดิษฐาน ณ ยอดเจดีย์โลหะปราสาท ในวันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช
๒๕๔๓ เวลา ๙ นาฬิกา และกรมศิลปากรได้จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองสมโภชโลหะปราสาท
วัดราชนัดดารามวรวิหารด้วย
ต่อมาพระเทพวิสุทธิเวที ด�ารงต�าแหน่งเจ้าอาวาส ได้ด�าเนินงานต่อจากส่วน
ที่บูรณะนั้น โดยมีรัฐบาลและกรมศิลปากรเป็นเจ้าภาพบูรณปฏิสังขรณ์ส่วนยอดเจดีย์ที่
อยู่บริเวณชั้นที่ ๔ จ�านวน ๑๒ ยอด ชั้นที่ ๒ จ�านวน ๒๔ ยอด และซุ้มคูหาชั้นล่าง ๓๒
ี
ิ
ซุ้ม เพ่มเติมตามลาดับ โดยเปล่ยนวัสดุมุงหลังคาและเคร่องประดับหลังคายอดเจดีย์
ื
�
ลวดลายปูนปั้นเดิม เป็นวัสดุลวดลายโลหะทองเหลืองรมดา และลวดลายบุดุนด้วยแผ่น
�
�
ทองแดงรมดา ผนังภายในและภายนอกอาคารรับเคร่องยอดเจดีย์ ก่อนการบูรณ
ื
ี
ปฏิสังขรณ์เป็นหินล้าง เปล่ยนทาผิวปูนตาขัดมันเหมือนของเดิมแต่โบราณ จนแล้วเสร็จ
�
�
พุทธศักราช ๒๕๕๐
ต่อมา พุทธศักราช ๒๕๕๔ ส�านักงานทรัพย์ส่วนพระมหากษัตริย์ ได้มีโครงการ
50
������������������������ 2563 ������������.indd 50 21/10/2563 BE 13:44
ปรับปรุงพื้นที่ภายในโลหะปราสาททั้ง ๗ ชั้น ให้เป็นสถานที่อ�านวยประโยชน์แก่พระ
ั
ิ
ุ
ิ
ิ
้
ุ
ภกษสามเณร พทธศาสนกชน ประชาชนและชาวต่างชาต โดยชนท ๑ จดแสดง
ั
ี
่
ื
นิทรรศการให้ความรู้เร่องประวัติและการก่อสร้างโลหะปราสาทต้งแต่คร้งพุทธกาลและ
ั
ั
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ต้งท่นั่งสมาธิ ไว้สาหรับเจริญสต ิ
�
ั
ี
ั
ั
ี
ื
�
ฝึกสมาธิอีกด้วย ช้นท่ ๒ จัดเป็นมุมหนังสือธรรมะเพ่อใช้เป็นบริเวณสาหรับอ่านหนังสือ
และติดตั้งป้ายให้ความรู้หมวดธรรมในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ชั้นที่ ๓ และชั้นที่
๔ เป็น สถานที่ส�าหรับปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิและเดินจงกรม ชั้นที่ ๕ และชั้นที่ ๖ จัด
แสดงผลของการปฏิบัติธรรมตามหลักไตรสิกขาที่น�าไปสู่วิมุติสุข ระเบียงชั้นที่ ๖ เป็น
จุดชมวิว ๓๖๐ องศา โดยติดตั้งป้ายบอกสถานที่ชมวิว เช่น เจดีย์ภูเขาทอง วัดสระเกศ
เสาชิงช้า วัดสุทัศนเทพวราราม ส่วนชั้นที่ ๗ ชั้นสูงสุด ติดตั้งป้ายค�าบูชาและแท่นกราบ
พระบรมสารีริกธาตุ
ต่อมา พุทธศักราช ๒๕๕๗ วัดราชนัดดารามร่วมกับรัฐบาลและกรมศิลปากรได้
ื
�
ดาเนนการบรณะปิดทองคาเปลวบนพนลวดลายทองเหลองรมดาและแผ่นทองแดงรม
้
ิ
ื
�
�
ู
ด�าบนยอดเจดีย์โลหะปราสาททั้ง ๓๗ ยอด ซุ้มคูหาชั้นล่าง ๓๒ ซุ้ม และปรับปรุงระบบ
ื
ั
ไฟฟ้าภายในโลหะปราสาท พร้อมกับปรับปรุงพ้นช้นล่าง โดยการปูหินแกรนิตแดง
อินเดีย แทนพื้นผิวขัดมันเดิม จนเสร็จสมบูรณ์ พุทธศักราช ๒๕๖๒
ั
การสร้างโลหะปราสาท และการบูรณปฏิสังขรณ์กว่าจะเสร็จส้นสมบูรณ์น้น เป็น
ิ
ื
เวลานานและได้ใช้จ่ายทรัพย์สินเป็นจานวนมาก ก็เพ่อเป็นการรักษาสถาปัตยกรรม
�
ตามลักษณะศิลปกรรมแบบไทย ไว้ให้แก่อนุชนได้อนุรักษ์สืบไป.
51
������������������������ 2563 ������������.indd 51 21/10/2563 BE 13:44
ประวัติ การถวายอดิเรก
�
ถวายอดิเรก เป็นคาถวายพระพรแด่พระเจ้าอยู่หัว
ี
อันเป็นธรรมเนียมพิธีของพระสงฆ์ท่ปฏิบัติในงานพระ
ราชพิธี เช่น งานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา และ
งานพระราชพิธีอ่นๆ ตามปกติการถวายอดิเรกน้นพระ
ั
ื
สงฆ์ชั้นราชาคณะขึ้นไปผู้เป็นประธานสงฆ์ในพระราชพิธี
ู
เป็นผ้ถวาย ธรรมเนียมถวายอดเรกนเป็นพระราชพธีท ี ่
ิ
ิ
้
ี
ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่สมัยโบราณ แต่แบบแผนที่ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติกันมีปรากฏใน
สมัยรัชกาลที่ ๓ คือ พระราชาคณะรูปหนึ่งชื่อว่า พระอุดมปิฎก (สอน พุทฺธสโร ป.๙)
เป็นชาวจงหวดพทลง ได้เดนทางมาศกษาเล่าเรยนพระปรยตธรรมอย่ทีวดหงสาราม
ิ
่
ั
ุ
ั
ี
ิ
ู
ิ
ึ
ั
ั
ั
(วัดหงส์รัตนาราม) เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๕ ของวัดนั้น
พระอุดมปิฎกรูปนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงรู้จัก
ุ
ั
้
ั
ิ
และค้นเคยเป็นอนด ตงแต่ครงยงทรงดารงพระราชอสรยยศเป็นกรมหมนเจษฎา
�
ิ
ั
ื
่
ั
ี
้
�
บดินทร์ ภายหลังพระอุดมปิฎกทูลลาออกจากตาแหน่งเจ้าอาวาสวัดหงสาราม กลับ
ภูมิล�าเนาเดิม
�
ี
ี
ท่านผู้น้เป็นผู้กล่าว “คาถวายอดิเรก” เป็นคนแรก กล่าวคือเม่อรัชกาลท่ ๓ ได้
ื
เสวยราชย์แล้วก่อนพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา รับส่งให้สืบหาพระอุดมปิฎกว่า
ั
อยู่ท่ไหน คร้งทรงทราบว่า ท่านจาพรรษาอยู่ท่วัดสุนทรวาส (ลนทราวาส) จังหวัดพัทลุง
�
ี
ี
ั
จึงรับสั่งว่าให้อาราธนามาในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา โดยให้เป็นภาระหน้าที่
ของคณะข้าราชการจังหวัดพัทลุงเป็นผู้อ�านวยความสะดวกในการเดินทาง
ครั้นถึงวันพระราชพิธี พระอุดมปิฎกเข้านั่งประจ�าที่เป็นองค์สุดท้ายในพระที่นั่ง
ในพระมหาราชวัง ถึงเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม
�
ิ
ั
โดยลาดับ นับต้งแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมาจนถึงพระอุดมปิฎก ทรงโสมนัสย่งนัก ทรง
�
จากหนังสือพุทธศาสนประวัติสมัยรัตนโกสินทร์และราชวงศ์จักรี ๒๐๐ ปี (สมเด็จพระญาณสังวรฯ ผู้อานวยการ
มูลมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์)
52
������������������������ 2563 ������������.indd 52 21/10/2563 BE 13:44
ทักทายด้วยความคุ้นเคย ตอนท้ายทรงรับสั่งว่า ท่านเดินทางมาแต่ไกล นานปีจึงจะได้
พบกัน ขอจงให้พรโยมให้ชื่นใจเถิด เมื่อได้รับอนุญาตจากสมเด็จพระสังฆราชแล้วท่าน
เจ้าคุณก็ตั้งพัดยศขึ้นถวายพระพรด้วยปฏิภาณโวหารว่ากลอนสดเป็นภาษาบาลีว่า
อติเรกวสฺสสต ชีว (ขอพระองค์จงมีพระชนม์เกินร้อยปี)
อติเรกวสฺสสต ชีว (ขอพระองค์จงมีพระชนม์เกินร้อยปี)
อติเรกวสฺสสต ชีว (ขอพระองค์จงมีพระชนม์เกินร้อยปี)
ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหตุ (ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ปราศจากโรคา)
ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหตุ (ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ปราศจากโรคา)
สุขิโต โหตุ ปรมินฺทมหาราชา (ขอพระองค์ทรงพระเกษมส�าราญ)
สิทฺธิกิจฺจ สิทฺธิกมฺม สิทฺธิลาโภ ชโย นิจฺจ ปรมินฺทมหาราชวรสฺส ภวตุ สพฺพทา
“ขอความส�าเร็จในการบ�าเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่และชัยชนะ
จงมีแด่มหาบพิตรในที่ทุกสถาน ตลอดกาลเป็นนิจเทอญ ขอถวายพระพร”
เน่องจากพระอุดมปิฎกท่านไม่ได้เตรียมไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะต้องถวายพระพร
ื
จึงว่าติดเป็นระยะๆ วรรคแรกว่าซ้าถึง ๓ หนจึงว่าวรรคที่สองต่อไปได้ ว่าวรรคที่สองซ�้า
ถึง ๒ หน จึงว่าวรรคที่สามต่อไปได้
ี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสดับแล้วทรงโปรดพระพรบทน้มาก จึงทรง
รับสั่งให้ถือเป็นธรรมเนียม ให้พระสงฆ์ใช้พรบทนี้ถวายพระพรพระมหากษัตริย์ในพระ
ราชพิธีทั้งปวงตราบเท่าทุกวันนี้โดยมิได้ตัดตอนแก้ไขแต่ประการใด แม้ค�าที่ท่านว่าซ้า
สองสามหน ก็รักษาไว้เหมือนเดิมเรียกว่า ถวายอดิเรก แต่ได้ทรงเพิ่มค�าว่า ตุ ต่อท้าย
ค�าว่า ชีว เป็น ชีวตุ สืบมาจนบัดนี้
พระอุดมปิฎก ผู้เป็นต้นเหตุถวายพระพรบทน้เป็นพระราชาคณะ ดังนั้นจึงได้ถือ
ี
ั
ี
ิ
ื
เป็นธรรมเนียมสบมาว่า พระผู้ท่จะถวายอดเรกได้น้น ต้องมสมณศกดเป็นพระราชา
ี
์
ิ
ั
คณะ ธรรมเนียมนี้ได้รักษามาเป็นเวลาช้านาน
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๐ จนถึงปัจจุบันนี้ ทางการคณะสงฆ์ได้อนุญาตให้พระครู ชั้น
สัญญาบัตรช้นเอกผู้ดารงตาแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ซ่งถือพัดยศเปลวเพลิง
ึ
ั
�
�
ั
เป็นผู้ถวายอดเรกได้โดยอนุโลม นบได้ว่าพระอุดมปิฎกเป็นต้นบญญัติแห่งการถวาย
ิ
ั
อดิเรก ด้วยประการฉะนี้.
53
������������������������ 2563 ������������.indd 53 21/10/2563 BE 13:44
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระมหาเจษฎาราชเจ้า พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย
พระพรหมกวี
เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร เรียบเรียง
พระราชประวัติ
ั
ในช่วงแรกๆ นับต้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรง
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี เมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๕ นั้น บ้านเมืองยังอยู่ใน
ช่วงก่อสร้างความเป็นปึกแผ่น ทั้งยังติดพันราชการสงครามอยู่มิขาด จนกระทั่งสมเด็จ
พระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงน�าทัพได้ชัยชนะ
ในสงคราม ๙ ทัพแล้ว บ้านเมืองจึงสงบเรียบร้อยขึ้น เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะได้สร้าง
บ้านแปงเมืองให้ม่นคงงดงาม พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพ
ั
ั
ในช่วงเวลาเช่นนี้ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๓๓๐ เป็นพระราชโอรสพระองค์
�
ื
่
ิ
ั
ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลศหล้านภาลย ขณะเมอดารงพระราชอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กับสมเด็จพระศรีสุลาลัย ขณะพระ
ฐานันดรศักดิ์เป็นหม่อมเรียม
ั
ื
ิ
เม่อแรกพระราชสมภพน้น มีพระอิสริยฐานันดรศักด์เป็นหม่อมเจ้าหลานเธอ
(ม.ร.ว.แสงสูรย์ ลดาวัลย์, ๒๕๓๑ : ๑๓) มีพระนามว่า “หม่อมเจ้าทับ” ทรงเป็นพระ
ราชนัดดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และกล่าว
กันว่ามีพระโฉมละม้ายคล้ายสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชย่งนัก จึงเป็นท่โปรดปราน ต้งแต่
ี
ิ
ั
ทรงพระเยาว์
ื
เม่อสมเด็จพระบรมชนกนาถเสวยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หล้านภาลัย พระมหากษัตริย์ล�าดับที่ ๒ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์นั้น หม่อมเจ้าทับ ได้
ั
ื
รับพระราชทานเล่อนพระราชอิสริยยศเป็นพระองค์เจ้า และเวลาน้นเจริญพระชันษาพอ
ี
สมควรแล้ว จึงเป็นท่ไว้วางพระราชหฤทัยของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงมอบพระ
54
������������������������ 2563 ������������.indd 54 21/10/2563 BE 13:44
�
�
ั
ราชภาระสาคัญต่างๆ ให้ทรงกากับดูแลต่างพระเนตรพระกรรณเสมอ กระท่งใน
ี
ั
พุทธศักราช ๒๓๕๖ มีพระบรมราชโองการต้งกรมเจ้านายหลายพระองค์ โดยท่ “พระเจ้า
ลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทับ เป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์” (พระราชพงศาวดารรัชกาลที่
๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดี)
ความหมายของพระนามกรมน้ว่ากันว่ามีเค้าเง่อนน่าสนใจ คาว่า “เจษฎา”
ื
ี
�
หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ที่สุด ส่วน “บดินทร์” หมายถึง พระเจ้าแผ่นดิน รวมเป็นพระนาม
ี
กรมท่อาจจะหมายให้เป็นท่เข้าใจกันว่า พระบรมชนกนาถได้ทรงต้งพระราชหฤทัยจะให้
ั
ี
พระราชโอรสพระองค์นี้เป็น “พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นใหญ่” ทั้งนี้จะเป็นความจริง หรือ
ิ
ี
เป็นเพยงการพระราชทานมงคลนามเพอเป็นพระราชสิรสวัสด์ตามธรรมเนยมกตาม
ี
็
่
ิ
ื
ิ
ในกาลต่อมาก็ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ย่งใหญ่ตามพระนามและตามความไว้วางพระ
ราชหฤทัยที่พระราชทานแต่เดิมมา (ม.ร.ว.แสงสูรย์ ลดาวัลย์, ๒๕๓๑ : ๑๙)
เม่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต ในวันท่ ๒๑
ี
ื
กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๓๖๗ นั้น พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ มีพระ
ั
บารมีเป็นท่เคารพยาเกรงในหมู่ขุนนางและราษฎรท้งปวง ด้วยทรงรับพระราชภาระต่าง
�
ี
พระเนตรพระกรรณในกิจการแผ่นดินต่างๆ อย่างกว้างขวางเข้มแข็ง เป็นเวลานานและ
สัมฤทธิ์ผลเป็นอย่างยิ่ง
ั
“ในเวลากลางคืนวันสวรรคตน้น พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่เสด็จพระทับอย ู่
ในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานฝ่ายเฉลียงด้านตะวันออก ตั้งกองล้อมวงทั้งชั้นใน ชั้นนอก
และพระราชวงศานุวงศ์ต่างกรมผู้ใหญ่และเสนาบดี และข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่
�
ู
่
ั
ผ้น้อย นอนประจาอยู่ในพระราชวัง จงอาราธนาพระสงฆราชพระราชาคณะผ้ใหญ่มา
ู
ึ
แล้ว พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ต่างกรม และเสนาบดีและข้าทูลละอองธุลีพระบาท
ึ
ผู้ใหญ่ ๆ ซ่งเป็นประธานในราชการแผ่นดิน เห็นว่าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ กรม
ื
หม่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด ได้ว่าราชการต่างพระเนตรพระ
กรรณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาช้านาน ทั้งข้าทูลละอองธุลีพระบาทก็มีความ
จงรักสวามิภักด์ในพระองค์ท่านก็มาก สมควรจะครอบครองสิริราชสมบัติรักษาแผ่นดิน
ิ
ึ
ื
สืบพระบรมราชตระกูลต่อไป จ่งพากันเข้าเฝ้าพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหม่นเจษฎาบดินทร์
55
������������������������ 2563 ������������.indd 55 21/10/2563 BE 13:44
ึ
ึ
�
ซ่งเป็นพระราชโอรสผู้ใหญ่ เชิญเสด็จข้นครองสิริราชสมบัติดารงราชอาณาจักรสยาม
ี
ั
พิภพต่อไป เสด็จประทับอยู่ในพระท่น่งจักรพรรดิพิมานฝ่ายเฉลียงด้านตะวันออก” (พระ
ราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มหาโกษาธิบดี)
ี
การท่ท่ประชุมพระราชวงศ์และเสนาบดีมีความเห็นตรงกันว่าควรยกถวายราช
ี
ั
ุ
็
์
้
้
ั
้
่
้
ู
ิ
ั
่
ั
์
ิ
้
ึ
้
ั
่
ิ
สมบตแดพระองคกดวยในเวลานนกรงรตนโกสนทรยงตงขนไดไมสนาน ฝายปจจามตร
ั
�
ก็ยังมุ่งหมายทาลายล้างกรุงสยามอยู่มิขาด จึงเห็นพร้อมกันว่า ถ้าอัญเชิญพระเจ้าลูกยา
เธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ซึ่งมีพระชนมายุสมควร มีพระบารมีและเคยทรงบ�าเพ็ญ
พระราชกิจใหญ่น้อยท่วถึง ข้นครองราชย์สมบัติ จะเป็นการเหมาะสมท่สุดในบรรดา
ั
ึ
ี
พระบรมวงศานุวงศ์ (พระธรรมเทศนาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า
อยู่หัว, ๒๔๘๑ : ๔๔)
ี
�
ในส่วนจดหมายเหตุของครอเฟิด ทูตท่ผู้สาเร็จราชการของอังกฤษทางอินเดียส่ง
มาติดต่อทางการทูตและพาณิชย์ในรัชกาลท่ ๒ น้น มีข้อความกล่าวถึงพระเจ้าลูกยาเธอ
ั
ี
กรมหม่นเจษฎาบดินทร์ “กรมเจษฎ์ ทรงเป็นเจ้านายท่ฉลาด หลักแหลมท่สุดในบรรดา
ี
ี
ื
เจ้านายขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในราชส�านักสยาม”
อนึ่ง น่าสังเกตที่หลักฐานพระราชพงศาวดารกล่าวอย่างชัดเจนว่า ที่ประชุมพระ
ื
ราชวงศ์และเสนาบดีพร้อมใจกันอัญเชิญพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหม่นเจษฎาบดินทร์เสวย
ราชสมบัติโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านเลย การท่จะกล่าวว่าทรงแย่งราชสมบัติไปจากสมเด็จ
ี
พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎน้น จึงไม่มีหลักฐานปรากฏเป็นทางการแต่อย่างใด (พระ
ั
เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์, ๒๕๖๐ : ๑๔๐)
ดังนั้น เมื่อพระชนมพรรษาได้ ๓๗ พรรษา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่
�
หัว ก็ทรงกระทาพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสืบราชสันตติวงศ์สนองพระมหากรุณาธิคุณ
สมเด็จพระบรมราชบุรพการี เป็นพระมหากษัตริย์ล�าดับที่ ๓ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๓๖๗
56
������������������������ 2563 ������������.indd 56 21/10/2563 BE 13:44
พระราชกรณียกิจและพระราชปณิธาน
ั
ื
เม่อได้รับพระราชภาระเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วน้น ก็ทรงปกครองอาณา
�
ประชาราษฎร์โดยธรรม ทรงนาพาประเทศชาติให้ก้าวไปสู่ความเจริญให้ทุกๆ ด้าน เป็น
รัชสมัยแห่งความเจริญก้าวหน้าและการวางรากฐานทางเศรษฐกิจให้ประเทศชาติอย่าง
ิ
ิ
ย่ง เป็นยุคแห่งการเร่มต้นรับความเจริญก้าวหน้าจากตะวันตก โดยพยายามสร้างสมดุล
้
ั
ั
ิ
ั
ื
ั
็
ิ
กบการรกษาอธปไตยทงทางการเมองและวฒนธรรม ได้ทรงบาเพญพระราชกรณยกจ
�
ี
�
นาสยามรัฐนาวาฝ่าคล่นฝืนอุปสรรคมาด้วยพระวิริยะอุสาหะอย่างแรงกล้าสมาเสมอ
ื
่
�
ตลอดรัชกาล (ศาสตราจารย์พิเศษทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา, ๒๕๓๑ : ๕๕)
พระราชอัธยาศัยในส่วนพระองค์นั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
้
้
ุ
้
่
�
ั
ั
่
ื
็
ี
่
สมถะ แตทรงทมเทใหบานเมองอยางเตมท ทงยังใฝพระราชหฤทยในการบารงพระพทธ
ุ
่
ุ
่
ศาสนาและการศึกษาของแผ่นดิน ด้วยเหตุส�าคัญคือพระราชศรัทธาที่มีอยู่อย่างมั่นคง
จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่วไปในชั้นหลังนี้ว่า ในรัชกาลที่ ๑ นั้นใครเป็นทหารก็โปรด ใน
รัชกาลที่ ๒ ใครเป็นกวีก็โปรด ส่วนในรัชกาลที่ ๓ ใครสร้างวัดก็โปรด และไม่ใช่แต่จะ
ทรงท�านุบ�ารุงเพียงพระอารามอันเป็นศาสนวัตถุเท่านั้น หากทรงสนพระราชหฤทัย ใน
ั
ึ
เรองการศึกษาพระปริยติธรรม การจดระเบียบคณะสงฆ์ รวมไปจนถงเร่องของการศึกษา
ื
ื
ั
่
ซ่งในคร้งกระน้นยังไม่มีโรงเรียนสอนวิชาหนังสืออย่างเป็นระบบเช่นในปัจจุบัน แต่ฝาก
ั
ึ
ั
การศึกษาไว้ในวัดวาอารามต่างๆ (ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ, ๒๕๓๑ : ๓๓)
นอกจากน้ยังทรงใช้สอยพระราชทรัพย์อย่างมัธยัสถ์ เงินซ่งเป็นผลกาไรจากการ
�
ึ
ี
ั
ค้าสาเภาต้งแต่ก่อนเสวยราชย์แล้ว อันเป็นเงินส่วนพระองค์ ก็ทรงพระกรุณา โปรด
เกล้าฯ ให้บรรจุไว้ในถุงแดงเก็บไว้ในส่วนพระคลังข้างท่ เล่าสืบกันมาว่ามีพระราชดารัส
ี
�
ี
ให้เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ไถ่แผ่นดิน และในเวลาต่อมา พระราชทานทรัพย์น้ก็เป็นค่าปรับ
มอบให้แก่รัฐบาลฝร่งเศสในกรณีพิพาท ร.ศ.๑๑๒ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอม
ั
เกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์จึงมีแก่ประเทศชาติเป็นท่สุดหามิได้
ี
(ศาสตราพิเศษ ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา, ๒๕๓๑ : ๗๒)
ั
ี
เป็นท่ประจกษ์ว่า พระบาทสมเดจพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หวทรงมพระปรีชาญาณลึก
็
ี
ั
ั
ซึ้งเล็งเห็นการณ์ไกล ทรงติดตามเท่าทันกระแสพลวัตรแห่งโลก ดังกระแสพระราชดารัส
�
57
������������������������ 2563 ������������.indd 57 21/10/2563 BE 13:44
ื
เม่อก่อนเสด็จสวรรคตว่า “การศึกสงครามข้างญวน ข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว ม ี
ิ
ี
ั
่
ู
ี
็
ี
ั
อย่กแต่ข้างพวกฝรง ให้ระวงให้ดอย่าให้เสยทแก่เขาได้ การสงใดของเขา ท ี ่
่
คิดควรจะเรียนเอาไว้ ก็ให้เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว”
พระราชวิสัยทัศน์อันยาวไกล ไม่ทรงเป็นผู้ประมาท มีพระราชศรัทธากล้า และ
ี
�
ไม่ใฝ่หาประโยชน์ใส่พระองค์น้เอง ทาให้ทรงระลึกถึงความยุ่งยากแห่งการสืบสันตติวงศ์
ื
�
เม่อประชวรในช่วงท้ายแห่งพระชนม์ชีพ จึงมีพระราชดาริเร่องการสืบสันตติวงศ์ให้ชัด
ื
แจ้ง ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า
�
�
“....ทรงพระราชดาริมีพระราชดารัสว่า กรุงเทพมหานครศรีอยุธยา ขอบขัณฑ
เสมาอาณาจักรกว้างขวาง พระเกียรติยศก็ปรากฏไปทั่วนานาประเทศ ถ้าทรงพระมหา
ิ
ิ
ุ
ึ
่
กรณาพระราชทานอสรยยศมอบให้พระบรมวงศานวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนงซงพอ
ึ
ุ
่
พระทัย ให้ข้นเสวยราชสมบัติแทนพระองค์ต่อไป แต่ตามชอบอัธยาศัยในสมเด็จ
ึ
พระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวน้น เกลือกเสียสามัคคีรสร้าวฉาน ไม่ชอบใจไพร่ฟ้าประชาชน
ั
�
และคนมีบรรดาศักด์ผู้ทาราชกิจทุกพนักงาน ก็จะเกิดการอุปัทวภยันตรายเดือดร้อนแด่
ิ
พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎร
�
�
จะได้รับความลาบาก เพราะมิได้พร้อมใจกัน ด้วยกาลังทรงพระมหากรุณาเมตตากับ
ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นอันมาก ทรงพระกรุณาดารัสให้จดหมายกระแสพระราชโองการ
�
ปฎิญาณยกพระนาม พระรัตนตรัยสรณคมน์ อันอุดมเป็นประธานพะยานอันยิ่ง ให้เห็น
�
จริงในพระราชหฤทัยแล้ว ทรงพระราชดารัสยอมอนุญาตให้เจ้าพระยาคลัง ซ่งว่าท่สมุห
ี
ึ
พระกลาโหม พระยาศรีพิพัฒนรัตนราชโกษา พระยาราชสุภาวดีว่าท่สมุหนายกกับ
ี
ขุนนางผู้น้อยทั้งปวง จงมีความสโมสรสามัคคีรสปรึกษาพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าพระบรม
วงศานุวงศ์พระองค์ใดท่มีวัยวุฒิปรีชารอบรู้ราชานุวัตร เป็นศาสนูปถัมภกยกพระบวร
ี
พุทธศาสนา และปกป้องไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร รักษาแผ่นดินให้เป็นสุขสวัสดิ์โดย
ยิ่ง เป็นที่ยินดีแก่มหาชนทั้งปวงได้ ก็สุดแท้แต่จะเห็นดี ปราณีประนอมพร้อมใจกันยก
�
ั
ึ
พระบรมวงศ์องค์น้น�ข้นเสวยมไหสวรรยาธิปัตย์ถวัลยราชสืบสันตติวงศ์ดารงราช
ั
ประเพณีต่อไปเถิด อย่าได้เกร่งเกรงพระราชอัธยาศัยเลย เอาแต่ให้ได้เป็นสุขท่วหน้า
ิ
อย่าให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันให้ได้ความทุกข์ร้อนแก่ราษฎร” (พระราชพงศาวดาร
รัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี)
58
������������������������ 2563 ������������.indd 58 21/10/2563 BE 13:44
เป็นอันว่าท่ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี มีมติให้ทูลเกล้าฯ ถวายราช
ี
สมบัติแด่พระวชิรญาณภิกขุ หรือสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งได้เสวย
ราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเวลาต่อมา กล่าวกันว่าแม้
ั
ี
ั
ี
พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็มีพระราชประสงค์เย่ยงน้น ดังท่ไม่ทรง
ั
ื
สถาปนาพระอัครมเหสีเลยตลอดรัชกาลเพ่อขจัดปัญหาเร่องการแต่งต้งเจ้าฟ้ารัชทายาท
ื
ี
โดยท่สุดพระอนุชาและพระกนิษฐาผู้ร่วมพระชนนีเดียวกัน ก็ไม่โปรดสถาปนาพระอัฐ ิ
�
ึ
ึ
ข้นเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าซ่งท่จริงตามธรรมเนียมทรงสามารถกระทาได้ และเช่อกันว่าการท ่ ี
ื
ี
ทรงสร้างนภศูลของพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็นรูปมงกุฎก็เพ่อ
ื
แสดงพระราชเจตนารมณ์ที่จะให้เจ้าฟ้ามงกุฎด�ารงสิริราชสมบัติแทนพระองค์ต่อไป
แท้จริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรักและเมตตาสมเด็จ
ั
ี
พระอนุชาธิราช�เจ้าฟ้ามงกุฎเป็นท่ย่ง�ซ่งจะว่าไปแล้วทรงอยู่ในฐานะท่จะเป็นภัยต่อราช
ี
ึ
ิ
บัลลังก์ ถึงกระน้นก็ทรงชุบเล้ยงให้มีอิสริยฐานันดรอันสมควรแก่สมณะ โดยทรงต้งเป็น
ั
ี
ั
�
�
พระราชาคณะตาแหน่งเจ้าคณะรอง และโปรดให้กากับดูแลการสอบพระปริยัติธรรมอีก
ื
ึ
ด้วย อน่งเม่อความโปรดให้ พระวชิรญาณภิกขุมาครองวัดบวรนิเวศวิหารน้น ก็โปรดให้
ั
ั
แต่งกระบวนแห่อย่างพระมหาอุปราช น่นเป็นการแสดงพระราชประสงค์แห่งรัชทายาท
อีกนัยหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พระราชวิสัยทัศน์นี้เปลื้องความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความไม่
สงบเรียบร้อยแก่บ้านเมืองในคราวผลัดแผ่นดินได้อย่างน่าอัศจรรย์
�
ึ
“และการซ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงพระดาริ อนุญาตให้จัดแจงเจ้านาย
ผู้จะด�ารงทรงแผ่นดิน ในพระราชอาณาจักรแทนพระองค์ต่อไป โดยตามน�้าใจพระบรม
ื
วงศานุวงศ์เสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาท และจนถึงความนิยมชมช่นแห่งอาณาประชา
ั
ึ
�
ราษฎรท้งปวงจะมีจิตต์จานงปลงเห็นพร้อมกัน ไม่เอาแต่ตามพระราชอัธยาศัย อน่ง
ั
ิ
�
มิได้ว่าไว้ให้เน่นช้าจนเวลาพระอาการหนักลง ไม่ทรงดาริได้โดยปกติน้น ก็เป็นการ
ิ
มหัศจรรย์ย่งนัก ยากท่พระมหากษัตริย์พระองค์อ่นจะทรงได้ เพราะพระบรมราชวิสัย
ี
ื
ี
เป็นอุดมบัณฑิตมหาสาธุสัปบุรุษผู้ประเสริฐ มีพระมหากรุณาแก่นิกรมหาชนหาท่สุด
มิได้” (พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี)
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จด�ารงในสิริราชสมบัติเป็นเวลา ๒๖ ปี
59
������������������������ 2563 ������������.indd 59 21/10/2563 BE 13:44
๘ เดือน ๑๒ วัน ก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๓๙๔ พระชนมพรรษาได้ ๖๔
พรรษา ๒ วัน
พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย
ี
�
พระราชปณิธานสาคัญข้อหน่งของพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรท่นับถือ
ึ
�
ั
พระพุทธศาสนา คือการทรงบาเพ็ญปฏิบัติส่งสมพระบารมีเพ่อโพธิญาณ นาพระองค์
ื
�
เอง และสรรพชีวิตข้ามพ้นจากห้วงทุกข์ท้งปวงตามแนวคิดธรรมราชาซ่งดาเนินมาเสมอ
�
ั
ึ
ควบคู่กับแนวคิดพระจักรพรรดิราช
้
้
็
่
ั
่
้
่
่
ิ
ู
่
�
ั
พระบาทสมเดจพระนงเกลาเจาอยหวทรงดารงพระราชปณธานนีวาอยางแนวแน ่
จึงทรงบ�าเพ็ญพระราชกุศลนานาประการอย่างสม�่าเสมอ เป็นต้นว่า ทรงสร้างและท�านุ
บ�ารุงอารามน้อยใหญ่ทั้งภายในและภายนอกพระนคร ทรงมีพระราชศรัทธา อุปถัมภ์
�
ื
การสร้างและทานุบารุงอารามอ่นๆ อีกมาก ข้อมูลในหนังสือตานานวัตถุสถานท่ทรง
ี
�
�
สร้างในรัชกาลที่ ๓ ระบุว่าทรงสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดจ�านวนถึง ๗๓ วัด ตลอดรัช
สมัย ทรงกระท�าสัตสดกมหาทาน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหาทานอันวิเศษ พระราชปณิธานนี้
ปรากฏชัดในจารึกท่ฐานพระสมุทรเจดีย์ จงหวดสมุทรปราการ ความตอนหน่งว่า “ทรง
ั
ั
ึ
ี
พระราชศรัทธา สถาปนาพระสมุทรเจดียสถาน การพระราชกุศลทั้งนี้ใช่จะมี
พระราชประสงค์สมบัติจักรพรรดิ แลสมบัติเทพยุดา อินทร์ พรหมหามิได้ ปลง
พระทัยแต่จะให้สาเร็จแก่พระสรรเพชญโพธิญาณจะร้อขนสัตว์ให้พ้นจาก
�
ื
สงสารทุกข์”
นอกจากสร้างพระอาราม และบ�าเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ แล้ว ทรงพระราชด�าริ
ว่าการศึกษาสรรพวิชาความรู้ต่างๆ เป็นสิ่งส�าคัญ นอกจากจะพัฒนาคนได้แล้ว ยังจะ
สามารถพัฒนาชาติต่อไปได้อีกด้วย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึกบรรดาสรรพ
ี
วิชาติดไว้ตามสถานท่ในพระอารามต่างๆ โดยทรงมุ่งหมายให้คนท่เข้ามาสักการะ
ี
ื
�
ปูชนียวัตถุสถาน หรือเข้ามาชมศิลปวัตถุได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ตามกาลังเพ่อประดับ
้
ั
สตปัญญาเป็นประโยชน์แก่ตนต่อไป ทงยงเป็นการอนุรกษ์องค์ความร้ต่างๆ ของชาต ิ
ั
ั
ู
ิ
ให้ด�ารงอยู่ตลอดไปอีกด้วย
60
������������������������ 2563 ������������.indd 60 21/10/2563 BE 13:44
สรรพวิชาทั้งปวงที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึกไว้นั้น มีมากมาย หลาย
แขนง ต้งแต่ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี รัฐศาสตร์ คติชนวิทยา ภาษา
ั
ศาสตร์ฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเภสัชศาสตร์ และการแพทย์แผนไทย ด้วยมีพระราช
ประสงค์ดังว่า
“เป็นประโยชน์นรชาติสิ้น สบสถาน
เฉกเช่นโอสถทาน ท่านให้
พูนเพิ่มพุทธสมภาร สมโพธิ์ พระนา
ประกาศพระเกียรติยศไว้ ตราบฟ้าดินสูญ
(โคลงภาพฤๅษีดัดตน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม)
แหล่งสาธารณวิชาการแพทย์แผนไทยตามพระราชประสงค์
ั
ี
ี
ในปัจจุบันพบว่า จารึกเก่ยวกับการแพทย์แผนไทยท่พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้า
ั
�
ึ
เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้นน้น ยังเหลืออยู่ในพระอารามสาคัญ ๒
แห่ง คือ วัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร และวัดพระเชตุพนวิมล
มังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
61
������������������������ 2563 ������������.indd 61 21/10/2563 BE 13:44
วัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร
่
ั
พระบาทสมเด็จพระนงเกล้าเจ้าอยู่หว ทรงบรณะวดจอมทองมาต้งแต่ก่อนเสวย
ั
ั
ั
ู
ราชสมบัติด้วยศิลปะแบบพระราชนิยม ได้รับแรงบันดาลใจเชิงช่างมาจากศิลปะจีน ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอุโบสถ พระวิหาร การเปรียญ รวมไปถึง เสนาสนะ
ั
สงฆ์ต่างๆ ตกแต่งประดับด้วยลวดลายท้งหลายเป็นศิลปกรรมแบบจีนโดยมาก หน้าบัน
ื
ี
ก็ให้ตกแต่งด้วยกระเบ้องเคลือบเป็นลวดลายกระบวนจีน เจดีย์เปล่ยนรูปทรงเป็นถะ
เป็นต้น
คร้นแล้วเสร็จได้น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธ
ั
เลิศหล้านภาลัยได้พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดราชโอรส” ซึ่งหมายถึงวัดที่ พระราช
โอรสของพระเจ้าแผ่นดินทรงสร้าง ทั้งนี้ด้วยตั้งพระราชหฤทัยประจงให้งามอย่างแปลก
มิใช่สร้างแต่พอเป็นกิริยาบุญ (สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์, สมเด็จฯ
กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ, ๒๕, ๒๕๐๐ : ๒)
62
������������������������ 2563 ������������.indd 62 21/10/2563 BE 13:44
นอกจากพระราชประสงค์ในทางการกศลแล้ว เป็นไปได้ว่าทรงตระหนกว่า ใน
ุ
ั
ั
ี
ิ
ช่วงเวลาน้นถือเป็นจุดเร่มต้นของช่วงหัวเล้ยวหัวต่อระหว่างยุคสมัยเก่ากับสมัยใหม่
ั
ี
ิ
็
เพราะเป็นเวลาท่ชาติตะวนตกเร่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในสยามประเทศ พระบาทสมเดจพระ
น่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า�สืบไปเบ้องหน้าวิชาการความรู้อย่างเก่าของไทยจะเส่อม
ื
ั
ื
โทรมไป เพราะรับวิทยาการใหม่ๆ เข้ามาแทนท่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึก
ี
ื
ตารายาไว้ท่วัดราชโอรสารามเป็นปฐม เม่อพุทธศักราช ๒๓๖๔ โดยจารึกลงบนแผ่นหิน
�
ี
อ่อนสีเทารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ ๓๓ เซนติเมตร โดยจารึกเนื้อหาในแนว
ทแยง แต่ละแผ่นเป็นต�ารายารักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ เช่น ยาแก้โรคส�าหรับบุรุษ ยา
แก้โรคลม ยาแก้โรคลมชัก เป็นต้น ประดับไว้ที่ผนังด้านนอกของระเบียงพระวิหารพระ
พุทธไสยาสน์ และผนังศาลารายหน้าพระอุโบสถ ๒ ศาลา ไม่แน่ชัดว่าแต่เดิมมีกี่แผ่น
แต่ก่อนการบูรณะพระอารามในปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ มีจ�านวน ๙๒ แผ่น แต่ปรากฏ
เหลือในปัจจุบันเพียง ๕๐ แผ่น
�
ก่องแก้ว วีรประจักษ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือจารึกตารายาวัดราชโอรสาราม
ี
ั
ราชวรวิหารว่า พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงริเร่มเปล่ยนแปลงระบบการ
ิ
63
������������������������ 2563 ������������.indd 63 21/10/2563 BE 13:44
เรียนการสอนจากแบบเดิม ซึ่งครูเป็นผู้สอนวิชาความรู้แก่ศิษย์ มาเป็นระบบใหม่ให้ผู้
�
ื
�
เรียนเป็นศูนย์กลาง กาหนดวัตถุประสงค์เพ่อการศึกษาให้แก่ตนเองโดยไม่จากัดเพศ
�
และวัยโดยโปรดให้สร้างตาราเรียนด้วยวิธีจารึกลงบนแผ่นศิลา ติดไว้ตามระเบียงพระ
วิหารภายในวัดราชโอรสาราม อันเป็นท่สาธารณะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตาม
ี
ประสงค์ของตนเอง แนวพระราชด�าริในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันสูงส่ง
ิ
และก้าวลาทันสมัยย่งนัก เพราะในปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการก็มีนโยบายให้ผู้เรียน
้
�
เป็นศูนย์กลาง ก�าหนดวัตถุประสงค์การศึกษาด้วยตนเองเช่นเดียวกัน
ี
การท่พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกสร้างจารึกตารายา
ั
�
พระราชทานแก่ประชาชนเป็นวิชาแรกน้น นอกจากพระราชปณิธานในการพระราชกุศล
ั
ี
ท่จะพระราชทานโอกาสให้ผู้คนได้ศึกษาเพ่อปลดเปล้องตนเองออกจากความทรมาน
ื
ื
ื
้
่
ั
ั
ี
ึ
ี
้
ื
เร่องโรคภัย รวมถงการพฒนาสมมาชพเพอเลยงตนแลว คงเนองดวยพระราชวนิจฉย ๒
ั
ิ
ื
้
่
ประการ คือ
๑. ลดภาระความยุ่งยากในการศึกษาวิชาแพทย์แผนไทย เนื่องจากในสมัยก่อน
การเรียนการสอนวิชาชีพ เช่น วิชาแพทย์น้น ใช้วิธีศึกษามุขปาฐะจากครู แล้วนามาท่อง
�
ั
หรือฝึกฝนให้จาจนข้นใจเอง การศึกษาวิธีน้ผู้เรียนมักต้องเข้ามาอาศัยกินอยู่ในบ้านของ
ี
�
ึ
ครู ช่วยปฏิบัติงานทุกอย่างในบ้าน ปรนนิบัติรับใช้ครูตลอดเวลา รวมถึงเป็นผู้ติดตาม
�
ั
ิ
ั
ขณะปฏิบัติหน้าท่ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานจึงจะได้วิชาท้งส้น ท้งบางทีอาจจดจา
ี
ั
�
ี
วิชาไม่ได้ท้งหมด หรืออาจจะจดจาคลาดเคล่อนผิดเพ้ยนสูญหายไปบ้าง ผู้เรียนสาเร็จ
�
ื
ได้ผลดีจึงมีจ�านวนน้อย ท�าให้ประเทศประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
ผู้ช�านาญการ ไม่พอกับความต้องการของบ้านเมืองที่ก�าลังพัฒนา พระบาทสมเด็จพระ
น่งเกล้าเจ้าอยู่หัวคงจะได้ทรงเล็งเห็นความยุ่งยากนี้ จึงพระราชทานตาราเป็นอย่าง
�
ั
สาธารณศึกษา
๒. พัฒนาคุณภาพประชากร เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยเป็นเรื่องส�าคัญ ใกล้
�
ั
�
ตัว และจาเป็นต่อการดารงชีพ ท้งยังมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพของประชากร โดยเฉพาะ
ในสภาวะที่ชาติก�าลังต้องการแรงงานในการสร้างบ้านแปงเมือง รวมถึงเป็นวิธีการเพิ่ม
จ�านวนประชากรของชาติด้วย
64
������������������������ 2563 ������������.indd 64 21/10/2563 BE 13:44
จารึกต�ารายาวัดราชโอรสาราม จึงเป็นประจักษ์พยานถึงพระราชวิสัยทัศน์ อัน
ึ
ั
กว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
ื
ั
ึ
บันทึกข้นไว้เป็นคร้งแรก ก่อนการสร้างจารึกเร่องการแพทย์แผนไทยวัดพระเชตุพนวิมล
มังคลารามถึงประมาณ ๑๐ ปี ด้วยเหตุนี้ จึงมีนักวิชาการสันนิษฐานว่า จารึกต�ารายา
วัดราชโอรสาราม อาจเป็นการทดลองสร้างจารึกข้นตามแนวพระราชดาริ ในเวลาต่อมา
ึ
�
ี
�
เม่อทรงเห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทาท่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ื
เป็นการสมบูรณ์ (พิมพ์พรรณ ไพบูลย์หวังเจริญ, ๒๕๔๕ : ๒๙)
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
ี
ุ
ั
้
ั
ุ
่
ื
เดมชอ“วดโพธาราม” สนนษฐานว่าสร้างมาแต่ครงกรงศรอยธยา ราวรชกาล
ิ
ั
ิ
ั
สมเด็จพระเพทราชา เป็นเพียงวัดเล็กๆ อยู่ในเขตตาบลบางกอก ต่อมาในสมัยกรุงธนบุร ี
�
ได้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงมีพระราชาคณะปกครอง ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
สถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม พระราชทานนามว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส
และมาเปลี่ยนสร้อยนามของวัดเป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในรัชกาลที่ ๔
65
������������������������ 2563 ������������.indd 65 21/10/2563 BE 13:44
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชด�าริว่า วัดพระเชตุพนฯ มี สภาพ
ทรุดโทรมมาก ด้วยว่างเว้นการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นเวลากว่า ๓๐ ปี จึงทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้ท�าการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ทั้งพระอาราม ในการนี้ได้พระราชทาน
มรดกอันล�้าค่าซึ่งล้วนแต่เป็นภูมิปัญญาของคนไทยให้เป็นสมบัติของชาติ คือ ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรดา นักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยกันตรวจสอบช�าระต�ารา สรรพ
วิชาความรู้ต่างๆ เช่น ต�ารากวีนิพนธ์ ต�ารามานุษยวิทยา ท�าเนียบต่างๆ ต�าราแพทย์
แผนโบราณ ต�ารายา ฯลฯ พิจารณาเลือกสรรแต่ฉบับที่ดี และลงความเห็นว่า ถูกต้อง
ิ
แน่นอนแล้ว จารึกลงแผ่นศิลาประดับไว้ตามอาคารและส่งก่อสร้างภายในพระอาราม
เช่น พระอุโบสถ พระวิหาร ระเบียงคด และศาลารายต่างๆ เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้แก่
ราษฎรที่ใฝ่รู้สนใจในต�าราวิชาการเหล่านี้ จะได้ศึกษาค้นคว้าเล่าเรียนให้กว้างขวางยิ่ง
ขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่มีพระราชด�าริให้วัดพระเชตุพนฯ เป็นของ
ี
ั
�
มหาชนทุกชนช้น ด้วยเหตุน้ จึงมีคากล่าวว่า วัดพระเชตุพนฯ คือมหาวิทยาลัยแห่ง
แรกของเมืองไทย (อรวรรณ ทรัพย์พลอย, ๒๕๕๕ : ๕) โดยปรากฏหมายรับสั่งเรื่อง
ทรงพระราชศรัทธาให้จารึกต�ารายาและสรรพอักษรต่างๆ ลงในแผ่นศิลาจารึก ติด ณ
วัดพระเชตุพน จุลศักราช ๑๒๐๕ พุทธศักราช ๒๓๘๖ ความตอนหนึ่งว่า
“....ทรงพระราชศรัทธาให้จารึกต�ารายา แลสรรพอักษรต่างๆ ลงแผ่นศิลา ติดวัด
พระเชตุพน ได้เกณฑ์แผ่พระราชกุศลให้เจ้าต่างกรม เจ้าหากรมมิได้ แลข้าราชการ ผู้ใหญ่
ผู้น้อย ฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือน จารึกศิลามาติดผนังไว้เสร็จแล้วเปนอันมาก บัดนี้ทรง
ึ
พระราชศรัทธาให้บอกข้าราชการซ่งยังไม่ได้ต้องเกณฑ์จารึกแผ่นศิลาใส่วัดพระเชตุพน
นั้น....
ี
ั
ึ
ื
...ผู้ซ่งต้องเกณฑ์ท้งน้ไปรับแผ่นศิลา ณ วังกรมหม่นไกสรวิชิตมาจารึกให้งามดีถูก
ต้องตามตัวอย่างแต่ ณ วันเดือนอ้าย ขึ้น ๑๑,๑๒ ค�่า ท�าให้แล้วใน ๑๕ วัน แล้วให้เอา
ึ
�
�
ไปส่ง ณ วังกรมหม่นไกสรวิชิต เจ้าพนักงานจะได้นาแผ่นศิลาจารึกผู้ซ่งต้องเกณฑ์ทาเข้า
ื
ทูลเกล้าถวายจบพระหัตถ์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยอย่าให้ขาดได้ตามรับสั่ง”
ใบบอกฉบับนี้ นอกจากท�าให้ทราบถึงวิธีการท�างานในครั้งนี้แล้ว ยังสะท้อนให้
เห็นพระราชศรัทธาและความเอาพระราชหฤทัยใส่ในการสร้างจารึกสรรพวิชาในครั้งนี้
ด้วย
66
������������������������ 2563 ������������.indd 66 21/10/2563 BE 13:44
ศิลาจารึกสรรพวิชาในครั้งนั้นมีมากถึง ๑,๔๔๐ รายการ จ�าแนกเป็น ๖ หมวด
ดังนี้
๑. หมวดพระพุทธศาสนา จ�านวน ๓๑๐ แผ่น มี ๑๒ เรื่อง
๒. หมวดเวชศาสตร์ จ�านวน ๖๐๘ แผ่น มี ๙ เรื่อง
๓. หมวดวรรณคดีและสุภาษิต จ�านวน ๓๔๑ แผ่น มี ๑๑ เรื่อง
๔. หมวดท�าเนียบ จ�านวน ๑๒๔ แผ่น มี ๓ เรื่อง
๕. หมวดประวัติ จ�านวน ๒๑ แผ่น มี ๒ เรื่อง
๖. หมวดประเพณี จ�านวน ๓๖ แผ่น มี ๑ เรื่อง
ส�าหรับหมวดเวชศาสตร์ มี ๙ เรื่อง ได้แก่ ต�ารายา แผนเส้น แผนฝี แผนปลิง แม่
ื
�
ซ้อ ลาบองราหู (ตะบองราหู) โองการปัดพิษแสลง อาธิไท้โพธิบาท และโคลง หรือ โคลง
ึ
ื
�
ฤๅษีดัดตนซ่งน่าสนใจว่าตารายาและตาราแพทย์ ซ่งมีท้งรายละเอียดเน้อหาและภาพ
ึ
�
ั
ั
ั
ั
ุ
้
ุ
ี
�
จาลองสมมตฐานและการรกษาโรคแล้ว ในวดพระเชตพนฯ นยงทรงพระกรณาโปรด
ุ
ิ
เกล้าฯ ให้หล่อรูปฤๅษีดัดตนไว้เพ่อแสดงท่าทางการทาโยคะเพ่อรักษาอาการต่างๆ ด้วย
ื
ื
�
ดังปรากฏเนื้อความในโคลงฤๅษีดัดตนไว้ว่า
“ให้พระประยุรญาติผู้ เปนกรม หมื่นแฮ
ณรงค์หริรักษ์ระดม ช่างใช้
สังกะสีดีบุกผสม หล่อรูป
นักสิทธิ์แปดสิบให้ เทิดท่าดัดตน
67
������������������������ 2563 ������������.indd 67 21/10/2563 BE 13:44
เสร็จเขียนเคลือบภาคพื้น ผิวกาย
ตั้งทุกศาลาราย รอบล้อม
อาวาสเชตวันถวาย นามทั่ว องค์เอย
จารึกแผ่นผาพร้อม โรคแก้หลายกล”
แสดงให้เห็นว่ามีพระราชประสงค์จะให้การศึกษาด้านการแพทย์แผนไทยด้วย
ั
ี
ี
ื
ตนเองท่วัดพระเชตุพนฯ น้สัมฤทธิผลสูงสุด โดยผ่านการศึกษาท้งในเชิงเน้อหา รูปภาพ
�
ี
และรูปจาลองน้ก็ด้วยพระราชประสงค์สาคัญเช่นเดียวกับท่ได้วิเคราะห์ไว้ในคราวทรง
ี
�
สร้างศิลาจารึกวัดราชโอรสาราม ราชวรวิหาร แต่เป็นการต่อยอดให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
โดยยังคงพระราชปณิธานแน่วแน่เช่นเดิมว่า
“จารึกยาปลดเปลื้อง ปละวรรณ โรค
ฉลักศิลารายเรียง เรื่องล้วน
ตราผนงและเสาสรรพ์ สบรอบ ราพ่อ
ปองประโยชน์ทานถ้วนสิ้น ส�่าชน”
(โคลงดั้นสรรเสริญพระเกียรติปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน)
อีกหนึ่งประจักษ์พยาน ที่ยืนยันคุณค่าของจารึกสรรพวิชาที่พระบาทสมเด็จพระ
น่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้ ณ พระอารามแห่งน้แล้วพระราชทานให้เป็นมรดกของ
ี
ั
ุ
้
ึ
ชาต ตลอดจนมรดกของโลก เกิดขนในการประชมคณะกรรมการแห่งภูมภาคเอเชีย
ิ
ิ
แปซิฟิก ว่าด้วยแผนงานความทรงจ�าแห่งโลกของยูเนสโก (UNESCO Memory of the
World Regional Committee for Asia/Pacific-MOWCAP) ณ กรุงแคนเบอร์ร่า
ึ
ประเทศออสเตรเลีย ซ่งมีมติรับรองจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ข้นทะเบียนเป็น
ึ
มรดกแห่งความทรงจ�าแห่งโลกในระดับนานาชาติ ในวาระการประชุมคณะกรรมการที่
ี
ั
�
ปรึกษานานาชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจาแห่งโลกของยูเนสโก คร้งท่ ๑๐ (The
Tenth Meeting of the International Advisory Committee for the Memory of the
World Programmed of UNESCO) ณ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เมืองแมนเชสเตอร์
สหราชอาณาจักร
68
������������������������ 2563 ������������.indd 68 21/10/2563 BE 13:44
ี
ั
จากพระราชปณิธานและพระราชกรณียกิจท่ยกมาโดยสังเขปท้งหมดน้ จึงสามารถ
ี
�
กล่าวได้ว่า องค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยยังดารงตกทอดมาถึงสมัยปัจจุบัน เป็น
่
้
�
้
ิ
็
ุ
ิ
ิ
ุ
เคร่องสาแดงภูมปญญาลาเลศไมดอยกว่าชาตใดในโลกได้ กด้วยอาศัยพระมหากรณาธคณ
ื
�
ั
ิ
�
ั
ของพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลไทยตระหนักและสานึกในพระ
มหากรุณาธิคุณ ตลอดจนพระปรีชาญาณ จึงมีมติเห็นชอบการถวายพระราชสมัญญา
“พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย”
แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และ ก�าหนดให้วันที่ ๒๙ ตุลาคม ของ
ทุกปี เป็น “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” ตามที่กระทรวงสาธารณสุข
เสนอและให้กระทรวงสาธารณสุขด�าเนินการต่อไป
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒ ตอนพิเศษ ๑๕๐ ง วันที่ ๓๐ มิถุนายน
๒๕๕๘ ความว่า
69
������������������������ 2563 ������������.indd 69 21/10/2563 BE 13:44
ประกาศส�านักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง การถวายพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย”
แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า
และก�าหนดให้ วันที่ ๒๙ ตลุาคม ของทุกปี
เป็น “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ”
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า มีพระมหากรุณาธิคุณ
ล้นเกล้าล้นกระหม่อม แก่ปวงชนชาวไทยนานัปการ พระราชกรณียกิจที่ส�าคัญยิ่ง ประการ
หนง คอ การรวบรวมองค์ความร้ด้านการแพทย์แผนไทยมาเผยแพร่ในวงกว้าง ทาให้
ึ
�
ื
ู
่
ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเป็นรากฐานของชาติไทย และตามหลักฐานจารึกแผ่นศิลาว่า
ด้วยการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร และได้ทอดพระเนตรเห็น
พระอุโบสถ พระวิหาร พระระเบียง กุฏิเสนาสนะต่างๆ ช�ารุดปรักหักพังมาก จึงมีพระราช
ื
ี
ื
ศรัทธาจะปฏิสังขรณ์และขยายพ้นท่ให้มากกว่าเดิมและมีพระบรมราชโองการให้ร้อพระ
ึ
ิ
ี
ิ
�
อโบสถเดม และก่อเสนาสนะสงฆ์ต่างๆ มการจารกตาราการแพทย์แผนไทยตดประดบไว้
ั
ุ
ี
ั
ตามศาลาราย เช่น แผนฝีดาษ ฝียอดเดยว แผนชลลกะ แผนลาบองราหู แผนกมารและ
ุ
�
ุ
แม่ซื้อ อีกทั้งมีการจัดสร้างรูปฤๅษีดัดตน ตั้งไว้ศาลาละ ๔–๕ รูป รวม ๑๖ หลัง ซึ่งองค์การ
การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศรับรองให้
ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นมรดกความทรงจาแห่งโลก
�
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ท�าให้การแพทย์แผนไทยมี
ความเจริญรุ่งเรือง เกิดคุณูปการแก่ประชาชนในวงกว้าง ด้วยส�านึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ื
และเพ่อเป็นการเทิดพระเกียรติและแสดงถึงความกตัญญูกตเวที กระทรวงสาธารณสุขจึงเห็น
สมควรถวายพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” แด่พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า และก�าหนดให้วันที่ ๒๙ ตุลาคม ของทุกปี
เป็น “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ”
บัดนี้ คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ เห็นชอบการถวายพระ
ราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่
ี
หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า�และการกาหนดให้วันท่ ๒๙ ตุลาคมของทุกปีเป็น “วันภูมิปัญญา
�
การแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
70
������������������������ 2563 ������������.indd 70 21/10/2563 BE 13:44
สมุททานุภาพ
สมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พลเรือโท วิเลิศ สมาบัติ : เรียบเรียง
71
������������������������ 2563 ������������.indd 71 21/10/2563 BE 13:44
สมุททานุภาพ
สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ยามที่สยามมีสมุททานุภาพเข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะ
มั่งคั่งและมั่นคง ดังเช่น อาณาจักรสุโขทัย เมื่อสามารถควบคุมการค้าทางทะเลได้ทั้งฝั่ง
ั
ื
�
อ่าวไทยและอันดามัน คร้นเม่ออาณาจักรอยุธยาเรืองอานาจ ได้ครอบครองเส้นทางการ
ค้าท้งสองฝั่งทะเลแทนอาณาจักรสุโขทัย โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
ั
มหาราช (พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑) การค้าทางทะเลยิ่งเฟื่องฟู สามารถท�าให้อาณาจักรของ
ั
ิ
ื
ั
พระองค์ม่งค่งและม่นคงอย่างย่ง แม้เม่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายเม่อต้น พ.ศ.๒๓๑๐
ื
ั
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พ.ศ.๒๓๑๑-๒๓๒๕) ทรงกอบกู้เอกราชของชาติได้
รวดเร็วภายในปีนั้น เพียงเวลา ๗ เดือนเศษ กู้ชาติส�าเร็จสมความมุ่งหมาย ก็เพราะทรง
มีกองก�าลังทางเรือที่แข็งแกร่ง สามารถเคลื่อนทัพจู่โจมข้าศึกได้รวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว
ตัวอย่างที่กล่าวมา ได้พยายามชี้ให้เห็นว่าว่า สมุททานุภาพ (Sea Power) คือ
ส่วนหนึ่งของพลังอ�านาจแห่งชาติที่รัฐชายฝั่งทะเลสามารถพัฒนาให้มีศักยภาพ ในการ
ั
ใช้ทะเลให้บรรลุเป้าหมายของการสร้างความม่นคงม่งค่งได้อย่างมีประสิทธิผลและย่งยืน
ั
ั
ั
ดังปรากฏในประวัติศาสตร์มาแล้ว
*
สมุททานุภาพ (Sea Power หรือ Maritime Power) คือ หลักทฤษฎีสากล
ี
่
ั
ิ
ี
้
ื
ี
�
ของประเทศมหาอานาจในยโรปทพนท่ต้งประเทศทางภูมศาสตร์มชายฝั่งทะเล สร้าง
ุ
ึ
�
�
�
กาลังอานาจแห่งชาติทางทะเลของรัฐชายฝั่งอันเป็นส่วนหน่งของกาลังอานาจแห่งชาต
�
ิ
ประกอบด้วย พลังอานาจทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร เป็นปัจจัยท่ทาให้
�
�
ี
รัฐชายฝั่งทางทะเล มีขีดความสามารถในการใช้ทะเล เพ่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้าง
ื
ความมั่งคั่งและมั่นคงให้แก่รัฐ เจ้าของทฤษฎีนี้ คือ พล.ร.ต.อัลเฟรด เธเยอร์ มาฮาน
(Alfred Thayer Mahan) นายทหารเรือของกองทัพเรืออเมริกัน มุ่งหวังให้เห็น
* สมุททานุภาพ เป็นการผสมค�าระหว่าง สมุทร (ทะเล) กับ อานุภาพ (ก�าลังอ�านาจ) อีกทั้งยังมีความหมาย
สอดคล้อง กับต้นฉบับภาษาอังกฤษด้วย ความหมายโดยรวมของสมุททานุภาพ
มีบริบทเชนเดียวกับที่มาฮานไดลขิตไว้ก็คือ “อ�านาจก�าลังอ�านาจ หรือศักยภาพของชาติ (หรือรัฐใด รัฐหนึ่ง)
ในการที่จะใช้ทะเลให้เกิดประโยชนตามที่ต้องการ” จาก "ราชนาวิกสภา”
72
������������������������ 2563 ������������.indd 72 21/10/2563 BE 13:44
ว่า “รัฐชายฝั่ง”ย่อมใช้ทะเลและมหาสมุทรอย่างมีประสิทธิผลเพ่อการแสวงหาผล
ื
ประโยชน์ ทั้งการสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงของรัฐชายฝั่ง โดยสมุททานุภาพประกอบ
ด้วย กองทัพเรือ กองเรือพาณิชย์ ฐานทัพ ท่าเรือ และสิ่งอ�านวยความสะดวกต่างๆ ที่มี
ความเข้มแข็ง และมีศักยภาพสูง ในการค้าขายทางทะเล รวมทั้งการป้องกันการค้าและ
การป้องกันประเทศทางทะเลด้วย
หนังสือเร่อง “อิทธิพลของสมุททานุภาพ ท่มีต่อประวัติศาสตร์ ค.ศ. 1660 – 1783
ี
ื
(The Influence of Sea Power Upon History : 1660 - 1783)” ของ
ั
ื
พล.ร.ต.อัลเรด เธเยอร์ มาฮาน ได้ตีพิมพ์คร้งแรกเม่อ ค.ศ.1890 คือ พุทธศักราช ๒๔๓๓
ปรากฏในเวลาต่อมาว่า เป็นหนังสือที่ผู้น�าประเทศและผู้น�ากองทัพเรือทั่วโลก ใช้ศึกษา
ั
ั
่
ุ
�
ั
ุ
ั
เกยวกบสมททานภาพ เพราะได้ประจกษในความสาเร็จจากตวอยางประวติศาสตร์ การ
ี
์
่
สร้างความม่นคงของประเทศอังกฤษ ในการใช้พลังสมุททานุภาพแสวงหาอาณานิคม
ั
และทรัพยากรจากโพ้นทะเล ด้วยกาลังเรือรบและเรือสินค้า ทาให้อังกฤษก้าวข้นมาเป็น
�
ึ
�
มหาอ�านาจทางทะเลอีกทางหนึ่งของโลกในยุคนั้น
จึงเป็นที่สังเกตว่า ทฤษฏีสมุททานุภาพ ของ พล.ร.ต.อัลเฟรด เธเยอร์ มาฮาน
ั
ั
น้นได้ เกิดหลังรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอย ู่
หัวผ่านไปแล้วหลายปี ล่วงกาลเวลามาถึง รัชกาลพระบาท
ี
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ ๕ เป็นช่วงท ี ่
ั
ั
ประเทศนักล่าอาณานิคมท้งอังกฤษและฝร่งเศสคุกคามไทย
หนัก
ั
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เหตุการณ์สามารถหย่ง
เห็นพระปรีชาญาณ ในพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้อย่างดีว่า ทรงได้เล็งเห็น
ั
แล้วว่า พวกฝรั่งใช้ สมุททานุภาพแผ่อิทธิพลเข้ามาสู่สยามไม่ว่าจะด้วยบทบาทใดก็ตาม
ล้วนย่งใหญ่ท้งกองเรือรบและเรือสินค้าท่เข้มแข็ง มุ่งหวังผลประโยชน์และรอโอกาส
ิ
ี
ั
เพล่ยงพลาพร้อมคุกคาม ประเทศสยามทุกเวลา จึงทรงต้งรับด้วยวิเทโศบายอันสุขุม
ี
ั
้
�
นานาประการ
�
จาเป็นต้องเข้าใจว่า ในอดีตประเทศไทยหรือสยามใช้ยุทธศาสตร์การรบ ในการ
73
������������������������ 2563 ������������.indd 73 21/10/2563 BE 13:44
�
�
ป้องกันประเทศและแผ่ขยายอาณาเขตด้วยกาลังอานาจทางบกเป็นหลัก ต�ารา
ิ
ี
ั
�
ั
ั
ยุทธศาสตร์ท้งหลายว่าด้วยการต้งทัพเป็นตาราของทหารบกท้งส้น ยังไม่มีทัพเรือท่แยก
ออกเป็นกองทัพเฉพาะ นอกจากมีหน้าที่สนับสนุนในการยกพล ขนอาวุธหนัก เช่น ปืน
ใหญ่ อาวุธที่ล�าเลียงไปเพื่อเสริมก�าลังทัพบกเป็นส�าคัญ ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือ ชาว
ื
�
ี
้
ไทยมีความผาสุกกับแผ่นดินมากกว่าท้องทะเล เพราะบนบกมีพ้นดินและแหล่งนาท่ม ี
�
�
�
ความอุดมสมบูรณ์ต่อการดารงชีพ ทาให้ขาดความสนใจท้องทะเล เป็นผลถึงความจาเป็น
ั
ื
ในการก่อต้งทหารเรือเพ่อสร้างความม่นคงอีกทางหน่งของชาติ ซ่งในรัชสมัยแห่ง
ึ
ั
ึ
�
ั
พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตระหนักถึงความจาเป็นในการศึกท่ไทย
ี
ต้องรบกับญวนในเขมร หัวเมืองประเทศราชของไทย เรียกว่า “อานามสยามยุทธ” ใช้
เวลาในการรบ ๔ ครั้ง เป็นเวลานานถึง ๑๔ ปี จึงทรงวางรากฐานให้มีกองทัพเรือขึ้น
ทรงบ�ารุงให้เข้มแข็งมั่นคงคู่กับกองทัพบกในเวลาต่อมา
นักวิเคราะห์มีความเห็นว่า ในการเสริมสร้างก�าลังอ�านาจทางทะเล หรือ สมุท
ี
ทานุภาพ จึงนับเป็นเร่องยากต่อพระองค์ท่านท่จะสร้างสมุททานุภาพให้แก่สยาม แต่
ื
เพื่อความมั่งคั่งและความมั่นคงของประเทศ และด้วยพระปัญญาบารมีอันเป็นอัจฉริยะ
ของพระองค์ท่าน ได้บันดาลให้สยามมีสมุททานุภาพข้นมาได้จากการค้าต่างประเทศ
ึ
และ ดาเนินวิเทโศบายการต่างประเทศด้วยการผ่อนปรนเพ่อรักษาประโยชน์ชาติเป็น
�
ื
ส�าคัญ
ทรงสร้างกองทัพเรืออย่างเข้มแข็ง
ทั้งนี้ ในส่วนก�าลังทางบกนั้น ทรงมีแม่ทัพที่เข้มแข็ง คือ เจ้าพระยาบดินทรเดชา
(สิงห์ สิงหเสนี) เป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว จึงท�าให้ทรงเบาพระราชหฤทัยและสามารถมุ่งไปสู่
การพัฒนาก�าลังทางเรือได้เป็นอย่างดี ด้วยการที่ทรงเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการค้าขายทาง
เรือเป็นอย่างดีต้งแต่คร้งทรงดารงพระอิสริยยศพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหม่นเจษฎา
�
ั
ั
ื
�
ี
�
บดินทร์ ทรงกากับราชการกรมท่า ในสมัยรัชกาลท่ ๒ ทรงแต่งสาเภาบรรทุกสินค้าออก
ิ
�
ไปค้าขายต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ทาให้สยามมีรายได้เพ่มข้นในท้องพระคลังเป็น
ึ
อันมาก พระราชบิดาทรงตรัสล้อเรียก พระองค์ว่า “เจ้าสัว” เพราะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ั
ึ
ั
ได้ดีกว่าผู้ใดในเวลาน้น ตราบกระท่งพระองค์ได้เสด็จข้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จ
้
ึ
ุ
ั
พระบรมชนกนาถ การพฒนาสมททานุภาพของสยามจงมความเด่นชดมากขน ทรง
ั
ี
ึ
74
������������������������ 2563 ������������.indd 74 21/10/2563 BE 13:44
�
ึ
�
สนับสนุนให้มีการต่อเรือข้นอีกเป็นจานวนมาก ทรงมีเรือกาปั่นพาณิชย์ประมาณ ๑๑
– ๑๓ ล�า และเรือก�าปั่นของขุนนางที่สาคัญอีก ๖ ล�า แต่เดิมเราใช้เรือส�าเภาแบบจีน
ื
ิ
�
จนมาถึงรัชสมัยของของพระองค์ เรือสาเภาแบบจีนเร่มหมดความนิยม เน่องจากเรือ
ก�าปั่นแบบฝรั่งมีคุณสมบัติดีกว่า
ิ
ั
ดังน้นใน พ.ศ.๒๓๗๘ อู่เรือหลวงจึงเร่มหันมาต่อเรือแบบกาปั่นฝร่งด้วย ทว่า
�
ั
�
เวลาน้นยังคงต้องใช้เรือสาเภาทาการค้าขายทางทะเลกับจีนอยู่มาก อู่เรือไทยจึงแก้
ั
�
ปัญหาด้วยการต่อเรือให้หัวเรือมีลักษณะเป็นเรือสาเภา ส่วนท้ายเรือเป็นเรือกาปั่น เรียก
�
�
ว่า “เรือก�าปั่นบ๊วย”
ี
�
้
ั
อู่ต่อเรือในสมัยรัชกาลท่ ๓ มักต้งอยู่ริมแม่นาเจ้าพระยาเป็นหลัก โดยขุดเป็น
ี
ี
ื
้
�
แอ่งนาเข้าไปจากฝั่งแม่นา พ้นท่ของอู่เป็นดินโคลนอย่างท่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า MUD
้
�
ี
DOCK อย่างไรก็ตาม แม้เป็นเพียงอู่เรือแบบง่ายๆ แต่อู่เหล่าน้ก็ได้ซ่อมสร้างเรือรบและ
ึ
เรือสินค้าข้นเป็นจานวนมาก ซ่งเป็นกาลังหลักในการสร้างสมุททานุภาพให้แก่พระองค์
�
�
ึ
ท่าน เป็นท่น่าสังเกตว่า เรือรบท่ต่อข้นมาสมัยนั้น ส่วนใหญ่ต่อมาจากอู่เรือทางฝั่งธนบุร ี
ึ
ี
ี
ได้แก่ คลองสาน ทั้งนี้เนื่องจากว่า ผู้บังคับบัญชาทหารเรือที่เป็นก�าลังหลักในการสร้าง
ั
ิ
สมุททานุภาพให้กับพระองค์ท่านล้วนพักอาศัยอยู่แถบฝั่งธนบุรีท้งส้น เช่น กรมขุนอิศเรศ
รังสรรค์ (ต่อมา คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประทับอยู่ ณ พระราชวัง
เดิม กรุงธนบุรี และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อด�ารงต�า
แหน่งจมื่นไวยวรนาถ ซึ่งทั้งสองท่านนี้ เป็นก�าลังส�าคัญในการซ่อมสร้างเรือ และเป็น
ผู้น�าทัพเรือไปรบญวน
75
������������������������ 2563 ������������.indd 75 21/10/2563 BE 13:44
อนึ่ง มีหลักฐานเป็นบทความเกี่ยวกับการ
ท่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง
ี
้
ึ
ั
กองทพเรือขนอย่างเข้มแข็ง กล่าวไว้ในหนังสือ
พระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งศาสตราจารย์พิเศษ
ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา เรียบเรียง ควรที่จะ
ได้น�ามารวมไว้ด้วย ดังนี้
“.... การเก็บภาษีได้เปล่ยนระบบเป็นนาย
ี
อากรผูกขาดภาษีเป็นอย่างๆ ไป ทาให้เกิดรายได้
�
แผ่นดินข้นมาทดแทนกาไรการค้าสาเภาหลวงท ่ ี
�
�
ึ
ึ
เมืองจีน ซ่งร่วงโรยไปเพราะระบบการค้าเสรี เลิก
ื
การผูกขาดซ้อขายสินค้าบางอย่าง เม่อท้องพระคลัง
ื
ั
่
ิ
ั
์
ึ
็
่
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มงคงข้น กทรงใชัจายในการสร้างและปฏสงขรณพระ
่
ั
อารามหลวงมากมาย พร้อมกับการสร้างป้อมปราการในหัวเมืองชายทะเล เช่น
สมุทรปราการ พระประแดง สมุทรสาครเพ่มเติมจากท่ สมเด็จพระบรมชนกนาถทรง
ี
ิ
ึ
สร้างไว้ นอกจากน้นยังได้ทรงสร้างกองทัพเรือข้นอย่าง เข้มแข็ง คือ สร้างเรือยาวสาหรับ
ั
�
ล�าเลียงพลในแม่น�้าล�าคลอง ๒๔ ล�า สร้างเรือรบส�าหรับ ใช้ในอ่าว เรียกว่าก�าปั่นแปลง
คือ มีแจวรายทั้งสองกราบ และมีเสาแล่นใบได้ นอกจากเรือตัวอย่างที่พระราชทานชื่อ
ว่า มหาพิชัยฤกษ์แล้ว ก็พระราชทานทุนให้เสนาบดีและเจ้าภาษีนายอากรต่อเพิ่มเติม
ขึ้นอีก ๓๐ ล�า มีชื่อคล้องกัน ดังนี้ เฉลิมกรุง บ�ารุงศาสนา อาสาสู่สมร ขจรจบแดน แล่น
เลยลม อุดมเดชะ ชนะชิงชัย ประลัยข้าศึก พิลึกเลอสรวง ทะลวงกลางรณ ประจณโจมทัพ
จับโจรทมิฬ ปิ่นอรณพ ตลบล่องคลื่น ฝืนชลเชี่ยว เที่ยวอุทก นกกระจาม ทรามคะนอง
ผยองสมุทร ประทุษเมืองพาล ร�าบาญปรปักษ์ จักรอมเรนทร์ ตะเวนวารี ตรีเพชฌฆาต
ิ
ื
พรหมาสตร์นารายณ์ ลอยชายเข้าเมือง กระเด่องบุญฤทธ์ พานิชภิเศก เฉกเทพดาสวรรค์
�
และมหันตมงคล ต่อมาทรงดัดแปลง เรือกาปั่นแปลงเดิม ให้มีป้อมแบบเรือรบญวน
แล้วสร้างเพิ่มขึ้นอีก ๘๐ ล�า เรืออีกชนิดหนึ่งคือ เรือก�าปั่นรบ ส�าหรับลาดตระเวนทาง
ทะเล มีฝรั่งโปรตุเกสและมิชชันนารีอเมริกันเป็นที่ปรึกษาในการสร้าง มี ๑๒ ล�า คือ
เทพโกสินทร์ ระบิลบัวแก้ว แกล้วกลางสมุทร พุทธอ�านาจ ราชฤทธิ วิทยาคม อุดมเดช
76
������������������������ 2563 ������������.indd 76 21/10/2563 BE 13:44
เวทชะงัด วัฒนาราม สยามภิภพ จบสมุทร และสุดสาคร นอกจากนั้นก็โปรดให้หาช่าง
็
ึ
�
ชานาญการหล่อเหล็กเข้ามาจากเมืองจีนเพอหล่อปืนเหลกข้นเองภายในประเทศ ปืน
่
ื
�
ี
ใหญ่ท่สร้างในรัชกาลมี ๒ แบบคือ ปืนรักษาศาสนา และปืนสัมมาทิษฐิ รวมเป็นจานวน
หลายกระบอก
ในการทานุบารุงบ้านเมืองประการหน่ง คือ การสร้างและบูรณะเส้นทางคมนาคม
�
ึ
�
ซึ่งในสมัยนั้น ได้แก่ ล�าคลองต่างๆ พระเจ้าอยู่หัวโปรดให้ขุดแต่งคลองให้ลึก เรือเดิน
สะดวก ๒ คลอง คือ คลองสุนัขหอน ในแขวงเมืองสมุทรสาครและเมืองสมุทรสงคราม
้
�
คลองบางบอนในแขวงเมืองธนบุรีจากวัดปากนาไปบางขุนเทียนและวัดเลา รวมยาว
้
๑๗๐ เสนเศษ นอกจากนั้นโปรดใหจางจีนขุดคลองขึ้นใหม ๑ คลอง คือคลองบางขนาก
้
่
้
ในแขวงพระนครและเมืองฉะเชิงเทรา จากหัวหมากไปถึงบางขนากเป็นเส้นทางยาว
�
�
ี
๑,๓๓๗ เส้น การชาระขุดลอกและขุดสร้างคลองใหม่น้อานวยประโยชน์ให้แก่ประชาชน
พลเมืองเป็นอย่างมาก .... ”
�
การเตรียมกาลังทางเรือในรัชสมัยพระองค์ท่าน ได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่า การศึก
ทางด้านตะวันตกกับพม่า ศัตรูที่ห�้าหั่นกันมาเป็นเวลายาวนานต่อไปน่าจะยุติลงแล้ว ที่
ต้องระวังก็คงจะมีแต่ทางฝั่งตะวันออก ได้แก่ เขมร ลาวและญวน และที่น่าเป็นห่วงมาก
ึ
ี
ื
�
�
ั
ก็คือพวกฝร่ง ซ่งการเคล่อนกาลังทหารทางด้านตะวันออกน้น จาเป็นอย่างย่งท่ต้องม ี
ิ
ั
ก�าลังทางเรือที่เข้มแข็ง
ั
ี
ึ
ได้ปรากฏว่า ช่วงน้นญวนผนวกเอาอาณาจักรจามซ่งเช่ยวชาญในการเดินเรือเข้า
�
ี
่
ี
ิ
็
ื
ั
ั
้
ึ
เป็นส่วนหนงแล้ว จงท�าให้ญวนมกาลงทางเรอทเข้มแขงโดยปรยาย ฉะนน ในการ
่
ึ
�
ั
ึ
ี
ั
ื
่
ี
ั
็
ี
้
ั
เตรยมพร้อมรบศกสงครามทางด้านน จะต้องมกาลงทางเรอทเข้มแขงเช่นกน ดงนน
ั
้
ี
ั
ึ
�
พระองค์ท่านจึงได้ต่อเรือกาปั่นรบและเรือกาปั่นลาดตะเวนข้น ตลอดท้งมีการสร้างป้อม
�
ุ
ั
้
ู
�
่
ั
ปราการข้นป้องกนศตรทางนา กล่าวคือ การซ่อมแซมและสร้างป้อมทสมทรปราการ
ึ
ี
์
โปรดให กรมขนเดชอดสร กรมหมนเสพยสนทร และกรมหมนณรงคหรรกษ เปนแมกอง
็
ั
์
่
ิ
ิ
ุ
้
ุ
่
ื
์
ื
่
ี
�
ั
ซ่อมแซมป้อมกาแพงเมืองสมุทรปราการ ท่ยังค้างอยู่ต้งแต่คร้งปราบกบฎเจ้าอนุวงศ์
ั
ึ
�
ก่อสร้างกาแพงเชิงเทิน ขุดคูล้อมกาแพงเมือง กับสร้างป้อมใหม่อีกหน่งแห่ง ท่ปากคลอง
�
ี
ื
�
ี
บางปลากด ให้ช่อว่าป้อมคงกระพัน เพ่อรับศึกสงครามท่มาจากปากแม่นาเจ้าพระยา
ื
้
77
������������������������ 2563 ������������.indd 77 21/10/2563 BE 13:44
ี
�
สร้างป้อมกาแพงเมืองท่ฉะเชิงเทรา โดยโปรดให้กรมหลวงรักษรณเรศไปสร้างป้อมพิฆาต
ไพรีขึ้นที่ฉะเชิงเทรา ด้วยพิจารณาเห็นว่าปากแม่น�้้าบางประกง เป็นเส้นทางน�้้าส�าคัญ
้
ี
�
�
ด้านตะวันออก เป็นช่องทางท่ญวนสามารถนาเรือรบเข้ามาตามลานาน้ได้ จึงต้องหา
�
ี
ื
ทางป้องกัน ไว้ก่อน การสร้างเมืองจันทบุรีใหม่ โดยให้เล่อนตัวเมืองจันทบุรีออกไปใกล้
ื
ี
ั
�
ี
�
ปากอ่าว ก่อกาแพงเมืองใหม่ท่บ้านเนินวง สร้างป้อมท่หัวแหลมปากนาจนทบุรี ช่อป้อม
้
ไพรีพินาศ กับปรับปรุงป้อมโบราณที่ไหล่เขาแหลมสิงห์ให้ชื่อว่า ป้อมพิฆาตปัจจามิตร
ดังที่ได้มีการขุดคลองขึ้น เช่น คลองบางขุนเทียน คลองบางขนาก คลองหมาหอน และ
้
ื
ึ
�
คลองแสนแสบ เพ่อการเช่อมต่อคมนาคมทางนา ซ่งนอกจากจะเป็นเส้นทางเดินเรือ ยัง
ื
�
ื
สามารถใช้เป็นเส้นทางลัดในการเคล่อนกาลังทางเรือเวลาเกิดศึกสงครามอีกด้วย ดัง
�
ื
เช่น คลองแสนแสบ ซ่งเช่อมระหว่างตาบลหัวหมาก ติดต่อคลองบางกะปิ ไปทะลุท่บริเวณ
ี
ึ
บางขนาก ริมฝั่งแม่น�้าบางประกง เป็นคลองใหญ่สามารถใช้เดินเรือได้ ดังได้กล่าวมา
แล้ว
น่แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านยุทธศาสตร์ของพระองค์ท่าน ท่ได้ทรง
ี
ี
อ่านสภาพแวดล้อมทางด้านยุทธศาสตร์ วางแผนการป้องกันประเทศ และการเตรียม
ก�าลังรบได้อย่างถูกต้องแม่นย�า ท�าให้สยามมีความสามารถในการท�าสงครามกับญวน
ได้ ตามยุทธศาสตร์ที่ทรงวางไว้
ิ
้
้
ึ
ั
ิ
ั
็
่
่
ั
ั
การทาสงครามทางฝงตะวนออกนน ไทยเรมการศกกบลาวเปนชาตแรก ครงเจา
�
ั
้
ื
อนุวงค์เป็นกบฏในพ.ศ.๒๓๖๙ ถือเป็นการปราบหัวเมืองประเทศราชท่กระด้างกระเด่อง
ี
ให้ได้รับบทเรียนและเข็ดหลาบ ซ่งเป็นการศึกท่เป็นเหตุนาไปสู่สงครามกับเขมร และ
ึ
ี
�
ญวนในอีก ๖ ปีต่อมา ญวนพยายามแย่งชิงดินแดนเขมรไปจากไทยในช่วงระหว่าง พ.ศ.
๒๓๗๖ - ๒๓๙๑ ไทยได้ยกทัพไปท�าศึกกับญวน ๔ ครั้ง ในระยะเวลา ๑๔ ปี มีการ
ประเมินว่ามีแนวทางที่จะชนะและยึดเมืองญวนได้ แต่เนื่องจากญวนมีก�าลังพลทางเรือ
ที่เข้มแข็งจึงต้านทานได้ ส่วนไทยก็ยังคงสามารถรักษาเขมรไว้ในปกครองได้ ซึ่งการยก
ทัพไปท�าศึกกับญวนนั้น ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงการรบทางบกเป็นหลัก และแม่ทัพส�าคัญ
ั
คู่พระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คือเจ้าพระยาบดินทรเดชา
(สิงห์ สิงหเสนี)
78
������������������������ 2563 ������������.indd 78 21/10/2563 BE 13:44
การเคลื่อนทัพครั้งที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดให้จัดทัพดังนี้ ทัพบก และทัพเรือ จ�านวนไพร่พล รวม ๙๐,๐๐๐ คน เจ้าพระยา
ู้
ั
ั
ี
บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสน) สมุหนายกอครมหาเสนาบดีเป็นแม่ทพบกและผบัญชาการ
ทัพไทย มีกาลังพล ๗๐,๐๐๐ คน และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค)
�
สมุหพระกลาโหม เมื่อครั้งด�ารงต�าแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง เป็นแม่ทัพเรือและมีก�าลัง
พล ๒๐,๐๐๐ คน
ั
ื
เน่องจากทัพเรอในสมัยกรงรตนโกสนทร์ตอนต้น ยงมได้แยกออกเป็นกองทพ
ุ
ั
ิ
ิ
ื
ั
�
ึ
หน่งต่างหาก ไม่มีระบบอาวุธประจาเรือ เป็นเพียงการล�าเลียงทหารบก และอาวุธ หนัก
เช่น ปืนใหญ่ บรรทุกลงเรือเดินทางไปทางน�้าเท่านั้น เมื่อถึงที่หมายก็ขึ้นบกเข้าปฏิบัติ
การรบ ลักษณะคล้ายการรบยกพลข้นบกของทหารนาวิกโยธิน และสามารถใช้ปืนใหญ่
ึ
ที่ล�าเลียงไปกับเรือ ท�าการยิงเรือข้าศึก และยิงสนับสนุนการรบทางบกได้
ฉากการรบทางเรือที่ส�าคัญ คือ การเข้าตีเมืองบันทายมาศและโจดก โดยทัพเรือ
ยกมาจากกรุงสยาม ออกจากปากน�้าเจ้าพระยา เลียบฝั่งทะเลตะวันออก ไปจันทบุรี –
ตราด – ก�าปอด (กัมโพช) – เขมรป่ายาง - บันทายมาศ (พุทไธมาศ) ภาษาเวียดนาม
เรียกเมือง ฮาเตียน (Hatien) ใช้เวลาต่อสู้กับกองก�าลังป้องกันเมืองบันทายมาศเพียง
วันเดียวก็สามารถเข้ายึดเมืองได้ พวกญวนที่อาศัยอยู่ในเมืองพากันหนีลงเรืออพยพไป
ยังเมืองโจดก (Chodoc,Choudoc บางแห่งเขียนว่า โจฎก) พระยาราชวังสัน แม่ทัพเรือ
ึ
ยกกาลังติดตามพวกญวนไปทางคลองขุดใหม่ (VINH TE CANAL) ซ่งญวนเพ่งจะขุดเสร็จ
ิ
�
ใน พ.ศ.๒๓๖๓ เป็นเส้นทางเชื่อมระหว่างเมืองบันทายมาศกับเมืองโจดก เมื่อถึงเมือง
โจดก เข้ายึดเมืองได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการระดมยิงปืนใหญ่จากเรือที่จอดเรียงขนานกับ
หน้าเมืองโจดก เพ่อดึงความสนใจของฝ่ายข้าศึกให้คอยระวังเฉพาะด้านหน้าเมือง ขณะ
ื
เดียวกัน ก็ส่งพลทะลวงฟันอาทมาท ๘๐๐ คน ลอบอ้อมไปทางบึงใหญ่หลังเมือง แล้ว
�
เข้าตีบุกเข้าเมืองพร้อมกันกับกาลังด้านหน้าเมือง ประสบความสาเร็จอย่างดี ญวนท ่ ี
�
อาศัยอยู่ในเมืองโจดกแตกต่นวุ่นวาย พาครอบครัวหลบหนีออกจากเมืองกระจัด
ื
กระจายไปทั่ว เจ้าพระยาพระคลังแม่ทัพเรือยกทัพใหญ่ตามไปถึงเมืองโจดก แล้วเข้าตั้ง
ื
่
ั
ี
่
่
่
ี
ั
้
่
่
่
ี
่
มนอยทคายใหญ ททหารญวนสรางขนสาหรบเปนทมนหนาเมองโจดก ระหวางทรอทพ
ู
ั
่
�
ึ
็
ั
่
ี
้
้
79
������������������������ 2563 ������������.indd 79 21/10/2563 BE 13:44
ั
บกของเจ้าพระยาบดินทรเดชาอยู่น้น เจ้าพระยาพระคลังได้ส่งคนไปลาดตระเวนหาข่าว
ด้านญวน และได้จัดก�าลังทหาร๓๐๐นายไปตั้งรักษาคลองขุดใหม่ ซึ่งเป็นทางลัดตัดเข้า
�
ั
�
เมืองได้สะดวก พร้อมกับให้ทหารปืนใหญ่ฝร่งเศสนาปืนใหญ่บรรทุกเรือสาเภาลาด
ตะเวนตามล�าคลองต่างๆ เป็นการระวังป้องกันการโจมตีของฝ่ายญวน
ี
ั
ี
ั
นอกจากน้ ยังมีฉากการรบท้งทางบกและทางเรืออีกหลายคร้งท่ไทยและญวน
ผลัดกันรุกผลัดกันรับ เนื่องด้วยญวนมีก�าลังทางเรือที่เข้มแข็ง ทัพเรือไทยไม่สามารถรุก
เข้าเขตญวนเพื่อเสริมก�าลังช่วยเหลือทัพบกได้ เพราะอยู่ห่างไกลกันมาก จึงเป็นสาเหตุ
ไม่สามารถเผด็จศึกญวนได้ตามที่คาดการณ์ไว้ แม้จะมีการทะลุทลวงบุกไปรบอย่างเข้ม
แข็งถึง ๔ ครั้ง ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๖ – ๒๓๙๐ เป็นเวลายาวนานถึง ๑๔ ปีก็ตาม แสดง
ให้ประจักษ์ว่า สมุททานุภาพและก�าลังรบทางเรือที่เข้มแข็ง ถือเป็นพลังอ�านาจของชาติ
ี
ั
ท่จะสามารถเอาชนะข้าศึกได้ หากพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงสร้าง
สมกาลังรบทางเรือไว้เป็นฐานอีกส่วนหน่งแต่เน่นๆ แล้ว การทัพกับญวนก็อาจมิเป็น
�
ิ
ึ
เช่นนี้
ี
พระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หว โปรดพระราชทานต้งหน่วยทหารมะรน
ั
ั
ั
ี
ั
�
ี
ในรัชสมัยเป็นการปฏิบัติหน้าท่ทหารเรือโดยตรงเป็นคร้งแรก คือ ทาหน้าท่ป้องกันข้าศึก
�
ทางน่านนาและทะเลไทย ประจาป้อมปราการ ณ ปากนาสาคัญๆ นอกจากน้น ทา
�
้
ั
�
�
้
�
หน้าที่เป็นฝีพาย และกองเกียรติยศ ในการเสด็จพระราชด�าเนินทางเรือ จึงกล่าวได้ว่า
�
เป็นการสถาปนากองกาลังทางเรือให้ปรากฏในรัชสมัยของพระองค์ นับเป็นคุณูปการ
ส�าคัญและยิ่งใหญ่แก่ราชนาวิกโยธินอย่างยิ่ง
ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท ่ ี
ั
พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ภัยคุกคามของสยามต่อไปในอนาคต จะมิใช่พม่าอีกต่อไปแล้ว
แต่จะมาจากทางตะวันออก และจะเป็นพวกฝรั่งชาติตะวันตก สยามจึงจ�าเป็นต้องสร้าง
�
พลังอานาจแห่งชาติ เพ่อไว้ต่อกรกับภัยคุกคามใหม่น้ โดยการพัฒนาสมุททานุภาพ ข้น
ึ
ี
ื
ั
�
ี
มาก่อน ทาให้สยามมีสมุททานุภาพท่เกรียงไกรในยุคสมัยของพระองค์ท่าน ท้งกอง
ั
ั
�
�
ี
ี
เรือรบท่สามารถยกทัพไปการาบญวนได้ ท้งกองเรือสินค้าท่ส่งไปทาการค้ากบจีน ทาให้
�
ั
ั
ื
ั
สยามม่งค่งมี “เงินถุงแดง” เก็บไว้ให้ลูกหลาน เพ่อสร้างความม่นคงให้แก่แผ่นดิน
80
������������������������ 2563 ������������.indd 80 21/10/2563 BE 13:44
สามารถรักษาอธิปไตยของชาติไว้ ท�าให้คนไทยได้มีแผ่นดินอยู่อาศัยตราบถึงปัจจุบัน
ดังนั้น ราชนาวีไทยจึงพร้อมใจกันประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาท
ั
สมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า ถวายเป็นราชสักการะ ในมหา
ี
มงคลวโรกาสท่พระบาทสมเด็จพระบรมมหาชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช
บรมนาถบพิตร ทรงพระมหากรุณา พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้อัญเชิญพระ
ื
่
้
ราชสมัญญา เป็นชอค่ายทหารกองพลนาวิกโยธิน ว่า “ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจา”
�
(Phramaha chedsadharajchao Camp) ณ ตาบลแสมสาร อาเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุร
�
ี
ิ
ิ
ิ
ั
ิ
ิ
่
เฉลมพระเกียรตให้ปรากฏภญโญไพศาลตราบจรฐตกาล เป็นมงขวัญแกเหลาทหารหาญ
ิ
่
ิ
่
นาวิกโยธินตลอดไป.
เอกสารประกอบการเรียบเรียง
๑. อานามสยามยุทธ ฉบับ สรุปเรื่อง กรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด
(โรงพิมพ์ กรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด พ.ศ.๒๕๔๒)
๒. หนังสือ อู่เรือหลวง ๑๒๓ ปี เรื่องดีๆ ที่ฝั่งธน (ส�านักพิมพ์พยัญชนะ พ.ศ.๒๕๕๖)
๓. อิทธิพลของสมุททานุภาพ พลเรือเอก ส�าเภา พลสร (สมศิริพริ้นติ้ง พ.ศ.๒๕๔๘)
๔. อานามสยามยุทธ ว่าด้วยการสงครามระหว่างไทยกับลาว เขมร และญวน
เล่ม ๑ -๒ พระนคร : แพร่พิทยา ๒๕๑๔
๕. หนังสือ ๑๐๐ ปี กรมอู่ทหารเรือ (อรุณการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๓ )
๖. ศิลปะวัฒนธรรม ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๕ : มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๑
๗. พระบรมราชจักรีวงศ์ - สิงห์ด�าสัมพันธ์ ,๔๗ (บริษัท บพิตรการพิมพ์ จ�ากัด พ.ศ.๒๕๔๗)
81
������������������������ 2563 ������������.indd 81 21/10/2563 BE 13:44
สวัสดี HELLO HALLO HI
พลเอกจรัล กุลละวณิชย์
ชนชาติไทย มีอารยธรรมมานานหลายร้อยศตวรรษ หากคิดเพียงครั้งยุคกรุง
สุโขทัยเป็นราชธานี (กรุงสุโขทัย-รุ่งอรุณแห่งความสุข) ก็จะตระหนักถึงความสงบสุขของ
สังคมไทยที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งศีลธรรม คุณธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี
วัฒนธรรมอันดีงาม ตลอดจนสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มีความเท่าเทียมกัน
“....ใครใคร่ค้าช้างค้า ค้าม้าค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส....” เป็นพ้นฐานของ
ื
ี
ประชาธิปไตยของชาวไทยมานานกว่า ๗๐๐ ปีแล้ว ก่อนท่เราจะรู้จักคาว่า “ประชาธิปไตย”
�
ี
ในโลกปัจจุบันน้นานนัก สืบเน่องต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีจนถึงกรุง
ื
ื
รัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน จะพบหลักฐานความเจริญ เน่องด้วยองค์การของสังคมไทยทุก
ยุค ทั้งด้านการเมือง จารีต กฎหมาย เศรษฐกิจ ตลอดถึงความรุ่งเรืองมั่งคั่งในแต่ละยุค
�
ี
ึ
ุ
ซ่งมมาก่อนยุคกลาง (middle age) ของยโรปเสียอก เช่นในยุคพ่อขุนรามคาแหงมหาราช
ี
เราก็มีอักษรไทย เลขไทย ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๒๖ (คือ ๗๓๗ ปี มาแล้ว) ก็น่าแปลก
ใจอยู่มากท่คนไทยในปัจจุบัน อาจจะไม่ค่อยภาคภูมิใจในอักษรไทย เลขไทย สระ
ี
วรรณยุกต์ สักเท่าไรนัก บอกว่ามีมากไปถึง ๔๔ ตัว “จ�ายาก” แถมมีสระวรรณยุกต์ขึ้น
ข้างบนลงข้างล่าง “ยุ่งยาก” สู้ฝรั่งไม่ได้ เขาบรรทัดเดียวกันหมด จึงนิยมใช้ภาษาและ
ตัวเลขของต่างชาติกันมาก ปะปนกัน จนอาจจะเขียนเลขไทยภาษาไทยกันไม่ค่อยจะถูก
ต้องแล้ว บางคนพูดไทย ๑ ค�า ก็แทรกภาษาฝรั่งบ้าง จีนบ้าง ปะปนกันไป อ้างว่าคิด
ค�าไทยไม่ทัน บางรายไป “เมืองนอก” ยังไม่ถึงครึ่งปี ก็พูดไทยไม่ได้แล้ว ต่างกับฝรั่ง
หรือจีนท่เขามาเมืองไทย คนไทยรีบไปพูดภาษาของเขากับเขาด้วยความยินดีว่าสามารถ
ี
�
พูดภาษาน้นๆ ได้ และอยาก “เอาใจ” เขาแต่เจอเขาพูดภาษาไทยตอบมาชัดเจน ทาเอา
ั
อึ้งไป แปลกที่ต่างชาติมาบ้านเราเขาสนใจภาษาของเรา เมื่อเราไปบ้านเขาก็ควรสนใจ
ภาษาของเขาละ แต่ต้องไม่ลืมภาษาไทย
82
������������������������ 2563 ������������.indd 82 21/10/2563 BE 13:44
ในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์รัชกาลท่ ๒๗ ของกรุง
ี
ศรีอยุธยา (พ.ศ.๒๑๙๙ – ๒๒๓๑) ราชวงศ์ปราสาททอง มหาอาณาจักรไทยกว้างขวาง
มั่งคั่งรุ่งเรือง มีชื่อเสียงไปถึงยุโรป เป็นที่หมายปองของชาวตะวันตกอย่างมาก ประเทศ
ื
เพ่อนบ้านก็เกรงไทย นับถือแม้ต่อมาจะเสียกรุงก็สามารถฟื้นฟูได้รวดเร็ว เพราะพลัง
�
แห่งความสามัคคีของชนในชาติ ในยุคกรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ก็เจริญขึ้นโดยลาดับ
ั
ี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
(พ.ศ.๒๓๖๗ - พ.ศ.๒๓๙๔) ชาติไทยมั่งคั่ง มั่นคง ถึงขนาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทย
กับต่างประเทศใกล้เคียงกัน หลายชาติมุ่งมาท�าการค้ากับไทย ทั้ง โปรตุเกส อังกฤษ
อเมริกา แล้วต่อมาก็เกิดภัยคุกคาม จากลัทธิล่าอาณานิคม “อ�านาจเรือปืน” ในอีกไม่
กี่ทศวรรษถัดมา ไทยก็มีการปรับตัวอย่างเก่งกาจ ท�าให้เผชิญภัยแห่งการเปลี่ยนแปลง
จนมีความรุ่งเรืองสืบต่อตลอดมา ผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ ๑ (พ.ศ.๒๔๕๗ - ๒๔๖๐)
สงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๔๘๔ - ๒๔๘๘) สงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ.๒๔๘๓–
ึ
๒๔๘๔) สงครามอินโดจีน (พ.ศ.๒๔๘๓-๒๔๘๔) ซ่งก่อความทุกข์ แสนสาหัสแก่ประชาชน
ั
ท้งชาติ แต่ชนชาติไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารขององค์พระประมุขของชาติก็คลาด
แคล้ว รอดพ้นมาได้ คนไทยบางคนไม่สนใจจะรู้ประวัติศาสตร์เหล่าน้ บางคนรู้บ้าง
ี
แต่ลืมไปหมดแล้ว เพราะความสุขสบายของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ประกอบ
กับความคุ้นเคยในความเป็นชาติอาจจะไม่สู้ชัดเจนนัก
ิ
ี
ความเป็นชาตต่างกับความเป็นประเทศ ตรงท่ประเทศมีอาณาเขตแน่นอน
เป็นท่รับรองในประชาคมโลก บางชาติไม่มีประเทศจะอยู่ ยังแย่งชิงดินแดนกันอยู่ก็มาก
ี
ชนบางชาติยังต้องอาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นอาณาเขตของประเทศอื่น โชคดีที่ชาติไทย
มีประเทศอยู่ เพราะอะไร ต้องไตร่ตรอง ศึกษาดู ไม่ใช่ได้มาเฉยๆ ง่ายๆ เราจะช่วยกัน
รักษาไว้ หรือจะปล่อยไปก็ต้องคิดเอา
�
ึ
ชาติหน่งชาติใดก็ตาม ย่อมประกอบด้วยประเด็นสาคัญต่างๆ หลายประการ เช่น
๑. ดินแดน ที่มีอาณาเขตเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรในชาติ ซึ่ง “ดินแดน” ก็
จะมีทรัพยากรทั้งในอากาศ บนผิวพื้น ใต้ดิน และใต้น�้า บรรพชนหามาปกป้องไว้จนถึง
ี
อนุชนรุ่นปัจจุบัน บุญคุณน้ต้องกล่าวยาเสมอ เพราะคนไม่รู้บุญคุณก็อาจจะไม่เข้าใจ
�
้
83
������������������������ 2563 ������������.indd 83 21/10/2563 BE 13:44
และลืมไป ด้วยเหตุว่าไม่เคยต่อสู้หามา และ “สบาย” แล้ว หากไม่ชอบใจ ก็อาจจะ ไป
ขอ “อาศัย” อยู่ในดินแดนของประเทศอ่นได้โดยไม่ยาก ไปก็สะดวก ขออยู่ก็ไม่ยาก แต่
ื
ก็อาจอยู่ในสถานะต่างๆ กัน เช่น สถานะผู้ลี้ภัยสงคราม ผู้ลี้ภัยทางการเมือง ผู้อพยพ
ผู้หลบหนีคดีอาญาของแผ่นดินไทย ฯลฯ ซึ่งอาจจะท�าให้ “ด้อย” ไปในเกียรติภูมิของ
แต่ละคน
๒. ประชากร ในทุกชาติจะมีประชาชนหลายเผ่าพันธุ์ คนไทยเคยส�ารวจว่า มี
ถึง ๕๖ เผ่าพันธุ์ มีภาษาถิ่นถึง ๗๐ ภาษา แต่อยู่ร่วมกันได้เป็นชนชาติไทยเดียวกัน
มีสิทธิหน้าที่ต่อชาติ และประเทศเท่าเทียมกันทุกคน ท�าประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง
จนเป็นก�าลังของบ้านเมือง (พลเมือง - พละของเมือง) ดังนั้น จึงหวังว่าประชากรต้อง
แข็งแรง ปราศจากโรคภัย มีความรู้ ความสามารถ กอปรด้วยคุณธรรม มีความเป็นชาติ
รักใคร่ สามัคคี ปรองดองกัน ดังเม็ดทรายที่ผสมเป็นคอนกรีตที่แข็งแกร่งแล้ว มิใช่กอง
ี
ี
ทรายท่ร่วนซุยสลายง่าย ก็จะไม่ช่วยให้ชาติแข็งแรงได้ จึงต้องช่วยชาติตามหน้าท่ด้วย
กันทุกคน
๓. ภาษา ดังได้กล่าวแล้ว มีหลายเผ่าพันธุ์ หลายภาษาถิ่น แต่ก็ต้องมีภาษา
ี
ื
ึ
กลางของชนในชาติ ซ่งหากปฏิเสธภาษากลางก็สมควรลาออกจากชาติไปอยู่ท่อ่น ภาษา
่
ที่วานี้ รวมทั้ง ภาษาพูด ภาษาเขียน ตัวอักษร ตัวเลข ที่คนไทยควรจะมีความภาคภูมิใจ
ประเทศในโลกที่ประชาคมโลกรับรองมีเกือบ ๒๐๐ ประเทศ มีภาษาที่ใช้กันอยู่ ราว ๓๐
ภาษา โดยบางประเทศต้อง “ขอยืม” ภาษาของชาติอื่นมาใช้ เช่น ภาษาอังกฤษ มีใช้
อยู่หลายประเทศ ภาษาโปรตุเกส ภาษาสเปน ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอาหรับ
อารบิค ฯลฯ ภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ได้แน่นแฟ้นกว่าสิ่งอื่น ท�าให้ “ส�านึก” ถึง
“ความเป็นชาติ” เดียวกัน ในประเทศไทยเคยมีกฎหมายว่าป้ายชื่อป้ายห้างร้านต่างๆ
�
ต้องมีอักษรไทยตัวโต อักษรต่างชาติตัวเล็ก อยู่ข้างล่าง แต่ปัจจุบันกลับกัน หนาซา บาง
�
้
ั
�
แห่งมีแต่อักษรภาษาต่างประเทศไปท้งถนน จนไม่แน่ใจว่าอยู่ประเทศอะไรกัน ทาไม
ื
ิ
�
็
่
ู
ึ
จงดถูกภาษาของตนเองมากมายอย่างน แม้วาจะเพอผลทางเศรษฐกจกต้องสาแดงความ
่
้
ี
เป็นเจ้าของประเทศไว้ให้ชัดเจน
ทางราชการไทยได้ประกาศมาตั้งแต่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๑ ปี มา
แล้ว) ให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวัน “ภาษาไทยแห่งชาติ” แสดงว่าต้อง
84
������������������������ 2563 ������������.indd 84 21/10/2563 BE 13:44
นึกถึงภาษาไทย เพียง ๑ วัน ใน ๑ ปี บางทีเราใช้ภาษาต่างชาติจนลืมไปว่า ไปท�าอะไร
เช่น พูดว่า “จะไปไดร์ผม” หน่อย พอถามว่า “ไดร์” น่ะไปท�าอะไร ก็ตอบไม่ได้ แท้จริง
คือไป�“เป่า”�ผม แต่อาจจะรู้สึกไม่โก้เลยต้องพูดฝรั่ง�ขับรถไปตามถนนเวลาจะเปลี่ยน
“ลู่” ก็ต้องบอกว่า “เลน” นี่ไม่นับภาษาต่างชาติ ภาษาเทคนิคต่างๆ ฟุตบอล แท็กซี่
หมวกแก็ป เหน็ด ทีวี ฯลฯ ซึ่งเรายอมรับว่าเป็น “ข้า” ในการรุกรานทางวัฒนธรรม
ภาษามาเป็นเวลานานพอสมควร หากจะคิดช่วยแก้ไขกันบ้างก็จะดี
๔. ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของแต่ละชาติตลอดจนการ“สร้างชาติ” ไม่
เหมือนกัน ฝรั่งเศส และรัสเซีย อาจมีประวัติศาสตร์ว่าต้อง “ปฏิวัติ” ล้มล้าง ฆ่าฟันกัน
้
้
ี
ี
้
ิ
ิ
้
ึ
่
ี
แตชาตไทยสรางชาตขนมาไดดวยรากฐานของศลธรรม ขนบธรรมเนยม จารต ประเพณ
ี
และวัฒนธรรมท่ดีงาม ไม่มีนโยบายไปรุกรานใครก่อน เม่อถูกรุกรานจึงจะตอบแทน
ี
ื
ไทย รักสงบ และรักสันติ โดยมีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ ๘๐๐ ปีแล้วในดินแดน
“สุวรรณภูมิ” นี้ จึงสมควรภาคภูมิใจในการมีอารยธรรมของเราว่า มีมาก่อนยุโรปสมัย
กลางนานนัก แม้ว่าประวัติศาสตร์ไทยจะ “สอน” ไม่ค่อยชัดเจน ก็ต้องพยายามอ่าน
ศึกษา วิเคราะห์ ด้วยสติ ปัญญา ให้ดี
๕. ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ที่ท�าความเจริญรุ่งเรือง
งอกงามมาสู่ชนชาติไทย นับตั้งแต่ “การสร้างที่อยู่อาศัย” บ้านเรือนใต้ถุนสูง เรือนแพ
ซึ่งบัดนี้แปรเปลี่ยนไปตามวิศวกรรมสมัยใหม่ อาหารการกิน การผลิตเสื้อผ้า เครื่องนุ่ง
ื
ั
ี
ห่ม เคร่องมือเคร่องใช้ การเกษตร การอยู่ร่วมกันโดยสันติ เป็นพ่เป็นน้องกันท้งประเทศ
ื
ท้งหมู่บ้าน ล้วนเป็นอารยธรรมซ่งมีพ้นฐานมาจากวัฒนธรรมต่างๆ หลายด้าน เช่น
ึ
ื
ั
วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมพ้นบ้าน วัฒนธรรมการแต่งกาย ผ้าขาวม้า ซ่งคนไทยกาหนด
ึ
�
ื
ไว้เป็นระเบียบแบบแผน แสดงออกถึง “อารยธรรม” อันมีมาช้านานแล้ว และแตกต่าง
จากอารยธรรมของประเทศอารยะอื่นๆ
๖. การปกครอง ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยสืบเนื่องมาในกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี
ึ
และกรุงรัตนโกสินทร์ เรามีการปกครองประชาชน โดยยกย่อง “ผู้นา” ซ่งมีขีดความ
�
สามารถช่วย “หา” ดินแดนให้คนไทยได้อยู่อาศัย ได้ท�ากิน ให้ขึ้นเป็น “ประมุข” เรียก
ี
ว่า พ่อขุน พญา พระมหากษัตริย์ สืบต่อมาเป็นหลายศตวรรษ ผู้มีความสามารถท่ยกย่อง
ขึ้นนี้ มีสติปัญญา ความรู้ ความสามารถ เก่งกล้า ไม่ใช่รบเป็นอย่างเดียว ต้องฉลาด
85
������������������������ 2563 ������������.indd 85 21/10/2563 BE 13:44
รอบรู้ ช่วยท�ามาหากินได้ ด้วยความมีคุณธรรม และ “ผู้น�า” นี้ เป็น “ผู้น�า” ได้จริงๆ
ไม่ใช่ สักแต่น�าด้วย “ปาก” พูดเก่งแต่ไม่ท�า ท่านเหล่านั้น มีคุณธรรมปกครองคนให้มี
ี
ความผาสุกได้ด้วยศีลธรรมของผู้นาหลายประการท่เราพอรู้จักได้แก่ ทศพิธราชธรรม
ราชสังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร พรหมวิหาร ฯลฯ ผู้เลือก ก็เลือกด้วยความนับถือในความ
สามารถ กตัญญู กตเวที แต่ชาติทางตะวันตกจะเข้าใจและทึกทักเอาว่าเป็นการสืบต่อ
�
ั
อานาจ (สืบสันตติวงศ์) มีอยู่หลายคร้งในประวัติศาสตร์ ลูกไม่ได้สืบต่ออานาจ แต่มีการ
�
ั
คัดเลือกโดยการสรรหา หรือการเลือกต้งโดยอ้อม และเม่อปกครองก็ใช้หลักแห่ง
ื
“ธรรมาธิปไตย” ชาติตะวันตกเขาอยากให้ใช้วิธีของเขาคือการผลัดเปลี่ยนเลือกคนเข้า
มาเป็นประธานาธิบดี แต่เขาก็ยัง “เลือก” ๒ ระยะ คือการสรรหาโดยพรรคแล้วไปเลือก
ั
ั
ั
ี
ต้งท่วไปตามสังคมท่แตกต่างกันไป ท้งในการ “สร้างชาติ” และความเป็นอยู่ วัฒนธรรม
ั
�
ี
�
�
ประเพณี ผู้นาของไทย ก็มิได้ใช้อานาจเพียงลาพังคนเดียว ตามท่ฝร่งเรียกว่าเป็น
ี
Absolute Monarchy สมบูรณาญาสิทธิราช ท่านก็ใช้ท่ปรึกษามาต้งแต่สุโขทัยแล้ว เพียง
ั
แต่ไม่ได้เรียกว่า “ที่ปรึกษา” เช่นในปัจจุบัน
๗. เอกลักษณ์ของชาติ (NationalIdentity) เป็นเรื่องเฉพาะของคนไทยที่มีถึง
๕๖ เผ่าพันธุ์ แม้จะกระจัดกระจายไปอยู่ทั่วโลก แต่ก็จะมีเอกลักษณ์ของความเป็นไทย
ิ
อยู่ ท่สาคัญและรู้จักกันมานานก็คือ “ย้มสยาม” ประกอบกับการแต่งกายดี สุภาพ
ี
�
สะอาด มีสง่า แสดงตนด้วยความมีคุณธรรม ซึ่งบัดนี้ คนไทยอาจ “ลอก” ฝรั่ง แต่งกาย
ขะมุกขะมอม ลากรองเท้าแตะไปทั่วกรุง ลบเลือนเอกลักษณ์ของชาติไปมาก นอกจากนี้
ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยยังมีอีกหลายประเด็น เช่น
๗.๑ หัตถกรรมไทย (Thai Craft) มีความประณีต ละเอียดไปหมดทุกด้าน
ทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม งานของช่างสิบหมู่ การทอผ้าไหม จัก สาน
มัดหมี่ ลิเพา แม้กระทั่ง ศัลยกรรมทางการแพทย์ และฝีมือการแพทย์ ก็เป็นที่ยอมรับ
ไปทั่วโลก เช่น การต่อสู้ กับไวรัสโควิด – ๑๙ เป็นต้น
๗.๒ อาหารไทย นอกจากอร่อยในรสชาติแล้ว ยังประณีตสวยงาม วิธีการรับ
ื
ื
ประทานก็ล้อมวง แบ่งปันกันกิน ถือเป็นความโอบอ้อมอารี เอ้อเฟื้อเผ่อแผ่ มีเมตตา
กรุณาต่อกัน ซ่งชาวตะวันตกไม่นิยม แต่เราก็คิดว่าการแชร์กันแบบฝร่งอาจจะดีในรูป
ั
ึ
ี
ึ
แบบหน่ง อาหารไทยอร่อย ท่ดังไปท่วโลก เช่น ต้มยากุ้ง ส้มตา ข้าวเหนียวมะม่วง ทับทิม
�
�
ั
86
������������������������ 2563 ������������.indd 86 21/10/2563 BE 13:44
กรอบ ผลไม้หลายชนิด ทุเรียน เงาะ มะละกอ แตงโม สับปะรด ล�าไย และ ร้านอาหาร
ข้างทาง ซึ่งนิยมกันมาก
๗.๓ วิถีชีวิตไทย (Thai Lifestyle) ที่มีความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อยู่
ง่ายๆ สบายๆ มีความเคารพเช่อฟังกันในอาวุโส ไม่มีการก่อเหตุล้างผลาญกัน ไม่มีการ
ื
ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเช่นชนบางชาติ
๗.๔ มวยไทย การต่อสู้แบบไทย ซึ่งมีศิลปะเฉพาะตัว รวมถึง กระบี่ กระบอง
พลอง เขน แม้ในปัจจุบันอิทธิพลของอาวุธแบบตะวันตก การใช้ปืน จะแพร่เข้ามาลบล้าง
เอกลักษณ์ของชาติด้านนี้ไปมากแล้ว
๗.๕ ร้านค้าริมถนน (Shopping Street) ที่จริงเราค้าขายบนทางเท้ามานาน
แล้ว บางชาติ อาจปิดถนนให้คนเดิน แต่เราเปิดถนนตลอด และใช้ทางเท้าค้าขาย เป็น
รูปแบบเอกลักษณ์ไทยแบบหนึ่ง
๗.๖ รถตุ๊กตุ๊ก (รถสามล้อเคร่อง) ซ่งผลิตโดยคนไทย โดยพัฒนาจากรถสามล้อ
ื
ึ
เมื่อราว พ.ศ.๒๕๐๓ กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก
๗.๗ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ด�ารงอยู่ตลอดมาด้วย “ธรรมาธิปไตย”
๗.๘ เสรีภาพในการนับถือศาสนา ในประเทศไทย มีมาช้านานต้งแต่สมัย
ั
สุโขทัย อยุธยา ฯลฯ ถึงปัจจุบัน
ิ
๘. เกียรติภูมิของชาต ชนชาติไทยรักความเป็น “ไท” แม้จะเคยมีประวัติศาสตร์
ว่าเสียกรุงมาถึง ๒ ครั้ง แต่ในขณะนั้นยังไม่ได้เป็นประเทศ เสียเมืองหลวง แต่ดินแดน
อ่น คนไทยก็ยังปกครองกันอยู่ ในทางกลับกัน ประวัติศาสตร์ไทยก็เคยมี “ประเทศราช”
ื
จานวนมาก ซ่งปัจจุบันได้รับเอกราชกลายเป็นประเทศเพ่อนบ้านอยู่รอบๆ ประเทศไทย
ึ
�
ื
ั
มีมิตรภาพด้วยดี ท้งในระดับประเทศ และในระดับประชาชน แต่ชนชาติไทยก็ยังม ี
กระจัดกระจายอยู่ในดินแดนต่างๆ อีกมากเช่น “ไทยด�า” ในแคว้นสิบสองจุไทยหรือ
แคว้นสิบสองเจ้าไทย (อยู่แถบลุ่มน�้าแดง - ลุ่มน�้าด�าในเวียดนามปัจจุบัน รอบๆ เมือง
ี
ี
ี
ี
ึ
เดียนเบียนฟู - เมืองแถน) ซ่งบัดน้แคว้นน้หายไปจากแผนท่ แทนท่จะเป็นรัฐเสรี (Au-
tonomous State) อยู่ในเวียดนามตามที่เคยพูดจากันไว้ก่อนการร่วมรบต่อสู้ฝรั่งเศสที่
�
ี
เดียนเบียนฟู จนไทยดาต้องตายไปหลายพันคน และกระจัดกระจายไปอยู่ในท่ต่างๆ
รวมทั้งในไทยด้วย “ไทยใหญ่” อยู่ในรัฐไทยใหญ่ หรือรัฐฉานในพม่า ไทยอาหม ไทย
87
������������������������ 2563 ������������.indd 87 21/10/2563 BE 13:44
ี
ึ
�
คาต่ ในอัสสัมอินเดียซ่ง ความเป็นญาติสนิทกับไทยยังคงมีอยู่ แต่เราเคารพในอาณาเขต
ั
ื
และอธิปไตยของประเทศ การแก้ปัญหาของไทย เม่อคร้งภัยอาณานิคมราว พ.ศ.๒๔๓๖
ซึ่งไทยต้องยอมปล่อยประเทศราชเหล่านั้นให้แก่ ฝรั่งเศสและอังกฤษ เพื่อธ�ารงเอกราช
ี
ึ
ของประเทศไว้ จึงเป็นเกียรติภูมิของชาติ อันชาญฉลาดท่ต้องสรรเสริญ อีกประเด็นหน่ง
ของเกียรติภูมิของชาติ คือ การท่ไทยรบชนะชาติตะวันตกในสงครามอินโดจีน (พ.ศ.
ี
๒๔๘๓ - ๒๔๘๔) ทั้งทางบกและทางทะเลขนาดที่ยึดธงชัยเฉลิมพลของฝรั่งเศสได้ ถึง
กับมีการสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไว้ยืนยันปรากฏถึงปัจจุบัน
ในประเด็น ขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี มารยาท และวัฒนธรรม ซึ่งเป็น
ประเด็นหลักของประชากร ที่จะน�าชาติไปให้ได้รับการยกย่องว่า เป็นอารยประเทศได้
ั
ื
น้น ในความรู้สึกว่าชาติอารยะแบบตะวันตก จะประกอบด้วยความเจริญ เน่องด้วย
องค์การของสังคม เช่น การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์
ึ
เทคโนโลยี ขนบธรรมเนียมอันดี แต่ในชาติตะวันออก ซ่งอาจจะด้อยกว่าในด้าน
ิ
ี
อตสาหกรรม วทยาศาสตรเทคโนโลย แตมความเจรญรงเรองมากอนชานาน เชน ภาษา,
ี
่
์
ิ
่
้
่
่
ุ
ื
ุ
การแพทย์ อาคารส่งปลูกสร้างอาจจะไม่ใหญ่โต แต่มีความประณีตละเอียดลออ ท้ง
ิ
ั
ประติมากรรม วิจิตรศิลป์ สถาปัตยกรรม ต้องระลึกว่า หลายศตวรรษก่อนไม่มีปั้นจั่น
เครื่องจักร ที่จะช่วยก่อสร้าง วิศวกรรม สถาปัตยกรรม แต่เรื่องเหล่านี้เทียบกันไม่ได้
เป็นคนละประเด็นกัน อารยธรรมของชาติตะวันออก จะเน้นไปถึงความสงบสุขของสังคม
ั
ท่ต้งอยู่บนรากฐานของศีลธรรม คุณธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีและวัฒนธรรม
ี
ื
มากกว่า เพียงแต่ว่าอารยธรรมเหล่าน้ ถูกเบียดบัง และแพร่อิทธิพลเอาวัฒนธรรมอ่นๆ
ี
เข้ามาสอดแทรกเพียงใด ท�าให้จิตใต้ส�านึกค่อยๆ ลบเลือนลืมของดีของตนเองรับของ
คนอื่นเข้ามาโดยไม่ศึกษาไตร่ตรองให้ชัดเจน และเข้าใจว่าดีแล้วเหมาะสมแล้วซึ่งไม่น่า
จะใช้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ในสังคมตะวันตก เวลาทักทายกัน ก็สัมผัสมือหรือกอดกัน
หรือจุมพิตกัน แต่ในสังคมตะวันออก ใช้การไหว้ (อัญชลี-ไหว้ระดับหน้าอก; วันทา -
ไหว้ระดับคาง; อภิวาท-ไหว้ระดับหน้าผาก) ซ่งไม่ต้องแตะต้องกันดังเช่นในอินเดีย
ึ
พม่า ไทย ลาว กัมพูชา ฯลฯ ซึ่งในยามไวรัสโควิด – ๑๙ ระบาด การไหว้เป็นกริยาที่
้
่
ชวยควบคุมการแพรกระจายของไวรัสไดทางหนึ่ง ในขณะที่ทางยุโรปชาวยุโรปพยายาม
่
88
������������������������ 2563 ������������.indd 88 21/10/2563 BE 13:44
ึ
ึ
ี
พัฒนามาเป็นการใช้ข้อศอกมาชนกัน ซ่งก็แปลกไปอีกรูปแบบหน่ง เช่นเก่ยวกับคา
�
ทักทายของยุโรป และ ชาติตะวันตก “Good Morning to you” ฯลฯ ซึ่งของไทยเราได้
ใช้ค�าว่า “สวัสดี” มาตั้งแต่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๖ (๗๗ ปีมาแล้ว) โดยพระยา
ั
ิ
ี
ิ
อุปกิตศิลปสาร (น่ม กาญจนาชีวะ) ได้เร่มใช้คร้งแรกท่คณะอักษรศาสตร์จุฬา ราว
พ.ศ.๒๔๗๘ เป็นค�าอวยชัยให้พร ให้พบแต่ ความดี ความงาม ความเจริญรุ่งเรือง และ
ความปลอดภัย และใช้ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ได้ทุกเวลา โดยไม่ต้องระบุ อรุณสวัสดิ์
สายัณห์สวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ ฯลฯ
�
ึ
เช่นเดียวกับคาว่า ขอบคุณ ขอบพระคุณ ขอบใจ ขอโทษ ขออภัย ซ่งเป็นมารยาท
ที่ดีของสังคม - เป็นผู้ดีในสังคมพบหน้ากันก็ “สวัสดี” กันได้ จะ “อัญชลี” ไหว้กันก็
ไม่ต้องคอยมองว่า ใครจะอายุ มากกว่าใคร แต่มารยาททางตะวันตก เขาอาจจะเพียง
Hi, Hello, Hallo แล้ว “ตี” มือกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ คนไทยก็ลอกเขามาจนเกร่อ แถมยังมี
อุทานแปลกๆ เช่น “Oh ! my god” ก็ไม่ทราบว่าผู้อุทาน นึกถึง god องค์ไหนของ
ศาสนาอะไรจึงเพี้ยนไป จากค�าอุทานเดิมๆ เช่น โอ๊ย อุ๊ย ฯลฯ
มารยาทสังคมในโลก ที่ส�าคัญ คือ การมี กิริยา วาจา สุภาพ เรียบร้อย ถูกต้อง
ตามกาละ (เวลา) และเทศะ (สถานที่) เช่นในการประชุมเพื่อร่วมกันอภิปราย ถก แถลง
ออกความคิดเห็น ก็ต้องมีมารยาท ว่าพูดกันทีละคน เม่อได้รับอนุญาตจากประธาน การ
ื
่
ื
่
ื
ู
ู
ประชมแล้ว โดยใช้เวลาให้เหมาะสม เพอเปิดโอกาสให้ผ้อนได้ใช้เวลาพดบ้าง ต้องใช้
ุ
วาจาและกริยาสุภาพ ซึ่งในมารยาทสังคมไทย ได้กล่าวถึง “สมบัติผู้ดี” ที่จะมีหลัก ๑๐
ประการ ๒๕ ข้อ ของผู้ที่มี กาย วาจา ใจ อันสุจริต เรื่องนี้ก็เช่นกัน เป็นอารยธรรมของ
ไทย มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๕ เมื่อเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์
เปีย มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าอยู่หัว
ิ
รัชกาลท่ ๖ ได้เรียบเรียงไว้ต้งแต่ท่านยังเป็นพระยาวิสุทธสุริยศักด์ ซ่งสอดคล้องกับ
ี
ึ
ั
ื
ี
ลักษณะของวิถีชีวิตไทย�ท่มีความเกรงใจต่อกันอันเป็นพ้นฐานทางด้านจิตใจ
�
็
ั
ั
ิ
(มโนจรยะ) ในสงคมไทยมาช้านาน ดเหมือนชาติอนจะไม่ม หาคาภาษาองกฤษกไม่
ู
ี
ื
่
ตรงความหมายว่า “เกรงใจ” เท่าไรนัก
เรื่อง “สมบัติผู้ดี” นี้เคยสอนกันในโรงเรียน ทั้งในเรื่อง “หน้าที่พลเมือง และ
89
������������������������ 2563 ������������.indd 89 21/10/2563 BE 13:44
ศีลธรรม” เพื่อ อบรม บ่มเพาะ ปลูกฝัง ให้อยู่ในจิตใต้ส�านึกของเยาวชนและจะได้ “ติด
ตัว” ไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายว่าหัวข้อศึกษาน้ ถูกถอดออกไปจากหลักสูตรการศึกษา
ี
ไทย ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ เช่นเดียวกับเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ถูกถอดออกไปตั้งแต่
พ.ศ.๒๕๓๒ เพื่อจะใช้เวลา “ศึกษา” “เรียน” วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสมัยใหม่มากกว่า
การอบรม บ่มเพาะ ปลูกฝัง จนปัจจุบันก็มาบ่นกันว่าน่าเสียดายที่สังคมอยากได้ คน
ดี-คนเก่ง แต่คงจะได้ “คนเก่ง” จ�านวนมากกว่า กระนั้นก็ตาม ในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
(๖ เมษายน ๒๕๖๐) หมวด ๕ มาตรา ๕๔ ก็ระบุหน้าที่ของรัฐว่า “ต้องด�าเนินการให้
เด็กเล็ก ได้รับการดูแลและพัฒนา ก่อนการเข้ารับการศึกษา (เป็นเวลา ๑๒ ปี จนจบ
ม.๖) เพื่อพัฒนา ร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ให้สมกับวัย โดย
ิ
ส่งเสริม และสนับสนุน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่น และภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมใน
การด�าเนินการด้วย
ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ที่หนีไม่พ้นการให้อบรมบ่มเพาะทั้ง ๖ เรื่องข้างต้น ก็คือ พ่อ - แม่
ั
ี
ั
�
ู
้
และผ้ปกครอง, ผ้อปถมภ์ดแลนนเอง น่าจะมการวจยและนามาใช้ว่าจะสอนหน้าท ่ ี
ิ
ู
ู
ุ
ั
พลเมือง ศีลธรรม ประวัติศาสตร์เพื่อสร้างคุณธรรมให้แก่ประชากรดีไหม
ย้อนกลับมาถึง “สมบัติผู้ดี” ซึ่งจะเป็นแนวทางปฏิบัติส�าหรับประชาชนทั่วไป
นั้น ยังมี “ราชสวัสดิ์” ๑๐ ประการ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติส�าหรับข้าราชส�านักผู้ที่จะ
ต้องปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ โดยเป็นข้อกาหนดเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนียม จารีต
�
ประเพณี มาตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (รัชกาลที่ ๓ พ.ศ.๒๒๗๕-พ.ศ. ๒๓๐๑
ของกรุงศรีอยุธยา - ราชวงศ์บ้านพลูหลวง) และมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นพระราชนิพนธ์ ของ
รัชกาลที่ ๖ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) แต่ที่จริงมีมาก่อนหน้านั้นนาน
มากแล้ว และมีสืบต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการสอนแก่นักเรียนอยู่บ้างในบาง
โรงเรียน
ื
ี
ขอคัดลอกเร่อง�“สมบัติผู้ด”�๑๐ ประการของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบด ี
(หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๕ (๑๐๘ ปีที่ผ่านมา) และยังคงทันสมัย
�
ี
อยู่ หากจะนาไปพัฒนาใช้ให้เหมาะกับเวลาและสถานท่ โดยต้องปลูกฝังไว้ในจิตใต้สานึก
�
เพื่อให้น�าออกมาใช้เป็นจริยวัตรให้ได้ตามสมควร ดังนี้
90
������������������������ 2563 ������������.indd 90 21/10/2563 BE 13:44
๑. ผู้ดีย่อมรักษาความเรียบร้อย ไม่ใช้กิริยาอันกลากรายบุคคล ไม่สอด สวน
�
้
วาจาหรือแย่งชิงพูด ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านก�าเริบ หยิ่งยโส
ื
�
ื
๒. ผู้ดี ย่อมไม่ทาอุจาดลามก ใช้เส้อผ้าเคร่องแต่งกายสะอาด เรียบร้อย ไม่กล่าว
ถึงสิ่งโสโครก พึงรังเกียจในท่ามกลางชุมชน พึงใจที่จะรักษาความสะอาด
๓. ผู้ดี ย่อมมีสัมมาคารวะ นั่งด้วยกิริยาอันสุภาพ โดยเฉพาะต่อหน้า ผู้น้อยไม่
�
พูดจาล้อเลียนผู้ใหญ่ เคารพยาเกรงบิดามารดา และอาจารย์ นับถือนอบน้อมต่อ ผู้ใหญ่
มีความอ่อนหวานแก่ผู้น้อย
๔. ผู้ดี ย่อมมีกิริยาเป็นท่น่ารัก ไม่ทากิริยาร่นเริง เม่อเขามีทุกข์ ไม่กล่าวสรรเสริญ
ี
ื
ื
�
ี
รูปกายบุคคล (ยกยอ) ไม่พูดเคาะแคะสตรีกลางท่ชุมชน และย่อมรู้จักเกรงใจคน
๕. ผู้ดี ย่อมเป็นผู้มีสง่า มีกิริยาอันผึ่งผายองอาจ จะยืนนั่ง ย่อมอยู่ในอันดับอัน
สมควร เป็นผู้รักษาความสัตย์ ไม่เป็นผู้เกียจคร้าน
�
ิ
๖. ผู้ดี ย่อมปฏิบัติงานดี ทาการอยู่ในระเบียบแบบแผน พูดในส่งท่เช่อถือได้
ี
ื
เป็นผู้รักษาความสัตย์
๗. ผู้ดี ย่อมเป็นผู้มีจิตใจดี เมื่อเห็นเหตุร้าย หรืออันตรายที่เกิดแก่ผู้อื่น ต้องรีบ
ี
�
ิ
ช่วย ไม่เยาะเย้ยถากถางผ้กระทาผดพลาด ไม่ใช้วาจาอนข่มข ไม่มจตใจอนโหดเหยม
ี
ิ
ู
ี
ั
่
ั
้
เกรี้ยวกราดแก่ผู้น้อย และเอาใจโอบอ้อมอารีแก่ผู้อื่น
๘. ผู้ดี ย่อมไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีใจมักได้ ไม่หยิบยืมข้าวของทองเงินซึ่งกันและกัน
ี
ั
ู
ุ
๙. ผ้ด ย่อมรกษาความสจรตซอตรง ไม่ละลาบละล้วง ไม่ซอกแซกไต่ถามธระ
ื
่
ิ
ุ
ส่วนตัว เป็นผู้รักษาความไว้วางใจแก่ผู้อื่น
�
ื
ี
ั
๑๐. ผู้ดีย่อมไม่ประพฤติช่ว ไม่เป็นพาลเท่ยวเกะกะระราน และทาร้ายผู้อ่น ไม่
ท�าให้ผู้อื่นเดือดร้อนเจ็บอาย เพื่อความสนุกยินดีของตน ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่นินทาว่า
ี
ื
ั
ี
ร้ายกันและกัน ไม่ปองร้ายผู้อ่น มีความเหน่ยวร้งใจตนเองและเป็นผู้ท่มีความละอาย
และเกรงกลัวต่อบาป
�
ั
อ่านแล้วต้องค่อยๆ พิจารณานาไปปฏิบัติท้งทางกาย วาจา และใจ แต่ใน
ยามที่ “มารยาทสากล” ในโลกเปลี่ยนไป เรื่องที่จะต้องช่วยกันท�าให้เกิดความสงบสุข
ในสังคมอย่างง่ายๆ อาจจะได้แก่
91
������������������������ 2563 ������������.indd 91 21/10/2563 BE 13:44
๑. การไม่ยืนคุย ชุมนุม กีดขวาง ประตู ทางเดินของผู้อื่น ซึ่งปัจจุบัน ละเลยกัน
มากยืนคุยกันหัวเราะกัน ขวางทางลิฟท์ ทางเดินช่องบันได ขวางประตูโดยไม่แยแสผู้
อื่น น่าจะแก้ไขไหม?
๒. มารยาทในการใช้ลิฟต์ ทุกคนอยากสะดวก แต่การ “ชิง” เข้า “ชิง” ออก
จากลิฟต์ โดยขาดมารยาทอันเหมาะสม ไม่ควรท�า ลิฟต์เต็มก็ควรรอ คนที่เข้าลิฟต์ คน
แรก ควรยืนใกล้ปุ่มกด และช่วยผู้โดยสารอื่น ส่วนผู้อื่นต้องเข้าด้านในสุด แล้วหันหน้า
ออกมาทางด้านประตู ไม่คุย ไม่ส่งเสียง
ี
๓. ไม่สมควรรบร้อนเดินจนชนผู้อ่น โดยเฉพาะ เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ
ื
หญิงมีครรภ์ หรือผู้อ่อนแอกว่า หากบังเอิญต้อง “ขอโทษ” ให้เป็น อย่าโกรธ และ สีหน้า
ใส่ผู้อื่น
ี
ื
๔. ขับรถให้สุภาพ ให้สัญญาณเม่อเปล่ยนลู่ จะจอด จะออกรถ ต้องระวัง ไม่ปาด
หน้าผู้อื่น เอื้อเฟื้อ เมื่อผู้อื่นขอทาง ไม่กีดกัน เพราะจะท�าให้ติดหมดทุกทาง
๕. อย่าทิ้งขยะ เศษกระดาษ ก้นบุหรี่ลงพื้น ควรเก็บใส่กระเป๋า เพื่อน�าไปลงถัง
ขยะสาธารณะ หรือที่บ้าน
๖. เมตตากรุณาผู้อื่น ให้เหมาะสมกับกาละและเทศะอย่างมีเหตุผล
๗. แต่งกายสุภาพ ให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ ปัจจุบันเราลอกแบบการแต่ง
กายจากต่างชาติมามาก จนอาจไม่เรียบร้อยไม่มีความสวยงาม และสง่า งดงาม ต้อง
พิจารณาเอาเอง
๘. อย่าแย่งกันพูด อย่าแย่งกันแสดง คนสงบปากค�า และ “โง่เป็น” จะเป็นผู้น�า
ที่ดี
๙. อย่าเบ่ง อย่าอ้างบารมีผู้อื่น
ึ
ื
๑๐. รู้จักความพอดี สามัคคี เอ้ออาทร และมีความเป็นอันหน่งอันเดียวกันของ
ประชาชน จึงจะอยู่ได้อย่างสงบสุข
92
������������������������ 2563 ������������.indd 92 21/10/2563 BE 13:44
มูลนิธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ั
ในพระอุปถัมภ์
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
มูลนิธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอย่หัว เป็นนามพระราชทาน ดวง
ั
ู
ตรามูลนิธิเป็นรูปพระวิมานเนื่องตามพระราชลัญจกร ก�าเนิดขึ้นเนื่องจากรัฐบาลชุดพลเอก เปรม
ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่
ื
หัว เน่องในมหามงคลครบ ๒๐๐ ปี วันพระบรมราชสมภพ พุทธศักราช ๒๕๓๐ การเฉลิมพระเกียรต ิ
ได้ก�าหนดแต่งตั้งคณะกรรมการด�าเนินงาน ประกอบด้วย คณะกรรมการสร้างสิ่งอนุสรณ์ คณะ
ี
กรรมการจัดพิมพ์หนังสือท่ระลึก คณะกรรมการประชาสัมพันธ์ และคณะกรรมการฝ่ายพระราช
พิธี ได้มีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ บริเวณลานมหาเจษฎาบดินทร์ ถนนราชด�าเนิน
้
ุ
้
ี
ั
จัดพิมพ์หนังสือท่ส�าคัญในรัชสมย และบ�าเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานประทานน้อมเกลานอม
กระหม่อมถวาย
93
������������������������ 2563 ������������.indd 93 21/10/2563 BE 13:44
อนุสนธิจากงานเฉลิมพระเกียรตินี้ คณะกรรมการอ�านวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ มี
ความเห็นว่า พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นคุณอเนกอนันต์ต่อ
ื
ั
ชาวไทยสืบมาถึงปัจจุบัน เห็นควรให้กรมศิลปากรก่อต้งมูลนิธิฯ เพ่อด�าเนินการเผยแพร่พระราช
ประวัติ พระราชกรณียกิจ ตลอดทั้งวัตถุสถานต่างๆ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงสร้างขึ้น
ั
ั
้
่
้
ั
่
ุ
ื
่
ิ
ู
ึ
ไวทวกรงเทพมหานครและปรมณฑล เพอใหเยาวชนไทยไดรจกแพรหลายและตระหนกถงพระ
้
้
มหากรุณาธิคุณ จะได้ร่วมช่วยกันปกปักรักษามรดกวัฒนธรรมที่บรรพชนได้สร้างสรรค์ไว้ ให้
ด�ารงอยู่คู่บ้านเมืองสืบต่อไป
ั
การก่อต้งมูลนิธิฯ ได้รับความร่วมมือจากราชสกุล ราชินีกุล และสายสัมพันธ์ ร่วมกัน
หาทุนก่อตั้งเป็นเบื้องต้น โดย หม่อมราชวงศ์ แสงสูรย์ ลดาวัลย์ ได้เป็นหลักส�าคัญประสานกับ
ทุกฝ่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขณะนั้นคือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้มอบให้กองทัพบกจัด
ั
ื
แสดงละครเร่องเจ้าพระยาบดินทรเดชาทหารเสือพระน่งเกล้า จัดพิมพ์หนังสือพระมหาเจษฎา
บดินทร์ และจัดท�าถุงแดงออกจ�าหน่าย สามารถจดทะเบียนก่อตั้งเป็นมูลนิธิส�าเร็จเมื่อวันที่ ๔
กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๖ ด้วยทุนประเดิม ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยอธิบดีกรมศิลปากร (นาย
สุวิชญ์ รัศมิภูติ) ท�าหน้าที่เป็นประธานมูลนิธิฯ คนแรก ประกอบด้วยคณะกรรมการรวมทั้งสิ้น
๒๕ คน
อุปถัมภ์
พุทธศักราช ๒๕๔๔ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส
ราชนครินทร์ ทรงพระกรุณารับกิจกรรมของมูลนิธิไว้ในพระอุปถัมภ์
วัตถุประสงค์
๑. เพ่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระน่งเกล้าเจ้าอย่หัวให้แพร่หลาย กว้าง
ั
ู
ื
ขวาง
๒. เพื่อท�านุบ�ารุงพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ี
๓. เพ่อท�านุบ�ารุง บูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถาน และอารามท่พระบาทสมเด็จพระ
ื
นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้เป็นมรดกตกทอดที่เชิดชูเกียรติแก่ประเทศชาติ
ี
ึ
ู
๔. เพ่อเป็นทุนในการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ความร้ท่เกิดข้นในรัชสมัยของพระบาท
ื
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวให้แพร่หลาย ทั้งด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และศิลปกรรม
๕. ด�าเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่น
สถานที่ตั้ง
อาคารหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ถนนสามเสน เทเวศร์ ดุสิต กรุงเทพฯ
โทรศัพท์.๐๒-๖๒๘-๙๗๒๙ โทรสาร.๐๒-๖๒๘-๙๗๒๘
94
������������������������ 2563 ������������.indd 94 21/10/2563 BE 13:44
คณะกรรมการมูลนิธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในพระอุปถัมภ์
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
๑. พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ ประธาน
๒. หม่อมหลวงจุลลา งอนรถ รองประธาน
๓. ดร.รัชนี ชังชู กรรมการและเหรัญญิก
๔. หม่อมหลวงพูนแสง สูตะบุตร กรรมการ
๕. ดร.สันติภาพ เตชะวณิช กรรมการ
๖. ออท.กุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา กรรมการ
๗. อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย กรรมการ
และการแพทย์ทางเลือก
๘. อธิบดีกรมศิลปากร กรรมการ
๙. อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรรมการ
๑๐. ผู้อ�านวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กรรมการ
๑๑. นายแพทย์วิรุฬห์ พรพัฒน์กุล กรรมการ
๑๒. นายสุริยะ พดด้วง กรรมการ
๑๓. พญ.พรทิพย์ ศุภวงศ์ กรรมการ
๑๔. รศ.ดร.วิไลลักษณ์ สกุลภักดี กรรมการ
๑๕. นางสุวรรณี ณ ระนอง กรรมการ
๑๖. นางวรัญญา ขาวเหลือง กรรมการ
๑๗. นายพงศ์เชษฐ์ รุจิระชุณห์ กรรมการ
๑๘. นางสาวอรพินท์ จิรธนานนท์ กรรมการ
๑๙. นายฤทธิณรงค์ กุลประสูตร กรรมการ
๒๐. พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ กรรมการ
๒๑. นางฉันทนา ดาวราย กรรมการ
๒๒. นายพงษ์ อิงคสิทธิ์ กรรมการ
๒๓. นางสายไหม จบกลศึก กรรมการและเลขานุการ
๒๔. นายสุเทพ โอสถานนท์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
๒๕. นายสาโรจน์ จิตติบพิตร กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
95
������������������������ 2563 ������������.indd 95 21/10/2563 BE 13:44
คณะกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายสงฆ์
๑. พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา
๒. พระมหาโพธิวงศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม
๓. พระราชเวที ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
๔. พระโสภณนนทสาร เจ้าอาวาสบางไผ่พระอารามหลวง
๕. พระพิศิษฎ์วิหารการ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส
คณะกรรมการกิตติมศักดิ ์
๑. ศ.ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ๒. หม่อมหลวงอนงค์ นิลอุบล
๓. นางทิพย์อุษา เนยปฏิมานนท์ ๔. พลเอก พงษ์เทพ เทศประทีป
๕. นายวิชิต ญาณอมร ๖. เรืออากาศเอกหม่อมหลวงย่อม งอนรถ
๗. ดร.อภิชัย จันทรเสน ๘. นายสมพล เกียรติไพบูลย์
๙. นายสมเกียรติ หัตถโกศล
คณะกรรมการที่ปรึกษา
๑. ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ ๒. ดร.อุภาศรี กฤษณามระ
๓. หม่อมหลวงจุลกะ งอนรถ ๔. หม่อมหลวงอรทัย เทวกุล
๕. หม่อมหลวงเพ็ญแสง ลดาวัลย์ ๖. นายตะวันชาย ชุมสาย ณ อยุธยา
๗. นายแพทย์คมกริบ ผู้กฤตยาคามี ๘. ดร.ถกล นันธิราภากร
๙. นายแพทย์ธวัตชัย วงค์คงสวัสดิ์ ๑๐. นายธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์
๑๑. นายสมพงษ์ แก้วเจริญไพศาล ๑๒. นายจิระ ศิริสัมพันธ์
๑๓. นายสนอง จุลกะทัพพะ ๑๔. นายพลพันธ ศิริวงศ์ ณ อยุธยา
๑๕. ศ.เมธี ดร.สุเชษฐ์ สมิตินันทน์ ๑๖. ดร.ดุสิต พัวทัศนานนท์
๑๗. นายวีระ อุไรรัตน์ ๑๘. นายมโนธรรม ชนะสิทธิ์
๑๙. นายปกรณ์ ศรีจันทร์งาม
คณะกรรมการอุปถัมภ์
๑. หม่อมราชวงศ์จักรรถ จิตรพงศ์
๒. รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์
๓. นายกลินท์ สารสิน
๔. ดร.พงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์
๕. นางทิพยา กิตติขจร
๖. นายกลินท์ สุรวงศ์ บุนนาค
96
������������������������ 2563 ������������.indd 96 21/10/2563 BE 13:44