The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตัวอย่างเอกสารประกอบการเรียนปี่พาทย์มอญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by peung_oasis, 2021-12-09 02:53:32

เอกสารประกอบการเรียน วิชาปี่พาทย์มอญ

ตัวอย่างเอกสารประกอบการเรียนปี่พาทย์มอญ

คำอธิบายรายวิชา (เพ่ิมเติม)

รายวิชา ปีพ่ าทยม์ อญ รหัสวิชา ศ32238 กลุม่ สาระการเรียนรู้ศิลปะ

ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี ๒ จำนวน 1.0 หนว่ ยกติ เวลา 4๐ ชั่วโมง/ภาคเรยี น

ศึกษาประวัติความเป็นมาของวงปี่พาทย์มอญ และรูปแบบการบรรเลง วิธีการบรรเลง โอกาส การแต่ง
กาย ตลอดจนอิทธิพลที่มตี ่อการแสดงวงป่ีพาทยม์ อญ ปฏบิ ัตกิ ารบรรเลงป่ีพาทย์มอญ โดยใช้ทักษะกระบวนการ
คิด ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ทักษะกระบวนการใช้ชีวิต ทักษะกระบวนการสื่อสาร ทักษะการปฏิบัติ และ
ทักษะกระบวนการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ กล้าคิด กล้าแสดงออกทางศิลปะอย่างสร้างสรรค์
เห็นคณุ คา่

โดยใช้กระบวนการ คดิ วิเคราะห์ อภปิ ราย จำแนก สบื คน้ ข้อมลู และสังเคราะห์และประเมนิ ค่า ฝึก
ปฏิบตั ิทางดนตรี สามารถส่ือสารความรู้ได้อย่างถกู ตอ้ ง มีความสามารถในการตดั สนิ ใจ

เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ มีวินัย ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มุ่งมั่นในการทำงาน และมีทักษะเกี่ยวกับลักษณะและ
คุณสมบัติของเสียง สามารถ ขับร้องเพลงประกอบดนตรีได้อย่างมีความสุขในการเรียน นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมา
ผสมผสานไดอ้ ยา่ งกลมกลนื และเห็นคณุ ค่าเกิดความชน่ื ชม

ผลการเรยี นรู้
1. ศึกษาประวตั ิและการแสดงปี่พาทย์มอญ
2. ศกึ ษาวธิ ีการบรรเลง โอกาส การแต่งกายการแสดงวงป่ีพาทย์มอญ
3. ปฏบิ ตั กิ ารบรรเลงป่พี าทย์มอญ

รวมท้งั หมด 3 ผลการเรียนรู้

ทมี ครผู ูส้ อน

รายวชิ า ปีพ่ าทย์มอญ รหัสวิชา ศ32238 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ศลิ ปะ
เวลา 4๐ ช่วั โมง/ภาคเรียน
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนท่ี ๒ จำนวน 1.0 หน่วยกิต

การสอนออนไลน์ผา่ น หมายเหตุ
( / ) Facebook Live -
( ) Application อ่ืนจากครผู สู้ อน (โปรดระบุ Zoom) -

การเรยี นผา่ นระบบ Virtual School Online
( / ) มี
( ) ไม่มี

ลำดับ รายชอื่ ครผู สู้ อน
1-
2-

กำหนดการสอนออนไลน์ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564

รายวิชา ปพ่ี าทย์มอญ รหัสวิชา ศ32238 กลมุ่ สาระการเรยี นรูศ้ ิลปะ

ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรยี นที่ ๒ จำนวน 1.0 หน่วยกิต เวลา 4๐ ช่วั โมง/ภาคเรียน

สปั ดาห์ เน้อื หา/สาระทส่ี อน หน่วยการเรียนรู้ที/่ ผลการเรียนรู้ จำนวน
ท่ี ช่ือหน่วยการเรียนรู้ (ชั่วโมง)
ประวัตคิ วามเป็นมาของ 1. ศกึ ษาประวตั แิ ละการ
1. วฒั นธรรมปพ่ี าทย์มอญ หน่วยที่ 1 แสดงปพ่ี าทยม์ อญ 6
2. จงั หวัดปทุมธานี วฒั นธรรมปพ่ี าทย์
3. เอกลักษณ์และความสำคญั 1. ศึกษาประวัติและการ 4
4.- 5. ของวัฒนธรรมปีพ่ าทยม์ อญ มอญ จงั หวัด แสดงปพ่ี าทย์มอญ 10
การถ่ายทอดของวฒั นธรรม ปทุมธานี 3. ปฏบิ ตั ิการบรรเลงป่ี 10
6.–10. ปพี่ าทยม์ อญ พาทย์มอญ
ลกั ษณะเด่นของดนตรีปี่ หน่วยที่ 2 1. ศึกษาประวัตแิ ละการ 10
11.-15. พาทยม์ อญ บทบาทหน้าท่ีในการ แสดงป่ีพาทยม์ อญ
- การประสมวง 3. ปฏิบัติการบรรเลงป่ี 40
16.-20. - หน้าทีก่ ารบรรเลง บรรเลง พาทยม์ อญ
เพลงนิราศปทุมธานี 1. ศึกษาประวตั แิ ละการ
หน่วยที่ 3 แสดงปพ่ี าทยม์ อญ
การบรรเลงปพี่ าทย์ 2. ศกึ ษาวธิ ีการบรรเลง
โอกาส การแต่งกายการ
มอญเบื้องตน้ แสดงวงปี่พาทย์มอญ
3. ปฏิบตั ิการบรรเลงป่ี
เพลงมอญดูดาว หนว่ ยที่ 3 พาทยม์ อญ
การบรรเลงปพ่ี าทย์ 1. ศกึ ษาประวตั ิและการ
แสดงปี่พาทยม์ อญ
มอญเบ้ืองต้น 2. ศกึ ษาวิธกี ารบรรเลง
โอกาส การแต่งกายการ
เพลงพมา่ นมิ ิต หนว่ ยท่ี 3 แสดงวงป่พี าทย์มอญ
การบรรเลงป่ีพาทย์ 3. ปฏบิ ัตกิ ารบรรเลงป่ี
พาทย์มอญ
มอญเบื้องต้น

รวมเป็นชั่วโมง

หมายเหตุ กำหนดการสอนออนไลน์อาจมกี ารเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

ใบความรู้เรื่อง วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ

จงั หวดั ปทมุ ธานี

วฒั นธรรม หมายถึง แบบแผนในการดาเนินชีวิตท่ีดีงามท่ีปฏิบตั ิต่อเน่ืองกนั มาในชุมชนและสงั คม
วฒั นธรรมมีพนื้ ฐานมาจากส่งิ แวดลอ้ ม เชน่ สภาพภุมิประเทศ ภมู อิ ากาศ ศาสนา และความเช่อื

วฒั นธรรมในทอ้ งถ่ินแต่ละทอ้ งถ่ิน มีลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั ไปตามแต่ละทอ้ งถ่ิน ในจงั หวดั ปทมุ ธานี
เป็นจงั หวดั หนึ่งท่ีมีชาวมอญอาศยั อย่หู นาแน่น ตงั้ แตส่ มยั กรุงศรีอยธุ ยา คนมอญจะมีประเพณี และความเช่ือ
ต่าง ๆท่ีสาคญั มากมาย โดยเฉพาะประเพณีตงั้ แต่แรกเกิด จนถึงสิน้ ชีวิตของมอญนนั้ ก็คลา้ ยๆกบั ของไทย
นอกจากนีย้ งั มีประเพณีอ่ืน ๆ ตลอดทงั้ ศิลปวฒั นธรรมของมอญอีกมากมาย เช่น แห่หางหงส์ แห่นกแห่ปลา
ไปปล่อยในเทศกาลสงกรานต์ ประเพณีงานศพ ประเพณีมอญรอ้ งไห้ การแต่งกายไวผ้ ม การเล่นสะบา้ มอญ
มอญรา ทะแยมอญ ป่ีพาทยม์ อญ เป็นตน้ ถึงแมว้ ่าชาวมอญจะอพยพเขา้ มาในประเทศไทยเป็นเวลานาน
หลายรอ้ ยปีแลว้ ก็ตาม ประเพณี และวฒั นธรรมท่ีปรากฏใหเ้ ห็นอย่นู ีย้ ่อมเป็นเคร่ืองแสดงใหเ้ ห็นว่าชาวมอญ
ยงั คงอนรุ กั ษศ์ ิลปวฒั นธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ งๆ ของตนเองไดอ้ ย่างดี

ประเพณี วัฒนธรรมท้องถ่ินของ จงั หวัดปทุมธานี มีดังต่อไปนี้
การแต่งกายตามอัตลักษณ์ของชาวมอญ โดยผูช้ าย

สงู อายุจะน่งุ ผา้ น่งุ ท่ีลายตาหมากรุกเรียกว่า “สะล่ง” หรือท่ีไทย
เรยี กวา่ “โสรง่ ” ใสเ่ สือ้ แลว้ แตส่ ะดวกไม่จากดั แบบ (ปัจจบุ นั มกั ใส่
อยู่บา้ นเท่านัน้ ) ส่วนผูห้ ญิงมอญจะนุ่งผา้ นุ่งท่ีเรียกว่า “กานิน”
หรือ “นิน” ซ่ึงคลา้ ยการนุ่งผา้ ถุงของหญิงไทย แต่ยาวกรอมสน้
เทา้ เสือ้ ก็แลว้ แต่สะดวกเช่นเดียวกัน แต่เวลาไปวัดหรือมีงาน
สาคญั จะใชผ้ า้ สไบเฉียงไหลอ่ กี ทีหนง่ึ และนยิ มไวผ้ มยาวเกลา้ เป็นมวยต่าค่อนไปขา้ งหลงั

ข้าวแช่ ชาวมอญ มีความเช่ือว่าหากไดก้ ระทาพธิ ีเช่นว่านี้
บชู าตอ่ เทวดาในเทศกาลสงกรานตแ์ ลว้ สามารถตงั้ อธิษฐานจิตสิ่ง
ใดๆย่อมไดด้ งั หวงั บางคนก็พาลเช่ือเลยเถิดไปถึงว่า เป็นการบชู า
ทา้ วกบิลพรหม ซ่ึงเขา้ มาเกี่ยวพันกับลูกชายเศรษฐีในภายหลัง
ด้วยการตั้งปัญหามาทาย เกี่ยวกับ "ราศี” ของมนุษย์เราตาม
ตาแหน่งในช่วงเวลาต่างๆของวันหนึ่งๆ และทา้ ยท่ีสุดเม่ือธรรม

บาลกุมารตอบถูก ทา้ วกบิลพรหมก็ตอ้ งตดั พระเศียรตาม คาทา้ ของตนบูชาธรรมบาลกุมาร กระท่งั เดือดรอ้ น
ใหล้ กู สาวทงั้ ๗ คน ตอ้ งผลดั เวรกนั มาถือพานรองรบั พระเศียรพระบิดา ปีละคน กนั มิใหพ้ ระเศยี รตกถึงพืน้ ดิน
อนั จะนามาซ่ึงไฟบรรลยั กัลป์ ลา้ ง ผลาญโลก หรือแมแ้ ต่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ก็ยงั ทาฝนแลง้ รวมทงั้ นา้ จะ
เหอื ดแหง้ หากตกลงมหาสมทุ ร และน่นั ก็เป็นท่มี าของตานานการกาเนดิ นางสงกรานต์ อีกดว้ ย

การราพาข้าวสาร นยิ มทากนั หลงั จากการออกพรรษา เป็นชว่ งการ ทอดกฐินและทอดผา้ ป่ า คอื ถา้
วดั ใดยงั ไมม่ ีการจองกฐิน หรือยงั ไมไ่ ดท้ อดกฐิน ชาวบา้ นก็จะชว่ ยกนั จดั กฐินไปทอด โดยคณะผรู้ าพาขา้ วสาร
จะพายเรือไปจอด ท่ีหัวบันไดบา้ น แลว้ จะรอ้ งเพลงเชิญชวนใหท้ าบุญ เช่น บริจาคขา้ วสาร เงิน ทองและ
สิ่งของ เม่ือได้รับแล้วก็จะร้องเพลงอวยพรให้ผู้บริจาคมี
ความสขุ ความเจริญ การราพาขา้ วสารจะเร่มิ ตงั้ แต่ 19.00 น.
ไปจนถึงเท่ียงคืนจึงเลิก และพากันกลบั บา้ นและในคืนต่อไป
คณะราพาขา้ วสารก็จะพายเรือไปขอรบั บริจาคท่ีตาบลอ่ืน ๆ
จนกระท่ังเห็นว่าขา้ วของท่ีได้มาพอท่ีจะทอดกฐินแลว้ จึง ยุติ
การราพาขา้ วสาร จากนนั้ จึงนาสง่ิ ของท่ีไดไ้ ปทอดกฐินท่วี ดั นนั้

ตกั บาตรพระร้อย ชาวมอญในจงั หวดั ปทมุ ธานีจะทาในเทศกาลออก พรรษาในวนั แรม 1 ค่า เดือน
11 เป็นตน้ ไป สืบทอดมานบั รอ้ ยปี ดว้ ยการนา อาหารคาว-หวานลงเรือมาจอดเรียงรายรมิ ฝ่ังแม่นา้ เจา้ พระยา

โดยมีเชือกขึงไว้ เป็นแนวเพ่ือรอตกั บาตร จากนนั้ พระจากวดั ต่าง
ๆ ก็จะลงเรอื มารบั บณิ ฑบาตร จากเรือท่จี อดอย่โู ดยการสาวเชอื ก
ตงั้ แต่ตน้ จนสดุ ปลายเชอื ก หลงั จากพิธีตกั บาตรในชว่ งเชา้ แลว้
ทางวดั จะจดั ใหม้ ีงานปิดทองนมสั การพระประธานใน โบสถ์ มีการ
แข่งเรอื และมหรสพพนื้ บา้ น

มอญรา เป็นประเพณีวฒั นธรรมของชาวรามญั โบราณตงั้ แต่สมยั สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช มี
การใชป้ ่ีพาทยม์ อญเลน่ ประกอบการราและการรอ้ ง ใช้
หญิงสาวจานวน 8-12 คนขึน้ ไปราในงานพิธีมงคล โดย
จะแต่งกายชุดของชาวมอญห่มสไบเฉียง เสือ้ แขนยาว
ทรงกระบอกคอกลม เกลา้ ผมมวยรดั ดว้ ยดอกมะลิ ทดั
ดอกไมส้ ดขา้ งหแู ละสวมกาไลท่ขี อ้ เทา้

แห่หางหงสธ์ งตะขาบ การถวายธงตะขาบเป็นประเพณีท่ีชาวไทยรามัญเมืองปทุมธานี ถือ

ปฏิบตั ิกนั ในเทศกาลวนั สงกรานต์ กระทากนั ท่ีเสาหงสห์ นา้ เจดีย์ หรือ โบสถ์ วิหารอนั เป็นสญั ลกั ษณข์ องชาว
รามญั แห่งหงสาวดเี สาหงสท์ าดว้ ยไมก้ ลมหรือเหล่ยี มมเี สาประกบคปู่ ระดบั ดว้ ยบวั หวั เสาท่ีปลายเสามรี ูปหงส์
ทรงเครื่องหล่อดว้ ยโลหะยืนอยู่ปลายเสากางปีกทงั้ สองขา้ งท่ีจะงอยปากหงสแ์ ขวนดว้ ยกระด่ิง บนสดุ มีฉัตร

สามชัน้ ปักอยู่ ชาวรามัญเรียกเสาหงสว์ ่า “เทียะเจมเจียนู่ ”
ประเพณีถวายธงตะขาบจะจัดทากันในวันสุดท้ายของวัน
สงกรานต์ท่ีศาลาวัด โดยใช้ผ้าเป็นผืนยาวตัดเป็นรูปตัว
ตะขาบ ใสไ่ มไ้ ผ่เป็นระยะๆ ตลอดผืน ติดธงเล็กๆ ท่ีซี่หวั ไมไ้ ผ่
เม่ือเสร็จแลว้ ดไู กลๆ คลา้ ยตวั ตะขาบ ชาวรามญั เรียกธงนีว้ ่า
“ อะลามเทียะกี้ ” หลงั จากทาเสรจ็ แลว้ ในตอนบ่ายก็จะมีการแห่ธง โดยช่วยกนั จบั ขอบธงตลอดทงั้ ผืน แห่ธง
ไปตามหม่บู า้ น มีขบวนเถิดเทิงกลองยาวประกอบขบวน เสรจ็ แลว้ นามาทาพธิ ีถวายธงท่ีหนา้ เสาหงส์ แลว้ ชกั
ขนึ้ สยู่ อดเสา เพ่อื เป็นการบชู าพระพทุ ธเจา้ และสบื สานประเพณีต่อมาจนถงึ ทกุ วนั นี้

การจดุ ลกู หนูเป็นประเพณีเผาศพพระภกิ ษุ-สามเณร
ใชด้ อกไมเ้ พลงิ เป็นฉนวน รอ้ ยดว้ ยเชอื กฉนวน เม่ือจดุ ไฟ ไฟจะ
วง่ิ ตามฉนวนไปยงั ดอกไมเ้ พลิง ดอกไมเ้ พลงิ จะวง่ิ ไปจดุ ไฟท่เี มรุ

ใบงาน เรอื่ ง วฒั นธรรมท้องถิ่น
จงั หวดั ปทมุ ธานี

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นอธิบายลกั ษณะของวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน จงั หวดั ปทมุ ธานี ตามท่กี าหนด

ลกั ษณะของวฒั นธรรม ลักษณะของวฒั นธรรมท้องถ่ิน

การปักสไบมอญ ก่อนเรม่ิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรื่องท่นี ามาแสดงจะเป็นเรื่องจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเรอ่ื งมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ค่รู บั ..........

แหห่ างหงษธ์ งตะขาบ กอ่ นเร่มิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เร่อื งท่นี ามาแสดงจะเป็นเรือ่ งจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเร่ืองมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ค่รู บั ..........

ตกั บาตรพระร้อย กอ่ นเรม่ิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรยี กคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรอ่ื งท่นี ามาแสดงจะเป็นเรอ่ื งจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเร่ืองมผี บู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ค่รู บั ..........

ราพาข้าวสาร ก่อนเรม่ิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตีกลองตกุ๊ เป็นการเรยี กคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรอื่ งท่นี ามาแสดงจะเป็นเรื่องจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเรอ่ื งมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มีลกู ครู่ บั ..........

การแตง่ กายขอชาวมอญ ก่อนเร่มิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ คร.ั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรอ่ื งท่นี ามาแสดงจะเป็นเรื่องจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเรอ่ื งมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ครู่ บั ..........

แบบประเมินใบงาน เรื่อง วฒั นธรรมท้องถนิ่ จงั หวัดปทุมธานี

รายการประเมิน ดีมาก (4) คาอธบิ ายระดบั คณุ ภาพ / ระดับคะแนน ปรับปรุง (1)
ดี (3) พอใช้ (2)

1. การอธิบาย อธิบายประวตั ิและ อธิบายประวตั ิและ อธิบายประวตั ิและ อธิบายประวตั แิ ละ
ประวตั ิและ ความสาคญั ของ ความสาคญั ของ ความสาคญั ของ ความสาคญั ของ
ความสาคญั ของ วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน
วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ไดถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน ไดถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน ไดถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน ไม่ถกู ตอ้ ง
ครบทงั้ หมด ผดิ 1 ขอ้ ผิด 2 ขอ้
2. การอธิบาย การอธิบายลกั ษณะ การอธิบายลกั ษณะ การอธิบายลกั ษณะ การอธิบายลกั ษณะ
ลกั ษณะเดน่ ของ เด่นของวฒั นธรรม เด่นของวฒั นธรรม เดน่ ของวฒั นธรรม เด่นของวฒั นธรรม
วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ทอ้ งถ่ิน ไดถ้ กู ตอ้ ง ทอ้ งถ่ิน ทอ้ งถ่ิน ทอ้ งถ่ินไม่ถกู ตอ้ ง
ชดั เจน ครบทงั้ หมด ผดิ 1 ขอ้ ผดิ 2 ขอ้
3. การอธิบาย การอธิบายประวตั ิ การอธิบายประวตั ิ การอธิบายประวตั ิ การอธิบายประวตั ิ
ประวตั แิ ละ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ
ความสาคญั ของ วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินผิด วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินผิด วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินไม่
วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ถกู ตอ้ ง ชดั เจน ครบ 1 ขอ้ 2 ขอ้ ถกู ตอ้ ง
ทงั้ หมด
4. การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ
ลกั ษณะเดน่ ของ ลกั ษณะเด่นของวดั ลกั ษณะเดน่ ของวดั ลกั ษณะเด่นของวดั ลกั ษณะเด่นของวดั
วดั หงษป์ ทมุ าวาส หงษป์ ทมุ าวาส หงษป์ ทมุ าวาสผดิ 1 หงษป์ ทมุ าวาสผดิ 2 หงษป์ ทมุ าวาสไม่
ถกู ตอ้ ง ชดั เจน ครบ ขอ้ ขอ้ ถกู ตอ้ ง
ทงั้ หมด

เกณฑก์ ารตัดสินคุณภาพ

ช่วงคะแนน 14 - 16 13 - 12 11- 8 ต่ากว่า 7
ระดับคุณภาพ ดีมาก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง

ใบความรู้เรอ่ื ง ประวตั วิ ัดหงษป์ ทุมาวาส
จงั หวดั ปทมุ ธานี

วดั หงษป์ ทมุ าวาส เดิมช่ือ "วดั หงษา" ตงั้ อยรู่ มิ
ฝ่ังแม่นา้ เจา้ พระยาฝ่ังตะวนั ตก ตาบลบางปรอก อาเภอ
เมือง ใกลก้ ับตลาดสดเทศบาลปทุมธานี สรา้ งขึน้ สมัย
พระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)
ผูร้ ิเร่ิมก่อสรา้ งแต่ไม่ปรากฏหลกั ฐานท่ีแน่ชดั ว่าวัดหงส์
ปทุมาวาสเป็นวัดของชนชาวมอญท่ีไดอ้ พยพเขา้ มาตงั้ ถ่ินฐานท่ีตาบลบางปรอก โดยการนาของพระยาเจ่ง
เม่ือครงั้ ท่ีไดต้ ่อสกู้ ับกองทัพพม่า แต่สไู้ ม่ได้ พระยาเจ่งจึงไดพ้ าครอบครวั ชาวมอญอพยพมากรุงธนบุรี เพ่ือ
หวงั พ่งึ พระบรมโพธิสมภารพระเจา้ กรุงธนบรุ ี (สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช)พระองคจ์ ึงทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้
ครอบครวั ชาวมอญท่มี ากบั พระยาเจง่ พกั อาศยั อยทู่ ่เี มืองสามโคกและเมืองนนทบรุ ี
แหล่งเรยี นรู้ภายในวัด

วงั ปลา เป็นท่อี ยอู่ าศยั ของปลาในลานา้ เจา้ พระยาจานวนมากปลาสวาย (Striped) เป็นปลาไมม่ เี กล็ด
ชอบอยกู่ นั เป็นฝงู ลาตวั เรียวยาวสีเทานวลหนา้ ทู่ ปากกวา้ ง เป็นปลาท่เี ช่ืองมาก

เจดยี ม์ อญ ซง่ึ จาลองมาจากเจดียช์ ะเวดากอง ดา้ นขา้ งจะมเี สาหงส์
หอระฆงั แบบรามญั

วหิ ารจาลองตามแบบกรุงหงสาวดี หลงั คาจะมีลกั ษณะเป็นชนั้ ๆ พรอ้ มลวดลายท่สี วยงาม

พวงมโหตรและเสาหงสธ์ งตะขาบ โดยปกติจะกระทากนั ท่ีเสาหงสห์ นา้ เจดีย์ หรือ โบสถ์ วหิ ารอนั เป็น
สญั ลกั ษณข์ องชาวรามญั แห่งหงสาวดเี สาหงสท์ าดว้ ยไมก้ ลมหรอื เหลี่ยมมีเสาประกบค่ปู ระดบั ดว้ ยบวั หวั เสา
ท่ปี ลายเสามรี ูปหงสท์ รงเครอื่ งหลอ่ ดว้ ยโลหะยืนอยปู่ ลายเสากางปีกทงั้ สองขา้ ง ท่จี ะงอยปากหงสแ์ ขวนดว้ ย
กระดงิ่ บนสดุ มีฉัตรสามชนั้ ปักอยู่ ชาวรามญั เรียกเสาหงสว์ า่ “เทยี ะเจมเจียนู่ ” ประเพณีถวายธงตะขาบจะ
จดั ทากนั ในวนั สดุ ทา้ ยของวนั สงกรานตท์ ่ศี าลาวดั เสรจ็ แลว้ นามาทาพธิ ีถวายธงท่หี นา้ เสาหงส์ แลว้ ชกั ขนึ้ สู่
ยอดเสา เพ่ือเป็นการบชู าพระพทุ ธเจา้ และสืบสานประเพณีตอ่ มาจนถึงทกุ วนั นี้

ใบงาน เรอ่ื ง วดั หงษป์ ทมุ าวาส
จงั หวดั ปทมุ ธานี

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนจบั กลมุ่ กลมุ่ ละ 4-5 คน ชว่ ยกนั วาดภาพเลา่ เรื่องราวท่นี กั เรียนช่ืนชอบภายในแหลง่
เรียนรู้ วดั หงษ์ปทมุ าวาส

แบบประเมินใบงาน เรอื่ ง วดั หงษป์ ทมุ าวาส จังหวัดปทมุ ธานี

รายการประเมิน ดีมาก (4) คาอธบิ ายระดบั คุณภาพ / ระดบั คะแนน ปรับปรุง (1)
ดี (3) พอใช้ (2)

1. การอธิบาย อธิบายประวตั ิและ อธิบายประวตั ิและ อธิบายประวตั ิและ อธิบายประวตั แิ ละ
ประวตั แิ ละ ความสาคญั ของ ความสาคญั ของ ความสาคญั ของ ความสาคญั ของ
ความสาคญั ของ วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน
วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ไดถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน ไดถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน ไดถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน ไมถ่ กู ตอ้ ง
ครบทงั้ หมด ผดิ 1 ขอ้ ผดิ 2 ขอ้
2. การอธิบาย การอธิบายลกั ษณะ การอธิบายลกั ษณะ การอธิบายลกั ษณะ การอธิบายลกั ษณะ
ลกั ษณะเดน่ ของ เดน่ ของวฒั นธรรม เด่นของวฒั นธรรม เดน่ ของวฒั นธรรม เดน่ ของวฒั นธรรม
วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ทอ้ งถ่ิน ไดถ้ กู ตอ้ ง ทอ้ งถ่ิน ทอ้ งถ่ิน ทอ้ งถ่ินไม่ถกู ตอ้ ง
ชดั เจน ครบทงั้ หมด ผดิ 1 ขอ้ ผิด 2 ขอ้
3. การอธิบาย การอธิบายประวตั ิ การอธิบายประวตั ิ การอธิบายประวตั ิ การอธิบายประวตั ิ
ประวตั แิ ละ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ
ความสาคญั ของ วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินผิด วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินผิด วฒั นธรรมทอ้ งถ่ินไม่
วฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน ถกู ตอ้ ง ชดั เจน ครบ 1 ขอ้ 2 ขอ้ ถกู ตอ้ ง
ทงั้ หมด
4. การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ
ลกั ษณะเดน่ ของ ลกั ษณะเดน่ ของวดั ลกั ษณะเดน่ ของวดั ลกั ษณะเดน่ ของวดั ลกั ษณะเดน่ ของวดั
วดั หงษ์ปทมุ าวาส หงษป์ ทมุ าวาส หงษป์ ทมุ าวาสผิด 1 หงษป์ ทมุ าวาสผิด 2 หงษป์ ทมุ าวาสไม่
ถกู ตอ้ ง ชดั เจน ครบ ขอ้ ขอ้ ถกู ตอ้ ง
ทงั้ หมด

เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ

ชว่ งคะแนน 14 - 16 13 - 12 11- 8 ต่ากว่า 7
ระดบั คณุ ภาพ ดมี าก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง

ใบความรู้เร่ือง เอกลกั ษณแ์ ละความสาคัญ
ของวฒั นธรรมปี่ พาทยม์ อญ จังหวดั ปทุมธานี

ความเป็ นมาเอกลักษณแ์ ละความสาคญั ของวฒั นธรรมป่ี พาทยม์ อญ

ป่ีพาทยม์ อญเป็นมรดกทางวฒั นธรรมดนตรีอย่างหนึ่งของชนชาติมอญท่ีไดเ้ ขา้ มาปรากฏในแผ่นดิน
ไทยเป็นระยะเวลาท่ียาวนานมาก น่าจะเขา้ มาพรอ้ มกับการอพยพของชนชาติมอญช่วงท่ีกรุงศรีอยุธยาเป็น
ราชธานีในระยะเวลานนั้ ชาวมอญไดอ้ พยพเขา้ มาแผ่นดินไทยครง้ั ละจานวนมาก เขา้ ใจว่าการอพยพแต่ละ
ครง้ั นนั้ ชาวมอญคงจะนาเอาเครื่องดนตรีหรือเครื่องประกอบการร่ืนเรงิ เขา้ มาดว้ ยหรือถา้ มิไดน้ าเคร่ืองดนตรี
เหลา่ นนั้ ติดมาดว้ ยในขณะท่ีอพยพเคล่ือนยา้ ยก็อาจจะมาหาวสั ดุหรือทรพั ยากรในแผ่นดินไทยสรา้ งขึน้ ใหม่
ตามพืน้ ความรูข้ องตน ทางพุทธศาสนาไดแ้ สดงให้เห็นความเช่ือมโยงและเกื้อหนุนกัน ในวัฒนธรรมก็
เช่นเดยี วกนั คงจะไมม่ ีอะไรหรอื สง่ิ ใดเกิดขนึ้ มาโดดๆไดเ้ ป็นแน่ หากจะพยายามศกึ ษาดนตรี (ป่ีพาทยม์ อญ) ก็
ย่อมท่ีจะตอ้ งให้ความสาคัญและมองภาพวัฒนธรรมแบบองค์รวมด้วย ซ่ึงดนตรีนีส้ ามารถเช่ือมโยงกับ
นาฏศิลป์ การละเลน่ ภาษา ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ตลอดจนการใชช้ วี ติ ของชาวมอญ ซง่ึ เป็นตวั แปรสาคญั
ท่สี ง่ ผลต่ออตั ลกั ษณข์ องคนมอญ

ส่ิงท่ีสาคญั ท่ีชนชาติมอญไดร้ ่วมกนั คิดสรา้ งสรรคข์ ึน้ มา เพ่ือใหเ้ หมาะสมกับวิถีการดาเนินชีวิตของ
คน และไดร้ บั การสืบทอดต่อมาสอู่ นุชนรุน่ หลงั จนเป็นมรดกท่ีสาคญั ทางสงั คม ซง่ึ ปรากฏใหเ้ ห็นในปัจจุบนั นี้
คือ วฒั นธรรมดนตรีมอญ ถึงแมว้ ่าบางสิ่งบางอย่างไดเ้ กิดการเปล่ียนแปลงไปจากเดิม เช่น การเปลี่ยนแปลง
เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกับวิถีการดาเนินชีวิต หรือเกิดการผสมสานกนั ทางวฒั นธรรมระหว่างชนชาติมอญกับไทย
อนั เน่ืองมาจากมอญไดเ้ ขา้ มาอาศยั ร่วมกันกบั คนไทยเป็นระยะเวลาอันยาวนาน อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรม
ดนตรีมอญนีก้ ็ยังเป็นส่ิงท่ีสาทอ้ นใหเ้ ห็นถึงภูมิปัญญาของคนมอญในอดีต ท่ีไดร้ ่วมกันคิดสรา้ งสรรคแ์ ละ
แสดงออกมาในรูปแบบของวฒั นธรรมทางศิลปะ ซ่ึงเป็นเรื่องราวท่ีน่าจะทาการศึกษาคน้ ควา้ เป็นอย่างย่ิง
สาหรบั ป่ีพาทยม์ อญนนั้ อาจารยม์ นตรี ตราโมท สนั นิษฐานว่าป่ีพาทยม์ อญน่าจะเร่มิ ขึน้ ในประเทศไทยเม่ือ
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซ่ึงเขา้ มาพรอ้ มกับการอพยพครงั้ สาคญั ๆ ของชนชาติมอญน่นั เองจากการ

อพยพของชาวมอญ จากการแพรห่ ลายเขา้ มาของวฒั นธรรมป่ีพาทยม์ อญ ไม่ว่าจะเป็นประวตั ิความเป็นมา
เคร่ืองดนตรี การประสมวงและโดยเฉพาะบทเพลงมอญนนั้ ทาใหจ้ งั หวดั ปทมุ ธานีมีช่ือเสียงเป็นท่ีรูจ้ กั ท่วั ไป
และเป็นแหล่งป่ีพาทยม์ อญท่ีสาคญั แห่งหนึ่ง อีกทงั้ ยงั ไดม้ ีวงป่ีพาทยม์ อญเกิดขึน้ แพร่หลาย ท่วั ไปในอาเภอ
ต่าง ๆ ของจงั หวดั ปทมุ ธานี

➢ เรอ่ื ง บทบาทของวัฒนธรรมป่ี พาทยม์ อญ

วงป่ีพาทยม์ อญถือเป็นมรดกทางวฒั นธรรมดนตรีชนชาตมิ อญ ซ่งึ ใชบ้ รรเลงประกอบพิธีกรรม
สามารถบรรเลงไดท้ งั้ ในงานมงคล และงานอวมงคล เท่าท่ปี รากฏหลกั ฐานในสมยั โบราณนนั้ พบว่า ในงาน
มงคลนนั้ ไดม้ ีวงป่ีพาทยม์ อญรว่ มบรรเลงสมโภชดว้ ย เช่น สมโภชพระแกว้ มรกตในสมยั กรุงธนบรุ ี เป็นตน้
สว่ นงานอวมงคลกป็ รากฏหลกั ฐานเชน่ เดียวกนั ในงานถวาย พระเพลงิ พระศพสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้
เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 5 เป็นตน้ จากหลกั ฐานเหลา่ นแี้ สดงใหเ้ ห็นป่ีพาทยม์ อญนนั้ เป็นวงดนตรรี ูปแบบหนึง่ ซ่งึ
เขา้ มามีบทบาทสาคญั ต่อสงั คมไทยมาแต่สมยั โบราณแลว้ ถงึ แมว้ ่าในปัจจบุ นั บทบาทของวงป่ีพาทยม์ อญมี
การเปล่ยี นแปลงไป คือ วงป่ีพาทยม์ อญใชส้ าหรบั งานท่เี กี่ยวขอ้ งกบั ความตาย หรืองานศพ ซ่งึ เป็น
เครอ่ื งหมายของงานอวมงคลเทา่ นนั้ ทาใหว้ งป่ีพาทยม์ อญกลายเป็นสญั ลกั ษณข์ องงานอวมงคลไปในท่สี ดุ
บทบาทสาคญั ของวงป่ีพาทยท์ ่มี ตี ่อสงั คม และวฒั นธรรมมอญของจงั หวดั ปทมุ ธานี แบง่ ออกไดด้ งั นี้

1) การสรา้ งตานานดนตรมี อญในประเทศไทย
2) การสบื ทอดดนตรีมอญฉบบั ดงั้ เดิม
3) การเผยแพรเ่ พลงมอญ
4) การสรา้ งบุคลากรดา้ นดนตรมี อญ
➢ เร่อื ง คณุ คา่ ของวฒั นธรรมปี่ พาทยม์ อญ

1) การมภี าพลกั ษณท์ ่เี ด่นชดั ของชาวมอญ
2) การมีระเบียบแบบแผน
พธิ ีกรรม และศาสนา คนในสงั คมสว่ นใหญ่ยงั มคี วามเช่ือเก่ียวกบั สง่ิ ศกั ดสิ์ ิทธิ์ การนบั ถือผี เป็นตน้
พธิ ีกรรมตา่ ง ๆ ของชาวมอญลว้ นแต่มแี บบแผนเป็นขนั้ เป็นตอน และดนตรีมอญมยี งั มีบทบาทอย่างมากใน
การบรรเลงประกอบพธิ ีตา่ ง ๆ ดว้ ยกนั ทงั้ สนิ้ ทาใหเ้ ป็นท่ีมาของคาว่า ดนตรบี อกเวลาไดอ้ ย่างชดั เจน
➢ เรอ่ื ง การเผยแพร่ของวัฒนธรรมปี่ พาทยม์ อญ
วงดนตรเี จรญิ เป็นผใู้ หก้ าเนิดป่ีพาทยม์ อญในประเทศไทยโดยครูสมุ่ ดนตรีเจรญิ จนเป็นเอกลกั ษณ์
ท่สี าคญั ของวฒั นธรรมมอญ กลา่ วไดว้ า่ ป่ีพาทยม์ อญเป็นวฒั นธรรมสว่ นแรก ๆ ท่คี นท่วั ไปรูจ้ กั เม่ือเอย่ ถึง
วฒั นธรรมมอญ ของจงั หวดั ปทมุ ธานี

➢ เร่อื ง การอนุรักษว์ ัฒนธรรมป่ี พาทยม์ อญ

1) มีการสรา้ งแหล่งเรยี นรูใ้ นพืน้ ท่ใี กลเ้ คียงท่เี ก่ียวกบั ป่ีพาทยม์ อญ จงั หวดั ปทมุ ธานี
2) ชกั ชวนใหค้ นรุน่ หลงั ใหเ้ กดิ ความสนใจเกี่ยวกบั ป่ีพาทยม์ อญ

ใบความรู้เรอื่ ง การสบื ทอดดนตรีของ

วงดนตรใี นจังหวดั ปทุมธานี

ประวตั ิป่ีพาทยม์ อญและเพลงมอญในจงั หวดั ปทุมธานีนนั้ มีช่ือเสียงมานานโดยเฉพาะการ
ใชม้ ือฆอ้ ง ทานองเพลงซ่ึงใหส้ าเนียงเพลงท่ีไพเราะ เป็นท่ียอมรบั ในกล่มุ ครูดนตรีทงั้ นักดนตรีในอดีตและ
ปัจจุบนั ทงั้ นีเ้ ป็นผลงานของกล่ใุ ตระกูลและนกั ดนตรีของชาวมอญท่ีมีอาชีพทางดา้ นป่ีพาทยม์ อญไดส้ ่งั สม
ถ่ายทอดเพลงมอญกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงลูกหลาน ลูกศิษย์และบุคคลต่างๆยังมีการอนุรักษ์และ
เผยแพร่เพลงมอญใหก้ ับจังหวัดอ่ืนๆ ซ่ึงเม่ือไดย้ ิน ไดเ้ ห็น และไดศ้ ึกษา ต่างยอมรบั ว่าป่ีพาทยม์ อญเพลง
มอญของจงั หวดั ปทุมธานีนนั้ มีความไพเราะสมคาบอกเล่า กล่มุ นกั ดนตรีป่ีพาทยม์ อญในจงั หวดั ปทุมธานีมี
ประวตั ิความเป็นมาท่ียาวนานและสรา้ งช่ือเสียง สะสมผลงานใหก้ บั จงั หวดั ปทมุ ธานี คือตระกลู ดนตรีเสนาะ
กบั ตระกลู ดนตรเี จรญิ
โดยมปี ระวตั ดิ งั ต่อไปนี้

1.ประวตั แิ ละการสบื ทอดของตระกูลดนตรีเสนาะ
ตระกลู ดนตรีเสนาะ ตน้ ตระกลู คอื นายแสน เป็นนกั ดนตรีป่ีพาทยม์ อญมาจากเมืองมอญ เป็นหน่ึงใน

สามคนพ่ีนอ้ งท่ีแบกฆอ้ งมอญ 3 ท่อน มาจากเมืองเมาะตะมะ เดินทางเขา้ มาทางเมืองตาก ถอดฆอ้ งมอญ
ออกเป็น 3 ทอ่ น เป็นผถู้ า่ ยทอดเพลงมอญใหก้ บั นายเจิน้ ดนตรีเสนาะ ซง่ึ เป็นบตุ รชายของตน

นายเจิน้ ดนตรีเสนาะ เกิดท่ีประเทศไทย ไดร้ บั การถ่ายทอดดนตรีจากบิดา เร่ิมฝึกฆอ้ งวงใหญ่เป็ น
ลาดบั แรก เม่อื มคี วามชานาญจึงตงั้ วงป่ีพาทยม์ อญขนึ้ แต่เครือ่ งป่ีพาทยย์ งั ไมค่ รบ นายเจิน้ จึงเดินทางไปท่ีวดั
หงษ์ปทมุ าวาส มีพระภิกษุป้ันหนา้ รูปกินนร ซ่งึ คลา้ ยกบั กินนรบนฆอ้ งมอญ นายเจิน้ จึงทาการปั้นต่อจนเสรจ็
เพ่อื นาไปประกอบกบั รา้ นฆอ้ งมอญไม้ เสรจ็ จนครบเป็นเคร่ืองป่ีพาทยม์ อญเครื่องคู่

ปัจจบุ นั นางสาวปทมุ ดนตรีเสนาะ ไม่ไดร้ บั การถ่ายทอดดนตรี แต่เป็นผดู้ แู ลรกั ษาฆอ้ งมอญไวเ้ พ่ือ
เป็นท่เี คารพสกั การะบชู า

แผนท่ีตงั้ ตระกลู ดนตรีเสนาะ

ตวั อยา่ ง แผนผงั การสบื ทอดตระกลู เสนาะ

2.ประวัตแิ ละการสืบทอดของตระกลู ดนตรเี จริญ
ตระกลู ดนตรีเจรญิ เป็นตระกลู หนึ่งท่ีมีเชือ้ สายมอญ คนในตระกลู สามารถพดู ภาษามอญได้ และมีวิถี

ชีวิตรวมถึงอาชีพรบั จา้ งป่ีพาทยม์ อญ ซ่งึ ทุกอย่างลว้ นเป็นส่วนหน่ึงของวฒั นธรรมมอญ อีกทงั้ ตระกูลดนตรี
เจรญิ ยงั เป็นผแู้ บกฆอ้ งมอญเขา้ มาตงั้ ถ่ินฐานอยทู่ ่จี งั หวดั ปทมุ ธานี บรเิ วณรมิ ฝ่ังแมน่ า้ เจา้ พระยา

นายส่มุ ดนตรีเจรญิ เป็นบุคคลท่ีไดร้ บั การถ่ายทอดทางดนตรีป่ีพาทยม์ อญจากบิดา ท่ีอพยพมาตงั้
ฐานท่ีประเทศไทย นายส่มุ เป็นบุคคลท่ีมีความสามารถทางดา้ นป่ีพาทย์ ไดถ้ ่ายทอดดนตรีใหก้ บั บุตรหลาน
และลกู ศิษย์ ต่อมาไดเ้ ขา้ ไปประกอบอาชีพในกรุงเทพมหานคร ใกลก้ บั บา้ นครูหลวงประดิษฐไพเราะ ทาให้
นายส่มุ มีโอกาสไดถ้ ่ายทอดเพลงมอญและแลกเปล่ียนเพลงไทยใหก้ บั หลวงประดิษฐไพเราะ จึงนบั ไดว้ ่านาย
สมุ่ เป็นครูป่ีพาทยม์ อญท่สี าคญั และเป็นผนู้ าเพลงมอญมาเผยแพรเ่ ป็นท่รี ูจ้ กั กนั อย่างกวา้ งขวาง

แผนท่ตี งั้ ตระกลู ดนตรีเจรญิ

ตวั อยา่ ง แผนผงั การสืบทอดตระกลู ดนตรีเจรญิ

ใบงาน เร่ือง เอกลักษณแ์ ละความสาคญั ของ

วัฒนธรรมป่ี พาทยม์ อญ จังหวดั ปทุมธานี

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนเขียนแนวทางในการอนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมป่ีพาทยม์ อญในฐานะท่ีนกั เรียนศกึ ษาอย่ใู น
จงั หวดั ปทมุ ธานี

....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................

ใบงาน เร่อื ง การสืบทอดดนตรีของวงดนตรเี สนาะ
และ วงดนตรีเจริญ

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเขยี นแผนผงั ความคดิ สรุปการสืบทอดของวงดนตรเี สนาะ และวงดนตรเี จรญิ มาอยา่ ง
ใด อยา่ งหนึง่

การสืบทอดดนตรปี ี่ พาทยม์ อญ
วง ..........................................

แบบประเมินใบงาน
เรอ่ื ง การสืบทอดดนตรขี องวงดนตรเี สนาะและดนตรีเจริญ จงั หวัดปทุมธานี

รายการประเมิน ดมี าก (5) คาอธบิ ายระดบั คณุ ภาพ / ระดับคะแนน ปรบั ปรุง (2)
ดี (4) พอใช้ (3)

1. อธิบาย อธิบายเอกลกั ษณ์ อธิบายเอกลกั ษณ์ อธิบายเอกลกั ษณ์ อธิบายเอกลกั ษณ์
เอกลกั ษณแ์ ละ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ และความสาคญั ของ
ความสาคญั ของ วฒั นธรรมป่ีพาทย์ วฒั นธรรมป่ีพาทย์ วฒั นธรรมป่ีพาทย์ วฒั นธรรมป่ีพาทย์
วฒั นธรรมป่ี มอญไดถ้ กู ตอ้ ง มอญผดิ 1 ขอ้ มอญผิด 2 ขอ้ มอญไมถ่ กู ตอ้ ง
พาทยม์ อญ ชดั เจน

2. อธิบายลกั ษณะ อธิบายลกั ษณะเด่น อธิบายลกั ษณะเดน่ อธิบายลกั ษณะเด่น อธิบายลกั ษณะเดน่
เด่นของดนตรี ของดนตรีและการ ของดนตรีและการ ของดนตรีและการ ของดนตรีและการ
และการถา่ ยทอด ถา่ ยทอดของ ถา่ ยทอดของ ถา่ ยทอดของ ถา่ ยทอดของ
ของวฒั นธรรม วฒั นธรรมของชาว วฒั นธรรมของชาว วฒั นธรรมของชาว วฒั นธรรมของชาว
ของชาวมอญ มอญไดถ้ กู ตอ้ ง มอญผิด 1 ขอ้ มอญผดิ 2 ขอ้ มอญไม่ถกู ตอ้ ง
ชดั เจน วเิ คราะหเ์ ช่ือมโยง วิเคราะหเ์ ช่ือมโยง
3. วเิ คราะหเ์ ช่ือมโยง วเิ คราะหเ์ ช่ือมโยง วเิ คราะหเ์ ช่ือมโยง วฒั นธรรมป่ีพาทย์ วฒั นธรรมป่ีพาทย์
วฒั นธรรมป่ี วฒั นธรรมป่ีพาทย์ วฒั นธรรมป่ีพาทย์ มอญกบั ความเช่ือ มอญกบั ความเช่ือ
พาทยม์ อญกบั มอญกบั ความเช่ือ มอญกบั ความเช่ือ ทางศาสนาผิด 2 ขอ้ ทางศาสนาไม่ถกู ตอ้ ง
ความเช่ือทาง ทางศาสนาไดถ้ กู ตอ้ ง ทางศาสนาผิด 1 ขอ้
ศาสนา ชดั เจน

เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ

ช่วงคะแนน 14 - 15 11 - 13 8 - 10 ต่ากว่า 7
ระดบั คณุ ภาพ ดีมาก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง

ใบความรู้เร่ือง เคร่ืองดนตรีมอญ การประสมวง

และบทบาทหน้าทข่ี องเครอ่ื งดนตรมี อญ

ชนชาติมอญไดป้ ระดิษฐ์เครื่องดนตรี ใชเ้ ล่นกนในหม่ชู าวมอญสืบต่อกันมานานแลว้ ตงั้ แต่การใช้
วสั ดทุ ่ีอย่ตู ามธรรมชาติท่ีเรียกกนั ว่าตีเกราะเคาะไมใ้ หเ้ ป็นจงั หวะมีเสียงต่างๆและมีการพฒั นาต่อเน่ืองกนั มา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือมีการรบั พระพทุ ธศาสนามาเป็นศาสนาประจาชาติมอญ อารยธรรมของอินเดียไดม้ ี
บทบาทต่อวิถีชีวิตและสงั คมของชนชาติมอญ อีกทงั้ ยงั มบี ทบาทในการประดิษฐ์เคร่ืองดนตรีต่างๆ โดยอาศยั
หลกั และรูปแบบจากอินเดียและพฒั นาเครื่องดนตรีต่างๆใหม้ ีรูปสวยงามและมีเสียงไพเราะขึน้ ตามรสนิยม
ของชนชาตมิ อญ

เครื่องดนตรีมอญ เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมดนตรีของชนชาติมอญท่ีเขา้ มาในประเทศไทย
เม่ือครน้ั ท่ีมีการอพยพเขา้ มา สันนิษฐานว่าชาวมอญคงนาเคร่ืองดนตรีหรือเคร่ืองประกอบจังหวะเข้ามา
เพ่ือใหค้ วามบนั เทิงต่างๆ หรือไม่ไดน้ ามาก็อาจจะมาหาวสั ดหุ รือทรพั ยากรในประเทศไทยนามาสรา้ งขึน้ ใหม่
จึงสงั เกตไดว้ า่ เครือ่ งดนตรขี องมอญและไทยนนั้ มลี กั ษณะใกลเ้ คียงกนั

ในปัจจุบนั เครื่องดนตรีมอญท่ีอยู่ในวงป่ีพาทยม์ อญ มีการพฒั นารูปแบบลกั ษณะท่ีเป็นมาตรฐาน
มากขนึ้ ดงั เคร่อื งดนตรมี อญต่อไปนี้

1.ป่ี มอญ

ป่ีมอญเป็นเครื่องเป่ าประเภทใชล้ ิน้ ป่ีเป็นตวั สรา้ งความส่นั สะเทือนใหเ้ กิดเสียงป่ีมอญมีรูปรา่ งคลา้ ย
ป่ีชวา แต่ยาวและใหญ่กว่าโดยแบง่ เป็น 2 สว่ นใหญ่ๆ คอื สว่ นเลาป่ีและสว่ นลาโพงป่ี วสั ดทุ ่ใี ชท้ าลาโพงนนั้ คือ
ทองเหลอื ง ทาใหม้ ีเสยี งกงั วานทมุ้ ต่านมุ่ นวลเป็นเอกลกั ษณ์

ป่ีมอญมีสว่ นประกอบท่สี าคญั คอื
1.เลาป่ี กลงึ จากไมเ้ นอื้ แข็งกลมมคี วามยาวประมาณ 50 ซม. โดยตอนบนใกลป้ ากผบู้ รรเลงจะคอดเล็ก
และผายออกเล็กน้อยในตอนปลาย ดา้ นบนของเลาป่ีเจาะรูนิว้ 7 รู เช่นเดียวกับขลุ่ยเพียงออ และป่ีชว า
ดา้ นหลงั เจาะรูนวิ้ คา้ 1 รู ตรงตาแหนง่ ของนวิ้ โปง้
2.ลาโพงป่ี ทาจากโลหะ ชนิดต่างๆ เช่น เงิน ทองเหลือง นามาตีออกเป็นแผ่นบางแลว้ มว้ นติดเขา้ กนั
เป็นลกั ษณะของดอกลาโพง ปากลาโพงกวา้ งประมาณ 10 ซม. สว่ นท่บี านออกกวา้ งประมาณ 5 ซม.
3.ลิน้ ป่ี ทาจากใบตาลแหง้ ตัดบางซอ้ นกัน 4 ชิน้ แลว้ ผูกติดกับแท่งโลหะเล็กๆ (เรียกว่าการผูกแบบ
ตะกรุดเบ็ด) ซ่งึ ทาจาก นาค ทองเหลือง หรือเงิน เรียกว่า กาพวด แลว้ จึงนาปลายดา้ นหนึ่งของกาพวดเสียบ
เขา้ กบั รูบริเวณทวนบนของเลาป่ีป่ีมอญนนั้ มีขนาดใหญ่กว่าป่ีท่วั ไป กาพวดจึงยาวกว่า มีความยาวประมาณ
8 ซม.

บทบาทหนา้ ท่ใี นการบรรเลง ป่ีมอญมลี ลี าในการบรรเลงเขา้ กบั ป่ีในของไทยคอื เป่าเก็บบา้ ง โหยหวน
บา้ ง แต่ป่ีมอญจะเนน้ การโหยหวนมากกว่าการเก็บทานอง ป่ีมอญมีเสียงท่ีเป็นเอกลกั ษณข์ องตัวเองและ
สามารถถ่ายทอดอารมณท์ ่โี ศกเศรา้ อาลยั อาวรณ์ เพลงท่ปี ่ีมอญมีบทบาทมากท่สี ดุ คือ เพลงมอญรอ้ งไห้ ซ่งึ ป่ี
มอญตอ้ งเป่าตามทานองของผขู้ บั รอ้ งและตอ้ งมลี ลี าท่ีโหยหวน สะอกึ สะอนื้

2.ฆ้องมอญวงใหญ่

ฆอ้ งมอญวงใหญ่ เป็นฆอ้ งท่ีมีรูปร่างลักษณะแตกต่างจากฆ้องไทย โดยวางตั้งโค้งขึน้ ไป มีการ
แกะสลกั ประดับกระจกท่ีสวยงาม มีการผูกฆอ้ งและวิธีก่ีบรรเลงท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ เป็นเครื่องดนตรีสาคัญท่ี
รว่ มอยใู่ นวงป่ีพาทยม์ อญและเป็นเครอ่ื งดนตรีท่ีแทนความศกั ดสิ์ ิทธิก์ ารเคารพบชู าครู

ฆอ้ งมอญมสี ว่ นประกอบท่สี าคญั คอื
1.รา้ นฆอ้ ง รา้ นฆอ้ งมอญนนั้ ทาจากไมเ้ นือ้ แข็ง 3 ส่วน ขุดเจาะเป็นกล่องเสียง คือส่วนหวั ทา้ ย และ
ตรงกลาง แลว้ จงึ นามาประกอบกนั
บรเิ วณดา้ นนอกของรา้ นฆอ้ ง แกะสลกั ลวดลายตามท่ีนิยม ลงรกั ปิดทอง ประดบั กระจก ดา้ นหน่ึงแกะ
เป็นรูป กนิ นร เรียกวา่ หนา้ พระ (อยดู่ า้ นซา้ ยของผบู้ รรเลง) สว่ นปลายอีกดา้ นแกะเป็นรูปปลายหางของกินนร
ดา้ นลา่ งของหนา้ พระและปลายหาง ติดห่วงโลหะทงั้ สองดา้ นไวส้ าหรบั สอดคานไมเ้ พ่ือความสะดวกในการ
เคลอื่ นยา้ ย ตอนกลางของรา้ นฆอ้ งมแี ผ่นไมว้ างรองรบั เชน่ เดียวกบั เทา้ ของระนาดเอก
2.ลูกฆ้อง ฆ้องมอญวงใหญ่นั้น มีลูกฆ้องทั้งสิน้ จานวน 15 ลูก ทาจากโลหะ ท่ีหรือหล่อขึน้ รูป
เช่นเดียวกบั ฆอ้ งไทย แต่อาจจะมีเนือ้ ฆอ้ งท่ีบางกว่า เทียบเสียงโดยการถ่วงตะก่วั ท่ีใตล้ กู ฆอ้ งแลว้ ถูกเขา้ กบั
รา้ น โดยเรยี งลาดบั จากซา้ ยไปขวาดงั นี้ ฟา ซอล(ขา้ มหน่ึงเสียง) ซี โด เร (ขา้ มหน่งึ เสียง) ฟา ซอล ลา ซี โด เร
มี ฟา ซอล ลา
เสียงท่ีขาดหายไปจากการผูกเรียงลกู ฆอ้ งมอญวงใหญ่ เรียกว่า "หลมุ " ซ่งึ เป็นเอกลกั ษณส์ าคญั อันทา
ใหเ้ กดิ วิธีการบรรเลงสมุ้ เสยี งและสาเนียงท่ีไพเราะ

บทบาทหนา้ ท่ีในการบรรเลง ฆอ้ งมอญวงใหญ่ถือไดว้ ่าเป็นเอกลกั ษณข์ องป่ีพาทยม์ อญท่มี ี
ความสาคญั ยงิ่ คอื มีหนา้ ท่ขี ึน้ เพลงเป็นสว่ นใหญ่และดาเนนิ ทานองหลกั ในวงป่ีพาทยม์ อญ นอกจากนฆี้ อ้ ง
มอญวงใหญ่ยงั เป็นเครื่องดนตรีมอญท่ีใชฝ้ ึกหดั เร่มิ แรกในวงป่ีพาทยม์ อญ

3.ฆ้องมอญวงเล็ก

ฆอ้ งมอญวงเล็ก เป็นฆอ้ งท่ีมีรูปร่างลกั ษณะเล็กกว่าฆอ้ งมอญวงใหญ่ และจานวนลกู ฆอ้ งมีมากกวา่
ฆอ้ งมอญวงเล็กมีลกู ประมาณ 16-17 ลกู ฆอ้ งมอญวงเล็กเกิดหลงั ฆอ้ งมอญวงใหญ่ ผปู้ ระดิษฐ์คงคิดขึน้ มา
เพ่อื ใหค้ กู่ บั ฆอ้ งมอญวงใหญ่

บทบาทหนา้ ท่ีในการบรรเลง ฆอ้ งมอญวงเล็กจะบรรเลงเป็นทานองเต็มคลา้ ยกบั ระนาดเอก ใชม้ ือตี
สลบั ซา้ ยขวา แตจ่ ะไม่ตเี กบ็ เท่าระนาดเอก

4.ระนาดเอก

ระนาดเอก เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทตี มีส่วนประกอบคือรางระนาด โขนระนาด เทา้ ระนาดและผน
ระนาด ผืนระนาดเอกในอดีตนนั้ จะมีลกู ระนาดจานวน 21 ลกู แต่ในปัจจุบนั นิยมเพ่ิมเป็น 22 ลกู เพ่ือความ
สะดวกในการบรรเลง ทงั้ ยงั นิยมใชไ้ มเ้ นอื้ แข็งชนดิ ต่างๆ เช่น พยุง ชิงชนั ประดู่ มาเหลาทาผืนระนาดแทนไม้
ไผบ่ งอีกดว้ ย ระนาดเอกในวงป่ีพาทยม์ อญท่ีประดิษฐ์ขนึ้ ในประเทศไทยนนั้ มีลกั ษณะคลา้ ยกบั ระนาดเอกของ
ไทยทกุ ประการ

บทบาทหนา้ ท่ีในการบรรเลง ระนาดเอกเป็นเครื่องดนตรีประเภทดาเนินทานองโดยการแปรทานอง
จากทานองหลกั ของฆอ้ งมอญวงใหญ่มีวิธีการบรรเลงเป็นค่แู ปด ในวงป่ี พาทยม์ อญนนั้ ระนาดเอกสามารถท่ี
จะตีเกบ็ และกรอไดต้ ามความเหมาะสมของเพลง
5.ระนาดทุ้ม

ระนาดทมุ้ เป็นเครอื่ งดนตรีประเภทตี มสี ว่ นประกอบคลา้ ยกบั ระนาดเอกแต่จะมีรูปรา่ งลกั ษณะท่แี ตกตา่ งกนั
คือเทา้ ระนาด มี 4 มมุ ผนื ระนาดทามาจากไมไ้ ผ่ตง เสียงมีความทมุ้ ต่ามากกวา่ ระนาดเอกและระนาดทมุ้ มี
ลกู ทงั้ หมด 17 ลกู

บทบาทหนา้ ท่ีในการบรรเลง ระนาดทมุ้ เป็นเครื่องดนตรีท่ีบรรเลงย่วั เยา้ หยอกลอ้ ไปกบั เคร่ืองดนตรี
ประเภทอ่นื ๆ นกั ดนตรีบางท่านกลา่ วว่าระนาดทมุ้ เปรยี บเสมือนตวั ตลกในวงดนตรี แตจ่ รงิ ๆแลว้ การบรรเลง
ระนาดทมุ้ นนั้ มีความวิจติ รพิสดาร ลกึ ลา้ มากกวา่

6.ตะโพนมอญ ห่นุ ตะโพน หนา้ ตะโพน (หนา้ เลก็ )

หหู วิ้ การลงรกั
สายโยงเรง่ เสยี ง (ขา้ วสกุ น่งึ )

หนา้ ตะโพน (หนา้ ใหญ่)

เทา้ ตะโพน

ตะโพน

ตะโพนมอญ คือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีกากับจังหวะหนา้ ทบั ต่างๆในการบรรเลงเพลงมอญมี
เสียงทุม้ และลึกกว่าเสียงตะโพนไทย มีขนาดท่ีใหญ่กว่าตะโพนไทย ท่ีมีบทบาทหนา้ ท่ีสาคัญในวงดนตรีป่ี
พาทยม์ อญ ทาหนา้ ท่หี ยอกลอ้ กบั เปิงมางคอก

ตะโพนมอญมีส่วนประกอบทส่ี าคัญ 2 ส่วน คือ
1.ห่นุ กลอง ทาจากไมเ้ นือ้ แข็ง นามาขึน้ รูปเป็นทรงกระบอกป่ องตรงกลางมีขนาดใหญ่กว่าตะโพนไทย
ยาวประมาณ 70 ซม. แลว้ ขึงหนงั ววั ทายางรกั ตรงกลางหนา้ กลองเป็นตาแหน่งของการติดขา้ วสกุ ถ่วงเสียง
บริเวณขอบหนา้ กลองทงั้ สองดา้ นถกั เป็นห่วงเล็กๆ เรียกว่า "ไสล้ ะมาน" โยงรอ้ ยไสล้ ะมานทงั้ สองดา้ นดว้ ย
หนงั เรียด หนา้ ใหญ่เรียก”หนา้ เท่ง” ในภาษามอญ เรียกว่า เมิกโหน่ก สว่ นหนา้ เล็กเรียก “หนา้ ทงึ ” ในภาษา
มอญเรียกว่า เมิกโดด้ บริเวณตรงกลางของหนุ่ กลองรอ้ ยเชอื กหนงั เรียดขดั เป็นรดั อกเพ่อื เรง่ เสียง ดา้ นบนพนั
หนงั เรยี ดเป็นหหู วิ้ เพ่อื ความสะดวกในการเคลื่อนยา้ ย
2.เทา้ ตะโพน ทาจากไมเ้ นือ้ แข็ง รองรบั หุ่เอิ นกลองเพ่ือใหไ้ ดร้ ะดบั ท่ีเหมาะสม และมกั จะแกะสลกั ลง
รกั ปิดทองใหเ้ ขา้ ชดุ กบั เครอื่ งดนตรีอ่นื ๆในวงป่ีพาทยม์ อญ

บทบาทหนา้ ท่ีในการบรรเลง ตะโพนมอญมีส่วนสาคญั ในวงป่ีพาทยม์ อญมาก เน่ืองจากเป็นเคร่ือง
ดนตรีท่ีทาหนา้ ท่ีควบคมุ จงั หวะหนา้ ทับ และใชข้ ึน้ เพลงมอญประเภทเพลงประจาต่างๆ โดยขึน้ ทานองหนา้
ทบั ว่า “เทง่ ทงึ ” ซง่ึ จะเป็นท่รี ูก้ นั วา่ กาลงั มงี านศพในบรเิ วณนนั้

7. เปิ งมางคอก

เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี มีลกั ษณะเป็นคอกสาหรบั แขวนลูกเปิงมาง มีจานวน 7 ลูก โดยแขวน
เรียงลาดบั จากลกู เล็กไปลกู ใหญ่ไวเ้ ป็นราวลอ้ มตวั คนตี ในอดีตภูมิปัญญาทอ้ งถ่ินของคนในสมยั นนั้ เวลาจะ
ใชเ้ ปิงมางคอก จะตอ้ งบดขา้ วสกุ กบั ขเี้ ถา้ ปิดเขา้ ท่ีหนา้ ตะโพนลกู เปิงเพ่ือถ่วงเสียงทมุ้ ประกอบกบั ท่าทางและ
ลีลาของผูต้ ีเปิงมางท่ีตีอย่างมีชีวิตชีวา จะย่ิงช่วยเสริมสรา้ งความสนใจใหเ้ กิดขึน้ กับผูท้ ่ีไดร้ ับการฟังการ
บรรเลง ในปัจจบุ นั นิยมใชก้ ลว้ ยตากตาแทนการบดขา้ วสกุ กบั ขเี้ ถา้

บทบาทหนา้ ท่ใี นการบรรเลง เปิงมางคอกเป็นเครอื่ งดนตรที ่ที าหนา้ ท่ีควบคมุ จงั หวะหนา้ ทบั ควบค่กู บั
ตะโพนมอญ ในวงป่ีพาทยม์ อญแต่เดิมนนั้ ใชเ้ ปิงมางเพียงลูกเดียว โดยทาหนา้ ท่ีสอดประสานไปกับตะโพน
มอญ แตต่ อ่ มาไดม้ กี ารพฒั นาและปรบั ปรุงเพิม่ เติมเป็น 7 ลกู 7 เสยี ง

8. โหม่ง 3 ใบ

โหมง่ ฆอ้ งโหมง่ เป็นเคร่อื งดนตรปี ระเภทเคร่ืองกากบั จงั หวะ มกี ารนาฆอ้ งโหม่งสามขนาดลดหล่นั กนั
และมีเสียงท่ีค่เู สียงท่ีเหมาะสมตรงกับเสียงหลกั ในวงป่ีพาทยม์ อญ นามาเรียงหอ้ ยไวก้ บั โครงไม้ ซ่ึงเรียกว่า
กระจงั โหมง่ โดยให้ โหมง่ ใบเลก็ สองใบอย่ดู า้ นบน สว่ นโหมง่ ลกู ใหญ่ท่ีสดุ ซ่งึ มีเสียงต่าอย่ดู า้ นลา่ ง ตวั ลกู ฆอ้ ง
นนั้ ทาจากโลหะหลายชนิด เช่น สมั ฤทธิ์ ทองเหลือง เป็นตน้ โดยนาโลหะนนั้ ๆมาทาการหลอมใหอ้ ่อนตวั และ
ใชก้ รรมวิธีตีขึน้ รูปเช่นเดียวกับลูกฆอ้ ง หรืออาจจะใชว้ ิธีการเทโลหะเหลวลงแม่พิมพเ์ ช่นการทาฆอ้ งหล่อ
ลกั ษณะของลูกฆอ้ งจะเป็นโลหะแผ่กวา้ งออกเป็นทรงกลม ตรงกลางเป็นป่ ุมนูนซ่ึงเป็นตาแหน่งท่ีใชไ้ มต้ ี
เพ่ือใหเ้ กิดเสียง ขอบของฆอ้ งจะงมุ้ ลงโดยรอบ เรียกสว่ นนีว้ ่า "ใบฉัตร" ท่ีใบฉตั ร เจาะรูรอ้ ยเชือก แขวนตงั้ กบั
ขาหย่งั คานไม้ หรอื ใหผ้ บู้ รรเลงถือตี

กระจงั โหม่งทาจากไมเ้ นือ้ แข็ง มักจะนิยมแกะสลกั ลงรกั ปิดทอง ใหเ้ ขา้ ชุดกับเครื่องป่ีพาทย์ ซ่ึงไดแ้ ก่
งวงป่ีพาทยม์ อญ ผบู้ รรเลงจะใชไ้ มต้ ี 2 ขนาดต่างกนั โดยใชไ้ มท้ ่ีมีขนาดเล็กกว่าตีโหม่งลกู เล็ก 2 ใบ แลว้ ใชไ้ ม้
ขนาดใหญ่ตโี หม่งขนาดใหญ่

บทบาทหนา้ ท่ีในการบรรเลง โหม่ง 3 ใบ มีหนา้ ท่ีตีใหจ้ งั หวะในวงป่ีพาทยม์ อญและใชข้ ึน้ เพลงมอญ
ประเภทเพลงย่าตา่ งๆ เช่น ย่าเท่ยี ง ย่าค่า เป็นตน้

9.เคร่ืองประกอบจงั หวะต่างๆ

ฉิ่ง เป็นเคร่ืองประกอบจังหวะ ใชต้ ีควบคุมจังหวะใหม้ ีความสม่าเสมอ ส่วนมากในวงป่ีพาทยม์ อญจะใช้
จงั หวะสองชนั้ และชนั้ เดียว ตามลกั ษณะของเพลงมอญ

กรับ เป็นเครอ่ื งประกอบจงั วะ ทาจากไม้ 2 อนั ตปี ระกบกนั คอยใหจ้ งั หวะหนกั
ฉาบเล็ก เป็นเครอ่ื งประกอบจงั หวะ ใชต้ ลี อ้ กบั จงั หวะหลกั
ฉาบใหญ่ เป็นเคร่ืองประกอบจงั หวะ มีขนาดใหญ่กว่าฉาบเล็ก การตีฉาบใหญ่จะคลา้ ยๆกบั จงั หวะ
ฉ่ิง มีจงั หวะเบาและหนกั มีลกั ษณะการตดี งั นี้

ตเี ปิดมอื ใหเ้ กดิ เสยี งยาว “แช่” ในจงั หวะเบา
ตปี ิดมือใหเ้ กิดเสียงสนั้ “วบั ” ในจงั หวะหนกั

การประสมวงปี่ พาทยม์ อญ

ในการประสมวงป่ีพาทยน์ นั้ มีลกั ษณะเหมือนวงป่ีพาทยข์ องไทย สนั นิษฐานว่า เม่ือป่ีพาทยม์ อญ
ไดร้ บั การเผยแพร่ใหเ้ ป็นท่ีนิยมของคนไทย จึงไดม้ ีการพฒั นาในการจดั วงใหม้ ีแบบแผนมากขึน้ จากสมยั ก่อน
มเี ครอ่ื งดนตรีเพียง 6 ชิน้ คือ ฆอ้ งมอญวงใหญ่ ระนาดเอก ตะโพนมอญ เปิงมาง 1 ลกู ป่ีมอญ ฉ่ิง ซง่ึ ตอ่ มาได้
มกี ารเพ่มิ เครอื่ งดนตรเี ขา้ มาเร่อื ยๆ จึงตอ้ งมีการจดั รูปแบบวงใหเ้ ป็นแบบแผนและเหมาะสม

รูปแบบการประสมวงป่ีพาทยม์ อญครูอาจารยท์ างดนตรีไทยไดก้ าหนดใหม้ ีลักษณะเช่นเดียวกับ
วงป่ีพาทยข์ องไทย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ขนาดคือ

1. วงป่ีพาทยม์ อญเครอ่ื งหา้
2. วงป่ีพาทยม์ อญเครื่องคู่
3. วงป่ีพาทยม์ อญเครื่องใหญ่
การกาหนดท่ีตงั้ ของฆอ้ งมอญ กระจังโหม่งและเปิงมางคอก ใหต้ งั้ อยู่ดา้ นหนา้ ของวงป่ีพาทยม์ อญ
ดังกล่าวนี้ จึงเป็นเอกลกั ษณท์ ่ีเด่นของวงป่ีพาทยม์ อญ อีกทงั้ ในปัจจุบนั ตาแหน่งท่ีตงั้ ของตะโพนมอญไดม้ ี
การปรบั ปรุงตาแหน่งท่ีตงั้ กันในเวลาต่อมาดว้ ยการใหต้ ะโพนมอญตงั้ อย่ดู า้ นหลงั ของเปิงมางคอก ยา้ ยจาก
ดา้ นขวาของวงมาตงั้ อยทู่ างดา้ นซา้ ยดา้ นหลงั เปิงมางคอก เหตผุ ลท่ีนกั ดนตรีในปัจจบุ นั มกี ารกาหนดตาแหน่ง
ท่ีตงั้ ของตะโพนมอญต่างจากนักดนตรีในอดีตท่ีไดก้ าหนดแบบแผนไวน้ นั้ โดยคิดปรับปรุงพฒั นาขึน้ มาใหม่
ดว้ ยเหตผุ ลท่ีวา่
1.เสียงดา้ นขวาของตะโพนมอญหนา้ ใหญ่ซ่ึงมีเสียง”เท่ง” นนั้ ถือว่าเป็นเสียงสาคัญในการบรรเลง
เพลงมอญ เม่ือยา้ ยตาแหน่งท่ีตงั้ ของตะโพนมอญมาอย่ดู า้ นซา้ ยของวงป่ีพาทยม์ อญ ทาใหน้ กั ดนตรีภายใน
วงไดย้ ินเสียงอยา่ งชดั เจนและท่วั ถงึ
2.เครือ่ งดนตรกี ากบั จงั หวะในวงป่ีพาทยม์ อญคือ ตะโพนมอญและเปิงมางคอก เม่อื ยา้ ยตะโพนมอญ
มาดา้ นหลงั เปิงมางคอก ทาใหม้ ีการสอดประสานกนั ย่ิงขึน้ และจะทาใหก้ ารบรรเลงเพลงมีความไพเราะมาก
ขนึ้

➢ วงป่ี พาทยม์ อญเครอ่ื งหา้

วงป่ีพาทยม์ อญเครอื่ งหา้ ประกอบดว้ ย

1. ป่ีมอญ 1 เลา

2. ระนาดเอก 1 ราง

3. ฆอ้ งมอญวงใหญ่ 1 โคง้

4. ตะโพนมอญ 1 ลกู

5. เปิงมาง 1 ชดุ

6. ฉ่ิง 1 คู่

แผนผงั การต้งั เครอื่ งดนตรไี ทยในวงป่ี พาทยม์ อญเคร่อื งหา้

➢ วงปี่ พาทยม์ อญเครอื่ งคู่

การประสมวงป่ีพาทยม์ อญเครื่องค่ไู ดม้ ีการปรบั ปรุงใหเ้ พ่ิมระนาดทุม้ และฆอ้ งมอญวงเล็กเพ่ิมขึน้

เช่นเดียวกบั วงป่ีพาทยเ์ ครอื่ งค่ขู องไทย

วงป่ีพาทยม์ อญเครื่องคู่ ประกอบดว้ ย

1. ป่ีมอญ 1 เลา

2. ระนาดเอก 1 ราง

3. ฆอ้ งมอญวงใหญ่ 1 โคง้

4. ระนาดทมุ้ 1 ราง

5. ฆอ้ งมอญวงเลก็ 1 โคง้

6. ตะโพนมอญ 1 ลกู

7. เปิงมางคอก 1 ชดุ

8. ฉ่ิง 1 คู่

9. กรบั 1 คู่

10. ฉาบเลก็ 1 คู่

11. ฉาบใหญ่ 1 คู่

12. โหมง่ 3 ใบ 1 ชดุ

แผนผงั การต้งั เครื่องดนตรีไทยในวงปี่ พาทยม์ อญเครือ่ งคู่

➢ วงปี่ พาทยม์ อญเคร่ืองใหญ่

วงป่ีพาทยม์ อญเครอ่ื งใหญ่ ประกอบดว้ ย

1. ป่ีมอญ 1 เลา

2. ระนาดเอก 1 ราง

3. ระนาดเอกเหลก็ 1 ราง

4. ระนาดทมุ้ 1 ราง

5. ระนาดทมุ้ เหล็ก 1 ราง

6. ฆอ้ งมอญวงเล็ก 1 โคง้

7. ฆอ้ งมอญวงใหญ่ 1 โคง้

8. ตะโพนมอญ 1 ลกู

9. เปิงมางคอก 1 ชดุ

10. ฉ่ิง 1 คู่

11. กรบั 1 คู่

12. ฉาบเลก็ 1 คู่

13. ฉาบใหญ่ 1 คู่

14. โหม่ง 3 ใบ 1 ชดุ

แผนผังการตัง้ เคร่อื งดนตรไี ทยในวงป่ี พาทยม์ อญเคร่อื งใหญ่

ใบงาน เรอ่ื ง เครื่องดนตรีมอญ

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนอธิบายลกั ษณะของเครื่องดนตรีมอญ ตามท่กี าหนด

เครอ่ื งดนตรี อธบิ ายลกั ษณะของเครือ่ งดนตรี
ฆอ้ งมอญวงใหญ่
กอ่ นเร่มิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตีกลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั
ปี่ มอญ
โหมง่ 3 ใบ ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรื่องท่นี ามาแสดงจะเป็นเรื่องจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนนิ เรอ่ื งมผี บู้ อก
ตะโพนมอญ
นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ค่รู บั ..........
เปิ งมางคอก
กอ่ นเรม่ิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรอ่ื งท่นี ามาแสดงจะเป็นเรื่องจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเรอ่ื งมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ค่รู บั ..........

ก่อนเร่มิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรอ่ื งท่นี ามาแสดงจะเป็นเรื่องจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนนิ เรื่องมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มีลกู ครู่ บั ..........

กอ่ นเรม่ิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรยี กคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรื่องท่นี ามาแสดงจะเป็นเรือ่ งจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนนิ เรอ่ื งมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มีลกู ครู่ บั ..........

ก่อนเรม่ิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรยี กคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เร่ืองท่นี ามาแสดงจะเป็นเรือ่ งจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนนิ เร่ืองมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มีลกู ครู่ บั ..........

ใบงาน เร่อื ง การประสมวงป่ี พาทยม์ อญ

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนเขยี นแผนผงั การตงั้ ตาแหน่งเครอื่ งดนตรใี นวงป่ีพาทยม์ อญมา 1 วง

แผนผงั การตงั้ ตาแหน่งเครอ่ื งดนตรใี นวงป่ีพาทยม์ อญ
วงป่ีพาทยม์ อญ ประเภท ..................................

ใบงาน เรือ่ ง บทบาทหน้าท่ีในการบรรเลง

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนอธิบายหนา้ ท่ใี นการบรรเลงของเครอื่ งดนตรีมอญ ตามท่กี าหนด

ช่อื …………………………………………… นามสกลุ …………………………….. ชนั้ …………………….. เลขท่ี ………….

ลักษณะของเครื่องดนตรี หน้าทใ่ี นการบรรเลง

ฆ้องมอญวงใหญ่ ก่อนเรม่ิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรือ่ งท่นี ามาแสดงจะเป็นเรอ่ื งจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเรอ่ื งมผี บู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ค่รู บั ..........

ป่ี มอญ ก่อนเร่มิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรยี กคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรื่องท่นี ามาแสดงจะเป็นเรื่องจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนนิ เรอ่ื งมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ครู่ บั ..........

โหม่ง 3 ใบ ก่อนเร่มิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตีกลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรอ่ื งท่นี ามาแสดงจะเป็นเรอ่ื งจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเรื่องมผี บู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มีลกู ค่รู บั ..........

ตะโพนมอญ ก่อนเรม่ิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรือ่ งท่นี ามาแสดงจะเป็นเร่อื งจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนนิ เร่อื งมผี บู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ค่รู บั ..........

เปิ งมางคอก ก่อนเร่มิ แสดงตอ้ งโหมโรงดว้ ยการตกี ลองตกุ๊ เป็นการเรียกคนดู การแสดงทกุ ครั

ตอ้ งราซดั ไหวค้ รู เรื่องท่นี ามาแสดงจะเป็นเร่ืองจกั รๆ วงศๆ์ การดาเนินเร่อื งมีผบู้ อก

นาผแู้ สดง ผแู้ สดงจะรอ้ งเอง 1 วรรค แลว้ มลี กู ครู่ บั ..........

แบบประเมินใบงาน
เรอ่ื ง เครอ่ื งดนตรมี อญ การประสมวง และบทบาทหน้าทใ่ี นการบรรเลง

รายการประเมิน คาอธบิ ายระดบั คณุ ภาพ / ระดับคะแนน
1. อธิบายลกั ษณะ
ดมี าก (5) ดี (4) พอใช้ (3) ปรบั ปรุง (2)
ของเครื่องดนตรี อธิบายลกั ษณะของ
มอญ เครือ่ งดนตรมี อญได้ อธิบายลกั ษณะของ อธิบายลกั ษณะของ อธิบายเลกั ษณะของ
ถกู ตอ้ ง ชดั เจน เครือ่ งดนตรีมอญ เครอื่ งดนตรีมอญ เครอื่ งดนตรีมอญ
มอญผิด 1 ขอ้ มอญผดิ 2 ขอ้ มอญไม่ถกู ตอ้ ง

2. อธิบายการวาง อธิบายการวางเครื่อง อธิบายการวางเครื่อง อธิบายการวางเครื่อง อธิบายการวางเครื่อง
เคร่ืองดนตรมี อญ ดนตรมี อญในการ ดนตรีมอญในการ ดนตรมี อญในการ ดนตรีมอญในการ
ในการประสมวง ประสมวงไดถ้ กู ตอ้ ง ประสมวงผดิ 1 ขอ้ ประสมวงผดิ 2 ขอ้ ประสมวงไม่ถกู ตอ้ ง
ชดั เจน

2. อธิบายลกั ษณะ อธิบายลกั ษณะของ อธิบายลกั ษณะของ อธิบายลกั ษณะของ อธิบายลกั ษณะของ
ของบทบาทเคร่ื บทบาทเครงื่ ดนตรใี น บทบาทเครื่งดนตรีใน บทบาทเครืง่ ดนตรใี น บทบาทเครืง่ ดนตรใี น
งดนตรใี นการ การบรรเลงไดถ้ กู ตอ้ ง การบรรเลงผิด 1 ขอ้ การบรรเลงผิด 2 ขอ้ การบรรเลงไมถ่ กู ตอ้ ง
บรรเลง ชดั เจน

เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ

ชว่ งคะแนน 14 - 15 11 - 13 8 - 10 ต่ากว่า 7
ระดบั คณุ ภาพ ดีมาก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง

แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องวฒั นธรรมปี่ พาทยม์ อญ ด้วยกระบวนการตาม
แนวคิดจิตตปัญญาศึกษาแบบร่วมมอื ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4

โรงเรียนธรรมศาสตรค์ ลองหลวงวทิ ยาคม

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนเลือกคาตอบท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพียงข้อเดียว

1. การสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปวฒั นธรรมมอญในประเทศไทย 6. วดั หงษ์ปทมุ าวาสมชี ่ือเดมิ ว่าอยา่ งไร

ไดร้ บั อิทธิพลมาจากเรื่องใด ก. วดั หงษา ข. วดั เสาหงษ์

ก. ไดร้ บั อิทธิพลมาจากตา่ งประเทศ ค. วดั มอญ ง. วดั มจั ฉา

ข. เทคนิคโบราณท่สี ืบทอดจากประเทศเพ่ือนบา้ น 7. วดั หงษ์ปทมุ าวาสถกู สรา้ งไดอ้ ยา่ งไร

ค. ความคิดของนกั วิชาการท่โี ดง่ ดงั ก. ถกู สรา้ งโดยชาวลาวท่ีอพยพหนีมา

ง. ความเช่อื ความศรทั ธาทางพทุ ธศาสนา ข. ถูกสรา้ งโดยชาวมอญท่อี พยพหนีมา

2. “การกระทาท่คี นในกลมุ่ นนั้ นยิ มนบั ถือ และถือประพฤติ ค. ถกู สรา้ งโดยชาวลา้ นนาท่อี พยพหนีมา

ปฏิบตั สิ ืบต่อกนั มา ถา้ สมาชิกคนใดไมป่ ระพฤติปฏิบตั ติ าม ง. ถกู สรา้ งโดยชาวขอมท่ีอพยพหนมี า

จะถกู ตเิ ตยี น” ขอ้ ความขา้ งตน้ หมายถงึ ขอ้ ใด 8. ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ งเก่ียวกบั วดั หงษป์ ทุมาวาส

ก. คติธรรม ข. เนตธิ รรม ก. ตงั้ อยใู่ นอาเภอสามโคก

ค. หลกั ธรรม ง. ประเพณี วฒั นธรรม ข. มสี ญั ลกั ษณเ์ ป็นเสาหงส์

3. ประเพณีการราพาขา้ วสาร ขอ้ ความดงั กลา่ วสอดคลอ้ งกบั ค. สรา้ งโดยชาวมอญ

ความสาคญั ของวฒั นธรรมอย่างไร ง. มเี จดียม์ อญ

ก. ก่อใหเ้ กิดความกตญั ญู 9. การนาเครื่องดนตรมี อญมาบรรเลงดว้ ยเพลงไทย

ข. ตอบสนองความตอ้ งการของมนษุ ย์ เป็นการแสดงถงึ สิง่ ใด

ค. ก่อใหเ้ กิดความศรทั ธาและความเป็นอนั หนง่ึ อนั ก. ความเจรญิ กา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี

เดยี วกนั ข. การสืบทอดดนตรไี ทยจากศลิ ปิน

ง. กอ่ ใหเ้ กดิ ความเป็นระเบียบสงั คม ค. ค่านยิ มและการปรบั เปลี่ยนใหเ้ ขา้ กบั ยคุ สมยั

4. ชาวมอญอพยพเขา้ มาในจงั หวดั ปทมุ ธานีในสมยั ใด ง. การสรา้ งแรงจงู ใจ

ก. สมยั อยธุ ยา ข. สมยั สโุ ขทยั 10. วงป่ีพาทยม์ อญไดม้ กี ารเขา้ มาสปู่ ระเทศไทยในช่วงสมยั

ค. สมยั ธนบรุ ี ง. สมยั รตั นโกสินทร์ ใด

5. ขอ้ ใดไม่ใช่คาศพั ทท์ ่ใี ชเ่ รยี กชนชาติมอญ ก. สมยั สโุ ขทยั ข. สมยั อยธุ ยา

ก. รามญั ข. ตะเลง ค. สมยั ธนบรุ ี ง. สมยั รตั นโกสนิ ทร์

ค. สยาม ง. เพกวน

11. สิง่ ใดท่ที าใหว้ ชิ าป่ีพาทยม์ อญดารงอยคู่ ่กู บั สงั คมและ 17. ตะโพนมอญมชี ่อื เรียกในภาษามอญว่าอย่างไร

วฒั นธรรมไทยมาจนถึงปัจจบุ นั ก. รามญั ข. เทง่ ทงึ

ก. การไม่ยอมรบั ดนตรจี ากต่างชาติ ค. ถะเปิ้น ง. ตะเลง

ข. การท่สี งั คมไทยไม่มีการเปล่ียนแปลง 18. หากนกั เรียนจะตอ้ งไปบรรเลงดนตรีในวงป่ีพาทยม์ อญ

ค. การรกั ษาขนบธรรมเนยี มไทยอย่างเครง่ ครดั นกั เรียนจะเลือกเคร่ืองดนตรีชิน้ ใด

ง. การสืบทอดดนตรไี ทยจากศิลปิน ก. ตะโพนมอญ เปิงมางคอก

12. ป่ีพาทยม์ อญมีบทบาทในขอ้ ใดมากท่สี ดุ ตอ่ การสรา้ ง ข. กลองทดั ตะโพน

ความม่นั คงทางวฒั นธรรมของจงั หวดั ปทมุ ธานี ค. กลองมาลายู กลองแขก

ก. เป็นเครื่องดนตรีประกอบในการทาสงคราม ง. โทน รามะนา

ข. มกี ารสบื ทอดดนตรมี อญในแบบดงั้ เดมิ 19. หนา้ ตะโพนมอญหนา้ ใหญ่ เรียกว่าอะไร

ค. สรา้ งความบนั เทงิ ใหแ้ ก่ผฟู้ ัง ก. หนา้ ทงึ ข. หนา้ เทง่

ง. เป็นเคร่ืองมอื ในการทาการคา้ ค. หนา้ เลก็ ง. หนา้ ใหญ่

13. บุคคลใดเป็นผบู้ ุกเบิกป่ีพาทยม์ อญจงั หวดั ปทมุ ธานี 20. ถา้ นกั เรียนเป็นผรู้ ามอญและตอ้ งการท่จี ะเปลีย่ นท่ารา

ก. นายพล และ นายสี นกั เรียนตอ้ งยดึ จงั หวะเคร่อื งดนตรชี นิ้ ใด

ข. นายชะอมุ่ และ นายสี ก. ฆอ้ งมอญ ข. ป่ีมอญ

ค. นายเจิน้ และ นายสมุ่ ค. เปิงมางคอก ง. ตะโพนมอญ

ง. นายสะอาด และ นายสมุ่ 21. ลกั ษณะของฆอ้ งมอญแตกตา่ งจากฆอ้ งไทยอย่างไร

14. เคร่ืองดนตรชี ิน้ ใดถือว่าเป็นเอกลกั ษณข์ องวงป่ีพาทย์ ก. วางแนวตงั้ ข. วางแนวนอน

มอญ ค. วางแนวเฉียง ง. ไม่มีขอ้ ถกู

ก. ตะโพนมอญ ข. ป่ีมอญ 22. วงป่ีพาทยม์ อญของชาวมอญนยิ มบรรเลงในโอกาสใด

ค. ฆอ้ งมอญ ง. ระนาดเอก ก. บรรเลงเฉพาะงานมงคล

15. ลกั ษณะรูปรา่ งของป่ีมอญแบ่งออกเป็นกี่สว่ น ข. บรรเลงเฉพาะงานอวมงคล

ก. 2 สว่ น ข. 4 สว่ น ค. บรรเลงไดท้ งั้ งานมงคลและอวมงคล

ค. 1 สว่ น ง. 5 สว่ น ง. บรรเลงเฉพาะงานพระราชพธิ ีของกษัตรยิ ์

16. ลาโพงของป่ีมอญมีไวเ้ พ่ืออะไร 23. ขอ้ ใดไม่ใช่เครื่องดนตรขี องวงป่ีพาทยม์ อญเครื่องใหญ่

ก. เพ่อื ความสวยงาม ก. ฆอ้ งวงใหญ่ ฆอ้ งวงเล็ก ป่ีมอญ โหม่ง 3 ใบ

ข. เพ่อื ความสะดวกของนกั ดนตรี ข. ตะโพนมอญ เปิงมางคอก ฉ่ิง ฉาบใหญ่

ค. เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสนใจ ค. ระนาดเอก ระนาดทมุ้ ระนาดเอกเหลก็

ง. เพ่อื ใหเ้ กิดความกงั วาน มีเสียงชวนฟัง ระนาดทมุ้ เหลก็

ง. ฆอ้ งวงใหญ่ ฆอ้ งวงเล็ก ป่ีชวา

24. คนไทยในปัจจบุ นั นิยมใชป้ ่ีพาทยม์ อญบรรเลงในงานใด 30. ดนตรมี อญมสี ว่ นชว่ ยคนในชมุ ชนอย่างไร

ก. บรรเลงเฉพาะงานมงคล ก. ช่วยสง่ เสรมิ ในเร่ืองเทคโนโลยี

ข. บรรเลงเฉพาะงานอวมงคล ข. ช่วยเสรมิ สรา้ งทางดา้ นจิตใจ
ค. บรรเลงไดท้ งั้ งานมงคลและอวมงคล ค. ช่วยเสรมิ สรา้ งทางดา้ นความคิด
ง. บรรเลงเฉพาะงานพระราชพิธีของกษัตรยิ ์ ง. ช่วยเสรมิ สรา้ งทางดา้ นกายภาพ
25. ขอ้ ใดคอื ความหมายของการประสมวง
ก. การนาเครื่องดนตรมี าบรรเลงรวมกนั อย่างมี
หลกั เกณฑท์ ่ีถกู ตอ้ ง
ข. การบรรเลงตามความชอบของนกั ดนตรี
ค. การบรรเลงในงานพิธีสาคญั เท่านนั้
ง. การบรรเลงเฉพาะงานพระราชพธิ ี
26. วงป่ีพาทยม์ อญของไทยเกิดขนึ้ ในสมยั ใด
ก. รชั กาลท่ี 4 ข. รชั กาลท่ี 7
ค. รชั กาลท่ี 6 ง. รชั กาลท่ี 8
27. ในปัจจบุ นั การจดั ตาแหน่งตะโพนมอญ ควรอย่ทู ่ใี ดในวง
ป่ีพาทยม์ อญ
ก. ดา้ นหนา้ เปิงมางคอก ข. ดา้ นหลงั เปิงมางคอก
ค. ดา้ นขวาเปิงมางคอก ง. ดา้ นซา้ ยเปิงมางคอก
28. การนาผา้ ขาวมาผกู ท่อี งคเ์ ทวดาหนา้ พระของฆอ้ งมอญ
ถือวา่ เป็นความเช่ือดา้ นใด
ก. การเคารพบชู าครู
ข. การยอมรบั ในสงั คม
ค. การแสดงถงึ ภมู ปิ ัญญาของคนรุน่ เกา่
ง. การแสวงหาโชคลาภ
29. การไปเรยี นรูน้ อกสถานท่ที ่วี ดั หงษป์ ทมุ าวาสมปี ระโยชน์
ดา้ นใดบา้ ง
ก. ประโยชนใ์ นการศกึ ษาเรอ่ื งราวเชือ้ ชาติ
ข. ประโยชนใ์ นเชงิ โบราณคดี
ค. ประโยชนใ์ นทางศลิ ปะและวฒั นธรรม
ง. ถกู ทกุ ขอ้


Click to View FlipBook Version